วรรณคดีสมัยกรุงธนบุรี
นางสาวชลธิชา อยู่บำรุง รหัสฯ025
คำนำ
หนังสือฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ
วรรณคดีในยุคสมัยกรุงธนบุรี วรรณคดีเขียนขึ้นในยุคนี้มีทั้ง
รามเกียรติ์ อิเหนาคำฉันท์ ลิลิตเพชรมงกุฎ นิราศกวางตุ้ง
ของพระยามหานุภาพ โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี
และบทกฤษณาสอนน้ องคำฉันท์ ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
หนังสือฉบับนี้ จะเป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้ที่ดีให้กับผู้ที่
สนใจวรรณคดีของไทย และอนุรักษ์วรรณคดีของไทยสืบไป
ชลธิชา
ผู้เขียน
กรุงธนบุรี
สมัยกรุงธนบุรี บ้านเมืองอยู่ในระยะบูรณะประเทศ
บ้านเมืองไม่สงบสุข นักปราชญ์ราชบัณฑิตที่มีชีวิตหลง
เหลือมาจากกรุงเก่ามีไม่มากนัก นอกจากนั้นอยู่ตามหัว
เมืองก็พอที่จะรวบรวมกันมาได้ช่วยราชการงานศิลป
วัฒนธรรม วรรณกรรมและวรรณคดีต่างๆเท่าที่พอจะมี
เวลากระทำได้ หลังจากรบทัพจับศึก สมเด็จพระเจ้า
กรุงธนบุรีก็ทรงพยายามทำนุบำรุงบ้านเมือง ฟื้ นฟู
พระพุทธศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ เท่าที่จะทำได้ คำ
กล่าวที่ว่า "คนไทยรบพม่าไป แต่งรามเกียรติ์ไป" ก็น่าจะมี
เหตุผลดี เพราะพระมหากษัตริย์ได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง
รามเกียรติ์ไว้ถึง ๔ ตอน
วรรณกรรมและวรรณคดีสมัยกรุงธนบุรี มีลักษณะ
คงสภาพมากกว่าที่จะเป็ นงานสร้างสรรค์ให้มีความดีเด่น
แนวโน้ นของการแต่ง แต่งเพื่อปลุกใจให้ใจรักชาติบ้าน
เมืองและปลุกปลอบใจให้คลายจากความหวาดกลัวภัย
สงคราม นิยมแต่งเป็นร้อยกรอง จำนวนกวีมีน้ อยเกินไป
แต่ก็เหมาะสมกับเวลา วรรณคดีสมัยกรุงธนบุรีมีดังนี้
รามเกียรติ์
ผู้แต่ง : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระราชนิพนธ์เมื่อพ.ศ.๒๓๑๓
จุดมุ่งหมายในการแต่ง : เพื่อใช้เล่นละครหลวงด้วย ในพ.ศ.๒๓๑๓ นี้พระองค์ทรง
ยกกองทัพไปปราบเจ้านครศรีธรรมราชจึงโปรดให้หัดละครหลวงขึ้น และทรงพระ
ราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์เพื่อใช้เล่นละครและใช้ในงานสมโภชต่างๆ
ลักษณะการแต่ง :ทรงพระราชนิพนธ์เป็นกลอนบทละคร และบอกชื่อเพลงหน้า
พาทย์ไว้ด้วย ต้นฉบับบทละครเรื่องนี้เป็นสมุดไทยดำ ตัวหนังสือเป็นเส้นทอง มี
จำนวน ๔ เล่มสมุดไทย
เรื่ องย่อ
๑.ตอนพระมงกุฎประลองศร เนื้อเรื่องตอนนี้เป็นตอนท้ายของเรื่อง
รามเกียรติ์แต่ทงพระราชนิพนธ์ขึ้นก่อนตอนอื่นๆ เนื้อเรื่องมีว่า นางสีดา
มาอาศัยอยู่กับฤาษีวัชมฤคและประสูติพระมงกุฎ พระฤาษีได้ชุบพระลบ
เป็ นเพื่ อนกับพระมงกุฏและชุบศรให้เป็ นอาวุธพระมงกุฏและพระลบได้
