ธรณีแปรสัณฐาน
Plate Tectonic
วัฒนา สายสิงห์
ก
คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์/E-Bookเล่มนี้เกิดจากการศึกษา
ค้นคว้าของผู้ศึกษา เพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการสอนรายวิชา
โลกและอวกาศ 1 ว30261 มีเนื้อหาเกี่ยวกับทฤษฎีที่สนับสนุน
การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณี ทฤษฎีการแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
เหมาะสำหรับนักเรียนหรือผู้สนใจศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
ผู้ศึกษาหวังเป็ นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มอิเล็กทรอนิกส์/E-
Book นี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ศึกษาไม่มากก็น้ อย
สารบัญ ข
เรื่ อง หน้ า
1
บทนำ 2
แนวคิดทฤษฎีทวีปเลื่อนและหลักฐานที่สนุบสนัน 7
แนวคิดทฤษฎีการแผ่ขยายพื้นที่ของมหาสมุทรและหลักฐาน 11
ทฤษฎีการแปรสัณฐานของแผ่นธรณี 16
แบบฝึ กหัด 20
บรรณานุกรม 21
ประวัติผู้แต่ง
หน้ า 1
การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
Pate Tectonics
พื้นผิวโลกถูกปกคลุมด้วยมหาสมุทรร้อยละ 70 มนุษย์
เราไม่เข้าใจลักษณะพื้นผิวของมหาสมุทร จนกระทั่ง แมรี่
ทาร์ป (Marie Tharp) นักธรณีวิทยาชาวอเมริกัน ได้จัดทำ
แผนที่พื้นมหาสมุทร ที่แสดงรูปร่าง ตำแหน่งของทวีปต่าง
ๆ รวมถึงภูมิประเทศ แนวเทือกเขาบนทวีปและพื้น
มหาสมุทร
แผนที่พื้นมหาสมุทรได้ทำให้ อัลเฟรด เวเกเนอร์
(alfred Wegener) ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับแนวรอยต่อของ
แผ่นทวีป เขาพบว่าทวีปบางทวีปสามารถต่อกันได้พอดี
ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มเสนอแนวคิดว่า "ในอดีต
ทวีปเคยติดกันมาก่อน แต่ต่อมากระบวนการ
เปลี่ยนแปลงทางธรณี ทำให้ทวีปเคลื่ อนที่ออกจากกัน"
จึงนำไปสู่การศึกษาหลักฐานและข้อมูลที่สนับสนุนสนุน
แนวคิดดังกล่าว
หน้ า 2
จากแนวคิดทวีปเคยอยู่ติดกันมาก่อนทำให้นัก
วิทยาศาสตร์ค้นหาหาหลักฐานมาสนับสนุนแนวคิดดัง
กล่าว จนทำให้มีการเสนอทฤษฎีที่ทำให้เชื่อได้ว่าแผ่น
ธรณีมีการเคลื่อนที่ 2 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีทวีปเลื่อน ที่
เสนอโดย อัลเฟรด เวเกเนอร์ และ ทฤษฎีการแผ่ขยาย
พื้นที่ของมหาสมุทร ที่เสนอโดย แฮรี่ แฮมมอนด์ เฮส
(Harry Hammond Hess)
1.แนวคิดทฤษฎีทวีปเลื่ อนและหลักฐานที่สนั บสนุน
ในต้นศตวรรษที่ 19 มีนักวิทยาศาสตร์เสนอแนวคิดว่า
ทวีปต่าง ๆ ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเหมือนปัจจุบัน แต่เคย
