The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงงานบูรณาการชีววิทยา ชั้น ม.6/3
1. นางสาวนิชนิภา วัชัยสุนทร เลขที่ 21
2. นางสาวอรชพร บุญดี เลขที่ 22
3. นางสาวอนงค์นาถ พันธ์สำโรง เลขที่ 27
4. นางสาวออกัส หม่อมกระโทก เลขที่ 28
5. นางสาวหทัยรัตน์ เรือนแก้ว เลขที่ 29
6. นางสาวอรรถพร ปาสารักษ์ เลขที่ 30

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kanom.arachaphorn, 2022-09-05 10:25:00

E-book พฤติกรรมของสัตว์

โครงงานบูรณาการชีววิทยา ชั้น ม.6/3
1. นางสาวนิชนิภา วัชัยสุนทร เลขที่ 21
2. นางสาวอรชพร บุญดี เลขที่ 22
3. นางสาวอนงค์นาถ พันธ์สำโรง เลขที่ 27
4. นางสาวออกัส หม่อมกระโทก เลขที่ 28
5. นางสาวหทัยรัตน์ เรือนแก้ว เลขที่ 29
6. นางสาวอรรถพร ปาสารักษ์ เลขที่ 30

Animal
Behavior

พฤติกรรมของสัตว์

bedtime
stories
collection

1

คำนำ

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เล่มนี้ เป็นส่วนหนึ่ง
ของรายวิชา ว30244 ชีววิทยา ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้อ่าน
ได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง พฤติกรรมของสัตว์ ประกอบ
ด้วย กลไกการเกิดพฤติกรรมสัตว์ ประเภทพฤติกรรมของ
สัตว์ พฤติกรรมการเรียนรู้ การสื่อสารระหว่างสัตว์ การ
สื่อสารด้วยท่าทาง และการสื่อสารด้วยเสียง สัมผัส เคมี

ทั้งนี้ เนื้อหาได้รวบรวมมาจากหนังสือเรียนรายวิชา
เพิ่มเติม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 6 เล่ม 1 คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ จะเป็นประโยชน์แก่นักเรียน
นักศึกษา หรือผู้ที่มีความสนใจไม่มากก็น้อย

คณะผู้จัดทำ

สารบัญ 2

เรื่อง หน้า

คำนำ 1
สารบัญ 2
กลไกการเกิดพฤติกรรม 3
4
- พฤติกรรม 5
- พฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด 9
- พฤติกรรมการเรียนรู้
10
การสื่อสารระหว่างสัตว์ 12

- การสื่อสาร 13
- การสื่อสารด้วยท่าทาง 14
- การสื่อสารด้วยเสียง
- การสื่อสารด้วยการสัมผัส
- การสื่อสารด้วยสารเคมี

บรรณานุกรม
รายชื่อสมาชิก

3

กลไกการเกิดพฤติกรรม

พฤติกรรม (behavior)

คือ ภายในสิ่งเร้าภายนอกหรือสิ่งที่มากระตุ้น การกระทําหรือการแสดงออก
ทุกรูปแบบของสิ่งมีชีวิต เพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้า

แผนภาพกลไกการเกิดพฤติกรรมของสัตว์

สิ่งเร้าภายนอก หน่วยรับความ ระบบประสาท หน่วยปฏิบัติงาน พฤติกรรม
หรือสิ่งเร้าภายใน รู้สึก ส่วนกลาง

จากแผนภาพ

สิ่งเร้าทั้งภายนอกและภายในเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมของสัตว์ แต่ความซับซ้อน
ของพฤติกรรมขึ้นอยู่กับพัฒนาการของระบบประสาท หน่วยรับความรู้สึก หน่วยปฏิบัติงาน

พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต จะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย

1. มูลเหตุจูงใจ (motivation) 2. สิ่งเร้าหรือตัวกระตุ้น (stimulus)

เป็นพลังผลักตันให้มีการเกิดพฤติกรรม เป็นผล สิ่งเร้าภายนอก สิ่งเร้าภายใน
มาจากสิ่งเร้าภายใน เช่น ลักษณะนิสัย อารมณ์ (external stimuli) (internal stimuli)
ความรู้สึก เช่น การที่สุนัขวิ่งไปคาบจานร่อนมา
ให้เจ้าของเพื่อให้ได้รับคำชม

