อ า ร ย ธ ร ร ม อิ น เ ดี ย
ห รื อ
อ า ร ย ธ ร ร ม ลุ่ ม แ ม่ น้ำ
สิ น ธุ
ฉ บั บ ที่ 1 จั ด ทำ โ ด ย น . ส . อ ม ร า พ ร บุ ญ ม น
เ ล ข ที่ 1 7 ม . 6 / 5
เ ส น อ อ า จ า ร ย์ อั ม พ ร ขุ น เ นี ย ม
คำ นำ
ห นั ง สื อ ฉ บั บ นี้ เ ป็ น ส่ ว น ห นึ่ ง ข อ ง วิ ช า อ า ร ย ธ ร ร ม โ ล ก ชั้ น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า
ปี ที่ 6 โ ด ย มี จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ เ พื่ อ ก า ร ศึ ก ษ า อ า ร ย ธ ร ร ม อิ น เ ดี ย ผู้ จั ด ทำ ข อ
ข อ บ คุ ณ ผ ศ . ด ร . อำ พ ร ขุ น เ นี ย ม ผู้ ใ ห้ ค ว า ม รู้ แ ล ะ แ น ะ แ น ว ท า ง ก า ร
ศึ ก ษ า แ ล ะ ข อ ข อ บ คุ ณ เ พื่ อ น ๆ ใ น ก ลุ่ ม อ า ร ย ธ ร ร ม อิ น เ ดี ย ที่ ใ ห้ ค ว า ม ช่ ว ย
เ ห ลื อ ห า ก มี ข้ อ ผิ ด พ ล า ด ป ร ะ ก า ร ใ ด ต้ อ ง ข อ อ ภั ย ม า ณ ที่ นี้
อ ม ร า พ ร บุ ญ ม น
ส า ร บั ญ
1 2
บ ท นำ ก า ร ตั้ ง ถิ่่ น ฐ า น แ ล ะ
เ ผ่ า พั น ธุ์
4
6
อ า ร ย ธ ร ร ม อิ น เ ดี ย
การปกครองและ
7 กฎหมาย
ด้ า น สั ง ค ม แ ล ะ 9
วั ฒ น ธ ร ร ม
มรดกของ
10 อ า ร ย ธ ร ร ม อิ น เ ดี ย
ก า ร แ พ ร่ ข ย า ย แ ล ะ 11
ก า ร ถ่ า ย ท อ ด
บ ร ร ณ า นุ ก ร ม
อ า ร ย ธ ร ร ม อิ น เ ดี ย
ห น้ า 1
บทนำ จากภูมิประเทศของอินเดียที่มีลักษณะเป็นรูป
สามเหลี่ยมขนาดใหญ่ ผู้ที่เดินทางบกเข้ามายัง
เป็นแหล่งอารยธรรมเริ่มแรกของอินเดีย อยู่บริเวณ บริเวณนี้ในสมัยโบราณต้องผ่านช่องเขาทาง
ดินแดนภาคตะวันตกของอินเดีย (ปากีสถานในปัจจุบัน) ด้านตะวันตกที่เรียกว่า ช่องเขาไคเบอร์ ซึ่งเป็น
ที่แม่น้ำสินธุไหลผ่าน อาณาเขตลุ่มแม่น้ำสินธุครอบคลุม หนทางเดียวที่จะเข้าสู่อินเดียในสมัยโบราณ
บริเวณกว้างกว่าลุ่มแม่น้ำไนล์แห่งอิยิปต์ โดยทุกๆปี ช่องเขานี้เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อินเดีย
กระแสน้ำได้ไหลท่วมท้นฝั่ งทำให้ดินแดนลุ่มน้ำสินธุอุดม ตลอดมา เพราะเส้นทางนี้เป็นทางผ่านของกอง
สมบูรณ์เหมาะแก่การทำกสิกรรม นักประวัติศาสตร์บาง ทัพของผู้รุกรานและพ่ อค้าจากเอเชียกลาง
คนเรียกอารยธรรมในดินแดนนี้ว่า วัฒนธรรมฮารัปปา อัฟกานิสถานเข้าสู่อินเดีย เพราะเดินทางได้
(Harappa Culture) ซึ่งเป็นชื่อเมืองโบราณที่ตั้งอยู่ สะดวก
บริเวณลุ่มน้ำสินธุเมื่อประมาณ 3,500 – 1,000 ปี
ก่อนพุ ทธศักราช
ห น้ า 2
