1
ตอนท่ี 1 ความรทู้ ั่วไปเก่ยี วกบั COVID-19
ความเปน็ มาของโรคโควดิ -19 (COVID-19)
ไวรัสโคโรนาเป็นไวรัสในสัตว์ มีหลายสายพันธ์ุ โดยปกติไม่ก่อโรคในคน แต่เม่ือ
กลายพันธ์ุเป็นสายพันธ์ุใหม่ท่ีก่อโรคในมนุษย์ได้ (ซึ่งมักเกิดจากการจัดการที่ผิดธรรมชาติ
โดยมนุษย์) ในขณะท่ีมนษุ ยย์ งั ไม่รู้จักและไมม่ ีภูมติ ้านทาน กจ็ ะเกิดการระบาดของโรคในคน
โรคโควิด-19 (COVID-19, ยอ่ จาก Coronavirus disease 2019) เป็นโรคติดเชอ้ื
ทางเดนิ หายใจทเี่ กิดจากไวรัสโคโรนา ซ่งึ มีชอื่ ทางการว่า SARS-CoV-2 ทาใหเ้ กดิ ไข้ ไอ
และอาจมีปอดอักเสบ
เรมิ่ พบผู้ป่วยคร้งั แรกเมื่อเดือน ธนั วาคม พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) ท่เี มืองอฮู่ ั่น เมืองหลวง
ของมณฑลหูเป่ย์ ภาคกลางของประเทศจีน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่มีผ้คู นหนาแน่น จึงเกดิ การระบาดใหญ่
ได้รวดเร็ว การดูแลรักษาเป็นไปอย่างฉุกเฉิน มีคนป่วยหนักและตายมากเกินท่ีควรจะเป็น
จนประเทศจีนต้องปิดเมือง และปิดประเทศต่อมา ขณะนี้ ประเทศจีนสามารถควบคุมได้ จนแทบจะ
ไมม่ ผี ู้ป่วยรายใหม่ แต่โดยธรรมชาตแิ ล้ว จะยังมีผู้ท่มี ีเชอื้ อยู่
ผ้ปู ่วยรายแรกท่รี ับการรักษาในประเทศไทย เมอ่ื วันที่ 13 มกราคม 2563 เปน็ คนจีน
ท่รี บั เชอื้ จากการระบาดในประเทศจนี และไดเ้ ดินทางมาประเทศไทย หลังจากนน้ั มีผู้ปว่ ยอีก
หลายรายที่มาจากประเทศอืน่ ส่วนผูป้ ่วยทต่ี ิดเชื้อในประเทศไทยรายแรก มกี ารรายงานเมื่อ
31 มกราคม 2563
โรคน้ีเกิดจากไวรัสโคโรนา (Corona virus) ที่กลายพันธ์ใุ นธรรมชาติเปน็ สายพนั ธุ์ใหม่
จากการทีธ่ รรมชาติถูกมนุษยท์ ารา้ ย โดยมีสมมตุ ิฐานวา่ ไวรัสอาจจะมีแหลง่ เรม่ิ ตน้ คอื คา้ งคาว
และกลายพันธุ์เมื่อผ่านสัตว์ตัวกลาง กลายเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ท่ีก่อโรคในคน และคนไป
รบั เชอื้ มาแพรร่ ะหว่างคนส่คู น ทั้งน้ตี อ้ งรอการพสิ ูจนต์ อ่ ไป เคยมีเหตกุ ารณ์ท่ีคล้ายคลึงกนั จาก
ไวรสั โคโรนาสายพันธใ์ุ หมท่ ี่เกิดข้ึนในอดีต คือ การเกิดโรค SARS (พ.ศ.2545) และ MERS
(พ.ศ.2557) ซง่ึ ท้ังสองโรคนั้น ๔ ผ้ปู ่วยมีอาการหนักทง้ั หมดและต้องอยู่ในโรงพยาบาล จงึ สะกัด
การแพรโ่ รคได้ไมย่ ากนัก
ส่วนผ้ปู ว่ ยโรค COVID-19 ท่แี พร่เช้อื มที ้ังผู้ที่มีอาการน้อยหรอื อาจไม่มอี าการ
นอกเหนอื จากผู้มอี าการหนักซึ่งมนี ้อยกว่ามาก จงึ ควบคมุ การระบาดได้ยากกว่า
ห้องสมดุ ประชาชนอาเภอแม่ทา จงั หวดั ลาพนู |
2
ในขณะนี้ โรคโควิด-19 ไดร้ ะบาดไปทว่ั โลกแลว้
11 กุมภาพันธ์ 2563 ไดม้ กี ารกา่ หนดชอื่ โรคและชื่อไวรสั อยา่ งเปน็ ทางการ ดังนี้
โรค COVID-19 (อ่านว่า โควิดไนนท์ นี ยอ่ มาจาก Corona Virus Disease 2019)
ก่าหนดชอ่ื โดยองคก์ ารอนามยั โลก (WHO)
ไวรัส SARS-CoV-2 (อ่านว่า ซารส์ คอฟทู ยอ่ มาจาก Severe Acute Respiratory
Syndrome Corona Virus 2) ก่าหนดชื่อโดยคณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วย
อนุกรมวิธานของไวรัส ( ICTV ) โดยที่ช่วงแรกของการระบาด ใช้ชื่ออย่างไม่เป็นทางการ
เช่น ไวรัสอู่ฮ่นั 2019-nCoV (2019 novel coronavirus หรอื ไวรัสโคโรนาสายพันธุใ์ หม่ 2019)
