The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by graphic, 2022-04-01 02:35:13

16056 ebook-2

16056 ebook-2

MAGAZINE

เรื่องที่คนรุ่นใหม่ควรรู้



สวัสดีค่ะผู้อ่าน Eight Magazine ทุกท่าน

พบกับนิตยสารที่พูดถึงข่าวที่เกิดขึ้นในสังคมกับ
8 เรื่องราวทันกระแสในปัจจุบันและเหมาะกับ

คนรุ่นใหม่ โดยเรามีทั้งหมด 5 คอลัมน์ เริ่มต้นกันที่
ซีซันนี้เราต้องรอด อัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับข้อมูล

โรคระบาดไวรัสโควิด-19 ดูแลสุขภาพต่อกันที่สุขภาพ
FIRST ร่างกายต้องมาก่อน ติดตามไลฟ์สไตล์
คนกรุงฯ ไปกับกรุงเทพฯ เมืองเทพสร้าง?

ร่วมให้กำลังใจสุดยอดรัฐบาลไทยกับการแก้ปัญหา
เศรษฐกิจ และรู้ไหม? ในสภาทำงานอะไรบ้าง
สองขั้วสองข้างรวบรวมมาให้แล้ว


ในช่วงนี้เป็นช่วงการรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ

สองขั้วสองข้างเลยหยิบประเด็นแคนดิเดตมาพูดถึง
ด้วย แต่เนื้อหาจะเป็นอย่างไรต้องรอติดตาม
ในเล่มต่อไป



อาจจะดูธรรมดา แต่ใน Eight Magzine มีอะไร
มากกว่าที่ทุกคนคิด ทั้งข่าวสารและความรู้ อยากให้

ลองเปิดใจกับเราและหยิบกลับบ้านไปอ่านสักครั้ง
แล้วคุณจะได้เปิดมุมมองในเรื่องต่าง ๆ

บรรณาธิการ

ซีซันนี้ เขียน : กฤติณ
เราต้องรอด ภาพ : กฤติณ

" ตั้งสติ ก่อนสวอบ...ระวังเลือดจะออกไม่รู้ตัว! "

ในสถานการณ์ปัจจุบันที่โรคโควิด-19 กำลังระบาดหนัก มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเลยที่ติดเชื้อชนิดนี้
ซึ่งบางรายก็แสดงอาการออกมาผ่านการเจ็บไข้ได้ป่วย บางรายก็ไม่แสดงอาการออกมาอย่างแน่ชัด
จึงทำให้การตรวจหาเชื้อไวรัสจำเป็นอย่างยิ่ง โดยส่วนมากผู้คนนิยมตรวจหาเชื้อเบื้องต้นด้วยวิธีการ
"สวอบ" ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็ว แต่ความสะดวกรวดเร็วนั้นก็ยังแฝงมาด้วยความอันตราย
หากปฏิบัติไม่ถูกวิธี

เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวเกี่ยวกับสาวท้องแก่ที่ได้ออกมาโพสต์ลงเฟซบุ๊กว่า ตนได้ไปสวอบเพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส
โคโรนา หรือโควิด-19 ช่วงก่อนคลอดกับทางโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่หลังจากที่
ทำการสวอบกับทางโรงพยาบาลได้มีเลือดออกทางจมูก โดยทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าเป็นเรื่องปกติของการสวอบที่
จะมีอาการเลือดออก ซึ่งคำชี้แจงดังกล่าวทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายจากคนบนโลกโซเชียลเกี่ยวกับ
การทำงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าไม่ใช่เรื่องปกติที่เกิดขึ้นตามคำชี้แจง จึงเป็น
เหตุที่ทำให้ทางโรงพยาบาลออกมาชี้แจงอีกครั้งว่าได้มีการติดต่อกับเจ้าของโพสต์เพื่ อทำการขอโทษต่อ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

จากเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นทำให้เราเริ่มตระหนัก
ถึงความปลอดภัยของการสวอบของการสวอบอย่าง
ถูกวิธี เพื่ อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จาก
การตรวจที่โรงพยาบาลหรือแม้กระทั่งตรวจเองที่บ้าน ซึ่ง
วันนี้เราจะมาแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับสาเหตุของอาการเลือด
ออกในโพรงจมูกและวิธีการใช้ไม้สวอบ เพื่อตรวจหาเชื้อ
ไวรัสที่ถูกต้อง ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดอาการเลือดออกเหมือน
ดังข่าวที่เกิดขึ้น

โดยสาเหตุหลักของอาการเลือดออกในโพรงจมูกคือ
การสวอบหรือการแยงจมูกที่ผิดวิธี ซึ่งนอกจากจะทำให้
เกิดอาการบาดเจ็บในโพรงจมูกแล้ว ในกรณีที่มีเลือด
ออกมา จะทำให้ไม่สามารถตรวจสอบผลของโควิด-19
ได้อย่างแม่นยำ โดยต้องรอให้แผลหายดีจึงจะสามารถ
ตรวจหาเชื้อได้

-1-

วิธีการใช้ไม้สวอบในการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา ด้วยวิธีที่ถูกต้องก็คือ

- ตั้งฉากไม้กับใบหน้า และให้ไม้สวอบ แนบไปกับพื้นด้านล่างของจมูก
กรณีนี้เป็นการวางแนวของไม้ให้ถูกต้องเพื่ อที่จะทำวิธีการต่อไปได้อย่าง
ไม่มีปัญหา ซึ่งหากตั้งฉากผิดองศาอาจจะทำให้เกิดการแทงจมูกพลาดได้
- ใส่ไม้สวอบให้ลึกไม่เกิน 1.5 - 2 ซม. จนกระทั่งชนเยื่อบุ ซึ่งจำเป็นที่จะ
ต้องแทงจมูกเข้าไปให้ถึงจุดที่สามารถตรวจสอบผลของโควิด-19 ได้
หากแทงจมูกเข้าไปไม่ถึงก็จะไม่สามารถนำตัวอย่างของเชื้อไวรัสที่อยู่บริเวณ
เยื่อบุของจมูกออกมาเพื่อตรวจสอบผลได้
- หมุนไม้สวอบอย่างน้อย 4 - 5 ครั้ง ต่อด้วยการทำซ้ำอีกข้างหนึ่ง
4-5 ครั้งเช่นกัน แล้วจึงนำออก วิธีนี้จะช่วยให้สามารถเก็บตัวอย่างของ
เชื้อไวรัสออกมาเพื่อตรวจสอบได้มากที่สุด และยังให้ผลที่ค่อนข้างชัดเจน
อีกด้วย

โดยทั่วไปหลังการสวอบตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนามีโอกาสที่จะเกิดเลือดออกเล็กน้อยได้ แต่ถ้าหากมี
เลือดกำเดาไหลออกมาในระหว่างที่ตรวจ ให้นำมือกดปีกจมูกเอาไว้จนกระทั่งเลือดหยุดไหล หรืออาจใช้
น้ำแข็งหรือน้ำเย็นประคบด้วยเพื่อช่วยให้เลือดหยุดไหล

นอกจากนี้แล้วยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถก่อให้เกิดอาการเลือดออกในโพรงจมูกได้อีก เช่น การแทงไม้
สวอบสวนทางขึ้นไปในแนวทางขนานกับสันจมูก ซึ่งนั่นอาจทำให้ไม้สวอบหักคาอยู่ในโพรงจมูกและมีอาการ
เลือดออกได้ ดังนั้น หลังจากที่ดึงไม้สวอบออกมาจากจมูกแล้ว ให้ตรวจสอบดูอีกครั้งว่า ไม้สวอบที่แทง
จมูกเข้าไปนั้นออกมาครบถ้วนดีหรือไม่ ในกรณีที่มีการตรวจหาเชื้อเองที่บ้าน หากสงสัยว่ามีชิ้นส่วนของ
ไม้ติดอยู่ในโพรงจมูกให้รีบเข้าพบแพทย์ทันที

-2-

ทางด้าน รศ. นพ. ทรงกลด เอี่ยมจตุรภัทร แพทย์จากโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ สภากาชาดไทย ได้กล่าวถึง
การตรวจหาเชื้อว่า “ไม่แนะนำให้ตรวจโดยวิธี Nasopharyngeal Swab ด้วยตนเองในผู้ที่เคยผ่าตัดไซนัส
หรือฐานกะโหลก ผู้ที่มีเคยมีกระดูกแตกหักที่ใบหน้าหรือฐานกะโหลก และผู้ที่มีภาวะสมองยื่นออกมา
เนื่องจากกะโหลกศีรษะไม่ปิด ในกลุ่มดังกล่าวนี้ถ้าจำเป็นต้องตรวจสวอบด้วยตัวเอง แนะนำให้เลือก
Antigen Test Kit IIUU Nasal Swab ซึ่งปลอดภัยกว่า”

การศึกษาวิธีการสวอบที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่จะไม่ก่อให้เกิดอาการเลือดไหลในโพรงจมูกดังข่าวที่เกิดขึ้น
อันมีสาเหตุมาจากการที่เจ้าหน้าที่อาจศึกษาวิธีการตรวจอย่างไม่ละเอียดรอบคอบ และการละเลยต่อความ
ปลอดภัยของผู้ที่มาตรวจ เพราะฉะนั้นแล้ว ก่อนการตรวจสวอบควรศึกษาถึงวิธีการตรวจอย่างละเอียด และ
ปฏิบัติตามวิธีการใช้อย่างรอบคอบเพื่อความปลอดภัยต่อการตรวจตนเองและตรวจให้ผู้อื่น
ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/society/2334080
https://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=31433
https://www.nationtv.tv/news/378851687

-3-

ซีซันนี้ เขียน : พริมา
เราต้องรอด ภาพ : พริมา

" ทิ้งอย่างไรให้ไกลโควิด "

อวัยวะชิ้นที่ 33 ของทุกคนในตอนนี้ “หน้ากากอนามัย” หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า แมสก์ อาวุธสำคัญใน
การเอาตัวรอดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เราทุกคนย่อมใส่แมสก์มากกว่า 1 ชิ้น
ในแต่ละวัน เพื่อการป้องกันตัวเองจากโรคภัย ทั้งโควิด-19 ฝุ่น PM 2.5 และอื่น ๆ อีกมากมาย แล้วหลัง
การใช้แมสก์เหล่านี้ไปอยู่ที่ไหนกัน ?



แมสก์ทั้งหมดที่ถูกใช้แล้วก็จะกลายเป็นขยะติดเชื้ออยู่ในถังขยะ โดยขยะติดเชื้อมีแนวโน้มที่จะเพิ่ม
จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น และคาดว่าจะมีปริมาณขยะติดเชื้อสูงที่สุด
ประมาณ 342 ตันต่อวันในช่วงเดือนเมษายนที่กำลังจะถึงนี้ ล่าสุดประเทศไทยมีระบบกำจัดขยะติดเชื้อ
ประมาณ 28 แห่ง และมีศักยภาพในการกำจัดอยู่ที่ 1,531 ตันต่อวันกันเลยทีเดียว แต่อาจจะยังไม่สามารถ
รองรับขยะติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวันได้ กรมอนามัยได้แนะนำให้ประชาชนทำการแยกขยะอย่างถูกวิธี
เพื่อลดปริมาณขยะติดเชื้อ โดยขยะอื่น ๆ ก็สามารถทิ้งตามปกติได้ แล้วการแยกและทิ้งขยะอย่างถูกวิธี
ต้องทำอย่างไร ? ขยะติดเชื้อต้องทิ้งแบบไหนถึงจะปลอดภัย ? วันนี้ eight magazine จะมาแนะนำวิธี
การทิ้งขยะที่ถูกต้อง ซีซั่นนี้เราต้องรอดไปด้วยกัน !

ถังสีเขียว สีฟ้า สีเหลือง สีแดงพวกนี้ไม่ได้มีเพื่อความสวยงามแต่อย่างใด แต่สีพวกนี้มีความหมายในตัวเอง
ทำความรู้จักความหมายของสีพวกนี้กันก่อนดีกว่า
- สีเขียว คือขยะที่เน่าเสีย เปียก และย่อยสลายเร็ว เช่น อาหาร เศษใบไม้แห้ง
- สีน้ำเงิน มักย่อยสลายไม่ได้ หรือย่อยสลายได้ช้าแต่ไม่เป็นพิษ และไม่คุ้มต่อการรีไซเคิล ต้องมีวิธีกำจัดที่
ถูกต้อง เช่น โฟม ซองขนม พลาสติก กระดาษชานอ้อย
- สีเหลือง ขยะรีไซเคิล ใช้ซ้ำได้ เช่น ขวดพลาสติก ขวดแก้ว
- สีแดง ขยะปนเปื้ อน วัตถุอันตราย ติดเชื้อได้ เช่น แมสก์ ถ่านไฟฉาย ยาหมดอายุ วัตถุไวไฟ



-4-

แล้วสงสัยกันไหมว่าแยกขยะแล้วมีข้อดีอะไร เห็นใคร ๆ ก็ทิ้งรวมกัน ทั้งที่จริง ๆ แล้วการแยกขยะมีข้อดี
มากมาย เช่น ลดปริมาณขยะ ประหยัดงบ ลดการสิ้นเปลืองพลังงานและทรัพยากร และยังรักษาสิ่งแวดล้อม
ลดมลพิษอีกด้วย แต่การทิ้งขยะติดเชื้อที่เกี่ยวกับโควิดไม่ได้มีแค่แมสก์เพียงอย่างเดียว ยังรวมไปถึง
ทุกอย่างที่เกี่ยวกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น น้ำลาย น้ำมูก ชุดตรวจโควิดด้วยตนเอง หรือ ATK
ภาชนะใส่อาหาร ช้อนพลาสติก ขวดน้ำ หลอดอีกด้วย ไม่ใช่แค่การเดินดุ่ม ๆ ไปโยนลงถังสีแดงเพียง
อย่างเดียว ยังมีขั้นตอน ก่อนนำไปทิ้งเพื่ อความปลอดภัยของผู้อื่ นและไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ด้วยหลักการง่าย ๆ ดังนี้


