The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aphiwat3789, 2021-12-25 05:18:41

gammar

gammar

gammar

aphiwat saengnarong m.4/7 no.10

contents

Present Simple : affirmative and negative 3
Present Simple : yes/no and wh-question 6
Countable and Uncountable noun 9
Articles 14
Present Simple and present continuous 17
Comparative and superlative 21
have to/don't have to 25
must/mustn't;should /shouldn't 28
Past Simple:was/were, could 32
Past simple:affirmatives 35
past simple:questions and negative 38
Present Perfect with ever/never 41
Present Perfect with just/already/yet 44
Future with will 47
be going to 50

affirmative and
negative

ประโยคบอกเล่า (Affirmative) เป็นประโยคที่ใช้พูด
เพื่อบอกเรื่องราว เป็นการให้ข้อมูล หรือเล่าเรื่องต่าง
ๆ รวมทั้งประโยคคำสั่ง ประโยคขอร้องด้วย รูปแบบ
ประโยค จะประกอบไปด้วย สองส่วน คือ ภาคประธาน
และ ภาคกริยา เรียงกันตามลำดับ เช่น ประธาน
(Subject) กริยา (Verb) Suda smiles.
สำหรับประโยคคำสั่ง จะละประธานไว้ในฐานะที่เข้าใจ
กัน เพราะ การสั่ง คือการพูดให้ผู้ฟังปฏิบัติตาม ดังนั้น
ประธานจึงเป็นคำว่า YOU เช่น Give me a glass of
water. (เอาน้ำมาให้แก้วนึง)

1)Babies often _ (cry).
A.cry
B.cries
C.crys
2)I___(finish)school at 1.00 PM.
A.finishes
B.finish
C.finishs
3)Sophie___(go)to school on foot.
A.goes
B.go
4)The school___(not/finish)at 3.00 pm.
A.don't/finish
B.doesn't/finishes
C.A.doesn't/finish

เฉลย
1cry
2finsh
3goes
4don't finish

yes/no and wh-question

WH Question เป็นการถามรายละเอียด ว่า
ใคร(who) ทำอะไร(what) ที่ไหน(where)
เมื่อไร(when) ทำไม(why) และอย่างไร(how) โดยมี
การเรียงรูปประโยค ดังนี้ คำถาม กริยาช่วย/Verb to
be ประธาน (กริยา)+ส่วนอื่น ๆ ถ้ากริยาในประโยคเป็น
Verb to be หรือมีกริยาช่วยตัวอื่น ๆ เราเพียงแต่
สลับ Verb to be หรือ กริยาช่วยมาไว้หน้าประธาน

ส่วนอื่น ๆ ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่ถ้าประโยคเดิม
ไม่มี verb to be หรือ กริยาช่วยตัวอื่น ๆ เราต้องใช้
do หรือ does มาวางไว้หน้าประธาน ตัวอย่างประโยค
ถ้าต้องการถามว่า..... คุณมาจากที่ไหน? Where are
you from? รถบัสของคุณจอดที่ไหน Where is
your bus? คุณจะอยู่ที่นี่นานเท่าไร How long will
you stay here?

1) ____ jennifer run fast?
Does
Do
2) ____ they play football?
Does
Do
3) ____ we fo to school at 8.00?
Does
Do
4) _______you like eatting pizza?
Does
Do

