ประวัติการละครไทย สมัยน่านเจ้า - สมัย รัตนโกสินทร์ S U P A W I C H R A N G P O N S U M R I T M . 6 / 1 N O . 9
สมัยน่านเจ้า การศึกษาเรื่อ รื่ งการละครไทย และ นาฏศิลป์ ไทยในสมัย มั นี้ พบว่า ว่ ไทยมีนิ มี ยนิายเรื่อ รื่ งหนึ่ง นึ่ คือ เรื่อ รื่ ง มโนห์ร ห์ า ซึ่ง ซึ่ปัจจุบัน บั นี้ก็ยัง ยั มีอ มี ยู่ใยู่ นประเทศจีน จี ตอนใต้ในอาณาจัก จั รน่านเจ้า จ้ เดิมนั่น นั่ เอง นิยายเรื่อ รื่ ง นั้น นั้ คือ นามาโนห์ร ห์ า (Namanora) เป็นนิยาย ของพวกไต พวกไตคือไทยเรานี่เ นี่ อง แต่เป็นพวกที่ไม่อ ม่ พยพ ลงมาจากดินแดนเดิม เรื่อ รื่ งนามาโนห์ร ห์ านี้จ นี้ ะนำ มา เล่นเป็น ป็ ละครหรือ รืไม่นั้ ม่ น นั้ ยัง ยัไม่มี ม่ ห มี ลักฐานปรากฎเด่น ชัด ชั ส่ว ส่ นการละเล่นของไทยน่า น่ นเจ้า จ้ นั้น นั้ มีพ มี วกระบำ อยู่แ ยู่ ล้ว คือ ระบำ หมวก และระบำ นกยูง
สมัยสุโขทัย สมัยมันี้ไนี้ ม่มี ม่ ห มี ลักฐานเกี่ยวกับการละครไทยมากนักนัเป็น ป็ สมัยมัที่เริ่มริ่มีค มี วามสัมสัพันพัธ์กัธ์ กับชาติที่นิยนิมอารยธรรมของอินเดีย ดี เช่น ช่ พม่า ม่ มอญ ขอม และละว้า ว้ ไทยได้รู้ ด้ จั รู้ กจัเลือกเฟ้น ฟ้ วัฒวันธรรมที่ดีข ดี องชาติที่สมาคมด้ว ด้ ย แต่ทั้ง ทั้ นี้มิ นี้ ไมิด้ห ด้ มายความว่า ว่ ชาติไทยแต่โบราณจะไม่รู้ ม่ จั รู้ กจัการละครฟ้อ ฟ้ นรำ มาก่อน เรามีก มี าร แสดงประเภทระบำ รำ เต้นมาแต่สมัยมัดึก ดึ ดำ บรรพ์แพ์ล้ว ศิลปะแห่ง ห่ การละเล่นพื้น พื้ เมือ มื งของไทย คือ รำ และ ระบำ ก็ได้มี ด้ ก มี ารกำ หนดแบบแผนแห่ง ห่ ศิลปะการแสดงทั้ง ทั้ 3 ชนิดนิ ไว้เ ว้ป็น ป็ ที่แน่น น่ อน และบัญบัญัติญั ติคำ เรีย รี กศิลปะแห่ง ห่ การแสดง ดังดักล่าวแล้วขั้นขั้ต้นว่า ว่ โขน ละคร ฟ้อ ฟ้ นรำ ส่ว ส่ นเรื่อ รื่ งละคร แก้บนกับละครยก อาจมีสื มี บ สื เนื่อ นื่ งมาตั้ง ตั้ แต่สมัยมัสุโ สุ ขทัยนั้นนั้แล้ว เช่น ช่ กัน
สมัยกรุงศรีอยุธยา ละครไทยเริ่มริ่จัดจัระเบีย บี บแบบแผนให้รั ห้ ดรักุม กุ ยิ่งยิ่ขึ้น ขึ้ มีก มี าร ตั้ง ตั้ ชื่อ ชื่ ละครที่เคยเล่นกันอยู่ใยู่ ห้เ ห้ป็น ป็ ไปตามหลักวิชวิานาฏศิลปขึ้น ขึ้ มีก มี ารแสดงเกิดขึ้น ขึ้ ในสมัยมันี้ห นี้ ลายอย่า ย่ ง เช่น ช่ ละครชาตรี ละครนอก ละครใน โขน การแสดงบางอย่า ย่ งก็รับรัวัฒวันธรรม เพื่อ พื่ นบ้า บ้ น และวัฒวันธรรมต่างชาติเข้า ข้ มาผสมได้ ละครไทยเริ่มริ่จัดจัระเบีย บี บแบบแผนให้รั ห้ ดรักุม กุ ยิ่งยิ่ขึ้น ขึ้ มีก มี าร ตั้ง ตั้ ชื่อ ชื่ ละครที่เคยเล่นกันอยู่ใยู่ ห้เ ห้ป็น ป็ ไปตามหลักวิชวิานาฏศิลปขึ้น ขึ้ มีก มี ารแสดงเกิดขึ้น ขึ้ ในสมัยมันี้ห นี้ ลายอย่า ย่ ง เช่น ช่ ละครชาตรี ละครนอก ละครใน โขน การแสดงบางอย่า ย่ งก็รับรัวัฒวันธรรม เพื่อ พื่ นบ้า บ้ น และวัฒวันธรรมต่างชาติเข้า ข้ มาผสมได้