- แมสก์ไม่ควรสัมผัสกับด้านที่โดนหน้าเรา พับให้อยู่ด้านใน นำสายรัดหูมามัดให้แน่น
- ใส่ถุงขยะ 2 ชั้น โดยชั้นนอกใช้สีแดง หรือเขียนหน้าถุงชัดเจนว่า “ขยะติดเชื้อ”
- พ่นแอลกอฮอล์ หรือราดน้ำยาฆ่าเชื้อลงไปบนขยะติดเชื้อและปากถุงขยะ
- มัดปากถุงให้สนิท ตรวจสอบว่าถุงไม่รั่วและไม่ขาดก่อนนำไปทิ้ง
- ไม่ควรจับด้วยมือเปล่า ควรสวมถุงมือก่อน และหลังจากทิ้ง ต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งทันที



เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถช่วยลดขยะติดเชื้อ และป้องกันผู้อื่นติดเชื้อจากขยะของเราได้แล้ว เห็นไหมล่ะคะ
ว่าการแยกและการทิ้งขยะอย่างถูกวิธีไม่ใช่เรื่องยากเลย ทำได้ง่ายและสะดวกมาก ๆ ใช้เวลาไม่มาก แถมยังใช้
อุปกรณ์ไม่เยอะอีกด้วย สะดวกขนาดนี้ ทุกคนก็อย่าลืมแยกขยะทิ้งให้ถูกประเภท และทิ้งขยะติดเชื้ออย่าง
ถูกวิธีกันนะคะ !



ที่มา :https://www.tnnthailand.com/news/covid19/107295/
https://www.sustainablelife.co/news/detail/74
https://www.sikarin.com/health/ทิ้งขยะติดเชื้อโควิด19

-5-

สุขภาพ

FIRST

ร่างกายต้อง

มาก่อน เขียน : ณพิมพร
ภาพ : ณพิมพร

" ฝุ่นพิษฤทธิ์เยอะ "

กลับมาอีกแล้ว... ฝุ่น PM 2.5 ในเมืองกรุงที่ส่งผลกระทบต่อทุกคน

ในปัจจุบันเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการออกไปข้างนอกในแต่ละครั้งนอกจากปัญหาโรคโควิด-19 แล้วก็ยังมี
ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายของทุกคน ซึ่งสถานการณ์ PM 2.5 ในปัจจุบันยังคงอยู่ใน
ทิศทางที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครที่มีค่า PM 2.5 สูงเกินค่ามาตรฐาน กว่า 38 พื้นที่
เมื่อค่า PM 2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ความอันตรายและผลกลระทบต่อสุขภาพของผู้คนก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
สาเหตุของการเกิดฝุ่น PM 2.5 อาจเป็นเรื่องที่หลายคนยังไม่รู้ และมองข้ามต้นตอของปัญหา ไม่ว่าจะเป็น
การเผาเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม การเผาไหม้ท่อไอเสียของเครื่องยนต์ และการเผาขยะและหญ้า สิ่งเหล่านี้
ล้วนเป็นการกระทำของมนุษย์ที่ไม่ได้คิดถึงผลกระทบที่จะตามมา

-6-

จากการที่ฝุ่น PM 2.5 มีขนาดที่เล็กมากทำให้สามารถเข้าสู่ร่างกายและกระแสเลือดก่อให้เกิดการอักเสบ
ของอวัยวะต่าง ๆ ภายในของร่างกายได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นระบบทางเดินหายใจ ระบบผิวหนัง และระบบ
ดวงตา โดยโรคและอาการที่มักเกิดขึ้น คือ คัดจมูก ไอ แน่นหน้าอก ภูมิแพ้กำเริบ มีผื่นขึ้นตามร่างกาย
ตาแดง และอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้การที่ร่างกายได้รับ PM 2.5 สะสมเป็นระยะเวลานาน อาจสร้าง
ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือสารก่อมะเร็งปอดได้ เพราะฉะนั้นทุกคนไม่ควรมองข้ามอาการ
เจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ของร่างกายตัวเองไป เพราะฝุ่น PM 2.5 อาจเป็นตัวการและสาเหตุที่ทำให้พวกคุณ
เจ็บป่วยได้ ทุกวันนี้การใช้ชีวิตของคนเราต้องพบเจอฝุ่น PM 2.5 กันเป็นประจำโดยเฉพาะเวลาที่ต้องออกไป
ทำงานข้างนอก ซึ่งมี 8 อาชีพที่เสี่ยงต่อโรคจากฝุ่น PM 2.5 ในระหว่างการปฏิบัติงาน ได้แก่

รถจักรยานยนต์บริการ วิศวกรและกรรมกร พนักงานกวาดถนน พนักงานรักษา
ก่อสร้าง ความปลอดภัย

พนักงานขับรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร พนักงานเก็บขยะ ผู้ค้าขายกลางแจ้ง
และเก็บเงินรถประจำทาง

อาชีพเหล่านี้มีสิ่งที่คล้ายคลึงกันคือ การปฏิบัติงานกลางแจ้งเป็นหลัก ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีอากาศ
ย่ำแย่เนื่องจากมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ร่างกายของผู้ที่ทำอาชีพเหล่านี้จึงมีโอกาสได้รับหรือ
สูดฝุ่น PM 2.5 เข้าไปในร่างกายเป็นประจำ เราจึงควรมีการป้องกันตัวเอง และดูแลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ
เพื่อร่างกายที่แข็งแรง



ความรู้เบื้องต้นที่หลายคนอาจไม่ทราบเกี่ยวกับค่าฝุ่น PM 2.5 คือหากมีค่าเกิน 50 ไมโครกรัมต่อ
ลูกบาศก์เมตร ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมข้างนอก แต่หากมีความจำเป็นต้องออกไปข้างนอกก็ควร
ตรวจสอบค่าฝุ่น PM 2.5 จากแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Air4Thai, AirVisual และเว็บไซต์
www.air4thai.com ในทุกวันก่อนออกไปข้างนอก เพื่ อประเมินค่าฝุ่นในพื้ นที่ที่จะเดินทางไป และ
เตรียมพร้อมในการป้องกันตัวเองจากฝุ่นละอองในอากาศ

-7-

วิธีการป้องกันตัวเองจากฝุ่น PM 2.5 ที่ทุกคนสามารถทำได้ก็คือการสวมหน้ากากอนามัยทั้งแบบผ้าหรือ
แบบบุคลากรทางการแพทย์ และนอกจากการสวมหน้ากากอนามัยแล้ว อีกสิ่งสำคัญที่ควรปฏิบัติกันคือ
การทำความสะอาดบ้านอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเข้มข้นของฝุ่น โดยการใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ แทนการใช้
ไม้กวาดที่จะทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายตัวมากยิ่งขึ้น และควรลดการเผาในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย

นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่ดีก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากสารอาหารหลายชนิดสามารถ
ช่วยลดการอักเสบของร่างกาย และการรับสารต้านอนุมูลอิสระที่มีปริมาณสูงก็เป็นตัวช่วยลดผลกระทบต่อ
สุขภาพจากฝุ่น PM 2.5 ซึ่งได้แก่

วิตามิน A และเบต้า-แคโรทีน พบในตำลึง ผักบุ้ง วิตามิน C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มระบบ
ฟักทอง และอื่น ๆ ช่วยส่งเสริมระบบทางเดินหายใจ ภูมิคุ้มกันร่างกาย และลดปัญหาจากภูมิแพ้ต่อระบบ
และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ต่าง ๆ สามารถหารับประทานกันได้ง่าย จากผลไม้ หรือ
วิตามิน C เสริมวันละ 500 มิลลิกรัม