ก า ร ตั้ ง ถิ่ น ฐ า น แ ล ะ หลักฐานทางโบราณคดีพบว่ามีเมืองใหญ่ 2 เมือง คือ
เ ผ่ า พั น ธุ์ เมืองฮารัปปา (Harappa) และเมืองโมเฮนโจ – ดาโร
(Mohenjo – Daro) หลักฐานดังกล่าวทำให้ทราบว่า
1. สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบหลักฐานเป็นซากเมือง บริเวณลุ่มน้ำสินธุมีผู้คนตั้งถิ่นฐานและสร้างสรรค์
โบราณ 2 แห่งในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ คือ อารยธรรมมายาวนาน คือ พวกดราวิเดียนสิ่งที่เด่น
ที่สุดของอารยธรรมแม่น้ำสินธุ ตัวเมืองที่มีการวาง
1.1 เมืองโมเฮนโจ – ดาโร ทางตอนใต้ของ ผังเมืองอย่างเป็นระเบียบ แยกพื้ นที่ใช้กันงานออกจาก
ประเทศปากีสถาน กันอย่างชัดเจน มีการตัดถนนเป็นมุมฉากและแบ่งเมือง
ออกเป็นตาราง แสดงความรู้ด้านเรขาคณิตขั้นสูงสิ่งที่
1.2 เมืองฮารับปา ในแคว้นปันจาป ประเทศ โดดเด่นกว่าอารยธรรมอื่นๆ คือ มีการจัดระบบ
ปากีสถานในปัจจุบัน สุขาภิบาลที่ดี เป็นระบบ จากรูปแบบการก่อสร้างแสดง
2. สมัยประวัติศาสตร์ เริ่มเมื่อมีการประดิษฐ์ตัวอักษร ให้เห็นว่ามีการปกครองแบบรวมอำนาจซึ่งผู้ปกครอง
ขึ้นใช้ โดยชนเผ่าอินโด-อารยัน ซึ่งตั้งถิ่นฐานบริเวณ อาจเป็นนักบวชหรือกษัตริย์ที่เป็นผู้นำศาสนาด้วย
แม่น้ำคงคา แบ่งได้ 3 ยุค
2.1 ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ เริ่มตั้งแต่
กำเนิดตัวอักษรพรามิลิปิ สิ้นสุดสมัยราชวงศ์คุปตะ
เป็นยุคที่ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และพุ ทธศาสนา ได้ถือ
กำเนิดแล้ว
2.2 ประวัติศาสตร์สมัยกลาง เริ่มตั้งแต่
ราชวงศ์คุปตะสิ้นสุดลง จนถึง ราชวงศ์โมกุลเข้าปก
ครองอินเดีย
2.3 ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์
โมกุลจนถึงการได้รับเอกราชจากอังกฤษ
ลักษณะซากเมืองโบราณฮารัปปา
ห น้ า 3
ก า ร ตั้ ง ถิ่ น ฐ า น แ ล ะ 2. พวกอารยัน เป็นพวกที่อพยพเคลื่อนย้ายจาก
เ ผ่ า พั น ธุ์ ดินแดนเอเชียกลาง ลงมายังตอนใต้กระจายไปตั้ง
ถิ่นฐานในพื้ นที่ต่างๆซึ่งอุดมสมบูรณ์และมีภูมิ
ชนเผ่าสำคัญที่สร้างสรรค์อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ แบ่งได้ อากาศที่อบอุ่นกว่า พวกอารยันส่วนหนึ่งได้เคลื่อน
เป็น 2 พวกคือ ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในลุ่มน้ำสินธุและขับไล่พวก
1. พวกดราวิเดียน คือชนพื้ นเมืองดั้งเดิมที่ตั้งถิ่นฐาน ดราวิเดียนให้ถอยร่นไปหรือจับตัวเป็นทาส พวก