สมัยกรุงธนบุรี สมัยมันี้เ นี้ป็นช่ว ช่ งต่อเนื่อนื่งหลังจากที่กรุง รุ ศรีอรียุธยาเสียสีแก่พม่า ม่ เมื่อมื่ ปี พ.ศ. 2310 เหล่าศิลปินได้ก ด้ ระจัดจักระจายไปในที่ต่างๆ เพราะ ผลจากสงคราม บางส่ว ส่ นก็เสียสีชีวิชีตวิบางส่ว ส่ นก็ถูก ถู วาดต้อนไปอยู่ พม่า ม่ ครั้นรั้พระเจ้า จ้ กรุง รุ ธนบุรีไรีด้ปด้ ราบดาภิเษกในปีชวด พ.ศ. 2311 แล้วทรงส่ง ส่ เสริมริฟื้นฟื้ ฟูการละครขึ้น ขึ้ ใหม่ และรวบรวมศิลปินตลอดทั้ง ทั้ บทละครเก่าๆที่กระจัดจักระจายไปให้เ ห้ ข้า ข้ มาอยู่ร ยู่ วมกัน ตลอดทั้ง ทั้ พระองค์ได้ท ด้ รงพระราชนิพนินธ์บธ์ทละครเรื่อรื่งรามเกียรติ์ขึ้น ขึ้ อีก 5 ตอน คือ ตอนหนุม นุ านเกี้ยวนางวานรินริตอนท้าวมาลีวราชว่า ว่ ความ ตอนทศกัณฐ์ตั้ฐ์ ตั้ง ตั้ พิธีพิทธีรายกลด (เผารูป รู เทวดา) ตอนพระลักษณ์ ถูก ถู หอกกบิลบิพัทพัตอนปล่อยม้า ม้ อุปการ มีคมีณะละครหลวง และเอกชนเกิดขึ้น ขึ้ หลายโรง เช่น ช่ ละคร หลวงวิชิวิตชิณรงค์ ละครไทยหมื่นมื่เสนาะภูบ ภู าล หมื่นมื่ โวหารภิรมย์ นอกจากละครไทยแล้วยังยัมีลมีะครเขมรของหลวงพิพิพิธพิวาทีอีกด้ว ด้ ย
สมัยรัตนโกสินทร์ ในสมัยมัรัตรันโกสินสิทร์ตร์อนต้น ตั้งตั้แต่สมัยมัรัชรักาลที่ 1 จนถึงรัชรักาลที่ 4 การแสดงนาฏศิลป์มีป์วิมีวัวิฒวันาการออกมาใน รูป รู โขน ละคร โดยมีอมีงค์พระมหากษัตริย์ริเย์ป็น ป็ องค์อุปถัมภ์และ ได้มีกมีารรวบรวมข้อ ข้ มูลไว้เ ว้ป็น ป็ ลายลักษณ์อัณ์ อักษร เพื่อพื่ ใช้ ประโยชน์ในการอ้างอิง สมัยมัรัตรันโกสินสิทร์ตร์อนปลาย ตั้งตั้แต่สมัยมัรัชรักาลที่ 5 จนถึงปัจจุบันบั ด้วยเหตุที่ ตุ ที่ วัฒวันธรรมตะวันวัตกหลั่งลั่ ไหลมาสู่ทสู่ วีปวี เอเชียชีลักษณะการแสดงละครไทยก็เปลี่ยนแปลงไปตามวิถีวิ ถี ชีวิชีตวิของคนไทยในแต่ละสมัยมัมีกมีารนำ เทคโนโลยีเยีข้า ข้ มาผสม ผสานกับการแสดง รวมทั้งทั้เกิดมีหมีน่ว น่ ยงานและสถาบันบัการ ศึกษาแห่ง ห่ ชาติ คือ วิทวิยาลัยนาฏศิลป์ กรมศิลปากร ที่ทำ หน้าที่โดยตรงในการอนุรั นุ กรัษ์เผยแพร่ศิ ร่ ศิลปะสาขานี้ ผลิตศิลปินปิ และครูน รู าฏศิลป์ โขน ละคร ดนตรี ปี่พปี่าทย์
สมัยรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฟ้ จุฬาโลก ได้ทรง ฟื้น ฟื้ ฟูรวบรวมสิ่งสิ่ต่างๆที่สูญสู เสีย สี และกระจัด จั กระจายให้ สมบูรณ์ ในรัช รั สมัย มั นี้ไนี้ ด้มี ด้ กา มี รรวบรวมตำ ราฟ้อ ฟ้ นรำ ขึ้น ขึ้ ไว้เ ว้ป็น ป็ หลังฐานสำ คัญที่สุด สุ ในประวัติ วั ติการละครไทย มี บทละครที่ปรากฏตามหลักฐานอยู่ 4 เรื่อ รื่ ง คือ บท ละครเรื่อ รื่ งอุณรุฑ รุ บทละครเรื่อ รื่ งรามเกียรติ์ บทละคร เรื่อ รื่ งดาหลัง และบทละครเรื่อ รื่ งอิเหนา
สมัยรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จ ด็ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็น ป็ สมัยมัที่ วรรณคดีเ ดี จริญริรุ่ง รุ่ เรือ รื ง เป็น ป็ ยุคทองแห่ง ห่ ศิลปะการละคร มีนั มี กนั ปราชญ์รญ์าชกวีที่ วี ที่ปรึก รึ ษา 3 ท่าน คือ กรมหมื่น มื่ เจษฎาบดินดิทร์ กรมหลวงพิทัพิ ทักษ์มนตรี และสุน สุ ทรภู่ มีบ มี ทละครในที่เกิดขึ้น ขึ้ ได้แ ด้ ก่ เรื่อ รื่ งอิเหนา ซึ่ง ซึ่ วรรณคดีส ดี โมสรยกย่อ ย่ งว่า ว่ เป็น ป็ ยอดของ บทละครรำ และเรื่อ รื่ งรามเกียรติ์ ส่ว ส่ นบทละครนอก ได้แ ด้ ก่ เรื่อ รื่ งไกรทอง คาวี ไชยเชษฐ์ สังสัข์ทข์อง และมณีพิ ณี ชัพิยชั นอกจากนี้ยั นี้ งยัได้ท ด้ รงพัฒพันาละครนอก โดยใช้ผู้ ช้ หผู้ ญิงญิแสดง และแต่งกายแบบละครในและยังยัทรงริเริริ่มริ่ ให้มี ห้ ก มี ารขับขัเสภาปี่ พาทย์ ทรงพระราชนิพนินธ์บธ์ทเสภาบางตอน คือ ตอนพลาย แก้วเป็น ป็ ชู้กั ชู้ กับนางพิมพิตอนวันวัทองหึง หึ ลาวทอง ตอนขุนแผน ขึ้ร ขึ้ เรือ รื นขุนช้า ช้ งได้น ด้ างแก้วกิริยริาและตอนขุนแผนพาวันวัทองหนี
สมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งนั่เกล้าเจ้า จ้ อยู่หั ยู่ วหัเป็น ป็ ยุคที่ละครหลวงซบเซา เนื่องจากพระองค์ไม่ส ม่ นับนัสนุน นุ ทรงพระกรุณ รุ าโปรดเกล้าฯ ให้เ ห้ ลิกละคร หลวงเสียสีแต่มิไมิด้ขัดขัขวางผู้จผู้ ะจัดจัแสดงละคร ทำ ให้เ ห้ กิดคณะละครของ เจ้า จ้ นาย และขุนนางขึ้นขึ้แพร่ห ร่ ลาย หลายคณะ หลายโรง และมีบมีทละคร เกิดขึ้นขึ้มากมาย คณะละครที่มีแมีบบแผนสืบสืทอดมาจนถึงปัจจุบันบัมีดัมีงดันี้ 1. ละครของพระองค์เจ้า จ้ ลักขณานุคุ นุ ณ คุ 2.ละครพระพิพิพิธพิ โภคภูเ ภู บนทร (ถือกันว่า ว่ กระบวนรำ ของละครโรงนี้ ดีกว่า ว่ โรงอื่นๆ) 3.ละครกรมหลวงรักรัษรณเรศ 4.ละครกรมพระพิทัพิ ทักษเทเวศร์ 5.ละครกรมหลวงภูว ภู เนตรนรินริทรฤทธิ์ 6.ละครเจ้า จ้ พระยาบดินดิทรเดชา 7.ละครของเจ้า จ้ จอมมารดา 8.ละครเจ้า จ้ กรับรั (แสดงละครนอก ตัวละครเป็น ป็ ผู้ชผู้ ายล้วน)
สมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า จ้ อยู่หั ยู่ วหัสมัยมันี้ได้เริ่มริ่มีกมีารติดต่อกับ ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวยุโรปบ้า บ้ งแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้า จ้ อยู่หั ยู่ วหัจึง จึ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้ห้ ฟื้ นฟื้ ฟูละครหลวงขึ้น ขึ้ อีกครั้งรั้หนึ่ง พร้อ ร้ ม ทั้ง ทั้ ออกประกาศสำ คัญเป็นผลให้ก ห้ ารละครไทยขยายตัวอย่า ย่ งกว้า ว้ งขวาง ดังมีคมีวามโดยย่อ ย่ คือ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ค ห้ นทั่ว ทั่ ไปมี ละครชาย และหญิง เพื่อพื่บ้า บ้ นเมือมืงจะได้ครึก รึ ครื้นรื้ขึ้น ขึ้ เป็นเกียรติยศแก่ แผ่น ผ่ ดิน แม้จ ม้ ะมีลมีะครหลวง แต่คนที่เคยเล่นละครก็ขอให้เ ห้ ล่นต่อไป ห้า ห้ ม บังบัคับผู้คผู้ นมาฝึกละคร ถ้าจะมาขอให้ม ห้ าด้วยความสมัคมัรใจ สำ หรับรัละครที่มิใมิช่ข ช่ องหลวง มีข้มีอ ข้ ยกเว้น ว้ คือ ห้า ห้ มใช้รั ช้ ดรัเกล้ายอด เครื่อรื่งแต่งตัวลงยา และพานทองหีบหีทองเป็นเครื่อรื่งยกบททำ ขวัญวัห้า ห้ ม ใช่แ ช่ ตรสังสัข์ หัวหัช้า ช้ งห้า ห้ มทำ สีเสีผือผืก ยกเว้น ว้ หัวหัช้า ช้ งเอราวัณวัมีปมีระกาศ กฎหมายภาษีมหรสพ พ.ศ. 2402 โดยจะเก็บจากเจ้า จ้ ของคณะละคร ตามประเภทการแสดง และเรื่อรื่งที่แสดง
สมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า จ้ อยู่หั ยู่ วหัการละครในยุคนี้เริ่มริ่มี การเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการละครแบบตะวันวัตกหลั่ง ลั่ ไหลเข้า ข้ สู้วสู้ งการ นาฏศิลปะ ทำ ให้เ ห้ กิดบทละครประเภทต่างๆขึ้น ขึ้ มากมาย เช่น ช่ ละคร พันพัทาง ละครดึกดำ บรรพ์ ละครร้อ ร้ ง ละครพูด และลิเก ทรงส่ง ส่ เสริมริ การละครโดยเลิกกฏหมายการเก็บอากรามหรสพเมื่อมื่พ.ศ. 2450 ทำ ให้กิ ห้ กิจการละครเฟื่อฟื่งฟูขึ้น ขึ้ กลายเป็นอาชีพชี ได้ เจ้า จ้ ของโรงละครทาง ฝ่ายเอกชนมีหมีลายราย นับตั้ง ตั้ แต่เจ้า จ้ นายมาถึงคนธรรมดา ในสมัยมันี้มีทั้มี ทั้ง ทั้ อนุรักรัษ์และพัฒพันานาฏศิลป์ไป์ทยเพื่อพื่ทันสมัยมัเช่น ช่ มี การพัฒพันาละครในละครดึกดำ บรรพ์ พัฒพันาละครรำ ที่มีอมียู่เ ยู่ ดิมมาเป็น ละครพันพัทางและละครเสภา และได้กำ หนดนาฎศิลป์เป์ป็นที่บทระบำ แทรกอยู่ใยู่ นละครเรื่อรื่งต่างๆ เช่น ช่ รำ บำ เทวดา - นางฟ้า ฟ้ ในเรื่อรื่งกรุง พาณชมทวีปวีรำ บำ ตอนนางบุษบากับนางกำ นันชมสารในเรื่อรื่งนิเหนา ระยำ ไก่ เป็นต้น