แต่มกั จะเรียกกนั ง่ายๆวา่ ไวรัสโควิด19
สว่ น ไวรสั SARS-Co-1 คอื ไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคติดเช้ือทางเดนิ หายใจรนุ แรง
หรอื SARS ทรี่ ะบาด ใน พ.ศ. 2545-2546 ไวรัสทก่ี อ่ โรคระบาดในครงั้ น้จี ึงเปน็ ชนิดท่ี 2
หรือ SARS-CoV-2
ไวรสั SARS-CoV-2 เปน็ เชือ้ โรคที่ตอ้ งอยใู่ นเซลลเ์ น้ือเยอื่ หรือมีเมือกคลมุ อยู่ เช่น เสมหะ
ไม่สามารถอยู่เปน็ อสิ ระ นอกจากนี้ ยงั เป็นไวรสั ที่เกราะด้านนอกเปน็ ไขมนั ซึง่ จะสลายตวั เมื่อ
สมั ผัสกับสารซักฟอกหรอื สบู่
ไวรสั โคโรนา่ ทกี่ อ่ โรคในมนษุ ยใ์ นขณะนี้ มที ้งั หมด 7 ชนดิ
ชนิดที่ 1-4 : โรคหวัดธรรมดา
ชนดิ ท่ี 5 : โรค SARS (ซาร์) จากไวรัสสายพันธ์ุใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2545-2546
ชนิดท่ี 6 : โรค MERS (เมอรส์ ) จากไวรัสสายพันธใ์ุ หม่ เมอื่ พ.ศ. 2557
ชนดิ ที่ 7: โรค COVID-19 (โควิด-19) จากไวรสั สายพนั ธ์ใุ หม่ในปจั จบุ ัน
แหลง่ แพรเ่ ชอื้ ไวรสั COVID-19
1. คาดว่าเริ่มจากสัตวป์ ่าท่นี ามาขายในตลาดสดเมืองอูฮ่ น่ั ประเทศจนี ซึง่ คนไปสมั ผสั
และนามาเผยแพรต่ ่อ โดยเริ่มจากไวรสั จากค้างคาวที่มกี ารผสมพันธ์กุ ับไวรัสอ่ืน และกลายพันธ์ุ
2. คนที่มีเชื้อแล้วแพร่สู่คนอื่น ทางสิง่ คัดหล่ังจากทางเดนิ หายใจ
ห้องสมุดประชาชนอาเภอแมท่ า จงั หวดั ลาพนู |
3
ขนั้ ตอนจากการรบั เชื้อถงึ การปว่ ย
ประกอบดว้ ย การสัมผัสเชอ้ื โรค การรบั เชื้อ การติดเชื้อ และการปว่ ย
ผู้สมั ผสั เชอื้ โรค (contact) หมายถึง ผ้ทู ีส่ ัมผัสใกล้ชดิ กบั ผตู้ ดิ เช้อื หรือ อาจจะสัมผัสกบั เช้อื ที่
ออกมากับสง่ิ คัดหล่งั จากระบบหายใจของผปู้ ว่ ย (น่้าลาย เสมหะ น่้ามกู ) แล้วอาจจะนาเข้าสู่
รา่ งกายทางปาก จมกู ตา (อวัยวะทีม่ ีเย่ือเมือกบุ) โดยได้อยูใ่ นชุมชนทม่ี ีผูป้ ่วยอย่ดู ้วย โดยไม่
ระมดั ระวงั เพยี งพอ หากมกี ารสมั ผสั ดงั กลา่ ว กอ็ าจเกิดการติดเชอ้ื ตามมา และเปน็ แหลง่ แพร่
เชือ้ ต่อไปได้
ผูท้ ตี่ อ้ งเฝ้าระวงั ในระยะนี้ ไดแ้ ก่ ผูส้ มั ผสั หรอื อาจจะสมั ผัสโรค โดยมปี ระวัตอิ ย่างใด
อยา่ งหนง่ึ ในช่วงเวลา 14 วันก่อนหน้าน้ี (คือ ระยะฟักตวั ที่ยาวทส่ี ุดของโรค คือ ติดเชือ้ แล้วแต่
ยังไมม่ อี าการป่วย) ดังตอ่ ไปน้ี
1. มีประวตั เิ ดินทางไปยัง มาจาก หรืออยู่อาศยั ในพ้ืนทท่ี ม่ี ีรายงานการระบาด
2. เป็นผู้สมั ผัสใกล้ชิดกบั ผู้ทมี่ าจากพืน้ ท่ที ่ีมรี ายงานการระบาด
3. มีประวัติใกล้ชดิ หรือสัมผสั กบั ผ้ทู ีเ่ ขา้ ขา่ ยหรือได้รบั การตรวจยนื ยันวา่ ติดเชอ้ื
ผลจากการสมั ผสั กบั เชือ้ โรค
ผู้ทสี่ มั ผสั กบั เช้ือโรคโควิด-19 หากไดร้ บั เชื้อโรคมาอาจจะมีผลเปน็
1. พาหะของเชอ้ื คือผูท้ ีร่ ับเชือ้ โรคแต่ไม่เกดิ การติดเชอื้ ซ่ึงเชอ้ื มกั จะติดมาทางมือ
2. ผตู้ ดิ เช้อื คือ ผูท้ ีต่ รวจพบเช้ือ และมีปฏิกิริยาทางอมิ มนู ต่อเช้อื ซึง่ ตรวจพบไดท้ างการ
ตรวจเลือด แบง่ เป็น
2.1 ผตู้ ิดเชอ้ื ท่ีไมม่ ีอาการ
2.2 ผูป้ ว่ ย หรอื ผูต้ ิดเช้อื ท่มี อี าการ ซ่ึงอาจจะมีอาการน้อยหรือมาก
ห้องสมดุ ประชาชนอาเภอแม่ทา จังหวัดลาพนู |
4
ตอนท่ี 2 ลกั ษณะของโรค COVID-19
