The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยชั้นเรียน ปี 2563

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by keng.160719788, 2022-06-08 06:17:26

วิจัยชั้นเรียน ปี 2563

วิจัยชั้นเรียน ปี 2563

วิจัยในชน้ั เรยี น

ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2563
เร่ือง การใชก้ ระบวนการ PLC พฒั นารูปแบบการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน

โดยใช้รปู แบบการสอนคดิ Thinking School 4 step
วิชา สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ส 23101 ระดับชนั มธั ยมศึกษาปีที่ 3

นางสาวนิธนิ นั ท์ อุปโคตร
ครู กลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม
โรงเรียนเดอื่ ศรีไพรวัลย์ องคก์ ารบรหิ ารส่วนจังหวดั สกลนคร

ชอื่ งานวจิ ัย การใช้กระบวนการ PLC พฒั นารปู แบบการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใชร้ ูปแบบ
การสอนคดิ Thinking School 4 step วชิ า สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม
ชอื่ ผู้วจิ ัย ส 23101 ระดับช้ัน มธั ยมศึกษาปที ่ี 3
กลุ่มสาระ นางสาวนธิ ินนั ท์ อปุ โคตร
กลมุ่ สาระการเรียนรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม

บทคัดยอ่

การวิจัยในครัง้ นีเ้ ปน็ วจิ ัยเรือ่ ง การใชก้ ระบวนการ PLC พัฒนารปู แบบการจัดกจิ กรรมการ
เรียนการสอนโดยใชร้ ปู แบบการสอนคดิ Thinking School 4 step วชิ า สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม
ส 23101 ระดับชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 3 กลมุ่ สาระการเรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เพอ่ื นักเรยี น
ไมก่ ลา้ แสดงออก ไม่กลา้ แสดงความคดิ เหน็ เพราะกลัวตัวเองตอบผิด กลวั เพ่ือนล้อ ของนักเรยี นกลมุ่ สาระ
การเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ซ่ึงมีจดุ ประสงค์ 1) นกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 ท่เี รยี นวิชาสงั คม
ศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม รหสั วชิ า ส 23101 มีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นหลงั เรยี นสูงกว่าก่อนเรยี น
2) นักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ท่ีเรยี นวิชาวชิ าสงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม รหัสวิชา ส 23101
มีความพึงพอใจโดยใชร้ ปู แบบการสอนคิด Thinking School 4 Step โดยมจี ำนวนนกั เรียน 30 คน ซง่ึ ใช้
ระยะเวลาในการทำวจิ ยั 1 ภาคเรยี น คือภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2563 เครื่องมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ยั ครง้ั น้ี
เป็นเครอ่ื งมือทผี่ ้วู จิ ัยจดั สรา้ งขึน้ ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรียน แบบประเมนิ
ความพงึ พอใจตอ่ การใชร้ ูปแบบการสอนคิด Thinking School 4 step รายวิชาสงั คมศกึ ษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม รหสั วชิ า ส 23101 เครอ่ื งมอื ของแบบประเมินความพึงพอใจเปน็ แบบมาตราการประเมนิ
(Rating Scale) 5 ระดบั ตามแนวคิดของลเิ คิร์ท ข้อคำถามจำนวน 20 ข้อ โดยใช้เกณฑน์ ้ำหนักคะแนน
ประเมินค่าจดั อันดับความสำคญั และสำหรับการแปลความหมายใช้คา่ เฉลย่ี ของค่าทว่ี ดั ไดแ้ ละยดึ แนวคิดของ
เบสท์ (Best, 1986 : 195) การวิเคราะห์ข้อมลู จะใช้สถิติทใ่ี ชว้ เิ คราะหป์ ริมาณการส่งงานของนักเรียน คือ

ค่าเฉลยี่ ( X ) และรอ้ ยละ (%) ส่วนการวิเคราะหข์ ้อมลู ด้านความพงึ พอใจใชส้ ถิติท่ีใช้วเิ คราะหข์ อ้ มูล คือ
ค่าเฉล่ยี ( X )รอ้ ยละ (%) และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.)