วิตามิน E พบในอาหารไขมันสูง เช่น ธัญพืช ถั่ว วิตามิน B6 วิตามิน B12 และสารโฟเลต สามารถลด
ไข่แดง ช่วยลดการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ สารโฮโมซิสเทอีนในเลือดลง เช่น ผักสีเขียวเข้ม
ผักสีส้ม ส่วนวิตามิน B12 มีในเนื้อสัตว์เนื้อแดง

โอเมก้า 3 พบได้ในปลา อะโวคาโด วอลนัท และ ซัลโฟราเฟน พบมากในบรอกโคลี และผักตระกูลกะหล่ำ
เมล็ดแฟลกซ์ ซึ่งกลุ่มผู้ใหญ่และผู้สูงอายุควรได้รับ ต่าง ๆ ซึ่งช่วยในกระบวนการกำจัดสารพิษ
สารอาหารชนิดนี้เป็นอย่างมาก
โพลีแซคคาไรด์ พบได้ในเห็ดทางการแพทย์สายพันธุ์
ญี่ปุ่น จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และกำจัด
เชื้อไวรัสหรือสิ่งแปลกปลอมจากฝุ่นได้ดียิ่งขึ้น

การใส่ใจสุขภาพโดยการเริ่มต้นที่ตัวเองนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าในปัจจุบันเราต้องสู้
กับปัญหาสุขภาพมากมายที่ไม่คาดคิดอย่างการเผชิญหน้ากับฝุ่น PM 2.5 ที่ไม่สามารถ
ควบคุมได้ แต่สิ่งที่เราทุกคนสามารถควบคุมได้คือการดูแลสุขภาพและร่างกายให้ดีที่สุด
เท่าที่จะทำได้ เหมือนกับคำว่า “กันไว้ดีกว่าแก้” การป้องกันร่างกายจากสิ่งที่เป็นอันตราย
อย่างฝุ่น PM 2.5 จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ควรที่จะละเลย อย่าลืมกันว่าสุขภาพและร่างกาย
ของเราต้องมาก่อน

ที่มา : https://www.sanook.com/news/8525158/
https://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories

-8-

สุขภาพ " หวานไปใจจะวาย "

FIRST ‘น้ำตาล’ เป็นสิ่งที่โปรดปรานของใครหลาย ๆ คน
ไม่ว่าจะเป็นขนมขบเคี้ยว ของหวาน เครื่องดื่ม รวมทั้ง
ร่างกายต้อง อาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลอยู่มากหรือขอให้ได้
ใส่เพิ่มให้รู้สึกเพลิดเพลินไปกับการลิ้มรสหวานอย่าง
มาก่อน เขียน : ภูวัตร มีความสุข ถึงแม้จะรู้ว่าพฤติกรรมการกินเหล่านั้นจะ
ภาพ : ภูวัตร ส่งผลเสียในระยะยาว แต่ถึงอย่างนั้นผู้คนก็ยัง ขอมี
ความสุขที่ได้รับประทานเช่นนี้ วันนี้เราจะมาแชร์ให้
ทุกคนได้รู้กันว่า การรับประทานน้ำตาลมากเกินพอดี
จะส่งผลอะไรบ้าง แล้วถ้าคนชอบทานหวานล่ะ
ควรทำอย่างไร ? วันนี้เรามีคำตอบให้ทุกคนแล้ว

ล่าสุดกรมอนามัยออกมาย้ำเตือนทุกคนอีกครั้งว่า
ปริมาณน้ำตาลที่เราควรบริโภคต่อวันอยู่ที่ 6 ช้อนชา
หรือ 24 กรัมเท่านั้น ถึงแม้ว่าน้ำตาลนั้นจะมีสรรพคุณ
ที่มีประโยชน์ แต่การที่เรารับประทานน้ำตาลมากเกิน
ความต้องการ น้ำตาลเหล่านั้นก็จะกลายเป็นโทษให้กับ
ร่างกาย โดยร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นไขมันและ
ตับจะดึงไขมันส่วนเกินไปเก็บไว้ยังกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ
รวมถึงพุงด้วยนะ ! นอกจากนั้น น้ำตาลยังมีส่วนทำให้
ฟันของเราผุได้ แถมยังเสี่ยงเป็นโรคอื่นอีกสารพัด ทีนี้
ยังอยากสั่งกาแฟเพิ่มหวาน หรือ ใส่น้ำตาลในก๋วยเตี๋ยว
อยู่อีกไหม ?

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าวันนี้เรารับประทานน้ำตาลครบ
โควตาหรือยังนะ... ง่ายนิดเดียว ในหนึ่งวัน น้ำตาลที่
ร่างกายเราควรได้รับอยู่ที่ 24 กรัม หรือประมาณ
6 ช้อนชา ซึ่งโดยปกติแล้วข้างซองผลิตภัณฑ์จะมีระบุ
ไว้ว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้างและปริมาณเท่าไร เราเพียง
แค่ดูปริมาณน้ำตาลและลบกับ 24 กรัม ถ้าไม่เกินก็
รับประทานได้และส่วนที่เหลืออยู่ก็คือปริมาณที่เรายัง
สามารถรับประทานได้ในวันนั้นโดยที่จะไม่ส่งผลเสีย
กับร่างกายเรานั่นเอง

-9-

แล้วถ้าเราชอบกินหวานควรทำอย่างไรดีให้มีความสุขกับการกินได้อยู่และปลอดภัยไกลโรคด้วย ? หากจะให้
งดหวานไปเลยคงเป็นเรื่องยาก แต่จะให้กินแบบเดิมต่อไปก็คงไม่ไหว ปัญหานี้แก้ได้ง่าย ๆ เพียงแค่เปลี่ยนไปบริโภค
สิ่งให้ความหวานที่ปลอดภัยกับร่างกายแทน เช่น น้ำผึ้ง น้ำเชื่อมจากเกสรดอกไม้ น้ำตาลมะพร้าว เมเปิลไซรัป หรือ
หญ้าหวาน แต่ว่าสิ่งที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลเหล่านี้ก็ควรเลือกบริโภคให้เหมาะสมด้วยเช่นกัน เพราะขึ้นชื่อว่า
ความหวานแล้วอย่างไรก็ต้องระวังให้ดีนะ

- น้ำผึ้งธรรมชาติ สารให้ความหวานจาก การรับประทานหวานไม่ใช่เรื่องไม่ดีแต่ควรรับประทาน
ธรรมชาติที่เต็มไปด้วยโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ ให้อยู่ในปริมาณเหมาะสม รวมทั้งการเลือกประเภทของ
มากกว่าน้ำตาล แต่อย่างไรก็ตามควรรับประทาน สารให้ความหวานก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้คุณสามารถ
ไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน เนื่ องจากน้ำผึ้งนั้นให้ รับประทานอาหารได้อย่างมีความสุขควบคู่ไปกับการ
พลังงานที่ค่อนข้างมากซึ่งอาจทำให้อ้วนได้ มีสุขภาพที่ดีไปอีกนาน


