รายงาน วิชาพุทธจริยธรรมทางการบริหาร เรื่อง จริยธรรมเพื่อการพัฒนาตนเอง เสนอ ผศ.ดร.ฤทธิชัย แกมนาค (อาจารย์ประจำวิชา) จัดทำโดย ส.ท ปรีดีวัฒน์ ใจเย็น รหัสนิสิต 6628504010 ********************* รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของ วิชา พุทธจริยธรรมทางการบริหาร ตามหลักสูตรปริญญารัฐประศาสนศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ วิทยาลัยสงฆ์เชียงราย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ต.ริมกก อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย
คำนำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา พุทธจริยธรรมทางการบริหารตามหลักสูตรปริญญา รัฐประศาสนศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์รหัสวิชา ๔๐๒ ๓๑๖ ชั้นปีที่ ๑ ซึ่งเป็น หลักการบริหารทางพุทธศาสนา และหลักธรรมที่นำมาใช้ในการบริหารงาน โดยมีจุดประสงค์เพื่อ ศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่อง จริยธรรมเพื่อการพัฒนาตนเอง เพื่อที่จะสามารถนำไปปรับใช้ใน ชีวิตประจำวันของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การทำรายงานฉบับนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของความรู้และประโยชน์แก่ ผู้อ่านและผู้ที่ศึกษาและสนใจทุกๆท่านไม่มากก็น้อย หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย คณะผู้จัดทำ นิสิตคณะสังคมศาสตร์ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ ภาคเรียนที่ ๒ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๖
สารบัญ เรื่อง หน้า - คำนำ ก. - สารบัญ ข. - บทนำ / บทที่ ๑ แนวคิดเกี่ยวกับจริยธรรม ๑ - ความหมายของจริยธรรม ๑ - ความหมายและความสำคัญของคุณธรรม ๒ - ความสำคัญของจริยธรรม ๒ - ๕ - สรุปท้ายบท ๕ - บทนำ / บทที่ ๒ หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชีวิตตนเอง ๖ - การพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง ๖ - ธรรมที่เกี่ยวกับการพัฒนาชีวิตตนเอง ๘ - สรุปท้ายบท ๑๑ - บรรณานุกรม
บทนำ จริยธรรมฉบับนี้ได้กล่าวถึงหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการปฏิบัติติงานในหน้าที่ของกรรมการ และ พนักงานขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย เห็นถึงความสำคัญของ “การกำกับดูแลกิจการ ที่ดีขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย” ซึ่งเป็นหนึ่งใน กลยุทธ์การดำาเนินงาน เพื่อให้เกิดความ โปร่งใส เป็นธรรมและตรวจสอบได้ โดยการดำเนินงาน ที่ผ่านมาได้ปฏิบัติงานภายใต้กรอบของหลักจรรยาบรรณที่ดีอยู่แล้ว เพื่อให้การดำเนินการ ตามนโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดีได้อย่างเป็นรูปธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณถือ เป็นเครื่องมือที่จำเป็นและสำคัญ จึงกำหนดแนวทางให้เป็นลายลักษณ์อักษร เกี่ยวกับการประพฤติ ปฏิบัติตามหน้าที่ และภารกิจที่ผู้บริหารและพนักงานทุกระดับพึงได้รับมอบหมายด้วยความ ซื่อสัตย์ สุจริต เที่ยงธรรม ทั้งการปฏิบัติต่อองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยและ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม เพื่อให้ผู้บริหารและพนักงานทุกระดับรับทราบ และยึดถือเป็นแนวทาง ดำเนินชีวิตประจำวันของตนเอง ความหมายของจริยธรรม (Ethics) คำว่า “จริยธรรม” แยกออกเป็น จริย + ธรรม ซึ่งคำว่า จริย หมายถึง ความประพฤติหรือ กิริยาที่ควรประพฤติ ส่วนคำว่า ธรรม มีความหมายหลายประการ เช่น คุณความดี, หลักคำสอน ของศาสนา, หลักปฏิบัติ เมื่อนำคำทั้งสองมารวมกันเป็น "จริยธรรม" จึงมีความหมายตามตัวอักษร ว่า “หลักแห่งความประพฤติ” หรือ “แนวทางของการประพฤติ”พจนานุกรมฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้คำนิยามว่า "จริยธรรม" คือ ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ, ศีลธรรม, กฎศีลธรรมโดยทั่วไป จริยธรรมมักอิงอยู่กับศาสนา ทั้งนี้เพราะคำสอนทางศาสนามีส่วน สร้างระบบจริยธรรมให้สังคม ดังคำกล่าวของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ว่า “จริยธรรมของ สังคมไทยขึ้นอยู่กับระบบศีลธรรมของพุทธศาสนา ศาสนาพุทธกำหนดหลักในการปฏิบัติในชีวิต ประจำไว้อย่างไร นั่นหมายความว่า ได้กำหนดหลักจริยธรรมไว้ให้ปฏิบัติอย่างนั้น” แต่ทั้งนี้มิได้ หมายความว่า จริยธรรมอิงอยู่กับหลักคำสอนทางศาสนาเพียงอย่างเดียว แท้ที่จริงนั้นจริยธรรม หยั่งรากอยู่บนขนบธรรมเนียมประเพณี โดยนัยนี้ บางคนเรียกหลักแห่งความประพฤติ อันเนื่องมาจากคำสอนทางศาสนาว่า "ศีลธรรม" และเรียกหลักแห่งความประพฤติอันพัฒนามา บทที่ ๑ แนวคิดเกี่ยวกับจริยธรรม