บริเวณลุ่มน้ำสินธุราว 4,000 ปีมาแล้ว พวกนี้ อารยันมีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว จมูกโด่ง คล้ายกับ
มีรูปร่างเตี้ย ผิวคล้ำและจมูกแบน คล้ายกับคนทางตอน ชาวอินเดียที่อยู่ทางตอนเหนือ พวกอารยันเหล่านี้
ใต้ในอินเดียบางพวกปัจจุบัน รับวัฒนธรรมชนพื้ นเมือง แล้วนำมาผสมผสานเป็น
วัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
ห น้ า 4
อ า ร ย ธ ร ร ม อิ น เ ดี ย 3. สมัยพุ ทธกาล หรือสมัยก่อนราชวงศ์เมารยะ
( Maurya ) ประมาณ 600-300 ปีก่อนคริสต์
อารยธรรมอินเดียมีความเจริญรุ่งเรืองและมีอายุเก่าแก่ไม่ ศักราช ) เป็นช่วงที่อินเดียถือกำเนิดศาสนาที่
แพ้ อารยธรรมแหล่งอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว สรุปสาระสำคัญ สำคัญ 2 ศาสนา คือ ศาสนาพุ ทธและศาสนา
ได้ดังนี้ เชน
1. สมัยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ( ประมาณ 2,500-1,500 4.สมัยจักรวรรดิเมารยะ ( Maurya ) ประมาณ
ปี ก่อนคริสต์ศักราช ) ถือว่าเป็นสมัยอารยธรรม “กึ่งก่อน 321-184 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าจันทร
ประวัติศาสตร์” เพราะมีการค้นพบหลักฐานจารึกเป็นตัว คุปต์ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เมารยะได้รวบรวม
อักษรโบราณแล้วแต่ยังไม่มีผู้ใดอ่านออก และไม่แน่ใจว่า แว่นแคว้นในดินแดนชมพู ทวีปให้เป็นปึกแผ่น
เป็นตัวอักษรหรือภาษาเขียนจริงหรือไม่ ศูนย์กลางความ ภายใต้จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกของ
เจริญอยู่ที่เมืองโมเฮนโจ – ดาโร และเมืองฮารัปปา ริมฝั่ ง อินเดีย
แม่น้ำสินธุประเทศปากีสถานในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าเป็น 5.สมัยราชวงศ์เมารยะ พระพุ ทธศาสนาได้รับ
อารยธรรมของชนพื้ นเมืองเดิม ที่เรียกว่า “ทราวิฑ” หรือ การอุปถัมภ์ให้เจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะในสมัย
พวกดราวิเดียน ( Dravidian ) พระเจ้าอโศกมหาราช ( Asoka ) ได้ เผยแพร่
2. สมัยพระเวท ( ประมาณ 1,500-600 ปีก่อนคริสต์ พระพุ ทธศาสนาไปยังดินแดนทั้งใกล้และไกล
ศักราช ) เป็นอารยธรรมของชนเผ่าอินโด-อารยัน (Indo- รวมทั้งดินแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียง
Aryan ) ซึ่ง อพยพมาจากเอเชียกลาง เข้ามาตั้งถิ่นฐาน ใต้ ซึ่งเผยแพร่เข้าสู่แผ่นดินไทยในยุคสมัยที่ยัง
ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุและคงคาโดยขับไล่ชนพื้ น เป็นอาณาจักรทวารวดี