การวินจิ ฉัย และ การรกั ษา
การติดเชอ้ื ทางเดนิ หายใจจากไวรสั
ระบบทางเดินหายใจเริ่มจากจมูกลงไปถึงถุงลมในปอด แบ่งออกเป็นทางเดิน หายใจ
ส่วนบน (จมกู โพรงรอบจมูกหรอื ไซนัส กลอ่ งเสยี ง) และส่วนล่าง (หลอดลม และปอด) ความเจ็บป่วย
จากการติดเชื้อที่ทางเดินหายใจส่วนบน จะไม่รุนแรงเท่าการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง
ไวรัสที่ชอบทางเดินหายใจส่วนลา่ งจงึ ก่อโรครนุ แรงกวา่
ความเจ็บป่วยจากการติดเชอื้ ไวรสั ท่ที างเดินหายใจ เปน็ ผลจากที่ไวรัสเข้าไปแบ่งตัว
ในเซลลข์ องทางเดินหายใจ และเกิดปฏกิ ริ ยิ าต่อต้านจากรา่ งกาย ความรุนแรงของโรคมากน้อย
ขนึ้ อยกู่ ับ
1. ลักษณะเฉพาะตัวของไวรัส ซึ่งชอบท่ีจะไปอยู่ที่ส่วนไหนของทางเดินหายใจ เช่น
ในรูจมูก ทาให้มีนา้่ มกู หรือลงปอดเกดิ ปอดอกั เสบ และความสามารถในการกระต้นุ ปฏกิ ิรยิ า
การอกั เสบ
2. ปฏิกิริยาทางอมิ มูนของผู้ตดิ เชือ้ เพ่อื การกาจัดไวรสั ซึ่งอาจก่อให้เกดิ การอักเสบมาก
เกนิ พอ และหากกระบวนการยับยัง้ ไม่ดี ก็จะทาใหโ้ รครนุ แรง
การติดเชอ้ื
ไวรัสโควดิ -19 รวมถึงไวรัสอื่นที่ท่าให้ติดเชื้อที่ทางเดินหายใจ เข้าสู่ร่างกายโดยทาง
“ปาก จมูก ตา” โดยที่ไวรัสจะเข้าไปเกาะติดและเข้าไปแบ่งตัวในเซลล์ของเยื่อบุทางเดิน
หายใจ ไวรัสไม่เขา้ ทางผิวหนัง หรือแผลทผ่ี วิ หนัง
ระยะฟกั ตวั (Incubation period, IP)
หมายถงึ ระยะเวลาต้ังแต่รับเชอื้ จนถึงเริ่มมีอาการป่วย
ระยะฟกั ตัวของโรค COVID-19 เทา่ กับ 2-14 วนั ซ่ึงเป็นเหตผุ ลทใ่ี หผ้ ู้สัมผสั โรค
กกั กนั ตัวจากคนอื่น 14 วัน
จากรายงานผูป้ ว่ ยนอกเมอื งอฮู่ ั่น ระหว่าง มค.-กพ. 2563 พบวา่ คา่ มัธยฐาน (median,
คา่ กลาง) ของระยะฟักตวั ของโรคนี้ ประมาณ 5.1 วนั (95% CI, 4.5 to 5.8 days) และ
97.5% ของผู้ป่วยมีระยะฟักตวั ของโรคน้อยกว่า 11.5 วนั (95% CI, 8.2 to 15.6 days)
ห้องสมุดประชาชนอาเภอแม่ทา จงั หวดั ลาพนู |
5
ปจั จยั ที่มผี ลตอ่ ระยะฟกั ตวั ได้แก่
1. ปริมาณของเช้ือไวรสั ที่ได้รบั ถา้ มากจะทาให้เกิดโรคเร็ว คอื ระยะฟกั ตวั สน้ั
2. ทางเขา้ ของเชอ้ื โรค เช่น ไวรสั COVID-19 หากเขา้ สปู่ อดโดยตรงทางจมกู และ
ปาก จะเกดิ โรคเรว็ กว่าการรบั เชือ้ ทางเยื่อบุตา
3. ความเร็วของการเพิ่มจานวนไวรัสในร่างกายมนษุ ย์
4. สขุ ภาพของผู้ทีไ่ ดร้ ับเช้ือ
5. ปฏิกริ ิยาทางอิมมนู ของผ้ตู ดิ เชอื้ ตอ่ ไวรสั ซึ่งมีผลท้งั ในการกาจัดเชือ้ และการอกั เสบ
ซ่ึงมผี ลให้เกิดอาการของโรค เช่น ไข้ ไอ หอบ
อาการป่วย (Symptoms)
โดยทั่วไป ผู้ป่วยจะมี อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ มีอาการ “ไข้สูง มากกว่า 37.5
องศาเซลเซียส และ ไอ” เป็นพื้นฐาน ส่วนใหญ่เริม่ จาก ไอแห้งา ตามด้วย ไข้ ผู้ป่วยส่วนน้อย
คือ รอ้ ยละ 5 มนี า่้ มกู เจ็บคอ หรือ จาม ไมม่ อี าการเสียงแหบหรอื เสยี งหาย
ร้อยละ 98.6 มไี ข้ (ไข้อาจจะไมไดเ้ รมิ่ ในวันแรกของการป่วย)
รอ้ ยละ 69.6 มอี าการอ่อนเพลียผิดปรกติ
รอ้ ยละ 59.4 ไอแหง้ ๆ
ความรนุ แรงของโรค
ความรนุ แรงของโรค ข้นึ อย่กู บั
1. ปริมาณไวรสั ทไ่ี ดร้ ับเข้าทางเดินหายใจ
