The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ผ้าหม้อห้อม ห้อง 2 สำเร็จ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 61181550116, 2023-03-17 10:23:38

ผ้าหม้อห้อม ห้อง 2 สำเร็จ

ผ้าหม้อห้อม ห้อง 2 สำเร็จ

ก ค ำน ำ หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา คติชนวิทยา หลักสูตรครุศาสตร์ บัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย โดยในเนื้อหาจะเกี่ยวกับ การท าผ้าหม้อห้อม ทั้ง ประวัติผู้ให้ข้อมูลและสถานที่ตั้ง ประวัติความเป็นมาของต้นห้อม ขั้นตอนการท า น้ าย้อม ขั้นตอนการท าผ้าหม้อห้อมและการน าไปแปรรูปออกแบบแฟชั่นให้มีความ ทันสมัย เพื่อให้ผู้ที่ศึกษาได้รับความรู้เกี่ยวกับการท าผ้าหม้อห้อมในด้านต่างๆ โดยได้ ผ่านแหล่งข้อมูลต่างๆ ผู้จัดท าขอขอบพระคุณ อาจารย์ในรายวิชาที่ได้ให้ค าปรึกษาและค าแนะน า ในการจัดท าหนังสือเล่มนี้ และขอขอบคุณ บุคคลทุกท่านที่ได้ให้ข้อมูลในส่วนต่างๆ ผู้จัดท าคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือข้อมูลต่างๆในเล่มนี้ จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ต่อผู้ที่สนใจศึกษาเรื่องการท าผ้าหม้อห้อมเป็นอย่างดี คณะผู้จัดท า


ข สำรบัญ บทที่ หน้า ค ำน ำ ก สำรบัญ ข บทที่ 1 ประวัติผู้ให้ข้อมูลและสถำนที่ตั้ง 1 บทที่ 2 ประวัติควำมเป็นมำของต้นห้อม 5 - ลักษณะของต้นห้อม 6 - สรรพคุณทางยาของต้นห้อม 12 บทที่ 3 ขั้นตอนกำรท ำน้ ำย้อม 13 บทที่ 4 กำรแปรรูป 22 - แฟชั่นในอดีตและเครื่องแต่งกายพื้นเมือง 23 - แฟชั่นในการแต่งกายผ้าหม้อในปัจจุบัน 25 - งานประเพณีที่นิยมใส่หม้อห้อม 26 - ความหมายและลักษณะของแต่ละลวดลาย 28 บทที่ 5 สรุป 40 บรรณำนุกรม 46


1 บทที่ 1 ประวัติผู้ให้ข้อมูลและสถำนที่ตั้ง คุณสว่าง สีตื้อ สัญชาติไทย เชื้อชาติไทย เกิดเมื่อวันที่17 พฤศจิกายน พ.ศ.2498 วุฒิกำรศึกษำสูงสุด : ประถมศึกษาปีที่ 4 ที่อยู่ปัจจุบัน : 9/1 หมู่ 5 บ้านนาคูหา ต าบลสวนเขื่อน อ าเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ที่อยู่สถำนที่ท ำงำน : 9/1 หมู่ 5 บ้านนาคูหา ต าบาลสวนเขื่อน อ าเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ อำชีพ : ท าสวนกาแฟ เมี่ยง ชา ห้อม วิธีกำรเรียนรู้ภูมิปัญญำ ในสมัยบรรพบุรุษได้มีการปลูกต้นห้อม ซึ่งเป็นยาพื้นบ้านล้านนา โดยใช้ใบน ามาต้มน้ าดื่ม แก้ไข้ และน ารากและใบมาเป็นยาพื้นบ้าน โดยน ามาต้มแก้ปวดศีรษะเนื่องจากอาการหวัด แก้ อักเสบ แก้ตาอักสบ ต่อมาคุณสว่าง สีตื้อ ได้มีการสืบทอดภูมิปัญญาเรื่องห้อม ต่อจากบรรพบุรุษ กำรถ่ำยทอดภูมิปัญญำ แนะน าให้ชาวบ้านปลูกห้อมเพื่อน าห้อมมาท าน้ าห้อมดิบไปประกอบอาชีพ คุณสว่าง สีตื้อ ได้ถ่ายทอดวิธีการปลูก และท าน้ าห้อมดิบให้แก่ผู้ที่สนใจ และหน่วยงานต่าง ๆ ประมาณ 4-5 ครั้ง ต่อปีทั้งยังมีการเผยแพร่ให้มีการปลูกต้นห้อมเพิ่มภายในพื้นที่บ้านนาคูหาเพราะบ้านนาคูหามี ภูมิอากาศที่เหมาะแก่การปลูกต้นห้อม


2 คุณยุพิน สายส าเภา สัญชาติ ไทย เชื้อชาติ ไทย วันเกิด 26 มิถุนายน พ.ศ.2506 ที่อยู่ปัจจุบัน : 147/2 บ้านทุ่งโฮ้ง หมู่ 5 ต าบลทุ่งโฮ้ง อ าเภอเมืองแพร่ วุฒิกำรศึกษำสูงสุด : ประกาศนียบัตรวิชาชีพอาชีพค้าขาย ที่อยู่สถำนที่ท ำงำน : บ้านเลขที่ 268/5 บ้านทุ่งโฮ้ง หมู่ 5 ต าบลทุ่งโฮ้ง อ าเภอเมืองแพร่ จังหวัด แพร่ 54000 ผลงำน/เกียรติประวัติ ได้รับมาตรฐาน มภช. มาตรฐานผลิตภัณฑ์ในชุมชนและผ้าทอมือ ควำมรู้ควำมสำมำรถ/ควำมเชี่ยวชำญ มีความรู้สามารถในการท าน้ าครามเพื่อน ามาย้อมเส้นไหมและมีความเชี่ยวชาญในด้านการทอผ้า เป็นอย่างดี วิธีกำรเรียนรู้ภูมิปัญญำ เรียนรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาและสืบสานการท าน้ าครามจากบรรพบุรุษ จนกระทั่งเกิดความรู้ ความ เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการทอผ้าและน าภูมิปัญญานั้นมาถ่ายทอดแก่ผู้คนในชุมชนเพื่อให้ภูมิปัญญานั้น คงอยู่สืบไป กำรถ่ำยทอดภูมิปัญญำ การถ่ายทอดความรู้เรื่อง การท าน้ าคราม การย้อมเส้นไหม และการทอผ้า โดยถ่ายทอดวิธีการ สอนและลงการมือปฏิบัติ โดยถ่ายทอดให้กับชาวบ้าน คนในชุมชน


3 คุณกฤษณะ วัลลภาชัย ที่อยู่ปัจจุบัน 302/3 บ้านทุ่งโฮ้ง หมู่ที่ 5 ต าบลทุ่งโฮ้ง อ าเภอเมือง จังหวัดแพร่ หมำยเลขโทรศัพท์054-060081 และ 098-796-3992 อำชีพปัจจุบัน เจ้าของธุรกิจร้านหม้อห้อมกฤษณะ จากการสัมภาษณ์สามารถสรุปได้ดังนี้“เดิมในทัศนคติของคนทั่วไปจะมอง ผ้าหม้อห้อมว่าเป็นเพียงชุดชาวนาที่ใช้ใส่เวลาไปท านา ด้วยรูปแบบที่ไม่ทันสมัย ดู เรียบง่ายและมีเพียงสีเดียวคือ สีน้ าเงินเข้ม ท าให้การน าไปประยุกต์ใช้ใส่ในบริบท อื่น ๆ สามารถท าได้น้อยหรือท าได้ยาก ซึ่งหากน ารูปแบบการผลิตผ้าหม้อห้อมแบบ ธรรมชาติดั้งเดิมมา ผสมผสานกับเทคนิคกระบวนการสมัยใหม่ ๆ ก็จะช่วยให้ผ้าหม้อ ห้อมมีความร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งใน ปัจจุบันนี้ก็ได้มีผู้ผลิตหลากหลายราย พยายาม ที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผ้าหม้อห้อมให้มีความทันสมัย และใช้สอยได้มากกว่าการ เป็นเพียงเครื่องแต่งกายในโอกาสส าคัญ ๆ ทั้งที่เป็น ของที่ระลึก เครื่องประดับ ตกแต่งอาคารสถานที่ เครื่องนอน ผ้าม่าน ซองใส่ปากกา กระเป๋าเงิน เป็นต้น


4 (ภาพผู้ให้ข้อมูล) ที่มา : คณะผู้จัด


5 บทที่ 2 ประวัติควำมเป็นมำของต้นห้อม ห้อมหรือฮ่อม ค าว่า “หม้อห้อม” เป็นภาษาพื้นเมืองทาง ภาคเหนือ เกิดจากรวมค าว่า “หม้อกับห้อม” ซึ่งค าว่าหม้อ หมายถึง ภาชนะอย่างหนึ่งที่ใช้บรรจุน้ าหรือของเหลวต่าง ๆ ส่วนค าว่าห้อม หมายถึง พืชล้มลุกชนิดหนึ่งในตระกูล คราม เรียกว่า ต้นห้อม ค าว่า “หม้อห้อม” สามารถเขียน ได้หลายแบบ เช่น ม่อฮ่อม ม่อห้อม หม้อฮ่อม หม้อห้อม ทุกค าล้วนมีความหมายที่เหมือนกัน ชื่ออื่น ๆ : ฮ่อมเมือง, ครามหลอย, ครามเหล็กขูด, ใบเบิก ต้นก าเนิด : พบในป่าธรรมชาติของภาคเหนือตอนบน ชื่อวิทยาศาสตร์ : Baphicacanthus cusia Brem. ชื่อวงศ์ : ACANTHACEAE ต้นห้อม ถ่ายเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ที่มา : คณะผู้จัด


6 ผ้ำหม้อห้อม เป็นผ้าพื้นเมืองที่ส าคัญของจังหวัดแพร่ และชาวบ้านต าบลทุ่งโฮ้ง มีการ ใช้ผ้าฝ้ายที่ได้จากการทอย้อมด้วยสีครามที่ได้จากต้นห้อมหรือต้นคราม จะได้ผ้าสี เดียวกันตลอดทั้งผืนผ้าหม้อห้อมเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความงามทางวัฒนธรรม การแต่งกายของคนเมืองแพร่อย่างแท้จริง บ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ ร่วมถึงชาติ พันธุ์ที่มีประวัติศาสตร์ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษชาวไทยพวน บ้านทุ่งโฮ้งมาอย่าง ยาวนาน ผ้าหม้อฮ่อมนั้นได้รับอิทธิพลมาจากชาวไทยพวนที่อพยพมาจากแคว้นเชียง ขวางหรือบริเวณที่ราบสูงในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมีอาณา เขตติดต่อกับญวน ลักษณะของห้อมหรือฮ่อม ต้น เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี ล าต้นมีความสูง 0.5-1.5 เมตร ล าต้นตั้งตรง ล าต้น เกลี้ยงเป็นข้อปล้องคล้ายขาไก่แตกกิ่งก้านตามข้อ ล าต้นกลม ห้อม สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดใบใหญ่ จะมีลักษณะใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว การจัดระเบียบของใบที่ติดอยู่ตามล าต้นเป็นแบบตรงกันข้ามตั้งฉากกัน โดยแต่ละคู่ ของใบในข้อหนึ่งอยู่ในแนวตั้งฉากกับคู่ของใบอีกข้อหนึ่ง ก้านใบยาว ประมาณ 0.5- 1.5 เซนติเมตร ใบ แผ่นใบมีลักษณะเป็นรูปไข่กลับ ขนาดใบกว้าง ประมาณ 6.2-8.3 เซนติเมตร ยาว 18.2-24 เซนติเมตร การจัดเรียงเส้นใบเป็นแบบร่างแหรูปขนนก รูปร่างของใบเป็น แบบใบหอกกลับ ปลายใบแหลม โคนใบเรียวแหลม ขอบใบเป็นหยักฟันเลื่อยละเอียด ส่วนห้อมชนิดใบเล็ก มีลักษณะของใบคล้ายกับชนิดใบใหญ่ แต่ขนาดจะเล็กกว่า ใบ ด้านบนสีเขียวมัน ใบแก่หรืออ่อนเมื่อถูกกด หรือทุบทิ้งไว้กลายเป็นสีด าเส้นแขนงใบ เป็นร่างแหมีจ านวนเส้นใบ 7-9 คู่ดอก


