The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by วิษณุ อินธิราช, 2023-11-22 09:58:54

แผนการสอน พท11001

แผนการสอน พท11001

๑๐.๒ การใช้เสียง ควรออกเสียงให้ดังพอเหมาะ ไม่ตะโกน หรือดัดเสียงจนไม่เป็นธรรมชาติ รู้จักใช้จังหวะใน การอ่านเหมาะสมกับอารมณ์ของเรื่องที่อ่าน เช่น เมื่ออ่านถึงการปลอบโยน ต้องอ่านช้าๆ เนิบๆ เมื่อแสดงอารมณ์ โกรธจะต้องอ่านอย่างรวดเร็วกระแทกกระทั น เมื่อเกิดอารมณ์อ่อนหวาน ๑๐.๓ การทอดเสียง เมื่ออ่านใกล้จะจบต้องอ่านทอดเสียงผ่อนจังหวะให้ช้าลง ๑๐.๔ การหลบเสียง คือ การเปลี่ยนเสียงหรือหักเสียง หลบจากเสียงสูงไปเสียงต่้าเพื่อไม่ต้องออกเสียงที่สูง เกินไป ๑๐.๕ การเอื อนเสียง คือ การลากเสียงช้าๆ และไว้หางเสียงเพื่อให้เข้าจังหวะและไพเราะ ๑๐.๖ การครั่นเสียง คือ การท้าเสียงให้สะดุดเมื่ออ่านถึงตอนที่สะเทือนอารมณ์ ๑๐.๗ การครวญเสียง คือ การเอื อนเสียงให้เกิดความรู้สึกตามอารมณ์ของการคร่้าครวญ ร้าพัน วิงวอนหรือ โศกเศร้า ๑๐.๘ การกระแทกเสียง คือ การลงเสียงให้หนักเป็นพิเศษ เมื่อต้องแสดงอารมณ์โกรธ หรือแสดงความเข้ม เข็ง


ใบควำมรู้ที่ ๒ เรื่องกำรอ่ำนออกเสียงและกำรอ่ำนในใจ การอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านออกเสียงหรืออ่านในใจ มิใช่สักแต่อ่านหนังสือออก เท่านั นแต่ต้องมีคุณสมบัติของผู้ที่อ่านเป็นด้วยจึงจะท้าให้การอ่านนั นได้ความหมายได้อรรถรส ตรงตามจุดมุ่งหมายของ ผู้เขียน และลักษณะของผู้ที่อ่านเป็นนั น ถือว่าเป็นผู้อ่านที่มี ประสิทธิภาพในการอ่าน ลักษณะของผู้ที่อ่ำนเป็น ๑. อ่านแล้วรู้เรื่องราวได้ตลอดแจ่มแจ้ง คือ อ่านแล้วจับใจความของเรื่องที่อ่านได้ตลอด ทั งเรื่อง ไม่ใช่รู้เพียงบางส่วน นอกจากนั นต้องเข้าใจความหมายในเนื อหาของเรื่องที่อ่านได้ ถูกต้องด้วย ๒. ได้รับรสชาติจากการอ่าน หมายถึง เมื่ออ่านเรื่องใดก็ตามย่อมเกิดความซาบซึ ง ตามเนื อหา ส้านวนและวิธีการ ประพันธ์นั น ๆ เกิดอารมณ์ร่วมและมองเห็นภาพพจน์ ตามที่ผู้ประพันธ์บรรยาย ๓. วินิจฉัยคุณค่าของหนังสือที่อ่านได้ว่า มีคุณค่าหรือประโยชน์แง่ใด มีคุณค่ามากน้อย เพียงใด หรือควรให้ความ สนใจมากน้อยเพียงใด หนังสือใดเหมาะสมกับบุคคลประเภทใด เป็นต้น ๔. รู้จักน้าสิ่งที่เป็นประโยชน์จากหนังสือที่อ่านมาใช้ได้เหมาะสมกับสถานการณ์ หนังสือทุกเรื่องที่อ่านย่อมมีคุณค่า มากบ้างน้อยบ้างในแง่ต่าง ๆ การรู้จักวินิจฉัยและรู้จัก ค้นหาสิ่งที่เป็นประโยชน์จากหนังสือที่อ่านน้ามาใช้ได้เหมาะสม เป็นวิธีการอย่างหนึ่ง ของการรับสารที่มีประสิทธิภาพ ๕. รู้จักเลือกหนังสือที่อ่านได้เหมาะสมตามความต้องการในแต่ละโอกาส หรือรู้จัก เลือกหนังสืออ่านได้ตรงตามความ มุ่งหมายนั่นเอง ประเภทของกำรอ่ำน การอ่านแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ อ่านออกเสียง และ อ่านในใจ การอ่านออกเสียง หมายถึง การอ่านที่ผู้อื่นสามารถได้ยินเสียงอ่านด้วยการอ่าน ออกเสียงมักไม่นิยมอ่าน เพื่อการรับ สารโดยตรง เพียงคนเดียว เว้นแต่ในบางครั งเราอ่าน บทประพันธ์เป็นท่วงท้านองเพื่อความไพเราะเพลิดเพลินส่วนตัว แต่ ส่วนใหญ่แล้ว การอ่านออกเสียงมักเป็นการอ่านให้ผู้อื่นฟัง การอ่านประเภทนี มีหลายโอกาสคือ ๑. การอ่านออกเสียงเพื่อบุคคลในครอบครัวหรือผู้ที่คุ้นเคย เป็นการอ่านที่ไม่เป็นทางการ การอ่านเพื่อบุคคลในครอบครัว เช่น อ่านนิทาน หนังสือพิมพ์ ข่าว จดหมาย ใบปลิว ค้า โฆษณา ใบประกาศ หนังสือวรรณคดีต่าง ๆ เป็นการอ่านสู่กันฟัง หรืออ่านให้เพื่อนฟัง อ่านให้คนบางคนที่อ่านหนังสือไม่ ออก หรือมองไม่เห็นฟัง เป็นต้น ๒.การอ่านออกเสียงที่เป็นทางการหรืออ่านในเรื่องของหน้าที่การงาน เป็นการอ่านที่เป็นทางการ มีระเบียบแบบแผนเป็นการอ่านที่รัดกุมกว่าการอ่านออกเสียง เพื่อบุคคล ในครอบครัว หรือผู้ที่คุ้นเคย เช่น การอ่านในห้องเรียน อ่านที่ประชุม อ่านรายงาน อ่านในพิธีเปิดงาน อ่านค้าปราศรัย อ่านสารใน โอกาสที่ส้าคัญต่าง ๆ การอ่านของสื่อมวลชน เป็นต้น การอ่านออกเสียงให้ผู้อื่นฟัง จะต้องอ่านให้ชัดเจนถูกต้องได้ข้อความครบถ้วนสมบูรณ์ มีลีลาการอ่าน ที่น่าสนใจและ น่าติดตามฟังจนจบ