ประลองศรยิงต้นรัง เสียงศรดังกึกก้องจนถึงกรุงอโยธยา พระรามได้ยิน
เสียงจึงประกอบพิธีอัศวเมธ โดยมีพระภรต พระสัตรุด และหนุมานคุม
กองทัพตามม้าอุปการ พระมงกุฎจับม้าอุปการ จึงรบกับหนุมาน หนุมาน
เสียที พระภรตจึงเข้าช่วยและจับพระมงกุฎมาถวายพระราม พระลบ
ตามไปช่วยได้และพากันหนี พระรามยกกองทัพออก
ติดตาม จึงรบกับพระมงกุฎ ภายหลังจึงทราบว่าเป็นพ่อลูกกัน
๒. ตอนหนุมานเกี้ยวนางวาริน เนื้อเรื่องตอนแรกขาดหายไป เริ่ม
แต่หนุมานพบนางวารินในถ้ำ นางวารินนั้นเป็นนางฟ้ า ถูกพระอิศวรสาป
ให้มาอยู่ในถ้ำ คอยพบหนุมานเพื่อบอกทางแก่หนุมานไปฆ่าวิรุณจำบัง
แล้วจึงจะพ้นคำสาป เมื่อหนุมานพบนางวาริน นางไม่เชื่อว่าเป็นหนุมาน
หนุมานจึงต้องหาวเป็นดาวเป็นเดือนให้ดู นางจึงเชื่อหนุมานเกี้ยวนางวา
ริน และได้นางเป็นภรรยา ต่อมาหนุมานไปฆ่าวิรุณจำบังตามที่นางวาริ
นบอก เมื่อฆ่าวิรุณจำบังแล้ว หนุมานจึงกลับมายังถ้ำ และส่งนางวารินก
ลับเขาไกรลาสตามที่ได้สัญญาไว้กับนาง
๓. ตอนท้าวมาลีวราชว่าความ เป็นตอนต่อจากหนุมานเกี้ยวนางวา
ริน ทศกัณฐ์ทราบว่าวิรุณจำบังตาย จึงทรงทูลเชิญท้าวมาลีวราชพระ
อัยกาผู้มีวาจาสิทธิ์มาว่าความท้าวมาลีวราชเสด็จมายังสนามรบ ทศกัณฐ์
เข้าเฝ้ ากล่าวโทษพระราม ท้าวมาลีวราชจึงทรงตรัสสั่งให้พระรามและ
นางสีดาเข้าเฝ้ าเพื่อไต่ถามความจริง นางสีดาทูลตามความเป็นจริงท้าว
มาลีวราชจึงตรัสให้ทศกัณฐ์คืนนางสีดาแก่พระราม แต่ทศกัณฐ์ไม่ยอม
ท้าวมาลีวราชจึงทรงสาปแช่งทศกัณฐ์ และอวยพรให้แก่พระรามแล้ว
เสด็จกลับ
๔. ตอนทศกัณฐ์ตั้งพิธีทรายกรด ตอนนี้เป็นตอนต่อจากท้าวมาลีว
ราชว่าความ เรื่องมีว่า ทศกัณฐ์มีความแค้นเทวดาที่เป็นพยานให้แก่
พระราม จึงทำพิธีปลุกเสกหอกกบิลพัทที่เชิงเขาพระสุเมรุ และทำพิธีเผา
รูปเทวดา พระอิศวรจึงมีเทวบัญชาให้เทพบุตรพาลีมาทำลายพิธี ทศกัณฐ์
พุ่งหอกกบิลพัทหมายสังหารพิเภก พิเภกหลบไปอนยู่หลังพระลักษณ์
พระลักษณ์ต้องหอกกบิลพัทสลบไป พิเภกทูลพระรามให้หายามาแก้ไข
พร้อมแม่หินบดยาที่เมืองบาดาล และลูกหินบดยาที่ทศกัณฐ์หนุนนอน
พระรามให้หนุมานไปหายาพร้อมแม่หินและลูกหิน หนุมานเข้าเมืองลงกา
เพื่อไปนำลูกหินบดยามา และผูกผมทศกัณฐ์กับผม
นางมณโฑไว้ด้วยกัน พระฤาษีโคบุตรต้องมาช่วยแก้ผมให้
อิเหนาคำฉันท์
ผู้แต่ง ปรากฏท้ายเรื่องว่า หลวงสรวิชิต แต่งเสร็จเมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ปี
กุน จุลศักราช 1141 ตรงกับพุทธศักราช 2322 เป็นปีที่ 12
ประวัติ หลวงสรวิชิตแต่งเรื่องอิเหนาคำฉันท์ โดยดำเนินเรื่องตามบทละครเรื่อง
อิเหนาหรืออิเหนาเล็กของเจ้าฟ้ ามงกุฎ พิมพ์ครั้งแรกในหนังสือวชิรญาณ ฉบับปี