จากแหล่งอื่น ๆ ว่า "จริยธรรม" ไม่แยกเด็ดขาดจากศีลธรรม แต่จริยธรรมจะมีความหมายกว้างกว่า ศีลธรรม เพราะศีลธรรมเป็นหลักคำสอนทางศาสนาที่ว่าด้วยความประพฤติปฏิบัติชอบ ส่วนจริยธรรม หมายถึง หลักแห่งความประพฤติปฏิบัติชอบอันวางรากฐานอยู่บนหลักคำสอนของ ศาสนา ปรัชญาและขนบธรรมเนียมประเพณี1 ความหมายและความสำคัญของ คุณธรรม เป็นปัจจัยสำคัญที่จะสร้างความเป็นระเบียบ ความสงบสุข ความเจริญให้แก่ปัจเจกบุคคล สังคม และประเทศชาติโดยส่วนรวม ดังที่ พิมพ์พรรณ เทพสุเมธานนท์ และนุชนารถ สุนทรพันธ์ (๒๕๓๗) และ ประวัติ พื้นผาสุก (๒๕๔๙) ได้อธิบาย ความสำคัญของคุณธรรม2 ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเสริมสร้างความสงบสุขและความเจริญให้แก่ บุคคลและเป็นฐานแห่งความสุขแก่ส่วนรวม โดยที่คุณธรรมจะเป็นเครื่องส่งเสริมความสงบสุขและ ความเจริญ ฉะนั้น ผู้ที่ต้องการความสงบสุขและความเจริญจึงต้องฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้มีคุณธรรม ทั้งนี้ มิใช่เพียงเพื่อให้ตนเองสงบสุขและมีความเจริญเป็นการส่วนตัวเพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่ยัง ส่งผลให้ประเทศชาติบ้านเมืองโดยส่วนรวมมีความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองด้วย ด้วยเหตุที่บุคคล และส่วนรวมต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน “คุณธรรม” คือ คุณ + ธรรมะ คุณงามความดีที่เป็นธรรมชาติ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และ สังคม ซึ่งรวมสรุปว่าคือ สภาพคุณงาม ความดีคุณธรรม (Virtue) แนวความคิดที่ดีเป็นตัว บังคับให้ประพฤติดีคือ สภาพคุณงามความดีทางความประพฤติและจิตใจ คุณธรรม คือ จริยธรรมที่แยกเป็นรายละเอียดแต่ละประเภท หากประพฤติปฏิบัติอย่าง สม่ำเสมอ ก็จะเป็นสภาพคุณงามความดีทางความประพฤติและจิตใจของผู้นั้น ความสำคัญของจริยธรรม จริยธรรมนับว่าเป็นพื้นฐานที่สําคัญของมนุษยทุกคน ถาคนใดขาดจริยธรรมอาจมีผล ร้ายต่อตนเองและสังคม สังคมที่มีคนขาดจริยธรรมมากยอมเป็นสังคมที่วุนวายไรความสุข ดังจะพบได้จากการเกิดวิกฤตศรัทธาในวิชาชีพหลายแขนงในปัจจุบัน ทั้งใน วงการวิชาชีพ ครูแพทย์ตํารวจ ทหาร หรือนักการเมือง เป็นตน จึงมีคํากลาววา เราไม่สามารถสร้างครูบน พื้นฐานของคนไมดี และไม่สามารถผลิตแพทย์ตํารวจ ทหาร นักธุรกิจที่ดีได้ถาหากบุคคลเหล่านั้น มีพื้นฐานทางนิสัยและความประพฤติที่ไม ดีจริยธรรมจึงเป็นสิ่งที่สําคัญต่อชีวิตและสังคม 1 ผศ.ดร.สถาพร วิชัยรัมย์ปร.ด.(รัฐประศาสนศาสตร์),จริยธรรมสำหรับนักบริหาร,(ออนไลน์) : แหล่งที่มา https://pa.bru.ac.th/2021/08/15/ethics01/สืบค้น เมื่อ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ 2 พระมหาอาจริยพงษ์ คำตั๋น. การปฏิบัติตนด้านคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษา ในเขตจังหวัดนครปฐม.ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร. (๒๕๕๔)
มีสวนสำคัญที่จะนำความสงบสุข และความเจริญก้าวหน้ามาสูสังคมนั้นๆ เพราะเมื่อคนใน สังคมมีจริยธรรมจิตใจก็ยอมส่งผลให้มีความสะอาดและสว่างในจิตใจ3 จะทำการใดก็ไมกอให้เกิด ความเดือดร้อน ไม่กอให้เกิดทุกข์แก่ตนเองและผูอื่นเป็นบุคคลที่มีคามีประโยชนตอสังคม คนทุกคนควรไดรับการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมไปพร้อม ๆ กัน ประเภทของจริยธรรม การประพฤติของคนมีได้หลายระดับแยกตามสภาพจิตใจและจะได รับผลมากน้อยนั้นขึ้นอยูกับระดับสติปญญาของบุคคลผูนั้น4 บางคนอาจปฏิบัติได้ระดับสูงสุด แต่บางคนก็ปฏิบัติได้ตามระดับมาตรฐานที่มนุษย์ควรปฏิบัติเท่านั้น ดวงเดือน พันธมนาวิน และ เพญแข ประจันปัจจนึก (๒๕๒๐: ๔-๖) แบ่งจรยธรรม ออกเปน ๔ ประเภท คือ ๑. ความรู้เชิงจริยธรรม หมายถึง ลักษณะของความรูที่บุคคลต่าง ๆ สามารถ บอกไดวา ควรทำหรือบอกไดวา พฤติกรรมใดเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เชน การที่เรารู้วามารยาทที่ดีนั้น เป็นอยางไรหรือรูวาเราต้องมีความรับผิดชอบในหน้าที่อย่างไร เป็นตน ความรู้เชิงจริยธรรมนี้ ขึ้นอยูกับอายุระดับการศึกษา และพัฒนาการทางสติปญญาของคนด้วย ๒. ทัศนคติเชิงจริยธรรม หมายถึง ความรูสึกของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ ความชอบหรือ ไม่ชอบทําดีเป็นลักษณะทำถูกต้อง ทําชอบเป็นลักษณะทำถูกใจ การตัดสินความดีความชอบโดย ถือเอาเกณฑ์ของความถูกต้อง และความถูกใจของบุคคลมาประเมินค่าจริยธรรม จึงเป็นทัศนะคติ เชิงจริยธรรม เชน การที่เราไม่พอใจคนที่แย่งที่นั่งคนแก่บนรถเมล์หรือไมชวยคนที่ถือของพะรุงพะรัง ๓. เหตุผลเชิงจริยธรรม หมายถึง การตัดสินใจที่จะกระทำพฤติกรรมใด พฤติกรรมหนี่ง ของบุคคลลงไปจะต้องประกอบด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะหน้านั้น และเหตุผล เชิงจริยธรรมของบุคคลเกิดจากประสบการณ์และสติปญญา ของบุคคลนั้น ๔. พฤติกรรมเชิงจริยธรรม หมายถึง การที่คนแสดงถึงพฤติกรรมที่สังคมชื่นชอบหรือ งดการกระทาที่ฝาฝนกฎระเบียบและค่านิยมในสังคมนั้น พฤติกรรมเชิงจริยธรรมซึ่งเป็นการกระทำ ที่สังคมเห็นชอบและสนับสนุนมีหลายประการ เชน การช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก เป็นตน ปราชญา กลาผจัญ (๒๕๔๔: ๘๗) ได้แบ่งจริยธรรมออกเปน ๒ ประเภท คือ ๑. จริยธรรมสำหรับผู้ครองเรือน เป็นจริยธรรมเบื้องต้นที่มนุษยทั่วไปสามารถปฏิบัติได้ เชน ศีล ๕ เป็นธรรมประจำใจสำหรับผู้ครองเรือนที่เรียกวา ฆราวาส หรือ อาคาริกชน (อยู่ในอาคาร บ้านเรือน) มนุษยผูยังมีโลกีย์วิสัยอันอยู่ในขันธสันดาน ๒. จริยธรรมสำหรับผู้ประพฤติพรหมจรรย์ได้แก่ ธรรมอันมิใช่โลก ได้แก่ผูที่งดเว้นจาก กามทั้งปวง ละโลก สละเพศฆราวาส ออกบวชเป็นพระ นักบวช ฤๅษีชีไพร ทองเที่ยวไปในป่าเขา หรือไมก็จําพรรษาอยในวัด หรือเป็นพระธุดงค์ออกจาริกแสวงบุญไปเรี่อยๆ พวกนี้เรียกวา อานาคาริกชน (พวกไมมีบานชองอาศัย) 3 ญมี แท่นแก้ว,จริยธรรมกับชีวิต (พิมพ์ครั้งที่๖),กรุงเทพฯ : โอเอส พริ้นติ้งเฮาส์. (๒๕๔๑) 4 ภิภพ วชังเงิน, จริยธรรมวิชาชีพ, กรุงเทพฯ : อมรการพิมพ์. (๒๕๔๕)
องค์ประกอบของจริยธรรม5 กระทรวงศึกษาธิการได้สรุปองค์ประกอบของจริยธรรมไวดังนี้คือ ๑. ความรับผิดชอบ (Accountability) คือ ความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความผูกพัน ด้วยความพากเพียร และความ ละเอียดรอบคอบยอมรับผลการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้ บรรลุผลสำเร็จตามความมุ่งหมาย ทั้งพยายามที่จะปฏิบัติหน้าที่ ให้ดียิ่งขึ้น ๒. ความซื่อสัตย์ (Honesty) คือ การประพฤติอย่างเหมาะสม และตรงต่อความเป็นจริง ประพฤติ ปฏิบัติ อย่างตรงไปตรงมา ทั้งกาย วาจา ใจ ต่อตนเองและผู้อื่น ๓. ความมีเหตุผล (Rationality) คือ ความสามารถในการใช้ปัญญา ในการประพฤติ ปฏิบัติ รู้จักไตร่ตรอง พิสูจน์ให้ ประจักษ์ ไม่หลงงมงาย มีความยับยั้งชั่งใจ โดยไม่ผูกพันกับอารมณ์ และความยึดมั่นของตนเอง ที่มีอยู่เดิมซึ่งอาจผิดได้ ๔. ความกตัญญูกตเวที (Gratitude) คือ ความรู้สำนึกในอุปการคุณหรือบุญคุณที่ผู้อื่น มีต่อเรา ๕. ความมีระเบียบวินัย (Disciplined) คือ การควบคุมความประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง และเหมาะสมกับจรรยามารยาท6 ข้อ บังคับ ข้อตกลง กฎหมาย และศีลธรรม ๖. ความเสียสละ (Sacrifice) คือ การละความเห็นแก่ตัว การให้ปันแก่บุคคลที่ควรให้ด้วย กำลังกาย กำลังสติปัญญา รวมทั้ง การรู้จักสลัดทิ้งอารมณ์ร้ายในตนเอง ๗. การประหยัด (Thrifty) คือ การใช้สิ่งของพอเหมาะพอควรให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ไม่ให้มีส่วนเกินมากนัก รวมทั้งการ รู้จักระมัดระวัง รู้จักยับยั้งความต้องการให้อยู่ในกรอบและ ขอบเขตที่พอเหมาะ ๘. ความอุตสาหะ (Diligence) คือ ความพยายามอย่างเข้มแข็ง เพื่อให้เกิดความสำเร็จในงาน ๙. ความสามัคคี (Harmony) คือ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความพร้อมเพรียง ร่วมมือกันกระทำกิจการให้สำเร็จลุล่วง ด้วยดี โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว ๑๐. ความเมตตาและกรุณา (Loving Kindness and Compassion) คือ ความรักใคร่ ปรารถนาจะให้ผู้อื่นมีสุข กรุณา หมายถึง ความสงสาร คิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ๑๑. ความยุติธรรม (Justice) คือ การปฏิบัติด้วยความเที่ยงตรง สอดคล้องกับความเป็น จริงและเหตุผล ไม่มีความลำเอียง ลักษณะของผู้มีจริยธรรม7 ๑. เป็นผู้ที่มีความเพียรความพยายามประกอบความดี ละอายต่อการปฏิบัติชั่ว ๒. เป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตยุติธรรม และมีเมตตากรุณา ๓. เป็นผู้มีสติปัญญารู้สึกตัวอยู่เสมอ ไม่ประมาท ๔. เป็นผู้ใฝ่หาความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพเพื่อความมั่นคง 5 วศิน อินทรสระ. พุทธจริยศาสตร์. กรุงเทพฯ : ทองกวาว. (๒๕๔๑) 6 ลำดวน ศรีมณี. (๒๕๔๓). จริยธรรมและจริยศาสตร์ตะวันออก. กรุงเทพฯ : ดวงแก้ว. 7 ดวงเดือน พันธุมนาวิน. (๒๕๓๙). ทฤษฎีต้นไม้จริยธรรม. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
