เหล้า ล้ ต้ม ต้ กะเหรี่ย รี่ งสะกอ
เรื่องเหล้าต้มกระเหรี่ยงสะกอ จัดทำ โดย ๑.นางสาวณัฏฐณิชา อนันต์ไพสิฐ รหัสนักศึกษา ๖๓๑๐๑๐๑๑๐ ๒.นางสาวชรินทร์ทิพท์ เลิศดำ เนิน รหัสนักศึกษา ๖๓๑๐๑๐๑๑๑ ๓.นางสาวธัญญาพัณธ์ พรหมพนัส รหัสนักศึกษา ๖๓๑๘๑๐๑๐๑๑๙ ๔.นางสาวจิณณรัตน์ กันธิยาใจ รหัสนักศึกษา ๖๓๑๘๑๐๑๐๑๒๖ ๕.นางสาวอรัญญา มะโนวงค์ รหัสนักศึกษา ๖๓๑๘๑๐๑๐๑๒๗ ๖.นางสาววิภาดา คำ หลวง รหัสนักศึกษา ๖๓๑๘๑๐๑๐๑๓๐ เสนอ อาจารย์ ธิดารัตน์ ผมงาม หนังสือเล่มนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชาคติชนวิทยา หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำ ปาง
คำ นำ ร า ย ง า น ฉ บั บ นี้ เ ป็ น ส่ ว น ห นึ่ ง ข อ ง วิ ช า ค ติ ช น วิ ท ย า ร หั ส วิ ช า ๑ ๕ ๔ ๓ ๔ ๓ ๒ ซึ่ ง ไ ด้ นำ เ ส น อ ใ น เ นื้ อ ห า เ กี่ ย ว กั บ เ รื่ อ ง เ ห ล้ า ต้ ม ก ร ะ เ ห รี่ ย ง ส ะ ก อ ซึ่ ง มี เ นื้ อ ห า เ กี่ ย ว กั บ ค ว า ม เ ป็ น ม า ข อ ง ห มู่ บ้ า น ลั ก ษ ณ ะ ที่ ตั้ ง วิ ถี ชี วิ ต ก า ร แ ต่ ง ก า ย ค ว า ม เ ชื่ อ ภ า ย ใ น ห นั ง สื อ เ ล่ ม นี้ มี เ นื้ อ ห า ดั ง ต่ อ ไ ป นี้ ตั้ ง แ ต่ บ ท ที่ ๑ ข้ อ มู ล พื้ น ฐ า น ข อ ง ชุ ม ช น บ ท ที่ ๒ วิ ถี ชี วิ ต ค ว า ม เ ป็ น อ ยู่ บ ท ที่ ๓ เ ห ล้ า ต้ ม ก ะ เ ห รี่ ย ง ส ะ ก อ บ ท ที่ ๔ มุ ม ม อ ง เ กี่ ย ว กั บ เ ห ล้ า ต้ ม ข อ ง ค นใ น ชุ ม ช น แ ล ะ บ ท ที่ ๕ ส รุ ป ซึ่ ง ก ลุ่ ม ผู้ จั ด ทำ ไ ด้ ล ง พื้ น ที่ เ ก็ บ ร ว บ ร ว ม ข้ อ มู ล จ า ก ผู้ ใ ห ญ่ บ้ า น ค นใ น ชุ ม ช น แ ล ะ แ ห ล่ ง ข้ อ มู ล ที่ เ ชื่ อ ถื อ ไ ด้ ไ ม่ ว่ า จ ะ ใ น ห นั ง สื อ ห รื อ แ ห ล่ ง เ รี ย น รู้ อ อ น ไ ล น์ ซึ่ ง ทำ ใ ห้ ก ลุ่ ม ผู้ จั ด ทำ ไ ด้ รั บ ค ว า ม รู้ เ กี่ ย ว กั บ เ รื่ อ ง เ ห ล้ า ต้ ม ก ะ เ ห รี่ ย ง ส ะ ก อ แ ล ะ ก ลุ่ ม ผู้ จั ด ทำ ห วั ง ว่ า ห นั ง สื อ เ ล่ ม นี้ จ ะ เ ป็ น ป ร ะ โ ย ช น์ สำ ห รั บ ผู้ อ่ า น นั ก เ รี ย น นั ก ศึ ก ษ า ที่ กำ ลั ง ศึ ก ษ า แ ล ะ ส นใ จ ข้ อ มู ล เ รื่ อ ง เ ห ล้ า ต้ ม ก ร ะ เ ห รี่ ย ง ส ะ ก อ สุ ด ท้ า ย นี้ ก ลุ่ ม ผู้ จั ด ทำ ตั้ ง ใ จ ทำ ห นั ง สื อ เ ล่ ม นี้ เ ป็ น อ ย่ า ง ม า ก ห า ก เ กิ ด ข้ อ ผิ ด พ ล า ด ป ร ะ ก า รใ ด ต้ อ ง ข อ อ ภั ย ม า ณ ที่ นี้ ด้ ว ย ข อ ข อ บ พ ร ะ คุ ณ อ า จ า ร ย์ ธิ ด า รั ต น์ ผ ม ง า ม อ า จ า ร ย์ ผู้ ส อ น ป ร ะ จำ วิ ช า ค ติ ช น วิ ท ย า ที่ ไ ด้ ใ ห้ ค ว า ม รู้ แ ล ะ คำ แ น ะ นำ จ น ร า ย ง า น ฉ บั บ นี้ บ ร ร ลุ เ ป้ า ห ม า ย แ ล ะ สำ เ ร็ จ ต า ม ป ร ะ ส ง ค์ ค ณ ะ ผู้ จั ด ทำ ภ า พ ป ร ะ ก อ บ ใ น ก า ร ล ง พื้ น ที่ สั ม ภ า ษ ณ์ ข้ อ มู ล กั บ ช า ว ก ะ เ ห รี่ ย ง ก ๖ ๕
ส า ร บั ญ เ รื่ อ ง ห น้ า คำ นำ ก ส า ร บั ญ ข ส า ร บั ญ ภ า พ ง กิ ต ติ ก ร ร ม ป ร ะ ก า ศ ฉ บ ท ที่ ๑ ข้ อ มู ล พื้ น ฐ า น ข อ ง ชุ ม ช น ๓ ๑.๑ ป ร ะ วั ติ ชุ ม ช น บ้ า น ขุ น แ ม่ ร ว ม ๓ - ๖ ๑.๒ ลั ก ษ ณ ะ ภู มิ ป ร ะ เ ท ศ ๗ ๑.๓ ป ร ะ ช า ก ร ก า ร ศึ ก ษ า แ ล ะ อ า ชี พ ๘ ๑.๔ ส ถ า น ที่ สำ คั ญใ น ห มู่ บ้ า น ส ภ า พ อ า ก า ศ ๙ ๑.๕ ข้ อ มู ล ทั่ ว ไ ป ใ น ชุ ม ช น ๑ ๐ - ๑ ๓ บ ท ที่ ๒ วิ ถี ชี วิ ต ค ว า ม เ ป็ น อ ยู่ ๑ ๗ ๒.๑ วิ ถี ชี วิ ต ข อ ง ช า ว ป ก า เ ก อ ะ ญ อ ๑ ๗ ๒.๒ ตำ น า น ข อ ง เ ห ล้ า ต้ ม ก ะ เ ห รี่ ย ง ๑ ๘ - ๑ ๙ ๒.๓ ป ร ะ เ พ ณี แ ล ะ พิ ธี ก ร ร ม ข อ ง ช า ว ก ะ เ ห รี่ ย ง ๑ ๙ - ๒ ๒ ๒.๔ ภ า ษ า บ้ า น เ รื อ น อ า ห า แ ล ะ ก า ร เ เ ต่ ง ก า ย ๒ ๓ - ๒ ๕ บ ท ที่ ๓ เ ห ล้ า ต้ ม ก ะ เ ห รี่ ย ง ๒ ๙ ๓.๑ วั ส ดุ อุ ป ก ร ณ์ใ น ก า ร ต้ ม เ ห ล้ า ๒ ๙ ๓.๒ วิ ธี แ ล ะ ขั้ น ต อ นใ น ก า ร ต้ ม เ ห ล้ า ๓ ๐ - ๓ ๑ ๓.๓ ก า รใ ช้ เ ห ล้ า ใ น พิ ธี ก ร ร ม ๓ ๔ ๓.๔ ค ว า ม เ ชื่ อ เ กี่ ย ว กั บ เ ห ล้ า ๓ ๔ - ๓ ๘ ภ า พ ป ร ะ ก อ บ ใ น ก า ร ล ง พื้ น ที่ สั ม ภ า ษ ณ์ ข้ อ มู ล กั บ ช า ว ก ะ เ ห รี่ ย ง ๖ ๔ ข
สารบัญ ภาพประกอบพิธีกรรมต่างๆ พิธีกรรมมัดมือ พิธีกรรมขึ้นบ้านใหม่ พิธีกรรมมัดมือควาย พิธีกรรมแต่งงาน บทที่ ๔ มุมมองเกี่ยวกับเหล้าต้มของคนในชุมชน ๔๑ ๔.๑ มุมมองวัยรุ่นในชุมชนกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาพุทธ ๔๑ ๔.๒ มุมมองของวัยกลางคนในชุมชนกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาพุทธ ๔๒ ๔.๓ มุมมองของผู้สูงอายุในชุมชนกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาพุทธ ๔๓ ๔.๔ มุมมองของชาวกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาคริสต์ ๔๔ บทที่ ๕ สรุป ๔๗ บรรณานุกรม ๔๘ ภาพผนวก ๕๑ - ๖๕ ข ๖๓ ภาพ หน้า
สารบัญภาพ ภาพประกอบอาหารการกินของชาวกะเหรี่ยง ภาพประกอบการเดินทาง ๕๑ ภาพประกอบเส้นทาง ๕๒ ภาพประกอบภูมิทัศน์ในชุมชนดอยขุนแม่รวม ๕๓ ภาพประกอบวิธีการต้มเหล้า ๕๔ - ๕๗ ภาพประกอบการเดินทางไปสัมภาษณ์คนในชุมชน ๕๘ ภาพประกอบการสัมภาษณ์คนในชุมชน ๕๙ - ๖๑ ภาพประกอบอาหารการกินของชาวกะเหรี่ยง ๖๒ ภาพประกอบพิธีกรรมต่างๆ ๖๓ ภาพประกอบในการลงพื้นสัมภาษณ์ข้อมูลกับ ๖๔ - ๖๕ ชาวกะเหรี่ยง ภาพ หน้า ๖๒ ง