อยู่ภายนอกร่างกาย เป็นผลมาจากกลไกการ
ร่างกายสามารถสัมผัส ทำงานภายในของร่างกาย
และรับรู้ได้

4

การศึกษาพฤติกรรม 1. วิธีการทางสรีรวิทยา (physiological approach)
ของสัตว์จึงมี 2 วิธี คือ
เป็นวิธีการศึกษาพฤติกรรมของสัตว์เพื่ออธิบาย
พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบประสาท

2. วิธีการทางจิตวิทยา (psychological approach)

เป็นการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายนอกและ
ภายในที่มีผลต่อการแสดงออกของพฤติกรรมของสัตว์
รวมทั้งพัฒนาการของพฤติกรรม

ประเภท การแสดงพฤติกรรมของสัตว์มีหลากหลายแบบแต่ละแบบของพฤติกรรมที่
พฤติกรรม แสดงออกนั้นเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน จำแนกเป็น 2 ประเภท

1. พฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด (Inherited behavior)

ของ เป็นพฤติกรรมแบบง่าย ๆ โดยมียีนทำหน้าที่กำหนดลักษณะพฤติกรรม
สัตว์ สิ่งมีชีวิตเดียวกันจะแสดงพฤติกรรมเหมือนกัน มีแบบแผนเฉพาะตัว
ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และไม่ต้องอาศัยการเรียนรู้ แบ่งออกเป็น

พฤติกรรมแบบโอเรียนเตชัน พฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์ พฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์ต่อ
(orientation) (reflexes) เนื่อง (chain of reflexes)

พฤติกรรมที่ตอบสนองต่อปัจจัย เป็นพฤติกรรมการตอบสนองต่อ เป็นพฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด
ทางกายภาพ แบ่งออกเป็น 2 แบบ เรียกว่า สัญชาตญาณ (instinct)
สิ่งเร้าอย่างอัตโนมัติของหน่วย มีแบบแผนที่แน่นอน และเฉพาะตัว
ปฏิบัติงาน ของสัตว์แต่ละชนิด (fixed action
pattern : FAP)

พฤติกรรมไคนีซิส พฤติกรรมแบบแทกซิส
(kinesis) (taxis)

ทิศทางการเคลื่อนที่ ทิศทางการเคลื่อนที่ การที่ทารกจะกำมือแม่หรือ
ไม่แน่นอน ไม่สัมพันธ์ วัตถุที่มาสัมผัสทันที
กับสิ่งเร้า แน่นอน สัมพันธ์กับสิ่ง
เร้า
อุณหภูมิสูง

การชักใยของแมงมุม

อุณหภูมิต่ำ การเคลื่ อนที่เข้าหาแสงของ
ผีเสื้อกลางคืน
การเคลื่ อนที่หนีบริเวณอุ ณหภูมิ
สูงไปยังบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำ

ของพารามีเซียม

5

2. พฤติกรรมการเรียนรู้ (learned behavior)

เป็นพฤติกรรมที่พบในสัตว์ที่มีระบบประสาทเจริญดี และต้องอาศัยประสบการณ์หรือการ
เรียนรู้ เช่น การศึกษาพฤติกรรมการกินอาหารของกบ โดยธรรมชาติของกบจะตวัดลิ้นเพื่อจับ
แมลงเป็นอาหาร เป็นพฤติกรรมที่มีมาตั้งแต่กำเนิด จึงได้ทำการทดลอง โดยนำแมลงปอและ
ผึ้งมาแขวนให้กบกิน กบใช้ลิ้นตวัดแมลงปอกินตามปกติ แต่เมื่อกบใช้ลิ้นตวัดผึ้งกิน ทำให้ผึ้ง
ต่อยเข้าที่ลิ้นของกบ เมื่อเกิดอาการเจ็บปวด กบจึงไม่ตวัดลิ้นเพื่อจับผึ้งกินอีกเป็นครั้งที่สอง