จุดมุ่งหมำยในกำรอ่ำนออกเสียง ๑. เพื่อให้อ่านออกเสียงได้ถูกต้องตามอักขรวิธี ๒. เพื่อให้รู้จักใช้น ้าเสียงบอกอารมณ์และความรู้สึกให้สอดคล้องกับเนื อหาของเรื่อง ที่อ่าน ๓. เพื่อให้เข้าใจเรื่องที่อ่านได้ถูกต้อง ๔. เพื่อให้ผู้อ่านและผู้ฟังมีความรู้ความเข้าใจเนื อเรื่องที่อ่านได้ชัดเจน ๕. เพื่อให้ผู้อ่านและผู้ฟังเกิดความเพลิดเพลิน ๖. เพื่อเป็นการรับสารและส่งสารวิธีหนึ่ง หลักกำรอ่ำนออกเสียง ๑. อ่านออกเสียงให้ถูกต้องและชัดเจน ๒. อ่านให้ดังพอที่ผู้ฟังได้ยินทั่วถึง ๓. อ่านให้เป็นเสียงพูดโดยธรรมชาติ ๔. รู้จักทอดจังหวะและหยุดหายใจเมื่อจบข้อความตอนหนึ่ง ๆ ๕. อ่านให้เข้าลักษณะของเนื อเรื่อง เช่น บทสนทนา ต้องอ่านให้เหมือนการสนทนากัน อ่านค้าบรรยาย พรรณนาความรู้สึก หรือปาฐกถาก็อ่านให้เข้ากับลักษณะของเรื่องนั น ๆ ๖. อ่านออกเสียงและจังหวะให้เป็นไปตามเนื อเรื่อง เช่น ดุหรือโกรธ ก็ท้าเสียง แข็งและเร็ว ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคร่้า ครวญ อ้อนวอน ก็ทอดเสียงให้ช้าลง เป็นต้น ๗. ถ้าเป็นเรื่องร้อยกรองต้องค้านึงถึงสิ่งต่อไปนี ด้วย ๗.๑ สัมผัสครุ ลหุ ต้องอ่านให้ถูกต้อง ๗.๒ เน้นค้ารับสัมผัสและอ่านเอื อสัมผัสใน เพื่อเพิ่มความไพเราะ ๗.๓ อ่านให้ถูกต้องตามจังหวะและท้านองนิยม ตามลักษณะของร้อยกรองนั น ๆ ยังมีการอ่านออกเสียงอีกประการหนึ่ง การอ่านท้านองเสนาะ เป็นลักษณะการอ่าน ออกเสียง ที่มีจังหวะท้านองและ ออกเสียงสูงต่้าเพื่อให้เกิดความไพเราะ การอ่านท้านอง เสนาะนี ผู้อ่านจะต้องเข้าใจลักษณะบังคับของค้าประพันธ์แต่ละ ชนิดและรู้วิธีอ่านออกเสียง สูงต่้า การทอดเสียง การเอื อนเสียง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของค้าประพันธ์ชนิดต่าง ๆ ด้วย การอ่านท้านองเสนาะนี เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาช้านาน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทย ทุกคนควรภูมิใจและรักษา วัฒนธรรมล ้าค่านี ไว้เพื่อถ่ายทอดสืบต่อกันไปชั่วลูกชั่วหลาน หลักกำรอ่ำนท ำนองเสนำะ ๑. ศึกษาลักษณะบังคับของค้าประพันธ์แต่ละชนิดที่อ่านให้เข้าใจแจ่มแจ้ง ๒. อ่านให้ถูกต้องตามลักษณะของค้าประพันธ์ชนิดนั น ๆ เช่น การแบ่งวรรค บทสัมผัส การออกเสียงสูงต่้า ๓. อ่านออกเสียงให้ถูกต้อง ชัดเจน ๔. ใช้น ้าเสียงที่เหมาะสมกับบทบาทเนื อเรื่องที่อ่าน บทโกรธ บทเศร้า ต้องรู้จักใช้เสียง ให้ผู้ฟัง เกิดอารมณ์คล้อยตาม ๕. ค้านึงถึงความไพเราะและท่วงท้านองและค้าประพันธ์นั น ๆ โดยการทอดจังหวะ เอื อนเสียง เน้นเสียง เป็นต้น


กำรอ่ำนในใจ การอ่านใจในถือว่าเป็นการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ อันได้แก่ - พัฒนาด้านความรู้ คือ ได้ทั งความรู้รอบตัวและความรู้เฉพาะด้าน - พัฒนาด้านอารมณ์ ช่วยให้เกิดความเพลิดเพลิน บันเทิงใจคลายความขุ่นมัวต่าง ๆ - พัฒนาคุณธรรม การมีคุณธรรมย่อมเกิดมาจากความจรรโลงใจซึ่งได้จากการอ่าน หนังสือประเภทธรรมะ ชีวประวัติ สารคดี ฯลฯ การอ่านในใจจึงเป็นวิธีการศึกษาอย่างหนึ่ง เพื่อเรียนรู้และเข้าใจประสบการณ์ใหม่ ๆ ซึ่งช่วยให้มนุษย์เกิดการปรับตัว เพื่อการด้ารงชีวิตอย่างเป็นสุข จุดมุ่งหมำยในกำรอ่ำนในใจ ๑. เพื่อจับใจความได้ถูกต้องรวดเร็ว ๒. เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจและความคิดกว้างขวางลึกซึ ง เป็นการเสริมสร้าง ประสบการณ์ชีวิต ๓. เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินและเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ๔. เพื่อให้สามารถถ่ายทอดสิ่งที่อ่านให้ผู้อื่นรับรู้ได้โดยไม่ผิดพลาด หลักกำรอ่ำนในใจ ๑. ตั งสมาธิให้แน่วแน่ ๒. กะระยะช่วงสายตาแต่ละคราวให้กว้างที่สุด จะท้าให้อ่านได้รวดเร็ว ไม่ควรมองเป็น ค้า ๆ เพราะท้าให้อ่านช้าและจับใจความไม่ได้ ๓. การเคลื่อนไหวสายตาจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งไม่ควรบ่อยครั ง แต่ควรเป็นไปอย่างมี จังหวะและแน่นอน ไม่ควรส่ายตาไปตามเส้นบรรทัด ๔. ไม่ควรอ่านย้อนกลับเพื่อทบทวนใหม่บ่อย ๆ ท้าให้อ่านช้า ๕. การเปลี่ยนบรรทัดต้องให้แม่นย้า พยายามอย่ากลับไปอ่านซ ้าบรรทัดเดิมอีก ๖. ไม่ท้าปากขมุบขมิบหรือออกเสียงในเวลาอ่าน ๗. ไม่ใช้นิ ว ปากกา หรือดินสอ ชี ที่ตัวหนังสือทีละตัว ๘. จับใจความส้าคัญและใจความประกอบให้ได้ พิจารณาให้เข้าใจ ๙. บันทึกความรู้ ความเข้าใจ และความคิดไว้เพื่อน้าไปใช้ประโยชน์ต่อไป