ภ า พ ป ร ะ ก อ บ ก า ร สั ม ภ า ษ ณ์ ค นใ น ชุ ม ช น กิ ต ติ ก ร ร ม ป ร ะ ก า ศ ห นั งนั สื อ สื เ ล่ มล่เ ล็ ก ล็ ฉ บั บบั นี้ สำนี้ สำ เ ร็ จ ร็ ลุ ล่ลุวล่ง ไ ป ไ ด้ ด้ ด้ วด้ ย ก า รใ ห้ ค ห้ ว า ม ช่ วช่ย เ ห ลื อ ลื แ น ะ นำ ข อ ง อ า จ า ร ย์ ธิ ย์ ด ธิ า รั ตรั น์ ผ ม ง า ม อ า จ า ร ย์ ป ย์ ร ะ จำ ร า ย วิ ช วิ า ค ติ ช ติ น วิ ท วิ ย า ที่ ค ที่ อ ย ใ ห้ ค ห้ ว า ม รู้ แ ล ะ ก า ร เ รี ย รี น รู้ ค้ รู้ นค้ ค ว้ าว้ อ ย่ าย่ง อิ ส อิ ร ะ น า ย เ อ ก ชั ยชั จ รู ญ รู พู น พู ม ง ค ล ผู้ ใผู้ ห ญ่ บ้ญ่าบ้ น ขุ นขุแ ม่ รม่ว ม เ ป็ น ป็ ผู้ ใผู้ ห้ สัห้ มสั ภ า ษ ณ์ เ ณ์ รื่ อ รื่ ง ป ร ะ วั ติวัติ ห มู่ บ้ มู่ าบ้ น ลั กลั ษ ณ ะ ห มู่ บ้ มู่ าบ้ น แ ล ะ ภู มิ ภู ทั มิ ศทั น์ ห น์ มู่ บ้ มู่ าบ้ น ใ น ก า ร เ ก็ บ ก็ ร ว บ ร ว ม ข้ อ ข้ มู ล มู อี ก อี ทั้ งทั้ ใ ห้ ค ว า ม รู้ แ รู้ ก่ คก่ณ ะ ผู้ จัผู้ ดจั ทำ จ น ส า ม า ร ถ ทำ ใ ห้ เ ห้ ล่ มล่เ ล็ ก ล็ ฉ บั บบั นี้ สำนี้ สำ เ ร็ จ ร็ ลุ ล่ลุวล่ง ไ ป ไ ด้ ด้ ด้ วด้ ย ดี น า ย ห ม่ อม่ริ เ ริ จ๊ เ ลิ ศ ลิ ดำ เ นิ น นิ ผู้ อ ผู้ า วุ โวุสใ น ห มู่ บ้ มู่ าบ้ น ขุ นขุแ ม่ รม่ว ม เ ป็ น ป็ ผู้ ใผู้ ห้ สัห้ มสั ภ า ษ ณ์ เ ณ์ รื่ อ รื่ ง ตำ น า น ค ว า ม เ ป็ น ป็ ม า ข อ ง ห มู่ บ้ มู่ าบ้ น แ ล ะ ตำ น า น ค ว า ม เ ป็ น ป็ ม า ข อ ง เ ห ล้ า ล้ ต้ มต้ ก ะ เ ห รี่ ย รี่ ง ส ะ ก อ อี ก อี ทั้ งทั้ ใ ห้ ค ห้ ว า ม รู้ แ รู้ ก่ คก่ณ ะ ผู้ จัผู้ ดจั ทำ จ น ส า ม า ร ถ ทำ ใ ห้ เ ห้ ล่ มล่เ ล็ ก ล็ ฉ บั บบั นี้ สำนี้ สำ เ ร็ จ ร็ ลุ ล่ลุวล่ง ไ ป ไ ด้ ด้ ด้ วด้ ย ดี น า ย บุ ญบุธ ร ร ม น ภ า เ ก รี ย รี ง ไ ก ร ผู้ ที่ผู้ ทำ ที่ ทำ ง า น เ กี่ ย กี่ ว ข้ อ ข้ ง กั บกั อ ง ค์ ก ค์ า ร บ ริ ห ริ า ร ส่ วส่น ตำ บ ล เ ป็ น ป็ ผู้ ใผู้ ห้ สัห้ มสั ภ า ษ ณ์ เ ณ์ รื่ อ รื่ ง วิ ถี วิ ชี ถี วิ ชี ต วิ ค ว า ม เ ชื่ อ ชื่ ป ร ะ เ พ ณี พิ ณี ธี พิ ก ธี ร ร ม ข อ ง ช า ว ก ะ เ ห รี่ ย รี่ ง อี ก อี ทั้ งทั้ ใ ห้ ค ห้ ว า ม รู้ แ รู้ ก่ คก่ณ ะ ผู้ จัผู้ ดจั ทำ จ น ส า ม า ร ถ ทำ ใ ห้ เ ห้ ล่ มล่เ ล็ ก ล็ ฉ บั บบั นี้ สำนี้ สำ เ ร็ จ ร็ ลุ ล่ลุวล่ง ไ ป ไ ด้ ด้ ด้ วด้ ย ดี น า ง บั วบั คำ แ ล ะ น า ย คำ มู ล มู เ ลิ ศ ลิ ดำ เ นิ น นิ ใ ห้ สัห้ มสั ภ า ษ ณ์ เ ณ์ รื่ อ รื่ ง วิ ถี วิ ชี ถี วิ ชี ต วิ ค ว า ม เ ชื่ อ ชื่ พิ ธี พิ ก ธี ร ร ม ก า ร แ ต่ งต่ก า ย อ า ห า ร ก า ร กิ น กิ แ ล ะ ก า ร ต้ มต้ เ ห ล้ าล้ ข อ ง ช า ว ก ะ เ ห รี่ ย รี่ ง อี ก อี ทั้ งทั้ ใ ห้ ค ห้ ว า ม รู้ แ ก่ คก่ณ ะ ผู้ จัผู้ ดจั ทำ จ น ส า ม า ร ถ ทำ ใ ห้ เ ห้ ล่ มล่เ ล็ ก ล็ ฉ บั บบั นี้ สำนี้ สำ เ ร็ จ ร็ ลุ ล่ลุวล่ง ไ ป ไ ด้ ด้ ด้ วด้ ย ดี น า ย ชู เ ชู กี ย กี ร ติ ห ง ส์ อ ส์ า จ ห า ญ ค น ก ะ เ ห รี่ ย รี่ ง ใ น ชุ มชุช น ขุ นขุแ ม่ รม่ว ม ใ ห้ สัห้ มสั ภ า ษ ณ์ เ ณ์ รื่ อ รื่ ง อ า ชี พ ชี ค นใ น ชุ มชุช น ตำ น า น ก า ร ตั้ งตั้ ถิ่ น ถิ่ ฐ า น เ ผ่ าผ่พั นพั ธุ์ ก ธุ์ ะ เ ห รี่ ย รี่ ง ตำ น า น า น ข อ ง แ ป้ ง ป้ เ ห ล้ า ล้ ก ะ เ ห รี่ ย รี่ ง ก า ร แ ต่ งต่ก า ย ข อ ง ช า ว ก ะ เ ห รี่ ย รี่ ง ค ว า ม เ ชื่ อ ชื่ เ กี่ ย กี่ ว กั บกั พิ ธี พิ ก ธี ร ร ม ที่ ต้ ที่ อ ต้ ง ใ ช้ เ ช้ ห ล้ าล้ ต้ มต้ ก ะ เ ห รี่ ย รี่ ง ภ า พ : ก ะ เ ห รี่ ย ง ใ น ชุ ม ช น ขุ น แ ม่ ร ว ม อำ เ ภ อ กั ล ญ า ณิ วั ฒ น า จั ง ห วั ด เ ชี ย ง ใ ห ม่่ ที่ ม า :ค ณ ะ ผู้ จั ด ทำ ฉ ๖ ๑ ค ณ ะ ผู้ จั ด ทำ
ภาพประกอบการสัมภาษณ์คนในชุมชน บทที่ ๑ ภาพ:การสัมภาษณ์ข้อมูลวัยกลางคนในชุมชนกะเหรี่ยง อำ เภอกัลญาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ ที่มา :คณะผู้จัดทำ ๖๐
ภาพประกอบการสัมภาษณ์คนในชุมชน ภาพ :การสัมภาษณ์ข้อมูลวัยรุ่นคนในชุมชนกะเหรี่ยง อำ เภอกัลญาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ ที่มา :คณะผู้จัดทำ ๕๙
บทที่ ๑ ข้อมูลพื้นฐานของชุมชน ๑. ประวัติชุมชนบ้านขุนแม่รวม บ้านขุนแม่รวม หมู่ที่ ๑ ตำ บลแจ่มหลวง อำ เภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัด เชียงใหม่ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ๒๓๒๖ โดยนายเดดู พร้อมกับหลานชายอีกหนึ่งคน ชื่อนายแชแช ย้ายมาจากบ้านขุนแม่หยอด ตำ บลแม่ศึก อำ เภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งห่างจากบ้านขุนแม่รวมประมาณ ๒๐ กิโลเมตร ก่อนที่ นายเดดูจะสร้างบ้านหรือก่อตั้งหมู่บ้านใหม่นั้น ได้มีการทำ พิธีกรรมตามความ เชื่อ โดยการนำ กระดูกไก่ดำ ทำ การประกอบพิธี เพื่อหาจุดสร้างบ้าน เมื่อได้ จุดกำ หนดตำ แหน่งก็ได้สร้างบ้าน ๑ หลัง ที่เรียกชื่อตามภาษาปกาเก่อญอ ว่า "เบลาะ" ซึ่งใช้สำ หรับการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ และเอาไว้ต้อนรับแขก บ้านแขกเมืองที่มาเยือน เมื่อสร้างเบลาะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะให้สมาชิก คนอื่น ๆ หาที่จับจองสำ หรับสร้างบ้านบริเวณรอบ ๆ เบลาะตามความเชื่อ ของชาวปกาเก่อญอนั้น หากหาจุดตำ แหน่งเบลาะไม่ได้หรือไม่ดีก็จะตั้ง รกรากสร้างบ้านไม่ได้เช่นกัน ในการปกครองบ้านนั้นจะมีกมีารปกครองแบบ ผู้นำ ตามประเพณีหรือที่เรียกว่า "หยี่โข่" ซึ่งมีการสืบทอดมายาวนาน โดย เรียงลำ ดับ ดังนี้ ภาพประกอบการเดินทางไปสัมภาษณ์คนในชุมชน ๕๘ ๓ ที่มา :คณะผู้จัดทำ
๑. น า ย เ ด ดู เ ป็ น ผู้ ป ก ค ร อ ง ค น แ ร ก มี บ้ า น ๓ ห ลั ง ค า เ รื อ น ๒. น า ย แ ซ แ ช เ ป็ น ผู้ สื บ ท อ ด เ ป็ น ค น ที่ ส อ ง ซึ่ ง เ ป็ น ห ล า น น า ย เ ด ดู ช่ ว ง เ ว ล า น า ย แ ช แ ช เ ป็ น ผู้ ป ก ค ร อ ง ห มู่ บ้ า น มี ส ม า ชิ ก เ พิ่ ม ขึ้ น ม า อี ก ๑ ๕ ห ลั ง ค า เ รื อ น ๓. น า ย พ า แ ค เ ป็ น ผู้ สื บ ท อ ด เ ป็ น ค น ที่ ๓ ซึ่ ง เ ป็ น บุ ต ร ข อ ง น า ย แ ช แ ช น า ย พ า แ ค มี บุ ต ร ๔ ค น ค น ที่ ๑ น า ย ตุ ค า ค น ที่ ๒ น า ย โ ป่ ง ก า ค น ที่ ๓ น า ย ฉุ ย เ ฉ อ ค น ที่ ๔ น า ย ห ม่ อ ร ะ ๔. น า ย โ ป่ ง ก า เ ป็ น ผู้ สื บ ท อ ด เ ป็ น ที่ ๔ แ ล ะ ป ก ค ร อ ง เ ป็ น เ ว ล า น า น ๑ ๕ ปี ๕. น า ย ห ม่ อ ร ะ เ ป็ น ผู้ สื บ ท อ ด เ ป็ น ที่ ๕ ต่ อ จ า ก น า ย โ ป่ ง ก า ซึ่ ง เ ป็ น พี่ ช า ย ข อ ง น า ย ห ม่ อ ร ะ ไ ด้ ป ก ค ร อ ง ไ ด้ ๓ ปี เ สี ย ชี วิ ต ล ง ๖. น า ย แ ซ ะ จ ง ส กุ ล พั ฒ น์ กุ ล เ ป็ น ผู้ สื บ ท อ ด