ที่ 20 ต่อมากรมศิลปากรได้มอบหมายให้นายหรีด เรืองฤทธิ์เปรียญ ตรวจชำระ
และทำเชิงอรรถธิบาย พิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2512
ทำนองแต่ง แต่งเป็นฉันท์และกาพย์
ความมุ่งหมาย เพื่อแสดงความสามารถในการแต่งฉันท์และรักษาเรื่องอิเหนา ซึ่ง
เป็ นที่นิยมแพร่หลายมาแต่รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
เรื่องย่อ :จับตอนตั้งแต่ อิเหนา เผาเมืองดาหา แล้วลอบนำ บุษบา ไป
ซ่อนไว้ในถ้ำ พร่ำงอนง้อขอความรักจากนาง แต่บุษบาไม่ยอมคืนดี
อิเหนาจึงแสร้งทำเป็นโศกเศร้า พระพี่เลี้ยงไม่ทราบอุบายจึงเกลี้ยกล่อม
ให้บุษบาโอนอ่อนผ่อนปรนแก่อิเหนา เพื่อจะได้มีโอกาสกลับบ้านเมือง
อิเหนาจึงได้เชยชมนางบุษบาสมใจ ทางฝ่ายเมืองดาหา เมื่อไฟดับแล้ว
ท้าวดาหา ทรงทราบว่าบุษบาถูกลักพาไป ทรงคาดคะเนว่าอิเหนาคงเป็น
ตัวการ แต่มิได้ตรัสแก่ผู้ใด เมื่อ จรกา รู้ว่าบุษบาหายไปก็โกรธ เตรียม
ยกกองทัพออกติดตาม ล่าสำ พี่ชายเตือนว่าผู้ลอบนำนางไปคงเป็น
อิเหนา
จรกาบังเกิดความยำเกรงยิ่งนักแต่ฝืนยกทัพต่อไป จนพบรี้พลของ
สังคามาระตา จรกาถามข่าวถึงอิเหนา สังคามาระตาแกล้งตอบว่ากำลัง
ไปล่าเนื้อ จรกาเล่าถึงเหตุร้ายที่เกิดขึ้น สังคามาระตาแสร้งพลอยทำเป็น
เสียใจ แล้วสั่งพี่เลี้ยงไปตามอิเหนา ในระหว่างนั้นอิเหนาฝันว่านกอินทรี
มาจิกนัยน์ตาข้างขวาไปจึงสังหรณ์ใจว่าจะต้องพรากจากนาง พอทราบ
ว่าระตูทั้งสองมาหาก็คิดไปแก้สงสัยในเมือง ขณะอิเหนาฟังเรื่องที่จรกา
เล่าก็แสร้งทำเป็นโกรธ เพราะรู้ทีว่าจรกาลอบสังเกตอยู่ พอนึกถึงความ
ฝั นอิเหนาก็เลยร้องไห้ออกมาด้วยความจริงใจ
อิเหนาคำฉันท์มีเนื้อเรื่องพ้องกับบทละครเรื่องอิเหนา พระนิพนธ์ของ
เจ้าฟ้ ามงกุฎ และไม่ละเอียดลออเท่า พระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 1
และรัชกาลที่ 2 แต่ถ้าพิจารณาเฉพาะในกระบวนความพรรณนา และ
ลักษณะฉันท์ จะเห็นว่าอิเหนาคำฉันท์จะมีความไพเราะคมคายไม่น้ อย
นอกจากนี้ยังเป็ นหลักฐานให้เห็นความนิยมยกย่องเรื่ องอิเหนาที่สืบ
เนื่ องมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาอีกด้วย
ลิลิตเพชรมงกุฎ
ผู้แต่ง ปรากฏในโคลงสุดท้ายของเรื่องว่าหลวงสรวิชิตแต่ง
ประวัติ สันนิษฐานว่าแต่งระหว่าง พ.ศ. 2310 - 2322 ปรากฏข้อความในร่ายบทนำ
เรื่องว่า เรื่องนี้ได้ต้นเค้ามาจากปกรณัมเวตาล ของอินเดีโบราณ
เรื่องเวตาลเดิมชื่อว่าเวตาลปัญจวึศติ ซึ่งรวมนิทานไว้ 25 เรื่อง ศิวทาสกวีอินเดีย
แต่งไว้เป็นภาษาสันสกฤต ต่อมาโสมเทวะได้นำมารวมไว้ในกถาสริตสาครประมาณ
พุทธศตวรรษที่ 18 เรื่องนี้มีผู้ถอดออกเป็นภาษาต่างๆ หลายภาษา เซอร์ริชาร์ด ฟ