ใบควำมรู้ที่ ๓ หลักกำรวิเครำะห์วิจำรณ์ ๑. พิจำรณำรูปแบบกำรประพันธ์ ว่าเป็นวรรณกรรมประเภทใด เช่น บันเทิงคดีประเภท สารคดี นว นิยาย นิทาน เรื่องสั น หรือเป็นสารคดีประเภทบทความ ความเรียง ต้าราในสาขาวิชาต่างๆ เป็นต้น ส่วนร้อยกรองต้องวิเคราะห์ว่ามีลักษณะค้าประพันธ์ประเภทใด เช่น ถ้าเป็นโคลงต้องวิเคราะห์ว่าเป็นโคลงประเภท ใด (โคลงกระทู้ โคลงดั น โคลงสี่สุภาพ โคลงสองสุภาพ โคลงสามสุภาพ) นอกจากนี ผู้วิเคราะห์วิจารณ์จะต้อง พิจารณาว่ารูปแบบกับเนื อหาเหมาะสมกันหรือไม่ ๒. ศึกษำประวัติผู้แต่ง จุดมุ่งหมายในการแต่งและที่มาของเรื่อง การรู้จักผู้แต่งจะท้าให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องที่แต่ง ชัดเจนยิ่งขึ น การอ่านค้าน้าจะท้าให้เข้าใจจุดประสงค์ในการแต่งและที่มาของเรื่อง แต่ในร้อยกรองผู้แต่งจะบอก จุดประสงค์ในการแต่งไว้ในตอนท้ายเรื่อง การศึกษาประวัติผู้แต่งจะท้าให้ผู้อ่านทราบว่าผู้แต่งมีความรอบรู้ในเรื่องที่เขียนเพียงใด สามารถถ่ายทอดความรู้ลงไป ในบทประพันธ์นั นๆ ได้ถูกต้องเหมาะสมเพียงใด และจุดมุ่งหมายนั นสอดคล้องกับวิธีแต่งหรือรูปแบบการแต่งอย่างไร ๓. พิจำรณำองค์ประกอบของเรื่องว่ำสอดคล้องเหมำะสมกันหรือขัดแย้งกัน เช่นการวิเคราะห์ร้อยแก้ว ประเภทบันเทิงคดี ต้องวิเคราะห์โครงเรื่อง ตัวละคร ฉาก การด้าเนินเรื่องปมขัดแย้ง การคลี่คลายเรื่องและการจบเรื่อง ตลอดจนวิเคราะห์ถึงการแสดงความคิดเห็นความสอดคล้องสมเหตุสมผล พิจารณาเนื อเรื่องอย่างละเอียดถึงคุณค่า พฤติกรรมตัวละครเหมาะสมกับเนื อเรื่อง การใช้ภาษาเหมาะสมกับระดับบุคคลของบุคคล ส่วนร้อยกรองจะพิจารณาถึงรูปแบบค้าประพันธ์ว่า มีรูปแบบที่เหมาะสมกับเนื อหา เนื อหาสาระของเรื่องมีคุณค่าใน การสร้างความเพลิดเพลิน ประเทืองปัญญา สะเทือนอารมณ์ สะท้อนสังคม ให้ความรู้ข้อคิด คติเตือนใจ มีความ งามด้านวรรณศิลป์ คือ การใช้ถ้อยค้า ส้านวนโวหารที่ไพเราะ คมคาย มีกลวิธีในการสร้างภาพพจน์ การใช้ค้า และ เสียงสัมผัสที่ไพเราะ ๔. พิจำรณำเนื้อหำ การน้าเสนอและพฤติกรรมของตัวละคร ว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ สะท้อนภาพ ชีวิต สะท้อนสภาพสังคมในสมัยที่แต่งอย่างไร ๕. พิจำรณำแก่นเรื่อง ว่าผู้แต่งตั งใจที่จะสื่อเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ผู้แต่งแสดงความคิดเห็น รสนิยม และ ค่านิยมอย่างไร ๖. กำรวิจำรณ์สรุปด้วยควำมคิดเห็นของผู้วิจำรณ์เอง โดยยกข้อดีให้เห็นก่อนว่าดีอย่างไร แล้วจึงยก ข้อบกพร่องว่าบกพร่องอย่างไร จะแก้ไขอย่างไร การวิจารณ์ควรเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ เป็นธรรมมีใจเป็นกลางไม่มี อคติแล้วประเมินคุณค่าในภาพรวมว่าวรรณคดีหรือวรรณกรรมที่วิจารณ์นั นมีคุณค่าควรแก่การอ่านหรือควรค่าแก่ การศึกษาอย่างไร ผู้อ่านสามารถน้าคุณค่าที่ได้รับไปปรับใช้ในชีวิตประจ้าวันได้อย่างไร วรรณกรรมบางเรื่องอาจมีคุณสมบัติที่ไม่ครบถ้วนตามหลักดังกล่าว ผู้อ่านสามารถวิจารณ์ทั งจุดเด่นและจุดด้อยได้ เต็มที่ ส่วนวรรณคดีที่มีผู้วิจารณ์มาแล้วและตัดสินแล้วว่าแต่งดีผู้วิจารณ์อาจเห็นพ้องด้วยหรือไม่ก็ได้ แต่ทั งนี ผู้วิจารณ์ ต้องชี ให้เห็นว่าดีเด่น หรือบกพร่องอย่างไร


ใบควำมรู้ที่ ๔ มำรยำทในกำรอ่ำนและนิสัยรักกำรอ่ำน ๑.มำรยำทในกำรอ่ำน การอ่านในชีวิตประจ้าวัน มีทั งการอ่านในใจและอ่านออกเสียง การอ่านจึงต้องมีความระมัดระวังในการปฏิบัติตน เช่น การจัดหาที่นั่งให้สะดวกสบายและถูกสุขลักษณะ อ่านหนังสือในระยะที่เหมาะสมกับสายตา นอกจากนั นจึงต้องค้านึงถึง มารยาทในการอ่านอีกด้วย ข้อพึงปฏิบัติและมารยาทการอ่านที่ส้าคัญ ดังนี (๑)ไม่อ่านออกเสียงดังจนรบกวนผู้อื่น (๒) ออกเสียงถูกต้องชัดเจน ตามอักขรวิธี (๓) กรณีอ่านหนังสือในห้องสมุด ต้องไม่ส่งเสียงหรือท้าเสียงดังรบกวนผู้อื่น (๔) เลือกอ่านหนังสือที่มีประโยชน์ต่อตนเองและสังคม (๕) อ่านอย่างมีวิจารณญาณ มีเหตุผล ไม่หลงเชื่อในสิ่งงมงายไร้เหตุผล (๖) ระมัดระวังในการถือหนังสือมิให้เกิดความเสียหาย (๗) ถ้าต้องการเรื่องหนึ่งเรื่องใดจากหนังสือ อาจเพื่อน้าไปเป็นหลักฐานอ้างอิงควรถ่ายส้านวนไว้ ไม่ควรฉีกออกไปจากเล่ม (๘) การแสดงความคิดเห็นในการอ่านต้องมีเหตุผล ไม่มีอคติในการอ่าน (๙) เมื่อน้าเนื อหาส่วนหนึ่งส่วนใดจากเรื่องที่อ่านไปใช้อ้างอิงในงานเขียน เช่น รายงานควรใส่อ้างอิงถูกต้องตามหลักการ เพื่อเป็นการให้เกียรติผู้เขียน (๑๐) ถ้าบังเอิญท้าหนังสือเสียหาย ควรซ่อมหนังสือให้ถูกต้องตาม ซ่อมหนังสือเพื่อมิให้หนังสือช้ารุดยิ่งขึ น ๒.กำรสร้ำงนิสัยรักกำรอ่ำน การปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ต้องเริ่มตั งแต่วัยเด็ก โดยผู้ปกครองผู้ใหญ่ในบ้าน ครูอาจารย์ ตลอดจนการสื่อต่างๆ ในสังคม ควรช่วยส่งเสริม การเลือกหนังสือที่เหมาะสมกับวัยของผู้เรียนแต่ละระดับ ย่อมมีส่วนจูงใจให้เด็กอยากอ่านอยากรู้อยาก เห็น อยากค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อจะได้เป็นนักอ่านที่ดีตลอดไป ในวัยแรกที่เริ่มหัดอ่านนั น ผู้ใหญ่อาจเร้าความสนใจด้วยหนังสือที่มีภาพประกอบสวยๆ หนังสือการ์ตูนนิทานที่สนุกสนาน มีภาพประกอบ หรือเมื่อเริ่มโตขึ นเริ่มมีหนังสือสารคดี นวนิยาน เรื่องสั น ที่ตรงกับความสนใจ ท้าให้เขาเกิดความรู้สึกว่า หนังสือนั นมีประโยชน์ มีคุณค่า และมีความหมายต่อเขามาก การเลือกหนังสือเข้าห้องสมุดให้เหมาะสมกับวัยผู้เรียน จะมี ส่วนอย่างมากในการจูงใจให้เด็กเข้าห้องสมุด และหยิบหนังสือมาอ่านจนเกิดความเคยชินกับการอ่าน หนังสือที่เหมาะกับ วัยและรสนิยมของเด็กจะช่วยให้เกิดความรักและมีความสุขกับ การอ่านหนังสือ เมื่อเขาเติบโตขึ นก็ควรได้รับการปลูกฝัง ให้รักการอ่านด้วยตนเอง ดังนี (๑) ร่วมกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน เช่น อ่านแล้วน้าเรื่องมาเล่าต่อ ขณะที่อ่านควรบันทึกชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง แนวคิดส้าคัญ ของเรื่องและคุณค่า ฯลฯ ลงในบัตรทุกครั ง (๒) จดบันทึก ข้อความ ถ้อยค้า เรื่องราว ข้อคิด ความรู้ที่มีประโยชน์ หรืออาจ ลืมได้ง่าย เก็บไว้เพื่อเตือนความจ้าหรือแบบให้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมได้ (๓) ใช้พจนานุกรมและสารานุกรมช่วยในกรณีที่พบถ้อยค้า ส้านวน หรือค้าศัพท์ยากที่ไม่เข้าใจความหมาย หรือต้องการ ตรวจสอบความถูกต้อง (๔) ส้ารวมสมาธิในการอ่าน เพื่อจับสาระส้าคัญ หรือสารประโยชน์อื่นๆ ตามจุดประสงที่ตั งไว้ (๕) ปรับอารมณ์ให้สอดคล้องกับข้อเขียน เพื่อสร้างจินตนาการและความเข้าใจให้ลึกซึ งขึ น (๖) รู้จักลักษะเฉพาะของวรรณกรรม เข้าใจศิลปะของภาษาในค้าประพันธ์ รวมทั งถ้อยค้าโวหารในงานนั น