ค น ที่ ๖ เ ป็ น บุ ต ร ข อ ง น า ย ห ม่ อ ร ะ ป ก ค ร อ ง จ น ถึ ง ปั จ จุ บั น ป ร ะ วั ติ ช า ว ก ะ เ ห รี่ ย ง " ก ะ เ ห รี่ ย ง " เ ป็ น ช า ว เ ข า ก ลุ่ ม ใ ห ญ่ ที่ สุ ด ใ น ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย อ า ศั ย อ ยู่ ห น า แ น่ นใ น บ ริ เ ว ณ พื้ น ที่ ป่ า เ ข า ท า ง ทิ ศ ต ะ วั น ต ก ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย บ ริ เ ว ณ ช า ย แ ด น ไ ท ย - พ ม่ า แ ล ะ ค่ อ ย ๆ เ ค ลื่ อ น ย้ า ย ม า ท า ง ทิ ศ ต ะ วั น อ อ ก ใ น ร ะ ย ะ แ ร ก ป ร ะ ม า ณ 2 0 0 ปี ที่ ผ่ า น ม า แ ต่ มี เ อ ก ส า ร ที่ ถู ก บั น ทึ ก โ ด ย มิ ช ชั น น า รี ที่ ไ ด้ ศึ ก ษ า เ กี่ ย ว กั บ อ า ณ า จั ก ร ส ย า ม บ า ง ท่ า น พ บ ว่ า ก ะ เ ห รี่ ย ง ตั้ ง ถิ่ น ฐ า น อ ยู่ ใ น ป ร ะ เ ท ศ ส ย า ม ม า ก่ อ น แ ต่ เ มื่ อ ค น ไ ท ย ถ อ ย ร่ น ล ง ม า จ า ก ท า ง เ ห นื อ ม า ส ร้ า ง บ้ า น แ ป ล ง เ มื อ ง อ ยุ ธ ย า ช า ว ก ะ เ ห รี่ ย ง จึ ง ต้ อ ง ย อ ม เ สี ย พื้ น ที่ ใ ห้ แ ล ะ ร่ น ไ ป อ า ศั ย อ ยู่ ต า ม ภู เ ข า ท า ง ด้ า น ทิ ศ ต ะ วั น อ อ ก กั บ ทิ ศ ต ะ วั น ต ก ม า จ น ก ร ะ ทั่ ง ทุ ก วั น นี้ ( ม ง เ ซ เ ญ อ ร์ ป า ล เ ล กั ว ซ์ 2 5 0 6, ห น้ า 3 6 ) ภ า พ ป ร ะ ก อ บ วิ ธี ก า ร ต้ ม เ ห ล้ า ๔ ๕ ๗ ที่ ม า :ค ณ ะ ผู้ จั ด ทำ
ชาวกะเหรี่ยงที่เรียกตัวเองว่าปกาเกอะญอ ซึ่งได้ให้ความหมายตรงกับ คำ ว่าคนหรือมนุษย์ เป็นกลุ่มชนเผ่าชาติพันธุ์หนึ่งที่ได้ตั้งถิ่นที่อยู่อาศัย เป็นชุมชน หมู่บ้านในเขตแดนการปกครองของประเทศไทย กะเหรี่ยง หลักที่อยู่อาศัยในเขตแดนการปกครองของประเทศไทย ประกอบด้วย ปกาเกอะญอ 4 กลุ่มหลักคือ 1.จกอร์/สะกอร์ 2.โพล่ง/โปว์ 3.กแบ/ คะยา 4.ปะโอ/ตองสู กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ครอบคลุมพื้นที่ 16 จังหวัดในประเทศไทย คือ ภาคตะวันตก 7 จังหวัดประกอบด้วยจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ราชบุรี นครปฐม กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี และภาคเหนือ 9 จังหวัดประกอบด้วย จังหวัดกำ แพงเพชร สุโขทัย ตาก แพร่ ลำ ปาง ลำ พูน แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่และเชียงราย รวมประชากรทั้งหมดในปี พ.ศ.2560 จำ นวน 1,930 กลุ่มบ้าน 125,673 หลังคาเรือน 549,395 คน (รายงานโครงการสำ รวจข้อมูล ชุมชนกะเหรี่ยงโดยเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือ “คกน. 2560” ) ภาพประกอบวิธีการต้มเหล้า ๕๖ ๕ ที่มา :คณะผู้จัดทำ
การอพยบเข้ามาในพื้นที่ของชาวกะเหรี่ยง ในสมัยโบราณชาวกะเหรี่ยงได้อพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่ หรือผืนป่า แห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่โดยมีความเชื่อว่าผู้ใหญ่บ้าน หมู่ไหนเสีย ชีวิตจะต้องมีการย้ายหมู่บ้านออกจากพื้นที่นั้นทันทีหลังจากนั้นชาว กะเหรี่ยงจึงได้ย้ายไปอยู่พื้นที่หนึ่งโดยมีปกกาเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกและ จึงได้ตั้งชื่อหมู่บ้านนั้นว่า “หมู่บ้านขุนแม่รวม” โดยแจ้งกับคนในชุมชน ว่า “ถ้าตนเองเสียชีวิต”ห้ามประชากรในพื้นที่ย้ายออกจากชุมชน และ หลังจากนั้นที่ปกกาได้เสียชีวิตลงประชากรในพื้นที่ก็ได้แต่งตั้งผู้ใหญ่บ้าน คนใหม่ขึ้นชื่อคือ พือ จอลา โดย พือ จอลา เป็นผู้ที่ปลูกป่าและสร้าง ชุมชนแต่ในสมัยนั้นมีกรมป่าไม้ที่เป็นหน่วยงานของรัฐบาลเข้ามาตรวจ สอบซึ่งถ้าหากจะปลูกป่าต้องใช้งบประมาณของรัฐบาลจำ นวนมากแต่ พือ จอลา ก็ได้ขอกับเจ้าหน้าที่ว่าขอสร้างชุมชนและปลูกป่าเอง โดยมี ข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐบาลว่าถ้าตนเองและคนในชุมชน ป่าไม้ได้จะคืนพื้นที่ตรงนั้นให้เจ้าหน้าที่เป็นคนเข้ามาปลูก ภาพประกอบวิธีการต้มเหล้า ๖ ๕๕ ที่มา :คณะผู้จัดทำ
๒. ลักษณะภูมิประเทศ ชุมชนบ้านขุนแม่รวม อยู่ท่ามกลางหุบเขา มีห้วยขุนแม่รวมไหลผ่าน บริเวณรอบ ๆ หมู่บ้านล้อมรอบ ด้วยภูเขา มีดอยโปงกา (แบพริโข่ และ ดอยโป่งกาน้อย เป็นดอยศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของซาวขุนแม่รวม ซึ่งมี ความสูงจากระดับน้ำ ทะเลปานกลาง ประมาณ ๙๐๐ - ๑,๖๐๐ เมตร มี ลำ ห้วยที่สำ คัญ ๓ สาย คือ ห้วยขุนแม่รวม ห้วยแดงน้อย ห้วยเซอะเด๊อะ โกล๊ะ ทั้งสามห้วยมีน้ำ ไหลตลอดทั้งปี มีอาณาเขตติดต่อกันดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านห้วยเขียดแห้ง ตำ บลแจ่มหลวง อำ เภอกัลยาณิ วัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านห้วยผา ตำ บลแม่นาจร อำ เภอแม่แจ่ม จังหวัดเขียง ใหม่ และบ้านป่ากล้วย ตำ บลแม่ศึก อำ เภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านโป่งสะแยง ตำ บลแม่นาจร อำ เภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านแม่สุรินทร์ ตำ บลแม่อูคอ อำ เภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ภาพประกอบวิธีการต้มเหล้า ๕๔ ๗ ที่มา :คณะผู้จัดทำ ที่มา :คณะผู้จัดทำ
๓. ประชากร ๓.๑ ข้อมูลประชากรตามทะเบียนราษฎร์ (สำ นักงานทะเบียนอำ เภอ กัลยาณิวัฒนา) จำ นวนครัวเรือน ๒๑๓ ครัวเรือน ประชากรชาย ๕๓๕ คน ประชากรหญิง ๔๖๘ คน รวม ๑,๐๐๓ คน ๔. การศึกษา ๔.๑ ศูยน์พัฒนาเด็กเล็ก ๒ แห่ง ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านขุนแม่รวม จำ นวนครู ๒ คน จำ นวนนักเรียน ๓๐ คน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านขุนแม่รวม จำ นวนครู ๑ คน จำ นวน นักเรียน ๑๒ คน ๔.๒ โรงเรียนบ้านขุนแม่รวม (อนุบาล - มัธยมศึกษา ตอนต้น) จำ นวนครู ๑๕ คน จำ นวนนักเรียน ๒๓๗ คน ๕. การประกอบอาชีพ ๕.๑ การเกษตร- ไร่หมุนเวียน - ทำ นา ร้อยละ ๘๐ ๕.๒ รับราชการ/พนักงานราชการ/รัฐวิสาหกิจ ร้อยละ ๑๐ ๕.๓ ทำ ธุรกิจส่วนตัว/ค้าขาย ร้อยละ ๗ ๕.๔ อื่น ๆ ร้อยละ ๓ ภาพประกอบภูมิทัศน์ในชุมชนดอยขุนแม่รวม อำ เภอกัลญาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ ๘ ๕๓ ที่มา :คณะผู้จัดทำ