2. ปจั จยั ทางผู้ตดิ เชอื้ เช่น สุขภาพ โรคประจาตัว ปฏกิ ิรยิ าอิมมูน การปฏบิ ัตติ นเม่ือเรม่ิ ปว่ ย
3. การดูแลรักษาเมื่อตดิ เชือ้ และปว่ ย ผูต้ ดิ เช้อื ส่วนใหญ่มีอาการน้อย และสว่ นน้อยมาก
ไมม่ ีอาการปว่ ยเลย เด็กส่วนใหญ่มีอาการนอ้ ย ผสู้ ูงอายุและผูม้ ีโรคประจาตัวมักจะมอี าการหนักกว่า
- ร้อยละ 80 มอี าการนอ้ ย คลา้ ยไขห้ วัดธรรมดา หรือไข้หวดั ใหญท่ ่ีอาการนอ้ ย หายได้เอง
หลังพกั ผอ่ น และดูแลตามอาการ
- รอ้ ยละ 14 มอี าการหนักจากปอดอักเสบ หายใจผดิ ปรกติ
- รอ้ ยละ 5 มีอาการวกิ ฤติ เช่น การหายใจลม้ เหลว ชอ็ คจากการปว่ ยรนุ แรง
- ร้อยละ 1-2 เสยี ชีวติ หลังจากมีอาการหนกั มักเกดิ กับผู้สงู อายุ ผูม้ ีโรคประจาตวั
ทางหัวใจและปอด เบาหวาน ภมู ติ ้านทานตา่ หรือโรคประจาตัวอืน่ ๆ
หอ้ งสมุดประชาชนอาเภอแม่ทา จงั หวดั ลาพูน |
6
ระยะเวลาทป่ี ว่ ย
ข้อมูลผปู้ ่วย 55,924 ราย ให้คา่ มัธยฐาน (median time หรอื ค่ากลาง) ของระยะเวลา
จากเรม่ิ มีอาการ จนถงึ วันทเ่ี รมิ่ ฟื้นตวั จากการป่วย คืออาการเริ่มดีขึ้น ดังน้ี
- ผูป้ ่วยทมี่ ีอาการน้อย (mild cases) 2 สปั ดาห์
- ผูป้ ว่ ยที่มีอาการหนัก (severe or critical) 3-6 สปั ดาห์
- เริม่ ป่วยจนมีอาการหนัก 1 สัปดาห์
- เร่ิมป่วยจนถงึ แกก่ รรม 2-8 สปั ดาห์
อตั ราตายจากการตดิ เชอื้ ไวรสั สายพันธใุ์ หม่ ที่เคยพบในประเทศไทย
พ.ศ. 2545 : โรค SARS รอ้ ยละ 10
พ.ศ. 2553 : ไข้หวัดใหญ่-2009 (Flu-pandemic 2009) ร้อยละ 0.03-0.5
พ.ศ. 2557 : โรค MERS ร้อยละ 30
พ.ศ. 2562-2563 : โรค COVID-19 รอ้ ยละ 1-2 (ซ่ึงน่าจะตา่ กว่าขณะนี้)
การวนิ จิ ฉยั โรค และการตรวจทางห้องปฏบิ ตั กิ าร
1.ขอ้ มลู จากประวัตอิ าการผิดปรกติ และการสัมผสั โรค
1.1 ประวตั อิ าการไมส่ บาย ผลการตรวจรา่ งกาย และการตรวจแลบ็ พื้นฐาน
1.2 ประวัตสิ ัมผัสโรค ตามทก่ี ลา่ วแล้วในเรื่องผ้สู ัมผสั
2. การตรวจหาไวรสั SARS-CoV-2 (หรือ ไวรสั โควดิ ไนน์ทีน)
วตั ถุประสงค์ :
1. การควบคุมการแพร่ระบาด
2. การพจิ ารณาใช้ยาต้านไวรสั ท่ีตรงกับชนดิ ของเช้อื
3. การวจิ ยั เพ่ือใชใ้ นการควบคุมโรค และการรักษา การติดตามดกู ารเปล่ียนแปลง
ของไวรัส
การตรวจ
มีการพัฒนาการตรวจเพ่ิมเตมิ และดีขน้ึ เร่ือยา หลกั การมดี ังนี้
1. สง่ิ ส่งตรวจ
- สารทีเ่ ก็บจากดา้ นในของจมูกและคอหอย โดยการเก็บตรวจอย่างถกู ตอ้ งตาม
- เลอื ด
ห้องสมดุ ประชาชนอาเภอแม่ทา จังหวดั ลาพูน |
7
2. วิธกี ารตรวจ
- Real-Time RT-PCR for coronavirus จากสิ่งส่งตรวจจากทางเดิน
หายใจ เป็นการตรวจหลักในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการตรวจระดับโมเลกลุ การเก็บส่งิ สง่ ตรวจไม่ดี
ทา่ ใหต้ รวจไม่พบไวรัสได้ บอกไมไ่ ดจ้ ากผลตรวจวา่ มีไวรสั ทีม่ ีชวี ติ หรือไม่
- Serology คือการตรวจเลอื ดหา immuglobulin ที่เฉพาะตอ่ เชื้อ ซึง่ เป็น
สว่ นหนงึ่ ของปฏกิ ริ ยิ าภมู ิตา้ นทาน หลกั การในการตรวจหาการติดเช้อื ไวรสั โดยทว่ั ไป จะตรวจ
IgM ในสัปดาห์แรก และ IgG หลังจาก 1 สปั ดาห์ นบั ตัง้ แต่ตดิ เชอ้ื
- Viral culture คือการเพาะเช้ือไวรัสจากส่ิงส่งตรวจ ใช้ในการวจิ ัยเป็นหลัก
การป้องกันอนั ตรายในห้องแลปยากกว่า และคา่ ใชจ้ ่ายสงู กว่า