7 ดอก ดอกสีม่วง ออกเป็นช่อออกตามซอกใบและปลายกิ่งเป็นช่อแยกแขนง ช่อดอก ยาว 1-6 ซม. ก้านช่อดอกยาว 1-12 ซม. มีใบประดับรองรับกลีบเลี้ยง ปลายแยก 5 แฉก แต่ละแฉกยาว 0.8-1.5 มม. มีขนนุ่มปกคลุม กลีบดอกเชื่อมติดกันรูป ทรงกระบอกยาว 3.5-5 ซม.ปากกว้าง 3 มม. ปลายกลีบดอกแยก 4 แฉก แต่ละแฉก มีขนาด 9 X 9 มม.สีม่วง ขนาดแตกต่างกันเล็กน้อย ปลายกลีบโค้งเล็กน้อยด้านนอก เกลี้ยง เกสรเพศผู้ 4 อัน ก้านชูอับเรณูยาว ประมาณ 7 มม. ผลผลแห้งแบบแคปซูลขนาด 1.5-2.2 ซม. เกลี้ยง 4 เมล็ด เมื่อแก่จะเป็นสีน้ าตาลแตก ง่าย ออกดอกในช่วง เดือนกรกฎาคม-กุมภาพันธ์ ติดผลในช่วงเดือน ธันวาคม – กุมภาพันธ์ กำรขยำยพันธุ์ของห้อมหรือฮ่อม การใช้เมล็ด ปักช ากิ่ง และการช าราก ธำตุอำหำรหลักที่ห้อมหรือฮ่อมต้องกำร - ต้นฮ่อมจะเติบโตได้ดีในที่ที่มีแดดร าไร มีความชุ่มชื้นสูง และน้ าซึมตลอดเวลา ประโยชน์ของห้อมหรือฮ่อม สมพร สมประภาส (2557: 51) กล่าวถึง คุณค่าทางภูมิปัญญาของผ้าหม้อ ห้อม ไว้ว่า จากการศึกษาจากเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการย้อมผ้าจะพบว่าบรรพบุรุษ ของคนไทยในอดีต มีภูมิความรู้ ที่ลึกซึ้ง จนสั่งสมและสืบทอดมาเป็นภูมิปัญญาที่ น่าสนใจ นั่นคือ การเลือกสรรสีย้อม และเนื้อผ้า โดยการ เลือกใช้ต้นฮ่อม หรือต้น


8 ครามมาย้อมสีและเป็นสีย้อมที่ใช้กันแพร่หลายในอดีตจนถึงปัจจุบัน และ เป็นผ้าที่ มีการผลิตและใช้สอยมากกว่าผ้าชนิดอื่น เพราะใช้ท าเป็นเครื่องนุ่งห่มใน ชีวิตประจ าวัน ผ้าหม้อห้อมหรือผ้าย้อมครามนั้น จะมีกลิ่นครามติดอยู่ผ้าเหล่านี้ไม่ค่อยมี แมลงมากัดกินเนื้อผ้า ให้เสียหาย เพราะแมลงไม่ชอบกลิ่นของครามนั่นเอง เมื่อ พิจารณาแล้วจะเห็นว่า บรรพชนได้คิดเลือกสรร วัสดุในการย้อมสีจากธรรมชาติที่มี คุณสมบัติในการป้องกันแมลง กลิ่นของฮ่อมหรือครามนั้นหอมลึกลับ และปลอดพิษ ส าหรับคน แต่แมลงจะไม่ชอบกลิ่นนี้จึงไม่มาเข้าใกล้หรือกัดกินผ้าที่ย้อมด้วยฮ่อมหรือ คราม อีกประการหนึ่ง คือ สีครามเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาออกซิไดซ์ของเนื้อสีของน้ า คราม กับออกซิเจนในอากาศ ผู้ท าหรือผู้ย้อมผ้าจึงเลือกที่จะย้อมสีผ้าในเวลากลางวัน เพราะพืชรอบตัวเราคายออกซิเจนออกมาใน เวลาช่วงกลางวันนี้บ่อหมักฮ่อมหรือ ครามจึงมักจะอยู่ในที่อากาศถ่ายเทสะดวกมีต้นไม้พุ่มที่มีใบเขียวปลูกอยู่รอบ ๆ วัฒนา ดวงเดือน (2559: 34) ได้กล่าวว่า คุณค่าความส าคัญของหม้อห้อม มี มากมายหลาย ประการ ดังนี้คือ 1. ผ้าหม้อห้อม ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของจังหวัดแพร่ ที่ได้รับการสืบทอดต่อกันมา จากบรรพบุรุษสู่ลูกหลาน ซึ่งแต่เดิมจะผลิตเพื่อใช้ในครอบครัวมาจนถึงปัจจุบัน ที่ ผลิตมากขึ้นจนสามารถ ผลิตออกจ าหน่ายเป็นอาชีพ ที่ช่วยสร้างรายได้แก่ครอบครัว และชุมชน ตลอดจนสร้างความเป็นปึกแผ่น มั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับท้องถิ่น 2. สร้างความภาคภูมิใจแก่คนในชุมชน ปัจจุบันผ้าหม้อห้อม กลายเป็นสัญลักษณ์และ สินค้าประจ าจังหวัดแพร่ ที่คนทั่วไปรู้จักเป็นอย่างดีอันน ามาซึ่งชื่อเสียงและความ ภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ ของคนในชุมชน 3. สร้างความสมดุลระหว่างคนกับสังคมและธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน เนื่องจาก


9 กรรมวิธี การผลิตที่ใช้กระบวนการทางธรรมชาติด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติจึงไม่ กระทบต่อสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติก่อให้เกิดความสมดุลระหว่างคนกับสังคมและ ธรรมชาติได้อย่างเหมาะสม และยั่งยืน 4. ก่อให้เกิดการรวมกลุ่มสมาชิกก่อตั้งเป็นกลุ่มอาชีพ และสมาชิกในกลุ่มหรือใน ชุมชน ได้ร่วมคิดร่วมท ากิจกรรมที่เป็นประโยชน์ก่อให้เกิดความสามัคคีในชุมชน ตนเอง ร่วมมือกันพัฒนา ศักยภาพจนเป็นกลไกหลักในการท างานกับชุมชน กล่าวได้ ว่าการผ้าหม้อห้อม เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่มีคุณค่าควรแก่การศึกษา อนุรักษ์ ถ่ายทอด และสืบทอดไว้ให้เป็นสมบัติของชาวจังหวัดแพร่และคนไทยทั้งชาติซึ่ง สอดคล้องกับที่ พรทิพย์ธนบูรณ์ (2558: 32) ที่ได้กล่าวว่า การอนุรักษ์การผลิตผ้าหม้อห้อม เพื่อไว้ใช้สอยกันเองในครอบครัว สังคม ท าให้ เกิดความภาคภูมิใจ จนเมื่อเกิดการ แลกเปลี่ยนมาสู่การผลิตเพื่อจ าหน่าย โดยมีกระแสการอนุรักษ์ผ้าย้อมสีธรรมชาติ เป็นแรงจูงใจ ท าให้สามารถผลิตเป็นอาชีพที่สร้างรายได้และเศรษฐกิจแก่ชุมชน ท้องถิ่น เกิดการบริหาร จัดการในหลาย ๆ ด้าน เพื่อให้มีระบบในการดูแลภูมิปัญญา มากขึ้น เช่น การจัดตั้งเพื่อรวมกลุ่มกันเป็น สมาคมหรือชมรม ในการศึกษาวิจัย เกี่ยวกับผ้าหม้อห้อม การจัดหาวัตถุดิบ ตลอดจนการลงทุนและ การจ าหน่าย เป็นต้น ดังนั้นจึงควรอนุรักษ์ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้สืบทอด ทั้งเรื่องของขั้นตอนกระบวนการ ผลิตแบบ ดั้งเดิม รวมถึงการประยุกต์และพัฒนารูปแบบต่าง ๆ ให้เป็นไปตามความ ต้องการของตลาด โดยไม่สูญเสีย ความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของผ้าหม้อห้อม ซึ่งจะ เป็นการอนุรักษ์ส่งเสริม ถ่ายทอด และสืบทอด ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีคุณค่านี้ให้เป็น มรดกทางวัฒนธรรมสืบไป อันจะก่อให้เกิดความรัก ความหวงแหน และภาคภูมิใจใน


10 เอกลักษณ์ของชุมชนตนเอง อีกทั้งยังสามารถน ามาประกอบเป็นอาชีพเพื่อเสริมสร้าง รายได้ให้กับครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติได้อย่างยั่งยืน (สุนทรีภากรรัตน์, 2559: 51) ต้นห้อม ถ่ายเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ที่มา : คณะผู้จัด ห้อมเปียก ที่มา : แพร่รีวิว (เข้าถึงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565)


11 ห้อม เป็นไม้พุ่มที่พบในป่าธรรมชาติของภาคเหนือตอนบน ชาวบ้านน ามาผลิตเป็น วัตถุดิบส าหรับย้อมผ้าหม้อห้อมเป็นเอกลักษณ์ ต้นห้อมเป็นไม้พุ่มที่พบในป่า ธรรมชาติที่ชุ่มชื้นของภาคเหนือตอนบน เดิมชาวบ้านจะเก็บล าต้นและใบห้อมจากป่า มาใช้ประโยชน์แต่ในปัจจุบันพื้นที่ป่าลดลงท าให้ห้อมที่ขึ้นในธรรมชาติเหลือน้อยลง และอาจสูญพันธุ์ในอนาคตได้ในขณะที่การผลิตเสื้อผ้า หม้อห้อมเพิ่มมากขึ้น ชาวบ้านจึงขาด วัตถุดิบส าหรับย้อมผ้า จึงต้องน าเข้า ห้อมสดจากแหล่งอื่น อาทิเช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือพืชชนิด อื่นแทน เช่น คราม ด้วยเหตุนี้การปลูกต้นฮ่อมยังมีข้อจ ากัดในสภาพพื้นที่ปลูก จ าเป็นที่ต้องปลูกในพื้นที่สูงตามภูเขาที่มีอากาศเย็นตลอดทั้งปีอีกทั้งผู้ปลูกขาดความ เข้าใจต่อการพัฒนาหาแหล่งปลูกที่เหมาะสมจนท าให้การเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่เพียงพอ ต่อความต้องการในอุตสาหกรรมการผลิตผ้าหม้อห้อม จากความต้องการผ้าหม้อห้อม ที่มีเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ปริมาณต้นห้อมในธรรมชาติลดน้อยลง ท าให้ไม่สอดคล้อง กับการค้าขายเสื้อผ้าหม้อห้อม โดยเฉพาะวัตถุดิบจากต้นห้อมที่น ามาใช้ย้อมผ้า ท าให้ มีการน าครามหรือสารเคมีมาใช้ย้อมผ้าทดแทนห้อม ส่งผลกระทบต่อผู้สวมใส่ที่แพ้ สารเคมี ส่วนน้ าย้อมที่เหลือจากการย้อมผ้าปล่อยทิ้งไปในธรรมชาติ ท าให้ สภาพแวดล้อม ดิน น้ าใต้ดิน เสื่อมคุณภาพ ผ้าหม้อห้อม ที่มา : https://www.thaipower.com (เข้าถึงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565)


12 ชื้น นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาให้มีผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบ คือ ผ้ายย้อมลาย ฟ้าผืน ผ้าย้อมลายมัดย้อม ผ้าห่มย้อมลายมัดย้อม เสื้อผ้าซาฟารีแขนสูท เสื้อสตรี ส าเร็จรูป หมอนอิงฉลุ และของใช้ของที่ระลึก จากการรายงานพบว่าช่วงเดือน มกราคม ถึง สิงหาคม ปี 2561 ประเทศไทยส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มซึ่งมีมูลค่า มากถึง 643.65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แบ่งออกเป็นสิ่งทอมูลค่าการส่งออก 415.37 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเครื่องนุ่งห่มมูลค่าการส่งออก 228.28 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดส่งออกที่ส าคัญได้แก่ ภูมิภาคอาเซียน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และ สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามล าดับ และประเทศส่งออกที่ส าคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน เวียดนาม และอินโดนีเซียตามล าดับ สรรพคุณทำงยำของห้อมหรือฮ่อม - รากและใบ ต้มน้ าดื่มแก้ไข้ เจ็บคอ หลอดลม อักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ - ใบและล าต้น น าไปต้มดื่มแก้อาการท้องร่วง - ใบและยอดอ่อนต าใส่ข้าวสารใช้ประคบรักษาพิษไข้ของเด็กและผู้ใหญ่ คุณค่ำทำงโภชนำกำรของห้อมหรือฮ่อม (กำรแปรรูปของห้อมหรือฮ่อม) - เป็นส่วนผสมของสบู่ สีย้อมผม แชมพูสระผม - อุตสาหกรรมสิ่งทักทอ และเครื่องนุ่งห่ม


