The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ใบความรู้เรื่องพอลิเมอร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2022-12-06 14:43:00

ใบความรู้เรื่องพอลิเมอร์

ใบความรู้เรื่องพอลิเมอร์

ใบความรู้
เรือ่ งพอลิเมอร์

ใบความรู้ เรอ่ื งพอลิเมอร์

เรื่องพอลิเมอร์

ความหมาย ประเภท ชนดิ การเกิด และสมบัติของพอลเิ มอร์
พอลเิ มอร์ (Polymer) คือ สารประกอบที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ และมีมวลโมเลกุลมาก

ประกอบด้วยหนว่ ยเล็ก ๆ ของสารท่อี าจจะเหมือนกันหรือตา่ งกนั มาเช่ือมต่อกันด้วยพนั ธะโควาเลนต์
มอนอเมอร์ (Monomer) คือ หน่วยเล็ก ๆ ของสารในพอลิเมอร์ ดงั ภาพ

ประเภทของพอลเิ มอร์ แบ่งตามเกณฑ์ต่าง ๆ ดังน้ี
1. แบง่ ตามการเกิดเปน็ เกณฑ์ เป็น 2 ชนดิ คอื

ก .พอลิเมอรธ์ รรมชาติ เปน็ พอลิเมอรท์ ่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น โปรตนี แปง้ เซลลโู ลส
ไกโคเจน กรดนิวคลีอิกและยางธรรมชาต(ิ พอลีไอโซปรีน)

ข . พอลิเมอร์สังเคราะห์ เป็นพอลิเมอรท์ ีเ่ กิดจากการสงั เคราะห์เพอ่ื ใช้ประโยชนต์ ่าง ๆ เช่น
พลาสตกิ ไนลอน ดาครอน และลูไซต์ เปน็ ต้น
2. แบง่ ตามชนดิ ของมอนอเมอรท์ ี่เป็นองค์ประกอบ เปน็ 2 ชนดิ คอื

ก.โฮมอลิเมอร์ (Homopolymer) เปน็ พอลิเมอรท์ ป่ี ระกอบด้วยมอนอเมอรช์ นดิ เดยี วกัน
เชน่ แปง้ (ประกอบด้วยมอนอเมอรท์ เี่ ป็นกลูโคสทง้ั หมด) พอลิเอทิลนี PVC (ประกอบด้วยมอนอเมอร์
ท่เี ปน็ เอทิลีนทัง้ หมด)

ข.เฮเทอโรพอลิเมอร์ (Heteropolymer) เปน็ พอลิเมอรท์ ่ีประกอบด้วยมอนอเมอร์ต่างชนดิ
กัน เชน่ โปรตนี (ประกอบด้วยมอนอเมอร์ที่เป็นกรดอะมโิ นตา่ งชนดิ กนั ) พอลเิ อสเทอร์ พอลเิ อไมด์
เป็นต้น

3. แบง่ ตามโครงสรา้ งของพอลเิ มอร์ แบง่ ออกเปน็ 3 แบบ คอื
ก.พอลิเมอร์แบบเสน้ (Chain length polymer) เปน็ พอลเิ มอร์ทเ่ี กดิ จากมอนอเมอร์สรา้ ง

พนั ธะต่อกันเป็นสายยาว โซ่พอลิเมอรเ์ รียงชดิ กันมากว่าโครงสรา้ งแบบอ่ืน ๆ จงึ มีความหนาแน่น และ
จุดหลอมเหลวสงู มลี ักษณะแขง็ ขุ่นเหนียวกว่าโครงสรา้ งอื่นๆ ตัวอยา่ ง PVC พอลิสไตรนี พอลิเอทลิ ีน
ดงั ภาพ

ข.พอลิเมอรแ์ บบกง่ิ (Branched polymer) เปน็ พอลิเมอรท์ ีเ่ กิดจากมอนอเมอร์ยึดกันแตก

กิง่ กา้ นสาขา มีทั้งโซ่สั้นและโซย่ าว ก่ิงที่แตกจาก พอลเิ มอร์ของโซห่ ลกั ทำให้ไมส่ ามารถจัดเรยี งโซพ่ อ
ลเิ มอรใ์ ห้ชิดกันไดม้ าก จึงมคี วามหนาแนน่ และจดุ หลอมเหลวต่ำยืดหยุ่นได้ ความเหนียวตำ่ โครงสร้าง
เปลย่ี นรูปได้งา่ ยเม่ืออุณหภูมเิ พมิ่ ขน้ึ ตัวอยา่ ง พอลเิ อทิลีนชนิดความหนาแน่นตำ่ ดังภาพ

ค. พอลิเมอรแ์ บบร่างแห (Croos -linking polymer) เป็นพอลเิ มอร์ทีเ่ กิดจากมอนอเมอรต์ ่อเชอ่ื ม
กนั เป็นรา่ งแห พอลเิ มอรช์ นิดน้ีมคี วามแข็งแกร่ง และเปราะหักงา่ ย ตัวอยา่ งเบกาไลต์ เมลามีนใชท้ ำ
ถ้วยชาม ดงั ภาพ

*หมายเหตุ พอลเิ มอร์บางชนิดเปน็ พอลิเมอร์ท่ีเกิดจากสารอนนิ ทรยี ์ เชน่ ฟอสฟาซีน ซลิ ิโคน

การเกดิ พอลเิ มอร์

พอลเิ มอรเ์ กิดขึน้ จากการเกิดปฏกิ ิริยาพอลเิ มอร์ไรเซชันของมอนอเมอร์
พอลิเมอรไ์ รเซชนั (Polymerization) คอื กระบวนการเกดิ สารทมี่ ีโมเลกลุ ขนาดใหญ่ ( พอลเิ มอร์) จากสาร
ท่มี ีโมเลกุลเล็ก ( มอนอเมอร)์
ปฏิกริ ิยาพอลเิ มอรไ์ รเซชัน

1. ปฏกิ ิริยาพอลเิ มอรไ์ รเซชันแบบเตมิ (Addition polymerization reaction) คือปฏกิ ริ ยิ าพอลิ
เมอร์ไรเซชนั ทเี่ กดิ จากมอนอเมอร์ของสารอนิ ทรีย์ชนดิ เดยี วกนั ท่ีมี C กบั C จับกนั ดว้ ยพันธะคู่มารวมตัวกนั
เกิดสารพอลิเมอร์เพียงชนิดเดียวเท่านนั้ ดังภาพ

2. ปฏิกริ ยิ าพอลเิ มอร์ไรเซชันแบบควบแนน่ (Condensation polymerization reaction) คอื
ปฏกิ ิรยิ าพอลเิ มอร์ไรเซชันทเ่ี กิดจากมอนอเมอรท์ ม่ี หี มฟู่ งั ก์ชนั มากกวา่ 1 หมุ่ ทำปฏิกิริยากนั เปน็ พอลิเมอร์และ
สารโมเลกลุ เล็ก เชน่ นำ้ ก๊าซแอมโมเนีย ก๊าซไฮโดรเจนคลอไรด์ เมทานอล เกิดขึน้ ด้วย ดงั ภาพ

คุณสมบตั ขิ องพอลิเมอร์
ชนิดของคุณสมบัติของพอลิเมอรแ์ บง่ อย่างกว้างๆไดเ้ ปน็ หลายหมวดข้ึนกบั ความละเอยี ด ในระดับนา

โนหรือไมโครเป็นคุณสมบตั ิท่ีอธิบายลกั ษณะของสายโดยตรงโดยเฉพาะโครงสรา้ งของพอลเิ มอร์ ในระดับกลาง
เป็นคุณสมบตั ิที่อธบิ ายสณั ฐานของพอลิเมอร์เมอ่ื อย่ใู นทวี่ ่าง ในระดับกวา้ งเปน็ การอธิบายพฤติกรรมโดยรวม
ของพอลิเมอร์ ซ่งึ เป็นคณุ สมบัติในระดับการใชง้ าน

• คณุ สมบตั ใิ นการขนสง่ เป็นคุณสมบตั ิของอัตราการแพร่หรือโมเลกุลเคลอื่ นไปได้เร็วเท่าใดใน
สารละลายของพอลเิ มอร์ มีความสำคัญมากในการนำพอลิเมอร์ไปใชเ้ ปน็ เยื่อหุ้ม

• จดุ หลอมเหลว คำว่าจดุ หลอมเหลวที่ใชก้ บั พอลิเมอรไ์ ม่ใช่การเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็น
ของเหลวแต่เป็นการเปลี่ยนจากรูปผลกึ หรอื ก่งึ ผลกึ มาเป็นรูปของแขง็ บางครง้ั เรยี กว่าจุดหลอมเหลว
ผลึก ในกลมุ่ ของพอลเิ มอร์สังเคราะห์ จุดหลอมเหลวผลึกยังเปน็ ที่ถกเถียงในกรณีของเทอรโ์ มพลาสติก
เช่นเทอรโ์ มเซตพอลิเมอร์ที่สลายตัวในอุณหภมู สิ ูงมากกว่าจะหลอมเหลว

