หลกั เศรษฐศาสตรเ์ กษตร
120501 - 2007 ใบความรู้
หน่วยท่ี
เรียบเรยี งโดย
นายวุฒนิ นั ต์ แสงอ้าย
หนว่ ยท่ี 1 ความรู้พ้ืนฐานทางเศรษฐศาสตร์
ความหมายของเศรษฐศาสตร์
เป็นวิชาทางสงั คมศาสตรท์ ี่ศึกษาเก่ียวกบั การผลติ การกระจาย การบริโภคสนิ ค้าและบริการ ตามคำ
จำกัดความของนักเศรษฐศาสตร์และนักการเมือง เรยม์ อนด์ บารร์ แลว้ "เศรษฐศาสตรค์ อื ศาสตรแ์ หง่ การ
จดั การทรัพยากรอนั มีจำกัด เศรษฐศาสตร์พิจารณาถึงรูปแบบทพี่ ฤติกรรมมนุษย์ไดเ้ ลือกในการบริหาร
ทรัพยากรเหลา่ น้ี อกี ท้งั วิเคราะห์และอธิบายวถิ ีท่บี ุคคลหรือบริษัททำการจัดสรรทรพั ยากรอนั จำกัดเพอื่
ตอบสนองความต้องการมากมายและไมจ่ ำกดั "
วิชาเศรษฐศาสตร์จัดเปน็ วชิ าเชิงปทัสฐาน (เศรษฐศาสตร์ที่ควรจะเป็น) เม่ือเศรษฐศาสตรไ์ ดถ้ กู ใช้เพ่ือ
เลอื กทางเลอื กอันหน่ึงอันใด หรอื เมือ่ มีการตัดสินคณุ ค่าบางสง่ิ บางอย่างแบบอตั วสิ ัย ในทางตรงขา้ มเราจะ
เรยี กเศรษฐศาสตร์ว่าเป็นวชิ าเชงิ บรรทัดฐาน (เศรษฐศาสตร์ตามท่ีเปน็ จริง) เมอื่ เศรษฐศาสตร์นัน้ ได้ถูกใชเ้ ป็น
เคร่อื งมอื ในการทำนายและอธบิ ายถึงผลลพั ธ์ท่ีตามมาเมื่อมีการเลือกเกดิ ข้ึน โดยพิจารณาจากสมมติฐาน และ
ชุดของข้อมลู สงั เกตการณ์ ทางเลอื กใดกต็ ามทเ่ี กิดจากการใช้สมมติฐานสร้างเป็นแบบจำลอง หรือเกิดจากชุด
ข้อมูลสงั เกตการณ์ทส่ี มั พันธก์ ันน้นั ก็เปน็ ขอ้ มลู เชงิ บรรทดั ฐานดว้ ยเช่นเดียวกัน
เศรษฐศาสตร์จะใหค้ วามสนใจกับตวั แปรทส่ี ามารถวัดค่าได้เท่านนั้ โดยสาขาของวิชาเศรษฐศาสตรจ์ ะถูก
จำแนกออกตามเน้ือหาเป็นสองสาขาใหญ่ ๆ คือ
เศรษฐศาสตรจ์ ลุ ภาค ซึ่งสนใจพฤติกรรมขององคป์ ระกอบพ้ืนฐานในระบบเศรษฐกิจซง่ึ รวมถงึ ตลาด
แต่ละตลาดและตวั แทนทางเศรษฐกิจ (เช่นครวั เรือน หนว่ ยธรุ กิจ ผซู้ ื้อ และผ้ขู าย)
เศรษฐศาสตรม์ หภาค จะสนใจเศรษฐกจิ ในภาพรวม ตวั อย่างเชน่ อุปทานมวลรวมและอุปสงค์มวล
รวม การวา่ งงาน เงนิ เฟ้อ การเติบโตของเศรษฐกจิ นโยบายการเงินและนโยบายการคลงั เปน็ ตน้
นอกจากน้ยี งั สามารถจำแนกออกตามการวเิ คราะห์ปัญหาไดแ้ ก่
เศรษฐศาสตรว์ ิเคราะห์ หรอื เศรษฐศาสตรต์ ามความเปน็ จริง (Positive economics)
เศรษฐศาสตร์นโยบาย หรือเศรษฐศาสตรต์ ามท่ีควรจะเป็น (Normative economics)
เศรษฐศาสตร์ หมายถึง ศาสตรห์ รอื วิชาที่เกีย่ วข้องกบั วิธีการนำทรพั ยากรซงึ่ มีอย่จู ำกัดมากระทำให้
เกิดสนิ คา้ และบรกิ าร เพือ่ สนองความต้องการของมนุษยซ์ ่ึงมอี ยไู่ ม่จำกัดเพ่ือให้เราสามารถเข้าใจความหมาย