13 บทที่ 3 ขั้นตอนกำรท ำน้ ำย้อม ขั้นตอนกำรปลูกและดูแลรักษำ สามารถท าได้โดยการไถเตรียมดิน 2 ครั้ง ครั้งแรก ไถตากดินทิ้งไว้ประมาณ 2 สัปดาห์ ครั้งที่สอง ไถผสมปุ๋ยคอกมูลวัวผสมกับดินในอัตราส่วน 1 ตัน ต่อไร่ พร้อม กับขึ้นแปลงภายใต้โรงเรือนที่พรางแสง ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ โดยแต่ละแปลงมี ความกว้าง 2 เมตร ยาว 3 เมตร น ากิ่งห้อม ความยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร ที่ มีข้อปล้องด้านล่าง ประมาณ 1 ข้อ ไปช าไว้ในกระบะปูนที่มีส่วนผสมของวัสดุปลูก คือ ดินและแกลบด า อัตราส่วน 1 ต่อ 1 ใช้เวลาประมาณ 14 วัน รากจะเริ่มออกมา ตามข้อกิ่ง จากนั้นน ากิ่งช าที่มีรากสมบูรณ์ลงแปลงปลูก โดยใช้ระยะปลูกระหว่างแถว 60 เซนติเมตร ระหว่างต้น 50 เซนติเมตร (ระยะที่เหมาะสม ให้ผลผลิตสูง) ภายใน โรงเรือนต้องให้มีความชุ่มชื้นอยู่ตลอด แต่ไม่ถึงขนาดน้ าขังในแปลง ซึ่งการให้น้ าจะใช้ ระบบมินิสปริงเกลอร์ เปิดสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง (เช้า-เย็น) ครั้งละประมาณ 1 ชั่วโมง แต่หากในช่วงต้นเล็ก ให้วันเว้นวัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและฤดูกาล เสริมปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 และ 46-0-0 เดือนละ 1 ครั้ง ต้นห้อมอายุครบ 6 เดือน จะพร้อมให้ เก็บผลผลิต ซึ่งน้ าหนักเฉลี่ยต่อไร่ที่เกษตรกรจะได้ประมาณ 1,254.4 กิโลกรัม ซึ่งการ เก็บเกี่ยวผลผลิตจะใช้วิธีตัดกิ่ง ก้าน ใบ และยอด ความยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร จากยอดลงมา วิธีในการย้อมผ้า ที่มา : https://sites.google.com (เข้าถึงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565)


14 โชคชัย วิทยศิลป์ (2556: 15) กล่าวถึงกรรมวิธีในการท าเสื้อหม้อห้อม ไว้ว่า การท าเสื้อหม้อห้อม จัดเป็นงานที่ต้องอาศัยความช านาญจากผู้ท าโดยตรง เริ่มจาก การน าเอาผ้าฝ้ายสีขาว แต่เดิมจะเก็บ ดอกฝ้ายเฉพาะดอกที่แก่จัดเท่านั้นซึ่งดอกจะ แตกให้เห็นปุยฝ้ายสีขาว ก็จะเก็บมาผึ่งแดดให้แห้งสนิทและ เก็บสิ่งสกปรกที่เจือปน ออก แล้วน ามาอัดและปั่น จากนั้นจึงน าไปทอด้วยกี่ หลังจากนั้นจึงน ามาตัดเย็บ เป็น เสื้อผ้าตามแบบ หรือตัดเป็นผืนเป็นชิ้น แล้วจึงน ามาย้อมด้วยสีที่ได้จากการหมักต้น ฮ่อม สมัยก่อนจะ ทอและย้อมไม่มากนักเพราะท าไว้ใช้แค่ในครัวเรือน ต่อมามีการผลิตเพื่อจ าหน่ายมากขึ้น แต่การทอผ้าด้วยกี่แบบพื้นเมืองน้อยลง ประกอบกับความ ต้องการของผู้บริโภคมีมากขึ้น ส่งผลให้การทอผ้าแบบดั้งเดิมผลิต ได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ผ้าฝ้ายทอมือจึงมีราคาแพงขึ้น เพราะต้องใช้ เวลาในการทอนาน และคนไม่ค่อยนิยมทอผ้า การท าเสื้อหม้อ ห้อมจึงต้องหันไปใช้ ผ้าดิบจากโรงงานทอผ้าเพราะประหยัดเวลา และลดขั้นตอนการผลิต แล้วจึงน ามา ย้อมด้วยสีจากน้ าฮ่อมธรรมชาติหรือสีฮ่อมจากการสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ การท าผ้าหม้อห้อมแบบดั้งเดิมใช้วัตถุดิบ วัสดุอุปกรณ์และมีขั้นตอนการผลิต ดังนี้วัตถุดิบ ประกอบด้วย 1) ต้นฮ่อมส าหรับท าสีย้อมผ้า 2) ผ้าฝ้ายทอมือสีขาว 3) น้ าด่าง และ 4) แป้งมัน ส าหรับ อุปกรณ์ในการผลิตผ้าหม้อห้อม จะประกอบด้วย 1) โอ่งหรือหม้อ 2) ถุงมือยาง 3) ไม้พาย 4) ปี๊บ 5) กะละมัง 6) กระทะขนาดใหญ่และ 7) ตะกร้าตาห่าง


15 (รัชนีพร เพชรกลับ, 2557: 12) รัชนีพร เพชรกลับ (2557: 13) กล่าวถึง ขั้นตอนการจัดเตรียมวัตถุดิบส าหรับการท าผ้าหม้อห้อม ว่ามีขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1. การท าสีย้อมผ้าจากต้นฮ่อม น าล าต้นและใบของฮ่อมมามัดเป็นก าแช่น้ า ไว้ในถังหรือโอ่งน้ าขนาดใหญ่ ประมาณ 2 - 3 วัน จนต้นและใบฮ่อมเน่าได้ที่ น้ าที่ได้ จะเป็นสีครามเข้มน าปูนขาว มาผสม ตีจนเป็นฟองให้เข้ากัน แล้วกรองน้ าออกจะได้สี ย้อมเป็นสีครามเข้ม ส่วนตะกอนก็เก็บไว้เป็น หัวครามน าไปใช้ได้ตลอดทั้งปี 2. การท าน้ าคราม น าปี๊บหรือถังใส่ขี้เถ้า เจาะรูเล็ก ๆ ด้านล่างให้น้ าไหลออก ได้แล้วเท น้ าใส่จนเต็ม น าถังเปล่ารองน้ าด่างที่ได้จากการกรองน้ าขี้เถ้า น้ าด่างที่ น ามาใช้เป็นน้ าใสที่อยู่ตอนบน น้ าที่ ได้จะมีฤทธิ์เป็นด่าง เวลาจับจะรู้สึกลื่นเหมือนน้ า สบู่ น าน้ าด่างที่ได้มาใช้เป็นตัวละลายสีคราม ที่ได้จากการ หมักต้นฮ่อม เทน้ าด่างใส่ โอ่งหรือหม้อใบใหญ่แล้วเทน้ าครามตามลงไป จากนั้นใส่ปูนขาวพอ ประมาณคน ให้ เข้ากัน จะได้น้ าครามที่พร้อมส าหรับการจก ซึ่งการจก คือ การเติมออกซิเจนลงไปใน โอ่งหมัก ด้วยการ ใช้ขันตักน้ าหมักยกเทจากที่สูงลงในโอ่งหมัก เพื่อให้เกิดฟองอากาศ หลังจากได้น้ าหมักคราม แล้วก็น าผ้ามาจุ่มลงในโอ่ง กระบวนการย้อมนี้เรียกว่า การ ย้อมเย็น 3. การท าน้ าครามร้อน เป็นขั้นตอนการท าหลังจากการย้อมเย็น ด้วยการน า กระทะตั้งไฟ ใส่น้ าเมื่อน้ าเดือด เทน้ าครามที่ได้จากการหมักต้นฮ่อมหรือต้นคราม ประมาณ 1/2 ลิตรใส่กระทะ คนให้เข้ากัน จะได้น้ าครามที่พร้อมส าหรับการย้อมเอา ผิวผ้า กระบวนการนี้เรียกว่า การย้อมร้อน


16 4. การต้มแป้งมัน ก่อนท าการรีดน าแป้งมันส าปะหลังผสมกับน้ าคนให้เข้ากัน แล้ว น าไป ตั้งไฟ เมื่อน้ าต้มแป้งเดือดเทใส่กะละมัง ขั้นตอนนี้เรียกว่า การลงแป้ง รัชนีพร เพชรกลับ (2557: 14) ได้กล่าวต่อเกี่ยวกับขั้นตอนการท าเสื้อผ้าหม้อห้อม ว่า ความยุ่งยากของการท าผ้าหม้อห้อมแบบดั้งเดิมอยู่ที่การเตรียมสีย้อม แต่หลังจาก ที่ได้จัดเตรียมสีย้อมจาก ต้นฮ่อมไว้ในโอ่งเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนการย้อมก็ท าได้อย่าง ง่าย ๆ ดังนี้ 1. น าผ้าฝ้ายสีขาวอาจจะเป็นผ้าฝ้าย หรือผ้าดิบก็ได้ตัดเย็บเป็นเสื้อหรือกางเกง ตามแบบ และขนาดที่ต้องการให้เรียบร้อย หรืออาจตัดผ้าเป็นผืนก็ได้น าไปแช่ในโอ่ง หรือถังน้ าสะอาดธรรมดา เพื่อให้แป้งที่ติดมากับเนื้อผ้าหลุดออกหมด จากนั้นน าผ้ามา ตากแดดให้แห้ง 2. น าเสื้อหรือผ้าที่ตากจนแห้งหมาด ๆ มาใส่ตะกร้า น าตะกร้าจุ่มลงในโอ่งบรรจุ สีย้อม ที่เตรียมไว้แล้วขย าผ้าโดยต้องสวมถุงมือยางด้วยทุกครั้ง ถ้าไม่ขย าจะท าให้สี ของเนื้อผ้าไม่สม่ าเสมอ จากนั้นน าผ้าที่ขย าแล้วมาผึ่งแดดไว้จนหมาด น าผ้าที่ตากไว้ ซึ่งแห้งหมาด ๆ มาท าซ้ าอย่างเดิมอีกประมาณ 5 ครั้ง จนผ้าเป็นสีครามเข้ม การย้อม ซ้ าหลายครั้งมีข้อดีคือ สีครามที่ย้อมจะติดผ้าทั่วทั้งผืนเสมอกัน และ สีที่ย้อมจะติดทน นาน 3. เมื่อเสื้อหรือผ้าที่ผ่านกระบวนการย้อมเย็นไปแล้ว 6 ครั้ง แห้งหมาด ๆ ก็น าผ้า มาผ่าน กระบวนการย้อมร้อน นั่นหมายความว่าการน าผ้าไปต้ม โดยใส่ผ้าลงใน กระทะจ านวนพอประมาณ แล้วใช้ไม้พายคนให้ผ้าเข้ากับน้ าประมาณ 15 - 20 นาที จากนั้นจึงน าผ้าไปผึ่งแดดให้แห้งหมาด ๆ