• พฤติกรรมการผสม โดยทั่วไปสว่ นผสมของพอลิเมอรม์ ีการผสมกนั ไดน้ อ้ ยกวา่ การผสมของโมเลกลุ
เลก็ ๆ ผลกระทบนีเ้ ป็นผลจากขอ้ เท็จจรงิ ทวี่ า่ แรงขบั เคลอ่ื นสำหรบั การผสมมักเปน็ แบบระบบปดิ ไมใ่ ช่
แบบใช้พลงั งาน หรืออีกอย่างหนึ่ง วสั ดทุ ี่ผสมกันได้ทีเ่ กดิ เป็นสารละลายไม่ใชเ่ พราะปฏสิ มั พันธ์
ระหว่างโมเลกลุ ท่ชี อบทำปฏิกิริยากันแตเ่ ป็นเพราะการเพิ่มคา่ เอนโทรปีและพลังงานอสิ ระท่เี ก่ยี วข้อง
กบั การเพิ่มปรมิ าตรที่ใช้งานไดข้ องแตล่ ะสว่ นประกอบ การเพิ่มขน้ึ ในระดับเอนโทรปีขน้ึ กับจำนวน
ของอนภุ าคทน่ี ำมาผสมกนั เพราะโมเลกลุ ของพอลเิ มอรม์ ีขนาดใหญ่กวา่ และมีความจำเพาะกับ
ปริมาตรเฉพาะมากกว่าโมเลกุลขนาดเลก็ จำนวนของโมเลกลุ ทเ่ี กี่ยวข้องในส่วนผสมของพอลิเมอรม์ ี
ค่าน้อยกวา่ จำนวนในส่วนผสมของโมเลกลุ ขนาดเล็กที่มปี ริมาตรเท่ากนั ค่าพลังงานในการผสม
เปรยี บเทยี บได้ต่อหนว่ ยปรมิ าตรสำหรับส่วนผสมของพอลิเมอรแ์ ละโมเลกุลขนาดเล็ก มแี นวโน้ม

เพมิ่ ขึ้นของพลงั งานอสิ ระในการผสมสารละลายพอลเิ มอรแ์ ละทำให้การละลายของพอลิเมอรเ์ กิดได้
น้อย สารละลายพอลิเมอรท์ เ่ี ข้มขน้ พบน้อยกว่าท่ีพบในสารละลายของโมเลกุลขนาดเล็ก ใน
สารละลายทเี่ จือจาง คณุ สมบตั ขิ องพอลิเมอรจ์ ำแนกโดยปฏกิ ิรยิ าระหวา่ งตัวทำละลายและพอลเิ มอร์
ในตัวทำละลายทดี่ ี พอลเิ มอร์จะพองและมปี รมิ าตรมากขึ้น แรงระหวา่ งโมเลกุลของตัวทำละลายกบั
หนว่ ยย่อยจะสูงกวา่ แรงภายในโมเลกุล ในตัวทำละลายท่ไี ม่ดี แรงภายในโมเลกุลสงู กวา่ และสายจะหด
ตัว ในตัวทำละลายแบบธตี า หรอื สถานะที่สารละลายพอลิเมอร์ซง่ึ มีคา่ ของสัมประสิทธ์ิ วิเรยี ลที่
สองเปน็ ศนู ย์ แรงผลกั ระหว่างโมเลกุลของพอลเิ มอร์กบั ตวั ทำละลายเท่ากบั แรงภายในโมเลกลุ ระหว่าง
หน่วยยอ่ ย ในสภาวะนี้ พอลเิ มอร์อยู่ในรูปเกลยี วอุดมคติ
• การแตกกง่ิ การแตกก่ิงของสายพอลิเมอร์มผี ลกระทบต่อคณุ สมบัติท้ังหมดของพอลิเมอร์ สายยาวท่ี
แตกกิ่งจะเพิ่มความเหนียว เนือ่ งจากการเพิม่ จำนวนของความซับซอ้ นต่อสาย ความยาวอย่างสุ่มและ
สายส้นั จะลดแรงภายในพอลิเมอร์เพราะการรบกวนการจดั ตวั โซ่ขา้ งสั้นๆลดความเป็นผลึกเพราะ
รบกวนโครงสรา้ งผลึก การลดความเป็นผลึกเก่ยี วข้องกบั การเพิ่มลักษณะโปร่งใสแบบกระจกเพราะ
แสงผ่านบริเวณทเี่ ป็นผลกึ ขนาดเลก็ ตวั อย่างทีด่ ีของผลกระทบนเี้ กย่ี วข้องกบั ขอบเขตของลักษณะทาง
กายภาพของพอลิเอทลิ นี พอลเิ อทิลีนความหนาแน่นสงู มีระดบั การแตกกิ่งต่ำ มีความแข็งและใช้เป็น
เหยือกนม พอลเิ อทิลนี ความหนาแนน่ ต่ำ มีการแตกกง่ิ ขนาดส้นั ๆจำนวนมาก มีความยืดหย่นุ กว่าและ
ใชใ้ นการทำฟิลม์ พลาสตกิ ดัชนีการแตกกิ่งของพอลเิ มอร์เป็นคณุ สมบตั ิทใี่ ชจ้ ำแนกผลกระทบของการ
แตกก่ิงสายยาวตอ่ ขนาดของโมเลกลุ ทแ่ี ตกกง่ิ ในสารละลาย เดนไดรเมอร์เป็นกรณีพิเศษของพอลิเมอร์
ที่หนว่ ยยอ่ ยทกุ ตัวแตกก่งิ ซ่งึ มแี นวโนม้ ลดแรงระหวา่ งโมเลกลุ และการเกิดผลึก พอลิเมอร์แบบเดนด
ริติกไม่ไดแ้ ตกก่ิงอยา่ งสมบูรณ์แต่มคี ุณสมบตั ิใกล้เคียงกับเดนไดรเมอรเ์ พราะมีการแตกก่ิงมาก
เหมอื นกัน
• การเตมิ พลาติซิเซอร์ การเติมพลาสติซิเซอรม์ ีแนวโนม้ เพม่ิ ความยดื หยนุ่ ของพอลเิ มอร์ พลาสตซิ เิ ซอร์
โดยทวั่ ไปเปน็ โมเลกุลขนาดเล็กทมี่ ีคณุ สมบตั ิทางเคมีคล้ายกับพอลิเมอร์ เข้าเติมในชอ่ งวา่ งของพอลิ
เมอร์ทีเ่ คลื่อนไหวได้ดแี ละลดปฏกิ ริ ิยาระหว่างสาย ตัวอย่างทีด่ ีของพลาสตซิ ิเซอร์เก่ยี วขอ้ งกบั พอลิไว
นิลคลอไรด์หรือพวี ซี ี พีวีซที ่ีไมไ่ ด้เติมพลาสติซเิ ซอร์ใชท้ ำท่อ ส่วนพวี ีซที ่เี ติมพลาสตซิ เิ ซอร์ใช้ทำผา้
เพราะมคี วามยืดหยุ่นมากกวา่

2.2 พอลิเมอร์ในชวี ิตประจำวนั
2.2.1 พลาสตกิ
พลาสติก เป็นสารประกอบอนิ ทรยี ์ทส่ี งั เคราะห์ขน้ึ ใช้แทนวัสดุธรรมชาติ บาง

ชนดิ เมอ่ื เย็นก็แข็งตวั เมื่อถูกความร้อนกอ็ ่อนตัว บางชนิดแข็งตัวถาวร มหี ลายชนิด เช่น ไนลอน ยางเทียม ใช้
ทำสิ่งต่าง ๆ เช่น เสื้อผ้า ฟลิ ์ม ภาชนะ ส่วนประกอบเรือหรือรถยนต์
สมบตั ิท่ัวไปของพลาสตกิ

• มคี วามเสถยี รมากในธรรมชาติ สลายตวั ยาก มีมวลน้อย และเบา
• เป็นฉนวนความร้อนและไฟฟ้าทดี่ ี
• ส่วนมากอ่อนตัวและหลอมเหลวเมอื่ ได้รับความรอ้ น จงึ เปลี่ยนเปน็ รปู ตา่ งๆ ไดต้ ามประสงค์
ประเภทของพลาสตกิ
พลาสตกิ แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คือ เทอร์โมพลาสตกิ และ เทอรโ์ มเซตตงิ พลาสติก
เทอร์โมพลาสติก (Thermoplastic) หรือเรซิน เป็นพลาสติกที่ใช้กันแพร่หลายที่สุด ได้รับความร้อนจะ
อ่อนตัว และเม่ือเย็นลงจะแข็งตวั สามารถเปลย่ี นรปู ได้ พลาสตกิ ประเภทน้ีโครงสรา้ งโมเลกลุ เป็นโซต่ รงยาว มี
การเช่อื มต่อระหว่างโซ่พอลิเมอร์นอ้ ย มาก จึงสามารถหลอมเหลว หรือเมื่อผ่านการอัดแรงมากจะไม่ทำลาย

โครงสรา้ งเดมิ ตัวอยา่ ง พอลิเอทลิ นี พอลิโพรพิลีน พอลสิ ไตรีน มสี มบตั พิ ิเศษคอื เมอื่ หลอมแลว้ สามารถนำมา
ขึ้นรูปกลับมาใช้ใหมไ่ ด้ ชนดิ ของพลาสติกใน ตระกูลเทอร์โมพลาสตกิ ไดแ้ ก่

• โพลเิ อทลิ นี (Polyethylene: PE) เป็นพลาสตกิ ที่ไอนำ้ ซึมผา่ นได้เลก็ น้อย แต่อากาศผ่านเขา้ ออกได้
มลี ักษณะขนุ่ และทนความร้อนไดพ้ อควร เปน็ พลาสตกิ ท่นี ำมาใช้มากทีส่ ุดในอุตสาหกรรม เชน่ ท่อน้ำ
ถัง ถงุ ขวด แท่นรองรับสินค้า

• โพลิโพรพิลีน (Polypropylene: PP) เป็นพลาสติกท่ีไอน้ำซึมผ่านได้เล็กนอ้ ย แขง็ กว่าโพลิเอทลิ ีน
ทนต่อสารไขมันและความร้อนสงู ใช้ทำแผ่นพลาสติถุงพลาสตกิ บรรจุอาหารที่ทนร้อน หลอดดดู
พลาสตกิ เป็นต้น

• โพลสิ ไตรีน (Polystyrene: PS) มลี ักษณะโปรง่ ใส เปราะ ทนต่อกรดและดา่ ง ไอน้ำและอากาศซึม
ผ่านได้พอควร ใชท้ ำช้ินสว่ นอุปกรณ์ไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนิกส์ เครอื่ งใชส้ ำนกั งาน เป็นตน้

