e−
1. เสถียรภาพของนวิ เคลยี ส
2. กมั มันตภาพรงั สี
3. ปฏิกริ ิยานวิ เคลยี รแ์ ละพลงั งานนิวเคลยี ร์
4. ประโยชนแ์ ละการปอ้ งกนั อันตรายจากรังสี
1. เสถียรภาพของนิวเคลียส
1.1 แรงนวิ เคลียร์ (nuclear force)
โครงสรา้ งนวิ เคลยี ส
ภายในนวิ เคลยี ส มีโปรตอนท่ี
มีประจุไฟฟ้าบวกและนิวตรอนท่ี
นวิ ตรอน เป็นกลางทางไฟฟ้าอยู่รวมกัน เรียก
โปรตอน อ นุ ภ า ค ทั ้ ง ส อ ง ว ่ า นิ ว ค ลี อ อ น
รปู แบบจำลองนวิ เคลยี สใน 3 มติ ิ (nucleon)
1. เสถยี รภาพของนวิ เคลยี ส
1.1 แรงนิวเคลียร์ (nuclear force)
แรงนิวเคลียร์ (nuclear force) เป็นแรงดึงดูดระหว่างโปรตอน
กับโปรตอน นิวตรอนกับนิวตรอน และโปรตอนกับนิวตรอนภายใน
นิวเคลยี ส
ฮเิ ดกิ ยกุ ะวะ (Hideki Yukawa ค.ศ.1907 – 1981)
นักฟิสกิ ส์ชาวญ่ปี นุ่ ได้รับรางวลั โนเบลสาขาฟสิ ิกส์ ในปี 2492
จากผลงานดา้ นทฤษฎีเกยี่ วกับแรงนวิ เคลยี ร์
รูป ยกุ ะวะ
1. เสถยี รภาพของนิวเคลียส
1.1 แรงนวิ เคลียร์ (nuclear force)
นวิ ตรอน แรงนิวเคลียร์
โปรตอน
รูป ก. แบบจำลองนวิ เคลยี สใน 3 มิติ รูป ข. แบบจำลองนวิ เคลยี สใน 2 มิติ
และแรงนวิ เคลยี รท์ กี่ ระทำระหว่ำงนวิ คลอี อนทอ่ี ยตู่ ดิ กนั
1. เสถียรภาพของนิวเคลียส
1.1 แรงนิวเคลยี ร์ (nuclear force)
แรงนิวเคลยี ร์
แรงนิวเคลียร์ไม่ขึ้นอยู่กับประจุและมวลของนิวคลีออน แรงนิวเคลียร์
ระหว่างคู่นิวคลีออนจึงมีค่าเท่ากัน และส่งผลเฉพาะในระยะใกล้มาก (Very
short – range force) จงึ เป็นแรงท่กี ระทาระหวา่ งนิวคลอี อนทอ่ี ย่ตู ิดกัน
1. เสถียรภาพของนิวเคลียส
1.1 แรงนิวเคลียร์ (nuclear force)
ไอโซโทป (isotope)
ไอโซโทป คอื อะตอมของธาตเุ ดียวกนั ทีม่ เี ลขมวลตา่ งกนั
โดยแรงนวิ เคลยี ร์ทาใหน้ วิ เคลยี สและไอโซโทปของธาตุหลายชนดิ มีเสถยี รภาพ
ตัวอย่างไอโซโทปของธาตุคารบ์ อน
((116136CC)), , คคาารร์บบ์ ออนน--1124((126146CC),)
คารบ์ อน-11
คารบ์ อน-13
1. เสถยี รภาพของนวิ เคลียส
1.1 แรงนวิ เคลียร์ (nuclear force)
ไอโซโทป (isotope)
การเรยี กชื่อไอโซโทปของไฮโดรเจนและชอ่ื นวิ เคลยี สของไอโซโทป
สญั ลักษณน์ วิ เคลยี ร์ ชอ่ื ไอโซโทป ชื่อนิวเคลยี สของไฮโซโทป
11H โปรเทยี ม โปรตอน
21H ดวิ เทอรอน ดิวเทอรอน
31H ทริเทยี ม ทริทอน
1. เสถยี รภาพของนวิ เคลยี ส
1.1 แรงนิวเคลียร์ (nuclear force)
สญั ลกั ษณน์ วิ เคลยี ร์ (nuclear symbol)
ZAX
o เลขมวล (mass number; A) เป็นเลขทบ่ี อกจำนวนโปรตอนและนิวตรอน
o เลขอะตอม (atomic number; Z) เปน็ เลขที่บอกจำนวนโปรตอนและอเิ ล็กตรอนใน
อะตอมที่เป็นกลำงทำงไฟฟ้ำจำนวนโปรตอนและนิวตรอนจะเท่ำกัน
o จำนวนนวิ ตรอน (N) หำไดจ้ ำก N = A - Z
1. เสถียรภาพของนิวเคลยี ส
1.1 แรงนวิ เคลียร์ (nuclear force)
สัญลกั ษณน์ วิ เคลยี ร์ (nuclear symbol)
สัญลักษณ์นิวเคลยี ร์และมวลของนิวคลีออนและอเิ ล็กตรอน
สัญลักษณน์ วิ เคลยี ร์ ชนิดอนภุ าค มวล (u)
11p หรือ 11H โปรตอน 1.007276
01n นิวตรอน 1.008665
−01e อเิ ลก็ ตรอน 0.000549
1. เสถียรภาพของนวิ เคลียส
1.2 พลังงานยดึ เหนยี่ ว
พลังงานยึดเหนี่ยว (Binding energy) คือ พลังงานที่ให้แก่นวิ เคลียส
เพ่อื ยดึ เหนี่ยวใหน้ ิวคลอี อนในนิวเคลียสอยู่ด้วยกัน ซึ่งเป็นพลังงานที่ทาให้
นวิ คลอี อนแยกออกจากกันพอดี ตวั อย่างเชน่
โปรตอน
รงั สแี กมมำ ดวิ เทอรอน นิวตรอน
พลงั งำน 2.22 MeV
การใหพ้ ลงั งานมากพอกับดิวเทอรอน ทาใหโ้ ปรตอนและนิวตรอนแยกออกจากกันได้
1. เสถียรภาพของนวิ เคลียส
1.2 พลังงานยึดเหนย่ี ว
สว่ นพรอ่ งมวล (mass defect, ∆m)
คือ มวลทห่ี ายไปเน่ืองจากการรวมกันของนวิ เคลยี สในนิวเคลยี ส
ส่วนมวลพรอ่ ง = มวลรวมขององค์ประกอบอะตอม – มวลอะตอม
∆m = Zmp+ A−Z mn+Zme - mx u
o mp คอื มวลของโปรตอน
o mn คอื มวลของนวิ ตรอน
o me คือ มวลของอิเล็กตรอน
o mx คอื มวลอะตอม
1. เสถียรภาพของนิวเคลียส
1.2 พลงั งานยดึ เหนย่ี ว
หน่วยสาหรบั ระดับพลงั งานในนิวเคลียส
มวล 1 u มีค่า 1.660540 × 10−27 กิโลกรมั
ซง่ึ มคี ่าน้อยมาก เพ่อื ความสะดวกจงึ ได้กาหนดให้ใช้หน่วยของ
เมกะอเิ ลก็ ตรอนโวลต์ (MeV)
เปน็ หน่วยของพลงั งานในระดบั นิวเคลียส
931.5 MeV เป็นพลงั งานทเ่ี ทยี บเทา่ กบั มวล 1 u
1. เสถยี รภาพของนวิ เคลียส
1.2 พลงั งานยดึ เหนย่ี ว
พลังงานยึดเหนี่ยวจะมีค่าเท่ากับมวลพร่องคูณพลังงานต่อ
มวล 1 u หรอื 931.5 MeV