ผลการวิจยั พบวา่
1. นกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ทเี่ รยี นโดยใชร้ ปู แบบการสอนคดิ Thinking School 4 step
รายวชิ าสงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม รหัสวชิ า ส 23101 มีคะแนนหลงั เรียน สงู กว่าก่อนเรยี น อยา่ งมี
นัยสำคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .01
2. นักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ทีเ่ รียนโดยใชร้ ปู แบบการสอนคดิ Thinking School 4 step
รายวชิ าสงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม รหัสวชิ า ส 23101 มีความพึงพอใจในระดบั มาก

บทที่ 1

บทนำ

ความเป็นมาแความสำคัญของปัญหา

ในโลกและยคุ สมยั ปจั จุบันได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แตล่ ะประเทศมกี ารแขง่ ขนั สูง
ในทางดา้ นกิจการงานตา่ ง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกจิ การเมอื ง สงั คม การศกึ ษา เทคโนโลยี
เปน็ ต้น ประเทศไทยเป็นประเทศหนง่ึ ที่อยูท่ ่ามกลางกระแสการเปล่ียนแปลงน้นั เพ่ือให้สังคมก้าวทนั ยุคสมัย
สังคมไทยจงึ ต้องมีการปรบั เปลีย่ นระบบดา้ นการศึกษา เพ่ือเปน็ การพัฒนาคณุ ภาพชีวิต สร้างเสรมิ คณุ ลกั ษณะ
นสิ ัย ปลูกฝงั ให้คดิ เปน็ ทำเป็น แกป้ ญั หาเปน็ มีความใฝเ่ รียนใฝร่ ู้ ศกึ ษาค้นคว้าความรู้ไดจ้ ากสอ่ื สิง่ อำนวย
ความสะดวกทางดา้ นตา่ ง ๆ โดยเฉพาะทางดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศ ก่อให้เกิดความคิดที่รเิ ร่ิมสร้างสรรค์ ซง่ึ
เปน็ รากฐานของการทำงานของประชากรในอนาคตที่เป็นคนยุคใหม่ กา้ วทันโลกแหง่ ความเจรญิ ในปัจจบุ ัน
และอนาคต สามารถปรบั ตวั ให้อยู่รอด กา้ วทัน ก้าวหน้า ก้าวนำการเปลีย่ นแปลงทางสงั คมได้อย่างมีคณุ ภาพ
และยงั่ ยืน แผนพฒั นาเศรษฐกิจแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 12 (ประจำปี 2560 - 2564) การเตรียมพร้อมด้านกำลังคน
และการเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพของประชากรในทุกชว่ งวัย โดยม่งุ เน้น การพัฒนาคนในทุกมิตแิ ละในทุกชว่ งวยั ให้
เปน็ ทนุ มนษุ ย์ทมี่ ศี ักยภาพสงู ภายใตเ้ งอ่ื นไขการเปลี่ยนแปลง ท่สี ำคัญ ไดแ้ ก่ การเปลี่ยนแปลงไปสโู่ ครงสร้าง
ประชากรสังคมสงู วัยสมบรู ณเ์ มือ่ สิ้นสุดแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๒ คณุ ภาพคนยังมปี ัญหาในทกุ ช่วงวยั และสง่ ผล
กระทบตอ่ เนื่องถึงกันตลอดช่วงชีวิต ผลลัพธท์ างการศกึ ษาของ เด็กวัยเรยี นค่อนข้างต่ำ ดงั นัน้ จุดเน้นการ
พัฒนาคนทส่ี ำคญั ในช่วงแผนพัฒนาฯฉบับที่ ๑๒ มีดงั นี้ ๑) การพัฒนาเด็กใหม้ ีสุขภาพกายและใจทดี่ ี มีทกั ษะ
ทางสมอง ทกั ษะการเรยี นรู้ ทักษะชวี ติ และทักษะทางสังคม เพื่อใหเ้ ตบิ โตอยา่ งมคี ุณภาพ ๒) การหลอ่ หลอม
ใหค้ นไทยมคี ่านยิ มตามบรรทัดฐานทด่ี ที างสังคม คนไทยในทุกชว่ งวัยเปน็ คนดี มสี ุข ภาวะท่ีดี มีคุณธรรม
จรยิ ธรรม มีระเบยี บวนิ ัย มีจิตสานึกทดี่ ีต่อสงั คมส่วนรวม ๓) การพัฒนาทกั ษะความร้คู วามสามารถของคน
มงุ่ เน้นการพัฒนาทักษะท่เี หมาะสมในแต่ละช่วงวยั เพอ่ื วางรากฐานให้เป็นคนมีคุณภาพในอนาคต การพฒั นา
ทักษะสอดคล้องกับความต้องการในตลาดแรงงาน และทกั ษะทจ่ี าเป็นต่อการด ารงชีวิตในศตวรรษท่ี ๒๑ ของ
คนในแต่ละช่วงวยั ตามความเหมาะสม เช่น เด็กวัย เรียนและวัยรุ่นพัฒนาทักษะการวิเคราะห์อยา่ งเปน็ ระบบ
มีความคิดสรา้ งสรรค์ รวมทั้งการใหค้ วามสำคญั กบั การพัฒนาให้มีความพร้อมในการต่อยอดพัฒนาทักษะใน
ทกุ ด้าน ๔) การเตรยี มความพรอ้ มของกำลงั คนดา้ นสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมในกลุ่มสังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม ท่จี ะเปลย่ี นแปลงโลกในอนาคตอย่างสำคัญ ๕) การยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่ความ
เป็นเลศิ ในทกุ ระดบั และยกระดับการเรยี นรู้ โดยเนน้ การพัฒนาคุณภาพการศึกษาข้ันพนื้ ฐานทัง้ การบริหาร
จดั การโรงเรยี นขนาดเลก็ ปรับระบบการจดั การเรยี น การสอน และการพฒั นาคณุ ภาพครทู ้ังระบบ รวมทง้ั การ
ยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่ความเปน็ เลศิ ใน สาขาวชิ าท่มี ีความเชย่ี วชาญเฉพาะดา้ น และพฒั นาระบบทวภิ าคี
หรือสหกิจศึกษาใหเ้ อ้ือต่อการเตรียมคนทีม่ ี ทกั ษะให้พรอ้ มเข้าสตู่ ลาดแรงงาน นอกจากน้ีต้องให้ความสำคัญ
กบั การสร้างปจั จัยแวดล้อมทเ่ี อื้อต่อการเรยี นรู้ ตลอดชีวติ ท้ังสื่อการเรียนร้แู ละแหล่งเรยี นรูท้ หี่ ลากหลาย
พัฒนาเดก็ วยั เรยี นและวัยรุ่นใหม้ ที กั ษะการคดิ วิเคราะห์อย่างเป็นระบบ มีความคดิ สร้างสรรค์ มที ักษะ การ
ทำงานและการใช้ชวี ิตที่พร้อมเข้าสู่ตลาดงาน ๑) ปรับกระบวนการเรียนรูท้ ี่สง่ เสริมใหเ้ ด็กมีการเรยี นรูจ้ ากการ
ปฏิบัติจริงสอดคลอ้ งกับพัฒนาการ ของสมองแต่ละชว่ งวยั เนน้ พัฒนาทักษะพ้นื ฐานดา้ นสังคมศึกษา ศาสนา