• SAN (styrene-acrylonitrile) เป็นพลาสติกโปร่งใส ใช้ผลติ ช้ินสว่ น เครอื่ งใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยาน
ยนต์

• ABS (acrylonitrile-butadiene-styrene) สมบัติคล้ายโพลสิ ไตรีน แตท่ นสารเคมีดีกว่า เหนียว
กว่า โปรง่ แสง ใช้ผลติ ถว้ ย ถาด เปน็ ต้น

• โพลิไวนิลคลอไรด์ (Polyvinylchloride: PVC) ไอน้ำและอากาศซึมผ่านไดพ้ อควร แต่ปอ้ งกนั ไขมัน
ได้ดีมลี กั ษณะใส ใช้ทำขวดบรรจุนำ้ มันและไขมนั ปรงุ อาหาร ขวดบรรจุเคร่อื งดืม่ ทีม่ แี อลกอฮอล์ เชน่
ไวน์ เบยี ร์ ใชท้ ำแผ่นพลาสตกิ ห่อเนยแข็ง ทำแผ่นแลมิเนตช้ันในของถงุ พลาสติก

• ไนลอน (Nylon) เป็นพลาสติกทีม่ ีความเหนียวมาก คงทนต่อการเพ่ิมอุณหภมู ิ ทำแผ่นแลมเิ นต
สำหรบั ทำถุงพลาสติกบรรจุอาหารแบบสุญญากาศ

• โพลเิ อทลิ ีน เทอรฟ์ ะธาเลต (Terylene: polyethylene terephthalate) เหนียวมากโปร่งใส
ราคาแพง ใช้ทำแผน่ ฟิล์มบาง ๆ บรรจอุ าหาร

• โพลิคารบ์ อเนต (Polycarbonate: PC) มลี ักษณะโปร่งใส แข็ง ทนแรงยึดและแรงกระแทกไดด้ ี ทน
ความร้อนสูง ทนกรด แต่ไม่ทนด่าง เป็นรอยหรือคราบอาหาร จบั ยาก ใชท้ ำถว้ ย จาน ชาม ขวดนม
เด็ก และขวดบรรจอุ าหารเด็ก

เทอร์โมเซตติงพลาสติก (Theโคrmรงoสsรe้าtงtขinอgงเทpอlรa์โsมtพicล)าสเตปิกน็ พ(Tลhาeสrตmกิ oทpีม่ laีสsมtiบc)ัติพเิ ศษ คือทนทานตอ่ การ
เปลีย่ นแปลงอณุ หภูมิและทนปฏกิ ริ ิยาเคมีได้ดี เกิดคราบและรอยเปื้อนได้ยาก คงรูปหลงั การผ่านความร้อน
หรอื แรงดนั เพียงคร้งั เดียว เมื่อเย็นลงจะแขง็ มาก ทนความรอ้ นและความดนั ไม่อ่อนตวั และเปลยี่ นรูปร่างไมไ่ ด้
แตถ่ ้าอณุ หภูมิสูงกจ็ ะแตกและไหม้เป็นขเี้ ถ้าสีดำ พลาสตกิ ประเภทนโ้ี มเลกลุ จะเช่ือมโยงกนั เป็นรา่ งแหจบั กัน
แน่น แรงยึดเหน่ียวระหวา่ งโมเลกลุ แขง็ แรงมาก จงึ ไมส่ ามารถนำมาหลอมเหลวได้ กลา่ วคอื เกิดการเช่ือมต่อ
ข้ามไปมาระหวา่ งสายโซ่ของโมเลกุลของโพลเิ มอร์ (cross linking among polymer chains) เหตนุ หี้ ลงั จาก
พลาสตกิ เย็นจนแขง็ ตวั แลว้ จะไม่สามารถทำให้อ่อนไดอ้ ีกโดยใช้ความรอ้ น หากแต่จะสลายตัวทนั ทีที่อุณหภูมิ
สงู ถงึ ระดบั การทำพลาสตกิ ชนิดนี้ใหเ้ ป็นรูปลกั ษณะต่าง ๆ ตอ้ งใชค้ วามร้อนสงู และโดยมากต้องการแรงอดั
ด้วย เทอรโ์ มเซตตงิ พลาสตกิ ไดแ้ ก่

• เมลามนี ฟอร์มาลดีไฮด์ (melamine formaldehyde) มสี มบัตทิ างเคมีทนแรงดนั ได้ 7,000-
135,000 ปอนดต์ ่อตารางน้วิ ทนแรงอัดได้ 25,000-50,000 ปอนด์ต่อตารางน้ิว ทนแรงกระแทกได้
0.25-0.35 ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภมู ิ ทนความรอ้ นได้ถงึ 140 องศาเซลเซียส และทน
ปฏกิ ิรยิ าเคมีได้ดี เกดิ คราบและรอยเปื้อนยาก เมลามนี ใช้ทำภาชนะบรรจอุ าหารหลายชนดิ และนิยม
ใช้กันมาก มีท้ังท่ีเปน็ สเี รียบและลวดลายสวยงาม ข้อเสยี คือ นำ้ สม้ สายชจู ะซมึ เข้าเน้ือพลาสติกไดง้ ่าย
ทำให้เกดิ รอยด่าง แต่ไม่มพี ิษภยั เพราะไมม่ ปี ฏกิ ิรยิ ากับพลาสติก

• ฟีนอลฟอร์มาดไี ฮต์ (phenol-formaldehyde) มีความตา้ นทานต่อตวั ทำละลายสารละลายเกลือ
และน้ำมัน แต่พลาสติกอาจพองบวมได้เนื่องจากน้ำหรอื แอลกอฮอล์พลาสติกชนิดนี้ใช้ทำฝาจกุ ขวด
และหม้อ

• อีพ็อกซี (epoxy) ใช้เคลือบผิวของอุปกรณ์ภายในบ้านเรือน และท่อเก็บก๊าซ ใชใ้ นการเช่ือม
สว่ นประกอบโลหะ แก้ว และเซรามิค ใช้ในการหล่ออุปกรณ์ทที่ ำจากโลหะและเคลือบผิวอปุ กรณ์ ใช้
ใส่ในสว่ นประกอบของอุปกรณ์ไฟฟ้า เส้นใยของท่อ และท่อความดัน ใชเ้ คลือบผิวของพ้ืนและผนงั ใช้
เป็นวัสดขุ องแผ่นกำบงั นวิ ตรอน ซเี มนต์ และปนู ขาว ใช้เคลอื บผิวถนน เพอ่ื กนั ล่นื ใช้ทำโฟมแข็ง ใช้
เป็นสารในการทำสีของแกว้

• โพลิเอสเตอร์ (polyester) กลุ่มของโพลเิ มอรท์ ม่ี หี มเู่ อสเทอร์ (-O•CO-) ในหนว่ ยซ้ำเปน็ โพลิเมอรท์ ี่
นำมาใชง้ านได้หลากหลาย เชน่ ใชท้ ำพลาสติกสำหรบั เคลือบผวิ ขวดนำ้ เส้นใย ฟลิ ม์ และยาง เปน็ ต้น
ตัวอย่างโพลิเมอร์ในกลุ่มน้ี เชน่ โพลเิ อทลิ ีนเทเรฟทาเลต โพลบิ ิวทลิ ีนเทเรฟทาเลต และโพลเิ มอร์ผลกึ
เหลวบางชนดิ

• ยรู ีเทน (urethane) ชอื่ เรียกทั่วไปของเอทิลคาร์บาเมต มีสตู รทางเคมีคือ NH2COOC2H5
• โพลยิ รู ีเทน (polyurethane) โพลิเมอรป์ ระกอบดว้ ยหมู่ยรู ีเทน (–NH•CO•O-) เตรยี มจากปฏกิ ริ ยิ า

ระหว่างไดไอโซยาเนต (di-isocyanates) กบั ไดออล(diols) หรอื ไทรออล (triols) ที่เหมาะสม ใช้เป็น
กาว และน้ำมันชักเงา พลาสติกและยาง ช่ือย่อคือ PU

โครงสร้างของเทอร์โมเซตตงิ พลาสติก (Thermosetting plastic)

ตาราง แสดงสมบตั ิบางประการของพลาสติกบางชนดิ

ชนดิ ของ ประเภทของ สมบตั บิ างประการ ตวั อยา่ งการนำไปใช้

พลาสติก พลาสติก สภาพการไหม้ไฟ ขอ้ สังเกตอนื่ ประโยชน์

พอลิเอทิลีน เทอร์มอพลาสตกิ เปลวไฟสนี ำ้ เงินขอบเหลือง เล็บขีดเป็นรอย ไม่ละลายใน ถงุ ภาชนะ ฟลิ ์มถ่ายภาพ

กลิน่ เหมือนพาราฟิน เปลว สารละลายทัว่ ไป ลอยนำ้ ของเล่นเดก็ ดอกไม้พลาสติก

ไฟไมด่ ับเอง

พอลโิ พรพิลีน เทอรม์ อพลาสตกิ เปลวไฟสนี ำ้ เงนิ ขอบเหลือง ขดี ดว้ ยเลบ็ ไมเ่ ป็นรอย ไม่ โตะ๊ เก้าอ้ี เชือก พรม บรรจุ

ควนั ขาว กล่ินเหมือน แตก ภัณฑอ์ าหาร ชน้ิ สว่ นรถยนต์

พาราฟิน

พอลิสไตรีน เทอรม์ อพลาสติก เปลวไฟสีเหลือง เขม่ามาก เปาะ ละลายไดใ้ นคาร์บอน โฟม อปุ กรณไ์ ฟฟ้า เลนส์

กลิน่ เหมอื นกา๊ ซจดุ ตะเกียง เตตระคลอไรด์ และโทลอู นี ของเลน่ เด็ก อปุ กรณก์ ฬี า