เฉลย
1) Does
2) Do
3) Do
4) Do

Countable and
Uncountable noun

1.Countable Nouns ( นามนับได้ ) เป็นนามที่
สามารถแยกนับจำนวนหนึ่ง สอง สาม... ได้ ไม่ว่าจะมี
หรือไม่มีรูปร่างก็ได้ มีรูปร่าง (สามารถสัมผัสได้ ) –
เช่น dog, chair , tree, school, country, student,
biscuit ไม่มีรูปร่าง ( ไม่สามารถสัมผัสได้ ) - เช่น day
, month, year, weekend, journey กิจกรรม : job,
aเชs่นsidgongm,ceonutnมtีทrั้yง,รdูปaเyอ,yกeพaจrนพ์แหูลพะพจนห์ู:พเจช่นน์ เอกพจน์:
dogs,countries,days,years การใช้ นามนับได้
เอกพจน์ ต้องนำหน้าด้วย determiners อย่างใด
อย่างหนึ่ง เช่น I want an orange. (ไม่ใช่ I want
orange.) Where is the bottle? ( ไม่ใช่ Where is
bottle?) Do you want this book? การใช้นามนับ
ได้พหูพจน์อาจจะนำหน้าด้วย articles หรือไม่ก็ได้
เช่น I like to feed the birds. ( เฉพาะเจาะจง ต้องมี
articles ) Cats are interesting pets. ( ไม่เฉพาะ
เจาะจง ไม่ต้องมี article ) I want those books on
the table. ( those เป็น determiners )

2.Uncountable Nouns ( นามนับไม่ได้ ) เป็นนามที่
นับไม่ได้ เนื่องจากภาษาอังกฤษมองสิ่งนั้นในภาพรวม
และคิดว่าไม่สามารถจะแยกเป็นส่วนได้ รวมทั้งความ
คิด การกระทำต่างๆที่เป็นรูปธรรม( abstract
nouns ) ด้วย เช่น Concrete: เช่น water, milk,
butter, furniture, luggage,
iron,equipment,clothing,garbage, junk
Abstract : เช่น anger, courage,
satisfaction,happiness,knowledge ชื่อภาษา:
เช่น English,German,Spain กีฬาต่างๆ :เช่น
hockey, football, tennis ชื่อวิชาต่างๆ: เช่น
sociology, medicine, anthropology กิจกรรม
ต่างๆ: swimming, eating อื่นๆ : news,
money,mail ,work,homework,gossip,
education, weather, difficulty,
information,feminism,
optimism,machinery,information,
research,traffic,scenery,breakfast,
accomodation, advice, permission มีรูป
เอกพจน์ และเมื่อกล่าวถึงเป็นการทั่วๆไป หรือ ไม่ได้
กล่าวถึงมาก่อน ไม่ต้องนำด้วย articles เช่น I have
bread and butter for breakfast every
morning. ( ฉันกินขนมปังและเนยเป็นอาหารเช้าทุก
วัน )

We cannot live without air and water. ( เราไม่
สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากอากาศและน้ำ )
Information is often valuable.( ข้อมูลข่าวสารมัก
จะมีคุณค่า ) Sunlight and water are usually
required for plants to grow. ( แสงแดดและน้ำ
เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช ) My
favorite breakfast is cereal with fruit, milk,
orange juice, and toast. Uncountable nouns
ที่ทำหน้าทีประธานของประโยค จะต้องใช้ verb ด้วย
หลักการเดียวกับคำนามเอกพจน์ เช่น Butter is
fattening. ( เนยทำให้อ้วน ) ปกติจะมีรูปเป็น
เอกพจน์ แต่ทำให้เป็นพหูพจน์ได้โดยบอกจำนวนตาม
ภาชนะที่บรรจุ กลุ่ม น้ำหนัก และลักษณะนาม เช่น
two cups of water, three pieces of
information, five patches of sunlight three
games of hockey, two lumps of sugar I need
two lumps of sugar for my coffee. ฉันกินกาแฟ
ต้องใส่น้ำตาล 2 ก้อน Two glasses of milk are
enough. นมสองแก้วก็เพียงพอแล้ว ( ใช้ are
เนื่องจาก glasses เป็นพหูพจน์ ) เปรียบเทียบการใช้
articles ของคำนามทั้งสอง ( this,that,, these,
those นำมารวมในที่นี้ เนื่องจากเป็นการชี้เฉพาะ
เจาะจงเช่นเดียวกับ