เชื่อมกันเป็นแผ่นดินเดียว ที่เรียกว่า พันเจีย (Pangea)
แนวคิดดังกล่าวถูกเสนอโดย อัลเฟรด เวเกเนอร์ นัก
วิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน เขียนแนวคิดทวีปเคยอยู่ติดกัน
ไว้ในหนังสือ "The Origin Of Continent and Oceans"
:ซึ่ งมีเนื้ อหาหลักฐานที่เสดงว่าในอดีตทวีปเคยอยู่ติดกันมา
ก่อน
รูป 1 อัลเฟรด เวเกเนอร์ หลักฐานชิ้นแรกที่อัลเฟรด เวเกเนอร์ ใช้
อธิบายแนวคิดของเขา คือ บริเวณขอบทวีป
เมื่อนำขอบทวีปบางทวีปมาเชื่อมต่อกัน เช่น
ทวีปอเมริกา แอฟริกา และยุโรป พบว่า
สามารถเชื่อมต่อกันได้ แม้ว่าถ้านำบริเวณแนว
ชายฝั่งมาต่อกันอาจต่อกันได้ไม่สมบูรณ์
เนื่ องจากชายฝั่ งถูกกัดกร่อนและการสะสม
ของตะกอนเป็ นเวลานานหลายล้านปี
หน้ า 3
แต่หากนำขอบทวีปมาต่อกันบริเวณลาดทวีปจะพบว่าทวีป
ต่าง ๆ สามารถเชื่อมต่อกันได้สมบูรณ์มากขึ้น ดังรูป 2
รูป 2 การเชื่อมต่อกันของทวีปต่าง ๆ บริเวณขอบของลาดทวีป
นอกจากนี้เวเกเนอร์ยังรวบรวมหลักฐาน เพื่ออธิบาย
แนวคิดที่ตนเองเสนอ โดยการศึกษาและหาหลักฐานด้วย
ตนเอง ร่วมกับข้อมูลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์อื่น ๆ ดังนี้
1.หลักฐานจากซากดึกดำบรรพ์ จากการค้นพบ
ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์และพืช เช่น มีโซซอรัส
(Mesosaurus) b (Cynonathus) ลีสโทรซอรัส
(Lystrosaurus) และ กลอสโซพเทรีส (Glossopteris)
บนทวีปอเมริกาใต้ ทวีปแอฟริกา ทวีปอินตาร์กติกา ทวีป
ออสเตรเลียและประเทศอินเดีย ซึ่งในปัจจุบันทวีปต่าง ๆ มี
มหาสมุทรกั้นอยู่ การที่พืชและสัตว์เหล่านั้นจะขยายพันธ์
ข้ามทวีปจึงเป็นไปได้ยาก นักวิทยาศาสตร์จึงนำมาใช้เป็น
หลักฐานสนับสนุนว่าทวีปเคยอยู่ติดกันมาก่อน
หน้ า 4
รูป 3 หลักฐานจากซากดึกดำบรรพ์
2.หลักฐานจากกลุ่มหินและแนวเทือกเขา
เมื่อพิจารณาหลักฐานทางด้านธรณีวิทยาและธรณีกาล
เวเกเนอร์ได้ศึกษาชนิดหินและกลุ่มหินตามแนวเทือกเขา
แอปพาเลเชียน (AppalachianMountains) ในทวีป
อเมริกาเหนือ และแนวเทือกเขาคาเลโดเนียน
(Caledonian Mountains)ในประเทศนอร์เวย์กรีนแลนด์
ไอร์แลนด์ และอังกฤษ ซึ่งอยู่บนสองฝั่งของมหาสมุทร
แอตแลนติกดังรูป 4 (ก) พบว่าแนวเทือกเขาทั้งสองมี
กลุ่มหินเดียวกันและมีช่วงอายุเดียวกันประมาณ 200
ล้านปี และเมื่อนำขอบของลาดทวีปมาเชื่อมต่อกันพบว่า
ในอดีตเทือกเขาทั้งสองวางตัวอยู่เป็ นแนวเทือกเขา
เดียวกัน ดังรูป 4 (ข)
หน้ า 5
รูป 4 หลักฐานจากแนวเทือกเขา
หน้ า 6
3.หลักฐานจากร่องรอยธารนำ้แข็งบรรพกาล
นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาสภาพภูมิอากาศบรรพกาลของทวีป
อเมริกาใต้ ทวีปแอฟริกา ทวีปออสเตรเลียและประเทศ
อินเดีย ปัจจุบันอยู่ในเขตร้อนซื้นหรืออบอุ่นพบร่องรอยการ
เคลื่อนที่ของธารน้ำแข็งบรรพกาลในช่วงอายุ 280 ล้านปีดัง
รูป 5 (ก) และเมื่อนำขอบทวีปมาต่อกัน พร้อมกับพิจารณา
ทิศทางการเคลื่อนที่ของธารน้ำแข็งบรรพกาลจากรอยครูดถู
บนหินฐานที่ธารน้ำแข็งเคลื่อนที่ผ่าน พบว่าธารน้ำแข็งบรรพ
กาลมีการเคลื่อนที่กระจายออกจากทวีปแอฟริกาไปสู่บริเวณ
อื่น ซึ่งคล้ายคลึงกับลักษณะการเคลื่อนที่ของธารน้ำแข็งใน
ทวีปแอนตาร์กติกาในปัจจุบัน จึงเป็นสมมติฐานว่าทวีปดัง
กล่าวเคยอยู่ติดกันใกล้บริเวณขั้วโลกใต้และมีพืดน้ำแข็ง
ปกคลุม ดังรูป 4 (ข)
รูป 5 ก พบร่องรอยการเคลื่อนที่ของธาร
น้ำแข็งบรรพกาลในทวีปต่าง ๆ
หน้ า 7
รูป 5 ข ในอดีตบริเวณเหล่านี้เคยอยู่ติดกัน
บริเวณขั้วโลกใต้
2.แนวคิดและหลักฐานสนั บสนุนทฤษฎีการแผ่ขยาย
พื้นที่ของมหาสมุทร
ที่มาของทฤษฎีการแผ่ขยายพื้นสมุทร เกิดจากการค้น
พบหลักฐานเกี่ยวกับอายุหิน ของพื้นมหาสมุทร โดย
ทฤษฎีการแผ่ขยายพื้นสมุทร ได้อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้
พันเจียแตก และเคลื่อนที่แยกออกจากกัน ซึ่งเกิดจากการ
ปะทุแทรกขึ้นมาของแมกมาบนเปลือกโลกทวีป ทำให้
เปลือกโลกทวีปโป่งตัวขึ้น เกิดเป็นเทือกเขากลาง
มหาสมุทร จนแตกออกจากกัน แล้วเกิดการทรุดตัวเป็น
หุบเขาทรุด ร่องที่เกิดจากการทรุดตัวเกิดเป็นทะเล และ
มหาสมุทร
หน้ า 8
เปลือกโลกมหาสมุทรที่อยู่ใกล้แนวรอยแตกของเปลือก
โลก จะมีลักษณะเป็นสันเขาใต้สมุทร การเพิ่มขึ้นของ
เปลือกโลกใต้มหาสมุทร เนื่องจากลาวาแข็งตัวเป็นหิน
อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดแรงดึงดูด และดันเปลือกโลก
มหาสมุทรที่เกิดขึ้นก่อน หรือมีอายุมากกว่า ให้เคลื่อนที่
ออกห่างจากแนวรอยแตกมากขึ้น ส่งผลให้พื้นมหาสมุทร
ที่อยู่ใกล้กับแนวรอยแตกของเปลือกโลกมีอายุน้ อยกว่า
พื้นสมุทรที่อยู่ไกลออกไป และการแข็งตัวเป็นหินของ
ลาวาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดเปลือกโลกมหาสมุทรชุดใหม่
อยู่ตลอดเวลา
หลักฐานที่สนับสนุนว่ามีการแผ่ขยายพื้นมหาสมุทร ได้แก่
1. เทือกเขากลางสมุทร เนื่องจากเกิดรอยแยก
บริเวณมหาสมุทร กลายเป็นบริเวณที่เกิดการปะทุของ
ภูเขาไฟ การแทรกดันของหินหนืดในบริเวณดังกล่าว จะ
ดันให้แผ่นธรณีมหาสมุทรเคลื่อนที่ออกจากกัน จากส่วน
กลางของเทือกเขากลางมหาสมุทร
รูป 6 หลักฐานจากสันเขากลางมหาสมุทร
หน้ า 9
2. อายุหินบริเวณพื้นมหาสมุทร จากการศึกษาหินบะซอลต์