๖.สถานที่สำ คัญในหมู่บ้าน ๖.๑ วัด ๒ แห่ง ๖.๒ โบสถ์คริสต์ ๑ แห่ง ๖.๓ โรงเรียน ๑ แห่ง ๖.๔ ศูนย์พัฒนาเต็กเล็ก ๒ แห่ง ๖.๕ สถานีอนามัย (สาธารณสุขขุมชน) ๑ แห่ง ๖.๖ หอกระจ่ายข่าว ๒ แห่ง ๖.๗ สนามกีฬา ๒ แห่ง ๖.๘ ศาลาประชาชคมหมู่บ้าน ๒ แห่ง ๗. ทรัพยากรธรรมชาติ ๗.๑ ดิน : ลักษณะเป็นดินร่วน ใช้ทำ นาปลูกข้าว เป็นรายได้หลักของ คนในชุมชน และพืชเศรษฐกิจอีกมากมาย ๗.๒ แหล่งน้ำ : ห้วยขุนแม่รวม ห้วยแม่ออ ห้วยโป่งสะแยง ห้วยโปโกโกล๊ เซ่อเด๊อะโกล๊ะ เป็นแหล่งน้ำ เพื่อการเกษตร และแหล่งหาปลาธรรมชาติ ๗.๓ ป่าอนุรักษ์ : คลอบคลุมพื้นที่ ๑๖,๐๐๐ ไร่ ป่าใช้สอย : คลอบคลุมพื้นที่ ๑,๐๐๐ ไร่ พื้นที่ทำ กิน : คลอบคลุมพื้นที่ ๓,๐๐๐ ไร่ ภาพประกอบเส้นทาง ภาพ : ระยะทางขึ้นหมู่บ้านขุนแม่รวมชุมชนกะเหรี่ยง อำ เภอกัลญาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ ที่มา : คณะผู้จัดทำ ภาพ : เส้นทางระหว่างแม่ริม-สะเมิง เป็นเส้นทางสายหลักที่ต้องผ่าน ก่อนไปยังหมู่บ้านขุนแม่รวมอำ เภอกัลญาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ ที่มา : คณะผู้จัดทำ ๕๒ ๙
๘. ข้อมูลการเมือง/การบริหาร (ผู้นำ ชุมชน/ผู้นำ ท้องถิ่น/ อาสาสมัคร) ผู้ใหญ่บ้านชื่อ นายเอกชัย จรูญพูนมงคล ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านชื่อ นายอนากร มุทาสุขไพศาล ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านชื่อ นายสิงห์ทอง อัครทอง สมาชิกสภา อบต. ชื่อ นายประวิทย์ ถนอมศักดิ์ศรี ๙. ศิลปวัฒนธรรม/ประเพณีที่สำ คัญ/ภูมิปัญญาท้องถิ่น ๙.๑ ทำ บุญขึ้นปีใหม่ (๑ มกราคม ) ๙.๒ ทำ บุญสรงน้ำ พระธาตุประจำ ปี ( ๒-๓ กุมภาพันธ์) ๙.๓ ประเพณีที่จือ(ปีใหม่ปกาเก่อญอ) ( เดือน กุมภาพันธ์ ) ๙.๔ ประเพณีสงกรานต์ ( เดือน เมษายน ) ๙.๕ ประเพณีเข้าพรรษา - ออกพรรษา ๙.๖ ประเพณีกี่จี๊อ (ลาคุ๊) ( เดือน สิงหาคม ) ๑๐. ข้อมูลกลุ่ม/องค์กรในชุมชน ๑๐.๑ กองทุนหมู่บ้าน ๑๐.๒ กองทุนพัฒน้ำ บทบาทสตรี ๑๐.๓ กองทุนแม่ของแผ่นดิน ๑๐.๔ กลุ่มแม่บ้าน ๑๐.๕ กลุ่มพ่อบ้าน ๑๐.๖ กลุ่มเยาวชน ๑๐.๗ กลุ่มยุวพุทธ ภาพประกอบการเดินทาง ภาพ : เดินทางขึ้นรถเพื่อไปชุมชนกะเหรี่ยงดอยขุนแม่รวม อำ เภอกัลญาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ ที่มา : คณะผู้จัดทำ ๑๐ ๕๑
๑๑. ปัจจัยภายในหรือสภาพแวดล้อมภายในหมู่บ้าน จุดแข็ง คือ ศักยภาพความสามารหรือข้อเด่นของหมู่บ้าน ๑. ขุมชนมีทุนด้านประเพณีวัฒนธรรมในการดำ รงชีวิต ๒. ชุมชนมีวัดเป็นศูนย์รวมด้านจิตใจของคนในชุมชน ๓. ชุมชนมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เพื่อต่อการเพาะปลูกพืช ต่างๆ ๔. ชุมชนมีโรงเรียนในพื้นที่ชุมชน ๕. มีแหล่งน้ำ ที่อุดมสมบูรณ์มีน้ำ ใช้ตลอดปี ๖. คนรุ่นใหม่ที่จบการศึกษากลับมาพัฒนาหมู่บ้าน ๗. ทุกครัวเรือนมีการเลี้ยงสัตว์สำ หรับบริโภคในครัวเรือนลดรายจ่าย ครัวเรือน จุดอ่อน คือลักษณะหรือข้อด้อยของหมู่บ้าน ๑. การคมนาคมยากลำ บาก ไม่สามารถขนส่งผลผลิตทางการเกษตรได้ เท่าที่ควร ๒. มีการใช้สารเคมีในการเพาะปลูกต่างๆมากขึ้น อาจส่งผลต่อสุขภาพ ในอนาคต ๓. มีปัญหาหนี้สินเพิ่มขึ้น จากการซื้อรถยนต์ ๔. มีการขยายพื้นที่การเกษตรเพิ่มขึ้น ๑๑
๑๒. วิสัยทัศน์ (สิ่งที่ชุมชนมุ่งหวังอยากให้เป็นในอนาคต) คือ "การคมนาคมสะดวก ไฟฟ้าทั่วถึง ประปาเพียงพอ ทรัพยากรธรรมชาติสมดุล วัฒนธรรม ประเพณีและภูมิ ปัญญาท้องถิ่นนำ พาวิถีชีวิต ชุมชนเข้มแข็ง พึ่งพา ตนเองตามวิถีพอเพียง" ๑๓. พันธกิจ (สิ่งที่ชุมชนต้องร่วมมือกันทำ เพื่อให้หมู่บ้านเป็นไปตามที่มุ่งหวัง) ๑. ส่งเสริมและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ทั่วถึงและเพียงพอ ๒. ส่งเสริมการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ๓. ส่งเสริมการฟื้นฟูและอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณีและภูมิปัญญา ท้องถิ่น ๔. ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ๕. ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้ตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง ภาคผนวก ๑๒
แ ผ น ที่ ห มู่ บ้ า น บ้ า น ขุ น แ ม่ ร ว ม ห มู่ ที่ ๑ ตำ บ ล แ จ่ ม ห ล ว ง อำ เ ภ อ กั ล ย า ณิ วั ฒ น า จั ง ห วั ด เ ชี ย ง ใ ห ม่ บ ร ร ณ า นุ ก ร ม ภ า พ แ ผ น ที่ ห มู่ บ้ า น ที่ ม า : ผู้ ใ ห ญ่ บ้ า น ห นั ง สื อ เ อ ก ชั ย จ รู ญ พู น ม ง ค ล. ( ๒ ๕ ๖ ๓ ). ข้ อ มู ล พื้ น ฐ า น บ้ า น ขุ น แ ม่ ร ว ม.เว็บไซต์กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย.สืบค้นเมื่อ ๘ กันยายน ๒๕๖๕, จ า ก h t t p s://w w w.s a c.o r.t h / d a t a b a s e s / e t h nic g r o u p s / e t h nic G r o u p s / 7 9 ? f b clid =IwA R 2 0 VV h 9 q B N u g 0 E L Xlyi9 u T X H 5 c Q c c D 1 s 6 0 alVwOSDk97Vn8gNij3n-5ucทศพัฒน์ เลาจาง.สืบค้นเมื่อ ๘ กันยายน ๒๕๖๕, จากhttp://www.pingkhong.com/index.phpmo=10&art=42229935& fbclid=IwAR1VAmfM3OT-QJBS2yt0zIrB6qmR_oe5mXcUi2- 8W0ivhBpDDDu32IN_CH8 Facebookชูเกียรติ หงส์อาจหาญ.(๒๕๖๕, ๗ กันยายน).จากYeedoraKhunmaeruam.https://www.facebook.com/Yeedora- Khunmaeruam-2110082319047222/?ref=page_internalการสัมภาษณ์สัมสัภาษณ์ ชูเชูกียกีรติ หงส์อส์าจหาญ, คนกะเหรี่ยรี่งในชุมชุชนขุนขุแม่รม่วม, ๒๙กรกฎาคม ๒๕๖๕สัมสัภาษณ์ บุญบุธรรม นภาเกรียรีงไกร, ผู้ที่ผู้ ทำที่ ทำงานเกี่ยกี่วข้อข้งกับกัองค์กค์ารบริหริารส่วส่นตำ บลขุนขุแม่รม่วม, ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๕สัมสัภาษณ์ บัวบัคำ และคำ มูลมูเลิศลิดำ เนินนิ, คนกะเหรี่ยรี่งในชุมชุชนขุนขุแม่รม่วม,๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๕สัมสัภาษณ์ หม่อม่ริเริจ๊ เลิศลิดำ เนินนิ, ผู้อผู้าวุโวุสในหมู่บ้มู่ าบ้นขุนขุแม่รม่วม, ๒๙กรกฎาคม ๒๕๖๕สัมสัภาษณ์ เอกชัยชัจรูญรูพูนพูมงคล, ผู้ใผู้หญ่บ้ญ่าบ้นขุนขุแม่รม่วม, ๒๙ กรกฎาคม๒๕๖๕๔๘ ๑ ๓