(๗)สะสมประสบการณ์และความรู้เชิงภาษาให้กว้างขวางและมากพอจนสามารถเข้าใจ เรื่องราวที่อ่านได้อย่างรวดเร็ว รับ รสจากการอ่านได้อย่างซาบซึ ง ๓.๑ แนวทำงพัฒนำทักษะกำรอ่ำน การอ่านเป็นสิ่งที่ท้าได้ไม่ยาก แต่คนเป็นจ้านวนมากไม่ค่อยรักการอ่าน นักเรียนซึ่งอยู่ในวัยเรียน จะได้รับความรู้จากการ อ่านเป็นส่วนใหญ่ จึงต้องฝึกฝนตนให้เป็นนักอ่านมีความอยากอ่าน จนติดเป็นนิสัยรักการอ่านไปตลอดชีวิต แนวทำงพัฒนำทักษะในกำรอ่ำน ควรด ำเนินกำร ดังนี้ (๑) สร้างนิสัยในการอ่านด้วยวิธีง่ายๆ เริ่มต้นอ่านหนังสือที่ตนชอบด้วยการซื อเป็นสมบัติส่วนตนหรือเข้าห้องสมุดเมื่อมีเวลาว่าง อ่านหนังสือทุกประเภทในเวลาว่าง นอกเหนือจากหนังสือเรียน หรือหนังสือที่ชอบ อ่านประกาศต่างๆ ในสถานที่ที่เข้าไปติดต่อ (๒) เข้าร่วมกิจกรรมอ่านออกเสียง อ่านบทร้อยกรอง ร้อยแก้ว ความเรียง เช่น อ่าน ข่าว เล่านิทาน อ่านท้านองเสนาะ ฯลฯ เพื่อเพิ่มทักษะการอ่านออกเสียงให้ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเว้นวรรค ตอน การอ่านค้าควบกล ้า ขณะที่อ่านควรใช้น ้าเสียงมีชีวิตชีวาตามเนื อหาที่อ่าน (๓)สะสมข้อความประทับใจที่อ่านพบ ไว้ใช้ในโอกาสที่เหมาะสมด้วยการบันทึกลงบัตรและเก็บสะสมบัตรไว้ใช้ต่อไป (๔) บันทึกผลการอ่านทุกครั ง ตั งแต่ที่มาของหนังสือ สาระส้าคัญของเรื่อง ความเห็นของผู้อ่าน (๕) อ่านหนังสือให้มากและรู้จักเลือกหนังสือที่มีคุณค่า เพิ่มพูนความรู้และคุณธรรมของตนเอง (๖) สร้างบรรยากาศการอ่านให้เป็นที่น่าพึงพอใจ หาที่นั่งที่สบาย อากาศดี แสงสว่างพอเพียง และไม่มีเสียงรบกวน (๗) พยายามอ่านหนังสือทุกวัน ทั งหนังสือประเภทที่ชอบข่าวสารต่างๆ ในหนังสือพิมพ์ที่ช่วยให้ผู้อ่านทันโลก (๘) ฝึกฟัง เพราะการฟังเป็นพื นฐานของการอ่าน ถ้าฟังการวิจารณ์เรื่องที่เราก้าลังอ่าน จะช่วยให้ทัศนะในเรื่องที่อ่านกว้าง ขึ น (๙) เมื่อจิตใจ ท้อแท้ เบื่อหน่าย เครียด สมองท้างานหนัก ควรอ่านหนังสือประเภทขบขัน หนังสือประเภทให้ความ เพลิดเพลินทางปัญญาและอารมณ์ หนังสือชี ชวนดูโลกในแนวใหม่หรือให้สัจธรรม จะช่วยขจัดความรู้สึกอันไม่พึงปรารถนา ได้ และช่วยให้จิตใจสดชื่นเห็นความงามในชีวิต ช่วยให้ก้าลังใจเข้มแข็งและความรู้สึกรักการอ่านช่วยให้มีความสุขได้ (๑๐) เมื่อตอบค้าถามหรือสนองความอยากรู้อยากเห็นของตนไม่ได้ด้วยวิธีอื่นๆมราเหมาะ สม ควรอ่านหนังสือเพื่อตอบ ค้าถามเหล่านั น เมื่ออ่านไปมากๆ ก็จะพบค้าตอบท้าให้เป็นผู้รักการอ่าน (๑๑) เมื่ออ่านหนังสือหรือพัฒนาจนถึงขั นแตกฉาน ก็จะเกดความรู้สึกรักที่จะอ่านหนังสือให้มากขึ น การอ่านได้มากๆ ต้อง ฝึกอ่านเร็ว ต้องมีสมาธิแน่วแน่ในการอ่าน ตาและสมองต้องอยู่กับสิ่งที่เราอ่าน เมื่อมีสมาธิจะอ่านได้เร็ว รู้เรื่อง และจับ ประเด็นได้ ก็จะยิ่งรู้สึกรักที่อ่านมากขึ น ซึ่งจะช่วยพัฒนาการอ่านได้มากยิ่งขึ น ๓.๒ กำรเสริมสร้ำงนิสัยรักกำรอ่ำน กำรเสริมสร้ำงลักษณะนิสัยรักกำรอ่ำน สำมำรถท ำได้โดยวิธีกำร ดังนี้ (๑) รักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ ทุกครั งที่มองเห็นหนังสือหรือวัสดุการอ่านใดก็ตาม ขอให้นักเรียนสร้างความรู้สึกว่าเป็นเพื่อนที่ดี เป็นสิ่งที่มีคุณค่า สมควร อ่าน ยิ่งอ่านยิ่งมากก็ทวีประโยชน์แก่ตนเอง ยิ่งกว่านั นนักเรียนทราบหรืไม่ว่า ผู้ที่ประสบความส้าเร็จในชีวิตทั งในอดีตและ ปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะคุณสมบัติ ที่เหมือนกันทุกประการหนึ่ง คือเป็นผู้ที่รักการอ่าน หากต้องการที่จะประสบความส้าเร็จ ก็ขอให้เริ่มอ่านและการอ่านตั งแต่บัดนี