ของเศรษฐศาสตร์ได้ชัดเจนมากยงิ่ ขน้ึ จงึ ควรศึกษาและทำความเขา้ ใจในเรื่อง ทรัพยากร สินคา้ และบรกิ าร
และความต้องการ ซงึ่ เกยี่ วพันกับเศรษฐศาสตรอ์ ย่างใกล้ชิด ดงั นี้
๑.ทรพั ยากร ในทน่ี ี้ความหมายครอบคลุมถงึ ทรัพยากรมนุษย์ ซ่งึ มายถึงแรงงาน ทรพั ยากรเกดิ ขน้ึ
ตามธรรมชาติ เชน่ ท่ดี นิ แมน่ ้ำ ลำคลอง แรห่ ินต่างๆ และทรัพยากรซ่งึ มนุษย์
เป็นผ้สู ร้างขึ้น เชน่ เคร่อื งจกั ร เครือ่ งคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ตา่ งๆ
๒.สินค้าและบริการ หมายถงึ สงิ่ ที่เกิดขน้ึ จากการผลติ โดยอาจเปน็ ส่ิงท่ีจับต้องได้และไมไ่ ด้ เนอื่ งจาก
สนิ ค้าและบรกิ ารเป็นสิ่งทเ่ี กิดขึ้นจากกาผลิต จึงอาจจะเรียกวา่ ผลผลิต
๓.ความตอ้ งการ หมายถึง ความอยากได้หรืออยากเปน็ เจ้าของสง่ิ ใดสงิ่ หนึ่ง ความต้องการของมนุษย์มี
หลายลักษณะ บางลกั ษณะเป็นความตอ้ งการท่ีไมส่ ้ินสดุ เช่น ต้องการมีบ้าน
มรี ถยนต์ มีโทรทัศน์ เมอื่ มีแล้วความต้องการก็อาจไม่หมดไป แต่ต้องการท่ีจะมบี า้ นหลังใหญม่ ากกว่าเดิม
ต้องการมีรถยนต์เพิ่มอกี ๑ คัน
ความเปน็ มาของวิชาเศรษฐศาสตร์
แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์มีมาตงั้ แต่สมัยโบราณแล้ว นกั ปราชญ์สมยั โบราณพยายามสอดแทรก
แนวความคิดและกฎเกณฑ์ทางเศรษฐศาสตรป์ ะปนอยใู่ นหลักปรัชญา ศาสนา ศลี ธรรมและหลักปกครอง แต่
ความคดิ เหล่าน้ียังไม่ถือเป็นทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ เชน่ แนวคดิ เรือ่ งการแบ่งงานกนั ทำของเพลโต (Plato)
แนวคดิ เรื่องความม่งั คั่ง ของอริสโตเติล (Aristotle) เปน็ ตน้
ในคริสตศ์ ตวรรษท่ี 18 ได้มีนักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษบุคคลแรกทวี่ างรากฐานวชิ าเศรษฐศาสตร์ คอื
อาดมั สมิธ (Adam Smith) ไดเ้ ขยี นตำราทางเศรษฐศาสตร์เลม่ แรกของโลก ซึง่ มชี อื่ ค่อนขา้ งยาววา่ “An
Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations” หรือเรยี กส้ันๆว่า “The Wealth
Nations” (ความม่งั ค่ังแหง่ ชาติ) ตีพิมพ์ครง้ั แรกเม่ือ ค.ศ.1776 โดยเสนอความคิดว่า รัฐบาลที่เข้ามาบรหิ าร
ประเทศควรเขา้ แทรกแซงการผลติ และการค้าให้นอ้ ยทสี่ ดุ โดยยนิ ยอมใหเ้ ปน็ ภาระหน้าท่ีของเอกชน ทงั้ นีเ้ ป็น
การสะท้อนถงึ แนวความคิดแบบเสรนี ิยมหรือส่งเสริมระบบเศรษฐกจิ แบบเสรี จากหนังสือของอาดัม สมิธ
ดงั กลา่ วถอื เปน็ ตำราทางเศรษฐศาสตร์ท่สี ำคญั เลม่ แรกของโลก และตวั เขาได้รบั การยกยอ่ งใหเ้ ปน็ “บดิ าแห่ง