- น้ำเชื่อมจากเกสรดอกไม้ สารให้ความหวาน ที่มา : https://www.tnnthailand.com/news/health
ชนิดนี้อุดมไปด้วย พรีไบโอติก ที่ช่วยให้ลำไส้ของเรา https://festforfood.com/blog/?p=1967
ทำงานได้ดีขึ้น ตัวน้ำเชื่อมนั้นให้พลังงานมากกว่า
น้ำตาลเมื่อเทียบในปริมาณที่เท่ากัน แต่ด้วยตัวของ
น้ำเชื่ อมเองที่ ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลทำให้
สามารถควบคุมปริมาณได้ง่ายกว่าการใช้น้ำตาล


- น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลที่ได้จากดอกตูมของ
มะพร้าวจะอุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ และไม่ทำให้
น้ำตาลในเลือดสูงด้วย แต่ด้วยลักษณะของน้ำตาล
มะพร้าวที่มีความแห้งและหยาบมากกว่าน้ำตาลทราย
แบบทั่วไป จึงเหมาะกับการนำไปใช้ทำอาหาร หรือ
ขนมหวานต่าง ๆ มากกว่า


- เมเปิลไซรัป สารให้ความหวานจากธรรมชาติ
ที่มีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากต้นเมเปิล และ
ดีต่อสุขภาพ เพราะไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีใด ๆ
แต่สามารถให้ความหวานได้มากกว่าน้ำตาลทั่วไปถึง
3 เท่า และมี Zinc ที่ช่วยบำรุงเลือด แถมยังให้
แคลอรีที่น้อยกว่าน้ำตาลทั่วไป


- หญ้าหวาน สารให้ความหวานที่ดีและ
ธรรมชาติที่สุด โดยสามารถให้ความหวานมากกว่า
น้ำตาลทรายถึง 300 เท่า แต่กลับให้พลังงานที่น้อย
มาก ๆ สามารถนำมารับประทานได้ในหลากหลาย
รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นส่วนประกอบของเครื่องดื่ม
อาหาร หรือขนมของหวาน



- 10 -

กรุงเทพฯ เขียน : ธีรดนย์
ภาพ : ธีรดนย์

เมืองเทพสร้าง ?

" ทางเท้า "
ปัญหาพันปีของคนกรุง

การเดินทางในทุกวันนี้มีหลากหลายรูปแบบ แต่การ ห ลั ง จ า ก เ กิ ด เ ห ตุ ก า ร ณ์ ที่ ผู้ ขั บ ขี่ ม อ เ ต อ ร์ไ ซ ค์
เดินเท้าเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคนในทุกพื้นที่ เพราะทั้ง ทำร้ายคนเดินทางเท้า รองผู้ว่าฯ กทม. สกลธี ภัททิยกุล
สะดวกและรวดเร็วสำหรับการเดินทางใกล้ ๆ ไม่ว่าจะ ได้เปิดเผยถึงการทำงานของกฎหมายตลอดช่วงเวลา
เป็นการเดินไปโรงเรียน ไปทำงาน หรือแม้กระทั่งเดิน 3 ปีที่ผ่านมากับค่าปรับจำนวนมากจากการกรณีฝ่าฝืน
ออกกำลังกาย แต่การเดินบนทางเท้าในปัจจุบันนี้ไม่ได้ กฎหมาย แต่เรายังคงเห็นคนขับขี่ฝ่าฝืนอยู่เสมอ
ปลอดภัยอย่างที่คิด เพราะว่ายังมีรถเข็นและมอเตอร์ไซค์ แล้วกฎหมายต่าง ๆ จะสามารถควบคุมประชาชนให้
ร่วมใช้ทางเท้าด้วย จึงทำให้ทางเท้าทรุดโทรมอย่าง ปฏิบัติตามได้หรือ ?
รวดเร็ว และเกิดความเดือดร้อนกับผู้ใช้ทางเท้า




บนทางเท้าหลายแห่งมีมอเตอร์ไซค์จำนวนไม่น้อยที่
ขึ้นมาขับขี่และจอดกีดขวางทางเดิน ซึ่งเป็นปัญหาของ
การใช้ทางเท้าสัญจร อาจเพราะความสะดวกสบาย
ความมักง่ายของคนขับขี่มอเตอร์ไซค์ที่ไม่ปฏิบัติตาม
ก ฎ ห ม า ย จ ร า จ ร แ ล ะ ก ฎ ห ม า ย รัก ษ า ค ว า ม ส ะ อ า ด แ ล ะ
ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง รวมถึง
กฎหมายที่เกี่ยวข้องและผู้บังคับใช้กฎหมายไม่เข้มงวด
นอกจากการขับขี่บนทางเท้า หรือจอดรถกีดขวาง
ทางเดินจะทำให้ผู้ใช้ทางเท้าลำบากและเดือดร้อนแล้ว
ยังทำให้ทางเท้าทรุดโทรมเร็วขึ้น จากทั้งวัสดุที่ก่อสร้าง
และความแข็งแรงที่ไม่ได้ออกแบบเพื่ อการขับขี่ และ
เสี่ยงต่ออุบัติเหตุจากการขับขี่อย่างประมาท แต่หน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้องในกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้ละเลยความเดือดร้อนของ
ประชาชน



- 11 -

เปิดความเข้มข้นของข้อกฎหมาย ตามพ.ร.บ.จราจรทางบกที่กล่าวถึงการห้ามไม่ให้ขับขี่บนทางเท้า ยกเว้น
รถเข็นสำหรับทารก คนป่วยและคนพิการ ถ้าฝ่าฝืนมีโทษปรับตั้งแต่ 400 - 1,000 บาท ในส่วนของ
พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง ห้ามไม่ให้จอดหรือขับขี่บนทางเท้า
ยกเว้นเพื่อเข้าไปในอาคาร หรือเจ้าหน้าที่อนุโลมให้ ถ้าฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 1,500 บาท แต่ภายหลังได้ปรับ
เป็น 2,000 ทำให้มีหลายคนมีความเห็นว่าปรับแพงเกินไปหรือเปล่า แต่ทางรองผู้ว่าฯ กทม. เชื่อว่าการปรับ
ให้แพงและต่อเนื่องจะช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมของคนขับขี่มอเตอร์ไซค์ได้ ทั้งการฝ่าฝืนกฎหมาย การใช้
ช่องว่างกฎหมาย ไปจนถึงการทำร้ายเจ้าหน้าที่หรือผู้แจ้งเบาะแส

ปัญหาทางเท้าซึ่งเป็นความอันตราย ความเดือดร้อนของผู้ใช้ทางเท้าในกรุงเทพฯ ถ้าภาครัฐไม่สามารถแก้ไข
ได้เด็ดขาดอย่างที่เห็นกันตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน สิ่งที่เราสามารถทำได้คือการเริ่มต้นที่ตัวเอง โดยการคำนึงถึง
ความปลอดภัยของคนอื่นที่ใช้ทางสาธารณะร่วมกัน ละความมักง่ายและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมถึง
การเป็นหูเป็นตาแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เข้ามาดูแลและจัดการ