แขวนแมลงปอให้กบเห็น กบกินแมลงปอ แขวนผึ้งให้กบเห็น กบกินผึ้ง ทำให้ผึ้งต่อย

เมื่อนำผึ้งกับแมลงปอมาแขวนอีกครั้ง กบจะเลือกกินแมลงปอ

ความสามารถในการเรียนรู้ของสัตว์แต่ละชนิดแตกต่างกันขึ้นอยู่กับพัฒนาการ
ของระบบประสาท พฤติกรรมการเรียนรู้ของสัตว์แบ่งออกได้ ดังนี้

พฤติกรรมการเรียนรู้แบบแฮบิชูเอชันหรือพฤติกรรมความเคยชิน (habituation)

เป็นพฤติกรรมที่สัตว์หยุดตอบสนองต่อสิ่งเร้าเดิม แม้จะยังได้รับการกระตุ้นอยู่ เนื่องจาก
สัตว์เรียนรู้แล้วว่าสิ่งเร้านั้นไม่มีผลต่อการดำรงชีวิต หากไม่มีผลก็จะไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้น
เช่น นกเลิกกลัวหุ่นไล่กา

นกอยู่ในทุ่งข้าวโพด เมื่อพบหุ่นไล่กา

เมื่ออยู่กับหุ่นไล่กาเป็นเวลานาน

6

พฤติกรรมการเรียนรู้แบบฝังใจ (imprinting)

เป็นพฤติกรรมที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าในช่วงแรกของชีวิตด้วยการจดจำสิ่งเร้าต่าง ๆ
เช่น การเดินตามแม่ของลูกเป็ด

ลูกเป็ดว่ายน้ำตามแม่_

พ.ศ. 2478 ดร.คอนราด ลอเรนซ์ (Konrad Lorenz) ได้สังเกตและบันทึกพฤติกรรมของห่าน
เกรย์เลค จากการสังเกตพบว่า การที่ลูกห่านได้พบเห็นแม่เมื่อฟักออกมาจากไข่ ทำให้เกิดการจดจำ
รูปร่างของวัตถุนั้น และการฝังใจในสิ่งที่เห็น ว่าเป็นแม่หรือเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน ทำให้ลูกห่าน
จึงเดินตามแม่ห่านไป การศึกษาของ ดร.คอนราด ลอเรนซ์ ชี้ให้เห็นว่าการจดจำแม่หรือสิ่งมีชีวิตชนิด
เดียวกันเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ต้องอาศัยประสบการณ์ก่อนจึงจะจดจำได้

พฤติกรรมการเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก (trial and error)

เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการทดลองทำดูก่อน โดยไม่รู้ว่าผลของพฤติกรรมนั้นจะถูกต้องหรือไม่
เมื่อสัตว์เรียนรู้ผลของการลองทำดูแล้วจึงจะเลือกตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เกิดผลดี และหลีกเลี่ยง
การตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เกิดผลเสีย เช่น การเคลื่อนที่ของไส้เดือนในกล่องรูปตัว T

ส่วนที่มิดและชื้น ___

กระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ _______

พฤติกรรมการเรียนรู้แบบใช้เหตุผล (reasoning)

เป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นความสามารถของสัตว์ที่จะตอบสนองอย่างถูกต้องได้
ในครั้งแรกต่อสถานการณ์แตกต่างกันออกไปจากประสบการณ์เดิมที่เคยได้รับ เช่น

โคเลอร์ (W. Kohler) ที่ศึกษาเกี่ยวกับ
พฤติกรรมการเรียนรู้แบบใช้เหตุผลของลิง
ชิมแปนซีเพื่อหยิบกล้วยซึ่งอยู่ในที่สูงมากิน
เป็นอาหาร

การทดลองพบว่า
ลิงชิมแปนซีใช้วิธีการแก้ปัญหาโดยนำ
ลังที่วางไว้บริเวณนั้นมาวางซ้อนกัน
แล้วปีนไปยืนบนลังที่วางซ้อนกัน
ทำให้ลิงสามารถหยิบกล้วยได้ในที่สุด

7

พฤติกรรมการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข (conditioning)