วชิ าเศรษฐศาสตร์” ในสมยั ต่อมาทัศนะและขอ้ เขียนของอาดัม สมิธ ได้เขา้ มามีอทิ ธิพลอยา่ งมากต่อวชิ า
เศรษฐศาสตร์ แตภ่ ายหลงั แนวคดิ เร่ืองนโยบายเสรีนิยมไดร้ ับการวิพากษว์ ิจารณ์อยา่ งมาก โดยเฉพาะเม่ือเกิด
ภาวะเศรษฐกจิ โลกตกตำ่ ขนานใหญ่ในช่วงปี 1930 ไดส้ ่งผลให้ความถือท่มี ีต่อความสามารถของกลไกตลาด
ลดลงมาก ท้ังนเี้ พราะเกิดการวา่ งงานอยา่ งมากและตดิ ต่อกันเป็นเวลานาน โดยที่นโยบายเสรีนิยมไมส่ ามารถ
แกป้ ญั หาทเ่ี กิดขึ้นได้กลางคริสตศ์ ตวรรษที่ 19 เกิดลัทธคิ อมมิวนสิ ต์ โดยคารล์ มาร์กซ์ (Carl Marx) เป็นผู้
ประกาศลทั ธินี้ Das Kapital เปน็ หนังสอื สำคญั ของคาร์ล มารก์ ซ์ กล่าวถึงวิธกี ารขดู รีดของนายทุนจาก
กรรมกร และแนวคดิ เรื่องการเปน็ เจา้ ของกรรมสทิ ธ์ริ ่วมกนั และแบ่งผลประโยชนอ์ ยา่ งเสมอภาค
ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 19 อลั เฟรด มารแ์ ชล (Alfred Marshall) ได้เสนอทฤษฎวี า่ ดว้ ยการผลิต
(Theory of the Firm) ซ่งึ ต่อมากลายเป็นท่ีมาของทฤษฎเี ศรษฐศาสตร์จุลภาค
ในปี 1954 จอห์น เมยน์ ารด์ เคนส์ (John Maynard Keynes) ซง่ึ เป็นนกั เศรษฐศาสตร์ท่ีมบี ทบาทอย่างมาก
ท้ังในวงการวชิ าการและกระบวนการกำหนดนโยบายขององั กฤษ ไดเ้ ขียนหนังสือช่อื “The General Theory
of Employment, Interest and Money” หรอื เรยี กส้นั ๆว่า “The General Theory” เนอ้ื หาภายใน
หนงั สอื เลม่ นข้ี ดั แยง้ กบั เศรษฐศาสตร์รุน่ กอ่ นๆ ในเรอื่ งกลไกตลาด ที่ไมส่ ามารถทำงานได้ดพี อสำหรบั การแกไ้ ข
ปญั หาการวา่ งงานและปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำท่เี กดิ ขน้ึ ดังน้นั รฐั จึงควรถือเป็นหนา้ ทท่ี ่ตี อ้ งแทรกแซง เพือ่
การกระตุน้ ใหเ้ ศรษฐกิจกระเตอื้ งข้นึ และลดการวา่ งงานลง โดยรัฐอาจสรา้ งงานใหป้ ระชาชน เช่น การสร้าง
ถนน สรา้ งเขอื่ น หรือสรา้ งสถานทีท่ ำงานของรฐั เป็นต้น
ความสำคญั ของเศรษฐศาสตร์
วชิ าเศรษฐศาสตร์ ชว่ ยให้มนุษยเ์ ขา้ ใจหรือสามารถตัดสินใจเกีย่ วกับกจิ กรรมตา่ ง ๆ อย่างเป็นระบบ
และมรี ะเบียบ รู้จกั ใชป้ ระโยชนใ์ นการบริหารจัดการทรัพยากรใหเ้ กิดผลอย่างมีประสิทธิภาพและเปน็ ไปตาม
เป้าหมายทกี่ ำหนด การใช้ทรัพยากรอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพน้ันมเี ป้าหมายตา่ งกันอันเนอ่ื งจากหนว่ ยเศรษฐกิจ
ต่างระดบั กนั
ระดบั ผู้บรหิ ารประเทศ ใช้วิชาเศรษฐศาสตรใ์ นการพิจารณาถึงการจดั สรรทรัพยากรของประเทศ ทมี่ ี