17 4. น าเสื้อหรือผ้าที่แห้งหมาด ๆ มาจุ่มในกะละมังที่เตรียมไว้ส าหรับลงแป้ง บิดพอ หมาด ๆ แล้วน ามาตากแดด 5. น าเสื้อหรือผ้าที่แห้งหมาด ๆ มาท ากระบวนการรีด โดยการน ามาจุ่มลงในน้ า แป้ง ที่เตรียมไว้แล้ว ขย าให้ทั่ว บิดให้แห้งหมาด ๆ น าไปตากแดดให้แห้ง 6. น าเสื้อหรือผ้าที่แห้งแล้วมาพรมน้ าให้ทั่ว น าเตารีดที่เป็นแบบเตาถ่าน โดยเตา ถ่านจะ ให้ความร้อนสูงกว่าเตาไฟฟ้า ซึ่งมีถ่านอยู่เต็มท าการรีดผ้า โดยต้องเตรียมเตา อีกตัวหนึ่งไว้รอเพื่อให้การรีด ต่อเนื่องและให้ได้ความร้อนคงที่ กริน ด่านล่าง (2557: 54) กล่าวถึงปัญหาและอุปสรรคในการผลิตผ้าหม้อฮ่อม ว่า ผ้าหม้อห้อม แบบดั้งเดิม เป็นผ้าที่มีเนื้อดีมีความคงทน จึงเป็นที่นิยมของคนทั่วไป ใช้สวมใส่กันเป็นอย่างมาก ผู้ผลิตจึง ได้คิดค้นพัฒนารูปแบบขึ้นหลากหลายเพื่อให้เข้า กับยุคสมัย ซึ่งแต่เดิมเคยใช้ผ้าฝ้ายน ามาทอกี่แล้วย้อม ด้วยต้นฮ่อมหรือต้นคราม ปัจจุบันนิยมใช้ผ้าดิบย้อมสีวิทยาศาสตร์ซึ่งซื้อหาได้ง่ายกว่า และสะดวกกว่า วิธีเดิม ถึงแม้ว่าผ้าหม้อห้อมจะเป็นที่นิยมของคนทั่วไป ซึ่งก็หมายถึงมีการผลิตและการ จ าหน่ายเป็น จ านวนมาก และท าให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นนั้น แต่ปัญหาในการผลิตและ การจ าหน่ายเสื้อผ้าหม้อห้อมก็มีมากเช่นกัน ดังนี้ 1. ปัญหาด้านการผลิต ได้แก่ 1.1) วัตถุดิบที่ใช้มีราคาสูงขึ้น เช่น ผ้าดิบ สีย้อม และค่าแรงในการ ตัดเย็บ เป็นต้น แต่ราคาขายยังเท่าเดิม 1.2) ปัญหาในด้านการผลิตที่ไม่ได้คุณภาพ การตัดเย็บด้วยฝีมือที่ ไม่ได้มาตรฐาน และรูปแบบไม่ทันสมัย


18 1.3) กระบวนการและขั้นตอนการผลิตที่มีความยุ่งยาก ซับซ้อน คนท าต้องมีความ ตั้งใจ และมีความช านาญพอสมควร คนรุ่นหลังจึงไม่สนใจท าหรือสนใจเข้ามามีส่วน ร่วมในการผลิตผ้าหม้อห้อม 2. ปัญหาด้านการตลาด ได้แก่ 2.1) ปัจจุบันมีผู้ผลิตเสื้อผ้าหม้อห้อม หรือร้านค้าที่จ าหน่ายเสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์จาก ผ้าหม้อห้อมจ านวนมาก จึงท าให้ผู้ขายแต่ละรายตัดราคาและแย่งตลาดกันเอง 2.2) ผู้ผลิตบางรายต้องการจ าหน่ายเสื้อผ้าหม้อห้อมจ านวนมากจึงตั้งราคาให้ต่ าลง จึงมีการแข่งขันด้าน ราคาสูง 2.3) ขาดการส่งเสริมจากหน่วยงานภาครัฐด้านการตลาดการจัดจ าหน่ายและการ ส่งออกรวมถึง การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ในภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียง ของจังหวัดแพร่ รวมถึงตลาดที่รองรับ ในปัจจุบันยังมีอยู่จ านวนน้อย 3. ปัญหาด้านเงินทุนหมุนเวียน ปัญหาการขาดเงินทุนหมุนเวียนของผู้ผลิต เนื่องจากผู้ผลิตส่วน ใหญ่เป็นผู้ผลิตรายย่อย จึงไม่มีเงินทุนหมุนเวียนในระยะยาว หากจ าหน่ายเสื้อผ้าหม้อห้อมที่ผลิต ออกมาแล้วไม่ได้ก็จะมีปัญหา เงินลงทุนจม และ มีของค้างสต็อก เนื่องจากเสื้อผ้าหม้อห้อมจะขายได้ดีเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ เท่านั้น กรวิทย์สินสิริวงศ์ (2558: 11) ได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการผลิตและการตลาด เกี่ยวกับ ผ้าหม้อห้อมไว้ดังนี้ 1. ด้านการผลิต หน่วยงานราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องควรให้การสนับสนุน ให้มีการฝึกสอนคนรุ่นใหม่และพัฒนาผู้ผลิตเดิม ทั้งด้านการย้อมสีหม้อห้อม การตัด


19 เย็บและรูปแบบผลิตภัณฑ์โดยการจัดหาวิทยากรที่มีความช านาญเฉพาะด้าน ให้การ อบรม และชี้แนะเทคนิคในการผลิตเสื้อ ผ้าหม้อห้อมให้เกิดแรงจูงใจและความคิดที่ จะพัฒนาเทคนิคการผลิต พัฒนารูปแบบ และพัฒนาคุณภาพตลอดจนปรับปรุง ขั้นตอนการผลิตให้มีความซับซ้อนน้อยลง มีการตัดเย็บที่ได้มาตรฐานและมีรูปแบบ หลากหลายมากขึ้น โดยก าหนดราคาให้เหมาะสมกับคุณภาพซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้ผลิต และส่งผลให้การท า หม้อห้อมของชาวแพร่ยังคงอยู่ตลอดไป 2. ด้านการตลาด ได้มีข้อเสนอแนะว่า 2.1) ผู้ผลิตต้องพัฒนารูปแบบให้หลากหลาย โดยน ารูปแบบของเสื้อผ้าแฟชั่นสมัยใหม่ มาดัดแปลงเพื่อเป็นการดึงดูดใจให้ผู้ซื้อมีความสนใจ และ ต้องการมากขึ้น 2.2) หน่วยงานภาครัฐควรเน้นการประชาสัมพันธ์ถึงความเป็นเอกลักษณ์ของผ้าหม้อ ห้อม จังหวัดแพร่ เพื่อเป็นการเผยแพร่และส่งเสริมให้เป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไปมากยิ่งขึ้น 2.3) รณรงค์ให้มีการ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหม้อห้อมอย่างต่อเนื่องและสม่ าเสมอ อันจะ เป็นการอนุรักษ์และส่งเสริมภูมิปัญญา ท้องถิ่น รวมทั้งยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับ ชุมชนอีกด้วย 2.4) หน่วยงานภาครัฐควรส่งเสริมและสนับสนุน การหาตลาด เพื่อการจัดจ าหน่ายให้ แพร่หลายมากขึ้น และควรก าหนดราคาให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน 3. ด้านเงินทุนหมุนเวียน เพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตผ้าหม้อห้อมและประหยัด ค่า ขนส่ง ควรส่งเสริมให้มีการลงทุนด้านโรงงานทอผ้าดิบขึ้น อันจะเป็นการลดปัญหา การว่างงานของคนใน ชุมชน การกระจายรายได้ในท้องถิ่น รวมทั้งควรส่งเสริมให้มี การรวมกลุ่มกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์เพื่อระดม เงินทุนส าหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียนใน การผลิตและจ าหน่าย ตลอดจนรวมตัวกันเพื่อด าเนินกิจกรรมที่เป็น การสร้างรายได้


20 ให้กับกลุ่ม เช่น การน าสินค้าไปแสดงและจ าหน่ายตามงานเทศกาลต่าง ๆ ทั้งในเขต จังหวัด แพร่ และตามจังหวัดอื่น ๆ ให้ทั่วทุกภาค รวมถึงในกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็น การสร้างรายได้และให้ผ้าหม้อห้อมเป็นที่รู้จักแพร่หลายของคนทั่วไป วารุณีพลีสัตย์สุจริต (2558: 11) ได้กล่าวถึงขั้นตอนในการผลิตผ้าหม้อห้อม ว่ามี ขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1. ขั้นตอนการท าสีคราม จะประกอบด้วยวัสดุ ได้แก่ 1) ต้นครามที่มัดแล้ว 2) น้ าด่าง 3) ปูนขาว และ 4) น้ าขี้ถา ซึ่งขั้นตอนในการท าสีคราม มีขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1.1 ให้ตัดต้นครามตอนอากาศเย็นๆ น ามาเป็นมัดเป็นท่อน ๆ จากนั้นแช่น้ าเปล่า 2 คืน ผลที่ได้เกิดขึ้นคือ น้ าที่แช่จะมีลักษณะออกเป็นสีเขียว 1.2 น าน้ าปูนขาวผสมกับน้ าครามแล้วใส่ปูนขาว จากนั้นตีแรง ๆ คนสมัยก่อนเรียกว่า ซวกคราม นั่นคือ การตีจนฟองเป็นสีน้ าเงินแสดงว่าพอดีกับปูน แล้วจึงปล่อยให้ ตกตะกอน ซึ่งจะเรียกว่า หัวคราม 1.3 น าหัวครามเทลงไปในน้ ากรองขี้เถ้า คนให้เข้ากัน จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 3 - 5 วัน แล้วสังเกตให้น้ าเป็นสีเขียวจะแสดงให้ว่า สามารถน ามาใช้ท าหม้อห้อมได้หากยัง ไม่ได้สีเขียว ให้ใช้น าซาวข้าวกับน้ ามะขามส้มผสมลงไป แล้วคนให้เข้ากันและทิ้งไว้อีก 1 วัน จะท าให้เกิดเป็นสีเขียวจะขึ้น 2. ขั้นตอนการพิมพ์ลวดลาย การท าลวดลายบนผ้าหม้อห้อม สามารถท าได้ตาม ขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 2.1 น าแม่พิมพ์จุ่มน้ าเทียนต้ม โดยที่น้ าเทียนที่ใช้จะต้องร้อน เพื่อการหลอมตัว ที่ดี ก่อนการน ามาใช้สร้างลวดลายของผ้าหม้อห้อม


21 2.2 เมื่อน าแม่พิมพ์จุ่มน้ าเทียนต้มแล้ว ให้น ามาปั๊มบนผ้าฝ้ายที่ได้เตรียมไว้ 2.3 น าผ้าหม้อห้อมที่สร้างลวดลายแล้ว ไปตากในที่ร่ม ห้ามน าไปจากแดด เพราะถ้า หาก น าไปตากแดด เทียนที่น ามาสร้างลวดลายจะละลาย 3. ขั้นตอนการย้อมสีจะมีกระบวนการ ดังนี้ 3.1 ให้ผลิกผ้าในน้ าครามในระยะเวลาประมาณ 7 - 8 นาทีจนทั่วเนื้อผ้า กรณีที่เป็น ผ้า ที่มีลวดลาย เพื่อให้เกิดการซึมของน้ าครามได้ทั่วผืนผ้า 3.2 น าผ้าที่ย้อมสีแล้วไปตากในที่ร่มเท่านั้น เพราะถ้าตากแดดเทียนจะละลาย และ ส่งผล ท าให้ลวดลายหายไป 3.3 น าผ้าที่ผ่านการย้อมสีและตากแล้ว มาลอกเทียนออก ด้วยวิธีการต้มลงไปในน้ า ร้อน เพื่อให้เทียนละลาย คงเหลือแค่ผ้าหม้อห้อมที่เป็นลวดลายตามที่ต้องการ ขั้นตอนการท าผ้าหม้อห้อม ที่มา : https://www.thaipower.com (เข้าถึงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565)


22 บทที่ 4 กำรแปรรูป เสื้อผ้าหม้อห้อมได้รับการพัฒนารูปแบบให้หลากหลายยิ่งขึ้นกว่าเดิม เช่น ตัดเย็บ เป็นเสื้อเชิ้ต เสื้อคอพระราชทาน ซาฟารี กางเกงแบบต่าง ๆ เสื้อผ้าส าหรับเด็ก เสื้อ สตรี กระโปรง เป็นต้น ปัจจุบันผู้สนใจเสื้อผ้าหม้อห้อมสามารถเลือกแบบได้ หลากหลายตามความพอใจ ประกอบกับผ้าหม้อห้อมได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยขึ้น โดยน าไปผ่านกรรมวิธีฟอกสี ท าให้มองดูคล้ายผ้ายีนส์ของต่างประเทศแต่สวมใส่ สบายกว่า ท าให้กลุ่มคนที่นิยมใช้ผ้ายีนส์บางส่วนหันมาสวมใส่เสื้อผ้าหม้อห้อมมากขึ้น กำรตัดเย็บ และตกแต่ง การท าเสื้อหม้อห้อม เริ่มจากน าผ้าดิบที่เตรียมไว้มาตัดเย็บเป็นตัวเสื้อตามรูปแบบ และขนาดที่ต้องการ โดยในรายที่ท ากันแบบกิจการในครอบครัว สมาชิกในบ้านมักตัด เย็บกันเองแต่หากคนไม่พอต้องจ้างเพื่อนบ้านช่วยเย็บราคาค่าตัดเย็บเสื้อที่ว่าจ้างกัน หากเป็นเสื้อหม้อห้อมติดกระดุมราคาตัวละ 10 บาท แต่ถ้าเป็นแบบใช้เชือกผูกจะให้ ค่าแรงเพิ่มขึ้นอีก 2 บาท เพราะต้องเสียเวลาเย็บผ้าให้เป็นเชือกก่อนจะเย็บติดกับตัว เสื้ออีกครั้ง ส่วนเสื้อที่เป็นแบบเชิ้ตคอปกราคาว่าจ้างเย็บจะอยู่ที่ตัวละ 15 บาทถึง 20 บาท ขึ้นอยู่กับแบบหรือความยากง่ายเป็นส าคัญ เสื้อหม้อห้อมแฟชั่น ที่มา : https://thailandtourismdirectory.go.th/th/store/100069 (เข้าถึงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565