เมืองทราวิฑให้ถอยร่นลงไปทางตอนใต้ของอินเดีย สมัย
พระเวทแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์
หลักฐานที่ทำให้ทราบเรื่องราวของยุคสมัยนี้ คือ “คัมภีร์
พระเวท” ซึ่งเป็นบทสวดของพวกพราหมณ์ นอกจากนี้ยัง
มีบทประพั นธ์มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่อีก 2 เรื่อง คือ มหา
กาพย์รามายณะและมหาภารตะ บางทีจึงเรียกว่าเป็นยุค
มหากาพย์
คัมภีร์พระเวท พระพุ ทธรูป
พระเจ้าอโศกมหาราช
ห น้ า 5
อ า ร ย ธ ร ร ม อิ น เ ดี ย 9. มัยจักรวรรดิโมกุล พระเจ้าบาบูร์ผู้ก่อตั้งราชวงศ์
5. สมัยราชวงศ์กุษาณะ (ประมาณ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช – โมกุลได้รวบรวมอินเดียให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้งหนึ่ง ได้
ค.ศ.320) พวกกุษาณะ (Kushana) เป็นชนต่างชาติที่เข้ามา
รุกรานและตั้งอาณาจักรปกครองอินเดียทางตอนเหนือ ชื่อว่าเป็นจักรวรรดิอิสลามและเป็นราชวงศ์สุดท้าย
กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ คือ พระเจ้ากนิษกะ รัชสมัยของพระองค์
อินเดียมีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ ของอินเดีย โดยอินเดียตกเป็นอาณานิคมของ
โดยเฉพาะด้านการแพทย์นอกจากนั้นยังทรงอุปถัมภ์พระพุ ทธ
ศาสนา(นิกายมหายาน) ให้เจริญรุ่งเรือง โดยจัดส่งสมณทูตไป อังกฤษในปี ค.ศ.1858 กษัตริย์ราชวงศ์โมกุลที่ยิ่ง
เผยแพร่พระศาสนายังจีนและทิเบตมีการสร้างพระพุ ทธรูปที่มี
ศิลปะงดงามและสร้างเจดีย์ใหญ่ที่เมืองเปชะวาร์ ใหญ่คือพระเจ้าอักบาร์มหาราช ( Akbar ) ทรง
6. สมัยจักรวรรดิคุปตะ ( Gupta ) ประมาณ ค.ศ.320-550
พระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 1 ต้นราชวงศ์คุปตะได้ทรงรวบรวมอินเดีย ทะนุบำรุงอินเดียให้มีความเจริญรุ่งเรืองในทุกๆด้าน
ให้เป็นจักรวรรดิอีกครั้งหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของอินเดีย
มีความเจริญรุ่งเรืองในทุกๆด้านทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม และในสมัยของชาห์เจฮัน ( Shah Jahan ) ทรงสร้าง
การเมือง การปกครอง ปรัชญาและศาสนา ตลอดจนการ
ค้าขายกับต่างประเทศ “ทัชมาฮัล” ( Taj Mahal ) ซึ่งเป็นอนุสรณ์แห่งความ
7. สมัยหลังราชวงศ์คุปตะหรือยุคกลางของอินเดีย(ค.ศ.550
–1206)เป็นยุคที่จักรวรรดิแตกแยกเป็นแคว้นหรืออาณาจักร รัก เป็นงานสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานศิลปะอินเดีย
จำนวนมาก ต่างมีราชวงศ์แยกปกครองกันเอง
8. สมัยสุลต่านแห่งเดลฮี หรืออาณาจักรเดลฮี (ค.ศ. 1206- 10. สมัยอาณานิคมอังกฤษ ปลายสมัยอาณาจักรโม
1526) เป็นยุคที่พวกมุสลิมเข้ามาปกครองอินเดีย มีสุลต่าน
เป็นผู้ปกครองที่เมืองเดลฮี กุล กษัตริย์ทรงใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ต้องเพิ่ มภาษีและเพิ่ ม
การเกณฑ์แรงงานทำให้ราษฎรอดอยากและยังกดขี่
ทำลายล้างศาสนาฮินดูและชาวฮินดูอย่างรุนแรง เป็น
เหตุให้อังกฤษค่อยๆเข้าแทรกแซงในที่สุดก็ล้มราชวงศ์
โมกุลและครอบครองอินเดียได้
11. สมัยเอกราช หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ขบวนการ
ชาตินิยมอินเดียนำโดย มหาตมะ คานธี และ เยาวรา
ลห์ เนห์รู เป็นผู้นำเรียกร้องเอกราช มหาตมะ คานธี
ใช้หลักอหิงสา (ความไม่เบียดเบียน ความสงบ) ใน
การเรียกร้องเอกราชจนประสบความสำเร็จ หลังจาก
ได้รับเอกราชอินเดียปกครองด้วยระบอบ
ประชาธิปไตย
ทัชมาฮัล
ห น้ า 6
การปกครองและ
กฎหมาย
บ้านเมืองในลุ่มแม่น้ำสินธุมีร่องรอยของการปกครองแบบ 2. ความเชื่อในเรื่องอวตาร ศาสนาพราหมณ์เชื่อว่าพระ
ราชาคือเทพเจ้าอวตารลงมาเพื่ อปราบยุคเข็ญ
รวมอำนาจเข้าศูนย์กลาง ทั้งนี้เห็นได้จากรูปแบบการสร้าง นอกจากนี้ศาสนาฮินดูยังนับถือพระศิวะ และถือว่าพระ
ราชาคือพระศิวะอวตารลงมาความ เชื่อในเรื่องของ
เมืองอารัปปาและเมืองเฮนโจ-ดาโร ต่อมาเมื่อพวกอารยัน อวตารทำให้ราชาเป็นเทพเจ้าสูงสุด มีความยิ่งใหญ่ดัง
เช่นพระศิวะและพระวิษณุ
เข้ามาปกครองดินแดนลุ่มน้ำสินธุแทนพวกดราวิเดียนจึง 3. พิ ธีอัศวเมธ เป็นพิ ธีขยายอำนาจโดยส่งม้าวิ่งไปยัง
ดินแดนต่างๆ จากนั้นส่งกองทัพติดตามไปรบ เพื่ อยึด
ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบกระจายอำนาจโดย ครองดินแดนที่ม้าวิ่งผ่านไป พิ ธีนี้เป็นการแดงความ
ยิ่งใหญ่ของพระราชา เพราะเมื่อทำพิ ธีอัศวเมธได้
แต่ละเผ่ามีหัวหน้าที่เรียกว่า ราชา ปกครองกันเอง มี สำเร็จ ก็จะเป็นที่ยอมรับนับถือของราชาอื่นๆ
4.การตั้งชื่อเพื่ อสร้างความยิ่งใหญ่ เปอร์เซียเป็นชาติ
หน่วยการปกครองลดหลั่นลงไปตามอันดับจากครอบครัว แรกที่แสดงสถานการณ์เป็นราชาเหนือราชาอื่นๆ เช่น
พระเจ้าดาริอุสเรียกพระองค์เองว่าเป็นราชาแห่งราชา
ที่มีบิดาเป็นหัวหน้าครอบครัว หลายครอบครัวรวมกันเป็น ราชาที่ยิ่งใหญ่ในอินเดียมักถูกเรียกว่ามหาราชา หรือ
ราชาธิราชเป็นต้น