ลอยน้ำ เครื่องมือสอื่ สาร

พอลวิ ินิลคลอไรด์ เทอร์มอพลาสติก ตดิ ไฟยาก เปลวสเี หลือง ออ่ นตัวได้คล้ายยาง ลอยนำ้ กระดาษตดิ ผนงั ภาชนะ

ขอบเขียว ควนั ขาว กล่ิน บรรจสุ ารเคมี รองเท้า

กรดเกลอื กระเบอื้ งปูพืน้ ฉนวนหมุ้

สายไฟ ทอ่ พีวีซี

ไนลอน เทอร์มอพลาสตกิ เปลวไฟสนี ำ้ เงนิ ขอบเหลอื ง เหนยี ว ยดื หย่นุ ไม่แตก เคร่ืองนงุ่ หม่ ถงุ นอ่ งสตรี

กลน่ิ คลา้ ยเขาสตั วต์ ดิ ไฟ จมนำ้ พรม อวน แห

พอลิยเู รีย พลาสติกเทอรม์ อ ติดไฟยาก เปลวสเี หลือง แตกรา้ ว จมน้ำ เตา้ เสียบไฟฟ้า วสั ดุเชงิ

ฟอรม์ าลดีไฮด์ เซต อ่อน ขอบฟ้าแกมเขียว กลนิ่ วิศวกรรม

แอมโมเนีย

อพี อกซี พลาสติกเทอร์มอ ติดไฟง่าย เปลวสเี หลือง ไม่ละลายในสาร กาว สี สารเคลือบผิวหนา้

เซต ควันดำ กลน่ คล้ายขา้ วคั่ว ไฮโดรคารบ์ อนและน้ำ วัตถุ

เทอรม์ อพลาสตกิ ตดิ ไฟยาก เปลวสเี หลือง อ่อนตัว ยืดหยุ่น เส้นใยผา้

พอลเิ อสเทอร์ ควนั กล่ินฉุน เปราะ หรือแขง็ เหนียว ตัวถงั รถยนต์ ตวั ถงั เรอื ใชบ้ ุ
พลาสติกเทอรม์ อ ตดิ ไฟยาก เปลวสีเหลอื ง

เซต ควันดำ กลิน่ ฉุน ภายในเครอื่ งบิน

พลาสติกรไี ซเคลิ ( Plastic recycle)
การแปรรูปของใช้แล้วกลับมาใชใ้ หม่ หรอื กระบวนการที่เรยี กว่า "รไี ซเคิล" คือ การนำเอาของเสียท่ี

ผ่านการใช้แลว้ กลบั มาใชใ้ หม่ที่อาจเหมือนเดิม หรือไม่เหมือนเดิมกไ็ ด้ ของใช้แล้วจากภาคอตุ สาหกรรม นำ
กลับมาใชใ้ หม่ ได้แก่ กระดาษ แกว้ กระจก อะลูมิเนียม และพลาสติก "การรีไซเคิล" เป็นหนง่ึ ในวิธีการลดขยะ
ลดมลพษิ ให้กับสภาพแวดล้อม ลดการใช้พลงั งานและลดการใช้ทรพั ยากรธรรมชาติของโลกไมใ่ ห้ถกู นำมาใช้
สิ้นเปลอื งมากเกนิ ไป
การแปรรปู ของใช้แล้วกลับมาใช้ใหมม่ กี ระบวนการอยู่ 4 ข้ันตอน ได้แก่

1. การเกบ็ รวบรวม
2. การแยกประเภทวัสดแุ ต่ละชนิดออกจากกนั
3. การผลติ หรอื ปรับปรุง
4. การนำมาใชป้ ระโยชนใ์ นขัน้ ตอนการผลติ หรอื ปรับปรุงนน้ั วัสดทุ ่แี ตกต่างชนิดกัน จะมีกรรมวิธีใน
การผลติ แตกต่างกัน เช่น ขวด แก้วที่ต่างสี พลาสติกทีต่ ่างชนดิ หรือกระดาษทเ่ี น้ือกระดาษ และสที ีแ่ ตกตา่ ง
กัน ตอ้ งแยกประเภทออกจากกนั

ปจั จุบนั เราใชพ้ ลาสติกฟมุ่ เฟือยมาก แต่ละปีประเทศไทยมีขยะพลาสติกจำนวนมาก ซ่งึ เป็นปัญหา
ดา้ นสิ่งแวดลอ้ มของโลก จึงมีความพยายามคิดคน้ ทำพลาสติกท่ยี ่อยสลายทางชีวภาพ (Biodedradable) มา
ใชแ้ ทน แต่พลาสติกบางชนดิ ก็ยังไมส่ ามารถย่อยสลายทางชีวภาพได้ ในทางปฏิบัตยิ ังคงกำจัดขยะพลาสตกิ
ดว้ ยวิธฝี ังกลบใตด้ นิ และเผา ซงึ่ กอ่ ให้เกิดปัญหาดา้ นสงิ่ แวดล้อมตามมา วธิ ีท่ดี ที ี่สุดในการดูแลส่งิ แวดล้อม
เก่ียวกับขยะพลาสติก คือ ลดปรมิ าณการใชใ้ หเ้ หลอื เท่าท่จี ำเป็น และมีการนำพลาสติกบางชนิดกลับไปผ่าน
บางขัน้ ตอนในการผลติ แล้วนำกลบั มาใช้งานใหมไ่ ด้ตามเดมิ อุตสาหกรรมพลาสติก ประเทศสหรัฐอเมริกา
(The Society of Plastics Industry ; SPI) ไดก้ ำหนดสัญลักษณเ์ พ่ือบง่ ช้ีประเภทของพลาสติกรไี ซเคิล ซ่ึงจะ
กำกบั ไวใ้ นผลิตภณั ฑ์สินค้าท่ีทำด้วยพลาสติก ดังต่อไปน้ี

พลาสตกิ กลุ่มที่ 1 คือ เพท (PETE) สญั ลักษณค์ ือ 1 เปน็
พลาสติกทส่ี ่วนใหญม่ คี วามใส มองทะลไุ ด้ มีความแข็งแรง
ทนทานและเหนยี ว ปอ้ งกนั การผ่านของก๊าซได้ดี มีจุด
หลอมเหลว 250-260 องศาเซลเซยี ส มีความหนาแนน่ 1.38-
1.39 นยิ มนำมาใช้ทำบรรจภุ ณั ฑต์ า่ งๆ เช่น ขวดน้ำดมื่ ขวด
น้ำปลา ขวดนำ้ มันพืช เป็นตน้

พลาสติกกลุ่มท่ี 2 คอื HDPE สญั ลกั ษณค์ ือ 2 เป็นพลาสติกที่
มีความหนาแน่นสงู คอ่ นขา้ งน่มิ มคี วามเหนยี วไม่แตกงา่ ย มี
จดุ หลอมเหลว 130 องศาเซลเซียส มีความหนาแนน่ 0.95-
0.92 นิยมนำมาใชท้ ำบรรจภุ ัณฑท์ ำความสะอาด เชน่ แชมพู
ถงุ ร้อนชนิดขนุ่ ขวดนม เปน็ ตน้

พลาสตกิ กลุม่ ท่ี 3 คือ พีวีซี (PVC) สญั ลักษณค์ อื 3 เป็น

พลาสตกิ ทม่ี ีลกั ษณะท้งั แขง็ และนมิ่ สามารถผลติ เปน็

ผลติ ภณั ฑไ์ ด้หลายรูปแบบ มสี สี นั สวยงาม มจี ุดหลอมเหลว

75-90 องศาเซลเซยี ส เป็นพลาสติกท่นี ิยมใชม้ าก เช่น

ทอ่ พีวซี ี สายยาง แผ่นฟลิ ม์ หอ่ อาหาร เปน็ ตน้

พลาสตกิ กลมุ่ ท่ี 4 คือ LDPE สัญลกั ษณ์คอื 4 เป็นพลาสติกทม่ี ี
ความหนาแน่นต่ำ มคี วามน่ิมกว่า HDPE มีความเหนยี ว ยดื ตัว
ได้ในระดบั หนึ่ง สว่ นใหญใ่ สมองเหน็ ได้ จุดหลอมเหลว 110
องศาเซลเซยี ส มีความหนาแนน่ 0.92-0.94 นิยมนำมาใช้ทำ
แผ่นฟิล์ม หอ่ อาหารและห่อของ

พลาสติกกลุ่มที่ 5 คือ pp สญั ลกั ษณค์ ือ 5 เป็นพลาสติกท่ีส่วน
ใหญม่ คี วามหนาแนน่ คอ่ นขา้ งตำ่ มคี วามแขง็ และเหนยี ว คง
รูปดี ทนตอ่ ความร้อน และสารเคมี มีจดุ หลอมเหลว 160-170
องศาเซลเซยี ส ความหนานน่ 0.90-0.91 นยิ มนำมาใชท้ ำ
บรรจภุ ณั ฑส์ ำหรับอาหารในครวั เรอื น เชน่ ถงุ ร้อนชนิดใส
จาน ชาม อุปกรณไ์ ฟฟา้ บางชนิด

พลาสตกิ กล่มุ ท่ี 6 คอื PS สญั ลกั ษณค์ ือ 6 เป็นพลาสตกิ ทม่ี ี
ความใส แข็งแตเ่ ปราะแตกงา่ ย สามารถทำเปน็ โฟมได้ มจี ดุ
หลอมเหลว 70-115 องศาเซลเซยี ส ความหนาแนน่ 0.90-
0.91 นิยมนำมาใชท้ ำบรรจุภณั ฑ์ เช่น กล่องไอศกรีม กลอ่ ง
โฟม ฯลฯ

พลาสตกิ กลุม่ ที่ 7 คือ อืน่ ๆ เป็นพลาสติกทน่ี อกเหนือจาก
พลาสตกิ ทง้ั 7 กลมุ่ พบมากมายหลากหลายรปู แบบ