และวัฒนธรรม เทคโนโลยีดา้ นวศิ วกรรมศาสตร์ ด้านคณติ ศาสตร์ ด้านศิลปะ และด้านภาษาตา่ งประเทศ ๒)
สนับสนุนใหเ้ ดก็ เขา้ รว่ มกจิ กรรมทั้งในและนอกห้องเรียนที่เอือ้ ต่อการพฒั นาทักษะชวี ติ และทักษะ การเรยี นรู้
อยา่ งต่อเนือ่ ง อาทิ การอ่าน การบำเพ็ญประโยชน์ทางสังคม การดแู ลสขุ ภาพการทางานร่วมกนั เป็น กลุ่ม การ
วางแผนชีวิต ๓) สร้างแรงจูงใจให้เด็กเขา้ สู่การศึกษาในระบบทวิภาคีและสหกจิ ศกึ ษาทมี่ ่งุ การฝกึ ทักษะอาชีพ
ให้ พร้อมเข้าสตู่ ลาดงาน แผนงานการสรา้ งสภาพแวดล้อมใหเ้ ป็นแหลง่ การเรียนรตู้ ลอดชีวิต มงุ่ เนน้ การพัฒนา
พ้ืนท่แี หล่งเรียนรูใ้ ห้มชี ีวิต ทันสมยั มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากลเพ่ือดึงดูดใหค้ น ทุกช่วงวยั เกิดความสนใจ
เข้าไปเรียนรูแ้ ละมีสว่ นรว่ มในการทำกิจกรรมมีการศึกษา