1) There is a big ___ of sugar in the shop.
1meter
2bag
3liter
2) There are two ___ of water on the floor.
1pieces
2drops
3bars
3) I usually eat a ___ of rice for dinner.
1drop
2meter
3plate
4) We need two ____ of cloth for this dress.
1glasses
2gallons
3yards

เฉลย
1).bag
2).drops
3).plate
4.)yards
5).bottle

Articles

บทความเป็นสมาชิกของชั้นเรียนของคำเฉพาะที่ใช้กับ
นามวลีที่จะทำเครื่องหมาย identifiability ของ
referents นามวลีที่ ประเภทของบทความที่ถือว่าเป็น
ส่วนหนึ่งของคำพูด ในภาษาอังกฤษ ทั้ง "the" และ
"a/an" เป็นบทความที่รวมกับคำนามเพื่อสร้างวลี
นาม บทความมักจะระบุไวยากรณ์ชัดเจนของนามวลี
แต่ในหลายภาษาที่พวกเขานำข้อมูลไวยากรณ์เพิ่ม
เติมเช่นเพศ , จำนวนและกรณี บทความนี้เป็นส่วน
หนึ่งของหมวดหมู่ที่กว้างขึ้นเรียกว่าdeterminersซึ่ง
ได้แก่demonstratives , determiners หวงและ
ปริมาณ ในภาษาglossing ระหว่างงบรรทัดบทความ
จะย่อเป็นศิลปะ

1._____vegetables are good for health.
a. No articles.
b. The
c. An
d. A

2. _____tall boys like football.
a. No articles.
b. An
c. The
d. A

3. Danny eats _____apple after lunch.
a. an
b. The
c. An
d. A

4. _____bread you baked is very nice.
a. No articles.
b. An
c. A
d. The

1. a. No articles.
2. c. The
3. a. an
4. d. The
5. b. a

Present Simple

Present Simple คือ การพูดถึงเรื่องทั่วไป เรื่องที่ทำซ้ำ
ๆ ในปัจจุบัน โครงสร้างประโยคของ Present Simple
Tense - S + V.1 ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 (He,
She, It, The library, a dog, etc…) กริยาต้องเติม
s/es He drives a taxi. She eats pizza. I live in

Bangkok. - S + Auxiliary Verb (กริยาช่วย) + V.1
(V.1 ไม่เติม s/es) She can play tennis. We must
work hard. หลักการใช้ Present Simple 1. ใช้พูดถึง
สิ่งที่เป็นความจริงทั่วไป (ทั้งเรื่องเกี่ยวกับตัวเราและ
ความจริงตามธรรมชาติ) I live in Bangkok. (ฉัน
อาศัยอยู่ที่กรุงเทพ) The earth moves round the
sun. (โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์) 2. ใช้พูดถึงนิสัย หรือ
กิจวัตรที่ทำเป็นประจำในปัจจุบัน She eats fruit every
day. (เธอกินผลไม้ทุกวัน) I go to work by BTS. (ฉัน
ไปทำงานโดยรถไฟฟ้าบีทีเอส) ข้อสังเกต: เหตุการณ์

หรือการกระทำที่ทำเป็นประจำมักมีคำบอกความถี่
(Adverbs of frequency) แสดงอยู่ในประโยค

Present Continuous

Present Continuous Tense Present Continuous
Tense คือ การพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่อย่างต่อ
เนื่องในขณะนั้น แต่จะสิ้นสุดในไม่ช้า โครงสร้างของ
Present Continuous Tense S + V to be (is, am,
are) + V ing She is talking to her friend. I’m
watching the movie. หลักการใช้ Present
Continuous Tense 1. ใช้พูดถึงสิ่งที่กำลังทำหรือ
กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะที่พูด They are swimming in
the pool. (พวกเขากำลังว่ายน้ำในสระว่ายน้ำ) He is
having breakfast. (เขากำลังกินอาหารเช้า) ** เรา
สามารถเติมคำว่า just ข้างหน้า V ing เพื่อเน้นย้ำว่า
กำลัง... ได้