บริเวณหุบเขาทรุด หรือรอยแยกบริเวณเทือกเขากลางมหาสมุทร
พบว่าหินบะซอลต์ที่อยู่ไกลจากรอยแยก จะมีอายุมากกว่าหินบะ
ซอลต์ที่อยู่ใกล้รอยแยก เพราะเมื่อแผ่นธรณีเกิดรอยแยก แผ่น
ธรณีจะเคลื่อนที่ออกจากกันอย่างช้าๆ ตลอดเวลา ซึ่งเนื้อของหิน
บะซอลต์จากส่วนล่าง จะแทรกเสริมขึ้นมาตรงรอยแยกเป็นธรณี
ภาคใหม่ ทำให้บริเวณรอยแยกเกิดหินบะซอลต์ใหม่เรื่อยๆ ดัง
นั้น แผ่นธรณีบริเวณเทือกเขากลางมหาสมุทร จึงมีอายุน้ อยที่สุด
และแผ่นธรณีใกล้ขอบทวีป จะมีอายุมากกว่า
รูป 7 หลักฐานจากอายุหินบริเวณใกล้รอยแยก
หน้ า 10
3. ภาวะแม่เหล็กโลกบรรพกาล คือร่องรอยสนามแม่เหล็กโลกใน
อดีต ศึกษาจากหินบะซอลต์ที่มีแร่แมกนีไทต์ เป็นองค์ประกอบ
เพราะธาตุเหล็กที่อยู่ในแร่นี้ จะถูกเหนี่ยวนำโดยสนามแม่เหล็กโลก
ทำให้มีการเรียงตัวในทิศทางเดียวกับเส้นแรงแม่เหล็กโลก
รูป 8 หลักฐานจากภาวะแม่เหล็กโลกบรรพกาล
จากหลังฐานข้างต้นพบว่า มีความสอดคล้องกับทฤษฎีทวีป
เลื่อนของอัลเฟรด เวเกเนอร์ ที่กล่าวถึงการเคลื่อนที่ออกจาก
กันของทวีปต่าง ๆ ในอดีต นักวิทยาศาสตร์จึงนำแนวคิดของ
ทฤษฎีทวีปเลื่อน และทฤษฎีการแผ่ขยายพื้นที่ของมหาสมุทร
มาสรุปเป็ นทฤษฎีใหม่ที่อธิบายการเคลื่ อนที่ของแผ่นธรณีและ
ผลที่เกิดขึ้นบริเวณแนวรอยต่อของแผ่นธรณี โดยใช้ชื่อ ทฤษฎี
การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
หน้ า 11
3.ทฤษฎีการแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
จากทฤษฎีทวีปเลื่อนและทฤษฎีการเเผ่ขยาย
พื้นที่ของมหาสมุทรทำให้ทราบว่าพื้นทวีปและพื้น
มหาสมุทรมีการเคลื่อนที่ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า
พื้นทวีปและพื้นมหาสมุทรมีความเกี่ยวข้องกับ
โครงสร้างโลกชั้นธรณีภาค โดยที่รอยแตกบริเวณพื้น
ทวีปและพื้นมหาสมุทรคือรอยแตกของชั้นธรณีภาค
เรียกรอยแตกที่เป็นแผ่น ๆ นั้นว่า แผ่นธรณี (Plate)
ปั จจุบันมีแผ่นธรณีหลายแผ่นรองรับทั้งพื้ นทวีปและ
พื้นมหาสมุทร เช่น แผ่นธรณีแอฟริกา แผ่นธรณียูเร
เซีย แผ่นธรณีแปซิฟิก เป็นต้น
รูป 9 แผ่นธรณีของโลก
หน้ า 12
แผ่นธรณีประกอบไปด้วยแผ่นธรณีทวีป และแผ่นธรณี
มหาสมุทร มีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีการเคลื่อนที่
ได้หลายทิศทาง ซึ่งการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีทำให้เกิดลักษณะ
ภูมิประเทศต่าง ๆ เช่น ภูเขา ทะเล มหาสมุทร เป็นต้น ทั้งนี้การ
ที่แผ่นธรณีมีการเคลื่อนตัวนั้นเกิดจากการเคลื่อนตัวของแมกมา
(Magma) ที่อยู่ใต้ชั้นเปลือกโลกตามทฤษฎีการพาความร้อน