ระดับหมู่บ้าน และหลายหมู่บ้านมีราชาเป็นหัวหน้า ต่อมา 5. คำสอนในคัมภีร์ศาสนาและตำราสนับสนุนความยิ่ง
ใหญ่ของราช คัมภีร์พระเวทเน้นบทบาทความสำคัญ
แต่ละเผ่ามีการพุ่ งรบกันเอง ทำให้ราชาได้ขึ้นมามีอำนาจ ของราชาที่ต่อสังคม คัมภีร์ของพระพุ ทธศาสนา คือ
พระไตรปิฎก ได้กล่าวถึงผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นราชาคือ
สูงสุดในการปกครองด้วยวิธีต่างๆ คือ ผู้ที่ลงโทษผู้ที่กระทำผิด เช่นเดียวกับในคัมภีร์อื่นๆเช่น
คัมภีร์ อรรถศาสตร์ ได้กล่าวถึงราชาและยกย่องราชา
1. พิ ธีราชาภิเษกเป็นพิ ธีที่จัดขึ้นเพื่ อยกฐานะผู้นำให้เป็นเทว เป็นผู้ยิ่งใหญ่และเป็นผู้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้
สังคมโดยมีข้อแม้ว่า พระราชาจะต้องปกครองให้เป็น
ราชโดยมีพราหมณ์ผู้ประกอบพิ ธีประกาศว่าราชา คือ พระ ไปตามหลักธรรมศาสตร์และราชธรรมราชา
อินทรพระประ ชาธิบดี และพระวิษณุ ราชาจึงกลายเป็น
เทพเจ้า พิ ธีนี้ทำให้ราชาเป็นผู้ที่น่าเคารพยำเกรงและมี
อำนาจสูงสุด
ห น้ า 7
ด้านสังคมและวัฒนธรรม ด้านศาสนา
1. ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู มีเทพเจ้าที่สำคัญ
วัฒนธรรมอินเดีย เช่น พระศิวะ เป็นเทพผู้ทำลายความชั่วร้าย
พระพรหม เป็นเทพเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งบนโลก
1. ระบบวรรณะ ตั้งแต่สมัยโบราณวรรณะที่สำคัญมี 4 พระวิษณุ เป็นเทพเจ้าแห่งสันติสุขและปราบ
วรรณะ คือ วรรณะพราหมณ์ ผู้ประกอบพิ ธีกรรมและ ปรามความยุ่งยาก เป็นต้น
สืบสานต่อศาสนา วรรณะกษัตริย์ มีหน้าที่ปกป้องแว่น 2. พระพุ ทธศาสนา มีหลักคำสอนที่สำคัญ เช่น
แคว้น วรรณะแพศย์ มีหน้าที่ผลิตอาหารและหารายได้ให้แก่ อริยสัจ 4 มีจุดหมายเพื่ อมุ่งสู่นิพพาน
บ้านเมืองและวรรณะศูทร คือคนพื้ นเมืองดั้งเดิมที่มีหน้าที่ 3. ศาสนาเชน มีศาสดา คือ มหาวีระ มีนิกายที่
รับใช้วรรณะทั้งสาม ส่วนลูกที่เกิดจากการแต่งงานข้าม สำคัญอยู่ 2 นิกาย คือ นิกายเศวตัมพร เป็น
วรรณะถูกจัดให้อยู่นอกสังคม เรียกว่า พวกจัณฑาล นิกายนุ่งผ้าขาว ถือว่าสีขาวเป็นสีบริสุทธิ์ และ
นอกจากนี้ในหมู่ชาวอารยัน สตรีมีฐานะสูงในสังคมและใช้ นิกายทิฆัมพร เป็นนิกายนุ่งลมห่มฟ้า (เปลือย
โคเป็นเครื่องวัดความมั่งคั่งของบุคคล กาย)
2. ปรัชญาและลัทธิศาสนาของสังคมอินเดีย ซึ่งในปรัชญา 4. ศาสนาซิกข์ เป็นศาสนาที่ก่อตั้งขึ้นมาโดย
อินเดียมีวิธีการเป็นแบบฉบับของตนเอง คือ ก่อนที่จะ พระศาสดา ศรี คุรุ นานัก เดว ยิ ในปี พ.ศ.