อย่างจำกัดน้ัน ให้เกิดประโยชนส์ ูงสดุ เพ่ือตอบสนองความต้องการพน้ื ฐานของประชาชนไดอ้ ย่างทั่วถึงและเปน็
ธรรม
ระดบั ประชาชน ใช้วิชาเศรษฐศาสตร์เพ่ือ เป็นเคร่ืองมือในการพิจารณาเลือกและตัดสนิ ใจใน
เหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ ในชวี ิตประจำวัน หรอื เปน็ พ้ืนฐานในการตัดสินใจประกอบอาชพี หรือ ช่วยให้เขา้ ใจ
เหตุการณ์หรือสถานการณท์ างเศรษฐกิจของบ้านเมืองและวิธีแก้ไขของภาครัฐบาล
1. ขอบเขตของวิชาเศรษฐศาสตร์ แบง่ เปน็ 2 สาขา
1.1 เศรษฐศาสตรจ์ ลุ ภาค เป็นการศกึ ษา กิจกรรมทางเศรษฐกจิ ในสว่ นยอ่ ยหรอื ศกึ ษาเฉพาะกรณเี ปน็
เรอ่ื ง ๆ เช่น การขน้ึ ราคาสนิ ค้า การฟอกเงิน พฤติกรรมการบรโิ ภค ของบุคคลในสงั คม ฯลฯ
1.2 เศรษฐศาสตรม์ หภาค เป็นการศึกษา กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เช่น รายได้
ประชาชาติ ผลติ ภณั ฑป์ ระชาชาติ ปญั หาเงินเฟ้อ ฯลฯ
2. หนว่ ยเศรษฐกิจหรอื ผูป้ ระกอบการ หมายถงึ ผูด้ ำเนินการผลิตสนิ ค้าและบริการโดยเป็นผนู้ ำ
ปจั จัยการผลติ ซ่ึงประกอบดว้ ย
2.1 ทุน Capital ทางเศรษฐศาสตร์ หมายถงึ สินค้า เคร่ืองจกั ร หรือส่งิ ที่มนุษยส์ ร้างขนึ้ เพือ่ ใช้ในการ
ผลิต
2.2 ท่ีดิน Land หมายถึง แหลง่ ผลิตหรอื ทรพั ยากรท่ีอยบู่ นดนิ ใตด้ ิน และเหนือพน้ื ดิน
2.3 แรงงาน Labour หมายถึง การทำงานทกุ ชนดิ ท่ีกอ่ ให้เกิดสนิ ค้าและบริการ แรงงานน้ีรวมถงึ
แรงงานดา้ นการใชก้ ำลงั กายและกำลังความคิดของมนษุ ย์ อันกอ่ ใหเ้ กิดประโยชนท์ างเศรษฐกิจดว้ ย
2.4 การประกอบการ Enterpreneurship หมายถงึ ผผู้ ลติ ผมู้ หี นา้ ที่เก่ยี วกับการวินจิ ฉัยโดยตรง เปน็
ผู้ใหค้ วามรเิ ร่ิมในนโยบายตา่ งๆ หรอื เปลยี่ นแปลงนโยบายในส่วนสำคัญในอนั ที่จะทำให้ การผลติ ดำเนนิ ไป
อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
3. ปญั หาพ้นื ฐานทางการผลิต
3.1 จะผลิตอะไร
3.2 จะผลิตอยา่ งไร
3.3 จะผลติ เพือ่ ใคร
เพ่ือตอบสนองความต้องการของมนุษยท์ มี่ ีอย่างไมจ่ ำกดั และสอดคล้องกับทรัพยากรของประเทศทมี่ ี
อย่างจำกัด ประเทศใดสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจแกไ้ ขปญั หาพนื้ ฐานดังกลา่ ว โดยถือการกนิ ดี อยูด่ ี
ของประชาชนในประเทศเป็นเกณฑว์ ัด แสดงว่าประเทศนัน้ ประสบความสำเรจ็ ต่อปัญหาพนื้ ฐานทางเศรษฐกิจ
ประเภทของวชิ าเศรษฐศาสตร์
วชิ าเศรษฐศาสตรจ์ ัดเปน็ วิชาเชงิ ปทสั ฐาน (เศรษฐศาสตร์ท่ีควรจะเปน็ ) เม่ือเศรษฐศาสตรไ์ ดถ้ กู ใชเ้ พื่อ