สมัยรัชกาลที่ 6 ในรัชรัสมัยมัพระบาทสมเด็จพระมงกุฎกุ เกล้าเจ้า จ้ อยู่ เป็น ป็ สมัยมัที่การละครเจริญริถึง ขีดขีสุด สุ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ ห้ ตั้งตั้กรมมหรสพเพื่อพื่ดูแ ดู ลโขน ละคร ดนตรี ปี่พปี่าทย์ และทรงตั้งตั้ โรงเรียรีนฝึกหัดหัศิลปะทางโขน ละคร ดนตรี ปี่พปี่าทย์ขึ้ย์ขึ้นขึ้ เกิดโขนบรรดาศักดิ์ซึ่งซึ่เป็น ป็ โขนสมัคมัรเล่นมีกมีารฝึกหัดหั ให้ม ห้ หาดเล็กแสดงโขน ส่ว ส่ นโขนที่ประชาชนแสดงทั่วทั่ ไป เรียรีกว่า ว่ โขนเชลยศักดิ์ พระองค์ได้พระราชนิพนินธ์บธ์ทพากย์โย์ขน ปรับรั ปรุง รุ วิธีวิแธีสดงโขน ให้แ ห้ สดงบนเวที การแสดงโขนของพระองค์ เรียรีกว่า ว่ ละครดึกดำ บรรพ์เพ์รื่อรื่งรามเกียรติ์ มีหมีลาย ตอน เช่น ช่ ตอนพรหมาสตร์ ตอนนางลอย ตอนนาคบาศ ตอนสุค สุ รีพรีหักหัฉัตร ตอนองคตสื่อสื่สาร เป็น ป็ ต้น นอกจากนี้ ยังยัทรงพระราชนิพนินธ์บธ์ทเบิกบิ โรงเรื่อรื่งดึกดึดำ บรรพ์ 4 เรื่อรื่ง ได้แ ด้ ก่ มหาพลี ฤาษีเสี่ย สี่ งลูก ลู นรสิงสิหาวตาร และพระคเณศเสียสีงา โปรดเกล้าฯ ให้จั ห้ ดจั พิมพิพ์ตำพ์ ตำ ราฟ้อ ฟ้ นรำ มีกมีารถ่ายภาพตัวละครแทรกเป็น ป็ ภาพประกอบ ซึ่งซึ่ได้ใด้ ช้เ ช้ป็น ป็ หลัก ในการศึกษาท่ารำ ในสมัยมัต่อๆมา นอกจากนี้ ยังยัทรงเป็น ป็ ผู้ใผู้ห้กำ ห้ กำ เนิดนิละครพูดที่ได้ รับรัอิทธิพธิลมาจากละครตะวันวัตกอีกด้วย
สมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จ ด็ พระปกเกล้าเจ้า จ้ อยู่หั ยู่ ว หั การเมือ มื งเกิดภาวะ คับขัน ขั และเศรษฐกิจของประเทศทรุด รุ โทรม เสนาบดีส ดี ภาได้ ตกลงประชุมกันเลิกกรมมหรสพ เพื่อ พื่ ให้มี ห้ ส่ มี ว ส่ นช่ว ช่ ยกูก กู าร เศรษฐกิจของประเทศ และต่อมาจึง จึ กลับฐานะมาเป็น ป็ กองขึ้น ขึ้ อีก จนกระทั่ง ทั่ เมื่อ มื่ พ.ศ. 2478 กองมหรสพจึง จึ อยู่ใยู่ นสัง สั กัดกรม ศิลปากร ข้า ข้ ราชการศิลปินปิจึง จึ ย้า ย้ ยสัง สั กัดมาอยู่ใยู่ นกรมศิลปากร ในสมัย มั นี้มีล มี ะครแนวใหม่เ ม่ กิดขึ้น ขึ้ คือ ละครเพลง หรือ รื ที่เป็น ป็ ที่ รู้จั รู้ ก จั กันว่า ว่ “ ละครจัน จั ทโรภาส ” ตลอดทั้ง ทั้ มีล มี ะครหลวงวิจิวิตจิร วาทการเกิดขึ้น ขึ้