1) ...he..in his bedroom now?
A.does sleep
B.Are..sleeping
C.ls..sleeping
D.Do..sleeps
2)sometime they..hard..
A.work
B.works
C.is working
D.are working
3)Mark...early every day.
A.get ups
B.is getting
C.ls get upping
D.gets up
4)My dad often..dinner.
A.cook
B.cooks
C.is cooking
D.cookies

1) ls sleeping
2) work
3) gets up
4) cooks

Comparative

Comparative เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นความ
มากกว่าหรือน้อยกว่าของ 2 สิ่ง ไม่ว่าจะเป็นในแง่ใด
ก็ตาม โดยมีโครงสร้างประโยคแบบง่ายๆ ในการเปรียบ
เทียบแบบมากกว่าคือ S + V. to be + Comparative
adj. + than + O เช่น The elephant is bigger than
the cow. (ช้างตัวใหญ่กว่าวัว) S + V. to be + less +
Comparative adj. + than + O เช่น The cow is less
bigger than the elephant. (ช้างตัวใหญ่น้อยกว่าวัว)

Superlative

Superlative เป็นการเปรียบเทียบสิ่งของตั้งแต่ 3 สิ่ง
ขึ้นไป หรือในหมวดหมู่เดียวกันทั้งหมด ว่าสิ่งนั้นดีหรือ
มากที่สุดแล้ว มีโครงสร้างประโยคง่ายๆ คือ S + V. to
be + the + Superlative adj. เช่น I’m the richest
person in this town. (ฉันเป็นคนที่รวยที่สุดในเมือง
นี้) S + V. to be + the + least + Superlative adj.
เช่น Reading is the least interesting hobby for
me. (การอ่านหนังสือเป็นงานอดิเรกที่น่าสนใจน้อย
ที่สุดสำหรับฉัน)

1.The dog is _____ than the cat.
A. bigger
B. biger
2.She is _____ than me.
A. most beautiful
B. more beautiful
3.The city is _____ than the
country.
A. noisier
B. noisyer
4.Your room is _____ than my room.
A. dirtyer
B. dirtie

เฉลย
1.bigger
2.more beautiful
3.noisyer
4.dirtyr

have to/don't have to

have to have to ใช้ในกรณีที่สถานการณ์เป็นตัว

บังคับให้เราจำเป็นต้องทำ ซึ่งเราอาจจะไม่อยากทำ อาจ
เป็นกฎหรือข้อบังคับให้ทำ โครงสร้างคือ have to +
verb infinitive (กริยาช่อง1) เช่น I have to stop
smoking. (ฉันจำเป็นต้องเลิกสูบบุหรี่ : หมออาจจะสั่ง
ให้เลิกสูบ) I have to go to supermarket today.
Because my mom asked me to buy something.

(ฉันต้องไปซูเปอร์มาร์เก็ตวันนี้ เพราะแม่บอกให้ซื้อของ
บางอย่าง) don’t have to/doesn’t have to don’t
have to/doesn’t have to หมายถึง “ไม่จำเป็น
ต้อง...” นั่นคือจะทำหรือไม่ทำก็ได้ โครงสร้างคือ don’t
have to/doesn’t have to + verb infinitive (V.1)

เช่น He doesn't have to wear a suit to work but
he usually does. (เขาไม่จำเป็นต้องใส่สูทไปทำงาน
ก็ได้ แต่เขาก็ใส่ไปเป็นปกติ) I don’t have to clean
my room every day. (ฉันไม่จำเป็นต้องทำความ
สะอาดห้องทุกวัน) Teachers don’t have to work
on Sunday. (บรรดาคุณครูไม่จำเป็นต้องทำงานวัน
อาทิตย์)

1) Tom is lucky. He __ get up early on Monday
morning s because he starts school at 10 a.m
A.doesn't
B.mustn't