(๒) สร้างนิสัยใฝ่รู้ เมื่อเกิดความรู้สึกที่ดีต่อการอ่านแล้ว จะต้องมีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหา ความ รู้สึกอยู่เสมอ และคิดเสมอว่าความรู้เกิดขึ นและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั น จึงต้องเอาใจใส่ติดตามเป็น ประจ้า มิฉะนั นจะเป็นคนล้าหลัง นอกจากนั นต้องรู้จักแสวงหาความรู้ได้โดยตนเอง ทั งในและนอกโรงเรียน ความรู้ ดังกล่าวอาจเป็นความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ก้าลังเรียน และความรู้โดยทั่วไปที่จะช่วยเสริมให้เป็นคนรอบรู้ด้วย ๓) เตรียมพร้อมทุกด้าน ก่อนการอ่านทุกครั งที่ส้ารวจความพร้อมของตนด้วยว่ามีมากน้อยเพียงใด ความพร้อมที่กล่าวถึงนี หมายรวมถึงความพร้อม ทางกาย ทางใจ และสภาพแวดล้อม (๑) ความพร้อมทางกาย ได้แก่ สุขภาพดี ไม่มีปัญหาด้านสายตา หรือหากมีปัญหาก็ควรปรึกษาแพทย์ (๒) ความพร้อมทางใจ ได้แก่ ต้องมีจุดมุ่งหมายแน่ชัดในการอ่านว่าอ่านข้อความนี เพื่ออะไร เพื่อความรู้ เพื่อสอบ หรือเพื่อ ความบันเทิง เป็นต้น นอกจากนั นต้องมีสมาธิในการอ่านปราศจากความกังวลใดๆ (๓) ความพร้อมทางสภาพแวดล้อม หมายถึง ควรเลือกอ่านในสถานที่ที่เหมาะกับการอ่าน บรรยากาศดี แสงสว่างเพียงพอ และปราศจากเสียงรบกวน แต่หากไม่สามารถหาสภาพแวดล้อมที่ดีพร้อมได้ก็มิใช่ว่าจะไม่ต้องอ่าน เพราะความจริงที่ ส้าคัญมากในการอ่านคือสมาธิ หากผู้มีสมาธิดีแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมใดย่อมไม่หวั่นไหวและสามารถอ่านได้ อย่างมี ประสิทธิภาพ ๔) จัดสรรเวลาในการค้นคว้า การแบ่งเวลาไว้ส้าหรับศึกษาค้นคว้าและพัฒนาตนเองเป็นเร่องที่ส้าคัญ หากเป็นไปได้ควรหาช่วงเวลาที่ตนเห็นว่าเหมาะสม โดยควรก้าหนดไว้ให้ค้นคว้าทุกวันเพื่อความต่อเนื่องเมื่อถึงเวลาก็จะ เกิดความ พร้อมที่จะค้นคว้า ในที่สุดก็จะกระท้าจนเป็นนิสัย ส้าหรับนักเรียนนั น การแบ่งเวลาเพื่อการศึกษาค้นคว้าและพัฒนาตนเอง อาจท้าได้ ๒ ลักษณะ คือ (1) การแบ่งเวลาใน การทบทวนท้าความเข้าใจกับบทเรียน นักเรียนต้องพิจารณาว่าควรใช้เวลาดูหนังสือในช่วงใดที่จะดีที่สุด คือมีสมาธิในการ อ่านและท้าความเข้าใจได้ดี (๒) การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตัวเอง นักเรียนต้องก้าหนดว่าใช้เวลาช่วงใด อาจใช้เวลาที่อยู่ในโรงเรียนเข้าห้องสมุด เพื่อศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม หรืออาจจะไปใช้บริการห้องสมุดจากหน่วยงานอื่นก็ได้ หากนักเรียนสนใจหนังสือบางเล่มเป็น พิเศษก็อาจชี อ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ด้วยตนเอง ๕) น้าความรู้ให้เกิดประโยชน์ ความรู้ที่สะสมได้จากการศึกษาค้นคว้า ควรจะน้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั งในการเรียนและชีวิตประจ้าวัน เพราะยิ่งน้า ความรู้มาใช้มากเพียงใด ก็จะจะยิ่งท้าให้เกิดความรู้ใหม่ๆเพิ่มเติมมากขึ นเพียงนั น ทั งก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองด้วย การจะฝึกนิสัยรักการอ่านให้ได้ครบทั ง ๕ และฝึกด้วยต่อเนื่องนั น คงจะต้องใช้เวลาและความตั งใจจริงของผู้ฝึกด้วย ดังนั น หากนักเรียนต้องการจะเป็นอ่านที่ดี และต้องการที่จะประสบความส้าเร็จในชีวิตก็ควรจะเริ่มต้นฝึกฝนโดยไม่ท้อถ้อย สรุป การอ่านเป็นกระบวนการส้าคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาคน ถ้าคนไทยมีนิสัยรักการอ่านอ่านมาก อ่านอย่างสม่้าเสมอ ที่ ส้าคัญคือ รู้จักเลือกอ่านหนังสือและสื่อสารสนเทศที่มีคุณค่า ก็จะท้าให้เป็นผู้มีความรู้และสามารถใช้ที่ได้จากการอ่านมา พัฒนาคุณภาพชีวิต พัฒนาสังคมและพัฒนาประเทศชาติในที่สุด


เนื้อเรื่องให้ผู้เรียนอ่ำนจับเวลำ


ใบความรู้ที่ 1 พระฤาษีสอนสุดสาคร แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล ้าเหลือก้าหนด ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน ้าใจคน ในน้้ำใจคน" อำจสำมำรถใช้เตือนตนได้ว่ำ จิตมนุษย์นั้น คดเคี้ยวเลี้ยวลด เหลือคณำ ปักใจเชื่อหรือไว้ใจกันง่ำย ๆ ไม่ได้ ซึ่งรวมถึงจิตของเจ้ำของหรือจิต ของตนด้วย วันนี้คิดดี ขยันปฏิบัติ ท้ำควำมสงบได้ง่ำย ดูจิตทะลุปรุโปร่ง พรุ่งนี้ อำจกลำยเป็นตรงกันข้ำม กิเลสเข้ำมำยั่วเย้ำ กลำยเป็นทำสของอำรมณ์ไป จิต พลุ่งพล่ำน ไม่มีควำมสงบ ขำดควำมรู้เท่ำทันอำกำรของจิต จิตของเรำมันไม่เที่ยง เมื่อมันยังไม่แน่ ยังไม่มั่นคงลงไป วันนี้มันดีได้ วันหน้ำมันก็ไม่ดีได้ อย่ำประมำท ไป มนุษย์นี่ที่รักอยู่สองสถาน บิดามารดารักมักเป็นผล ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา บิดำและมำรดำเปรียบเสมือนพระอรหันต์ของลูก ท่ำนให้ชีวิตแก่เรำ ให้ โอกำสเรำได้เติบใหญ่ ให้โอกำสเรำได้เลือกทำงเดินของชีวิต ให้เรำได้มีโอกำส ฝึกฝนและปฏิบัติตำมทำงอันพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ ให้โอกำสเรำฝึกฝนและ ปฏิบัติจนอำจสำมำรถพำตนให้พ้นจำกวัฏฏะสงสำรได้ กำรตอบแทนบุญคุณ กตัญญูต่อท่ำน เป็นสิ่งอันประเสริฐ แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา รู้สิ่งไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี กำยตนพึ่งได้อย่ำงไร กำรพิจำรณำกำยเป็นส่วนหนึ่งของสติปัฏฐำน ๔ คือ กำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำน เริ่มจำกรู้ว่ำกำยเรำมีลักษณะหน้ำตำเป็นอย่ำงไร รู้ อิริยำบถของกำย พิจำรณำว่ำกำยประกอบด้วยส่วนต่ำง ๆ ๓๒ ประกำร มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น เป็นของปฏิกูล ไม่สะอำด พิจำรณำให้รู้ว่ำกำยของเรำ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทนอยู่ในสภำพเดิมไม่ได้ ไม่ใช่เรำ ไม่ใช่ของเรำ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ ตนของเรำ เพื่อละควำมยึดมั่นถือมั่นในกำยนี้ ช่วยให้เรำอยู่กับโลกโดยหลงโลก น้อยลง จงคิดตามไปเอาไม้เท้าเถิด จะประเสริฐสมรักเป็นศักดิ์ศรี พอเสร็จค้าส้าแดงแจ้งคดี รูปโยคีหายวับไปกับตา