เลือกทางเลอื กอนั หนึ่งอนั ใด หรอื เม่อื มีการตัดสนิ คุณค่าบางสิง่ บางอยา่ งแบบอัตวสิ ัย ในทางตรงข้ามเราจะ
เรียกเศรษฐศาสตร์วา่ เปน็ วิชาเชิงบรรทดั ฐาน (เศรษฐศาสตร์ตามทเี่ ปน็ จริง) เม่อื เศรษฐศาสตรน์ นั้ ได้ถูกใช้เปน็
เครอื่ งมอื ในการทำนายและอธิบายถงึ ผลลัพธ์ทตี่ ามมาเมื่อมีการเลอื กเกดิ ขึ้น โดยพจิ ารณาจากสมมตฐิ าน และ
ชดุ ของข้อมลู สังเกตการณ์ ทางเลือกใดก็ตามที่เกิดจากการใชส้ มมตฐิ านสร้างเปน็ แบบจำลอง หรือเกิดจากชุด
ข้อมูลสังเกตการณ์ท่ีสมั พันธก์ ันนั้น กเ็ ป็นขอ้ มลู เชงิ บรรทัดฐานดว้ ยเชน่ เดยี วกัน
เศรษฐศาสตรจ์ ะใหค้ วามสนใจกับตวั แปรทีส่ ามารถวัดค่าได้เทา่ น้นั โดยสาขาของวชิ าเศรษฐศาสตรจ์ ะ
ถูกจำแนกออกตามเน้ือหาเป็นสองสาขาใหญ่ ๆ คอื
เศรษฐศาสตร์จุลภาค ซ่ึงสนใจพฤติกรรมขององค์ประกอบพื้นฐานในระบบเศรษฐกิจซึ่งรวมถึง ตลาด
แต่ละตลาดและตัวแทนทางเศรษฐกจิ (เช่นครวั เรือน หนว่ ยธุรกจิ ผ้ซู ้อื และผู้ขาย)
เศรษฐศาสตร์มหภาค จะสนใจเศรษฐกจิ ในภาพรวม ตัวอย่างเชน่ อุปทานมวลรวมและอุปสงค์มวล
รวม การว่างงาน เงินเฟ้อ การเตบิ โตของเศรษฐกจิ นโยบายการเงินและนโยบายการคลงั เปน็ ตน้
นอกจากน้ยี งั สามารถจำแนกออกตามการวิเคราะหป์ ัญหาไดแ้ ก่
- เศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ หรอื เศรษฐศาสตร์ตามความเป็นจริง (Positive economics)
- เศรษฐศาสตร์นโยบาย หรือเศรษฐศาสตรต์ ามที่ควรจะเป็น (Normative economics)
สำหรบั ประเด็นหลัก ๆ ทเ่ี ศรษฐศาสตรใ์ หค้ วามสนใจจะอยู่ท่กี ารจัดสรรทรัพยากร การผลติ การ
กระจายสนิ ค้า การค้า และการแข่งขัน โดยหลกั การแลว้ คำอธิบายทางเศรษฐศาสตร์จะถูกนำไปประยุกต์ใช้
เพ่อื อธิบายปญั หาที่เกย่ี วข้องกบั ทางเลือกภายใต้ขอ้ จำกดั ด้านความขาดแคลนมากขึ้นเร่ือย ๆ หรอื อาจจะเรยี ก
ไดว้ ่ามกี ารกำหนดมลู คา่ ทางเศรษฐศาสตร์ให้กับทางเลือกน้ัน ๆ น่ันเอง
ในมหาวิทยาลัยและวิทยาลยั ธรุ กจิ ของประเทศอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะนยิ มสอนทฤษฎเี ศรษฐศาสตร์
กระแสหลักทเ่ี รียกวา่ เศรษฐศาสตรแ์ บบสำนักคลาสสิกใหม่ (Neo - Classical Economics) ทงั้ น้ี
เศรษฐศาสตรก์ ระแสหลกั จะวเิ คราะห์ถึง "ความเป็นเหตเุ ป็นผล-ความเปน็ ปจั เจกชน-ดุลยภาพ" ตรงกันข้ามกับ
เศรษฐศาสตรท์ างเลือกที่เนน้ วิเคราะห์ "สถาบนั -ประวตั ิศาสตร์-โครงสรา้ งสงั คม" เป็นหลัก
หน่วยเศรษฐกิจ