แม้การเปิดเผยตัวเลขค่าปรับที่ผ่านมาจะแสดงถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ และกฎหมายที่
ไม่เคยนอนหลับ แต่นั่นยังแสดงถึงปัญหาทางเท้าที่ไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังและตรงประเด็น และแม้ทุกคน
จะสามารถแก้ปัญหาได้โดยเริ่มที่ตัวเอง แต่ภาครัฐควรเข้ามาบทบาทในการจัดการปัญหานี้อย่างเด็ดขาดด้วยเช่นกัน

ที่มา : https://www.springnews.co.th/news/820844

- 12 -

ปัญหาเศรษฐกิจ กับ
สุดยอดรัฐบาลไทย

" ไก่ 2 ตัว ลดหนี้หรือเพิ่มภาระ ? "

เขียน : ณอาภาธร ภาพ : พริมา, ณอาภาธร

เมื่อไม่นานมานี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ติดตามงานด้าน
ความมั่นคงและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่จังหวัดยะลา
และได้เสนอแนวทางลดรายจ่ายให้กับประชาชน โดยการให้
ประชาชนเลี้ยงไก่ครัวเรือนละ 2 ตัว และรอเก็บไข่เพื่อบริโภค
หวังลดค่าใช้จ่าย โดยเชื่อมโยงกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมากว่าทำได้จริงหรือ ?
แก้ปัญหาได้จริงหรือ ? สร้างภาระมากกว่าเดิมหรือไม่ ? และอาจ
มองได้ว่านายกรัฐมนตรีต้องการให้คนไทยย้อนกลับไปใช้ชีวิต
แบบดั้งเดิมแทนการพัฒนาชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น เราเลยจะมา
ตอบคำถามเหล่านั้นว่าทำได้จริงหรือไม่ ? แก้ปัญหาได้จริงหรือ ?
และสร้างภาระให้กับประชาชนมากกว่าเดิมหรือไม่ ?

เริ่มต้นจากการเลี้ยงไก่ 2 ตัวนั้น ต้องมีเงินทุนเท่าไรจึงจะสามารถเลี้ยงได้ ขั้นแรกคือการเลือกสรรไก่ ซึ่งไก่
แต่ละสายพันธุ์จะมีราคาและอัตราการออกไข่ที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปลูกเจี๊ยบราคาอยู่ที่ประมาณตัวละ 16 บาท
แม่ไก่ที่พร้อมออกไข่ราคาอยู่ที่ประมาณตัวละ 165 - 185 บาท แต่ถ้าหากอยากลดค่าใช้จ่ายโดยการซื้อลูกเจี๊ยบก็
ต้องเสียค่าอาหารและใช้เวลาสำหรับการเลี้ยงให้โต ต่อไปคืออุปกรณ์การเลี้ยง เริ่มจากกรงและตาข่ายสำหรับ
กันสัตว์ต่าง ๆ รวมแล้วราคาประมาณ 350 - 650 บาท สำหรับอาหารของไก่นั้นขึ้นอยู่กับการเลือก เช่น อาหาร
สำเร็จรูปหรืออาหารตามธรรมชาติ รวมถึงน้ำสะอาด โดยอาหารสำเร็จรูปนั้นราคากิโลกรัมละ 15 บาท ซึ่งจะ
สามารถเลี้ยงได้ประมาณ 1 ตัว / สัปดาห์

- 13 -

โดยรวมแล้วต้นทุนขั้นต่ำในการเลี้ยงไก่ 2 ตัวนั้นอยู่ที่ประมาณ 700 บาท ยังไม่รวมอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้
สำหรับอำนวยความสะดวกในการเลี้ยงและยาต่าง ๆ สำหรับไก่ เช่น วัคซีนโรคนิวคาสเซิลและโรคหลอดลม
อักเสบ ซึ่งราคาของยาเหล่านั้นก็อยู่ที่ประมาณ 100 - 350 บาท และการเลี้ยงไก่นั้นก็ต้องมีพื้นที่เพียงพอใน
การเลี้ยง หากอยู่ห้องแถวก็อาจจะไม่สามารถเลี้ยงได้ ทำให้วิธีการนี้ไม่สามารถทำได้จริงในทุกครัวเรือนและ
ยังไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องรายจ่ายของประชาชนได้จริง เนื่องจากต่อให้จะเลี้ยงไก่ก็ยังต้องเสียค่าใช้จ่าย
อื่น ๆ สำหรับไก่เช่นเดียวกับการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงปกติ และการเลี้ยงไก่ยังอาจก่อให้เกิดเสียงดังรบกวน
เพื่อนบ้าน เป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชนมากกว่าเดิมอยู่ดี

ในเมื่อนายกฯ โชว์วิสัยทัศน์สุดล้ำมาแบบนี้ เราจึง
ลงพื้ นที่ ไปสัมภาษณ์บุ คคลที่ เกี่ยวข้องกับเรื่ องนี้อย่าง
แม่ค้าแผงไข่ในตลาด ได้ความว่า การเลี้ยงไก่นั้นไม่ง่าย
อย่างที่คิด เพราะนอกจากจะต้องมีต้นทุนในระดับหนึ่งแล้ว
ยังต้องมีความรู้ในด้านนี้ด้วยเช่นกัน อีกทั้งไก่ทุกตัวยัง
ไม่สามารถออกไข่ได้ในเวลาอันรวดเร็วและไม่สามารถ
ออกไข่ในทุกวันแบบที่คนทั่วไปคิด ทำให้ยิ่งตอกย้ำว่า
วิสัยทัศน์นี้ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง และหากใครอยากจะ
ลองวิธีนี้เพื่ อหวังลดรายจ่ายก็ต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย
ด้วยเช่นกัน

ที่มา : https://news.thaipbs.or.th/content/310729
https://today.line.me/th/v2/article/vXQNnBl

- 14 -

ปัญหาเศรษฐกิจ กับ
สุดยอดรัฐบาลไทย

" น้ำมันแพง เดือดร้อนใคร !? " เขียน : ชฎาพร
ภาพ : ชฎาพร

ราคาน้ำมันมีราคาแพง เพราะอะไร? เพราะรัฐบาล? หรือเพราะเศรษฐกิจ? ทำไมน้ำมันในตอนนี้ถึงมีราคาที่
แพงสวนทางกับรายได้ขั้นต่ำและค่าครองชีพของคนในประเทศไทยขนาดนี้

ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันได้เพิ่มขึ้นสูงมาก ซึ่งส่งผลกระทบทางตรงกับประชาชน เพราะตั้งแต่
วิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยถดถอย และรัฐบาลยังไม่สามารถที่จะพาประเทศไทยให้พ้นจากวิกฤตินี้ได้
จนมาตอนนี้ที่ประเทศไทยถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาน้ำมันราคาแพงขึ้นทำให้เกิดการประท้วงของประชาชน ทางด้าน
รัฐบาลได้ออกมาตอบนักข่าวว่า “คนเดือดร้อนเยอะไหม? เรื่องน้ำมันเนี่ย” “ในเมื่อต้นทุนน้ำมันเป็นอย่างนี้
รัฐบาลก็ใช้ทุกวิธีการเพื่อดูแล” “ให้ประชาชนช่วยกัน” ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่พอใจและวิจารณ์ในทวิตเตอร์
และเร่งให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาน้ำมันแพงที่เกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุด

แล้วสาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันถึงได้สูงขึ้นอย่างน่าตกใจในช่วงที่ผ่านมา
คืออะไร ?