2.2.2 ยางและยางสงั เคราะห์
ยางธรรมชาติ คือวัสดุพอลเิ มอร์ทมี่ ตี ้นกำเนดิ จากของเหลวของพชื บางชนิด ซึง่ มีลกั ษณะเปน็

ของเหลวสขี าว คล้ายนำ้ นม มีสมบัติเปน็ คอลลอยด์ อนภุ าคเล็ก มีตวั กลางเปน็ น้ำ

ประวตั ิยางธรรมชาติ
ยางธรรมชาตเิ ปน็ นำ้ ยางจากตน้ ไมย้ ืนตน้ มีชอ่ื เรยี กอีกช่อื หนึ่งคือยางพารา

หรอื ต้นยางพารา ยางพารามีถิ่นกำเนิดบรเิ วณล่มุ นำ้ อเมซอน ประเทศบราซลิ และ
เปรู ทวีปอเมริกาใต้ ซง่ึ ชาวอินเดียนแดงเผ่ามายนั ในอเมริกากลาง ไดร้ ู้จักการนำ
ยางพารามาใชก้ ่อนปี พ.ศ. 2000 โดยการจ่มุ เทา้ ลงในน้ำยางดิบเพ่ือทำเป็นรองเทา้
สว่ นเผ่าอ่นื ๆ ก็นำยางไปใช้ประโยชน์ ในการทำผา้ กนั ฝน ทำขวดใสน่ ้ำ แบะทำลกู
บอลยางเลน่ เกมส์ต่าง ๆ เปน็ ต้น จนกระทั่งครสิ โตเฟอร์ โคลัมบสั ไดเ้ ดนิ ทางมาสำรวจ
ทวปี อเมริกาใต้ ในระหวา่ งปี พ.ศ. 2036-2039 และได้พบกบั ชาวพน้ื เมืองเกาะไฮติที่
กำลงั เล่นลูกบอลยางซงึ่ สามารถกระดอนได้ ทำใหค้ ณะผูเ้ ดนิ ทางสำรวจประหลาดใจ
จึงเรยี กวา่ "ลกู บอลผีสิง"

ต่อมาในปี พ.ศ. 2279 นักวทิ ยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสชอื่ ชาลส์ มารเี ดอลา คองตามีน์ (Cนhา้aยrาlงeจsากMต้eนrยieาง
de la Condamine) ได้ให้ชื่อเรียกยางตามคำพ้ืนเมืองของชาวไมกาว่า "คาโอช"ู (Caoutchouc) ซ่ึงแปลวา่
ตน้ ไม้ร้องไห้ และให้ชื่อเรียกของเหลวที่มีลักษณะขุน่ ขาวคลา้ ยน้ำนมซึง่ ไหลออกมาจากตน้ ยางเม่ือกรีดเปน็ รอย
แผลว่า ลาเทกซ์ (latex) และใน พ.ศ. 2369 ฟาราเดย์ (Faraday) ได้รายงานวา่ ยางธรรมชาติเป็นสารที่
ประกอบดว้ ยธาตคุ าร์บอนและไฮโดรเจน มสี ูตรเอมไพรเิ คิล คือ C5H8 หลงั จากนน้ั จงึ ได้มีการปรับปรงุ สมบัติ
ของยางพาราเพ่ือให้ใชง้ านได้กว้างขึน้ เพอ่ื ตอบสนองความต้องการของมนษุ ย์

การผลติ ยางธรรมชาติ
แหล่งผลติ ยางธรรมชาติทีใ่ หญ่ที่สุดในโลกคือ แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คิดเปน็ รอ้ ยละ 90 ของ

แหลง่ ผลิตท้ังหมด ส่วนที่เหลอื มาจากแอฟรกิ ากลาง ซึ่งพันธ์ุยางท่ีผลิตในเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ คอื
พันธุฮ์ เี วียบราซลิ เลียนซสิ (Hevea brasiliensis) นำ้ ยางท่กี รดี ได้จากต้นจะเรียกวา่ นำ้ ยางสด (field latex) นำ้
ยางท่ไี ด้จากตน้ ยางมีลักษณะเป็นเม็ดยางเลก็ ๆ กระจายอยู่ในนำ้ (emulsion) มลี ักษณะเปน็ ของเหลวสีขาว มี
สภาพเป็นคอลลอยด์ มปี ริมาณของแข็งประมาณร้อยละ 30-40 pH 6.5-7 น้ำยางมีความหนาแน่นประมาณ
0.975-0.980 กรัมต่อมิลลลิ ติ ร มีความหนืด 12-15 เซนติพอยส์ ส่วนประกอบในน้ำยางสดแบ่งออกได้เปน็ 2
สว่ น คือ

1. ส่วนทีเ่ ปน็ เน้ือยาง 35%
2. ส่วนทไ่ี มใ่ ชย่ าง 65%

1. ส่วนที่เป็นน้ำ 55%
2. สว่ นของลทู อยด์ 10%
น้ำยางสดที่กรีดได้จากตน้ ยาง จะคงสภาพความเป็นน้ำยางอยู่ได้ไมเ่ กิน 6 ชวั่ โมง เน่ืองจากแบคทเี รีย
ในอากาศ และจากเปลือกของตน้ ยางขณะกรดี ยางจะลงไปในนำ้ ยาง และกินสารอาหารทอี่ ยู่ในน้ำยาง เช่น
โปรตีน นำ้ ตาล ฟอสโฟไลปิด โดยแบคทีเรยี จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ปฏกิ ิรยิ าที่เกิดขนึ้ หลังจากแบคทีเรีย
กินสารอาหาร คือ จะเกิดการย่อยสลายได้เปน็ กา๊ ซชนิดตา่ ง ๆ เช่น กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ กา๊ ซมีเทน เรม่ิ เกิด
การบดู เนา่ และส่งกลนิ่ เหม็น การทม่ี ีกรดท่ีระเหยง่ายเหล่านีใ้ นน้ำยางเพิ่มมากขึ้น จะส่งผลใหค้ ่า pH ของนำ้
ยางเปลย่ี นแปลงลดลง ดงั น้ันน้ำยางจงึ เกิดการสญู เสียสภาพ ซ่งึ สงั เกตไดจ้ าก นำ้ ยางจะค่อย ๆ หนืดขึ้น
เนือ่ งจากอนุภาคของยางเริ่มจับตวั เปน็ เมด็ เล็ก ๆ และจับตัวเปน็ ก้อนใหญ่ขึน้ จนน้ำยางสูญเสยี สภาพโดยนำ้
ยางจะแยกเปน็ 2 สว่ น คือ ส่วนที่เปน็ เนือ้ ยาง และส่วนที่เป็นเซร่มุ [1] ดงั นัน้ เพอื่ ป้องกนั การสญู เสยี สภาพของ
น้ำยางไม่ใหอ้ นภุ าคของเมด็ ยางเกิดการรวมตัวกันเองตามธรรมชาติ จึงมกี ารใสส่ ารเคมีลงไปในน้ำยางเพ่ือเกบ็
รกั ษาน้ำยางให้คงสภาพเป็นของเหลว โดยสารเคมีทใี่ ช้ในการเกบ็ รักษาน้ำยางเรียกว่า สารปอ้ งกันการจบั ตวั
(Anticoagulant) ไดแ้ ก่ แอมโมเนีย โซเดียมซลั ไฟด์ ฟอรม์ าลดไี ฮด์ เปน็ ตน้ เพือ่ ที่รักษานำ้ ยางไม่ใหเ้ สยี
สญู เสยี สภาพ
การนำยางธรรมชาตไิ ปใช้งานมอี ยู่ 2 รูปแบบคอื รปู แบบนำ้ ยาง และรปู แบบยางแหง้ ในรูปแบบน้ำ
ยางนน้ั น้ำยางสดจะถูกนำมาแยกน้ำออกเพ่ือเพ่ิมความเขม้ ข้นของเนื้อยางขั้นตอนหนึ่งก่อนด้วยวิธีการตา่ ง ๆ
แต่ทีน่ ยิ มใช้ในอุตสาหกรรมคือการใช้เคร่ืองเซนตรฟิ ิวส์ ในขณะท่ีการเตรียมยางแหง้ นัน้ มักจะใช้วธิ ีการใส่
กรดอะซติ ิกลงในน้ำยางสด การใสก่ รดอะซติ ิกเจอื จางลงในน้ำยาง ทำให้น้ำยางจับตวั เป็นก้อน เกดิ การแยกชั้น
ระหว่างเนื้อยางและน้ำ ส่วนน้ำทีป่ นอยใู่ นยางจะถูกกำจัดออกไปโดยการรดี ดว้ ยลกู กล้ิง 2 ลูกกล้ิง วิธกี ารหลัก
ๆ ท่ีจะทำให้ยางแห้งสนทิ มี 2 วิธคี อื การรมควนั ยาง และการทำยางเครพ แตเ่ น่อื งจากยางผลิตได้มาจาก
เกษตรกรจากแหล่งที่แตกตา่ งกนั ทำใหต้ ้องมีการแบง่ ช้นั ของยางตามความบรสิ ทุ ธ์ิของยางนน้ั ๆ

รูปแบบของยางธรรมชาติ
ยางธรรมชาตสิ ามารถแบ่งออกเปน็ หลายประเภทตามลกั ษณะรูปแบบของยางดิบ ได้แก่

• น้ำยาง
o น้ำยางสด
o น้ำยางข้น

• ยางแผน่ ผ่ึงแหง้ : ยางทไ่ี ดจ้ ากการนำนำ้ ยางมาจบั ตวั เป็นแผ่นโดยสารเคมีท่ีใชจ้ ะต้องตามเกณฑ์ที่
กำหนด ส่วนการทำให้แห้งอาจใช้วธิ ีการผ่งึ ลมในท่รี ่ม หรือ อบในโรงอบกไ็ ด้แต่ต้องปราศจากควนั