พลงั งานยึดเหนย่ี ว (E) = ∆m × 931.5 MeV
นิวเคลียสที่มีเสถียรภาพมากหรือน้อย พิจารณาจากพลังงาน
ยึดเหนีย่ วตอ่ นวิ คลอี อน ∆m(931.5
A
E = MeV)
A
พ ัลงงำน ึยดเหน่ียว ่ตอนิวค ีลออน (MeV/nucleon)1. เสถียรภาพของนวิ เคลียส
1.2 พลังงานยดึ เหนย่ี ว
เลขมวล
กราฟแสดงความสมั พันธร์ ะหว่างพลังงานยึดเหนย่ี วต่อนิวคลีออนกับเลขมวล
2. กมั มนั ตภาพรังสี
กัมมันตภาพรังสี (radioactivity) คือ ธาตุและไอโซโทปของ
ธาตบุ างชนิด สามารถแผร่ ังสีไดเ้ องอยา่ งต่อเนือ่ ง
รังสขี องธำตุกัมมนั ตรังสี
รูป กำรแผร่ ังสขี องธำตุกัมมันตรังสี
2. กัมมันตภาพรังสี
2.1 การค้นพบกัมมนั ตภาพรงั สี
แสงแดด
เกลอื ยเู รเนยี ม
ซองกระดาษดาใส่ฟลิ ม์
การทดลองการปลอ่ ยรังสขี องสารเรืองแสงเมือ่ ถูกกระตนุ้ ดว้ ยแสงแดดของแบ็กเกอเรล
2. กัมมนั ตภาพรังสี
2.2 รงั สจี ากธาตุและไอโซโทปกมั มันตรงั สี
ธาตแุ ละไอโซโทปกมั มนั ตรงั สีส่วนใหญ่มกี ารแผ่รงั สีออกมา 3 ชนิด ไดแ้ ก่
1. รังสีแอลฟา (alpha rays, ) เป็นนิวเคลยี สของฮเี ลียมที่เคลื่อนที่ด้วย
ความเร็วสูง มีประจุไฟฟ้า +2e และประกอบด้วยโปรตอนและนิวตรอนอย่างละ 2
อนุภาค
2. รังสีบีตา (beta rays, ) เป็นอิเล็กตรอนที่เคล่ือนที่ด้วยความเร็วสูง มี
ประจไุ ฟฟ้า -1e
3. รังสีแกมมา (gamma rays, ) เป็นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าหรือโฟตอนท่ี
เป็นกลางทางไฟฟ้าและมคี วามถี่สูงมาก
2. กมั มันตภาพรังสี
2.2 รงั สีจากธาตแุ ละไอโซโทปกมั มันตรังสี
สมบตั ขิ องรังสแี อลฟา บีตา และแกมมา
สมบตั ิ ชนิดของรงั สี
แอลฟา บีตา แกมมา
องคป์ ระกอบ นิวเคลียสฮีเลียมความเร็วสงู อิเลก็ ตรอนความเรว็ สงู คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ความถ่ีสงู
ประจไุ ฟฟา้ +2e -1e ไมม่ ีประจุ(เป็นกลาง)
0
มวล 4.001506u 0.000549u
มากกวา่ แอลฟา
อานาจทะลุผ่าน 3-5 cm 1-30 cm และบตี ามาก
(ในอากาศ)
2. กมั มนั ตภาพรงั สี
2.2 รังสีจากธาตุและไอโซโทปกมั มันตรงั สี
สมบตั ขิ องรังสีแอลฟา บีตา และแกมมา
สมบตั ิ ชนิดของรงั สี
แอลฟา บีตา แกมมา
การเบ่ยี งเบนใน เบี่ยงเบน เบ่ยี งเบนในทศิ ทางตรงข้าม ไมเ่ บยี่ งเบน