เสนอแนวความคิดของตนเองขึ้นมานักปรัชญาหรือนักคิด 2012 (ค.ศ. 1469) โดยหลักธรรมและคำสอน
อินเดียจะเสนอแนวความคิดของนักปรัชญาคนอื่นหรือ พื้ นฐานของศาสนาซิกข์ขึ้นมา เป็นศาสนาที่ตั้ง
ระบบอื่นเสียก่อน ซึ่งแนวความคิดของนักปรัชญาคนอื่น อยู่บนรากฐานแห่งความจริงและเน้นความเรียบ
หรือระบบอื่นที่เสนอก่อนนี้เรียกว่า ปูรวปักษ์ ทรรศนะของ ง่าย สอนให้ทุกคนยึดมั่นและศรัทธาในพระเจ้า
ตนเองที่เสนอขึ้นมาทีหลังนี้เรียกว่า อุตตรปักษ์ แต่เพี ยงพระองค์เดียว
3. เทพเจ้าของอินเดีย มีการนับถือเทพเจ้าและมีคัมภีร์
พระเวทเกิดขึ้น พวกอริยกะหรืออารยันนั้นแต่เดิมก็นับถือ
ธรรมชาติ โดยตั้งชื่อตามสิ่งที่เป็นธรรมชาตินั้นๆ แล้วก็
เกิดมีหัวหน้าเทพเจ้าขึ้น ดังที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระเวท
ซึ่งก็คือพระอินทร์ จากหลักฐานโบราณที่เป็นจารึกบนแผ่น
ดินเหนียวอายุราว 1,400 ปี ก่อนคริสตกาล เรียกว่าแผ่น
จารึก โบกาซ คุย หรือจารึกเทเรีย จารึกนี้ ได้ออกนาม
เทพเจ้าเป็นพยานถึง 4 องค์ นั่นก็คือ พระอินทร์ มิทระ
พระวรุณ และนาสัตย์
เพิ่ มเติมระบบวรรณะ พระศิวะ พระพรหม พระวิษณุ
ห น้ า 8
ด้านสังคมและวัฒนธรรม ด้านภาษาและวรรณกรรม
ในดินแดนลุ่มน้ำสินธุยังพบวัฒนธรรมด้าน
ด้านเศรษฐกิจ ภาษา คือ ตัวอักษรโบราณของอินเดีย ซึ่งเป็น
อักษรดั้งเดิมที่ยังไม่มีนักวิชาการอ่านออก
คนในดินแดนลุ่มน้ำสินธุมีการทำอาชีพเกษตรเป็นพื้ นฐาน อักษรโบราณนี้ปรากฏในดวงตราต่างๆมากกว่า
1,200 ชิ้น โดยในดวงตราจะมีภาพวัว ควาย
ทางเศรษฐกิจและมีการทำการค้าภายใน การเพิ่ มประชากร เสือ จระเข้ และช้าง ปรากฏอยู่ด้วย พวก
อารยันใช้ภาษาสันสกฤตซึ่งเป็นภาษาที่ใช้เขียน
ในแต่ละอาณาจักร ทำให้การค้าภายในเมืองต่างๆขยายตัว คัมภีร์ศาสนา เช่น คัมภีร์พระเวท เมื่อประมาณ
1,000 ปีมาแล้ว วรรณกรรมทื่สำคัญได้แก่
ขึ้น ซึ่งมีสินค้าสำคัญ เช่น ดีบุก ทองแดง หินมีค่าชนิด มหากาพย์มหาภารตยุทธ ซึ่งเป็นเรื่องการสู้รบ
ในหมู่พวกอารยันและมหากาพย์รามเกียรติ์ เป็น
ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีสินค้าอุตสาหกรรม เช่น การทอผ้า เรื่องการสู้รบระหว่างพวกดราวิเดียนกับพวก
อารยัน
ฝ้าย ไหม เป็นสินค้าไปขายในดินแดนต่างๆ เช่น อาระเบีย
เปอร์เซีย และอิยิปต์ เป็นต้น
เมื่อชาวอารยันมีอำนาจมั่นคง จึงได้สร้างบ้านอยู่เป็น
หมู่บ้าน มีการปลูกข้าวและเลี้ยงสัตว์พั นธุ์ต่างๆมากขึ้น
เพื่ อใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ชาวอารยันยังมี
อาชีพเป็นช่างต่างๆ เช่น ช่างทองแดง ช่างเหล็ก ช่างปั้ น
หม้อ เป็นต้น การที่ชาวอารยันดำเนินการค้าขายทั้งทางบก
และทางทะเลอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีเศรษฐกิจดีพอที่จะ
สนับสนุนให้เกิดการสร้างสรรค์อารยธรรมในด้านอื่นๆ
ห น้ า 9
มรดกของอารยธรรม
อิ น เ ดี ย
1. ด้านสถาปัตยกรรม ซากเมืองฮารับปาและโมเฮ
นโจ – ดาโร ทำให้เห็นว่ามีการวางผังเมืองอย่าง
ดีมีสาธารณูปโภคอำนวยความสะดวกหลายอย่าง
เช่น ถนน บ่อน้ำ ประปา ซึ่งเน้นประโยชน์ใช้สอย
มากกว่าความสวยงาม
2. ด้านประติมากรรม เช่น
ซากพระราชวังที่เมืองปาฏลีบุตรและตักศิลา สถูปและเสาแปด
เหลี่ยม ที่สำคัญคือ สถูปเมืองสาญจี (สมัยราชวงศ์โมริยะ)
พระพุ ทธรูปแบบคันธาระ สุสานทัชมาฮาล สร้างด้วยหินอ่อน เป็นการผสม
ระหว่างศิลปะอินเดียและเปอร์เชีย
3. จิตรกรรม สมัยคุปตะและหลังสมัยคุปตะ เป็นสมัยที่
รุ่งเรืองที่สุดของอินเดียพบงานจิตรกรรมที่ผนังถ้ำอชันตะ
เป็นภาพเขียนในพระพุ ทธศาสนาแสดงถึงชาดกต่างๆที่
งดงามมาก ความสามารถในการวาดเส้นและการอาศัยเงามืด
บริเวณขอบภาพทำให้ภาพแลดูเคลื่อนไหวให้ความรู้สึกสมจริง
ห น้ า 1 0
ก า ร แ พ ร่ ข ย า ย แ ล ะ ก า ร ภูมิภาคที่ปรากฏอิทธิพลของอารยธรรม
ถ่ า ย ท อ ด อ า ร ย ธ ร ร ม อิ น เ ดี ย อินเดียมากที่สุดคือเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้พ่ อค้าพราหมณ์และภิกษุสงฆ์
อารยธรรมอินเดียแพร่ขยายออกไปสู่ภูมิภาค ชาวอินเดียเดินทางมาและนำอารยธรรม
ต่างๆทั่วทวีปเอเชียโดยผ่านทางการค้าศาสนา มาเผยแพร่ ซึ่งอารยธรรมที่ปรากฏอยู่มี
การเมืองการทหารและได้ผสมผสานเข้ากับ แทบทุกด้านโดยเฉพาะในด้านศาสนา
อารยธรรมของแต่ละประเทศจนกลายเป็นส่วน ความเชื่อการปกครองศาสนาพราหมณ์
หนึ่งของอารยธรรมสังคมนั้นๆ ในเอเชียตะวัน ฮินดูและพุ ทธได้หล่อหลอมจนกลายเป็น
ออกพระพุ ทธศาสนามหายานของอินเดียมี รากฐานสำคัญที่สุดของประเทศต่างๆ
อิทธิพลต่อชาวจีนทั้งในฐานะศาสนาสำคัญและใน ในภูมิภาคนี้
ฐานะที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ศิลปะของจีน
ภูมิภาคเอเชียกลางอารยธรรมอินเดียที่ถ่ายทอด
ให้เริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 เมื่อพวกมุสลิม
อาหรับซึ่งมีอำนาจในตะวันออกกลางนำวิทยาการ
หลายอย่างของอินเดียไปใช้ ได้แก่ การแพทย์
คณิตศาสตร์ดาราศาสตร์เป็นต้นขณะเดียวกัน
อินเดียก็รับอารยธรรมบางอย่างทั้งของ
เปอร์เซียและกรีกโดยเฉพาะด้านศิลปกรรม
ประติมากรรมเช่นพระพุ ทธรูปศิลปะคันธาระซึ่ง
เป็นอิทธิพลจากกรีก ส่วนอิทธิพลของเปอร์เซีย
ปรากฏในรูปการปกครองสถาปัตยกรรมเช่น
พระราชวังการเจาะภูเขาเป็นเพื่ อสร้างศาสน
สถาน
ห น้ า 1 1
บรรณารุกรม
HTTPS://MEDIUM.COM
HTTPS://SITES.GOOGLE.COM/SITE/XARYT
HRRMSMAYBORAN/XARY