3. การตรวจปอดด้วยภาพรังสี (Chest X-ray, CT- Chest)
- ในชว่ งทมี่ กี ารระบาดหนกั ในประเทศจนี จนการตรวจทางโมเลกลุ รับไมไ่ หว
ไดม้ ีการแนะนาการตรวจปอดดว้ ยภาพเอก็ ซเรยค์ อมพิวเตอร์ เพ่ือการวนิ จิ ฉัย COVID-19
อาจพจิ ารณาเปน็ ส่วนประกอบของการวินิจฉยั ทางการแพทย์ และเปน็ ทางเลือก
การดแู ลรกั ษาผตู้ ดิ เชอ้ื
โรคน้คี ลา้ ยกบั ไข้หวัดใหญ่ คือ ผู้ป่วยสว่ นใหญ่ (ประมาณ รอ้ ยละ 80) มอี าการน้อย
และหายได้เอง แต่ตอ้ งปฏิบตั ิตัวให้รา่ งกายไดซ้ ่อมแซมตัวเอง และป้องกนั คนอืน่
1. การรกั ษา
1.1 การรกั ษาท่ัวไป
1. พักผอ่ นทนั ทที ีเ่ ร่ิมป่วย และพกั ผ่อนให้พอ ใหร้ า่ งกายอบอุ่น กินอาหาร และ
ดม่ื นา่้ ให้เพยี งพอ รักษาตามอาการ เชน่ ลดไข้
2. ปรกึ ษาแพทย์ เพอื่ การดแู ลรักษา ถ้าเป็นผเู้ สย่ี งตอ่ การทจ่ี ะป่วยรุนแรง เชน่
ผ้สู งู อายุ ผู้มีโรคประจาตัว หญงิ มคี รรภ์ หรอื มีอาการหนัก
3. ผู้ปว่ ยทมี่ ีอาการน้อย สามารถรกั ษาตัวทบี่ า้ น ผปู้ ่วยทีม่ ีอาการหนัก ตอ้ งรับ
การรกั ษาในโรงพยาบาล ในระยะทผี่ ู้ตดิ เช้อื ยงั ไม่มากเกินกาลังควบคมุ ดแู ล มขี อ้ ก่าหนดให้
รบั ผ้ตู ิดเชอ้ื ไว้ในสถานพยาบาลทั้หมด เพื่อการดูแลรักษาและป้องกนั การแพร่เชอ้ื
1.2 เฉพาะโรค: เรมิ่ มียาต้านไวรัสต่อไวรัสชนดิ นใ้ี นขัน้ ทดลองในวงกว้างแลว้
2. การปอ้ งกนั
- ในระยะท่ีควบคุมการระบาด ตอ้ งรายงานเจา้ พนกั งาน เมอ่ื มีผู้ตดิ เชื้อ
- ป้องกันการแพรเ่ ชอ้ื ติดต่อสายดว่ นกรมควบคมุ โรคโทร 1422
หอ้ งสมดุ ประชาชนอาเภอแม่ทา จงั หวัดลาพนู |
8
ตอนท่ี 3 การแพรเ่ ชอื้ และ การรบั เชอ้ื
แหลง่ เชอ้ื โรค COVID-19 และการแพรเ่ ชอ้ื
1. คนทีต่ ดิ เช้ือ
1.1 ไอ จาม หรอื พูด โดยไม่มีอปุ กรณป์ ดิ ปาก ในระยะใกล้ชดิ (น้อยกวา่ 1 เมตร)
มีผลให้ละอองฝอยเสมหะ น่้ามูก น่้าลาย ที่มีไวรัสอยู่ด้วย ฟุ้งกระจายออกมา เรียกว่า
airborne droplet หรอื หยดน่า้ เล็กท่ลี อยในอากาศ (ขนาด >5 micron) ซึง่ จะตกลงบน
พ้ืนในระยะ 1-2 เมตร
1.2 ท่าให้เกิดการฟ้งุ ของไวรัสในอากาศ โดยการปฏิบัตติ อ่ ผู้ติดเช้ือบางลักษณะ
ในสถานพยาบาล (เช่น การใชอ้ ปุ กรณ์พ่นยาเข้าทางเดินหายใจ การใชส้ ายยางดดู เสมหะ
การส่องกลอ้ งตรวจภายในหลอดลม การใส่และถอดท่อหายใจให้ผ้ปู ว่ ย การดดู เสมหะด้วย
ระบบเปิด) กอ่ ใหเ้ กิดละอองขนาดเลก็ มาก (fine mist) เรยี กวา่ airborne aerosole
(ขนาด <5 micron) ซึง่ คลา้ ยกบั ไวรัสทฟ่ี งุ้ ในอากาศ ไวรัสโคโรนาจะมชี วี ติ สน้ั มากถ้า
อากาศแหง้ แตอ่ ย่ไู ดน้ านหลายชั่วโมงหากอากาศเย็นและชนื้
1.3 มอื ทมี่ ีเชอ้ื โรคติดอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิง่ จากการเอาฝ่ามือปดิ ปากเวลาไอ
จาม แลว้ ไมล่ า้ งมอื และใชม้ ือนั้นสัมผัสกับผู้อื่น หรอื สิ่งของ
2. พ้นื ผวิ วัตถุ หรอื สิง่ ของ ท่ีผูต้ ิดเชื้อได้นาเช้ือโรคมาทง้ิ ไว้ อาจอย่ไู ด้หลายช่ัวโมงหรือ
หลายวนั
ระยะเวลาแพรเ่ ชอ้ื จากผตู้ ดิ เชอื้ (Contagious period)
โดยท่ัวไปแล้ว ผู้ปว่ ยติดเชือ้ ท่เี ปน็ โรคติดต่อ จะแพรเ่ ชอ้ื เมอื่ มีอาการ และแพร่เช้อื ได้
มากท่ีสุดในระยะทอ่ี าการหนักท่ีสุดของโรคทไ่ี ม่ใชผ่ ลแทรกซอ้ นจากเหตุอน่ื ท้ังน้ผี ้ตู ิดเชอ้ื ทมี่ ี