สนามแม่เหล็ก กบั แอลฟาและเบี่ยงเบน
มากกว่าแอลฟาเมื่ออยใู่ น 1 เทา่
สนามแม่เหล็กเดียวกนั
ความสามารถในการทาให้ 2500 เทา่ 100 เทา่
อากาศแตกตัวเปน็ ไอออน
เมอื่ เทียบกบั แกมมา
2. กัมมนั ตภาพรังสี
2.2 รงั สีจากธาตุและไอโซโทปกัมมนั ตรงั สี
อานาจทะลผุ า่ นวสั ดขุ องรงั สีแอลฟา บีตา และแกมมา
แผ่นกระดำษ แผ่นโลหะบำง แผน่ ตะกั่วหนำ
รังสแี อลฟำ( )
รังสีบีตำ( )
รังสแี กมมำ( )
รังสีทั้ง 3 ชนดิ สามารถทะลุผา่ นวสั ดุได้แตกตา่ งกัน
2. กัมมันตภาพรังสี
2.3 การสลายและสมการการสลาย
การสลายกมั มนั ตรงั สี (radioactive decay) หรือ การสลาย (decay)
เป็นกระบวนการธาตุหรือไอโซโทปกัมมันตรังสีมีการแผ่รังสี นิวเคลียสไม่
เสถียรเปลี่ยนไปเป็นนิวเคลียสชนิดใหม่หรือมีระดับพลังงานต่ากว่าเดิม โดย
นิวเคลียสที่เกดิ การสลายเรียกว่า นวิ เคลียสกมั มันตรงั สี (radioactive nucleus)
ทอเรยี ม-232 รงั สแี อลฟำ ตะก่ัว-210 รังสีบีตำ
เรเดยี ม-228 บสิ มทั -210
ก. เมือ่ ทอเรยี มแผ่รงั สแี อลฟา จะมเี รเดียมเกิดขึ้น ข. เม่อื ตะก่วั แผร่ ังสบี ตี า จะเกิดบิสมทั เกดิ ขน้ึ
2. กัมมนั ตภาพรังสี
2.3 การสลายและสมการการสลาย
กระบวนการที่นิวเคลียสกัมมันตรังสีเกิดการสลายให้อนุภาคแอลฟา หรือ
อนุภาคบีตา หรือรังสีแกมมา สามารถอธิบายได้ด้วยสมการการสลายที่ผลรวมของเลข
อะตอมและผลรวมของเลขมวลก่อนและหลงั การสลายมคี า่ เท่ากัน ดังน้ี
➢ สมการการสลายใหแ้ อลฟา ZAx→ ZAY + 42He
➢ สมการการสลายใหบ้ ีตาลบ ZAx→ ZAY + −01e + vതe
➢ สมการการสลายให้บีตาบวก ZAx→ ZAY + +01e + vതe
➢ สมการการสลายใหแ้ กมมา ZAx∗→ ZAx +
2. กัมมนั ตภาพรังสี
2.4 กัมมันตภาพ
กัมมันตภาพ (activity) คือ อัตราการแผร่ ังสขี องธาตุและไอโซโทป
กมั มันตรงั สีในขณะหนึ่ง เขยี นแทนดว้ ยสัญลักษณ์ A มหี น่วยเป็น
เบ็กเคอเรล (Bq) หาได้จากสมการ
A = N
o A คอื กมั มนั ตภาพ มีหน่วยจานวนนิวเคลยี สตอ่ วินาที(s−1) หรอื เบก็ เคอเรล(Bq)
หรอื ครู ี (Ci)
o คอื ค่าคงตัวการสลาย มหี น่วยตอ่ วนิ าที, ตอ่ ช่ัวโมง, ตอ่ วนั , ต่อปี
o N คือ จานวนนิวเคลยี ส
2. กมั มันตภาพรงั สี
2.5 ครง่ึ ชวี ติ