บทที่ ๕ บทสรุปผลการศึกษา "กะเหรี่ยง" เป็นชาวเขากลุ่มใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอาศัยอยู่หนาแน่นในบริเวณ พื้นที่ป่าเขาทางทิศตะวันตกของประเทศไทยบริเวณชายแดนไทย-พม่า และค่อย ๆ เคลื่อนย้ายมาทางทิศตะวันออกในระยะแรกประมาณ 200 ปีที่ผ่านมา แต่มีเอกสารที่ ถูกบันทึกโดยมิชชันนารีที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับอาณาจักรสยามบางท่านพบว่ากะเหรี่ยงตั้ง ถิ่นฐานอยู่ในประเทศสยามมาก่อน แต่เมื่อคนไทยถอยร่นลงมาจากทางเหนือมาสร้าง บ้านแปลงเมืองอยุธยา ชาวกะเหรี่ยงจึงต้องยอมเสียพื้นที่ให้และร่นไปอาศัยอยู่ตาม ภูเขาทางด้านทิศตะวันออกกับทิศตะวันตกมาจนกระทั่งทุกวันนี้ (มงเซเญอร์ ปาลเลกั วซ์ 2506, หน้า 36) ซึ่งจากการที่ได้ไปศึกษา วิถีชีวิต ความเชื่อพิธีกรรมของชาวกะเหรี่ยงสะกอที่หมู่บ้าน ขุนแม่รวม อำ เภอกัลญาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ คณะผู้จัดทำ ได้รับความรู้เกี่ยวกับ วิถีชีวิต อาชีพ ความเป็นอยู่ของชาวกะเหรี่ยงสะกอ รวมไปถึงความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรม พิธีกรรมที่แตกต่างหลากหลายกันไป เพราะในสมัยอดีตเหล้าเข้ามาพร้อม กับพิธีกรรมต่างๆ มีพิธีกรรมจึงมีเหล้าไม่ว่าจะทำ พิธีกรรมอะไรก็ต้องต้มเหล้าเองทุก ครั้ง ในอดีตชาวกระเหรี่ยงเป็นกลุ่มชนแรกที่มีการทำ เหล้าไม่ว่าจะทำ พิธีกรรมอะไร ถ้าไม่มีเหล้าก็ไม่สามารถประกอบพิธีกรรมนั้นๆได้ เช่น พิธีกรรมเลี้ยงผีนาผีไร่ พิธีมัด มือ พิธีแต่งงาน ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษก็มีการใช้เหล้าประกอบในพิธีกรรมต่างๆจนถึง ปัจจุบัน เช่น พิธีกรรมของชาวกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาพุทธก็ต้องใช้เหล้าในพิธีกรรม นั้น เพราะเชื่อว่า “เหล้า”เป็นน้ำ ศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องใช้ในทุกพิธีกรรมของชาวกะเหรี่ยงซึ่ง ชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่า “เหล้า” นั้นเป็นตัวกลางที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างผีกับคน จากที่กล่าวมาข้างต้น เป็นมุมมองของชาวกะเหรี่ยงที่ได้จากการสัมภาษณ์ และชาว กะเหรี่ยงสะกอก็ยังอนุรักษ์สืบทอดวัฒนธรรม พิธีกรรมให้คนรุ่นหลังสืบทอดต่อไป ๔๗
บทที่ ๒
บทที่ ๕
บทที่ ๒ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ วิถีชีวิตของชาวปกาเกอะญอ มักอยู่บนพื้นฐานของความเรียบง่าย อาหารส่วนใหญ่มาจากการล่า สัตว์ เก็บของป่า และการเก็บเกี่ยวผลผลิตจากไร่หมุนเวียน เมื่อเข้าสู่ฤดู หนาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากการทำ ไร่ทำ นาอันยาวนาน ผู้คนใน หมู่บ้านจึงใช้เวลาไปกับการพักผ่อน ทอผ้า หาฟืน หรือบางคืนก็นั่ง สังสรรค์รอบกองไฟพร้อมกับเหล้าขาวรสเข้มที่หมักเอง มุมมองของชาวกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาคริสต์ ภาพ : นางสาวฉันท์ทนา มรุพงษ์ (ผู้ให้สัมภาษณ์) ที่มา : นางสาววัชพร เซซู นางสาวฉันท์ทนา มรุพงษ์ อายุ 21 ปี (ไม่ประสงค์ให้ข้อมูล) ให้ สัมภาษณ์ว่าในมุมมองของชาวกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาคริสต์มองว่า เหล้าเป็นสิ่งมึนเมา ไม่ดีต่อสุขภาพ เหมือนการสะสมฮอลล์ในร่างกาย เรื่อยๆ เขาไม่อยากทำ ร้ายร่างกายตัวเอง เขาไม่อยากให้ร่างกายของตัว พัง อยากมีชีวิตที่มีสุขภาพที่ดีและในพระคัมภีร์ของศาสาคริสต์ มีข้อ ห้ามเรื่องการกินเหล้า เพราะการเมาจะสร้างความเดือดร้อนได้ ภาพ บรรยากาศภายในชุมชน ที่มา : คณะผู้จัดทำ ๔๔ ๑๗
มุมมองของผู้สูงอายุในชุมชนกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาพุทธ นางแอะแอะ ดำ รงศักดิ์คีรีชัยอายุ 57 ปี (ไม่ประสงค์ให้ข้อมูล) และนาง โม๊ะพอ ชูเกียรติคีรีชัย อายุ 63 ปี (ไม่ประสงค์ให้ข้อมูล) ให้สัมภาษณ์ว่า - (มุมมองทางพระพุทธศาสนา) มองว่าเหล้าเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดการทะเลาะ วิวาท ผิดศีลธรรมและสร้างปัญหาให้กับครอบครัวจึงไม่ควรดื่ม - (มุมมองทางพิธีกรรม) มองว่าเหล้า เป็นน้ำ ศักดิ์สิทธิ์ ที่ต้องใช้ในพิธีกรรม ของชาวกะเหรี่ยง ซึ่งชาวกะเหรี่ยงมองว่าเป็นความเชื่อทางพิธีกรรมของ ทางชุมชนที่ว่า"เหล้า" เป็นตัวกลางสำ คัญที่ใช้สื่อสารระหว่างผีกับคน เพราะเหล้ามีความเกี่ยวเนื่องและสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนชาวกะเหรี่ยง เนื่อง ด้วยแป้งเหล้าต้มกะเหรี่ยงมีส่วนประกอบของข้าว และข้าวกับคนก็ความ สัมพันธ์กันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ และที่สำ คัญคนในชุมชน มีความเชื่อ เกี่ยว กับเหล้าที่ใช้ในพิธีกรรมเพราะในทุกขั้นตอนของการทำ แป้งเหล้าจนไปถึง ขั้นตอนของการต้มเหล้ามีการผสมเองในทุกขั้นตอนและทุกขั้นตอนมีความ เชื่อต่างๆ ตำ นานของเหล้าต้มกะเหรี่ยง ในสมัยแต่ก่อนมีชายคนหนึ่งไปตัดต้นกล้วยต้นใหญ่มา 1 เครือ เพื่อ จะเอาไปทำ บุญ จากนั้นก็แบกขึ้นไหล่ ออกเดินทางสักพักก็ถึงบ้านแม่ของ เขา เขาเห็นท้องฟ้าเริ่มมืด เขาจึงแวะพักที่บ้านของแม่เขา 1 คืน แม่เห็น กล้วยที่ลูกเอามาก็ขอลูกกินแต่ลูกกลับปฏิเสธว่ากล้วยเครือนี้จะเอาไป ทำ บุญ ไม่ให้กินหรอก พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็เดินทางต่อ พอไปถึงที่วัดก็วาง กล้วยลงบนพาน แต่พระท่านหนึ่งเหมือนไม่รับของจากชายคนนี้ ชายคน นี้จึงถามพระไปว่าทุกครั้งที่มาวัด พระก็จะรับไว้ตลอด แต่ทำ ไม่ครั้งนี้ท่าน ถึงไม่รับไว้ พระท่านก็ตอบกลับไปว่าขนาดแม่ของเจ้ามีบุญคุณกับเจ้ามาก ที่สุด แต่เจ้าไม่ให้ท่านกิน ข้าไม่กล้ากินของเจ้าหรอก จากนั้นเขาก็แบก กล้วยกลับบ้านของแม่ เมื่อถึงบ้านของแม่แล้ว เขาก็จะให้แม่กินกล้วย เครือนั้น แต่แม่ของเขากลับปฏิเสธว่าตอนแรกขอกินแต่ท่านกลับไม่ให้กิน จากนั้นเขาก็กลับบ้านของเขา กลับไปสักพักก็หยุดพักแล้วก็วางกล้วยลง บนตอไม้แล้วก็จากไป จากนั้นมีชายอีกคนหนึ่งมาเห็นกล้วยที่เขาทิ้งไว้จน สุกแบบน่ากินมาก ก็เลยเอากลับไปให้เมีย แล้วพูดกับเมียว่ากล้วยเครือนี้ มันมีเยอะมาก จะเอามาแปรรูปยังไงดี เมียของชายคนนั้นก็ตอบไปว่า เดี๋ยวจะตำ ให้กินทำ เป็นขนม จากนั้นเมียของชายคนนั้นจึงได้คิดว่าจะทำ ไงกับกล้วยที่สามีเอากลับมา ให้มันเก็บได้นานๆ เมียของชายคนนั้นก็เลย เอามาตำ รวมกับแป้งจากนั้นก็ปั้นเป็นก้อนๆ แล้วเจาะรูตรงกลางใส่พริก 1 เม็ด ใส่ขี้เถ้าลงไป จากนั้นก็ไปตากแห้ง จนกลายมาเป็นที่มาของแป้ง เหล้าชาวกะเหรี่ยงจนถึงทุกวันนี้ ๑๘ ๔๓ ภาพ : นางแอะ นางโม๊ะ (ผู้ให้สัมภาษณ์) ที่มา : คณะผู้จัดทำ
มุมมองของวัยกลางคนในชุมชนกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาพุทธ ภาพ : นายชูเกียร นายบุญธรรม และนางสาวนภา (ผู้ให้สัมภาษณ์) ที่มา : นายชูเกียรติ หงส์อาจหาญ นายชูเกียรติ หงส์อาจหาญ อายุ 33 ปี (ไม่ประสงค์ให้ข้อมูล) นาย บุญธรรม นภาเกรียงไกร อายุ 38 ปี (ไม่ประสงค์ให้ข้อมูล) และนางสาว มลฑกานต์ ดำ รงศักดิ์คีรี อายุ 36ปี (ไม่ประสงค์ให้ข้อมูล) ให้สัมภาษณ์ว่า - (มุมมองในทางพระพุทธศาสนามอง) ว่าเหล้าเป็นสิ่งมึนเมา ผิดศีลธรรม และมองว่าเหล้าเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันในชุมชนสังคมและ ครอบครัว - (มุมมองในทางพิธีกรรม) มองว่าเหล้าเป็นสิ่งที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม และเป็นความเชื่อของคนในชุมชนกะเหรี่ยงที่มองว่า เหล้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ต้องใช้ในพิธีกรรมของชาวกะเหรี่ยงเพราะในการทำ พิธีกรรมของชาว กะเหรี่ยงนั้นต้องใช้เหล้าต้มกะเหรี่ยงทุกครั้งในการประกอบพิธีกรรมนั้น ด้วยถ้าไม่มีเหล้าต้มถือว่าพิธีกรรมนั้นไม่สำ เร็จ เพราะในสมัยอดีตเหล้าเข้ามาพร้อมกับพิธีกรรมต่างๆ มีพิธีกรรมจึงมี เหล้าไม่ว่าจะทำ พิธีกรรมอะไรก็ต้องต้มเหล้าเองทุกครั้ง ในอดีตชาวกระ เหรี่ยงเป็นกลุ่มชนแรกที่มีการทำ เหล้าไม่ว่าจะทำ พิธีกรรมอะไรถ้าไม่มี เหล้าก็ไม่สามารถประกอบพิธีกรรมนั้นๆได้ เช่น พิธีกรรมเลี้ยงผีนาผีไร่ พิธีมัดมือ พิธีแต่งงาน ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษก็มีการใช้เหล้าประกอบใน พิธีกรรมต่างๆจนถึงปัจจุบัน แต่หลังๆมีการใช้เหล้าในการประกอบ พิธีกรรมจะลดลงไปจากเดิมมาก เนื่องด้วยประชากรเพิ่มขึ้นคนจะมีการ นับถือศาสนาพุทธบ้างศาสนาคริสต์บ้างในการทำ พิธีกรรมบางอย่างจึงไม่ ใช้เหล้าแล้วก็มีบ้าง แต่ในบางพิธีกรรมก็ยังใช้เหล้าอยู่ก็มีบ้าง ในปัจจุบัน พิธีกรรมบางอย่างสามารถไม่ใช้เหล้าในการประกอบพิธีกรรมแล้ว ไม่มี การต้มเหล้าไม่มีการดื่มเหล้าก็มี จากการสัมภาษณ์ นายหม่อริเจ๊ เลิศ ดำ เนิน ได้กล่าวว่า ในอนาคตไม่แน่ใจว่าผู้คนในชุมชนยังจะมีคนใช้เหล้า หรือไม่ใช้เหล้าในการประกอบพิธีกรรม แต่ถ้าไม่มีการใช้เหล้าแล้วในการ ประกอบพิธีกรรม พิธีกรรมนั้นๆก็จะหายไปหรือไม่มีการทำ พิธีกรรมนั้น แล้วแต่ถ้ามีการต้มเหล้าใช้เหล้าอยู่พิธีกรรมนั้นๆก็ยังคงอยู่กับผู้คนใน ชุมชนสืบต่อไป ประเพณีและพิธีกรรมของชาวกะเหรี่ยง ประเพณี ชาวกะเหรี่ยงมีประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการทำ พิธีกรรมเลี้ยงผี บวงสรวงดวงวิญญาณ ด้วยการต้มเหล้า ฆ่าไก่ – แกง และมัดมือผู้ร่วม พิธีด้วยฝ้ายดิบ ซึ่งเกี่ยวโยงกัน ประเพณีอื่นๆ ได้แก่ ๔๒ ๑๙
บทที่ 4 มุมมองเกี่ยวกับเหล้าต้มของคนในชุมชน มุมมองวัยรุ่นในชุมชนกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาพุทธ ภาพ : นายธนดล อนันต์ไพสิฐ (ผู้ให้สัมภาษณ์) ที่มา : นายธนดล อนันต์ไพสิฐ นายธนดล อนันต์ไพสิฐ อายุ 21 ปี (ไม่ประสงค์ให้ข้อมูล) ให้สัมภาษณ์ว่า - (มุมมองในทางพระพุทธศาสนา) มองว่าเหล้าเป็นสิ่งมึนเมาทำ ให้เกิด การทะเลาะวิวาทและสร้างความเดือดร้อนแก่ครอบครัวรวมไปถึงคน รอบข้าง - (มุมมองทางพิธีกรรม) มองว่าเหล้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องใช้ในพิธีกรรม หากขาดเหล้าที่ต้องใช้ในพิธีกรรมก็จะทำ ให้พิธีกรรมนั้นไม่สำ เร็จลุล่วงไป ได้ด้วยดี และมองว่าเป็นการต่อยอดทางวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงให้ คนรุ่นหลังสืบต่อไป ประเพณีแต่งงาน ผู้หญิงจะเป็นผู้เลือกคู่ครองเอง เจ้าสาวจะต้องทอเสื้อผ้า กางเกง ย่าม ไว้ให้เจ้าบ่าว ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องฆ่าหมูฆ่าไก่เพื่อทำ พิธีกรรมบอกต่อผี บรรพบุรุษและเป็นอาหารเลี้ยงแขก แต่งงานแล้วฝ่ายชายต้องมาอยู่บ้าน ฝ่ายหญิง 1 ฤดูเก็บเกี่ยว ก่อนแยกไปปลูกบ้านใกล้กันเรื่องราวของการ สู่ขอ (เอาะ เฆ) ของกะเหรี่ยง มีลักษณะดังนี้เมื่อเป็นที่รับรู้แล้วว่าหญิง ชายรักชอบพอกัน พ่อแม่และญาติพี่น้องของฝ่ายหญิงก็จะส่งคนไปหา ฝ่ายชาย เพื่อสอบถามให้แน่ใจว่าฝ่ายชายรักยินดีที่จะแต่งงานกับฝ่าย หญิงจริงหรือไม่ หากฝ่ายชายรักชอบพอกัน และยินยอมที่จะแต่งงานกับฝ่ายหญิง ก็ จะมีการนัดหมายวันเวลาทำ พิธีแต่งงานกันในเวลานั้น(ตามหลักประเพณี กะเหรี่ยงฝ่ายหญิงจะต้องเป็นฝ่ายไปขอฝ่ายชาย)เมื่อฝ่ายชายตกลง ปลงใจว่าจะแต่งงานกับฝ่ายหญิงและนัดหมายวันเวลาแต่งงานที่แน่นอน แล้วฝ่ายชายก็ส่งเถ้าแก่ไปทำ พิธีหมั่นหมาย (เตอะ โหล่) ฝ่ายหญิงก่อน วันแต่งงานในพิธีฝ่ายหญิงจะฆ่าไก่ 2 ตัว ในการู่ทำ อาหารเพื่อเลี้ยง รับรองเถ้าแก่ของ่ฝ่ายชายและวันรุ่งขึ้นก็จะนัดหมายวันเวลาที่ฝ่ายชาย และเพื่อนๆ จะมาหาฝ่ายหญิงเพื่อทำ พิธีแต่งงานต่อไป ประเพณีปีใหม่ โดยหัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นผู้ระบุวันล่วงหน้า แต่ละหมู่บ้านจะมีปีใหม่ ในแต่ละปีไม่ตรงกัน เพราะเป็นพิธีที่หมายถึงการเริ่มต้นของฤดูกาล การเกษตร และอยู่เย็นเป็นสุข ๒๐ ๔๑