รานซิส เบอร์ตันชาวอังกกฤษได้เก็บความมาเรียบเรียงเป็นภาษาอังกฤษ แต่ไม่ครบ
25 เรื่อง พระราชวรศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ทรงใช้ฉบับของเบอร์ตันเป็นหลัก
ในการนิพนธ์เรื่องนี้เป็นร้อยแก้วให้ชื่อว่านิทานเวตาล ซึ่งมีนิทานเพียง 10 เรื่องตรง
กับของเบอร์ตันเฉพาะบางเรื่อง สำหรับเรื่องเพชรมงกุฎตรงกับเรื่องวัชรมงกุฎ ซึ่ง
เป็นนิทานเรื่องที่ 1 ในนิทานเวตาล พระนิพนธ์ของพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่น
พิทยาลงกรณ์ หลวงสรวิชิตอาจได้เรื่องเพชรมงกุฎมาจากนิทานเวตาลปัญจวึศติของ
ศิวทาสโดยตรง หรือจากฉบับอื่นที่ถอดไว้เป็นภาษาอินเดียลิลิตเรื่องนี้พิมพ์ครั้งแรก
ในงานพระราชทานเพลิงพระศพพระเจ้าลูกยาเธอ พระองศ์เจ้านภางค์นิพัทธพงษ์
เมื่อ พ.ศ. 2419 กรมศิลปากรตรวจชำระต้นฉบับ เมื่อ พ.ศ. 2532
เรื่องย่อ: เริ่มต้นนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดำเนินเรื่องตาม นิทานเวตาล
ว่า วิกรมาทิตย์ เสด็จประพาสป่า จับได้ตัวเวตาลมาเป็นพาหนะ เวตาล
ทูลขอเล่านิทานถวาย ถ้าทรงตอบปัญหาได้ยอมเป็นข้าตลอดชีวิต ถ้า
ทรงตอบไม่ได้จะขอพระเศียรเวตาลเริ่มนำนิทานเรื่อง เพชรมงกุฎ มา
เล่าว่า ครั้งหนึ่งท้าวรัตนนฤเบศร แห่งเมืองศรีบุรี มเหสีทรงพระนาม
ว่า ประภาพักตร์มีพระโอรสทรงพระนามว่า เพชรมงกุฎ ซึ่งมีพระสิริ
รูปงดงามมาก เมื่อชนมายุ 16 พรรษา เสด็จประพาสป่า ทรงติดตาม
กวางเผือกไปกับ พุฒศรี พระพี่เลี้ยง พวกรี้พลตามเสด็จไม่ทัน พระ
เพชรมงกุฎและพุฒศรีหลงทางอยู่กลางป่า พระเพชรมงกุฎ ทอด
พระเนตรภรรยาของชายผู้หนึ่ งก็พอพระทัยตรัสขอร้องพุฒศรีออก
อุบายล่อหญิงนั้นมาหาโดยมิได้ฟั งคำคัดค้านของพุฒศรีเมื่ อได้ร่วม
ประเวณีกับหญิงนั้นแล้วเดินทางต่อไปจนถึงเมืองกรรณบุรี ได้ทอด
พระเนตรนางประทุมดี พระราชธิดา พระเจ้ากรุงกรรณ เจ้าหญิงทรง
ทำปริศนาเป็ นนัยให้ทราบว่าพระนางเป็ นใครและแสดงความพอ
พระทัยพระเพชรมงกุฎด้วย
เมื่อพระเพชรมงกุฎทรงทราบความในปริศนาจากพุฒศรี ทรงปลอม
เป็ นพรานไปอาศัยอยู่กับยายเฒ่าส่งดอกไม้ในวังเจ้าชายทรงลอบส่ง
พระธำมรงค์ไปกับดอกไม้ เจ้าหญิงได้ทอดพระเนตรก็ทรงทราบว่าเจ้า
ชายเป็นเชื้อกษัตริย์จึงทรงทำปริศนา พุฒศรีไขว่าพระนางให้รออีก 3
วัน ต่อมาทำปริศนาอีก พุฒศรีก็ทูลแนะนำให้เจ้าชายแต่งองค์อย่าง
กษัตริย์ลอบเข้าไปหาเจ้าหญิงทางบัญชรซึ่งเจ้าหญิงจะหย่อนสาแหรก
ลงมารับ สองพระองค์ได้สมสู่อยู่ด้วยกันหลายวัน
ต่อมาเจ้าชายทรงนึกถึงพระพี่เลี้ยงตรัสเล่าความฉลาดของพระพี่
เลี้ยงให้เจ้าหญิงทราบ เจ้าหญิงเกรงว่า พุฒศรีจะหาทางให้เจ้าชายกลับ