อาการน้อยๆ อาจจะแพรเ่ ชือ้ ได้บา้ ง แต่น้อยกวา่ การแพรเ่ ชือ้ ในระยะที่ไม่มีอาการอาจเกิดข้นึ
ได้เล็กน้อย และมักจะอยู่ในระยะ 2-3 วันก่อนเริ่มมีอาการปว่ ย
โรคตดิ เชอ้ื ท่ีเปน็ โรคติดตอ่ แตล่ ะโรคมีระยะเวลาแพรเ่ ชอ้ื แตกตา่ งกัน แมว้ า่ จะมรี ายงานวา่
อาจจะมีผู้ป่วย COVID-19 ทแ่ี พรเ่ ชื้อในขณะท่ไี มม่ อี าการ แต่ขอ้ มูลยังไม่ชัดเจน และหากเป็นจรงิ
ก็มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากา เช่นเดยี วกบั โรคตดิ ตอ่ อน่ื ๆ ตอ้ งรอดูขอ้ มูลเพ่มิ เติม
หอ้ งสมดุ ประชาชนอาเภอแม่ทา จังหวัดลาพูน |
9
การแพรเ่ ชอ้ื COVID-19 และการรบั เชอ้ื
การตดิ ต่อจากคนทมี่ เี ชื้อสู่คนอ่นื โดย
1. ทางตรง (direct) โดยทางละอองฝอย (droplet) จากทางเดนิ หายใจ
- การคลกุ คลใี กล้ชดิ กับผู้ติดเชื้อ/ผปู้ ่วย ในระยะน้อยกวา่ 1-2 เมตร
- โดยทางละอองฝอย (droplet) ของน้่าลาย เสมหะ น่ามกู ของผู้ปว่ ย ดว้ ย
การ ไอ จาม หรือการพูดท่ีนา่้ ลายกระเด็น
- ละอองฝอยเหลา่ น้ี อาจจะเข้า ปาก จมกู ตา ของผ้ทู อ่ี ย่ใู กล้ โดยเฉพาะอย่าง
ย่ิงเมอ่ื หนั หน้าเข้าหากนั และสดู หายใจเขา้ ไป
เน่ืองจาก ไวรสั COVID-19 เป็นไวรสั ท่ีต้องอยูใ่ นเซลล์จงึ จะมีชวี ิตอย่ไู ด้ ดงั น้ันเม่ือ
ละอองฝอยแหง้ ลง ไวรัสก็ตาย ไม่ลอยอยู่ในอากาศฟ้งุ กระจาย
2. ทางออ้ ม (indirect) โดยการสัมผัส (contact)
- โดยการสัมผสั บรเิ วณ พืน้ ผวิ ส่งิ ของ มือของคนอ่ืน ทีม่ กี ารปนเปอ้ื นเชือ้ โรค
จากผูป้ ่วยจากการไอ จาม แลว้ นาไปเข้า จมกู ปาก ตา ของตนเอง
- มสี ิ่งอน่ื นาเชื้อไปโดยการสมั ผัส เชน่ ของเลน่ ของเดก็ ทปี่ นเปอื้ นเชอ้ื สตั วเ์ ลี้ยง
ท่มี ผี ้นู าเชอื้ มาสมั ผสั ท้ิงไว้ท่ีขน ทงั้ น้ี ยังไมม่ ีหลกั ฐานวา่ สตั ว์เลย้ี งจะติดเช้ือ
3. ทาง aerosol เปน็ กรณเี ฉพาะ
- Aerosol คือ ละอองฝอยขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน ลอยในอากาศ
- ไวรัสโคโรนาจากผ้ปู ่วยจะลอยเป็นละอองฝอยขนาดเลก็ ในกรณีทม่ี ีหตั ถการ
ในการรักษาบางอย่าง เช่น การดูดเสมหะโดยใช้เคร่ืองต่อสายยาง การพ่นยาเป็น ละออง
เข้าทางเดินหายใจ เปน็ ต้น
- มขี ้อมูลบา้ งวา่ ในลกั ษณะอากาศบางอย่าง อาจจะเปน็ อากาศเยน็ และชืน้
ไวรสั อาจจะลอยอยใู่ นอากาศนานขึ้น ซ่งึ อาจจะสร้างปัญหาของการตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล
ตอ้ งตดิ ตามข้อมูลตอ่ ไป
“COVID-19 ตดิ ตอ่ จากคนสคู่ น ดว้ ยวธิ ีการทค่ี ลา้ ยคลงึ กบั ไข้หวัดใหญ่”
หอ้ งสมุดประชาชนอาเภอแมท่ า จงั หวดั ลาพูน |
10
การคลกุ คลใี กลช้ ดิ กนั (close contact)
การคลุกคลีใกล้ชิดผู้ป่วยทาให้มีโอกาสรับเช้ือจากผปู้ ่วยได้ ทัง้ นี้ หมายถึง
1. การอย่ใู กลผ้ ปู้ ่วย ในระยะน้อยกว่า 2 เมตร เปน็ เวลานาน เช่น อยู่ร่วมหอ้ ง พดู คุยกัน
หันหน้าเข้าหากัน เป็นคนดแู ลผ้ปู ่วย เปน็ ต้น
2. มีกิจกรรมท่ีมีการสัมผสั โดยตรงกบั เช้ือโรคจากน้่าลาย เสมหะของผูต้ ิดเชื้อ เชน่ กอด
จบู กัน สัมผสั ตัว การใชข้ องร่วมกัน เชน่ ช้อนสอ้ ม แกว้ น่้า การกินอาหารรว่ มกัน
การทีก่ า่ หนดระยะใกลช้ ดิ ทีอ่ าจจะรบั เชอื้ หรอื ระยะห่างในการป้องกันการรับเชื้อที่ 1-2 เมตร