สมัยรัชกาลที่ 8 รัช รั สมัย มั พระบาทสมเด็จ ด็ พระปรเมนทรมหาอานัน นั ทมหิดหิลพระ อัฐมรามาธิบธิดินดิทร การแสดงนาฏศิลป์ โขน ละคร อยู่ใยู่ นการ กำ กับดูแ ดู ลของกรมศิลปากร ในสมัย มั นี้ หลวงวิจิวิตจิรวาทการเป็น ป็ ผู้ริผู้ เริริ่มริ่ก่อตั้ง ตั้ สถาบัน บั การ เรีย รี นการสอนศิลปะการแสดงโขน ละคร ดนตรี ปี่พ ปี่ าทย์ มี การแสดงละครปลุก ลุ ใจให้รั ห้ ก รั ชาติ เช่น ช่ เรื่อ รื่ งเจ้า จ้ หญิงญิแสนหวี พระเจ้า จ้ กรุง รุ ธน เลือดสุพ สุ รรณ เป็ฮ ป็ นต้น และในระหว่า ว่ ง สงครามครั้ง รั้ ที่ 2 ประชาชนนิยนิมเล่นรำ โทนกันอย่า ย่ งแพร่ห ร่ ลาย ซึ่ง ซึ่ กรมศิลปากรได้นำ ด้ นำมาปรับ รั ปรุง รุ เป็น ป็
สมัยรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จ ด็ พระปรมินมิทรมหาภูมิ ภู พมิลอดุล ดุ ยเดช โปรดเกล้าฯ ให้บั ห้ นบัทึกภาพยนตร์สีร์ส่ สี ว ส่ นพระองค์ บันบัทึกท่ารำ หน้า น้ พาทย์อย์งค์พระ พิรพิาพ ท่ารำ เพลงหน้า น้ พาทย์ขย์องพระ นาง ยักยัษ์ ลิง และโปรด เกล้าฯ ให้จั ห้ ดจัพิธีพิ ไธี หว้ค ว้ รู มอบท่ารำ องค์พระพิรพิาพให้แ ห้ ก่ศิลปินปิกรม ศิลปากร ในสมัยมันี้ การแสดงละครเฟื่อ ฟื่ งฟูมาก มีก มี ารจัดจัแสดงละครกัน อย่า ย่ งแพร่ห ร่ ลายทั้ง ทั้ ละครเวที ละครที่แพร่ภ ร่ าพผ่า ผ่ นทางสื่อ สื่ ต่างๆ มีผู้ มี ผู้ ยึด ยึ อาชีพ ชี การแสดงละครเป็น ป็ จำ นวนมาก นอกจากละครไทยแล้ว ยังยั มีก มี ารแสดงละครตามแนวละครของชาติอื่นๆด้ว ด้ ย ทั้ง ทั้ นี้ท นี้ างรัฐรับาล ได้ส่ ด้ ง ส่ เสริมริและเชิดชิชูเกียรติบุคคลที่อยู่ใยู่ นแวดวงศิลปะการแสดง โดยกำ หนดให้วั ห้ นวัที่ 24 กุม กุ ภาพันพัธ์ขธ์องทุก ทุ ปีเ ปีป็น ป็ วันวัศิลปินปิแห่ง ห่ ชาติ
สมัยรัชกาลที่ 10 สมเด็จ ด็ พระเจ้า จ้ อยู่หั ยู่ วหัมหาวชิรชิาลงกรณ ทรงมีพ มี ระมหากรุราธิ คุณ คุ ต่อวงการนาฏศิลป์แป์ละดนตรีไรี ทยอย่า ย่ งยิ่งยิ่ทรงตระหนักนัถึง คุณ คุ ค่าของนาฏศิลป์ไป์ทย โดยเฉพาะการแสดงโขน ทรงส่ง ส่ เสรืม รื ให้ ประชาชนมีโมี อกาสได้ช ด้ ม ศิลปะการแสดงขั้นขั้สูง สู ที่ถือเป็น ป็ สมบัติบั ติทาง วัฒวันธรรมของชาติไทย นอกจากนี้ ทรงยังยัเป็น ป็ แบบอย่า ย่ งในการปฏิบัติบั ติพระราชกรณีย ณี กิจ ในการอนุรั นุ กรัษ์มรดกไทย ด้า ด้ นนาฏดุริ ดุ ยริางคศิลป์สืป์บ สื มาถึงปัจจุบันบั โดยเฉพาะการแสดงโขน ซึ่ง ซึ่ ทรงฝึกหัดหัเป็น ป็ ตัวหนุม นุ าน ตั้ง ตั้ แต่ พ.ศ. 2502 ที่โรงเรีย รี นจิตจิรลดา
THANK YOU!