เป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ของสัตว์ที่ตอบสนองสิ่งเร้า 2 ชนิด คือ สิ่งเร้าที่แท้จริงหรือสิ่งเร้าที่
ไม่มีเงื่อนไข (unconditional stimulus) กับสิ่งเร้าไม่แท้จริงหรือสิ่งเร้าแบบการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
ที่มีเงื่อนไข (conditional stimulus) เช่น

พ.ศ. 2500 การทดลองของ อีวาน พาฟลอฟ (Ivan Pavlov) นักจิตวิทยาได้ศึกษาพฤติกรรม
การเรียนรู้แบบมีเงื่อนไขของสุนัข

สรุปการทดลองของ อีวาน พาฟลอฟ ได้ดังนี้
1. ก่อนเรียนรู้

สุนัข + อาหาร (สิ่งเร้าไม่มีเงื่อนไข) --> สุนัขน้ำลายไหล
สุนัข + สั่นกระดิ่ง (สิ่งเร้าที่มีเงื่อนไข) --> สุนัขไม่มีน้ำลายไหลออกมา
2. ระหว่างการเรียนรู้
สุนัข + อาหาร + สั่นกระดิ่ง --> สุนัขน้ำลายไหล
3. หลังการเรียนรู้
สุนัข + สั่นกระดิ่ง (สิ่งเร้าที่มีเงื่อนไข) --> สุนัขน้ำลายไหล

v

พฤติกรรมการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไขนี้จะเกิดได้ยาวนานขึ้นอยู่กับการฝึกให้สัตว์ได้เรียนรู้ที่
จะผูกพันระหว่างตัวกระตุ้นใหม่กับตัวกระตุ้นเดิมได้ต่อเนื่องมากน้อยเพียงใด หากสัตว์ที่ได้
รับการฝึกหรือผ่านการเรียนรู้แล้วไม่ได้รับการฝึกต่อเนื่องการเรียนรู้จะค่อย ๆ หายไป

8

ตาราง แสดงความสัมพันธ์ระหว่างพัฒนาการของระบบประสาทกับพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต





ชนิดของสิ่งมีชีวิต ระบบประสาท ลักษณะพฤติกรรมที่สำคัญ

สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ไม่มีระบบประสาท ไคนีซิสและแทกซิส

สัตว์จำพวกซีเลนเทอเรด ระบบประสาทอย่างง่าย ลักษณะ ไคนีซิส แทกซิส และรีเฟล็กซ์
(ไฮดรา แมงกระพรุน) เป็นร่างแหประสาท

สัตว์จำพวกหนอน ระบบประสาทไม่ซับซ้อน ไม่มีสมอง ไคนีซิส แทกซิส รีเฟล็กซ์
(พลานาเรีย) ที่แท้จริง แต่มีปมประสาทเจริญดี และรีเฟล็กซ์ต่อเนื่อง

สัตว์จำพวกอาร์โทรพอด ไม่มีสมองที่แท้จริง แต่มีปมประสาท รีเฟล็กซ์ต่อเนื่อง
(แมลง แมง) เจริญดี

สัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำ สมองส่วนกลางเจริญดี แต่สมอง

(ปลา สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ส่วนหน้ายังไม่พัฒนาเท่าที่ควร การเรียนรู้แบบง่าย ๆ

สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ปีก)

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สมองส่วนหน้าเจริญดี มีการเรียนรู้ที่ซับซ้อนมากขึ้น และ
มนุษย์ มีการใช้เหตุผลบางส่วน




สมองส่วนหน้าเจริญดีมาก มีการใช้เหตุผลที่ซับซ้อนขึ้น

99

การสื่อสาร

ระหว่างสัตว์



การสื่อสาร ( Communication )

เป็นพฤติกรรมทางสังคมของสัตว์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจระหว่างสัตว์
ชนิดเดียวกัน หรือต่างชนิดกัน เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ดำรงค์เผ่าพันธุ์
ให้คงอยู่ หรือเพื่อการต่อสู้

รูปแบบของการสื่อสารระหว่างสัตว์มีดังนี้
การสื่อสารด้วยท่าทาง ( Visual Communication )