(Convention current theory) ทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของทวีป
ต่าง ๆ ตามมา จนกลายเป็นลักษณะของแผนที่โลกที่เราเห็นใน
ปั จจุบัน
ลักษณะการเคลื่ อนที่ของแผ่นธรณี
ลักษณะการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณี มีอยู่ 3 แบบ คือ
1. แผ่นธรณีเคลื่อนที่ออกจากกัน (Divergent boundary)
แผ่นธรณีภาคเคลื่ อนที่ออกจากกันเนื่ องจากการดันตัวของแมก
มาออกมาภายนอกเปลือกโลกตามรอยแยก ทำให้แผ่นเปลือก
โลกเคลื่อนออกจากกัน ซึ่งการเคลื่อนตัวนี้ส่งผลให้เกิดแผ่นดิน
ไหวได้ โดยการเคลื่อนตัวออกจากกัน มี 2 รูปแบบคือ
1.1 การเคลื่อนที่แยกออกจากกันของแผ่นธรณีทวีป การ
เคลื่อนที่ออกจากกันของแผ่นธรณีทวีปทั้งสองแผ่น จะทำให้เกิด
รอยแยกขนาดใหญ่และเกิดทรุดตัวกลายเป็นหุบเขาทรุด (Rift
Valley) และกลายเป็นทะเลขนาดเล็ก เช่น ทะเลแดง ทะเลสาบ
มาลาวี
รูป 10 แผ่นธรณีทวีปเคลื่อนที่ออกจากกัน
หน้ า 13
1.2 การเคลื่อนที่แยกออกจากกันของแผ่นธรณีมหาสมุทร
การเคลื่อนที่แยกออกจากกันของแผ่นธรณีมหาสมุทร ทำให้เกิด
สันเขาใต้มหาสมุทร (Mid Ocean Ridge) แมกมาหรือหินหนืด
มีการดันตัวขยายแผ่นเปลือกโลกออกด้านข้างส่งผลให้พื้นที่ของ
มหาสมุทรขยายตัวขึ้นด้วย
รูป 11 แผ่นธรณีมหาสมุทรเคลื่อนที่ออกจากกัน
2. แผ่นธรณีเคลื่อนที่เข้าหากัน (Convergent boundary)
การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกชนกันมีผลทำให้เกิด
แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง และหากเกิดในมหาสมุทรอาจทำให้
เกิดสึนามิได้ การที่แผ่นธรณีเคลื่อนที่เข้าหากัน มีอยู่ 3
ลักษณะ คือ
2.1 แผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรชนกัน
การที่แผ่นธรณีมหาสมุทรชนกันนั้น แผ่นเปลือกโลก
มหาสมุทรที่มีอายุมากกว่า มีความหนาแน่นมากกว่า จะมุดตัว
ลงด้านล่าง บริเวณนั้นเรียกว่า ร่องลึกมหาสมุทร (Mid
oceanic trench) ซึ่งแผ่นเปลือกโลกชั้นบนจะเกิดการ
หลอมเหลวกลายเป็นหินหนืดและดันผิวโลก เกิดเป็นเกาะต่าง
ๆ ตามแนวร่องลึกมหาสมุทร เกาะส่วนใหญ่จะเป็นเกาะที่มี
ภูเขาไฟ เช่น เกาะญี่ปุ่น เกาะฟิลิปปินส์ ดังนั้น จะสังเกตว่า
ประเทศเหล่านี้ตั้งอยู่ระหว่างแผ่นเปลือกโลก และมักเกิดแผ่น
ดินไหวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
หน้ า 14
รูป 12 แผ่นธรณีมหาสมุทรเคลื่อนที่เข้าหากัน
2.2 แผ่นเปลือกโลกทวีปชนกัน การที่แผ่นเปลือกโลกทวีปชนกัน แผ่นเปลือกโลกที่
มีความหนาแน่นมากกว่าจะมุดตัวลงด้านล่าง ส่วนแผ่นเปลือกโลกที่มีความหนา