ในการเรยี นรายวชิ าสงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม รหสั ส 23101 ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 มีการ
เก็บคะแนนแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ คะแนนเกบ็ ระหวา่ งเรียน 80 คะแนน และคะแนนสอบปลายภาค 20
คะแนน รวมเปน็ 100 คะแนน โดยคะแนนเกบ็ ระหว่างเรียนมสี ดั สว่ นคะแนนที่มากถึงร้อยละ 80 มาจากการ
ทำใบงานหรือช้ินงาน ทำแบบฝึกหัด และแบบทดสอบย่อย การทำกิจกรรมในชน้ั เรยี นรวม 60 คะแนน และ
การสอบกลางภาค 20 คะแนน ดังนั้น การทำ ใบงานหรือชิ้นงานทำแบบฝึกหดั และแบบทดสอบย่อย การทำ
กจิ กรรมในช้นั เรียนรวม จึงเป็นสิ่งสำคญั ท่ีจะใช้ในการประเมินทกั ษะของนักเรียนในเร่ืองนัน้ ๆ การจดั การ
เรียนการสอนในรายวชิ าสงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม รหสั ส 23101 ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรียน
เดอ่ื ศรีไพรวลั ย์ ได้พบปัญหาและอุปสรรคจากการทำกิจกรรมในช้ันเรยี น นกั เรียนไม่กลา้ แสดงออก ไม่กล้า
แสดงความคิดเหน็ ในกลมุ่ ไม่กล้าตอบคำถามเพราะกลวั เพ่ือล้อ ขาดความมน่ั ใจในคำตอบ ซง่ึ ทำให้ครูไม่
สามารถวัดทักษะและความก้าวหน้าของนักเรยี นได้ ดังน้ันครูผสู้ อนปรึกษากบั ครทู ่สี อนในกลุ่มสาระเดียวกนั วา่
มีปัญหาเหมือนกนั หรือเปลา่ ทุกคนตอบวา่ เหมือนกนั ไดด้ ำเนินการจดั ตง้ั กลุ่มชุมชนแหง่ การเรยี นรทู้ างวชิ าชพี
(Professional Leaning Community : PLC) ข้นึ ช่ือ TFE “Team For Education”กลุ่มสาระการเรียนรู้
สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ขนึ้ จึงมคี วามต้องการทจี่ ะแกไ้ ขปญั หาดังกล่าว ผู้วิจัยจงึ ไดจ้ ดั ทำวิจัยในชนั้
เรยี น เพื่อแกป้ ัญหานกั เรยี นไม่กลา้ แสดงออก ไมก่ ลา้ แสดงความคิดเหน็ เพราะกลวั ตวั เองตอบผดิ กลวั เพื่อน
ล้อ โดยใชร้ ปู แบบการสอนคดิ Thinking School 4 Step เพือ่ ให้การเรียนการสอนมผี ลสัมฤทธิ์และ
ประสทิ ธภิ าพท่สี ูงขน้ึ

สมมติฐานการวจิ ัย

นกั เรียนมผี ลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นหลงั เรยี นสูงกว่ากอ่ นเรยี น มากกวา่ ร้อยละ 75 โดยใช้รปู แบบการ
สอนคิด Thinking School 4 Step ของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3/1

วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย

1.นักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ทีเ่ รียนวชิ าสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
รหสั ส 23101 มีผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นหลังเรยี นสูงกวา่ ก่อนเรยี น

2.นักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 ที่เรยี นวชิ าสังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม รหสั
ส 23101 มคี วามพงึ พอใจโดยใช้รปู แบบการสอนคดิ Thinking School 4 Step
ขอบเขตของานวจิ ยั