ใบความรู้ที่ 2 วรรณคดี สังข์ทอง ตอน ก้าเนิดพระสังข์ กำลปำงก่อน มีพระเจ้ำพรหมทัต(ท้ำวยศวิมล) ครองเมืองพรหมนคร(เมืองยศวิมล) พระเจ้ำพรหมทัตมีมเหสีสอง องค์ มเหสีฝ่ำยขวำชื่อพระนำงจันทรำเทวี (นำงจันเทวี) มเหสีฝ่ำยซ้ำยชื่อพระนำงสุวรรณจัมปำกะ (นำงจันทำ) พระเจ้ำ พรหมทัตโปรดมเหสีฝ่ำยซ้ำยมำก ต่อมำมเหสีทั้งสองทรงครรภ์ โหรท้ำนำยว่ำบุตร ของมเหสีฝ่ำยขวำเป็นชำย ส่วนมเหสี ฝ่ำยซ้ำยเป็นหญิง พระนำงสุวรรณจัมปำกะรู้สึกเสียใจที่จะได้ธิดำแทนจะเป็นโอรส และเกรงว่ำพระนำงจันทรำเทวีจะได้ ดีกว่ำ จึงใส่ร้ำยพระนำงจันทรำเทวีจนพระเจ้ำพรหมทัตหลงเชื่อขับไล่พระนำงจันทรำเทเวีออกจำกพระรำชวัง พระนำง จันทรำเทวีเดินทำงด้วยควำมยำกล้ำบำก เมื่อถึงชำยป่ำนอกเมือง ยำยตำสองคนสงสำรจึกชวนให้พักอยู่ด้วยโอรสในครรภ์ ของพระนำงจันทรำเทวีเห็นควำมยำกล้ำบำกของพระมำรดำจึงแปลงกำยเป็นหอยสังข์เพื่อไม่ให้พระมำรดำต้องล้ำบำก เลี้ยงดู เมื่อครบก้ำหนดคลอด พระนำงจันทรำเทวีก็คลอดโอรสออกมำเป็นหอยสังข์ ซึ่งพระนำงก็รักใคร่ เลี้ยงดูเหมือนลูก มนุษย์ วันหนึ่งพระนำงจันทรำเทวีออกจำกบ้ำนไปช่วยตำยำยเก็บผักหักฟืน ลูกน้อยในหอยสังข์ก็ออกจำกรูปหอยสังข์ ช่วยปัดกวำดบ้ำนเรือน และหุงหำอำหำรไว้ พอเสร็จก็กลับเข้ำไปในรูปหอยสังข์ตำมเดิม พระนำงจันทรำเทวีเมื่อกลับมำก็ แปลกใจว่ำใครมำช่วยท้ำงำน และเมื่อนำงจันทรำเทวีออกจำกบ้ำนไป ลูกน้อยในหอยสังข์ก็จะออกมำท้ำงำนบ้ำนให้ เรียบร้อยทุกครั้ง พระนำงจันทรำเทวีอยำกรู้ว่ำเป็นใคร วันหนึ่งจึงท้ำทีออกจำกบ้ำนไปป่ำเช่นเคย แต่แล้วก็ย้อยกลับมำที่ บ้ำน โอรสในหอยสังข์ก็ออกมำท้ำงำนบ้ำนพระนำงจันทรำเทวีเห็นโอรสเป็นมนุษย์ก็ดีใจ จึงทุบหอยสังข์เสียและกอด โอรสด้วยควำมยินดี และตั้งชื่อให้ว่ำ " สังข์ทอง " เมื่อพระเจ้ำพรหมทัตรู้ข่ำวว่ำพระนำงจันทรำเทวีประสูติพระโอรสก็ยินดีจะรับพระนำงจันทรำเทวีกลับ พระนำง สุวรรณจัมปำกะเทวีริษยำจึงได้เท็จทูลว่ำพระโอรสเดิมเป็นหอยสังข์ พระเจ้ำพรหมทัตก็หลงเชื่อเกรงจะเป็นกำลกิณีต่อ บ้ำนเมือง จึงให้อ้ำมำตย์จับพระนำงจันทรำเทวีและลูกน้อยสังข์ทองใส่แพลอยไป เมื่อแพลอนออกทะเลเกิดพำยุใหญ่แพ แตก พระนำงจันทรำเทวีถูกคลื่นซัดลอยไปติดที่ชำยหำดเมืองมัทรำษฎร์พระนำงก็เดินทำงซัดเซพเนจรไปอำศัยบ้ำนเศรษฐี เมืองมัทรำษฎร์ชื่อ ธนัญชัยเศรษฐีและท้ำหน้ำที่เป็นแม่ครัว ฝ่ำยพระสังข์ทองนั้นจมน้้ำลงไปยังนำคพิภพ พระยำนำคมีจิตสงสำรจึงเนรมิตเรือทอง แล้วอุ้มพระสังข์ทองใส่ไว้ใน เรือ เรือทองลอยไปถึงเมืองยักษ์ซึ่งนำงยักษ์พันธุรัตปกครองอยู่ นำงยักษ์เห็นพระสังข์ทองในเรือทองเกิดควำมรักใคร่เอ็นดู จึงน้ำพระสังข์ทองมำเลี้ยงดูในปรำสำท และให้พี่เลี้ยงนำงนมแปลงร่ำงเป็นคนเพื่อมิให้พระสังข์ทองหวำดกลัว พระสังข์ ทองก็เติบโตอยู่กับนำงยักษ์พันธุรัต นำงยักษ์พันธุรัตปกติจะต้องออกไปหำสัตว์ป่ำกินเป็นอำหำร เมื่อนำงออกไปป่ำก็จะไป ครั้งละสำมวันหรือเจ็ดวัน ทุกครั้งที่ไปก็จะสั่งพระสังข์ทองว่ำอย่ำขึ้นไปเล่นบนปรำสำทชั้นบน และในสวน พระสังข์ทองก็ เชื่อฟัง แต่เมื่อโตขึ้นก็เกิดควำมสงสัยอยำกรู้ วันหนึ่งเมื่อนำงยักษ์พันธุรัตไปป่ำ พระสังข์ทองก็แอบไปในสวนส่วนที่ห้ำมไว้ เห็นกระดูกสัตว์และคนเป็นจ้ำนวน มำกที่นำงยักษ์กินเนื้อแล้วทิ้งกระดูกไว้เป็นจ้ำนวนมำก พระสังข์ทองเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ นึกรู้ว่ำมำรดำเลี้ยงเป็นยักษ์ก็รู้สึก หวำดกลัว และเมื่อเดินต่อไปเห็นบ่อเงินบ่อทองสวยงำมพอพระสังทองเอำนิ้วก้อยจุ่มลงไปนิ้วก็กลำยเป็นสีทอง พระสังข์ ทองจึงลงไปอำบทั้งตัว ร่ำงกำยก็กลำยเป็นสีทองงดงำม แล้วพระสังข์ทองก็ขึ้นไปบนปรำสำทชั้นบน เห็นเกรำะรูเงำะป่ำ เกือกทองและพระขรรค์ พระสังข์ทองเอำเกรำะเงำะป่ำมำสวมก็กลำยร่ำงเป็นเงำะป่ำ พอใส่เกือกทองก็รู้สึกว่ำลอยได้ พระ สังข์ทองจึงหยิบพระขรรค์แล้วเหำะหนีออกจำกเมืองยักษ์ และข้ำมแม่น้้ำไปยังเมืองตักศิลำ ตกเย็นจึงพักอยู่ที่ศำลำ ริมน้้ำ ฝ่ำยนำงยักษ์กลับมำไม่เห็นลูก และขึ้นไปที่ปรำสำทชั้นบนเห็นเกรำะรูปเงำะป่ำเกือกทองและพระขรรค์หำยไป ก็ รู้ทันทีว่ำพระสังข์ทองรู้ว่ำตนเป็นยักษ์แล้วหลบหนีไป นำงจึงเหำะตำมไป เมื่อถึงฝั่งน้้ำเห็นพระสังข์ทองพักอยู่ นำงไม่ สำมำรถเหำะข้ำมไปได้จึงร้องไห้อ้อนวอนให้พระสังข์ทองกลับไป พระสังข์ทองยังหวำดกลัวจึงไม่ยอมกลับนำงพันธุรัต เสียใจจนหัวใจแตกสลำย แต่ก่อนตำยนำงก็สอนมนต์หำเนื้อหำปลำให้พระสังข์ทองแล้วนำงก็สิ้นใจตำย พระสังข์ทองรู้สึก เสียใจมำก หลังจำกได้จัดเผำศพนำงยักษ์แล้ว พระสังข์ทองก็เหำะเดินทำงไปเมืองพำรำณสี และได้ไปอำศัยชำวบ้ำน ช่วยเลี้ยงโค พระสังข์ทองตอนนี้รูปร่ำงเป็นเงำะป่ำ พวกเด็กเลี้ยงโคก็มำเล่นสนิทสนมกับพระสังข์ทอง