2) The museum is free. You __ pay
A.don't have to
B.mustn't
3)Students___wear uniforms at school.
A.must
B.have to

4)When we were at school we___wear a uniform.
A.must
B.have to
C.had to

เฉลย
1Mustn't
2don't have to
3must
4had to

must/mustn't

must must ใช้ในกรณีที่เราคิดเองว่าต้องทำ
โครงสร้างคือ must + verb infinitive (กริยาช่อง1)
เช่น I must go to the hospital. (ฉันต้องไปโรง
พยาบาล : เป็นความคิดของเราเองที่ว่าต้องไป เพราะ

อาจจะรู้สึกว่าไม่ค่อยสบายเลยต้องไปตรวจที่โรง
พยาบาล) mustn’t (must not) mustn’t หมายถึง
“ต้องไม่...” ซึ่งเป็นกฎหรือข้อบังคับว่า “ห้ามทำ”
โครงสร้างคือ mustn’t + verb infinitive (V.1) เช่น
You mustn’t drink if you’re going to drive. (คุณ
ต้องไม่ดื่มเหล้าถ้าคุณจะขับรถ : เพราะผิดกฎหมาย)

should /shouldn't

Should’ สามารถนำไปใช้เพื่อ:
1. แสดงว่าบางสิ่งบางอย่างน่าจะเกิดขึ้น เช่น “John
should be here by 2:00 PM.” “จอห์นน่าจะมาถึงที่นี่
ตอนบ่าย 2” “He should be bringing Jennifer
with him.” “เขาน่าจะพาเจ็นนิเฟอร์มาด้วย”

1) We ____________ the traffic police.
2) You ____________ your car in a “No Parking”
area.
3) Machine workers ____________ when they are
tired
4) You ____________ football in the street.
5) Drivers ____________ careful when it’s foggy

เฉลย
1) must obey
2) mustn’t park
3) mustn’t work
4) mustn’t play
5) must be

was/were, could

Was, Were ใน Tense ต่างๆ 1. Past Simple Tense
was, were แปลว่า เป็น อยู่ คือ (ประธาน+ was,were
+ นาม) I was a student. ผม (เคย) เป็นนักเรียน
(student = นาม) We were teachers. . พวกเราเคย
เป็นครู (teachers = นาม) แต่บางครั้ง was, were ไม่
ต้องแปล (ประธาน+ was, were, + คุณศัพท์) I was
fine. ผม(เคย)สบายดี (fine = คุณศัพท์) She was
short. หล่อน (เคย)เตี้ย ( short= คุณศัพท์) They
were smart. พวกเขา(เคย)เทห์ ( smart=คุณศัพท์)

1) I _____ at home yesterday.
was
were
2) Where _____ you yesterday.
was
were
3) We _____ in the bank last Wednesday.
was
were
4) They all _____ at the zoo a week ago. were was
was
were

เฉลย
1) was
2) were
3) were
4) were

Affirmative

Affirmative Sentence: การสร้างประโยคบอกเล่าใน
เชิงบวก (ไม่ได้เป็นประโยคปฏิเสธ หรือประโยคคำถาม
นั่นเอง) 1) Present Simple (Subject + V1) ขึ้นอยู่
กับว่า ประธานว่าจะเติม s/es หรือไม่เติม ตัวอย่าง
ประโยค a) My name is Jeep. b) I live in Chiang
Mai, Thailand. c) Tina works at the bank. d) My

mom eats rice every day. 2) Past Simple

(Subject + V2) กฎของ Verb ที่เป็นในรูปของอดีต
(เค้าเรียกมันว่า V2 นะ) 1. บางครั้งก้อเติม -ed เช่น
walked 2. บางคำก็เปลี่ยนรูปไปเลย เช่น ate 3. บาง
ครั้งก็ไม่เปลี่ยนอะไรเลย เช่น read, hit

1)We___to the cinema last nigh.
A.want
B.were
C.came
2)Two years ago we___to new York.
A.stole
B.flew
C.held
3)Last Monday he _ a new car.
A.bought
B.sang
C.read
4)yeaterday___the best day of my life.
A.were
B.was
C.had