แน่นน้ อยกว่าจะยกตัวขึ้น กลายเป็นเทือกเขาสูง เช่น เทือกเขาหิมาลัย ประเทศ
เนปาล เทือกเขานี้ยังมีการเคลื่อนที่ชนกันอยู่ตลอดเวลาของขอบทวีประหว่าง
อินเดียและทวีปเอเชีย ซึ่งทุก ๆ ปี จะมีความสูงเพิ่มขึ้นแต่เพียงเล็กน้ อยเท่านั้น
รูป 13 แผ่นธรณีทวีปเคลื่อนที่เข้าหากัน
2.3 แผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรชนกับแผ่นเปลือกโลกทวีป แผ่นเปลือกโลก
มหาสมุทรมีความหนาแน่นมากกว่าแผ่นเปลือกโลกทวีป ดังนั้น เมื่อเกิดการชนกัน
แผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรจะจมตัวลง ขณะที่แผ่นเปลือกโลกทวีปจะยกตัวขึ้นกลาย
เป็นภูเขาสูงริมชายฝั่งทะเล เช่น เทือกเขาแอนดีส บริเวณชายฝั่งทวีปอเมริกาใต้
หน้ า 15
รูป 14 แผ่นธรณีทวีปเคลื่อนที่เข้าหาแผ่นธรณีมหาสมุทร
3. แผ่นธรณีเคลื่อนที่ผ่านกัน (Transform boundary)
เมื่อแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่สวนกัน จะทำให้เกิดรอยเลื่อนขนาดใหญ่และอาจ
ทำให้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงได้ การเคลื่อนที่สวนกันของแผ่นเปลือกโลกที่
เป็นที่รู้จัก เช่น รอยเลื่อนซานแอนเดรีย ในรัฐแคลิฟอเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
รูป 15 รอยเลื่อน
รูป 16 แนวรอยต่อของแผ่นธรณี 3 รูปแบบ
หน้ า 16
แบบฝึ กหัด
หน้ า 17
หน้ า 18
หน้ า 19
หน้ า 20
บรรณานุกรม
กรมทรัพยากรธรณี. (2544). ธรณีวิทยาประเทศไทย เฉลิมพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม
2542. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: กองธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี
สถาบันส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2551). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม
โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ เล่ม 1. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ สกสค.
สถาบันส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2561). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม
โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ เล่ม 1. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: ศูนย์หนังสือแห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
หน้ า 21
ประวัติผู้เขียน
ชื่อ : วัฒนา สายสิงห์
การศึกษา : ปริญญาตรี ครุศาสตรฺบัณฑิต วิทยาศาสตร์(ฟิสิกส์)
มหาวิทยาลัยราชภัฎเลย
ประสบการณ์ทำงาน : ครูผู้สอนวิชาโลก ดาราศาสตร์และอวกาศ
และวิชาฟิสิกส์ โรงเรียนศรีธาตุพิทยาคม