• ยางแผน่ รมควัน

• ยางแทง่ :ก่ อนปี 2508 ยางธรรมชาติทผี่ ลติ ข้นึ มา ส่วนใหญ่จะผลติ ในรูปของยางแผน่ รมควนั
• ยางเครพ หรือน้ำยางข้น ซึ่งยางธรรมชาตเิ หลา่ นีจ้ ะไม่มกี ารระบมุ าตรฐานการจัดช้ันยางทีช่ ัดเจน

ตามปกตจิ ะใช้สายตาในการพิจารณาตัดสินชั้นยาง ตอ่ มาในปี 2508 สถาบันวิจยั ยางมาเลเซยี
(Rubber Research Institute of Malaysia) ไดม้ ีการผลิตยางแทง่ ขน้ึ เปน็ แหง่ แรก เพ่ือเปน็ การ
ปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพของยางธรรมชาติให้ได้มาตรฐาน เหมาะสมกบั การใช้งาน จนทำใหย้ างแทง่
เป็นยางธรรมชาติชนิดแรกทีผ่ ลิตมาโดยมกี ารควบคุมคุณภาพใหไ้ ด้มาตรฐาน ตลอดจนมกี ารระบุ
คณุ ภาพของยางดบิ ทีผ่ ลิตไดแ้ น่นอน
• ยางแทง่ ความหนดื คงที่ : เปน็ ยางทีผ่ ลติ ขึน้ เพ่ือใชใ้ นอุตสาหกรรมทำผลติ ภณั ฑ์ทีต่ อ้ งการควบคุมความ
หนดื ของยางท่ีใชใ้ นการแปรรูป เชน่ อุตสาหกรรมยางท่อ, อตุ สาหกรรมทำกาว
• ยางสกิม : ยางสกมิ เป็นยางธรรมชาตทิ ่ไี ดจ้ ากการจบั ตวั นำ้ ยางสกมิ (skim latex) ดว้ ยกรดแล้วนำยาง
ทไี่ ด้ไปทำการรีดแผ่นและทำใหแ้ ห้ง โดยน้ำยางสกมิ เปน็ น้ำส่วนที่เหลือจากการทำน้ำยางขน้ ด้วยการนำ
น้ำยางสดมาทำการเซนตริฟวิ ส์ แยกอนุภาคเม็ดยางออกจากนำ้ ซ่งึ อนุภาคเม็ดยางเบากว่าน้ำ ส่วนใหญ่
จงึ แยกตวั ออกไปเป็นน้ำยางข้น น้ำยางขน้ ที่ไดม้ ปี รมิ าณเน้ือยางอยู่รอ้ ยละ 60-63 ซ่งึ น้ำยางสกมิ คือ
สว่ นทเี่ หลอื จากการเซนตรฟิ ิวส์แยกเนอื้ ยางส่วนใหญ่ออกไปแลว้ กย็ งั มสี ว่ นของเน้อื ยางออกมาดว้ ย ซึง่
เป็นเนอื้ ยางที่มีขนาดอนภุ าคเลก็ ๆ มปี รมิ าณเนื้อยางอย่รู ้อยละ 3-6

การผสมยางธรรมชาตกิ บั พอลิเมอร์ชนดิ อืน่
ยางธรรมชาติเป็นยางที่มีสมบัตเิ ด่นดา้ นความเหนยี วติดกนั ทด่ี ี, สมบตั ิด้านการข้ึนรปู ท่ีดี, ความรอ้ น

สะสมในขณะการใช้งานตำ่ เป็นต้น แตก่ ม็ สี มบัตบิ างประการที่เป็นข้อด้อย ดังนัน้ ในการแก้ไขขอ้ ด้อยนั้น
สามารถทำไดโ้ ดยการเลือกเอาสมบตั ทิ ีด่ ีจากยางสงั เคราะห์ชนิดอน่ื มาทดแทน เชน่ สมบัตดิ ้านความทนทานต่อ
การขดั ถูของยางบิวตาไดอีน (BR), สมบตั ิความทนทานต่อน้ำมนั ของยางไนไตรล์ (NBR), สมบตั คิ วามทนทาน
ตอ่ ความร้อนและโอโซนของยาง EPDM เป็นตน้ โดยการผสมยางธรรมชาตกิ บั ยางสงั เคราะห์เหล่านเ้ี ขา้ ดว้ ยกนั
แตก่ ารที่จะผสมให้เข้ากันได้นั้นยางสงั เคราะหช์ นดิ นน้ั ๆ ต้องไมม่ ีความเปน็ ขวั้ เหมือนกับยางธรรมชาติ จึงจะ
ทำให้ยางผสมรวมเข้ากนั เป็นเฟสเดียวกนั ได้ดขี นึ้ เชน่ ยาง BR, SBR, EPDM และ NBR (เกรดท่ีมอี ะคริโลไน
ไตรล์ต่ำ ๆ) ซึ่งปัจจัยท่ีมผี ลโดยตรงต่อสมบัติของยางผสมท่ีได้นน้ั มดี ังนี้ ความหนดื ของยาง ยางธรรมชาติ
กอ่ นที่จะทำการผสมต้องทำการบดเพื่อลดความหนดื ในตอนเร่ิมตน้ การผสมใหเ้ ท่ากับยางสังเคราะห์หรือ
ใกลเ้ คียงซ่ึงจะทำใหย้ างทงั้ สองผสมเขา้ กันได้ดีขึน้

• ระบบการวลั คาไนซ์ของยาง ระบบทใี่ ช้ในการวลั คาไนซ์ต้องมีความเหมือนหรอื แตกต่างกนั ไม่มากนัก
เพ่อื ป้องกนั การแยกเฟสของยางผสมขณะทีท่ ำการผสมยาง

• ความเป็นขว้ั ของยาง ในกรณที ที่ ำการผสมยางที่มีความเป็นขัว้ แตกตา่ งกันมาก ควรพจิ ารณาถึง
ความสามารถในการกระจายตัวของสารเคมใี นยางแตล่ ะชนดิ โดยเฉพาะสารตัวเร่งและสารตวั เติม
เพราะสารเหล่านี้มแี นวโนม้ ท่ีจะกระจายตวั ไดด้ ีในยางที่มีความเปน็ ข้ัว ซง่ึ อาจสง่ ผลให้ยางผสมมีสมบตั ิ
ตำ่ ลงจากท่ีควรจะเป็น หากการกระจายตวั ของสารเคมไี ม่ดีเท่าทคี่ วร

ยางสงั เคราะห์ไดม้ ีการผลิตมานานแล้ว ต้ังแต่ ค.ศ. 1940 ซง่ึ สาเหตุทท่ี ำใหม้ ีการผลติ ยางสังเคราะห์ขึ้นในอดีต
เน่ืองจากการขาดแคลนยางธรรมชาติทีใ่ ช้ในการผลิตอาวุธยทุ โธปกรณ์และปญั หาในการขนสง่ จากแหล่งผลติ
ในชว่ งสงครามโลกครัง้ ที่ 2 จนถึงปัจจบุ นั ได้มีการพฒั นาการผลิตยางสงั เคราะหเ์ พื่อใหไ้ ดย้ างทมี่ ีคณุ สมบัตติ าม
ตอ้ งการในการใชง้ านทส่ี ภาวะต่าง ๆ เช่น ทสี่ ภาวะทนต่อน้ำมนั ทนความร้อน ทนความเย็น เปน็ ต้น การใช้
งานยางสงั เคราะหจ์ ะแบง่ ตามการใชง้ านออกเปน็ 2 ประเภทคือ

• ยางสำหรบั งานทัว่ ไป (Commodity rubbers) เชน่ IR (Isoprene Rubber) BR (Butadiene
Rubber)

• ยางสำหรบั งานสภาวะพเิ ศษ (Specialty rubbers) เชน่ การใช้งานในสภาวะอากาศร้อนจัด หนาวจดั
หรอื สภาวะที่มีการสัมผัสกับน้ำมัน ไดแ้ ก่ Silicone, Acrylate rubber เป็นต้น

การผลิตยางสังเคราะหเ์ ป็นจะผลติ โดยการทำปฏิกิริยาพอลเิ มอไรเซชัน (polymerization) ซ่ึงการพอลเิ มอไร
เซชันคอื ปฏิกิริยาการเตรยี มพอลเิ มอร์ (polymer) จากมอนอเมอร์ (monomer) โดยพอลิเมอร์ ในทนี่ ี้คอื
ยางสังเคราะห์ทต่ี ้องการผลติ ในส่วนของมอนอเมอร์คือสารตัง้ ตน้ ในการทำปฏกิ ิริยานน่ั เอง