เนื่ องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่ อง
จากความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
เริ่มคลี่คลาย อีกสาเหตุหนึ่งคือกลุ่มประเทศ OPEC ซึ่งเป็นผู้ส่งออก
น้ำมันรายใหญ่ได้ประกาศพยุงราคาน้ำมันดิบ หรือก็คือการลดกำลัง
การผลิตน้ำมันไม่ให้ออกสู่ตลาดโลกมากเกินไปจึงทำให้เกิดปัญหาการ
ขาดแคลนน้ำมัน และสาเหตุสุดท้ายคือความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง
ประเทศ โดยเฉพาะกรณีล่าสุดระหว่างรัสเซียและพันธมิตรของยูเครน
ถ้าหากเกิดสงครามก็จะยิ่งดันราคาพลังงานโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก เพราะ
รัสเซียเป็นประเทศส่งออกพลังงานมากเป็นอันดับ 2 ของโลก ทั้งหมดนี้
ส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทย
ปรับตัวสูงขึ้นตาม

ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะสามารถผลิตน้ำมันดิบได้เอง แต่ปริมาณ
การผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ จึงทำให้
ประเทศไทยต้อง “นำเข้า” น้ำมันเป็นหลัก ซึ่งเมื่อน้ำมันมีราคาที่สูงขึ้น
ผู้ นำ เ ข้ า น้ำ มั น ดิ บ เ ป็ น ห ลั ก อ ย่ า ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย จึ ง ไ ด้ รั บ ผ ล ก ร ะ ท บ
เป็นอย่างมาก

- 15 -

ประชาชนเดือดร้อน เศรษฐกิจพัง ราคาน้ำมันจะแพงไปจนถึงเมื่อไหร่ ?




ในช่วงนี้น้ำมันมีราคาสูงมาก ทั้งในตลาดโลกและใน จากรายงานของ ttb analytics ได้ประเมินว่า ราคา
ประเทศไทย ทำให้หลายคนเกิดความกังวลว่าจะกระทบ น้ำมันหลังเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 แรงกดดันด้าน
ต่อชีวิตความเป็นอยู่ เพราะน้ำมันคือต้นทุนของการผลิต ราคาพลังงานจะคลี่คลายลงเล็กน้อยแต่ยังคงมีอยู่อย่าง
สินค้าและบริการหลายประเภท ถ้าน้ำมันพุ่งสูงขึ้นย่อม ต่อเนื่ องไปจนกว่ากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันจะสามารถบริหาร
กระทบกับเศรษฐกิจไทยและค่าครองชีพประชาชนทั้ง จัดการทยอยเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งจะ
ทางตรงและทางอ้อม รวมถึงภาคธุรกิจต่าง ๆ ที่อาจ ทำให้สถานการณ์น้ำมันแพงผ่อนลงได้บ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
ต้องมีต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้สินค้าอุปโภค บริโภค น้ำมันแพงหรือถูกขึ้นอยู่กับทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน
แพงมากขึ้นไปอีกเท่าตัว และราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมีผล แล้วแต่สถานการณ์โลก
โดยตรงต่ออัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากน้ำมันเป็นต้นทุนหลัก
ในการขนส่ง การผลิตสินค้าต่าง ๆ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้
ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น จนนำไปสู่เงินเฟ้อได้ ซึ่งตอนนี้
ประเทศไทยอัตราเงินเฟ้อพุ่ง 5.28% สูงสุดในรอบ 13 ปี

การแก้ไขปัญหาของรัฐบาล



ประเทศไทยได้จัดตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) โดยมีกองทุนน้ำมันเป็นกลไกสำคัญเพื่อ
ช่วยพยุงราคาไว้ โดยทำให้ราคาน้ำมันในประเทศไม่สูงไปมากกว่านี้ ทางด้านของภาครัฐได้แก้ปัญหาชั่วคราวด้วยการลด
ภาษีสรรพสามิตที่เก็บเพิ่มเติมจากราคาน้ำมัน และรัฐบาลมีแนวทางแก้ไขปัญหาที่ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันซึ่งติดลบ
อยู่แล้วในปัจจุบัน แต่ทั้งสองแนวทางเป็นการแก้ไขปัญหาระยะสั้น และปัญหาอีกหลายเรื่องยังคงไม่ได้ถูกแก้ไข ไม่ว่า
จะเป็นเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่มาพร้อมกับราคาน้ำมันนั้นไม่ได้ลดลง รวมถึงเรื่องสำคัญคือวินัยการคลังที่รัฐบาลปัจจุบัน
ได้เน้นย้ำมาโดยตลอด

ทั้งนี้รัฐบาลยังไม่มีมาตรการที่จะช่วยเหลือประชาชนอย่างแน่ชัด ทำให้ฝ่ายค้านและประชาชนออกมาเรียงร้องให้
รัฐบาลเร่งออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือ และพยุงค่าครองชีพให้กับชาวนา เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน คนหาเช้ากินค่ำและผู้มี
รายได้น้อยโดยด่วน โดยประเทศไทยเผชิญผลกระทบจากโควิด-19 ก็ย่ำแย่อยู่แล้ว และการที่น้ำมันราคาขยับขึ้นสูงยิ่ง
ทำให้เศรษฐกิจของประเทศลำบากมากขึ้นเนื่องด้วยค่าขนส่ง และวัตถุดิบต่าง ๆ รวมถึงราคาพลังงานที่สูงยังสะท้อน
ไปยังค่าไฟที่เพิ่มขึ้น แล้วทั้งหมดนี้ยังกดดันดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปหรือเงินเฟ้ออีกด้วย

ปัญหาราคาน้ำมันแพงปี 2565 จะกลายเป็นวิกฤตของประชาชนอีกครั้งหรือไม่ ก็ต้องรอดูสถานการณ์โลกกันต่อไป
หากโชคดีประเทศไทยอาจจะรอดพ้นวิกฤตนี้ไปได้...



- 16 -

สองขั้ว กับ

สองข้าง

" ศึกชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. อีกครั้งในรอบ 9 ปี "

เขียน : ศิรภัสสร ภาพ : ศิรภัสสร

ย้อนรอยการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งสุดท้าย เมื่อปี 2556
โดย ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์ได้ครอง
ตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ไป แต่ผู้ที่นั่งเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม . คนปัจจุบัน
กลับเป็น พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก
คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติในปี 2559 ดังนั้น
การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในวันที่ 22 พ.ค. 2565 นี้ จะเป็นการ
เข้าคูหากาบัตรเลือกตั้งผู้ว่าฯ ในรอบ 9 ปีของชาวกทม.