เพราะการไอจามของคนทั่วไปจะส่งฝอยน่้าลายได้ไกลถึง 1 เมตร แต่ถ้าคนตัวโตไอแรงมาก
อาจจะไกลถึง 2 เมตร
การรบั เชอ้ื COVID-19
1. คนที่คลุกคลีใกล้ชิด (close contact) ได้รับเชื้อเข้าทางปาก จมูก ตา ส่วนใหญ่
เกดิ จากการไอ จาม ของผปู้ ว่ ย
2. มือท่สี มั ผสั ไวรัสจากผู้ป่วย ที่ปนเปื้อนอยู่บนผิววัตถุ แล้วนาเข้าสู่ทางเดินหายใจทาง
ปาก จมูก ตา หรอื แพรไ่ ปทอ่ี นื่ ต่อ
3. แม้ว่าจะมีรายงานการตรวจพบไวรัสโคโรนา19 ในอุจจาระ และผู้ป่วยบางคนมี
อุจจาระร่วง การติดเชอ้ื ทางทางเดนิ อาหารไม่เป็นการแพร่เชื้อท่ีมีความส่าคัญ
R0, ตัวชวี้ ดั โอกาสแพร่เชอ้ื
ไวรัสแต่ละชนิดติดต่อไปยังคนอื่นได้มากน้อยต่างกัน บางชนิดติดต่อได้ง่ายมากไปยังคน
ที่ยังไม่มีภูมิต้านทาน (ไม่เคยติดเชื้อ ไม่เคยรับวัคซีน) เช่น หัด เพราะไวรัสล่องลอยอยู่ใน
อากาศไดน้ าน โดยมกี ารใช้ค่าวัดเปรียบเทียบ คือ R0 (R nought) หรือ จ่านวนคนติดเชื้อท่ี
เพิ่มขึ้นจากคนติดเชื้อ 1 คน (reproductive number) ซึ่งเป็นค่าแสดงความสามารถการ
แพรเ่ ชื้อตามธรรมชาติ วา่ คนท่ีตดิ เช้ือ 1 คน จะแพรใ่ หค้ นอืน่ ประมาณกี่คน ในประชากรที่ไม่มี
ภูมติ า้ นทานมาก่อนและไมม่ ีการควบคมุ โรค
ปัจจยั ทีม่ ีผลตอ่ คา่ R0 เชน่ ภมู ิต้านทานของประชากร ความสามารถในการควบคุมการ
แพร่เชอื้
ห้องสมดุ ประชาชนอาเภอแม่ทา จงั หวดั ลาพนู |
11
ตวั อยา่ ง R0 ของแต่ละโรค
- R0 โรคหัด 12-18
- R0 ไขห้ วดั ใหญต่ ามฤดูกาล 1.3 to 1.5.
- R0 ไข้หวดั ใหญ่สายพันธุใ์ หม่ 2009 (novel influenza A (H1N1)) 1.4 and 1.6
- R0 ของ COVID-19 1-5 (จากการประชุมรว่ ม WHO-จีน เม่อื 24 กพ. 2563)
การแปลคา่ R0
- R0 นอ้ ยกวา่ 1 แสดงว่าจานวนผู้ตดิ เชือ้ ลดลง และโรคจะหมดไปในท่สี ุด
- R0 เท่ากบั 1 แสดงว่าจานวนผปู้ ว่ ยจะคอ่ นขา้ งคงที่ ไปเรอ่ื ยา
- R0 มากกวา่ 1 แสดงวา่ จ่านวนผปู้ ่วยเพมิ่ ขึ้นตามลาดบั และจะเกดิ การระบาด
ห้องสมุดประชาชนอาเภอแมท่ า จงั หวัดลาพูน |
12
ตอนท่ี 4 การปอ้ งกันการแพรเ่ ชอื้ และการตดิ เชอื้
การป้องกนั การแพรเ่ ชอื้ และการตดิ เชอ้ื
1. ลา้ งมอื ด้วยนา้่ และสบู่ ใหท้ ัว่ และนานพอ (ประมาณ 20 วนิ าที) และเชด็ มอื ให้แหง้
- การลา้ งมอื ดว้ ยน้า่ และสบู่ จะกาจดั คราบสกปรก และฆา่ เชอ้ื ไวรสั ไม่จา่ เปน็
ตอ้ งใช้สบู่ทีผ่ สมสารฆา่ เชื้อ
- ถ้าไม่มีน้่าและสบู่ จงึ ใช้แอลกอฮอล์ (60-70 % ซึง่ มักอยู่ในรูปเจล หรือสเปรย์)
ทาทั่วมือที่ไม่เปียกเพื่อฆ่าเชื้อโรค (ถ้ามือเปียก แอลกอฮอล์จะเจือจางจนฆ่าเชื้อไม่ได้) ทิ้งให้แห้ง
ห้ามล้างน่้าต่อ เพราะจะล้างแอลกอฮอล์หมดไป และควรใช้แอลกอฮอล์ที่มีคุณสมบัติทางเคมี มีเลข
ทะเบยี น อย. ถกู ต้องตามกฏหมาย
2. ไมเ่ อามือจบั หน้า ปาก จมูก หรอื ตา ถ้าจาเป็น ควรทามอื ใหส้ ะอาดก่อน
3. เว้นระยะหา่ ง จากคนอื่นทอ่ี าจจะแพร่เชอ้ื (keep distance) ไดแ้ ก่
- คนที่มีอาการซึ่งอาจจะเกิดจากการติดเชื้อทางเดินหายใจ เชน่ ไข้ ไอ
- หลีกเลยี่ งการไปในท่ีทม่ี ีคนหนาแน่น โดยเฉพาะอย่างย่งิ คนท่ไี มร่ ้จู ักและอาจ
ติดเชื้อ โดยไม่สามารถอยู่ห่างกันเกิน 1 เมตร ได้ตลอดเวลา ถ้าจาเป็น ควรใส่หน้ากากอนามัย