1. ประชากรในการทำวจิ ัยคอื นักเรียนระดับชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 30 คน

2. ระยะเวลาคอื ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2563

ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะไดร้ บั

1. ไดร้ ูปแบบการสอน ทท่ี ำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากยิง่ ข้ึน
2. เป็นแนวทางในการแกป้ ญั หาของนักเรียนใหก้ ับครผู สู้ อนในรายวชิ าอืน่ ๆ

นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ

ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น หมายถึง ความสามารถของนักเรียนในดา้ นความรู้ ความเขา้ ใจในการเรยี นรู้
ซึ่งวดั ได้จากผลคะแนนทน่ี ักเรียนทำแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนท่ผี ู้วิจยั สร้างขึ้น

แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบทางการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เพื่อวัด
ความรู้ความเข้าใจในการเรียนของนักเรียนทจ่ี ัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใชร้ ูปแบบการสอนคิด Thinking School 4
Step ซึ่งเป็นขอ้ สอบแบบปรนยั ชนดิ เลือกตอบ 4 ตวั เลือก จำนวน 30 ข้อ

รปู แบบการสอน คือ กระบวนการจดั ทำแผนการจัดการเรียนร้กู ารสอนคิด Thinking School 4
Step ประกอบ ดว้ ยขนั้ การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 4 ตอน ดังนี้

1.ขนั้ ท่ี 1 คือ Do Now หมายถงึ การนำเข้าสูบ่ ทเรียนของนักเรียนและครู
2.ขน้ั ที่ 2 คอื Purpose หมายถงึ ข้ันการแจง้ วตั ถปุ ระสงค์การเรียนรูใ้ นชั่วโมง/คาบเรียนนัน้ ๆ
3. ข้นั ท่ี 3 คอื Work Mode หมายถึง ขนั้ ตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรขู้ องนกั เรียนและครู
4. ข้ันที่ 4 คือ Reflective Thinking คือ ขั้นการสรุปบทเรียนหรือสะท้อนผลของการเรยี นในช่ัวโมง/
ในคาบเรยี นนัน้ ๆ

ความพึงพอใจของนักเรียน หมายถึง ระดับความชอบ รู้สึกพอใจของนักเรียนทจ่ี ดั กิจกรรม
การเรียนรู้ แผนการจดั การเรียนรูก้ ารสอนคิด Thinking School 4 Step ซ่งึ วดั โดยใช้แบบประเมินความพึง
พอใจทผ่ี ู้วิจยั สร้างขน้ึ

บทท่ี 2

เอกสารและงานวิจัยทเี่ ก่ียวข้อง

แนวทางในการจัดทำวจิ ัย เร่ือง การใช้กระบวนการ PLC พัฒนารปู แบบการจัดกจิ กรรมการเรียนการ
สอนโดยใช้รปู แบบการสอนคิด Thinking School 4 step รายวชิ าสงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ส
23101 ระดบั ชันมัธยมศึกษาปที ่ี 3 กลมุ่ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ผู้วิจัยจึงศกึ ษา
เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ กีย่ วข้องโดยเสนอตามลำดับหัวขอ้ ดังน้ี

1. วิจัยในชั้นเรยี น
2. การจัดกระบวนการเรยี นรู้
3. การสอนคดิ Thinking School ตามแนวทางโรงเรยี นสงั กดั อบจ.เชยี งราย
4. ความพงึ พอใจ
5. งานวิจยั ท่เี กีย่ วข้อง

วิจยั ในชัน้ เรียน
ความหมายของวิจัยในช้นั เรียน
การวิจยั ในชัน้ เรียนเป็นรปู แบบของการวิจัยทางการศึกษาอีกรูปแบบหนึ่งซ่ึงเป็นการวจิ ัยท่ีดำเนินการ