ความเชื่อ และพิธีกรรม เดิมชาวกะเหรี่ยงนับถือผี มีการบวงสรวงและเซ่นสังเวยอย่าง เคร่งครัด ภายหลังหันมานับถือศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์มากขึ้น แต่ก็ ยังคงความเชื่อเดิมอยู่ไม่น้อย เช่น ความเชื่อเรื่องขวัญหรือการทำ กิจกรรม ต่างๆ จะต้องมีการเซ่นเจ้าที่เจ้าทาง และบอกกล่าวบรรพชนให้อุดหนุนค้ำ จูน ช่วยให้กิจการงานนั้นๆ เจริญก้าวหน้า ทำ เกษตรกรรมได้ผลผลิตดี ให้ อยู่เย็นเป็นสุข ปกป้องคุ้มครองดูแล และยังเป็นการขอขมาอีกด้วย พิธีทำ ขวัญให้ควาย พิธีกรรมนี้ทำ เฉพาะครอบครัวที่มีควายเท่านั้น และทำ กันปีละครั้งเมื่อ เสร็จจากฤดูไถหว่านของแต่ละปี ส่วนใหญ่วันที่ประกอบพิธีกรรมจะทำ ใน วันพฤหัสบดี แต่ต้องทำ ก่อนที่จะหมดฤดูฝนในปีนั้นๆ ครอบครัวที่มีควาย จะนัดหมายให้ลูกของตัวเองกลับมา ภาพ พิธีมัดมือควาย ที่มา : นายชูเกียรติ หงส์อาจหาญ ๒๑
แ ม้ ว่ า จ ะ ไ ป ทำ ง า น ห รื อ เ รี ย น ก็ ต้ อ ง ก ลั บ ม า ทำ พิ ธี นี้ แ ต่ ถ้ า ห า ก ว่ า ค น อื่ น ที่ ไ ม่ ไ ด้ รั บ คั ด เ ลื อ ก ไ ป ทำ พิ ธี มี ค ว า ม เ ชื่ อ ว่ า จ ะ ทำ ใ ห้ ค ว า ย สุ ข ภ า พ ไ ม่ ดี ต า บ อ ด ไ ม่ มี ลู ก เ ป็ นโ ร ค ล้ ม ต า ย ไ ป สำ ห รั บ ค น ที่ จ ะ ทำ พิ ธี นั้ น จ ะ ต้ อ ง ผ่ า น ก า ร คั ด เ ลื อ ก โ ด ย ค น ที่ มี ค ว า ม รู้ใ น ก า ร ทำ น า ย ซึ่ ง ก า ร ทำ น า ย นี้ มั ก จ ะ ใ ช้ ข้ า ว ส า ร ใ บ ไ ม้ ไ ข่ ก ร ะ ดู ก ไ ก่ ห รื อ บ า ง ที ก็ ดู ล า ย มื อ ห ลั ง จ า ก ที่ ไ ด้ ท ร า บ ผ ล ก า ร ทำ น า ย ซึ่ ง ผู้ ที่ ไ ด้ รั บ ก า ร คั ด เ ลื อ ก นั้ น อ า จ เ ป็ น เ พ ศ ช า ย ห รื อ ห ญิ ง ก็ ไ ด้ โ ด ย ค ว า ม เ ชื่ อ ใ น เ รื่ อ ง ก า ร ทำ ข วั ญใ ห้ ค ว า ย นั้ น ช า ว ก ะ เ ห รี่ ย ง เ ชื่ อ ว่ า เ พ ร า ะ ค ว า ย เ ป็ น สั ต ว์ ที่ มี พ ร ะ คุ ณ แ ล ะ ผู ก พั น ธ์ กั น ม า น า น ก า ร ทำ ข วั ญใ ห้ ค ว า ย เ ป็ น ก า ร แ ส ด ง ค ว า ม เ ค า ร พ ข อ บ คุ ณ ข อ อ โ ห สิ ก ร ร ม ต ล อ ด จ น ถึ ง ก า ร อ ว ย พ รใ ห้ ค ว า ย มี สุ ข ภ า พ แ ข็ ง แ ร ง มี ลู ก ด ก ไ ม่ มี โ ร ค ภั ย ไ ข้ เ จ็ บ ม า เ ยื อ น ก า ร ทำ พิ ธี ก ร ร ม เ ริ่ ม จ า ก เ ต รี ย ม เ ค รื่ อ ง เ ซ่ นใ ห้ พ ร้ อ ม สำ ห รั บ ไ ก่ 1 คู่ ( ต้ อ ง ฆ่ า แ ล ะ ต้ ม ม า เ รี ย บ ร้ อ ย แ ล้ ว ) ห ลั ง จ า ก นั้ น ผู้ ป ร ะ ก อ บ พิ ธี ก ร ร ม ก็ จ ะ ถื อ เ ค รื่ อ ง เ ซ่ น ไ ป ยั ง ค อ ก ที่ มั ด ค ว า ย ไ ว้ จ า ก นั้ น ก็ เ อ า ว ง ฝ้ า ย ที่ เ ต รี ย ม ไ ว้ เ ท่ า จำ น ว น ค ว า ย ข อ ง ตั ว เ อ ง ที่ มี อ ยู่ ไ ป ก ล้ อ ง ที่ เ ข า ค ว า ย ทั้ ง ส อ ง ข้ า ง ข อ ง แ ต่ ล ะ ตั ว จ น ค ร บ ทุ ก ตั ว ถั ด จ า ก นั้ น ม า ก็ เ อ า เ ที ย น ไ ป ส อ ด ติ ด กั บ เ ข า ค ว า ย ที่ เ อ า ฝ้ า ย ค ล้ อ ง ไ ว้ ก่ อ น แ ล้ ว ห ลั ง จ า ก นั้ น ก็ โ ป ร ย ข้ า ว ส า ร แ ล ะ ป ร ะ พ ร ม น้ำ ข มิ้ น ส้ ม ป่ อ ย ร ะ ห ว่ า ง ที่ พ ร ม น้ำ ข มิ้ น ส้ ม ป่ อ ย ผู้ เ ป็ น พ่ อ จ ะ ส ว ด ต า ม ใ ห้ ด้ ว ย ขั้ น ต อ น สุ ด ท้ า ย คื อ ริ น เ ห ล้ า ใ ห้ ค ว า ย อ า จ เ ท ร า ด บ น หั ว ค ว า ย ก็ ไ ด้ เ ป็ น อั น เ ส ร็ จ พิ ธี สำ ห รั บ ไ ก่ ที่ นำ ม า ป ร ะ ก อ บ พิ ธี ก ร ร ม นั้ น ก็ เ อ า ไ ป ทำ กิ นใ น ค ร อ บ ค รั ว แ ล ะ เ ชิ ญ ญ า ติ พี่ น้ อ ง ห รื อ เ พื่ อ น บ้ า น ที่ ส นิ ท กั น ม า ร่ ว ม รั บ ป ร ะ ท า น อ า ห า ร ร่ ว ม กั น บ ท ที่ ๔ ๒ ๒
ภาษา กะเหรี่ยงแต่ละเผ่ามีภาษาพูด และภาษาเขียนเป็นของตนเอง โดยการ ดัดแปลงมาจากตัวหนังสือพม่า ผสมอักษรโรมัน ลักษณะบ้านเรือน นิยมสร้างเป็นบ้านยกพื้นสูง มีชานบ้าน บางส่วนก็ตั้งบ้านเรือนบนที่ราบ เช่นเดียวกับชาวพื้นราบทั่วไป ชาวะเหรี่ยงตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งถาวร ไม่ย้ายถิ่นบ่อยๆ การแต่งกายของชนเผ่ากะเหรี่ยงปกาเกอะญอ ในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กะเหรียงสะกอ กะเหรี่ยงโป และ อีก 2 กลุ่ม คือคะยา หรือบะเว และตองสู หรือพะโอ กะเหรี่ยงกลุ่ม ต่างๆ เหล่านี้มีวัตนธรรมคล้ายคลึงกัน แต่การแต่งกายของแต่ละกลุ่มมี ลักษณะเฉพาะของตนเองที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ฉะนั้นลักษณะการ แต่งกายจึงเป็นส่วนหนึ่ง ที่สามารถบ่งชี้ให้เห็นได้ชัดเจนถึงเอกลักษณ์ของ กะเหรี่ยงแต่ละที่ และแต่ละกลุ่ม การแต่งกายของเด็กและหญิงสาว จะเป็น ชุดทรงกระสอบ ผ้าฝ้ายพื้นขาว ทอหรือปักประดับลวดลายให้งดงาม ๕.พิธีมัดมือควาย มีความเชื่อว่า ต้องใช้เหล้าในพิธีกรรมรวมถึงไก่,ข้าวหญ้า คนในชุมชน เชื่อว่าใครเป็นผู้มีบุญคุณแก่ชาวนาชาวไร่ เพราะว่าการทำ นาต้องใช้ควาย ช่วยไถนาทำ ให้ชาวนาได้ข้าว ได้ทั้งอุปโภคและนำ ไปใช้ประกอบในการต้ม เหล้า ดังนั้นจึงต้องมีพิธีกรรมมัดมือควาย ถ้าเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ ควายช่วยชาวนาทำ นาจนได้ผลผลิตในแต่ละปี ภาพ การแต่งกายของชนเผ่ากะเหรี่ยงปกาเกอะญอ ที่มา : คณะผู้จัดทำ ภาพ พิธีมัดมือควาย ที่มา : นายชูเกียรติ หงส์อาจหาญ ภาพ พิธีมัดมือควาย ที่มา : เพจSEEDS project การพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน ๓๘ ๒๓
ส่วนหญิงที่มีครอบครัวแล้วจะสวมเสื้อสีดำ น้ำ เงิน และผ้านุ่งสีแดงคนละ ท่อน ตกแต่งด้วยลูกเดือย หรือทอยกดอก ยกลาย สำ หรับผู้ชาย กะเหรี่ยงนั้นส่วนมากจะสวมเสื้อตัวยาวถึงสะโพก ตัวเสื้อจะมีการตกแต่ง ด้วยแถบสีไม่มีการปักประดับเหมือนเสื้อผู้หญิง นุ่งกางเกงสะดอ นิยมใช้ สร้อยลูกปัดเป็นเครื่องประดับ และสวมกำ ไลเงินหรือตุ้มหู ปัจจุบันกลุ่ม กะเหรี่ยงที่ยังคงสวมใส่เครื่องแต่งกายประจำ เผ่าในวิถีชีวิตปกติ มีเพียง กลุ่มโป และสะกอเท่านั้น อาหาร อาหารท้องถิ่นของชุมชนกะเหรี่ยงปกาญอ เป็นการผสมผสานวัตถุดิบ จากธรรมชาติมาปรุงแต่งอาหารที่ใช้รับประทานกันในชีวิตประจำ วัน โดยเน้นพืชผักและวิธีการปรุงที่เรียบง่ายไม่สลับซับซ้อน โดยส่วนมากที่ นิยมรับประทานกันทุกครัวเรือนคือ อาหารประเภทน้ำ พริก ผักต้ม หรือ ผักสด ประเภทต้ม แกง ประเภทปิ้งย่าง สำ หรับวิธีการปรุงรสจะแตก ต่างกันตามความชอบของแต่ละครัวเรือน ได้เเก่ ข้าวเบ๊อะ ข้าวคั่ว น้ำ พริกรากชูหรือน้ำ พริกผักชี และน้ำ พริกชิโพเด ๔.พิธีมัดมือ มีความเชื่อว่า เป็นพิธีกรรมที่ต้องใช้เหล้ากะเหรี่ยงเข้ามาประกอบในพิธีการ เพราะเชื่อว่า เหล้าเป็นสิ่งสำ คัญเเละศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการขอพร เพื่อให้สิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ดูแลคุ้มครอง ตนเองและครอบครัวให้พ้นจากอุปสรรคต่างๆ ถ้าพ้น ภัยจากโรคภัยไข้เจ็บมีหน้าที่การงานที่ดี เงินทองไหลมาเทมา ภาพ พิธีมัดมือ ที่มา : นายชูเกียรติ หงส์อาจหาญ ๒๔ ๓๗