ครึง่ ชวี ิต (half-life, T1/2) คอื ช่วงเวลาทีน่ วิ เคลียสของธาตกุ ัมมนั ตรงั สี
เหลอื ครึง่ หนึ่งของตอนเรม่ิ สลายตัว หรอื คร่งึ หน่ึงของจานวนเดมิ
T1/2 = ln 2 = 0.693
λ λ
o T1/2 คอื ค่าครึง่ ชวี ติ มีหน่วยวนิ าที (s), ชวั่ โมง (h), วัน (day), ปี(year)
o คือ ค่าคงตวั การสลาย มีหนว่ ยตอ่ วนิ าที, ต่อชว่ั โมง, ต่อวนั , ตอ่ ปี
2. กมั มันตภาพรังสี
2.5 ครง่ึ ชีวิต
จานวนนิวเคลียสท่ีเหลือจากการสลายมีความสมั พนั ธก์ ับนิวเคลียสเริ่มตน้
คา่ คงตวั การสลาย และเวลาทเ่ี กดิ การสลาย ตามสมการ
N = N0e-λt
o N คือ จานวนนวิ เคลียสที่เหลือ
o N0 คอื จานวนนิวเคลียสของธาตุกมั มนั ตรังสีตอนเริ่มสลายตวั
o คอื คา่ คงตวั การสลาย มีหนว่ ยต่อวนิ าที, ตอ่ ชวั่ โมง, ตอ่ วัน, ตอ่ ปี
o t คือ เวลาของการสลายตัวของนวิ เคลยี ส
2. กัมมนั ตภาพรงั สี
2.5 ครึ่งชวี ติ
ครงึ่ ชีวติ ของไอโซโทปกมั มนั ตรงั สบี างชนดิ
ไอโซโทปกมั มนั ตรังสี ครึ่งชวี ติ
พอโลเนียม-194 0.392 วินาที
เรดอน-220 55.6 วินาที
โซเดียม 15 ชัว่ โมง
3. ปฏิกริ ิยานวิ เคลยี รแ์ ละพลงั งานนวิ เคลยี ร์
ปฏกิ ิริยานวิ เคลยี ร์ (nuclear reaction)
ปฎิกิริยานิวเคลยี ร์ (nuclear reaction) คือ กระบวนการที่นิวเคลียส
มีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบภายในเมื่อได้รับการกระตุ้น โดยในทุก
สมการท่ีใช้อธิบายปฏกิ ิรยิ านิวเคลยี ร์ ผลรวมของเลขอะตอมและเลขมวลก่อน
ปฏิกิริยามีค่าเท่ากับหลังปฏิกิริยา ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงนิวเคลียส
ของแพลทินัมและนิวเคลียสของปรอท ให้เป็นนิวเคลียสของทองคา ดัง
1178990986HPgt + 21H → 17997Au +42H 0 1n
สมการ
+ 21H → 19779Au +
3. ปฏิกริ ยิ านวิ เคลยี รแ์ ละพลงั งานนวิ เคลยี ร์
ปฏิกริ ิยานวิ เคลยี ร์ (nuclear reaction)
ปฎกิ ิริยานวิ เคลยี ร์ (nuclear reaction) สามารถเขยี นไดเ้ ป็นสมการ
o X คอื สัญลักษณข์ องอะตอมกอ่ นเกิดปฏิกิรยิ า
o Y คอื สญั ลักษณ์ของอะตอมหลังเกิดปฏิกิรยิ านวิ เคลยี ร์
o a คือ อนุภาคที่เขา้ ไปชนนิวเคลยี กอ่ นเกิดปฏิกิรยิ า
o b คอื อนุภาคที่ไดห้ ลังจากเกิดปฏกิ ิริยา
3. ปฏกิ ิรยิ านวิ เคลยี รแ์ ละพลงั งานนวิ เคลยี ร์
ปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี ร์ (nuclear reaction)
ปฎิกิริยานวิ เคลยี ร์ (nuclear reaction) มี 2 แบบ ดงั นี้
3.1 ฟิชชัน (fission) คือ ปฎิกิริยานิวเคลียร์ที่นิวเคลียส
มวลมากแยกออกเป็นนวิ เคลียสที่มีมวลน้อยกว่า
3.2 ฟิวชัน (fusion) คือ ปฎิกิริยานิวเคลียร์ที่นิวเคลียส
มวลน้อยรวมกนั เปน็ นวิ เคลียสทม่ี มี วลมากข้ึน
3. ปฏิกริ ยิ านวิ เคลยี รแ์ ละพลงั งานนวิ เคลยี ร์
ปฏิกิริยานวิ เคลยี ร์ (nuclear reaction)
พลงั งานนิวเคลียร์ (nuclear energy)
คอื พลงั งานทีป่ ลดปลอ่ ยออกมาจากฟิวชนั และฟชิ ชนั
E = ∆m c2
o E คอื พลงั งานนวิ เคลียร์
o ∆m คือ ผลต่างระหวา่ งมวลก่อนกบั หลงั การเกดิ ปฏกิ รยิ า
o c คือ อตั ราเรว็ ของแสงในสุญญากาศ
4.ประโยชนแ์ ละการปอ้ งกนั อนั ตรายจากรงั สี
4.1 การนารังสไี ปใชป้ ระโยชน์ดา้ นการแพทย์
การใชร้ งั สแี กมมาในการรกั ษาโรคมะเรง็
ตวั อย่างเคร่อื งฉายรังสีแกมมาสาหรับการรักษามะเร็ง
4.ประโยชนแ์ ละการปอ้ งกนั อนั ตรายจากรงั สี
ด้านโบราณคดแี ละธรณีวิทยา
การหาอายขุ องวตั ถโุ บราณจากปรมิ าณคารบ์ อน-14 ในซากสงิ่ มชี วี ติ
แผนภาพการเกิดและถ่ายโอนคาร์บอน-14 ในพชื และสัตว์
4.ประโยชนแ์ ละการปอ้ งกนั อนั ตรายจากรังสี
ดา้ นอตุ สาหกรรม
อุตสาหกรรมยางและพลาสตกิ การฉายรงั สแี กมมาไปนา้ ยางจะทาให้
ผลติ ภณั ฑย์ างมสี มบตั ทิ นตอ่ แรงดงึ และตา้ นทานการฉกี ขาดไดม้ ากขนึ้
ยางรถยนตแ์ ละพลาสตกิ ที่ผ่านการฉายรังสีทาให้สมบตั ิบางอย่างดีข้ึน
4.ประโยชนแ์ ละการปอ้ งกนั อนั ตรายจากรงั สี
ด้านเกษตรกรรม
การใชไ้ อโซโทปกมั มนั ตรงั สที พี่ ชื สามารถดดู ซมึ ไดด้ สี าหรบั การศกึ ษา
อัตราการดดู ซมึ ปยุ๋ ของตน้ ไม้
การใช้ฟอสฟอรัส – 32 หาอัตราการดดู ซึมปยุ๋ ของตน้ ไม้
4.ประโยชนแ์ ละการปอ้ งกนั อนั ตรายจากรงั สี
ดา้ นความปลอดภัย
การปอ้ งกนั อคั คภี ยั มกี ารนาอะเมรเิ ซยี ม-241 ทส่ี ลายใหแ้ อลฟามาใชใ้ น
อุปกรณต์ รวจจบั ควนั
ก.อปุ กรณต์ รวจจบั ควัน ข.ในสภาวะปกติ ค. เมือ่ มีควัน
อุปกรณต์ รวจจับควันและแผนภาพแสดงการทางานของอุปกรณต์ รวจจบั ควัน