และไมห่ นั หนา้ เผชิญกัน เพราะเขาอาจไอ จามรดได้
4. ท่าความสะอาดสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่อาจปนเปื้อนเสมหะ น่้ามูก
น่า้ ลาย จากผปู้ ว่ ย และมไี วรสั
คนกลมุ่ ตา่ งๆทีม่ ีโอกาสสัมผัสเช้อื โรคนี้ ควรปฏิบตั ิดังน้ี
1. คนทกุ คน
มือสะอาด : ล้างมือด้วยน่้าและสบู่ อย่างถูกวิธี เป็นหลัก โดยเฉพาะเมื่อมีคราบสกปรก
ใช้แอลกอฮอลเ์ จลเฉพาะเวลาท่ีไมส่ ามารถใช้น้า่ และสบู่ล้างมือ
หน้า : ไมส่ มั ผสั ด้วยมอื ทยี่ งั ไมส่ ะอาด เพราะปาก จมกู ตา เปน็ ทางเขา้ ของเชื้อ
หนา้ กากปอ้ งกนั : คนทไ่ี ม่ตดิ เชอื้ ไมจ่ าเป็นตอ้ งใช้หน้ากากเมือ่ อยู่ในที่ชมุ ชนที่แนใ่ จว่าไม่
มีผู้ติดเชื้อ อาจใช้หน้ากากผ้าที่มีคุณภาพ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงว่าจะมีคนไอจามรด
หากเกดิ ขึน้ รีบเอาหน้ากากออก ล้างหน้า หรือเช็ดหน้า หากไม่เกิดอุบัติเหตุ จัดการหน้ากากท่ี
ใชค้ รั้งเดียวเชน่ เดียวกับ ขยะทัว่ ไป ส่วนหน้ากากผา้ นนั้ ซักแล้วใชใ้ หมไ่ ด้
กิน : อาหารปรุงใหม่ๆ ด้วยกระบวนการที่สะอาด ล้างมือก่อนกินอาหาร และไม่ปนเปื้อน
อาหารส่วนกลางดว้ ยชอ้ นสอ้ มส่วนตวั
ห้องสมุดประชาชนอาเภอแม่ทา จังหวดั ลาพนู |
13
2. ผ้ปู ว่ ย
- หนา้ กากป้องกัน: ใชห้ นา้ กากอนามยั ทางการแพทย์ ใช้และทิ้งอย่าง ขยะติดเชื้อ ในที่
ทม่ี ีการจัดไว้ให้ทีเ่ ปน็ ลักษณะปดิ หรือทงิ้ ในถุงหรอื ถังขยะปิด ทใ่ี ช้เฉพาะ
- ไอ จาม: ให้ปลอดภัยต่อคนอ่ืน เว้นระยะห่างและหันหน้าออกจากคนอื่น ใช้ข้อพับ
ศอกด้านในปิดปากและจมูก หรือใช้ทิชชูปิดปากและจมูก แล้วทิ้งในถังขยะติดเชื้อ หรือใส่ถุงที่ปิด
หากใส่หน้ากากอนามัยอยู่ ให้ไอ จาม ในหน้ากากอนามัย ถ้าใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากจมูก เสร็จแล้ว
ใหพ้ บั ดา้ นเป้ือนไวข้ ้างใน เก็บไวใ้ นถุงพลาสตกิ ก่อนนาไปซัก
- อยู่ห่างจากคนอืน่ : งดหรือเล่ยี งการเข้าใกล้คนอ่นื ในระยะน้อยกว่า 1 เมตร
3. ผู้ดแู ลผูป้ ว่ ย ถ้าตอ้ งเป็นผู้ดูแลผ้ปู ่วยทีบ่ า้ นควรปฏบิ ตั ิ ดังนี้
1. แยกผู้ป่วยจากคนอื่น เว้นระยะห่างให้เกิน 1-2 เมตร ตลอดเวลา หากเป็นไปได้
ผ้ปู ่วยควรจะอยู่ในห้องแยกและแยกใช้หอ้ งนา่้ จากคนอนื่
2. หน้ากากอนามัย ผู้ป่วยใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในห้องร่วมกับคนอื่น คนที่ดูแล
ผู้ป่วยใกล้ชิดก็ควรจะใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในห้องผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผู้ป่วยใส่
ไมไ่ ด้
3. ระมัดระวังในการสัมผัสเสมหะ น่้ามูก น่้าลาย และสิ่งคัดหลั่งอื่น จากผู้ป่วย ใส่
หน้ากากอนามัย ผ้ากันเปือ้ น และถงุ มือ ตามกรณี และลา้ งมือ
4. ทาความสะอาดบรเิ วณท่ีใช้ดูแลผู้ปว่ ย และสง่ิ ของ เช่น โทรศัพท์
5. ลา้ งมือด้วยสบู่และน่า้ ใช้แอลกอฮอล์เมอ่ื ไมม่ สี บู่และน่า้
ห้องสมุดประชาชนอาเภอแมท่ า จงั หวัดลาพูน |
14
อ้างองิ
แพทย์โรคติดเชื้อและระบาดวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. (2563) ความรู้พืน้ ฐาน Covid-19 ตอนท่ี 1. กรงุ เทพฯ.
มหาวิทยาลัยมหิดล.
หอ้ งสมดุ ประชาชนอาเภอแมท่ า จงั หวัดลาพนู |