ที่เมืองพำรำณสีนี้เจ้ำเมืองมีธิดำ 7 องค์ เจ้ำเมืองคิดจะให้พระธิดำทั้ง 7 องค์ได้อภิเษกสมรส จึงมีรับสั่งให้ ประกำศแก่เจ้ำผู้ครองนครต่ำง ๆ ให้ส่งโอรสมำให้พระธิดำเลือกพระธิดำทั้ง 6 องค์ก็เลือกได้เจ้ำชำยที่เหมำะสม แต่ พระธิดำองค์สุดท้องชื่อรจนำไม่ยอมเลือกเจ้ำชำยองค์ใด เจ้ำเมืองพำรำณสีทรงกริ้วมำกจึงประชดโดยให้อ้ำมำตย์ไป ประกำศให้ชำยทุกคนในเมืองให้เข้ำมำในวังให้พระรำชธิดำเลือก พระสังข์ทองในรูปเงำะป่ำก็ถูกเกณฑ์เข้ำมำด้วย เมื่อ นำงรจนำออกมำเลือกคู่ บุญบันดำลให้เห็นรูปทองของพระสังข์ทองแทนที่จะเป็นเงำะป่ำ นำงจึงเลือกเงำะป่ำ เจ้ำเมือง พำรำณสีกริ้วมำกขับไล่นำงรจนำออกไปอยู่นอกเมือง เจ้ำเมืองพำรำณสีมีควำมแค้นเคืองเงำะป่ำคิดจะก้ำจัดจึงออกค้ำสั่งให้เขยทั้งหกและเงำะป่ำไปหำเนื้อมำคนละตัว ใครหำมำไม่ได้จะถูกประหำรชีวิต เงำะป่ำเข้ำไปในป่ำถอดรูปเงำะออกแล้วร่ำยมนต์เรียกเนื้อ เนื้อทั้งหลำยก็มำอออยู่ที่ พระสังข์ทอง หกเขยหำเนื้อทั้งวันก็ไม่ได้จนกระทั่งมำพบพระสังข์ทอง ซึ่งหกเขยคิดว่ำเป็นเทวดำ หกเขยขอเนื้อจำก พระสังข์ทอง พระสังข์ทองให้โดยขอตัดใบหูคนละหน่อย หกเขยก็ยอม ทั้งหมดก็น้ำเนื้อไปให้เจ้ำเมืองพำรำณสี เจ้ำเมืองพำรำณสียังท้ำร้ำยเงำะป่ำไม่ได้ก็แค้นใจจึงมีค้ำสั่งให้เขยทุกคนหำปลำไปถวำย พระสังข์ทองก็ถอดรูป เงำะป่ำแล้วร่ำยมนต์เรียกปลำ ปลำก็มำออคับคั่งอยู่ที่พระสังข์ทองหกเขยหำปหกลำไม่ได้ทั้งวันและเมื่อพบปลำมำอออยู่ที่ พระสังข์ทองก็กรำบไหว้อ้ออนวอนขอปลำ พระสังข์ทองยกให้โดยขอตัดปลำยจมูกหกเขยคนละหน่อย แล้วหกเขยกับ เงำะป่ำน้ำปลำไปถวำยเจ้ำเมืองพำรำณสี เจ้ำเมืองพำรำณสีขัดแค้นใจที่ท้ำอันตรำยเงำะป่ำไม่ได้ก็เฝ้ำคิดหำวิธีกำรอื่นที่จะก้ำจัดเงำะป่ำ พระอินทร์บน สวรรค์ทรำบถึงกำรคิดร้ำยของเจ้ำเมืองพำรำณสีต่อเงำะป่ำจึงลงมำช่วย โดยเหำะลงมำลอยอยู่หน้ำพระที่นั่งของเจ้ำเมือง พำรำณสี และกล่ำวท้ำทำยว่ำให้เจ้ำเมืองพำรำณสีหำคนดีมีฝีมือเหำะขึ้นมำตีคลีกับพระอินทร์บนอำกำศภำยในเจ็ดวัน ถ้ำ หำไม่ได้ก็จะฆ่ำเจ้ำเมืองพำรำณสี เจ้ำเมืองพำรำณสีตกใจมำกให้หกเขยและบรรดำเสนำอ้ำมำตย์ช่วยกันหำผู้อำสำเหำะไปตีคลี ทุกคนก็จนปัญญำ เจ้ำเมืองพำรำณสีจึงให้ป่ำวประกำศว่ำผู้ใดที่สำมำรถเหำะไปตีคลีกับพระอินทร์บนอำกำศได้จะยกรำชสมบัติให้ แต่ก็ยังไม่ มีผู้ใดมำอำสำ นำงมณฑำเทวีพระมเหสีของเจ้ำเมืองพำรำณสีจึงแอบไปหำนำงรจนำ และขอให้นำงรจนำอ้อนวอนให้ เงำะป่ำช่วย เงำะป่ำสงสำรทั้งสองนำงจึงรับปำก และในวันที่เจ็ดเงำะป่ำก็ถอดรูปเป็นพระสังข์ทองใส่เกือกแก้วเหำะขึ้น ไปตีคลีกับพระอินทร์จนชนะ พระอินทร์ก็กลับไปบนสวรรค์ เจ้ำเมืองพำรำณสีดีพระทัยมำกได้ขอโทษพระสังข์ทองและยกรำชสมบัติให้ตำมสัญญำพระสังข์ทองขอลำไปตำม หำพระนำงจันทรำเทวีก่อน พระสังข์ทองเดินทำงไปตำมเมืองต่ำงๆ จนกระทั่งมำถึงเมืองมัทรำษฎร์ จึงไปสืบถำมที่ บ้ำนธนัญชัยเศรษฐีว่ำรู้จักหญิงที่ชื่อจันทรำเทวีหรือไม่ ธนัญชัยเศรษฐีบอกว่ำไม่รู้จัก แต่ก็เชิญพระสังข์ทองอยู่รับประทำน อำหำร พระสังข์ทองสังเกตว่ำอำหำรมีรสปรำณีตซึ่งผู้ท้ำจะต้องเป็นผู้ท้ำอำหำรถวำยพระเจ้ำแผ่นดิน จึงขอพบแม่ ครัวและซักถำมประวัติก็ทรำบว่ำเป็นพระนำงจันทรำเทวีจึงดีใจมำก และขอธนัญชัยเศรษฐีที่จะรับพระมำรดำกลับไป พระสังข์ทองน้ำพระมำรดำกลับไปอยู่ที่เมืองพำรำณสี พระสังข์ทอง ปกครองเมืองพำรำณสีจนเจริญรุ่งเรือง กิติ ศัพท์แพร่ไปยังนครอื่น ๆจนถึงเมืองพรหมนครชำวเมืองพรหมนครก็อพยพมำอยู่เมืองพำรำณสี เสนำอ้ำมำตย์เมืองพรหม นครจึงทูลเสนอพระเจ้ำพรหมทัตว่ำพระสังข์ทองพระรำชโอรสครองเมืองพำรำณสีมีควำมสำมำรถท้ำให้รุ่งเรือง จึงเห็นสมควรที่จะอัญเชิญพระสังข์ทองมำครองเมืองพรหมนครเพื่อสร้ำงควำมเจริญ พระเจ้ำพรหมทัตเมื่อทรงทรำบว่ำ พระโอรสยังมีชีวิตอยู่และมีควำมสำมำรถก็ยินดี และส้ำนึกผิดให้อ้ำมำตย์ผู้ใหญ่ไปเมืองพำรำณสีและทูลเชิญพระสังข์ทอง และพระนำงจันทรำเทวีกลับเมืองพรหมนคร พระสังข์ทองสงสำรพระบิดำจึงอ้อนวอนพระมำรดำให้อภัยพระเจ้ำพรหมทัต และเดินทำงกลับเมืองพรหมนคร พระเจ้ำพรหมทัตก็มอบรำชสมบัติให้พระสังข์ทองปกครองบ้ำน เมืองเป็นสุขสืบ มำ