ชนิดของยางสังเคราะห์
1. ยางบิวไทล์ (Butyl Rubber, IIR) : ยางบวิ ไทลเ์ ป็นโคพอลเิ มอร์ระหว่างมอนอเมอร์ของไอโซพรนี และไอ
โซบิวทาลีน เพือ่ ทจี่ ะรักษาสมบัตเิ ด่นของไอโซบวิ ทาลีนไว้ ยางบวิ ไทลจ์ ะมปี ริมาณไอโซพรนี เพียงเลก็ น้อย
(ประมาณ 0.5-3 โมลเปอร์เซนต)์ เพียงเพื่อให้สามารถวลั คาไนซ์ดว้ ยกำมะถันไดเ้ ท่าน้ัน เนือ่ งจากพอลิไอโซบวิ
ทาลนี ไมม่ ีพนั ธะคทู่ ี่วอ่ งไวต่อการทำปฏิกิริยา อย่างไรก็ตามการที่มปี ริมาณไอโซพรีนเพียงเล็กน้อยนที้ ำให้
การวลั คาไนซ์ยางบิวไทล์เป็นไปอย่างช้ามาก ทำให้เกดิ ปญั หาในการสุกร่วมกับยางไม่อิ่มตวั อ่ืน ๆ ยางบิวไทล์มี
น้ำหนกั โมเลกลุ เฉลี่ยอยู่ในช่วง 300,000 ถึง 500,000 มีค่าความหนดื มนู ่ี (ML1+4 100°C) อยใู่ นชว่ ง 40 ถงึ
70 การกระจายขนาดโมเลกุลค่อนข้างจะกวา้ ง ทำใหก้ ารแปรรปู ยางบวิ ไทล์ทำไดง้ ่าย ยางบวิ ไทล์มสี มบัติทด่ี ี
หลายประการ คือ ทนตอ่ การออกซิเดชนั ทนต่อโอโซน ทนตอ่ ความดนั ไอน้ำไดส้ ูง และมีความเป็นฉนวนไฟฟ้า
ทดี่ ี อยา่ งไรกต็ าม เน่อื งจากยางบวิ ไทล์ปลอ่ ยใหก้ า๊ ซซึมผา่ นได้ตำ่ มาก ทำให้ตลาดส่วนใหญ่ของยางบวิ ไทล์ คือ
ยางในรถยนต์ทุกขนาด
2. ยางบิวตาไดอนี (Butadiene Rubber, BR) หรอื ยางบวิ นา (Buna Rubber) ผลิตจากปฏิกิรยิ าพอลเิ มอ
ไรเซชันแบบสารละลาย (solution polymerization) ซึง่ มกี ารจดั เรยี งตัวได้ทั้งแบบ cis-1,4 แบบ tran-1,4
และแบบ vinyl-1,2 โดยยางชนิดนี้จะมีน้ำหนกั โมเลกลุ เฉลี่ยประมาณ 250,000-300,000 มสี มบตั เิ ด่นด้าน
ความยดื หยนุ่ ความต้านทานต่อการขดั ถู ความสามารถในการหกั งอที่อุณหภมู ติ ่ำ ความร้อนสะสมในยางต่ำ
และเปน็ ยางที่ไม่มขี ั้วจงึ ทนต่อน้ำมนั หรือตัวทำละลายทไ่ี ม่มีข้วั ยางบวิ ตาไดอนี สว่ นใหญ่ใชใ้ นอุตสาหกรรมยาง
ลอ้ เพราะเป็นยางที่มคี วามต้านทานตอ่ การขัดถูสูง และมักถกู นำไปทำใสใ้ นลกู กอล์ฟและลกู ฟุตบอลเนื่องจาก
มสี มบตั ดิ า้ นการกระเดง้ ตวั ทีด่ ี
3. ยางสไตรีนบวิ ตาไดอนี (Styrene-Butadiene Rubber, SBR) : ยางสไตรีนบวิ ตาไดอนี หรือยาง SBR
เป็นยางสังเคราะหท์ ีเ่ ตรียมขน้ึ โดยการนำสไตรนี มาโคพอลิเมอไรซ์กับบวิ ตาไดอีน โดยวิธีพอลิเมอไรเซชนั แบบ
อิมัลช่นั (emulsion polymerization) โดยเรยี กยางท่ีไดว้ า่ E-SBR และอาจใช้วิธีพอลิเมอไรเซชันแบบ
สารละลาย (solution polymerization) เรยี กวา่ L-SBR โดยทั่วไปสดั ส่วนของสไตรีนต่อบวิ ตาไดอีนอยู่ในชว่ ง
23-40%

4. ยางซลิ ิโคน (Silicone Rubber) : เป็นยางสังเคราะห์ที่ใชง้ านเฉพาะอยา่ งและราคาสูง เป็นได้ทัง้
สารอินทรีย์และอนินทรยี ์พรอ้ ม ๆ กนั เนือ่ งจากโมเลกลุ มโี ครงสรา้ งของสายโซห่ ลกั ประกอบดว้ ย ซลิ กิ อน (Si)
กับออกซเิ จน (O) และมีหมู่ขา้ งเคยี งเปน็ สารพวกไฮโดรคารบ์ อน ซึ่งต่างจากพอลเิ มอร์ชนดิ อืน่ ๆ ทำให้ยาง
ซลิ ิโคน ทนทานต่อความร้อนได้สูง และยงั สามารถออกสตู รยางให้ทนทานความร้อนไดส้ ูงประมาณ 300°C ยาง
ซลิ ิโคนมชี ่องว่างระหว่างโมเลกุลทสี่ ูงและมีความทนทานต่อแรงดงึ ต่ำ เน่อื งจากมีแรงดงึ ดดู ระหว่างโมเลกุลตำ่
มาก
5. ยางคลอโรพรนี (Chloroprene Rubber, CR) : มีชื่อทางการค้าว่า ยางนีโอพรีน (Neoprene Rubber)
เปน็ ยางทส่ี ังเคราะห์จากมอนอเมอร์ของคลอโรพรนี ภายใต้สภาวะท่ีเหมาะสม โมเลกลุ ของยาง CR สามารถ
จัดเรยี งตัวไดอ้ ย่างเปน็ ระเบียบสามารถตกผลึกไดเ้ มอ่ื ดึง มีสมบัติคล้ายยางธรรมชาติ ยาง CR เปน็ ยางทีม่ ีข้วั
เนื่องจากประกอบดว้ ยอะตอมของคลอรีน ทำใหย้ างชนิดน้มี สี มบัตดิ ้านการทนไฟ, ความทนต่อสารเคมีและ
นำ้ มนั ซ่ึงผลติ ภณั ฑ์ยางทใ่ี ช้งานในลักษณะดงั กล่าวได้แก่ ยางซีล, ยางสายพานลำเลียงในเหมอื งแร่ เป็นต้น

2.2.3 เสน้ ใยธรรมชาตแิ ละเส้นใยสงั เคราะห์
เส้นใย (Fibers) คือ พอลิเมอร์ชนิดหน่ึงที่มีโครงสรา้ งของโมเลกลุ สามารถนำมาเปน็ เสน้ ด้าย หรือเส้น
ใย จำแนกตามลักษณะการเกิดได้ดังนี้
ประเภทของเส้นใย
• เส้นใยธรรมชาติ ทรี่ ู้จักกนั ดีและใกล้ตวั คอื
- เสน้ ใยเซลลโู ลส เชน่ ลนิ นิ ปอ เส้นใยสบั ปะรด
- เส้นใยโปรตีน จากขนสตั ว์ เชน่ ขนแกะ ขนแพะ
- เส้นใยไหม เปน็ เส้นใยจากรังไหม
• เส้นใยสังเคราะห์ มีหลายชนิดที่ใช้กนั ทัว่ ไปคือ

- เซลลูโลสแอซเี ตด เป็นพอลเิ มอรท์ ่ีเตรียมได้จากการใชเ้ ซลลูโลสทำปฏกิ ิริยากบั กรดอซิติก
เข้มข้น โดยมีกรอซลั ฟรู ิกเป็นตวั เรง่ ปฏกิ ิรยิ า การใชป้ ระโยชน์จากเซลลูโลสอะซเี ตด เชน่ ผลิตเป้นเส้น
ใยอารแ์ นล 60 ผลิตเปน็ แผน่ พลาสติกที่ใชท้ ำแผงสวิตช์และหุม้ สายไฟ

- ไนลอน (Nylon) เป็นพอลิเมอร์สงั เคราะห์จำพวกเส้นใย เรียกว่า “ เส้นใยพอลเิ อไมด์” มหี ลาย
ชนดิ เชน่ ไนลอน 6,6 ไนลอน 6,10 ไนลอน 6 ซง่ึ ตวั เลขท่เี ขียนกำกับหลังชื่อจะแสดงจำนวนคาร์บอน
อะตอมในมอนอเมอรข์ องเอมีนและกรดคาร์บอกซิลิก ไนลอนจดั เปน็ พวกเทอรม์ อพลาสติก มีความ
แข็งมากกว่าพอลิเมอรแ์ บบเติมชนดิ อนื่ (เพราะมแี รงดึงดูดท่แี ข็งแรงของพันธะเพปไทด์) เปน็ สารที่ติด
ไฟยาก (เพราะไนลอนมพี ันธะ C-H ในโมเลกลุ น้อยกว่าพอลิเมอรแ์ บบเติมชนิดอน่ื ) ไนลอนสามารถ
ทดสอบโดยผสมโซดาลาม (NaOH + Ca(OH) 2) หรือเผาจะให้ก๊าซแอมโมเนีย

- ดาครอน (Dacron) เป็นเสน้ ใยสังเคราะห์พวกพอลเิ อสเทอร์ ซึ่งเรยี กอกี ช่อื หน่ึงว่า Mylar มี
ประโยชน์ทำเส้นใยทำเชอื ก และฟลิ ม์

- Orlon เป็นเสน้ ใยสังเคราะห์ ทเ่ี ตรยี มได้จาก Polycrylonitrile
2.2.4 ผลกระทบของการใชพ้ อลิเมอร์
ปจั จบุ นั มกี ารใชผ้ ลิตภัณฑ์จากพอลิเมอร์อย่างมากมาย ท้ังในดา้ นยานยนต์ การกอ่ สร้าง เครอื่ งใช้
เฟอรน์ ิเจอร์ ของเล่น รวมท้ังวงการแพทย์ และยงั มีแนวโนม้ ที่ใชผ้ ลิตภณั ฑ์จากพอลเิ มอร์มากยิ่งขึ้น
เนอ่ื งจากวสั ดุ ส่ิงของเครือ่ งใชต้ ่างๆ ท่ีผลิตจากพอลเิ มอร์ไม่วา่ จะเป็นพลาสติก ยาง หรือเสน้ ใย เม่ือใช้แลว้
มกั จะสลายตัวอยาก ยังเกิดสง่ิ ตกค้างมากข้นึ เรื่อยๆ และสารตั้งต้นของพอลเิ มอร์สว่ นใหญ่เป็นสารประกอบ
ไฮโดรคาร์บอน ซ่ึงเมอ่ื ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนและไนผดตรเจนไดออกไซด์ เกดิ เป็นสารประกอบเปอรอ์ อกซี
แอซิตลิ ไนเตรต (PAN) ซ่ึงเป็นพิษทำให้เกิดการระคายเคอื งตา และระบบทางเดินหายใจ และยังทำให้
ไฮโดรเจนในชั้นบรรยากาศลดลงดว้ ย