เฉลย
1) went
2) flew
3) bought
4) was

questions and negative

Negative Question (ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ)

โครงสร้างประโยคคำถามโดยทั่วไปที่เราใช้ในภาษา
อังกฤษ ส่วนใหญ่เราจะรู้จักกันแต่ประโยคที่เป็นคำถาม
แบบบอกเล่า เช่น What are you going to buy at
the supermarket? Do you know Alex? แต่

โครงสร้างประโยคคำถามอีกแบบหนึ่งคือคำถามแบบ

ปฏิเสธ ซึ่งโครงสร้างจะไม่ต่างจากแบบธรรมดามากนัก
เพียงแต่ใส่ not เข้าไปหลังกริยาช่วยในประโยคเท่านั้น
เองค่ะ ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธนี้มักจะใช้ถามเพื่อ

แสดงความประหลาดใจหรือแปลกใจ มาดูตัวอย่าง
ประโยคกันค่ะ คำถามแบบ Yes/No question คำถาม
แบบ Yes/No question จะขึ้นต้นประโยคคำถามด้วย
กริยาช่วย ถ้าต้องการทำเป็น negative question ก็
ง่ายๆเลยค่ะ ใส่ not เข้าไปหลังกริยาช่วยได้เลย แต่ส่วน
ใหญ่แล้วเรามักจะเขียนหรือพูดในรูปย่อ (contracted
form) เช่น

1 Tanggwa is good at singing, but she is (is)
____ good at dancing.
2 They bought some salt, but they (buy) ____ any
sugar.
3 Surachai likes pop music, but he (like) ____
classical music.
4 Tanggwa was invited, but Pranee (was) ____
invited.

เฉลย
1) not/isn’t
2) did not/didn’t buy
3) does not/doesn’t like
4) was not/wasn’t

ever/never

1.Ever คำกริยาวิเศษณ์ ever และ never อธิบายหรือ

แสดงให้เห็นเวลาที่ไม่ได้ระบุไว้อย่างเจาะจง ก่อนหน้านี้
(Have you ever visited Berlin?)' Ever' และ 'never'
จะถูกวางไว้ ก่อนหน้ากริยาหลัก (กริยาช่อง 3) โดย
Ever จะใช้ ในคำถาม ตัวอย่างเช่น Have you ever
been to England? Has she ever met the Prime

Minister?

2.Never แปลว่า ไม่เคยจนถึงตอนนี้ และมีความหมาย
เหมือน not ..... ever (I have never visited Berlin)
โปรดระวัง! ห้ามใช้ never กับ not ด้วยกัน I haven't
never been to Italy. I have never been to Italy.

1)Has your friend____a bone
A)ever breaked
B)ever broke
C)ever broken
2)we have ____an email
A)never wrote
B)never writing
C)never written
3)Have you___on a trampoline
A)ever jumped
B)ever jumping
C)ever jump
4)I have___in the ocean
A)never swim
B)never swum
C)never swam

เฉลย
1)ever broken
2)never written
3)ever jumped
4)never swam

just/already/yet

Already Already (adv.) แปลว่า แล้ว... ใช้บ่งบอกว่า

บางสิ่งบางอย่างได้เกิดขึ้นไปแล้ว ตำแหน่งอยู่กลาง
ประโยค โดยวางหน้าคำกริยา และมักใช้กับ Present
Perfect Tense I’ve already read this book. (ฉัน
อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว) Dad has already gone to
bed. (พ่อไปนอนแล้ว) Yet Yet (adv.) แปลว่า ยัง... ใช้