23 แฟชั่นในอดีต "เสื้อหม้อห้อม" เครื่องแต่งกำยพื้นเมือง ของคนจังหวัดแพร่ "ม่อฮ้อม" หรือ "หม้อห้อม" คือชื่อของ "ผ้าพื้นเมือง" ที่มีความส าคัญอย่างมาก ต่อชาวบ้าน ต าบลทุ่งโฮ้ง จังหวัดแพร่ โดย "ผ้าหม้อห้อม" นี้ก็คือ ผ้าฝ้าย ที่ผ่านการย้อมด้วยต้นหอม และต้น ฮ่อม (ต้นคราม) จนผ้าฝ้ายนั้นกลายเป็น "สีคราม" และถูกเรียกขานกันโดยทั่วไปว่า "ผ้าหม้อฮ้อม" "ต้นห้อม" หรือ "ต้นคราม" คือที่มาของสีคราม ที่ย้อมติดผ้าฝ้าย จนกลายเป็น "ผ้า หม้อห้อม" เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายไปทั่วโลกมานานนับ 1,000 ปีแล้ว โดยมีการ สันนิษฐานว่า "ผ้าหม้อห้อม" นั้นน่าจะติดตัวมากับผู้คนที่อพยพเข้าเมืองแพร่ ตั้งแต่ยุคสมัยที่ยังมี สงคราม ซึ่ง ณ ตอนนั้นผู้ปกครองนครแพร่นั้นมีเชื้อสายของ "ไทลื้อ" และ "ไทพวน" ที่ มีความช านาญเรื่องการย้อมสีคราม จึงมีการย้อมสีเสื้อผ้าให้กลายเป็นสีคราม เพื่อ สวมใส่เป็นเครื่องนุ่มห่มตั้งแต่นั้นมา โดยที่อยู่อาศัยของชาว "ไทพวน" ในอดีตนั้น ก็ได้ กลายมาเป็น "ต าบลทุ่งโฮ้ง" ในปัจจุบัน ซึ่่งตั้งแต่ในสมัยอดีตนั้นการแต่งกายโดย "ผ้าหม้อห้อม" นั้นได้รับความนิยมอย่าง มาก กับผู้คนเมืองแพร่ ซึ่งบ่งบอกได้ดีถึงความงามทางวัฒนธรรมการแต่งกายในอดีต ของคนเมืองเหนือ จนต่อมาก็มีการประยุกต์ดีไซน์ เพิ่มลวดลาย เพิ่มกระดุม กระเป๋า หรือท าเป็นกระเป๋า ต่างหู ที่คาดผม พวงกุญแจ ให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้นเหมือนที่เรา เห็นกันในปัจจุบัน ( เพจ ศูนย์เรียนรู้หม้อห้อมป้าเหงี่ยม,2562 )


24 ผ้าหม้อห้อมเป็นเอกลักษณ์ของชาวทุ่งโฮ้งและของคนจังหวัดแพร่ การแต่ง กายชุดพื้นเมืองด้วยผ้าหม้อห้อมถือเป็นการแต่งกายประจ าถิ่นของชาวทุ่งโฮ้ง ผู้ชาย จะใส่เสื้อคอกลม แขนสั้นผ่าอกตลอด ติดกระดุมหรือใช้สายมัด เรียกว่าเสื้อกุยเฮง และใส่กางเกงขาก๊วยที่เรียกว่าเตี่ยวกี มีผ้าขาวม้าคาดเอวแทนเข็มขัด (นางวิภา จักร บุตร,2550 ) ส่วนผู้หญิง จะเป็นเสื้อคอวี และคอกลม แขนยาวทรงกระบอกผ่าอกตลอด ติดกระดุม และสวมถุงซึ่งเรียกว่า ซิ่นแหล้ มีลักษณะเป็นพื้นสีด ามีสีแดงคาดตรงเชิง ผ้าสองแถบและขอบเอวสีแดง (นางวิภา จักรบุตร,2550 ) ใส่รูป เสื้อหม้อห้อม ที่มา : https://www.paiduaykan.com (เข้าถึงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565)


25 แฟชั่นในกำรแต่งกำยผ้ำหม้อห้อมในปัจจุบัน การออกแบบเสื้อหม้อห้อมให้ได้รับความนิยมนั้น สามารถออกแบบได้ หลากหลายรูปแบบตามวัยของบุคคลที่ใส่ ทั้ง เด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่รวมถึงการ ออกแบบเพื่อน าไปถ่ายในงานแฟชั่น นอกเหนือจากเสื้อที่นิยมย้อม ยังมี กระเป๋า ผ้าเช็ดหน้า ผ้าคลุมไหล่ ผ้าพันคอ หมวก เป็นต้น และมีการออกแบบลวดลายที่ สวยงามอีกมากมาย โดยราคาเริ่มต้นประมาณ 270 บาท ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของ ลายนั้น ซึ่งยุคใหม่นี่ผ้าหม้อห้อมกลายเป็นผ้าที่ถูกจัดเป็นผ้าใส่ในโอกาสอันจะแสดง ความเป็น “คนเมือง” ของคนในภาคเหนือ งานบุญ งานกุศล เขาจะใส่เสื้อผ้าตัดเย็บ ด้วยผ้าหม้อห้อม ก่อนนี้ก็เน้นผู้ชายเป็นหลัก แต่ตอนนี้ผ้าหม้อห้อมเอามาตัดเป็น เสื้อผ้าผู้หญิงได้มากมาย สวยเก๋ไม่น้อย และนิยมกันทั่วไป แม้จะใส่กันไปทั้งภาค แต่แหล่งที่ว่ากันว่าเป็นต้นตอของผ้าหม้อห้อม และจน บัดนี้ก็เป็นแหล่งผลิตใหญ่ที่สุดในประเทศก็คือ บ้านทุ่งโฮ้ง ต าบลทุ่งโฮ้ง อ าเภอเมือง จังหวัดแพร่ จะเห็นได้ว่าชุดหม้อห้อมที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือวัฒนธรรมท้องถิ่น ทางภาคเหนือที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเฉพาะถิ่นของทางภาคเหนือแล้วนั้น ใน ปัจจุบันชุดหม้อห้อมสามารถประยุกต์หรือปรับตัวเองได้ด้วยการออกแบบใหม่ ของ นักออกแบบยุคใหม่ ให้สอดคล้องตามแฟชั่นใหม่ ๆ ที่สามารถประยุกต์จากชุดที่เป็น ทางการของท้องถิ่น ก็สามารถที่จะประยุกต์มาใช้เป็นแบบแฟชั่นที่จะสามารถใส่ชุดได้ ในงานหรืองานกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามความเหมาะสมกับในยุคปัจจุบัน เพราะฉะนั้น จะเห็นว่าชุดประจ าท้องถิ่นของแต่ละภาค แต่ละท้องถิ่น ก็จะมีอัตลักษณ์และเป็น ตัวตนตามบริบทของแต่ละพื้นที่ออกไป ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม ศิลปะ หรือ ขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ อื่น ๆ อีกด้วย ซึ่งวันนี้ ชุดหม้อห้อม ก็ถือว่าเป็นอีกชุด


26 หนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของทางภาคเหนือ ที่ทุกคน ทุกภาคในประเทศไทย ที่จะสามารถ ซื้อหา อุดหนุนผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น สามารถที่จะสวมใส่กันได้ตามความเหมาะสม และ ชาวบ้านในท้องถิ่นภาคเหนือที่จะสามารถต่อยอดผลิตภัณฑ์ชุดหม้อห้อมดังกล่าว เพื่อ เป็นรายได้เสริม รายได้หลักให้กับครอบครัวและของคนในท้องถิ่นได้อีกด้วย ( ครูชอวร์ กวีหลังบ้าน,2563 ) งำนประเพณีที่นิยมใส่หม้อห้อม ผ้าหม้อห้อม..แฟชั่นเมืองเหนือ” ผ้าหม้อห้อม ชุดหม้อห้อม หรือที่คนทาง ภาคเหนือเรียกว่“เสื้อแป้” (เสื้อแป้ คือ เสื้อที่ผลิตมาจากจังหวัดแพร่) ซึ่งเป็นภาษา ท้องถิ่นของคนเหนือหรือคนล้านนาเรียกกันติดปาก ปกติชุดหม้อห้อมที่คนทางเหนือ ได้สวมใส่กัน ในอดีตก็จะใส่กันตามปกติในชีวิตประจ าวัน และในงานประเพณีต่าง ๆ ที่ส าคัญ เช่น วันสงกรานต์ งานบุญขึ้นบ้านใหม่ งานแต่งงาน งานวันพระหรืองาน ประเพณีส าคัญ ๆ ของชาวเหนือ ซึ่งชุดหม้อฮ่อมเดิมนั้น ชาวเหนือมักจะเรียกว่า “เสื้อแป้” คือเสื้อผ้าที่ผลิตมาจากจังหวัดแพร่ เป็น ต้นต ารับ จังหวัดแพร่ ซึ่งก็เป็นอีกจังหวัดหนึ่งของทางภาคเหนือ ซึ่งจากเดิมที่ชุดหม้อ ห้อม คือชุดประจ าท้องถิ่นซึ่งจะมีใส่กันเฉพาะถิ่นในทางภาคเหนือเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะของทางภาคเหนือเท่านั้น แต่ด้วยวิวัฒนาการทางสื่อในยุคใหม่ที่พัฒนาอย่าง รวดเร็ว ที่มีการเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ และสื่อต่าง ๆ ถึงรูปลักษณ์เอกลักษณ์ที่เป็น ตัวตนเฉพาะถิ่นของชุดหม้อฮ่อม ท าให้ชุดหม้อห้อมเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างของสังคม มากยิ่งขึ้น ( ครูชอวร์ กวีหลังบ้าน,2563 )


27 ประเพณีวันสงกรำนต์งานเฉลิมฉลองสงกรานต์ปีใหม่เมืองแบบล้านนาในเขต ภาคเหนือของประเทศไทย ออกเสียงแบบคนเมืองว่า “ป๋าเวณีปี๋ใหม่” จะแต่งกาย ตามแบบฉบับของชาวล้านนานะเจ้า โดยแม่ญิง หรือสุภาพสตรีจะสวมซิ่นเมือง ห่มผ้า มัดอก หรือมัดนม ห่มผ้าสไบ หรือผ้าสะหว้ายแล่ง หรือสวมเสื้อแขนกระบอก เกล้าผมมวย ทัดแซมด้วยดอกเอื้องสด หรือดอกไม้สด ส่วนป่อจาย หรือสุภาพบุรุษจะนุ่งผ้าต้อย หรือโจงกระเบน สวมเสื้อแขนยาวคอจีน พันผ้ารอบเอวที่ผ้าต้อย และพันผ้าอีกผืนที่ บริเวณเอวของเสื้อตัวนอก หรือหากจะนุ่งเตี่ยวสะดอ สวมเสื้อม่อฮ่อม ก็จะงามไปอีก แบบ (Baptizo ชุดผ้ามัดย้อม,2561) งำนขึ้นบ้ำนใหม่ของคนเมือง มักนิยมใส่เสื้อหม้อห้อม เพื่อเป็นความพร้อมเพรียง ของคนในบ้านและแขกที่มาร่วมงาน และสื่อให้เห็นถึงความเป็นคนเมือง งำนบุญ งำนกุศล “คนเมือง” ของคนในภาคเหนือ มักนิยมใส่หม้อห้อมพื้นเมืองใน งานบุญ งานกุศล เขาจะใส่เสื้อผ้าตัดเย็บด้วยผ้าหม้อห้อม ก่อนนี้ก็เน้นผู้ชายเป็นหลัก แต่ตอนนี้ผ้าหม้อห้อมเอามาตัดเป็นเสื้อผ้าผู้หญิงได้มากมาย สวยเก๋ไม่น้อย และนิยม กันทั่วไป การแต่งกายเสื้อหม้อห้อม ที่มา : https://saonday.com (เข้าถึงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565)