จะเหน็ ได้ว่า ผลติ ภัณฑ์พอลเิ มอร์แม้จะมปี ระโยชนม์ ากมาย แต่ก่อให้เกิดมลภาวะทางส่งิ แวดลอ้ มได้
มากมายเช่นกนั ท้ังอากาศ ทางนำ้ ทางดิน สรุปได้ดังนี้

1. โรงงานอตุ สาหกรรมทผี่ ลิตผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ตา่ งๆ มีการเผาไหมเ้ ชื้อเพลิง เกิดหมอกควนั และ
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซ่ึงเป็นก๊าซพิษ นอกจากนไี้ ฮโดรคาร์บอน ยงั ทำให้เกิดสารประกอบออกซีแอวิตลิ ไน
เตรต ซ่ึงเป็นพิษกระจายไปในอากาศ ทำให้สัดสว่ นของอากาศเปล่ยี นแปลงไป และอณุ หภมู ิของอากาศ
เปลี่ยนแปลงไปดว้ ย นอกจากเกิดมลภาวะทางอากาศแลว้ ในกระบวนการผลติ ของโรงงานอุตสาหกรรม มกั
ปลอ่ ยสารพิษลงสูแ่ หล่งน้ำ เช่น อตุ สาหกรรมพลาสติกปล่อยสารพซี บี ี (PCB-polychlorinated biphenyls)
ซึง่ ทำใหเ้ กดิ ผมร่วง ผิวหนงั พพุ อง อ่อนเพลยี และสารเคมบี างอยา่ งละลายลงน้ำ ทำให้มีสมบตั ิเป็นกรด
ปริมาณออกซิเจนลดลง เป็นอันตรายกบั สง่ิ มีชวี ิตในน้ำ

2. การใช้ผลติ ภณั ฑ์พอลเิ มอรข์ องผ้บู รโิ ภค เป็นที่ทราบแลว้ ว่าผลิตภณั ฑ์พอลิเมอรส์ ่วนใหญ่ สลายตัว
อยาก มีการนำมาใชม้ ากข้ึนทกุ วนั ทำใหท้ ีซากเศษผลติ ภัณฑม์ ากย่ิงข้ัน เกิดจากการทับถม หมกั หมมบนดิน
เกิดกลนิ่ ก๊าซฟุ้งกระจาย เพ่ิมมลภาวะในอากาศ พ้ืนท่ดี ินถูกใชไ้ ปในการจัดเกบ็ ท้งิ ซากผลิตภัณฑม์ ากขน้ึ ทำ
ใหพ้ ื้นทีส่ ำหรบั ใชส้ อยลดลง และดินไมเ่ หมาะต่อการใช้ประโยชน์เป็นมลภาวะทางดนิ มากขึ้น นอกจากนี้ซาก
ผลติ ภณั ฑ์ บางสว่ นถูกทิ้งลงในแหลง่ น้ำ นอกจากทำใหน้ ้ำเสียเพมิ่ มลภาวะทางนำ้ แล้ว ยงั ทบั ถมปดิ ก้นั การ
ไหลของน้ำ ทำให้การไหลถา่ ยเทของน้ำไมส่ ะดวก อาจทำใหน้ ้ำท่วมได้

ผลิตภัณฑ์ ทีผ่ ลิตจากพอลิเมอร์ส่วนใหญเ่ ปน็ พลาสตกิ หลงั จากใชง้ านพลาสติกเหล่าน้ไี ปช่วงเวลา
หนึ่ง มกั ถูกทงิ้ เปน็ ขยะพลาสติก ซงึ่ สว่ นหน่งึ ถูกนำกลบั มาใชอ้ กี ในลักษณะตา่ งๆ กัน และอีกสว่ นหนึง่ ถูก
นำไปกำจัดท้งิ โดยวิธีการต่างๆ การนำขยะพลาสตกิ ไปกำจัดท้งิ โดยการฝังกลบเปน็ วิธที ีส่ ะดวกแต่มผี ลเสยี ต่อ
สิง่ แวดลอ้ ม ทัง้ น้ีเพราะโดยธรรมชาติพลาสติกจะถูกยอ่ ยสลาย เพราะโดยธรรมชาติพลาสติกจะถูกย่อยสลายได้
ยาก จงึ ทบั ถมอยู่ในดนิ และนับวนั ย่ิงมปี รมิ าณมากข้นึ ตามปรมิ าณการใช้พลาสติกสว่ นการเผาขยะพลาสติกก็
ก่อให้เกดิ มลพษิ และเปน็ อนั ตรายอย่างมาก วิธีการแก้ปญั หาขยะพลาสตกิ ท่ีไดผ้ ลดที ส่ี ุดคอื การนำขยะ
พลาสตกิ กลับมาใชป้ ระโยชนใ์ หม่ การนำขยะพลาสติกใช้แล้วกลับมาใช้ประโยชนใ์ หม่ มีหลายวิธี ดังนี้

1. การนำกลับมาใช้ซำ้
ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ใชแ้ ล้ว เชน่ สามารถนำกลับมาทำความสะอาดเพือ่ ใชซ้ ำ้ ได้หลายครั้งแต่
ภาชนะเหล่านน้ั จะเส่อื มคณุ ภาพลง และความสวยงามลดลงตามลำดับนอกจากนย้ี งั ต้องคำนงึ ถงึ ความสะอาด
และความปลอดภยั ด้วย
2. การหลอมขนึ้ รูปผลติ ภัณฑใ์ หม่
การนำขยะพลาสตกิ กลับมาใชใ้ หม่ โดยวิธขี ้ึนรูปเป็นผลติ ภัณฑใ์ หม่ เปน็ วธิ ีที่นิยมกันมาก แตเ่ ม่ือ
เทียบกบั ปริมาณของขยะพลาสตกิ ทั้งหมดก็ยงั เปน็ เพียงส่วนน้อย การนำพลาสตกิ ใช้แลว้ มาหลอมข้ึนรปู ใหม่
เช่นน้ี สามารถทำไดจ้ ำกัดเพยี งไมก่ ่ีครงั้ ท้งั นเี้ พราะพลาสติกดังกล่าวจะมคี ุณภาพลดลงตามลำดบั และต้อง
ผสมกบั พลาสตกิ ใหมใ่ นอัตราสว่ นที่เหมาะสมทุกคร้ัง อกี ทง้ั คณุ ภาพของผลิตภณั ฑ์ที่ไดจ้ ากพลาสติกทนี่ า
กลับมาใช้ใหมจ่ ะตำ่ กวา่ ผลติ ภัณฑท์ ี่ได้จากพลาสตกิ ใหม่ทั้งหมด
3. การเปลยี่ นเป็นผลติ ภณั ฑข์ องเหลวและกา๊ ซ
การเปล่ยี นขยะพลาสติกเป็นผลิตภัณฑ์ของเหลวและกา๊ ซเปน็ วธิ ีการทท่ี ำให้ได้สารไฮโดรคารบ์ อนที่
เป็นขยะเหลวและกา๊ ซ หรอื เปน็ สารผสมไฮโดรคาร์บอนหลายชนิด ซ่งึ อาจใช้เปน็ เชื้อเพลิงโดยตรง หรอื กลนั่
แยกเป็นสารบริสทุ ธิ์ เพ่ือใช้เป็นวัตถุดิบสำหรบั การผลติ พลาสติกเรซนิ ไดเ้ ชน่ เดียวกันกบั วัตถุดิบท่ีไดจ้ าก
ปโิ ตรเลียม กระบวนการนจ้ี ะได้พลาสติกเรซนิ ที่มีคุณภาพสูงเช่นเดียวกนั วิธีการเปลย่ี นผลิตภณั ฑพ์ ลาสตกิ ที่
ใช้แล้วให้เป็นของเหลวน้ีเรยี กวา่ ลคิ วแิ ฟกชนั (Liquefaction) ซ่ึงเป็นวธิ ไี พโรไลซิสโดยใช้ความรอ้ น
สูง ภายใต้บรรยากาศไนโตรเจนหรอื ก๊าซเฉอื่ ยชนดิ อื่น นอกจากของเหลวแลว้ ยงั มีผลิตภัณฑ์ขา้ งเคียงเปน็ กาก
คารบ์ อนซ่ึงเปน็ ของแข็ง สามารถใช้เปน็ เช้ือเพลิงได้ สำหรับกา๊ ซที่เกดิ ขึน้ จากกระบวนการไพโรไลซสิ คือกา๊ ซ

ไฮโดรคารบ์ อน สามารถใช้เปน็ เชื้อเพลิงไดเ้ ชน่ กัน นอกจากน้ี ยังอาจมีกา๊ ซอ่ืนๆ เกิดขึ้นด้วย เช่น ก๊าซ
ไฮโดรเจนคลอไรด์ ซงึ่ ใชป้ ระโยชน์ในอุตสาหกรรมบางประเภทได้

4.การใช้เป็นเชือ้ เพลงิ โดยตรง
พลาสติกประเภทเทอร์โมพลาสตกิ สว่ นมากมสี มบตั ิเป็นสารท่ีตดิ ไฟและลุกไหม้ได้ดีจึงใช้เป็น

เชื้อเพลงิ ไดโ้ ดยตรง
5.การใช้เปน็ วัสดปุ ระกอบ
อาจนำพลาสติกใช้แลว้ ผสมกับวสั ดอุ ย่างอน่ื เพ่ือผลิตเป็นผลติ ภณั ฑว์ สั ดปุ ระกอบท่ีเป็น

ประโยชนไ์ ด้ เช่น ไมเ้ ทียม หินอ่อนเทียม แต่ผลิตภัณฑ์เหลา่ นี้อาจมคี ุณภาพไมส่ งู นกั


Click to View FlipBook Version