ในสนามการเลือกตั้งครั้งนี้มีรายชื่อว่าที่ผู้สมัครจากหลายขั้ว
มารวมตัวกัน ทั้งผู้สมัครอิสระ และพรรคการเมืองสนับสนุน
หากรวมรายชื่อว่าที่ผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ แล้ว ผู้ที่ถูกพูดถึงและ
เป็นที่น่าจับตาคงไม่พ้น 2 รายจากพรรคการเมืองและ 3 รายจาก
สังกัดอิสระ ถึงแม้จะมีหลายขั้วในการเลือกตั้งนี้ แต่ว่าที่ผู้สมัคร
บางคนกลับมีฐานเสียงกลุ่มเดียวกัน จึงมีโอกาสสูงในการตัด
คะแนนเสียงกันเอง

ว่าที่ผู้สมัครสังกัดอิสระที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคงไม่พ้นอดีตผู้ถูกขนานนามว่า “รัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี”

อย่าง ดร. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สังกัดพรรคเพื่อไทย และ

ตามผลสำรวจของนิด้าโพล ดร. ชัชชาติก็ยังคงมีแนวโน้มสูงเป็นอันดับ 1 ในการได้นั่งเก้าอี้เป็นผู้ว่าฯ กทม. คนต่อไป
นอกจากการเปิดตัวดร. ชัชชาติ ในฐานะผู้ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. สังกัดอิสระแล้ว ยังมาพร้อมกับการเปิดตัว

200 นโยบายกับแนวคิด “กรุงเทพฯ 9 ดี" ผ่านทางเว็บไซต์ www.chadchart.com อีกด้วย เพื่อให้กรุงเทพฯ

เป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคน

- 17 -

ด้านพรรคก้าวไกลได้ส่งตัวแทน วิโรจน์ ลักขณาอดิศร พรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ได้ส่งตัวแทน
ล ง ส น า ม เ ลื อ ก ตั้ง ผู้ว่า ฯ ก ท ม . ด้ ว ย เ ช่น กั น โ ด ย
อดีตส.ส. บัญชีรายชื่อ เป็นผู้ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ภายใต้ ดร. สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือที่รู้จักกันในนาม ดร. เอ้
การนำเสนอแคมเปญ “หมดเวลาซุกปัญหาไว้ใต้พรม เป็นตัวแทนผู้ลงสมัครผู้ว่าฯ ในครั้งนี้ ซึ่งมาพร้อมกับ
ถึงเวลาเลือกผู้ว่าฯ ที่พร้อมชนเพื่อคนกรุงเทพฯ” เพื่อ 5 นโยบายหลัก “เปลี่ยนกรุงเทพฯ เราทำได้” ได้แก่
การแก้ไขปปัญหาที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ การยกระดับ
เป็นการแสดงจุดยืนในการส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ และนโยบาย คุณภาพการศึ กษา การพัฒนาทางการแพทย์และ
สาธารณสุข การจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ และ
การทำงานที่พร้อมชนทุกปัญหาเพื่ อปกป้องผลประโยชน์ การเตรียมรับมือปัญหากรุงเทพฯ จมจากสถานการณ์
โลกร้อนที่ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
ของประชาชน ดังนั้นนโยบายหลัก 10 ด้านของวิโรจน์
จึงครอบคลุมปัญหาเล็กใหญ่ของชาวกรุง โดยเฉพาะ 3+1 แม้นโยบายหลักดังกล่าวจะเป็นที่ตอบโจทย์ชาว
กทม. แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับ
ซึ่งเป็นนโยบายทางด้านสาธารณสุขเพื่อผู้สูงอายุในชุมชน ความนิยมลดลง และฐานเสียงไม่มั่นคงเหมือนเช่นเดิม
ในอดีต ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงระยะเวลาหลังเริ่มการหาเสียง
ทั้งการแสดงทัศนคติ และแนวคิดแบบคนรุ่นใหม่ของ ของ ดร. เอ้ เกิดกระแสตีกลับจากสังคมในหลายประเด็น
วิโรจน์และพรรคก้าวไกลนั้น เป็นส่วนสำคัญที่เข้ามาคว้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อฐานเสียงที่ไม่มั่นคง
ฐานเสียงให้กับพรรคน้องใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็น ทำให้เกิดความสั่นคลอนยิ่งขึ้น

ประเด็นสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ เนื่ องจากกลุ่ม
เป้าหมายฐานเสียงหลักมีบางส่วนที่ทับซ้อนกับชัชชาติ

ด้วยเช่นกัน

ทางด้าน สกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าฯ กทม. ควบตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ได้ประกาศ
ร่วมลงสนามชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ ในนามอิสระ โดยมาพร้อมกับสโลแกน “กรุงเทพฯ ดีกว่านี้ได้” งานแถลงข่าว
นโยบายอย่าง “ถึงเวลาซะธี” รวมถึง www.กทมช่วยบอกธี.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์สำหรับรับฟังความคิดเห็น
ชาวกรุงเทพฯ ต่างเป็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับนโยบายของอดีตรองผู้ว่าฯ ในสนามการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ครั้งนี้

อย่างไรก็ดี จากเส้นทางการเมืองที่ผ่านมาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภาพกลุ่มฐานเสียงหลักของสกลธีเป็น
ขั้วตรงข้ามกับชัชชาติอย่างชัดเจน ในทางกลับกัน หากเปรียบเทียบคะแนนความนิยมกับสุชัชวีร์แล้ว ฐานเสียง
กลุ่มเดียวกันของทั้งสอง อาจถูกหารสัดส่วนร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

- 18 -

ปิดท้ายด้วย รสนา โตสิตระกูล ว่าที่ผู้ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ในนามอิสระ โดยประกาศ
เปิดตัวตั้งแต่ปี 2562 ประเด็นการลงสมัครสังกัดอิสระถูกนำมาเน้นย้ำว่าอิสระตัวจริง
ปราศจากพรรคการเมืองสนับสนุน ซึ่งตลอดการทำงานของรสนาปรากฏผลงานหลายเรื่อง
โดยเฉพาะการทำงานด้านสุขภาพและสิทธิผู้บริโภค ในด้านของนโยบายมีการยก
การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนเป็นแก่นหลัก ภายใต้สโลแกน “กทม. มีทางออก
บอกรสนา” ผ่านทางเฟซบุ๊กเพื่อรับฟังความคิดเห็น โดยนโยบายที่เปิดตัวมีความเกี่ยวข้อง
กับสิทธิและความเป็นอยู่ของชาวกทม.

ม้านอกสายตา คือคำนิยามของรสนาจากบรรดาสื่อ ด้วยความเป็นอิสระอย่างแท้จริง
จึงยากต่อการคาดเดาฐานเสียงหลักในฐานะผู้ลงสมัครในครั้งนี้ มีเพียงสิ่งเดียวที่จะชี้ถึง
เส้นทางของรสนาในสนามการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ได้ คือกระแสตอบรับจากประชาชนเพียงเท่านั้น

เป็นที่น่าติดตามกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ 11 และเป็นการเปลี่ยนถ่ายอำนาจ
ในรอบ 5 ปี เสียงข้างมากและอนาคตของชาวกรุงเทพฯ จะอยู่ในมือของใคร? ใครจะได้เก้าอี้
ผู้ว่าฯ กทม. ไปครองจากการเลือกตั้งครั้งนี้? คำถามที่หลายคนต่างเฝ้ารอคำตอบได้
ในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ และไม่แน่ว่าช่วงรับสมัครเลือกตั้งอาจมีผู้สมัครคนใหม่เพิ่มเข้ามา
ในเส้นทางการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ให้น่าจับตาเป็นพิเศษอีกด้วย

ที่มา : https://www.prachachat.net/politics/news
https://www.matichon.co.th/politics/news_3235302

- 19 -



MAGAZINE


Click to View FlipBook Version