พบมากในสัตว์หลากหลายชนิดมีทั้งพฤติกรรมที่มีมาแต่กําเนิด และพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้
การแสดงท่าทางต่าง ๆ การเคลื่อนไหว และสีหน้า การสื่อสารด้วยท่าทางก่อให้เกิดประโยชน์
เช่น การหาอาหาร บอกอันตรายการหลบภัย แสดงอาณาเขต การขู่ และการสืบพันธุ์

การขู่ ของสัตว์

พ.ศ. 2488 คาร์ล ฟอน ฟริช (Karl von Frisch) นักกีฏวิทยา ได้ศึกษา การสื่อสารด้วย
ท่าทางของผึ้งเพื่อบอกแหล่งอาหารให้กับผึ้งอื่น ๆ

9 10

การสื่อสารด้วยท่าทางของผึ้ง คือการเต้นรำ มี 2 แบบ

1. การเต้นรําแบบวงกลม 2. การเต้นรําแบบเลขแปด หรือการ
( round dance ) เต้นรำแบบส่ายท้อง (waggle dance)

เป็นการสื่อสารเพื่อให้ทราบว่าอาหารนั้นอยู่ ในกรณีที่แหล่งอาหารอยู่ไกลจากรังผึ้งมากกว่า
ใกล้กับรังในระยะทางน้อยกว่า 100 เมตร ฝั่ง 100 เมตร รูปแบบการเต้นรำของผึ้งจะมีความซับ
สำรวจผึ้งจะเต้นรำเป็นวงกลมโดยเคลื่อนตัว ซ้อนกว่าการเต้นรำแบบวงกลม โดยรูปแบบของ
ไปทางด้านขวาก่อนในลักษณะตามเข็มนาฬิกา การเต้นรำจะมีลักษณะเป็นเลข 8 พร้อมกับมีการ
แล้วจึงหมุนไปทางซ้ายมือ คือ ทวนเข็มนาฬิกา ส่ายท้องไปมา

การเต้นรำแบบวงกลม การเต้นรำแบบเลขแปด หรือ
การเต้นรำแบบส่ายท้อง

อีกทั้งการเต้นรําแบบวงกลม และเลขแปด สามารถบอกความอุดมสมบูรณ์ของแหล่ง
อาหารได้ โดย ถ้าผึ้งมีการส่ายท้องเร็วมากแสดงว่ามีอาหารอุดมสมบูรณ์มากแต่ถ้าสายท้อง
ช้าแสดงว่าปริมาณอาหารมีน้อย

การสื่อสารด้วยเสียง (sound communication)

พบในสัตว์หลายชนิด เช่น สัตว์จำพวกแมลง สัตว์ชั้นสูงการสื่อสารด้วยเสียงของ
สัตว์สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและทุกสถานที่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง
กับสัตว์ชนิดนั้น ๆ เสียงจะมีความแตกต่างออกไปโดยมีจุดมุ่งหมายคล้าย ๆ กัน

ทินเบอร์เกนได้ทำการศึกษาการสื่อสารด้วยเสียงของแม่ไก่กับลูกไก่ โดยนำลูกไก่ไปไว้ในครอบ
แก้วเมื่อลูกไก่ส่งเสียงร้อง ทำให้แม่ไก่ไม่ได้ยินเสียงร้องของลูกได้ แม่ไก่จึงไม่แสดงพฤติกรรมแต่
อย่างใด แต่เมื่อแม่ไก่ได้ยินเสียงลูก แม่ไก่จะแสดงพฤติกรรมตอบสนองต่อเสียงร้องของลูกไก่
โดยเดินตามเสียงของลูกไก่ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นลูกไก่ก็ตาม

11 10

เสียงที่ใช้ในการสื่อสารของสัตว์มีวัตถุประสงค์แตกต่างกัน ดังนี้
1. เสียงเรียกเตือนภัย (warning calls)
เป็นเสียงที่สัตว์ส่งเสียงร้องเพื่อเป็นสัญญาณหรือเตือนให้สัตว์ชนิดเดียวกัน