๕. เป็นผู้ที่รัฐสามารถอาศัยเป็นแกนหรือฐานให้กับสังคม สำหรับการพัฒนาใด ๆ ได้ - ๕ - ประโยชน์ของจริยธรรม จริยธรรมจะมีประโยชนก็ตอเมื่อนำาไปปฏิบัติ เพราะจริยธรรมเป็น หลักสำคัญ สําหรับการปฏิบัติการศึกษาเพื่อเข้าใจหรืออธิบายได้เท่านั้นไมมีประโยชน์แต่การนํา จริยธรรมไปใชปฏิบัตินั้น จะเป็นประโยชน์ได้ดังนี้ ๑. ต อตนเอง คนที่มีจริยธรรมย่อมมีเครื่องมือที่ชวยใหคิดให้กระทำในสิ่งที่ดี สร้างประโยชน์แก่ตนเองและส่วนรวม มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและจงใจใหทําแตสิ่งดีๆ มีความเจริญ ต่อตนเอง เชน คนที่ขยันเรียนมีความรับผิดชอบ ยอมประสบความสาเร็จในการเรียนในทางตรง กันข้ามคนที่เกียจคร้าน และขาดความขยันหมั่นเพียรก็จะสอบตก เป็นตน หรือพนักงานขายของ ที่มีวาจาสภาพอ่อนน้อมต่อลูกคา ยอมจะไดรับคำชมมากกว่าผูที่มีกริยาวาจาหยาบคายไร้มารยาท ๒. ตอสังคม คนที่มีจริยธรรมยอมทำสิ่งที่เป็นประโยชนทั้งต่อตนเองและแก่ผูอื่น อย่างน้อยการไมทําชั่ว ก็เปนการช่วยใหสังคมไมตองแก้ไขปัญหา ถาคนในสังคมมีจริยธรรมดีสังคม นั้นก็จะมีความเจริญก้าวหน้าได้เช่นกัน คนดีจึงเป็นผูรักษาสังคมด้วยการไมทําลายสังคม ไมวาจะเป็นทรัพยากรของประเทศสภาพแวดล้อม หรือการประพฤติทุจริตต่าง ๆ ๓. การรักษาจริยธรรม จริยธรรมเป็นสิ่งที่ดีมีคุณค่าทางกายใจ และสังคมดังกล่าวมาแล้ว จะรักษาไว้ไดก็ดวยการปฏิบัติถาไม่ปฏิบัติแล้วก็เป็นเพียง ตัวหนังสือหรือคำพูดเปลาๆ จะช่วยใคร ไม่ไดทั้งสิ้นการศึกษาจริยธรรมและนำไปปฏิบัติ จึงเปนการรักษาจริยธรรมให้คงอยู่ ๔. การพัฒนาบ้านเมือง ตองพัฒนาจิตใจคนก่อน หรืออาจพัฒนาควบคูกันไปกับ การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม เพราะการพัฒนาที่ไมมีจริยธรรมเป็นแกนนําจะสูญเปล่า และ เกิดผลเสียเป็นอันมาก สรุปท้ายบท การที่มนุษย์เราจะอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความสงบสุข ร่มเย็น หรือทำงานร่วมกันให้ บรรลุผลสำเร็จได้นั้น จะต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยวให้ทุกคนคิดและกระทำในสิ่งที่ถูกต้องและทุกคนถึง พอใจร่วมกัน สิ่งนั้นเรียกว่า “ความดี” กล่าวคือ การคิดดี พูดดี ทำดี ซึ่งหากมีในบุคคลใดสังคมใด แล้ว บุคคลนั้นสังคมนั้นอาจเรียกได้ว่ามี “คุณธรรมจริยธรรม” อันจะนำมาซึ่งคุณประโยชน์ส่วน ตนและสังคมส่วนรวม เพราะความเจริญก้าวหน้าของสังคมตั้งแต่ระดับเล็กสุด คือ ครอบครัว ชุมชน จนกระทั่งระดับใหญ่สุดคือประเทศชาติ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนในชาติทุกระดับชั้นมี คุณธรรมจริยธรรมเป็นเครื่องหล่อหลอมให้เกิดความร่วมมือร่วมใจ มีแรงผลักดันในการพัฒนา ประเทศ สามารถเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวม ขณะเดียวกันองค์การระดับต่างๆ ผู้บริหารทุกระดับ รวมทั้งสมาชิกในองค์การจำเป็นต้องมีคุณธรรมจริยธรรม เพื่อเป็นหลักในการ
ดำรงพฤติกรรมในการครองตน ครองคนและครองงาน อันจะทำให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ และส่งผลต่อความสำเร็จขององค์การตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จึงสรุปได้ว่า จริยธรรม คือ หลักแห่งความประพฤติที่ดีงาม ทั้งกาย วาจา ที่เกี่ยวข้องกับหลัก คำสอนของศาสนา และยังรวมถึงขนบธรรมเนียมประเพณี ที่ยอมรับกันว่าดีงามของสังคมโดยรวม เพื่อให้ตนเองและสังคมรอบข้างมีความสุข สันติสุข ก่อให้เกิดความรักความสามัคคี บทนำ สังคมในปัจจุบันนี้ มีการพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว และต่อเนื่องเป็นอย่างมาก สืบเนื่องมาจาก สภาพของธรรมชาติโดยทั่วไป มนุษย์พัฒนาตนเองมาโดยเป็นลำดับ ในตอนแรกก็อยู่กันเป็นกลุ่ม เฉพาะตน ปกป้องแต่พวกตนเป็นหลัก ในขณะเดียวกันก็เป็นศัตรูกับกลุ่มอื่น ๆ แก่งแย่งชิงดี สู้รบ กับกลุ่มอื่น ๆ จนภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา ใช้ปัญญาในการวิวัฒนาการ ที่ เปลี่ยนแปลงไปสามารถรวมกลุ่มให้ใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ และสามารถอยู่ร่วมกันได้ มนุษย์นั้นเป็น สังคม หมายถึง การอยู่รวมเป็นกลุ่มๆ ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ๆ ที่มีลักษณะ ต่าง ๆ แตกต่างกันออกไป เป็นต้นว่า อยู่เป็นครอบครัว เผ่าพันธุ์ชุมชน สังคม และประเทศชาติ เมื่อมาร่วมกันเป็นกลุ่มนั้นย่อมมีผู้นำและผู้ตาม ของประชาชนหรือคนในกลุ่ม ยังมีการควบคุมดูแล การจัดระเบียบ และการพัฒนา เพื่อให้เกิดความสงบสุข และมีการพัฒนาขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อมีกลุ่มคนเหล่านี้ ก็ย่อมมีในสิ่งที่ดีที่เจริญต่อไป ในทางคำกริยา คำว่า พัฒนา หมายความว่า การทำให้เจริญ ทำให้เติบโตงอกงามและมากขึ้น มนุษย์ทุกคนอยากเป็นคนที่สมบูรณ์ มีชีวิตที่มี ความสุข ในการดำเนินชีวิต ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตัวเองได้ตั้งไว้ จึงจะต้องมีการ พัฒนาตนเองให้มีการเรียนรู้ สร้างวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ ที่ทันสมัยต่อยุคในปัจจุบันนี้ เมื่อมาปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตนเอง ให้ตนเองได้ทันยุคทันสมัยมีความเจริญงอกงาม มีความรู้ มีทักษะและมี ความสามารถ ในการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน ด้านการอยู่ร่วมในกันสังคม มีปัญญาและ คุณธรรม ควบคู่ไปด้วย ดังคำที่ว่า "เมื่อไม่ได้พัฒนาที่จิตใจจะพัฒนาด้านใด ๆ ก็ไร้ผล การพัฒนา จึงต้องเริ่มที่ใจคน เพื่อเกิดผลพัฒนาที่ถาวร" การพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง ชีวิตที่มีคุณภาพย่อมเป็นชีวิตที่ประสบความสมหวัง รู้จักยับยั้งความต้องการทางร่างกาย และความต้องการทางอารมณ์ของตนเองให้อยู่ในขอบเขตที่พอดี สามารถใช้ความรู้ สติปัญญา ความรู้สึกนึกคิดของตนไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเบียดเบียนหรือให้โทษแก่บุคคลอื่นใน บทที่ ๒ หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชีวิตตนเอง
ขณะเดียวกันบุคคลจะต้องมีการศึกษาสูงมีความขยันอดทนประกอบอาชีพที่สุจริตเป็นพลเมืองดี8 มีศาสนาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจมีระเบียบมีวินัยมีกฎเกณฑ์ทางสังคมแสวงหาความรู้เพิ่มเติมรู้จัก ใช้ความคิดและสติปัญญาแก้ไขปัญหาสุขภาพและการดำรงชีวิตของตนเองซึ่งถือว่าเป็นคุณลักษณะ ของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของบุคคลในอีกระดับหนึ่ง ซึ่งมีแนวทางในการพัฒนา ดังต่อไปนี้ ๑. พัฒนากายเพื่อมุ่งให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บและ ความพิการใดๆ ๒. พัฒนาทางอารมณ์ เพื่อมุ่งให้อารมณ์มีความสนุกสนานร่าเริง ไม่มีความเครียดหรือ วิตกกังวลต่อการเรียน หรือต่อการปฏิบัติงาน ในหน้าที่รับผิดชอบ มีแต่ความเจริญหู เจริญตา เจริญใจ มองโลกในแง่ดีตลอดไป ๓. พัฒนาทางสังคม เพื่อมุ่งให้เป็นคนที่มีเกียรติ ได้รับการยกย่อง เคารพนับถือการ ยอมรับความรู้สึกเป็นเจ้าของ และความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ๔. พัฒนาทางความคิด เพื่อมุ่งให้เป็นคนที่มีความต้องการที่จะรู้และเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการคิดค้นหา วิธีการป้องกันแก้ไขปัญหาทั้งหลาย ให้ตัวเองได้ดำรงชีพ อยู่อย่างสุขสบาย ๕. พัฒนาทางจิตใจ เพื่อมุ่งให้เป็นคนที่มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อชุมชน เป็นที่พึ่งที่ยึด เหนี่ยวทางใจ มีความมั่นใจว่าชีวิตนี้มีคุณค่ามีความสุขหรือมีชีวิตที่ดีกว่าในอนาคต ได้รับความหลุด พ้นจากทุกข์ทั้งหลาย ๖. พัฒนาทางปัญญา เพื่อมุ่งให้เป็นคนมีความเฉลียวฉลาด สามารถคิดพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างมีเหตุผล ซึ่งปัญญาจะแตกฉานในบุคคลได้นั้น จำเป็นจะต้องมีการศึกษาเล่าเรียนมีความ สนใจเอาใจใส่ต่อวิชาความรู้ที่ครูอาจารย์อบรมสั่งสอนเพื่อให้เป็นผู้มีความรู้ความสามารถและ นำไปพัฒนาชีวิตที่มีคุณค่าต่อไปภายภาคหน้า ๗. พัฒนาทางวินัย เพื่อมุ่งให้เป็นคนมีระเบียบวินัยในตนเอง สามารถเคารพและปฏิบัติ ต่อภาระหน้าที่ต่าง ๆที่มีอยู่ให้อยู่ในกรอบของข้อบังคับของกฎเกณฑ์ที่ได้กำหนดขึ้น ไม่ประพฤติ ตนออกนอกลู่นอกทางการมีวินัยที่ดีนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงมีทรรศนะ ว่า “คนที่มีระเบียบวินัยนั้นเป็นผู้ที่เข้มแข็ง เป็นผู้ที่หวังดีต่อตัวเอง เป็นผู้จะมีความสำเร็จ ในอนาคต” ๑. อธิบายรายละเอียดหัวข้อธรรมที่เลือก 8 การพัฒนาคุณภาพชีวิต,ชีวิตที่มีคุณภาพ,{ออนไลน์},แหล่งที่มา: https://www.gotoknow.org/posts/500426,สืบค้น เมื่อ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗.