เมืองได้ จึงออกอุบายหวังจะประหารพุฒศรี โดยฝากอาหารเจือยาพิษ
ไปให้ ครั้นเจ้าชายทราบความจริงก็ชวนพระพี่เลี้ยงหนี แต่พระพี่เลี้ยง
ทูลแนะให้กลับไปอยู่กับพระนางเช่นเคยแล้วให้ลอบเปลื้องเครื่อง
ประดับของพระนางมาสิ่งหนึ่ งและให้หยิกพระนางไว้เป็ นแผลสามแห่ง
พุฒศรีออกอุบายปลอมเป็นดาบสบอกว่าเจ้าหญิงเป็นยักษ์ จะทำร้าย
ตนจึงใช้ตรีแทงไว้ 3 แผล และได้เครื่องประดับนางไว้เป็นค่าไถ่ชีวิต
พระเจ้ากรุงกรรณหลงเชื่ อว่าเป็ นความจริงจึงขับไล่พระราชธิดาออก
จากเมือง เจ้าชายและพุฒศรีได้โอกาสจึงรับนางกลับบ้านเมืองพระเจ้า
กรุงกรรณทรงทราบว่าถูกอุบายก็เสียพระทัยเสด็จสวรรคต เรื่องจบลง
ตอนท้าววิกรมาทิตย์ ทรงตอบปัญหาเวตาลได้ว่าบุคคลในเรื่องที่ต้อง
รับบาป คือ พระเจ้ากรุงกรรณเอง เวตาลจึงยอมรับเป็นข้ารับใช้ต่อไป
นิราศกวางตุ้ง ของพระยามหานุภาพ
ผู้แต่ง ปรากฏข้อความในเรื่องว่าพระยามหานุภาพแต่ง พระยามหานุภาพเป็นข้าราชการใน
สมัยกรุงธนบุรี รับราชการสืบต่อมาถึงรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และได้บรรดาศักดิ์
เป็นพระยามหานุภาพในรัชกาลนี้ พระยามหานุภาพมีงานประพันธ์ซึ่งในรัชกาลที่1 อีกเรื่อง
หนึ่งคือ เพลงยาว
ประวัติ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงส่งคณะราชทูตไปเจริญพระราชไมตรีกับพระเจ้า
เขียนหลงแห่งกรุงปักกิ่ง เมื่อ วันอาทิตย์ เดือน 7 แรม 11 ค่ำ ปีฉลู จุลศักราช 143 ตรงกับ
พุทธศักราช 2324 โดยมีพระยาศรีธรรมาธิราช เป็นราชทูตเจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทรรณเรศ
(ทองจัน) พระเจ้าหลานเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขณะดำรงพระ
ยศเป็นหลวงนายฤทธิ์ นายเวรมหาดเล็กเป็นอุปทูตนำพระราชสาส์นและเครื่องบรรณาการไป
ถวายพระเจ้ากรุงปักกิ่ง พร้อมกับสินค้าที่จะจำหน่าย ณ เมืองกวางตุ้งแล้วนำเงินที่ได้ไปซื้อ
ของใช้ในราชการกลับมา ครั้งนั้นพระยามหานุภาพอยู่ในกลุ่มข้าราชการที่จัดการเกี่ยวกับ
สินค้า จึงเดินทางไปแค่เมืองกวางตุ้ง ส่วนคณะราชทูตเดินทางต่อไปจนถึงปักกิ่ง นายมหานุ
ภาพคงได้แต่งนิราศเรื่องนี้ในระยะเวลานั้น นิราศเรื่องนี้มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า นิราศพระยามหา
นุภาพไปเมืองจีน
ทำนองแต่ง แต่งเป็นกลอนนิราศ
ความมุ่งหมาย เพื่อบรรยายเหตุการณ์และสิ่งที่ได้พบเห็นในการเดินทาง
เรื่องย่อ :กล่าวถึงการเดินทางทางเรือ ซึ่งคนจีนเป็นพนักงาน
รวม 11 ลำ ออกจากกรุงธนบุรี ผ่านปากน้ำเจ้าพระยา เขาสามร้อย
ยอด เมืองพุทไธมาศ ป่าสัก เมืองญวน เกาะมะเกา (หมาเก๊า) ถึง
เมืองกวางตุ้ง ระหว่างเดินทางประสบคลื่นลมแรงพนักงานบนเรือ