รับรู้ว่ามีศัตรูหรือมีภัยมาถึงเพื่อหลบหนีศัตรูหรือภัยอันตรายนั้น ๆ

2. เสียงสำหรับการกำหนดสถานที่ (echolocation)
สัตว์บางชนิดสามารถส่งคลื่นเสียงที่มีความถี่สูง เช่น ค้างคาว วาฬ โลมา คลื่น
เสียงที่ส่งออกไปเมื่อกระทบวัตถุหรือสิ่งกีดขวางจะสะท้อนกลับมาทำให้รับรู้ได้ว่ามี
แหล่งอาหารหรือสิ่งกีดขวาง

3. เสียงเรียกคู่ (mating calls) )
เป็นการสื่อสารชองสัตว์เมื่อต้องการผสมพันธุ์ โดยเป็นการส่งเสียงเรียกคู่
ของสัตว์ที่อยู่ในสปีชีส์เดียวกัน สัตว์แต่ละชนิดจะมีเสียงเรียกคู่เฉพาะตัว

11 12

การสื่อสารด้วยการสัมผัส (tactile communication)

เป็นการสื่อสารที่เกิดขึ้นในระยะใกล้ และมีบทบาทสำคัญในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เป็นการ
สื่อสารที่แสดงถึงความรัก ความผูกพัน และปกป้องลูกอ่อนให้ปลอดภัยจากอันตรายต่าง ๆ
รวมทั้งช่วยให้เกิดพัฒนาการทางอารมณ์ เช่น สุนัขเลียปากตัวอื่นที่อำนาจเหนือกว่าเพื่อ
แสดงความเป็นมิตร

การสื่อสารด้วยสารเคมี (chemical communication)



พบในสัตว์บางชนิดโดยเหล่านั้นจะสร้างสารเคมีที่รียกว่า ฟีโรโมน แล้วสัตว์ปล่อยออก
มานอกร่างกาย เมื่อสัตว์ตัวอื่นที่เป็นชนิดเดียวกันได้รับฟีโรโมนนั้น ๆ จะแสดงพฤติกรรม
ตอบสนองฟีโรโมนที่ได้รับ มีดังนี้

เพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม

เช่น ผีเสื้อกลางคืนบางชนิดจะปล่อยฟีโรโมนออกมาเล็กน้อยทำให้ผีเสื้อตัวผู้บินมาตาม
กลิ่นเพื่อผสมพันธุ์

เพื่อบอกทิศทางของแหล่งอาหาร

เช่น มดปล่อยฟีโรโมนประเภทกรดฟอร์มิกขณะเดินทาง เพื่อให้มดเดินตามไปยังแหล่ง
อาหาร

เพื่อเตือนภัยหรือสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิต

เช่น การปล่อยฟีโรโมนของมดและผึ้งให้สัตว์พวกเดียวกันรับรู้ เพื่อรุมต่อยหรือกัดเพื่อ
ทำร้ายศัตรู

4. เพื่อบอกอาณาเขต

สัตว์บางชนิดสร้างสารเคมีแล้วปล่อยออกมาเพื่อทำเครื่องหมายแสดงอาณาเขตที่
ครอบครองอยู่

ส่วนสารเคมีที่ทำหน้าที่ในการป้องกันตัวช่วยให้ปลอดภัย เรียกว่า แอลโลโมน ( allomone )

12

13

บรรณานุกรม

อนิรุธ พรหมเจริญ. (2560). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เล่ม 1. กรุงเทพฯ: แม็คเอ็ดดูเคชั่น.

เสนอ อาจารย์ สุธารัตน์ ศรีวาลัย วิชา ชีววิทยา ว30244

สมาชิก ม.6/3 14

1. นางสาวนิชนิภา วิชัยสุนทร เลขที่ 21
2. นางสาวอรชพร บุญดี เลขที่ 22
3. นางสาวอนงค์นาถ พันธ์สำโรง เลขที่ 27
4. นางสาวออกัส หม่อมกระโทก เลขที่ 28
5. นางสาวหทัยรัตน์ เรือนแก้ว เลขที่ 29
6. นางสาวอรรถพร ปาสารักษ์ เลขที่ 30

12 3

4 6
5


Click to View FlipBook Version