4.ประโยชนแ์ ละการปอ้ งกนั อนั ตรายจากรงั สี
4.2 รงั สีธรรมชาตแิ ละการปอ้ งกนั อันตรายจากรงั สี
1. รังสีจากอากาศ น้า 2. รังสีจากอาหาร เช่น
ดนิ และหนิ เช่น รังสีโพแทสเซียม-40 ที่
รั ง สี เ ร ด อ น - 2 2 2 ใ น อยใู่ นกล้วย
อากาศ รังสีทอเรียม-
232ในน้า ดิน 3.รังสีอวกาศหรือคอสมิ ก
เช่น โปรตอนเคลื่อนที่เข้ามา
รงั สจี ากสง่ิ แวดลอ้ มและรังสใี นร่างกาย ในชั้นบรรยากาศโลกแล้วชน
กับอนภุ าคต่าง ๆ
4.ประโยชนแ์ ละการปอ้ งกนั อนั ตรายจากรงั สี
4.2 อนั ตรายจากรงั สี
ผลกระทบกบั ร่างกายมนษุ ยเ์ มอ่ื รา่ งกายไดร้ ับรงั สใี นปริมาณตา่ ง ๆ
ปริมาณรงั สี (มิลลซิ เี วริ ต์ ) อาการ
2.2 เปน็ ระดับรงั สปี กตใิ นธรรมชาติ ทม่ี นษุ ยแ์ ตล่ ะคนไดร้ ับใน 1 ปี
5 เกณฑส์ ูงสดุ ที่อนญุ าตให้สาธารณชนไดร้ ับใน 1 ปี
50 เกณฑ์สงู สุดทอ่ี นญุ าตใหผ้ ปู้ ฏิบตั ิงานทางรังสไี ด้รับใน 1 ปี
250 ไมป่ รากฏอาการผดิ ปกติใด ๆ ท้ังระยะสัน้ และระยะยาว
500 เม็ดเลอื ดขาวลดลงเลก็ น้อย
1000 มอี าการคลน่ื เหียน และออ่ นเพลยี เม็ดเลอื ดขาวลดลง
4.ประโยชนแ์ ละการปอ้ งกนั อนั ตรายจากรงั สี
4.2 อันตรายจากรงั สี
ผลกระทบกบั ร่างกายมนษุ ยเ์ ม่ือรา่ งกายไดร้ บั รงั สใี นปรมิ าณตา่ ง ๆ
ปริมาณรงั สี (มิลลซิ เี วริ ต์ ) อาการ
3000
6000 ออ่ นเพลีย อาเจียน ท้องเสยี เมด็ เลือดขาวลดลง ผมร่วง เบ่ืออาหาร ตัวซดี
คอแหง้ มไี ข้ อายุส้ัน อาจเสียงชีวติ ภายใน 3-6 สัปดาห์
10000
ออ่ นเพลยี อาเจยี น ทอ้ งร่วงภายใน 1-2ช่ัวโมง เมด็ เลอื ดลดลงอย่างรวดเรว็
ผมรว่ ง มไี ข้ อักเสบบรเิ วณปากและลาคออย่างรนุ แรง มเี ลือดออก มีโอกาส
เสียชีวติ ถึง 50% ภายใน2-6สัปดาห์
มอี าการเหมอื นขา้ งต้น ผวิ พองบวม ผมร่วง เสยี ชีวติ ภายใน 2-3 สปั ดาห์
4.ประโยชนแ์ ละการปอ้ งกนั อนั ตรายจากรงั สี
4.2 การปอ้ งกนั อนั ตรายจากรงั สี
ผลกระทบกบั รา่ งกายมนษุ ยเ์ ม่ือรา่ งกายไดร้ บั รงั สใี นปริมาณตา่ ง ๆ
ก. ใช้เวลาใหส้ ้นั ที่สดุ ในบริเวณ ข. อยหู่ า่ งจากแหล่งกาเนดิ รังสใี ห้ ค.ใช้วัสดกุ าบงั รงั สที ่ีเหมาะสม
ทีม่ ีแหล่งกาเนิดรงั สี มากทส่ี ดุ
แผนภาพแนวทางหลักในการป้องกันอนั ตรายจากรงั สี 3 แนวทาง