28 ควำมหมำยและลักษณะของแต่ละลำย หทัยรัตน์เพ็ญแก้ว (2556: 17) กล่าวว่า การออกแบบลวดลายบนผ้าหม้อห้อมที่ ท าในปัจจุบันนิยมใช้เป็น ลวดลายในธรรมชาติคือ รูปแบบที่มีความสม่ าเสมออย่าง ชัดเจนซึ่งพบได้ในโลกธรรมชาติลวดลายเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ า ๆ ในบริบทที่ต่างกัน และ บางครั้งสามารถถูกก าหนดรูปแบบโดยแบบจ าลองทางคณิตศาสตร์ลวดลายทาง ธรรมชาติได้แก่ ความสมมาตร ต้นไม้ใบหญ้า เกลียวเถาวัลย์ล าน้ าโค้งตวัด คลื่น รอย แตก และรอยริ้ว เป็นต้น กานดา ค้าทรัพย์เจริญ (2557: 58) กล่าวว่า ลวดลายที่นิยมน ามาออกแบบลง บนผืนผ้าหม้อห้อมมักจะออกแบบเป็นลวดลายธรรมชาติต่าง ๆ เช่น สัตว์สวยงาม ต้นไม้ใบหญ้า เป็นต้น ลวดลายที่เป็นลักษณะของเรขาคณิต เช่น วงกลม วงรีสี่เหลี่ยม รูปแบบต่าง ๆ สามเหลี่ยม และรูปแบบอื่น ๆ ที่มีความเป็นเรขาคณิต เป็นต้น และ ลักษณะลวดลายที่มีความเป็นนามธรรม เช่น ลวดลายที่เกิดจากการมัดย้อมตลอดจน ลวดลายที่เกิดจากความบังเอิญ ซึ่งในบางครั้ง ผู้ออกแบบลวดลายของผ้าหม้อห้อม อาจใช้ความช านาญในการสร้างสรรค์ลวดลาย เพราะท ามาเป็นระยะเวลานาน เป็น ต้น นพพร คุณอนันต์ (2559: 51) ได้กล่าวถึงข้อสังเกตเกี่ยวกับลวดลายของผ้าหม้อ ห้อมในปัจจุบันนิยมท าออกมาในลักษณะที่หลากหลายตามสมัยนิยม ซึ่งลวดลายที่พบ เหล่านี้แบ่งออกได้ 2 ลักษณะ คือ 1. ลวดลายเหมือนจริง เป็นลวดลายที่พบเห็นมากที่สุด เช่น คน สัตว์ดอกไม้ ลายเถาวัลย์และพืชพันธ์ประเภทต่าง ๆ


29 2. ลวดลายสัญลักษณ์เป็นลวดลายที่ผู้สร้างงานต้องการสื่อความหมายหรือ บอกให้รู้ถึงบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งไม่สามารถแปลความหมายได้ ต้องท าการศึกษา ค้นคว้ากันต่อไป เช่นภาพสามเหลี่ยม วงกลม หรือ ภาพสี่เหลี่ยมมีเส้นทแยงมุม เป็น ต้น วิกานดา วันทาวรรณ (2559: 11) กล่าวว่า การออกแบบลวดลายบนผ้าหม้อ ห้อม ส่วนใหญ่จะเน้นลวดลายที่เป็นไทย แสดงออกถึงความเป็นเอกลักษณ์ประจ า ท้องถิ่น หรือเป็นเอกลักษณ์ประจ าชาติไทย อาจจะมีการออกแบบโดยการน าแรง บันดาลมาจากสัตว์ในวรรณคดีไทยต่าง ๆ มาใช้ในการออกแบบบนผ้าหม้อห้อม ท าให้ เกิดเป็นผ้าหม้อห้อมที่มากด้วยคุณค่าแห่งศิลปวัฒนธรรมไทยโดยแท้จริง พงษ์ศักดิ์พวงพุ่ม (2555: 45) กล่าวถึงการออกแบบผ้าหม้อห้อมไว้ว่า ผ้าหม้อ ห้อม เป็นผ้าพื้นเมืองที่ส าคัญของจังหวัดแพร่ โดยการสร้างลวดลายจะนิยมใช้เส้นด้าย พุ่งและยืน ที่ได้จากฝ้ายทอให้เกิดลวดลายขัดธรรมดา ย้อมด้วยสีครามที่ได้จากต้น ฮ่อมหรือต้นคราม จะได้ผ้ามีสีเดียวกันตลอดทั้งผืนปัจจุบันน ามาตัดเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น กางเกง กระโปรง เสื้อ และผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น วัชรีมณีแสง (2557: 17) กล่าวว่า การทอผ้าในภาคเหนือแถบล้านนาไทย ได้แก่ จังหวัดเชียงรายพะเยา ล าพูน ล าปาง แพร่ น่าน เชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะในกลุ่มชาวไทยโยนก หรือไทยยวนและชาวไทยลื้อ ซึ่งเป็นกลุ่มชนดั้งเดิม ของล้านนาไทย มีความเชื่อเรื่องการตั้งถิ่นฐาน ในสภาพแวดล้อมที่เป็นภูเขาและมี ทางน้ าไหล ผู้หญิงไทยยวน และไทยลื้อในปัจจุบันนี้ยังรักษาวัฒนธรรมการทอผ้าใน รูปแบบและลวดลายที่สืบทอดกันมา โดยเฉพาะการทอ ซิ่นตีนจก ผ้าขิต และผ้าที่ใช้ เทคนิค “เกาะ”เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีชนกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ไม่ใช่กลุ่มที่พูดภาษา ตระกูลไท อาศัยอยู่ในแถบภาคเหนือบริเวณล้านนาไทย เช่น ลื้อ ลัวะ กะเหรี่ยง ไทย


30 ใหญ่ มอญ และไทยภูเขาเผ่าต่าง ๆ เช่น แม้ว มูเซอ อีก้อ เย้า และลีซอเป็นต้น ชน กลุ่มน้อย เหล่านี้ต่างก็มีวัฒนธรรมการทอผ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผ้าฝ้ายและตกแต่งเป็น ลวดลายสัญลักษณ์ที่แสดงเอกลักษณ์เผ่าพันธุ์ของกลุ่มชนของตนเองทั้งสิ้น การทอผ้าไหมยกดอก และการทอซิ่นไหม ต่อตีนจก ยกดิ้นเงินดิ้นทองนั้น รู้จักกันใน หมู่เจ้านายชั้นสูงในภาคเหนือ ซึ่งได้ฝึกอบรมให้หญิงชาวบ้านตามหมู่บ้านหลายแห่ง เช่น ในจังหวัดเชียงใหม่และล าพูน รู้จักทอ จนท ากันเป็นอุตสาหกรรมในหมู่บ้าน หลายแห่ง จนถึงทุกวันนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าผ้าที่ทอโดยกลุ่มชนต่าง ๆ ในภาคเหนือนี้ ต่างกลุ่มต่างก็มีเอกลักษณ์ของตนเอง จนผู้ที่คุ้นเคย ก็สามารถจะแยก ออก และ ชี้ให้เห็นความแตกต่างจากกันได้ วัฒนา รัตนสกุลชัย. (2557: 23) กล่าวถึงลวดลายและสัญลักษณ์ในผ้าไทย ไว้ว่า ผ้าพื้นบ้าน พื้นเมืองของไทยที่ทอกันตามท้องถิ่นต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้เต็มไปด้วย ลวดลาย และสัญลักษณ์ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งผู้ใช้ผ้าในยุคปัจจุบันอาจไม่เข้าใจ ความหมาย และมองไม่เห็นคุณค่า ลดาวัลย์วรรณสกุล (2559: 34) กล่าวว่า ลวดลายและสัญลักษณ์บนผืนผ้าไทย และภูมิปัญญาไทย บางลายมีชื่อเรียกสืบต่อกันมาหลายชั่วคน บางชื่อก็เป็นภาษา ท้องถิ่น ไม่เป็นที่เข้าใจของคนไทยในภาค อื่น ๆ เช่น ลายเอี้ย ลายบักจัน เป็นต้น บางชื่อก็เรียกกันมาโดยไม่รู้ประวัติเช่น ลายแมงมุม ลายปลาหมึก ซึ่งแม้แต่ผู้ทอก็ อธิบายไม่ได้ว่าท าไมจึงเรียกชื่อนั้น บางลวดลายก็มีผู้ตั้งชื่อให้ใหม่ เช่น ลายขอ พระเทพ เป็นต้น สัญลักษณ์และลวดลายบางอย่าง ก็เชื่อมโยงกับคติและความเชื่อ ของคนไทยพื้นบ้าน ที่นับถือ สืบต่อกันมาหลาย ๆ ชั่วอายุคน และยังสามารถ เชื่อมโยงกับลวดลายที่ปรากฏอยู่ในศิลปะอื่น ๆ เช่น บนจิตรกรรมฝาผนัง และ สถาปัตยกรรม หรือบางทีก็มีกล่าวถึงในต านานพื้นบ้าน และในวรรณคดีเป็นต้น บาง


31 ลวดลายก็เป็นคติร่วมกับความเชื่อสากล และปรากฏอยู่ในศิลปะของหลายชาติเช่น ลายขอ หรือลาย ก้นหอย เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นลายเก่าแก่แต่โบราณของหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก หากเรารู้จักสังเกต และ ศึกษาเปรียบเทียบแล้ว ก็จะเข้าใจลวดลาย และสัญลักษณ์ในผ้าพื้นเมืองของไทยได้มากขึ้น และมองเห็น คุณค่าได้ลึกซึ้งขึ้น จิตลดา จันทร์ดวง (2558: 15 – 18) กล่าวถึงลักษณะของลวดลายผ้าพื้นเมือง ของไทยไว้ว่า ลวดลายบนผ้าไทยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากภูมิปัญญาท้องถิ่นในแต่ละภูมิ ประเทศ และจะมีชื่อเรียกไปตาม ความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ บางลายใช้ศัพท์ เฉพาะที่อาจจะเป็นภาษาถิ่น เพื่อให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ของ ตนเองในแต่ละท้องถิ่น โดยสามารถแบ่งลวดลายต่าง ๆ บนผ้าพื้นเมืองได้ดังนี้ 1. ลวดลายต้นแบบ ผ้าพื้นเมืองของไทยเกือบทุกผืน จะปรากฏลวดลายพื้นฐานบาง ลาย อย่างซ้ าแล้วซ้ าเล่า ลวดลายเหล่านี้จะเป็นลวดลายง่าย ๆ ซึ่งปรากฏอยู่บนศิลปะ พื้นบ้านประเภทอื่น ๆ เช่น เครื่องปั้นดินเผา เครื่อง และจักสาน เป็นต้น ทั้งใน ประเทศไทยและในประเทศอื่น ๆ ลายที่ปรากฏอยู่ บนผืนผ้าพื้นเมืองของไทย อาจจะ แยกได้ดังนี้ 1.1 ลายเส้นตรง หรือเส้นขาด ในทางตรงยาวหรือทางขวาง เส้นเดียว หรือ หลาย ๆ เส้นที่วางในลักษณะที่ขนานกัน ลายเส้นตรงทางขวางเป็นลายผ้าที่ใช้กันทั่วไปใน แถบล้านนาไทย มาแล้วแต่สมัยโบราณ จะเห็นได้จากจิตรกรรมวัดภูมินทร์จังหวัดน่าน และวิหารลายค า วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ ลายเส้นตรงทางยาวมักพบในผ้านุ่ง ของคนไทยกลุ่มลาวโซ่ง ลาวพวน เป็นต้น ในภาคีสาน ลายเส้นตรงยาวสลับกับลาย อื่น ๆ จะปรากฏอยู่ในผ้ามัดหมี่ ทั้งไหมและฝ้าย และบ่อยครั้งจะพบ ผ้ามัดหมี่อีสาน เป็นลายเส้นต่อ ที่มีลักษณะเหมือนฝนตกเป็นทางยาวลงมา หรือที่ประดับอยู่ในผ้าตีน จก เป็นเส้นขาดเหมือนฝนตก หรือลายเส้นขาดขวางเหมือนเป็นทางเดินของน้ า