ต้องทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้าเนืองๆ ได้พบปลาวาฬ บรรยายถึง
หญิงค้าประเวณีชาวเรือเมืองกวางตุ้งและธรรมเนียมห่อท้าวของ
หญิงจีน ภูมิฐานบ้านเรือนของเมืองกวางตุ้ง การนำพระราชสาส์น
เครื่องบรรณาการ การเดินทางเรือต่อไปยังปักกิ่ง การจำหน่าย
สินค้าของหลวงที่กวางตุ้งการเดินทางกลับและสรรเสริญพระบารมี
ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
นิราศเมืองกวางตุ้งเป็นวรรณคดีสมัยธนบุรีเรื่องสุดท้าย มี
คุณค่าทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากบันทึกเรื่องความสัมพันธ์ทาง
พระราชไมตรี ระหว่างไทยกับจีน และแบบธรรมเนียมการทูตไว้
อย่างชัดเจน เป็นเครื่องยืนยันความถูกต้องของเอกสารด้าน
ประวัติศาสตร์สมัยนั้นได้อีกทางหนึ่งนอกจากนี้ยังได้บรรยายถึง
สภาพบ้านเมือง ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีน และประเพณีปฏิบัติ
ของชาวเรือทะเล ในด้านวรรณคดีนิราศ เรื่องนี้ใช้ถ้อยคำสำนวน
และลีลาของกลอนเรียบๆ เข้าใจง่าย กระบวนพรรณาละเอียดลออ
เป็นนิราศเรื่องแรกของไทยที่ใช้ฉากต่างประเทศบรรยายการเดิน
ทางทางทะเลจากประสบการณ์ของกวีเองและไม่เน้นการคร่ำครวญ
ถึงหญิงคนรักตามธรรมเนียมนิราศที่มีมาในสมัยก่อน
โคลงยอพระเกียรติพระเจ้าตากสินมหาราช
ผู้แต่ง ปรากฏในโคลงบทแรกว่านายสวนมหาดเล็กเป็นผู้แต่ง
นายสวนมหาดเล็กรับราชตำแหน่งมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ประวัติ ปรากฏในโคลงบทแรกว่า แต่งเมื่อวันอังคารขึ้น 10 ค่ำ เดือน 9 ปี เถาะ
จุลศักราช 1133 ตรงกับพุทธศักราช 2314 เป็นปีที่ 4 แห่งรัชกาลสมเด็จ
พระเจ้าตากสินมหาราช
ทำนองแต่ง แต่งเป็นโคลงสี่สุภาพ
ความมุ่งหมาย สันนิษฐานว่าแต่งทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเจ้าตากสิน
มหาราชเพื่อสดุดีพระบารมีของพระองค์
เรื่องย่อ :เนื้อหาเป็นโคลง 85 บท เริ่มต้นบอกชื่อผู้
แต่ง วันเวลาที่แต่ง ต่อจากนันชมปราสาทราชวัง ป้อม
ปราการ รี้พล โรงอาวุธ โรงม้า ท้องพระคลัง โรงพระ
โอสถ นางสนมกำนัล ตลอดจนความสมบูรณ์พูนสุขของ
ประชาชน แล้วบรรยายเหตุการณ์ของบ้านเมืองทำนอง
ประวัติศาสตร์ระหว่าง พ.ศ. 2310-2314 เช่น
การปราบยุคเข็ญภายในการรบกับอริราชศัตรู
ภายนอก การทำนุบำรุงหัวเมืองต่างๆ ประเทศใกล้เคียง
โดยอ้อมเป็นข้ามขัณฑสีมา ตอนท้ายขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้
ช่วยคุ้มครอง อภิบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
โคลงยอพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนี้ มี