๓.พิธีกรรมแต่งงาน มีความเชื่อว่า ในพิธีกรรมแต่งงานต้องใช้เหล้ากะเหรี่ยงในการ ประกอบพิธีเท่านั้นเนื่องจากชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่าเหล้ากะเหรี่ยงจะช่วย ทำ ให้คู่รักที่แต่งงานกันจะมีความรักที่มั่นคงและยั่งยืนแต่ถ้าหากใช้เหล้าที่ อื่นที่ไม่ใช่เหล้ากะเหรี่ยงก็จะมีความเชื่อว่าจะทำ ให้คู่รักที่แต่งงานกัน เลิกรากันได้ง่าย ข้าวเบ๊อะ : เป็นอาหารที่ประหยัดต้นทุนของชาวกะเหรี่ยงเพราะว่าชาว กะเหรี่ยงจะมีการปลูกข้าวทุกปี จึงนำ ข้าวมาทำ เป็นข้าวเบ๊อะ ส่วนคนที่มี ต้นทุนหน่อยก็จะใส่เนื้อหมู เนื้อไก่ ลงไปในข้าวเบ๊อะด้วยคนที่ไม่ค่อยมี ต้นทุนจะใส่เฉพาะข้าวกับผักต่างๆที่ชาวบ้านได้ปลูกไว้ ข้าวคั่ว : ข้าวคั่วชาวกะเหรี่ยงจะแตกต่างจากข้าวคั่วทั่วไป คือ ข้าวคั่ว ทั่วไปจะใช้สำ หรับปรุงอาหารเท่านั้น ส่วนข้าวคั่วกะเหรี่ยงจะมีลักษณะ คล้ายๆข้าวเบ๊อะ คือ หัวข้าวเสร็จจะนำ ไปตำ แล้วนำ ไปทำ แกง ใส่เนื้อหมู เนื้อไก่ แต่ไม่นิยมใส่ผัก น้ำ พริกรากชูหรือน้ำ พริกผักชี : เป็นอาหารนิยมของคนในท้องถิ่น กะเหรี่ยงเพราะทำ ง่าย ไม่มีต้นทุน และคนในชุมชนปลูกกันจำ นวนมาก ใน ช่วงฤดูร้อนต้นรากชูจะไม่มีใบคนในชุมชนมักจะขุดรากมาดองเพื่อไว้ ประกอบอาหาร น้ำ พริกชิโพเด (มะนอย, บวบจิ๋ว) : จะนิยมรับประทานในฤดูหนาวเพราะ บวชจิ๋วจะออกผลผลิตในช่วงฤดูทำ ข้าวไร่ และนำ บวกจิ๋วที่ได้มาตำ เป็นน้ำ พริก ที่ชาวกะเหรี่ยงเรียกว่าน้ำ พริกชิโพเด ภาพ อาหารกระเหรี่ยง ที่มา : คณะผู้จัดทำ ภาพ พิธีกรรมแต่งงาน ที่มา :นางสาวกีลาภรณ์ เลิศดำ เนิน ๓๖ ๒๕
๒.พิธีกรรมขึ้นบ้านใหม่ มีความเชื่อว่า การขึ้นบ้านใหม่เป็นการทำ บุญบ้านใหญ่ ต้องใช้เหล้า กะเหรี่ยงในการประกอบพิธีกรรมเพราะเชื่อว่าเป็นการขอพรให้ครอบครัว ของตนเองมีความรักใคร่ปรองดองกันภายในครอบครัวและเป็นสิริมงคล แก่เจ้าของบ้าน อยู่เย็นเป็นสุข ผ่านฝันอุปสรรคในการดำ เนินชีวิตพ้นภัย อันตราย ภาพ พิธีกรรมขึ้นบ้านใหม่ ที่มา : Facebook Worwim Bowornthanachok ๓๕
บทที่ ๓ ๓.๓ การใช้เหล้าในพิธีกรรมมีดังนี้ ๑.พิธีกรรมเลี้ยงผี ๒.พิธีกรรมขึ้นบ้านใหม่ ๓.พิธีกรรมแต่งงาน ๔.พิธีมัดมือ ๕.พิธีมัดมือควาย ๓.๔ ความเชื่อเกี่ยวกับเหล้า ๑.พิธีกรรมเลี้ยงผี = พิธีเลี้ยงผี (เลี้ยงเจ้าที่,ผีไร่ผีนา ) มีความเชื่อว่าการทำ ไร่ทำ นาเมื่อได้ผลผลิตแล้วจะต้องแบ่งข้าวเป็น 4 ส่วนได้แก่ ๑. เก็บไว้กินเอง ๒.เก็บไว้รับแขก ๓.เก็บไว้เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ ๔.เก็บไว้ให้นกให้หนู (เชื่อว่าเป็นบริวารของเข้าแม่โพสพ) เพราะคนใน ชุมชนเชื่อว่าเป็นการตอบแทนพระคุณของเจ้าแม่โพสพที่ช่วยดูแลหัวไร่ ปลายนาให้แก่ชาวนา เมื่อได้เข้าแล้วก็จะนำ ไปทำ เป็นเหล้า ซึ่งเหล้าที่ได้ ก็ต้องมีส่วนประกอบของข้าวเช่นกันเนื่องจากเจ้าแม่โพสพเป็นผู้ดูแลผืน นาท้องไร่ให้ชาวกะเหรี่ยงในการทำ ไร่ทำ นาดังนั้นในการประกอบ พิธีกรรมเลี้ยงผีไร่ผีนาจึงต้องใช้เหล้าในการทำ พิธี ๓๔
๑๗. จากนั้นก็เทน้ำ ลงไปในกระทะ เอาขวดหรือแกลลอนมารองใส่เหล้า ไว้ หลังจากที่ได้เหล้าเเล้วก็เสร็จขั้นตอนในการต้มเหล้า ในแต่ละขั้นตอนของการทำ แป้งเหล้านั้น ชาวกะเหรี่ยงก็จะมีความ เชื่อที่หลากหลาย เเละในการทำ แป้งเหล้าจะต้องเป็นคนโสดเท่านั้นที่จะ สามารถทำ ได้ เช่น ในขั้นตอนการเทน้ำ ลงในแป้งที่จะนวด ถ้าน้ำ ไหลมา ทางซ้ายแสดงว่าคนทำ แป้งเหล้าจะได้แฟนเป็นคนในหมู่บ้าน แต่ถ้าน้ำ ไหลไปทางขวามือจะได้แฟนเป็นคนนอกหมู่บ้านหรือคนนอกพื้นที่ ภาพ วิธีและขั้นตอนในการต้มเหล้า ที่มา : คณะผู้จัดทำ ๓๓
บทที่ ๓ เหล้าต้มกะเหรี่ยงสะกอ ๓.๑ วัสดุอุปกรณ์ในการต้มเหล้า ๑.หม้อต้มเหล้า ๒.ถังสีดำ ๓.กระทะ ๔.สายยาง ๕.ผ้าพันหม้อ ๖.แกลลอน ๑๑. หุงข้าวเจ้า ๑ หม้อใหญ่ ๑๒. นำ ข้าวเจ้าที่เราหุงไปผึ่งให้เย็น ๑๓. เอาแป้งเหล้าที่เราทำ มาบดให้ละเอียดแล้วมาผสมกับข้าวเจ้าเมื่อ ข้าวเย็นและรวยแกลบเล็กน้อย ๑๔. นำ ข้าวที่ผสมเสร็จใส่ในหม้อแล้วปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 1 อาทิตย์ ๑๕. เตรียมอุปกรณ์ให้ครบและนำ ไปต้มเหล้าได้เลย ๑๖.ผิงไฟเเล้วตั้งหม้อใส่ข้าวหมัดทิ้งไว้ลงไปในหม้อ เเล้วก็เอาถังสีดำ ที่ พร้อมใช้งาน มาใส่ซ้อนไว้กับหม้อต้มแล้วเอาผ้ามาพันระหว่างหม้อกับ ถัง จากนั้นใส่กระทะทับถังสีดำ เพื่อทำ การปิดฝาถัง ภาพ วัสดุอุปกรณ์ในการต้มเหล้า ที่มา : คณะผู้จัดทำ ภาพ วิธีและขั้นตอนในการต้มเหล้า ที่มา : คณะผู้จัดทำ ๓๒ ๒๙
๓.๒ วิธีและขั้นตอนในการต้มเหล้า ๑.ขั้นตอนแรกนำ ข้าวเจ้าแช่ไว้ ๑ คืน ๒. นำ ข้าวเจ้าที่แช่ไว้ 1 คืนไปตำ ให้ละเอียด ๓.นำ ข้าวเจ้าที่เราตำ ละเอียดมาผสมกับน้ำ และแกลบเล็กน้อยเพื่อให้ เนื้อแป้งไม่มีความเละแล้วนวดให้เนื้อแป้งเข้ากัน ๔. นำ แป้งที่นวดไปเผา 1ชิ้น ๕. ปั้นแป้งให้เป็นวงรีหรือวงกลม ๖. เจาะรูแป้งที่เราปั้นทุกลูก ๗. นำ ถ่านกับแป้งที่ไปเผามาใส่ในช่องแป้งที่เราเจาะรูไว้ ๘. โรยแกลบและแป้งเก่าที่เคยเก็บไว้โรยให้ทั่วแป้งเหล้า ๙. ยกแป้งเหล้าจากกระด้งแล้วเอาเเกลบมาทาบริเวณที่เราวางแป้งเหล้า แต่ละลูกเพื่อที่ให้แป้งเหล้าของเราไม่ติดกับกระด้ง ๑๐. นำ แป้งเหล้าไปตากแห้ง ภาพ วิธีและขั้นตอนในการต้มเหล้า ที่มา : คณะผู้จัดทำ ภาพ วิธีและขั้นตอนในการต้มเหล้า ที่มา : คณะผู้จัดทำ ๓๐ ๓๑