ใบความรู้ที่ 3 วรรณคดี ขุนช้างขุนแผน ตอนก้าเนิดพลายงาม นำงวันทองมำอยู่กับขุนช้ำง ส่วนขุนแผนถูกจ้ำคุกอยู่ที่เมืองหลวง ขณะนั้นนำงวันทองมีครรภ์เมื่อครบสิบเดือนจึง ได้ให้ก้ำเนิดบุตรชำย นำงให้ชื่อลูกว่ำ พลำยงำม ยิ่งโตพลำยงำมก็ยิ่งงำม หน้ำตำละม้ำยคล้ำยพ่อ คือขุนแผน จนอำยุได้เก้ำ ขวบ ขุนช้ำงรู้ว่ำไม่ใช่ลูกของตน จึงลวงไปท้ำร้ำย และเอำท่อนไม้ทับจะให้ตำย ขุนช้ำงทิ้งพลำยงำมไว้ในป่ำแต่พรำยของ ขุนแผนช่วยไว้ได้พรำยของขุนแผนมำกระซิบบอกนำงวันทองให้ทรำบเรื่องที่ขุนช้ำงจะฆ่ำพลำยงำม นำงจึงรีบออกไป ตำมหำลูก พลำยงำมร้องไห้เล่ำให้แม่ฟังเรื่องที่ถูกขุนช้ำงท้ำร้ำย นำงจึงบอกควำมจริงแก่ลูกว่ำ บิดำที่แท้จริงคือ ขุนแผน ขณะนั้นถูกจ้ำคุกอยู่ที่กรุงศรีอยุธยำ ย่ำของพลำยงำมชื่อนำงทองประศรีอยู่ที่วัดเชิงหวำยเมืองกำญจนบุรี เมื่อ เกิดเรื่องเช่นนี้พลำยงำมคงอยู่บ้ำนกับมำรดำต่อไปไม่ได้ วันทองตัดสินใจน้ำลูกไปฝำกไว้ที่วัดก่อน นำงวันทองพำพลำย งำมไปฝำกไว้กับสมภำรชื่อขรัวนำค คืนนั้นเป็นครั้งแรกที่พลำยงำมอยู่ห่ำงบ้ำน ทั้งใจยังหวั่นหวำดกับเรื่องร้ำยที่ เกิดขึ้น พลำยงำมนอนไม่ใคร่หลับตลอดคืน วันรุ่งขึ้น นำงวันทองจัดของไปรับลูกที่วัด แล้วพำไปส่งที่ท่ำเกวียน ให้พลำยงำมเดินทำงไปหำย่ำทองประศรีที่ เมืองกำญจนบุรีเพรำะล้ำพังนำงวันทองคงไม่สำมำรถคุ้มครองลูกจำกขุนช้ำงได้ สองแม่ลูกอ้ำลำกันอย่ำงเศร้ำ สร้อย พลำยงำมเดินทำงตำมล้ำพัง แวะพักค้ำงคืนที่วัดต่ำงๆ ระหว่ำงทำง จนมำถึงเมืองกำญจนบุรีได้ขึ้นไป ปีนต้นมะยม เล่น โดยมิได้รู้ว่ำมำถึงบ้ำนย่ำแล้ว นำงทองประศรีออกมำไล่ทุบตีจนเมื่อไต่ถำมกันจึงรู้ว่ำเป็นหลำน นำงท้ำพิธีสมโภช รับขวัญ แล้วพำไปหำขุนแผนที่กรุงศรีอยุธยำ พลำยงำมเล่ำเรื่องขุนช้ำงให้พ่อฟัง ขุนแผนโกรธมำก จะไปฆ่ำขุนช้ำง แต่ นำงทองประศรีห้ำมไว้และเตือนสติต่ำงๆ นำนำ ขุนแผนจึงค่อยสงบลง และฝำกฝังลูกไว้กับย่ำ ให้ตั้งใจเรียนเขียน อ่ำน นำงทองประศรีจึงพำพลำยงำมกลับ พลำยงำมอำศัยอยู่กับนำงทองประศรีที่กำญจนบุรีได้ร่้ำเรียนหนังสือ และ คำถำอำคมจนแตกฉำนไม่ด้อยกว่ำขุนแผน


ใบงานที่ 1 ค้าชี แจง ให้ผู้เรียนเขียนอธิบำยคุณค่ำที่ได้เกี่ยวกับกำรใช้ภำษำ เนื้อเรื่อง ข้อคิดเตือนใจ จำกวรรณคดี สังข์ทอง ตอน ก้ำเนิดพระสังข์ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


ใบงานที่ 2 ค้าชี แจง ให้ผู้เรียนเขียนอธิบำยคุณค่ำที่ได้เกี่ยวกับกำรใช้ภำษำ เนื้อเรื่อง ข้อคิดเตือนใจ จำกวรรณคดี ขุนช้ำงขุนแผน ตอน ก้ำเนิดพลำยงำม ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


ใบงานที่ 1 ค าชี้แจง ให้นักศึกษา บอกแบบอย่างที่ดีและข้อบกพร่องในการชมคลิปวิดิโอตัวอย่างพิธีกร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


Click to View FlipBook Version