ลักษณะดีเด่นทั้งทางวรรณคดีและประวัติศาสตร์ ทั้งนี้
เพราะใช้ถ้อยคำสำนวนโวหารเรียบง่าย เข้าใจง่ายและให้
ความรู้ทางประวัติศาสตร์ถูกต้อง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์
เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงยกย่องไว้ในคำนำ
ฉบับพิมพ์ครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2465
กฤษณาสอนน้องคำฉันท์
ผู้แต่ง ปรากฏนามผู้แต่งในตอนท้ายของเรื่องว่าพระยาราชสุภาวดีและ
พระภิกษุอินท์เป็นผู้แต่ง สันนิษฐานว่า พระยาราชสุภาวดีอาจแต่งตอน
ต้น พระภิกษุอินท์แต่งตอนปลาย หรือพระภิกษุอินท์แต่งทั้งหมดตามคำ
อาราธนาของพระยาราชสุภาวดี
ประวัติ สันนิษฐานว่าพระยาราชสุภาวดีและพระภิกษุอินท์แต่งกฤษณา
สอนน้องคำฉันท์ระหว่าง พ.ศ. 2312 – 2319 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระยา
ราชสุภาวดีอยู่ช่วยราชการที่เมืองนครศรีธรรมราช
ทำนองแต่ง แต่งเป็นฉันท์และกาพย์
ความมุ่งมาย เพื่อเป็นสุภาษิตเตือนใจสตรี
เรื่องย่อ: ท้าวพรหมทัตแห่งกรุงพาราณสีมีราชธิดา 2
องค์คือ กฤษณา และ จันทรประภา (จิรประภา) เมื่อพระ
บิดาจัดพิธีสยุมพรให้นางกฤษณาเลือกภัสดาได้ 5 องค์
แต่นางจันทรประภาเลือกเพียงองค์เดียว นางกฤษณา
ปฏิบัติรับใช้ภัสดาได้ดี มีความรักใคร่ต่อกันมั่นคง ส่วน
นางจันทรประภาบกพร่องในหน้ าที่ของภรรยาจึงไม่มี
ความสุขกับสามี แต่นางเข้าใจว่านางกฤษณามีเวทย์
มนตร์ผูกใจชายจึงมาขอเรียนบ้าง นางกฤษณาได้ชี้แจง
ความจริงว่า
การที่สามีจะรักใคร่นั้นอยู่ที่รู้จักหน้ าที่ของแม่เรือน
และอยู่ในโอวาทของสามี เป็นต้น นางจันทรประภานำคำ
สอนของนางกฤษณาไปปฏิบัติ สวามีก็เปลี่ยนมารักใคร่
และมีความสุขเช่นเดียวกับนางกฤษณา
กฤษณาสอนน้ องคำฉันท์ฉบับกรุงธนบุรีไม่เป็นที่รู้จัก
แพร่หลาย อาจเป็นเพราะสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรม
พระปรมานุชิตชิโนรส ทรงนิพนธ์เรื่องเดียวกันนี้ใหม่ มี
ความไพเราะ คมคายกว่า แต่อย่างไรก็ดี กฤษณาสอน
น้ องฉบับกรุงธนบุรีมีคุณค่าแก่การยกย่อง เพราะช่วย
รักษาวรรณกรรมซึ่งเป็ นมรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัย
อยุธยามิให้เสื่อมสูญ มิฉะนั้นแล้วกฤษณาสอนน้ องคำฉันท์
พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุ
ชิตอาจไม่เกิดขึ้นได้
อ้างอิง
บ้านจอมยุท(ออนไลน์).สืบค้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 .
เข้าถึงได้จาก : https://www.baanjomyut.com.
ครูณัฐพัชร์ (2555). วรรณคดีสมัยกรุงธน
บุรี (ออนไลน์) .สืบค้นเมื่อวันที่
15 กุมภาพันธ์ 2565. เข้าถึงได้จาก: http://kroo- natthapat.blogspot.com.