32 ลายเส้นตรงทั้งเส้น ขวางและเส้นดิ่งนั้น ยังเป็นลวดลายที่พบในผ้าพื้นเมืองของ ชาวลัวะ และชาวกะเหรี่ยง 1.2 ลายฟันปลา ลายผ้ารูปแบบนี้จะปรากฏให้เห็นอยู่ตามเชิงผ้าของตีนจก และ ผ้าขิต ตลอดจนเป็นลายเชิงของซิ่นมัดหมี่ของผ้า ที่ทอในทุก ๆ ภาคของประเทศไทย ชาวบ้านทางภาค อีสานเรียกว่า ลายเอี้ย ซึ่งลายฟันปลาอาจจะปรากฏในลักษณะทาง ขวาง หรือทางยาวก็ได้บางครั้งจะพบ ผ้ามัดหมี่ที่ตกแต่งด้วยลายฟันปลาทั้งผืนก็มี นอกจากนี้แล้วผ้าของชาวเขาเผ่าม้งทางภาคเหนือของ ประเทศไทย จะนิยมใช้ลาย ฟันปลาประดับบนผืนผ้าพื้นเมืองจนกลายเป็นเอกลักษณ์ 1.3 ลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หรือลายกากบาท เกิดจากการขีดเส้นตรงทาง เฉียงหลาย ๆ เส้นมาตัดกัน ท าให้เกิดเป็นรูปกากบาทหรือลักษณะตารางสี่เหลี่ยม ขนมเปียกปูนหลาย ๆ รูปติดต่อกัน ลวดลายลักษณะนี้พบมากอยู่บนผ้าจก ผ้าขิต และผ้ามัดหมี่ โดยทั่วไปทุกภาคของประเทศ ไทย ประเทศลาว ประเทศอินโดนีเซีย รวมถึงบนพรมตะวันออกกลางก็ยังพบบนลวดลายผ้าของชาวเขา เผ่าม้ง กะเหรี่ยง ใน ประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย 1.4 ลายขดเป็นวงเหมือนก้นหอย หรือลายตะขอ ลวดลายลักษณะนี้จะพบอยู่ ทั่วไปบนผ้าจก ผ้าขิต และผ้ามัดหมี่ของทุกภาค ชาวบ้านทางภาคเหนือ และภาค อีสานของประเทศไทย เรียกว่า ลายผักกูด ซึ่งเป็นชื่อของพืชตระกูลเฟิร์นชนิดหนึ่ง ใน ซาราวักของประเทศมาเลเซีย ก็เรียกว่า ลายผักกูด เช่นกัน ลวดลายต้นแบบทั้ง 4 ลายที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นลวดลายที่มีในภูมิภาคเอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้มาตั้งแต่ สมัยก่อนประวัติศาสตร์และยังพบว่าเป็นลวดลายที่ตกแต่งอยู่บนภาชนะ เครื่องปั้นดินเผาโบราณที่ขุดพบที่โคกพนม และที่บ้านเชียง ลายก้นหอย (Spiral) และลายตัวขอ (Hook) เป็นลวดลาย และสัญลักษณ์ที่เก่าแก่มากในเอเชีย


33 เกาะต่าง ๆ ในประเทศ อินโดนีเซีย และพบในศิลปะของพวกเมารีในประเทศ นิวซีแลนด์อีกด้วย ส าหรับที่บ้านเชียงก็พบหลักฐาน ส าคัญเป็นแม่พิมพ์ดินเผา เข้าใจ ว่าใช้กลิ้งพิมพ์ลายผ้า ซึ่งมีลายเป็นเส้นขวาง เส้นยาวและเส้นฟันปลา 2. ลวดลายผ้าพื้นเมืองที่พัฒนาจากต้นแบบจนเป็นภาพที่สื่อความหมายได้จาก ลวดลาย ต้นแบบข้างต้น ซึ่งเป็นลายง่าย ๆ ที่มนุษย์อาจจะคิดขึ้นโดยธรรมชาติได้มี การพัฒนาประดิษฐ์เสริมต่อจน เป็นรูปร่างที่ชัดเจนขึ้น จนผู้ดูสามารถเข้าใจ ความหมายได้ลวดลายที่พัฒนาจนสื่อความหมายได้มีปรากฏ อยู่ในผ้าพื้นเมืองของ ไทยอย่างมากมาย 2.1 จากเส้นตรง/ เส้นขาด ได้มีการพัฒนาขึ้นมาเป็นลายที่เกี่ยวกับน้ าและความ อุดมสมบูรณ์ต่าง ๆ ในชุมชนเกษตรกรรม 2.2 ลายฟันปลา ได้มีการพัฒนาเป็นรูปต่าง ๆ 2.3 ลายกากบาทและลายขนมเปียกปูน ได้มีการพัฒนาเป็นรูปลายต่าง ๆ ซึ่งลาย ขนมเปียกปูนภายในบรรจุรูปดาว 8 เหลี่ยม และภายในของดาว 8 เหลี่ยม มักจะมี กากบาทเส้นตรง อยู่ หรือบางทีก็ย่อลงเหลือขนมเปียกปูน กากบาทนั้นเป็นลายที่ พัฒนาที่พบเห็นบ่อย ๆ ในตีนจกและ ขิตของล้านนา และในมัดหมี่ของภาคอีสาน นอกจากนี้ยังพบในผ้าของหลายประเทศ เชื่อกันว่า ลวดลาย ดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ ของดวงอาทิตย์หรือโคมไฟในภาคอีสาน เรียกลายนี้ในผ้ามัดหมี่ว่า ลายโคม ซึ่งทั้ง 2 ลายนี้จะมีลักษณะเป็นรูปขนมเปียกปูนผสมกับลายขอ หรือขนมเปียกปูนมีขายื่น ออกมา 8 ขา พบใน ผ้าตีนจกหรือขิต และมัดหมี่ เรียกชื่อกันต่าง ๆ เช่น ลายแมงมุม หรือลายปลาหมึก โดยบางครั้งลายนี้ อาจจะมีขาเพียง 4 ขา ซึ่งจะเรียกว่า ลายปู นอกจากนั้นยังปรากฏบนผ้ายกดอกหรือผ้ามัดหมี่ซึ่งบางแห่ง นิยมเรียกว่า ลายดอก แก้ว หรือลายดอกพิกุล


34 2.4 จากลายตัวขอหรือก้นหอย ได้มีการน ามาเป็นลายต่าง ๆ อีกมากมาย ลวดลาย ลักษณะนี้จะปรากฏอยู่ทั่วไปบนผ้าจกและขิตของไทยลื้อในภาคเหนือของประเทศ ไทย และบน ลายมัดหมี่ของภาคอีสานในประเทศไทย ซึ่งมักจะเรียกว่า ลายขอหรือ ขอนาค เพราะต่อมาได้เกิดการ พัฒนาเป็นลายนาคเกี้ยว หรือลายนาคชูสน ลายนี้ ปรากฏบนผ้า ตีนจกของล้านนาเกือบทุกผืน มักจะเข้าใจ ว่าเป็นนกหรือหงส์หรือห่าน และมักจะ ปรากฏอยู่เป็นคู่ๆ โดยมีลายเหมือนฝนตกอยู่ข้างบน และมีลาย ภูเขา หรือลายน้ า ไหลอยู่ข้างล่างด้วย ลายนกนี้ยังปรากฏบนผ้าของไทยลื้อ เช่น ผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น ลวดลายแบบนี้มักจะพบเห็นได้บ่อยตามเชิงผ้าตีนจกของภาคเหนือ และผ้าของ ชาวเขา อีกทั้งยังพบได้บน ผ้าและพรมของประเทศอื่น ๆ ซึ่งในประเทศไทยยังไม่มี ใครอธิบายลายนี้ไว้ชัดเจน นอกจากว่าเป็นลายที่ พัฒนามาจากลายขอ หรือลายก้น หอย บางคนเห็นว่าเป็นสัญลักษณ์ของกบและลูกอ๊อด แต่ก็เป็นเพียงการ จินตนาการ จากภาพที่เห็น 3. ลวดลายที่เชื่อมโยงกับคติความเชื่อของคนไทย ลวดลายและสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ ปรากฏอยู่ในศิลปะผ้าทอไทยนั้น เชื่อกันว่ามีความเชื่อมโยงกับคติความเชื่อของคน ไทย ที่สืบทอดกันมา แต่โบราณ ซึ่งอาจศึกษาเปรียบเทียบลวดลายสัญลักษณ์เหล่านี้ กับสัญลักษณ์อย่างเดียวกันที่ปรากฏอยู่ใน ศิลปะประเภทอื่น ๆ เช่น ในจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม หรือแม้แต่ในต านานพื้นบ้านที่ เล่าขานสืบต่อกันมา หรือในวรรณกรรมต่าง ๆ ลวดลายที่เชื่อมโยงกับความเชื่อพื้นบ้านไทยอย่างเห็นได้ชัด มีดังนี้


35 3.1 สัญลักษณ์งูหรือนาค งูหรือนาคปรากฏอยู่ในลายผ้าพื้นเมืองของคนไทย กลุ่มต่าง ๆ เกือบทุกภูมิภาคของประเทศ โดยเฉพาะในล้านนาและในอีสาน นอกจากนี้ยังพบในศิลปะของ กลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไท ที่อาศัยอยู่นอกดินแดน ของไทยในปัจจุบัน เช่น ในสิบสองปันนาในลาว เป็นต้น โดยนักวิชาการหลายคนเชื่อ ว่า งูหรือนาคเป็นสัญลักษณ์ส าคัญร่วมกันของสังคมที่มีวัฒนธรรมน้ า ดังนั้นงูหรือนาค จึงปรากฏอยู่ในศิลปะ และคติความเชื่อของหลาย ๆ ประเทศมาแต่โบราณกาล ใน ศิลปะ การทอผ้าของชาวไทยในล้านนาและในอีสาน แม้ในสิบสองปันนาของ สาธารณรัฐประชาชนจีน ในรัฐฉาน ของประเทศพม่า รวมถึงในประเทศลาว ก็มักจะ เต็มไปด้วยสัญลักษณ์งูหรือนาคประดับประดาในที่ต่าง ๆ มากมาย เช่น ในผ้าขิตของ ชาวไทยลื้อ ในจังหวัดน่าน และจังหวัดเชียงราย มักจะมีลายที่เรียกกันมากมาย หลาย ชื่อ เช่น ลายงูลอย ลายนาคปราสาท ลายขอนาค ลายนาคกระโจม ในผ้ามัดหมี่ของ อีสาน ก็มักจะมี ลวดลายงูและลวดลายนาคในชื่อต่าง ๆ กัน เช่น ลายนาคปีก ลาย นาคเกี้ยว และลายนาคชูสน เป็นต้น ในแถบลุ่มแม่น้ าโขง คนไทยและคนลาว ต่างมี ความเชื่อสืบทอดกันมาเรื่องพญานาค ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมือง บาดาลใต้แม่น้ าโขง จนกระทั่งทุกวันนี้ผู้คนในแถบนั้นก็ยังเชื่อว่า เวลามีงานบุญประเพณีเช่น งานไหลเรือ ไฟ พญานาคก็จะขึ้นมาเล่นลูกไฟด้วย ดังที่มีผู้เห็นลูกไฟขึ้นจากแม่น้ าโขงในช่วง เทศกาลงานไหลเรือไฟเป็น ประจ าเกือบทุกปี 3.2 สัญลักษณ์นกหรือห่านหรือหงส์นกหรือหงส์เป็นสัญลักษณ์ส าคัญที่ปรากฏ อยู่ในศิลปะผ้าทอพื้นบ้าน ในภาคเหนือของไทยเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ก็มีปรากฏ มากในผ้าทอมือของ ลาวสิบสองปันนา และในหมู่พวกคนไทยในประเทศเวียดนาม ลวดลายในสถาปัตยกรรมล้านนาและล้าน ช้าง จะพบรูปนกหรือหงส์เป็น องค์ประกอบที่ส าคัญประดับอยู่บนหลังคาโบสถ์คู่กับสัญลักษณ์นาค หรือ บางแห่งก็มี แต่ลวดลายหงส์ประดับอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในวัดและศาสนสถานส าคัญต่าง ๆ โดยใน