หน่วยเศรษฐกจิ หมายถึง บุคคลหรอื องคก์ รต่าง ๆ ซ่งึ เปน็ ผู้ประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจและ
กิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวติ ทางเศรษฐกจิ หน่วยเศรษฐกิจประกอบดว้ ย 3 กลุ่ม ใหญ่ ๆ แต่ละ
หนว่ ยมอี งค์ประกอบ หน้าที่ และเปา้ หมาย แตกตา่ งกนั ดงั นี้
1. หนว่ ยครัวเรอื น
หน่วยครวั เรือน หมายถงึ หน่วยเศรษฐกิจท่ีประกอบด้วยบุคคลต้งั แต่หน่ึงคนข้ึนไป มีการตดั สินใจใน
การใช้ทรพั ยากรธรรมชาตหิ รือปัจจยั ทางด้านการเงนิ เพื่อใหไ้ ดป้ ระโยชน์แก่ตนหรือกล่มุ ตนมากท่สี ุด หนว่ ย
ครัวเรือนประกอบดว้ ย
1) เจ้าของปจั จยั การผลติ คือ ผู้มปี จั จัยการผลติ ชนดิ ต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ทด่ี ิน แรงงาน ทุน และการ
ประกอบการ ซึง่ อาจมเี พยี งชนดิ เดยี วหรอื หลายชนิดก็ตาม เจ้าของปัจจัยจะนำปจั จยั การผลิตทตี่ นมอี ย่ใู ห้
ผผู้ ลิตเพ่อื ไปผลิตเป็นสินคา้ และบริการ โดยไดร้ ับค่าตอบแทนในรูปคาเชา่ ค่าจ้าง ดอกเบย้ี หรอื กำไร เป้าหมาย
ของเจา้ ของปัจจัยการผลิต คือรายไดส้ ทุ ธิสงู สดุ
2) ผู้บรโิ ภค คอื ผูใ้ ชป้ ระโยชนจ์ ากสินค้าและบริการเพอ่ื ตอบสนองความต้องการของ
เปา้ หมายของผู้บริโภค คอื ความพงึ พอใจสูงสุด สมาชกิ ของหน่วยครัวเรอื นอาจทำหนา้ ท่ีท้งั เจา้ ของปัจจัยการ
ผลิต และเปน็ ผบู้ ริโภคไปพร้อม ๆ กนั อย่างไรก็ตามหน้าที่ของหนว่ ยครัวเรือนจะต้องพยายามหารายได้มาไว้
สำหรับจบั จา่ ยใช้สอย ส่วนแหลง่ ทม่ี าของรายได้ขึ้นอยู่กบั ลักษณะของกจิ กรรม
2. หน่วยธรุ กิจ
หน่วยธรุ กจิ หมายถงึ บคุ คลหรอื กลมุ่ บุคคลที่ทำหน้าท่ีเอาปัจจัยการผลิตตา่ ง ๆ มาผสมผสานผลิตเปน็
สินคา้ หรือบรกิ ารแล้วนำไปขายใหแ้ ก่ผบู้ รโิ ภค หนว่ ยธรุ กจิ ประกอบด้วยสมาชิก 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ผ้ผู ลติ และ
ผขู้ าย ซงึ่ หน่วยธรุ กจิ บางหนว่ ย ทำหนา้ ท่ีทั้งผู้ผลิตและผู้ขาย หรือทำหน้าท่เี พียงอย่างเดียว เป้าหมายของ
ผ้ผู ลติ คือ แสวงหากำไรสูงสุด หรอื มสี ่วนแบง่ การตลาดมากทีส่ ดุ ในธุรกิจนนั้ หรอื การมชี ื่อเสียงเป็นท่ยี อมรับ
หรอื ธรุ กิจมอี ัตราการเจริญเติบโตอยู่ในอตั ราสูงขึ้นเร่ือย ๆ เป็นต้น
3. หนว่ ยรฐั บาล
หน่วยรฐั บาล หมายถงึ หน่วยงานของรฐั หรือสว่ นราชการตา่ ง ๆ ท่ีจดั ตั้งเพอื่ ดำเนนิ การของรัฐบาล มี
หนา้ ทเ่ี ช่ือมความสัมพันธ์กับหน่วยอืน่ ๆ ในระบบเศรษฐกิจ ซึง่ บทบาท หน้าที่ ความสัมพันธ์ดังกลา่ วจะมีมาก