พูดเกี่ยวกับบางสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น แต่ยังไม่เกิดจน
กระทั่งขณะนี้ จะใช้กับประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธ
มักใช้กับ Present Perfect Tense และจะวางไว้ท้าย
ประโยค Haven’t you decided yet? (คุณยังไม่ได้
ตัดสินใจหรือ?) I haven’t found a job yet. (ฉันยังหา
งานไม่ได้เลย) Just Just (adv.) แปลว่า เพิ่งจะ... ใช้เมื่อ
เราต้องการบ่งบอกว่าบางสิ่งบางอย่างเพิ่งจะเกิดขึ้นไป
เมื่อล่าสุดนี้ ซึ่งจะใช้กับ Present Perfect Tense หรือ
Past Perfect Tense เสมอ โดยตำแหน่งในประโยคจะ
อยู่ระหว่างกริยาช่วย (have/has) และ past
participle (V3) My brother has just come home.

(น้องชายของฉันเพิ่งจะมาบ้าน) I have just finished
my work. (ฉันเพิ่งจะทำงานเสร็จ)

1)___you watched Rang Song tet
A.Have
B.Has
2)___your sister finished her work yet
A.Have
B.Has
3)___She has done her homework.
A.aiready
B.yet
4)She haven't done her homework___.
A.aiready
B.yet

เฉลย
1) have
2) has
3) already
4) yet

Future with will

Future Simple Tense คือ ประโยคอนาคตกาล เอาไว้

พูดถึงเรื่องราวในอนาคต เช่น สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น สิ่งที่จะ
เกิดขึ้น สิ่งที่จะทำ เป็นต้น … เราลองมาดูตัวอย่าง
ประโยคกันก่อนดีกว่าค่ะ My parents will retire
soon. She will travel in Korea. The team will

drive past the woods. Jack and his father will

pick you up. Kelsey will cook for us. จากตัวอย่าง
ข้างต้น พวกเราจะสังเกตเห็นว่า Verb หรือ กริยาใน
Future Simple จะมีคำว่า will และ verb infinitive
ตามหลัง หลักการใช้ Future Simple Tense
1. เหตุการณ์ในอนาคต
2. การคาดเดาสถานการณ์ในอนาคต
3. ให้คำสัญญาว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร
4. การให้ข้อเสนอว่าจะทำอะไรในขณะนั้น

We ……………to see grandmother this weekend.
1. will
2. are going
3. go
4. are
When ……. supper be ready?
1. will
2. do
3. does
4. is
How …….he get here from the train station?
1. is
2. do
3. will
4. are
By the time we get there, they ……………..football
for 30 minutes.
1. play
2. are playing
3. will play

เฉลย
1) are going
2) will
3) will
4) will have been playing

be going to

เราสามารถใช้ be going to ซึ่งมีความหมายว่า “ จะ “
หรือ " กำลังจะ " ในการกล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระ
ทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เช่นเดียวกับการใช้ will ใน
Future Simple Tense โดยมีโครงสร้างประโยค ดังนี้
1. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเกิดขึ้นใน

อนาคต ซึ่งได้ตัดสินใจหรือตั้งใจเอาไว้ก่อนแล้วว่าจะ

กระทำ กล่าวคือ ได้ตัดสินใจหรือตั้งใจที่จะกระทำไว้แล้ว

หรือรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์หรือการกระทำนั้นจะเกิดขึ้น
ก่อนที่จะพูดออกมา · I am going to study harder
next year. (ฉันจะเรียนให้หนักขึ้นปีหน้า) · Prem’s
going to Bang Saen Beach next week with his

family. (เปรมจะไปหาดบางแสนในสัปดาห์หน้ากับ
ครอบครัวของเขา) · They are going to fly to
Japan. (พวกเขาจะบินไปญี่ปุ่น) · Nong is going to
visit her parents in Phuket. (น้องจะไปเยี่ยมพ่อกับ
แม่ของเธอที่ภูเก็ต) · We’re going to sing at the
party. (พวกเราจะร้องเพลงในงานปาร์ตี้) · She’s
going to temple tomorrow. (เธอจะไปวัดพรุ่งนี้)


Click to View FlipBook Version