36 สิบสองปันนา สัญลักษณ์ที่เป็นรูปนก หงส์หรือนกยูง จะปรากฏอยู่ทั่วไป ทั้งใน จิตรกรรม สถาปัตยกรรม และบนผืนผ้านกยูงเป็น สัญลักษณ์ที่รัฐบาลจีนปัจจุบันได้ น ามาใช้เป็น สัญลักษณ์ของยูนาน และได้มีการประดิษฐ์นาฏลีลาสมัยใหม่ซึ่งใช้แสดง เป็นสัญลักษณ์ของชาวไทลื้อในสิบ สองปันนา เรียกว่า ระบ านกยูง เป็นต้น ใน ประเทศพม่า สัญลักษณ์รูปหงส์จะเป็นสัญลักษณ์ที่ส าคัญ และ สามารถพบได้มาก ในศาสนสถาน และในโบราณวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับราชวงศ์พม่า ในผ้าตีนจกที่ท าด้วย ฝ้ายจากหาดเสี้ยว ในอ าเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จากอ าเภอน้ าอ่าง จังหวัด อุตรดิตถ์จากอ าเภอคูบัว จังหวัดราชบุรีและซิ่นตีนจกทั้งไหมและฝ้ายของ จังหวัด เชียงใหม่ รวมทั้งซิ่นที่มีตีนจกดิ้นเงินดิ้นทอง ล้วนแต่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์รูปนกคู่ หรือรูปหงส์คู่กิน น้ าร่วมกัน ซึ่งเป็นองค์ประกอบเล็กๆ ของตีนจกแทบจะทุกชิ้นที่พบ นอกจากนี้ในตุงหรือธงที่ชาวไทย พื้นเมืองทางแถบจังหวัดน่าน และเชียงราย ที่ใช้ถวายวัดในประเพณีงานบุญต่าง ๆ มักจะมีลายปราสาท ลายต้นไม้รูปแบบต่าง ๆ ประดับตกแต่งอยู่ โดยที่มีลักษณะเป็น ลวดลายใหญ่ๆ แต่ก็จะต้องมีองค์ประกอบ เป็นลวดลายนกหรือหงส์ปรากฏอยู่เป็น จ านวนมากเช่นกัน ขวัญ เจริญรุ่ง (2559: 16) กล่าวว่า ลวดลายหงส์ตามคติความเชื่อแบบไทย และ คติฮินดู-พุทธ จะถือว่าเป็นสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับต านานในศาสนา เช่น หงส์เป็นพาหนะ ของพระพรหม เป็นต้น และใน ศิลปะไทยก็ถือว่าหงส์เป็นของสูงจึงได้เชิญมาเป็น สัญลักษณ์ของเรือพระราชพิธีคือ เรือสุพรรณหงส์ซึ่งใช้ ในพระราชพิธีพยุหยาตรา ชลมารค เป็นต้น พรศิริค าภูมี (2560: 67) กล่าวถึง ศิลปะการทอผ้าของไทยในภาคต่าง ๆ ที่ยังมีผู้ สืบทอดเทคนิค การทอ อนุรักษ์และพัฒนากันอยู่ซึ่งได้แก่การทอลายในรูปแบบดังนี้


37 1. การทอลายขิต คือ การคัดเก็บยกเส้นด้าย ยืนพิเศษ ให้เกิดเป็นลวดลาย แล้ว สอด เส้นด้ายพุ่งไปตลอดแนวของความกว้างของหน้าผ้า ท าให้เกิดลายขิตในแต่ละ แถวเป็นลายขิตสีเดียวกัน 2. การยก เป็นเทคนิคการทอยกลายให้เห็นเด่นชัด มีลักษณะคล้ายกับการทอ ลายขิต แต่ใช้เส้นพุ่งพิเศษ เช่น ไหม ดิ้นเงิน ดิ้นทอง มีชาย มีเชิง ซึ่งขั้นตอนยุ่งยาก กว่าผ้าทอลายขิดมาก 3. การจก เป็นเทคนิคการทอลวดลายบนผืนผ้า ด้วยวิธีการเพิ่มด้ายพุ่งพิเศษเข้าไป ขณะที่ทอเป็นช่วง ๆ ไปติดต่อกันตลอดหน้ากว้างของผ้ากระท าโดยใช้ไม้หรือขนเม่น หรือนิ้วมือยกหรือจก ด้วยเส้นยืนขึ้น แล้วสอดเส้นพุ่งพิเศษต่อไป ตามจังหวะของ ลวดลาย สามารถสลับสีได้หลากหลายสี 4. การทอลายน้ าไหล เป็นเทคนิคการทอแบบลายขัดธรรมดา แต่ใช้ด้ายหลากสีพุ่ง เกาะ เกี่ยวกันเป็นช่วง ๆ ให้เกิดจังหวะของลายน้ าไหล เป็นลักษณะเฉพาะขอ ชาวเมืองน่าน เรียกกรรมวิธี การทอนี้ว่า ล้วง แต่ชาวไทลื้อ อ าเภอเชียงของ และเชียง ค า ในจังหวัดเชียงราย จะเรียกว่า เกาะ โดยเทคนิคนี้อาจดัดแปลงพัฒนาเป็นลายอื่น ๆ ซึ่งเรียกว่า ลายผักแว่น ลายจรวด เป็นต้น 5. การยกมุก เป็นเทคนิคการทอ โดยใช้เส้นยืนพิเศษเพิ่มบนกี่ทอผ้า ลายยกบนผ้า เกิด จากการใช้ตะกอ ลอยยกด้ายยืนพิเศษ ลวดลายที่เกิดจากเทคนิคนี้คล้ายกันมาก กับลวดลายที่เกิดจาก เทคนิค ขิต จก แทบจะแยกไม่ได้เลยส าหรับผู้ที่ไม่เข้าใจเรื่อง เทคนิคการทอผ้าที่ลึกซึ้ง ชาวไทยพวนที่ต าบล หาดเสี้ยว จังหวัดสุโขทัย และที่ อ าเภอ ลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ใช้เทคนิคนี้ในการทอ ส่วนที่เป็นตัวซิ่น บางครั้งอาจจะ น าเชิงซิ่นมาต่อ เป็นตีนจกเรียกว่า ซิ่นมุก


38 6. การมัดหมี่ เป็นเทคนิคการมัดเส้นพุ่ง หรือเส้นยืนให้เป็นลวดลายด้วยเชือก กล้วย หรือ เชือกฟาง ก่อนน าไปย้อมสีแล้วกรอด้ายให้เรียงตามลวดลาย ร้อยใส่เชือก แล้วน ามาทอ จะได้ลายมัดหมี่ ที่เป็นทางกว้างของผ้า เรียกว่า มัดหมี่ เส้นพุ่ง ซึ่งเป็นที่ นิยมในประเทศไทย โดยมีการท าผ้ามัดหมี่เส้นยืนบ้างในบางจังหวัด เช่น จังหวัด เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ราชบุรีและเพชรบุรีส่วนใหญ่จะเป็นผ้าชาวเขา บางผืนใช้การ ทอสลับกับลายขิต ซึ่งช่วยเพิ่มความวิจิตรงดงามให้แก่ผืนผ้าได้เป็นอย่างมากจาก การศึกษาเกี่ยวกับการออกแบบลวดลายบนผ้าหม้อห้อมในยุคปัจจุบัน สามารถสรุปได้ ว่าการออกแบบจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสมัยนิยม ซึ่งลวดลายที่ เกิดขึ้น จะมีลักษณะตาม รูปแบบของแต่ละแหล่งชุมชนหรือร้านในการออกแบบ ภาพรวมของลวดลาย จะมีลักษณะเป็นลายไทยลายที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติลวดลายที่ เกิดจากเรขาคณิต และลวดลายแบบนามธรรม หรือลวดลายที่เกิดจากความช านาญ ของผู้ออกแบบที่ท ามาเป็นระยะเวลานาน


39 ลวดลาย ที่มา : มัดย้อมครามคุณแม่ (เข้าถึงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565)


40 บทที่ 5 สรุป ภูมิปัญญาท้องถิ่น เรื่อง ผ้าหม้อห้อม ควรมีการจัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้เรื่อง ภูมิปัญญาผ้าหม้อห้อม กับการส่งเสริมให้ใช้และสวมใส่ผลิตภัณฑ์จากผ้าหม้อห้อม เท่ากัน 2 รูปแบบการจัดกิจกรรม ทั้งนี้การจัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้ให้เกิดขึ้นใน ชุมชนที่เป็นรูปธรรม จะช่วยดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายเดิมที่มีความรู้พื้นฐาน หรือไม่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการผลิตผ้าหม้อห้อม ได้เข้ามาเรียนรู้ได้สะดวกมาก ขึ้น หากจะไปศึกษาตามแหล่ง ผลิตต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเขตพื้นที่ชุมชน อาจเป็นไปได้ยาก เนื่องจากในแต่ละแหล่งผลิตก็จะมีข้อจ ากัดที่ไม่ เหมือนกัน เช่น สูตรของการหมักน้ า ห้อม กรรมวิธีรูปแบบการผลิตแบบดั้งเดิมหรือแบบใหม่ซึ่งอาจจะ ไม่ใช่เป้าหมายที่ แท้จริงในการไปเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ภูมิปัญญา ซึ่งการส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ เข้า มามาส่วนร่วมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าหม้อห้อมของจังหวัดแพร่ (วิษณุ จันทร์ ทร,2561) ได้กล่าวว่า การท าให้คนในชุมชนเห็นคุณค่าในภูมิปัญญาท้องถิ่นของ ตนเอง จะต้อง สนับสนุนในเรื่องของการเข้ามามีส่วนร่วมในภูมิปัญญาดังกล่าว เช่น การมีวิทยากรจัดบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับผ้าหม้อห้อมให้กับคนในชุมชน ควรมีการ จัดศูนย์การเรียนรู้ของชุมชนให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น และ(โสรัจ เขียวแก่น,2561) กล่าวว่า การสนับสนุนส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น เรื่อง ผ้าหม้อห้อม ควรได้รับการ สนับสนับสนุนและช่วยกันจากทุกภาคส่วน เพราะปัจจุบันผ้าหม้อห้อมของเมือง แพร่ ในรูปแบบธรรมชาติก าลังถูกคุกคามจากการแข่งขันทางการค้า และระบบการผลิต ของโรงงาน อุตสาหกรรม จึงควรมีการจัดรูปแบบของการให้ความรู้กับคนในชุมชน


41 หรือจัดเป็นศูนย์การเรียนรู้ของชุมชน ที่เกี่ยวเฉพาะเจาะจงกับเรื่องของผ้าหม้อห้อม มากขึ้น นอกเหนือจากนี้การส่งเสริมให้คนในชุมชนให้คนในชุมชนและท้องถิ่นสวมใส่ ผ้าหม้อห้อมในโอกาสส าคัญ ๆ และสวมใส่ในชีวิตประจ าวัน จะท าให้เกิดการ ปลูกฝัง ให้กับคนรุ่นใหม่ตั้งแต่อายุยังน้อย มีความคุ้นชิน มีความรู้ความเข้าใจถึงกระบวนการ ผลิตผ้าหม้อ ห้อม เกิดเป็นลักษณะนิสัยติดตัว ก็จะช่วยท าให้ภูมิปัญญาเกี่ยวกับผ้า หม้อห้อมคงอยู่กับชุมชนโดยเป็นวิถีชีวิตอย่างแท้จริง เสื้อหม้อห้อม ที่มา : เสื้อหม้อห้อมเมืองแพร่ (เข้าถึงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565) เสื้อหม้อห้อม ที่มา : https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG210702134314587 (เข้าถึงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565)


42


43


44


45


46 บรรณำนุกรม คุณสว่าง สีตื้อ. (2562:1). ข้อมูลปรำชญ์หม้อห้อม. บ้านนาคูหา ต าบลสวนเขื่อน อ าเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่. คุณยุพิน สายส าเภา. (2562:2). ข้อมูลปรำชญ์หม้อห้อม. บ้านทุ่งโฮ้ง ต าบลทุ่งโฮ้ง อ าเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่. คุณกฤษณะ วัลลภาชัย. (2562:3). ข้อมูลปรำชญ์หม้อห้อม. บ้านทุ่งโฮ้ง ต าบลทุ่งโฮ้ง อ าเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่. ม่อฮ่อม หรือ หม้อห้อม. (2563:4). ส ำนักงำนรำชบัณฑิตยสภำ. สมพร สมประภาส. (2557: 7). ประโยชน์ของห้อม. ลักษณะของห้อมหรือฮ่อม. (2564:9). KASET TAMBON. สมพงศ์สงฆ์สกุล. (2558). กำรพัฒนำงำนออกแบบและงำนสร้ำงสรรค์. นนทบุรี: โรงพิมพ์รุ่งเรืองกิจ. สมพร สมประภาส. (2557). กำรย้อมสีผ้ำหม้อห้อม. กรุงเทพมหานคร: ณรงค์พลับบ ลิชชิ่ง ลิมิเต็ด. ศรายุธ สมประสงค์. (2557). หม้อห้อมไทยพื้นเมือง. น่าน. วิทยาวัฒน์การพิมพ์. ศศิภรณ์อัมราพรรณ (2559). เครื่องแต่งกำยพื้นบ้ำนของไทย. กรุงเทพมหานคร: อัม รินทร์พับบลิชชิ่งกรุ๊ป


Click to View FlipBook Version