นอ้ ยเพียงใดข้ึนอยูก่ บั ระบบเศรษฐกจิ ถา้ เป็นระบบเศรษฐกจิ แบบทุนนิยม บทบาทหนา้ ท่ีของหน่วยรัฐบาล
โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจจะมคี ่อนขา้ งจำกดั แต่ถา้ เปน็ ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมหรอื แบบคอมมิวนิสต์
รัฐบาลจะมีบทบาทค่อนข้างมาก อยา่ งไรกต็ ามบทบาทหน้าทีข่ องหนว่ ยรฐั บาล พอสรุปได้ดงั น้ี
1) เป็นท้ังผผู้ ลติ ผู้บริโภค และเจา้ ของปัจจยั การผลติ ในระบบเศรษฐกจิ
2) อำนวยความสะดวกในด้านปจั จัยพื้นฐาน เชน่ บรกิ ารด้านสาธารณูปโภค (บริการไฟฟา้
น้ำประปา โทรศัพท์ ฯลฯ) และสาธารณูปการ (การซ่อม สร้าง บำรงุ ถนน ฯลฯ) ให้แก่ประชาชน
3) จดั หารายไดโ้ ดยการเกบ็ ภาษจี ากประชาชน เพ่อื ไว้ใชจ้ ่ายในการบริหารและพฒั นา
ประเทศ
4) รักษาความสงบเรยี บร้อยของบา้ นเมือง ระงับและตดั สินข้อพิพาทและป้องกนั ประเทศ
ภาพแสดงความสมั พนั ธร์ ะหว่างหนว่ ยธุรกจิ เจา้ ของปัจจยั การผลิต และผบู้ ริโภค
ปัญหาพ้ืนฐานทางเศรษฐกจิ
เน่อื งจากทรัพยากรมีจำนวนจำกัด ไมเ่ พยี งพอทจ่ี ะบำบดั ความต้องการทุกอย่างของทุกคนในสังคมได้
ดงั นัน้ ทกุ สงั คมจึงต้องประสบกับปัญหาอย่างเดยี วกัน คือ ผลติ อะไร ผลิตอย่างไร และผลิตเพ่ือใคร ซ่ึงรวม
เรียกว่าปัญหาพ้นื ฐานทางเศรษฐกจิ
1. ปัญหาผลติ อะไร (What) เป็นปญั หาการตัดสินใจว่าควรจะผลิตสินคา้ อะไร ผลติ เป็นจำนวนเท่าไร
ปญั หาน้เี กิดจากทรัพยากรการผลติ มีจำกัด จึงต้องเลือกผลติ เฉพาะท่จี ำเป็น
2. ปญั หาผลิตอย่างไร (How) เป็นการพจิ ารณาว่าจะผลติ สินค้าและบริการด้วยเทคนิคการผลติ แบบ
ไหนและใชป้ ัจจัยการผลิตอะไรบา้ ง แตล่ ะชนิดใช้เป็นสดั สว่ นเท่าไร จงึ จะมปี ระสิทธิภาพมากทีส่ ุดหรือเสีย
ตน้ ทนุ ต่ำท่ีสดุ
3. ปัญหาผลติ เพื่อใคร (For Whom) เปน็ การพิจารณาว่าสินค้าและบริการทผ่ี ลติ ไดจ้ ะจัดสรรให้แก่
บคุ คลหรือกลุม่ บคุ คลใดในสงั คม ด้วยวิธีการอย่างไร
ประโยชนข์ องวชิ าเศรษฐศาสตร์
1. ชว่ ยให้สามารถซือ้ หรอื ใช้ บริโภคสนิ ค้าท่ีมีอยู่จำกดั ใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสดุ ร้จู ักใช้ รจู้ ักออม
2. เจา้ ของปัจจยั การผลติ ใชค้ วามรทู้ างเศรษฐศาสตร์ ตัดสินใจใชป้ ัจจยั การผลติ ที่ตน้ ทนุ ตำ่ แตเ่ กดิ
กำไรสงู สดุ
3. เขา้ ใจสถานการณป์ ัญหาเศรษฐกจิ และปรบั ตัวเข้ากบั สถานการณไ์ ด้
4. ใช้ความร้ใู นการจดั สรรทรัพยากร กำหนดนโยบายการแกไ้ ขปัญหาเศรษฐกิจ และรักษา
ผลประโยชน์ในการลงทุน การคา้ กบั ต่างประเทศได้
***********************************