หิริ โอตตัปปะ เป็นธรรมะที่คอยควบคุมจิตใจให้ตั้งอยู่ในความดี ปกป้องการทำความชั่ว อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน9 ดังนั้น หิริ หมายถึง การละอายต่อบาป หรือการกระทำช่วยทั้งกาย วาจา และใจ ไม่ว่าจะมีผู้รู้เห็นหรือไม่ ส่วน โอตตัปปะ หมายถึง การเกรงกลัวต่อบาป หรือกลัวผลของการทำชั่ว กลัวว่าเมื่อ หิริ คือ ความละอายใจในการทำบาป โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวผลของการทำชั่ว การมี หิริ ทำให้คนเรามีความละอายแก่ใจ ไม่คิดชั่ว พูดชั่ว ทำาชั่วทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น เพราะมีความละอายใจต่อมาปที่จะเกิดขึ้นจนสามารถชนะใจตัวเอง หยุดความชั่วคิดจะกระทำได้ ส่วนการมี โอตัปปะ ทำให้เรารู้จักกรงกลัวอบาปกลัวโทษที่จะเกิดขึ้นจากการทำความชั่ว ทั้งโทษที่เกิดจากผลแห่งกรรม และโทษทางกฎหมาย ซึ่งผู้ที่มีโอตัปปะมักเป็นผู้เข้าใจในกฎแห่ง กรรม เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วยอมได้ชั่ว ทั้งนี้การจะมี 'หริโอตัปปะ ได้นั้น ต้องอาศัยการอบรม เลี้ยงดูสอนสั่งให้รู้จักผิดชอบชั่วดีรู้จักบาปกรรม รู้จักผลแห่งกรรมที่จะเกิดขึ้นทั้งในชาตินี้และชาติ หน้าที่สำคัญต้องรู้จักเคารพตัวเอง เคารพความถูกต้องจึงจะเกิดความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ได้หิริและโอตัปปะ ถือว่าเป็นธรรมะที่สำคัญต่อการใช้ชีวิตรวมกันในสังคม เป็นเหมือนเครื่อง เตือนใจเตือนภัยให้ระลึกไว้เสมอว่าใครก็คามที่ไม่มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาปย่อมจะถูกชัก จูงชักชวนไปในทนทางที่ผิดได้โดยง่าย เริ่มจากผิดน้อย กลายเป็นผิดมาก จนสามารถทำผิดร้ายแรง ทำเรื่องเลวร้ายได้ทุกอย่างเพราะไม่มีสำนึกใด ๆ ให้นึกถึงบาปกรรม หรือความเดือดร้อนของผู้อื่น การไม่มีหิริโอตัปปะเปรียบได้กับการไม่เชื่อกฎแห่งกรรม คิดว่ากรรมไม่มีจริง ยิ่งผลของกรรมที่เห็น กันตั้งแต่ชาตินี้ยิ่งไม่มีจริง แต่ถ้าลองพิจารณาดี ๆ จะรู้เลขว่ากรรมมีจริง เป็นกรรมติดจรวดที่เห็น กันตั้งแต่ชาตินี้เลยด้วย ใครทำอะไรไว้ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า บางคนรับผลกรรมกับตอนนี้ เดี่ยวนี้ เลยดังนั้นคนเราจึงต้องละอายและเกรงกลัวต่อบาป เพราะนอกจากจะไม่ให้กรรมตามทันแล้ว ยังเป็นการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างปกติสุขที่สุดด้วย ธรรมที่เกี่ยวกับการพัฒนาชีวิตตนเอง หลักธรรมที่เอื้อใช้พัฒนาตนเองให้เป็นคนดี ได้แก่ - เบญจศีล คือ เอื้อประพฤติตนอยู่ใน ระเบียบวินัยของโรงเรียนและสังคม พูดจาสุภาพ ซื่อตรง - เบญจธรรม คือ เป็นคนมีความเมตตา กรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือกิจกรรมต่างๆ หลักธรรมที่เอื้อใช้ในการพัฒนาตนเองให้เป็นคนเก่ง คือ อิทธิบาท ๔ ประกอบด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา 9 พระเมธีวราภรณ์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). (๒๕๓๔). ความสัมพันธ์ระหว่างจริยธรรม จริยศาสตร์และจริยศึกษา ความรู้คู่ คุณธรรม. ในรวมบทความเกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรม และการศึกษา. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
๒. การนำหลักธรรมไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ความสุขจะเกิดได้ต้องกำจัดมูลเหตุแห่งความทุกข์ให้หมดสิ้น พระพุทธเจ้าทรงชี้นำ หลักธรรมเพื่อดำเนินชีวิตไว้หลายข้อ ผู้ประพฤติธรรมไม่ว่าข้อใดข้อหนึ่ง ย่อมจะเป็นผู้มีคุณสมบัติ ในการดำเนินชีวิต ครองตน ครองคนและครองงานได้ในทุกระดับ10 ดังเช่นควรเชื่อในกฎแห่งกรรม ปรากฏในพระสูตร คือ “หญิงชาย คฤหัสถ์ บรรพชิต ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีกรรมเป็น ของตนเป็นผู้รับผลของกรรมมีกรรม เป็นกำเนิดมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์มีกรรมเป็นที่อาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ดีก็ตาม ชั่วก็ตามเราจะได้รับผลของกรรมนั้น” (พระไตรปิฎก ๑๔ : ๕๗๙) หลักธรรมที่ควรนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน คือ เบญจศีล แปลว่าศีล ๕ เป็นเรื่องของการงดเว้นหรือห้ามไม่ให้กระทำ คฤหัสถ์ควร รักษาศีลเป็นนิตย์ มี ๕ ข้อ คือ ๑. ปาณาติปาตาเวรมณี เว้นจากการฆ่าสัตว์ ๒. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากการลักทรัพย์ ๓. กาเมสุมิฉาจารา เวรมณี เว้นจากการประพฤติผิดกาม ๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดเท็จ ๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี เว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย ฯ เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท สังคหวัตถุ ๔ หมายถึง ธรรมอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจคน มี ๔ ประการ11 คือ ๑. ทาน คือ การให้ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ แบ่งปันช่วยเหลือให้วัตถุสิ่งของ ปัจจัยสีตลอดจนให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้อื่น ๒. ปิยวาจา คือ การพูดจาอ่อนหวาน กล่าวคำสุภาพไพเราะน่าฟัง รู้จักพูดให้เกิด ความเกิดไมตรี มีเหตุผล พูดให้เกิดความสามัคคี รักใคร่นับถือกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ๓. อัตถจริยา คือ การทำประโยชน์ให้แก่คนอื่น ช่วยเหลือด้วยแรงกายและแรงใจ บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ช่วยเหลือกิจการต่าง ๆ ๔. สมานัตตตา คือ การวางตัวให้เสมอต้นเสมอปลาย ปฏิบัติสม่ำเสมอต่อคนทั้งหลาย ไม่เอาเปรียบ ร่วมทุกข์ร่วมสุข 10 พระราชวรมุนี (ป.อ. ปยุตฺโต). (๒๒๘). พจนานุกรมฉบับประมวลธรรม. กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. 11 พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตฺโต). รุ่งอรุณของการศึกษา เบิกฟ้าแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน. นครปฐม : วัดญาณเวศกวัน.
ฆราวาสธรรม ๔ หมายถึง ธรรมของผู้ครองเรือน ธรรมสำหรับฆราวาส เป็นเครื่องมือ ทำให้การงานสำเร็จ เป็นหลักปฏิบัติสำหรับการครองชีวิต มี ๔ ประการ ได้แก่ ๑. สัจจะ คือ ความจริงในสิ่งที่ต้องการซื่อตรง ซื่อสัตย์ จริงใจ ทำอะไรเชื่อถือ ไว้วางใจได้ ๒. ทมะ คือ บังคับตนให้ทำอย่างนั้นจริง ๆ รู้จักแก้ไขปรับปรุงตนให้ก้าวหน้าดีงาม ๓. ขันติ คือ ความอดทน อดกลั้น ขยันหมั่นเพียร ไม่หวั่นไหว ไม่ท้อถอย ๔. จาคะ คือ สละสิ่งที่เป็นกิเลสออกไป มีน้ำใจชอบช่วยเหลือเกื้อกูลบำเพ็ญ ประโยชน์ร่วมงานกับคนอื่นได้ สัปปุริสธรรม คือ ธรรมของคนดี ถือเป็นการครองตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ มีคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ มี ๗ ประการ ได้แก่ ๑. ธัมมัญญุตา คือ การรู้หลักและรู้จักเหตุในการปฏิบัติหน้าที่หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้บรรลุผลสำเร็จจะต้องรู้และเข้าใจสิ่งที่ตน จะต้องประพฤติปฏิบัติให้เป็นไปตามเหตุผล ตาม หน้าที่และความรับผิดชอบนั้น ๆ ๒. อัตถัญญุตา คือ การรู้จักผลรู้และเข้าใจ ว่ากิจการที่ตนกระทำอยู่นั้นเพื่อ จุดประสงค์อะไรทำไปแล้วจะบังเกิดผลอะไรบ้าง จะดีหรือเสียอย่างไร ๓. อัตตัญญุตา คือ การรู้จักตน รุ้ความสามารถ ความถนัด ความรู้คุณธรรม เพศ กำลัง ในการทำกิจการต่าง ๆ เพื่อจะได้ประพฤติปฏิบัติตนให้ถูกต้องเหมาะสมกับกิจการนั้นๆ ๔. มัตตัญญุตา คือ การรู้จักประมาณ รู้จักความพอเหมาะพอดีในการดำเนิน กิจการทุกอย่าง ๕. กาลัญญุตา คือ การรู้จักกาล รู้จักเวลาอันเหมาะสม รู้ว่าเวลาไหนควรทำ เวลาไหนไม่ควรทำ ๖. ปริสัญญุตา คือ การรู้จักชุมชน รู้การอันควรปฏิบัติ รู้ระเบียบวินัย วัฒนธรรม ประเพณีของท้องถิ่นชุมชน ๗. ปุคคลัญญุตา คือ การรู้จักบุคคลรู้และเข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล รู้จักวิธี ปฏิบัติต่อบุคคลอื่นว่าควรหรือไม่อย่างไร โลกธรรม ๘ คือ ธรรมที่ครอบงำสัตว์โลก ที่มีประจำโลกและสัตว์โลกย่อมเป็นไป ตามธรรมนั้นโลกธรรม12 ๘ มี ๘ ประการ ๔ คู่ คือ ๑. มีลาภ ๒. เสื่อมลาภ ๓. มียศ ๔. เสื่อมยศ 12 พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงขยายความ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖.
๕. สรรเสริญ ๖. นินทา ๗. สุข ๘. ทุกข์ อคติ ๔ คือ การปฏิบัติตนอย่างไม่ชอบธรรม เป็นธรรมที่พึงละเว้น เพราะเป็นต่อ คนอย่างไม่เสมอภาคกัน เรียกว่า “ความลำเอียง” สาเหตุของความลำเอียง แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ ๑. ฉันทาคติ คือ ความลำเอียงเพราะชอบ ๒. โทสาคติ คือ ความลำเอียงเพราะชัง ๓. โมหาคติ คือ ความลำเอียงเพราะหลงหรือเขลา (ความโง่ ความงมงาย) ๔. ภยาคติ คือ ลำเอียงเพราะกลัว - นอกจากนี้ พระพุทธเจ้าทรงวางแนวทางการดำเนินชีวิตเพื่อประโยชน์ ๓ ระดับ คือ ระดับต้น หมายถึง การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข ทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า ประโยชน์ในปัจจุบัน และทรงวางแนวทางปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขในปัจจุบัน ๔ ข้อ13 คือ ๑. มีความขยันทำการงาน (อุฏฐานสัมปทา) ๒. รู้จักรักษาทรัพย์ที่หามาได้ (อารักขสัมปทา) ๓. มีเพื่อนเป็นคนดี (กัลยาณมิตตตา) ๔. เลี้ยงชีวิตอย่างสม่ำเสมอ ไม่ฟุ้งเฟ้อเกินไป และไม่ขัดสนจนเกินไป (สมชีวิตา) ระดับกลาง หมายถึง การมีชีวิตเป็นสุขในโลกหน้า หลังจากตายไปแล้ว ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า ประโยชน์ในสัมปรายภพ มี ๔ ข้อ คือ ๑. มีศรัทธา (สัทธาสัมปทา) ๒. มีศีล (สีลสัมปทา) ๓. บริจาคทรัพย์ทั้งภายในและภายนอก (ปริจาคสัมปทา) ๔. มีปัญญารู้ความเป็นจริงของชีวิต (ปัญญาสัมปทา) ระดับสูงสุด หมายถึง การไม่เกิดไม่ตายอีกต่อไป ตัดขาดจากสังสารวัฏ แนวทางที่ พระพุทธองค์ทรงวางไว้เพื่อปฏิบัติให้บรรลุประโยชน์สูงสุด มี ๘ ประการเรียก มรรคมีองค์ ๘ คือ สัมมาทิฎฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ สัมมาวาจา วาจาชอบ สัมมากัมมันตะ การกระทำชอบ 13 พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพมหานคร : กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๒.
สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ สัมมาวายามะ ความเพียรชอฐ สัมมาสติ ความระลึกชอบ สัมมาสมาธิ ความตั้งใจชอบ สรุปท้ายบท การพัฒนาเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิตในปัจจุบันนี้ ถ้าคนเรานำหลักธรรมทาง พระพุทธศาสนาที่มีการเรียนรู้ฝึกฝนตนเองอยู่สม่ำเสมอ และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ ในชีวิตประจำวันได้อย่างดี ซึ่งทำให้มีชีวิตที่ดี มีสติ เพราะสติ เป็นจุดเริ่มต้นแห่งปัญญามีความสุข ที่แท้จริง ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา รู้เท่าทันความจริงที่เป็นธรรมดาที่เป็นเหตุปัจจัยในกฎของ ธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างถูกต้อง ตั้งใจทำ ให้ดี พัฒนาตนเอง ให้ถึงจุดมุ่งหมายของชีวิต ทำให้เกิดคุณประโยชน์ต่าง ๆ จนส่งผลให้มีความ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เมื่อเรามีความตั้งใจในงานที่ได้รับ มีความพยายามในสิ่งที่ต้อง รับผิดชอบ รู้จักใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญญาเมื่อเกิดปัญหา สามารถไตร่ตรอง ตรวจสอบเหตุผลที่ เป็นจริงได้ มีการพัฒนาหน้าที่การงานของตนเองไปในทางที่ดีที่เจริญ จากนั้นก็ร่วมมือพัฒนาสังคม มีการพัฒนาให้เจริญงอกงาม เมื่อสังคมมีการพัฒนาที่มีการเน้นทางด้านการปรับพฤติกรรม พัฒนาพฤติกรรมให้เหมาะสม และยังเสริมไปสู่จุดมุ่งหมายสร้างในสิ่งที่ต้องการ วางแผนและ แนวทางในการปฏิบัติ นำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามายึดในการดำรงชีวิต ยึดหลักปฏิบัติที่มี ประโยชน์ต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสังคม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการดำเนินชีวิตไปสู่ การดำเนินชีวิตที่เข้าถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดต่อไป บรรณานุกรม ๑. หนังสือ: รัตนวดี โชติกพนิช. ๒๕๕๐), จริยธรรมและจรรยาบรรณ์ในวิชชีพครู. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแห่งราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๕๖). ๒. กาญจนาณัฐ ประธาตุ.(๒๕๖๐). พระพุทธศาสนากับสังคมไทย : การยืนหยัดและท้าทาย ในรอบ ทศวรรษ (พ.ศ. ๒๕๔๘ – ๒๕๕๘). วารสารศิลปการจัดการ ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒ พฤษภาคม – สิงหาคม ๒๕๖๐. น. ๑๐๓ - ๑๑๘ ๓. รุ่งทิพย์ กล้าหาญ. (๒๕๔๓). รายงานการวิจัยเรื่อง “การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม เพื่อทัก ชีวิตด้านสารเสพติดแก่นักศึกษาอาชีวเกษตร”. กรุงเทพฯ: กรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
๔. ดวงเดือน พันธุมนาวิน และคณะ. (๒๕๕๔). แนวทางการส่งเสริมจริยธรรม ในส่วนราชการ. สํานักงาน ก.พ. ๕. กีรติ บุญเจือ. (๒๕๓๘) จริยศาสตร์สำหรับผู้เริ่มเรียน. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช ๖. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพมหานคร : กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๒. ๗. พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงขยายความ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาลัยจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖. ๘. ICT ก้าวหน้าคนต้องพัฒนาปัญญาและวินัย. นครปฐม : คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๕๓. (จากส่วนหนึ่งของหนังสือพุทธธรรมเพื่อส่งเสริม เศรษฐกิจ) ๑. สำนักพิมพ์ผลิธัมม์ในเครือ บริษัท สำนักพิมพ์เพ็ทแอนด์โฮม จำกัด, ๒๕๕๘.พระพรหม คุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). ๑๑. พนม เกตุมาน. (๒๕๓๕) สุขใจกับลูกวัยรุ่น. กรุงเทพฯ: บริษัทแปลน พับลิชชิ่ง จำกัด ************************************