ควบคู่ไปกบั การปฏบิ ตั งิ านของครู โดยมีครเู ปน็ นักวิจัย ทง้ั ผลิตงานวจิ ัย และบรโิ ภคงานวจิ ยั หรอื กล่าวอีก นัย
หน่งึ คือ ครูเปน็ ผู้ทำการวิจยั และนำผลการวจิ ัยไปใช้ ด้วยลกั ษณะของการวจิ ัยในช้ันเรยี นจงึ มีนกั ศึกษา และ
นักวิจยั หลายท่านไดใ้ ห้ความหมายของการวจิ ัยในช้นั เรยี นไวห้ ลากหลายโดยเน้นการวิจยั ทางการศึกษา และ
ปฏบิ ตั ิการในห้องเรยี นดังน้ี การวิจยั ในช้นั เรียน หากแปลความหมายโดยการแยกคำหลกั ๆ จะเห็นได้ว่า
ประกอบด้วยคำว่า “การวจิ ยั ” และ “ชน้ั เรยี น” ซง่ึ การวิจยั น้ันในบทท่ี 1 ไดอ้ ธบิ ายความหมาย ความสำคัญ
และหลกั การไว้ แล้ว สว่ นคำวา่ ชนั้ เรียน หากสอ่ื ตามความหมายท่เี กย่ี วข้องจะเหน็ ได้วา่ ส่ือถงึ ครู นักเรยี น
ดงั น้นั หากหมาย รวมกันแลว้ จะเหน็ ได้วา่ การวจิ ัยในชั้นเรียน จะหมายถงึ การวจิ ัยที่เกีย่ วข้องกบั ครหู รอื
นักเรยี น นอกจากน้ี ความหมายของการวิจยั ในชัน้ เรยี นนนั้ ได้มนี ักวชิ าการ ไดน้ ิยามความหมายทค่ี ล้ายคลึงกัน
ดังน้ี (Field ,1997 อ้างถงึ ในสภุ ทั รา เอ้ือวงศ์ ออนไลน์ 2554) การวจิ ัยในช้นั เรียน เป็นการวิจัย เพอื่ หา
นวัตกรรมสำหรับแก้ปญั หาหรือเพ่ือพฒั นาการเรียนรู้ของผ้เู รียน ซง่ึ เน้นในลักษณะการวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการ
(Action Research) โดยมีปัญหาการเรียนรู้เปน็ จดุ เร่ิมต้น ผู้สอนหาวธิ กี าร หรอื นวตั กรรม เพอื่ แกป้ ญั หา มกี าร
สงั เกตและตรวจสอบผลของการแก้ปญั หา/การพฒั นา แล้วจงึ บันทกึ และสะท้อนการแก้ปัญหาหรือการพัฒนา
น้นั ๆ การวจิ ัยในชนั้ เรยี นมักเปน็ การวจิ ยั ขนาดเล็ก (Small scale) ทีด่ ำเนนิ การโดย ผสู้ อน เปน็ กระบวนการท่ี
ผูส้ อนสะท้อนการปฏิบตั ิงาน และเสรมิ พลงั อำนาจใหค้ รูผ้สู อน (รัตนะ บวั สนธ์, 2544) การวจิ ยั ในชั้นเรยี น เป็น
การแกป้ ัญหาและ /หรือพฒั นางานทีเ่ ก่ียวกับ การเรยี นการสอนในชัน้ เรยี นโดยอาศยั กระบวนการวิจยั ในการ
ดำเนนิ งานทัง้ น้ีมีเป้าหมายสำคญั ที่อยู่ที่ การเรยี นรู้ท่สี ำคญั ของผเู้ รียนให้เป็นไปตามวัตถุประสงคท์ ่ีกำหนดไว้ใน
หลกั สตู รการศึกษาในแต่ละระดบั (ส. วาสนา ประวาลพฤกษ์,2541) การวิจัยในช้ันเรยี น เป็นวธิ กี ารศกึ ษา
คน้ คว้าท่สี ะท้อนตวั ครู และกลมุ่ ผรู้ ว่ มปฏิบัตงิ านในสถานการณ์สังคม เพือ่ คน้ หาลกั ษณะท่เี หมาะสมของ

รปู แบบการพฒั นาคณุ ภาพ การปฏบิ ตั งิ านให้สอดคล้องกับภาวะของสงั คมหรือสถานการณ์ ดว้ ยความร่วมมือ
ของเพอื่ นครู ผ้บู ริหาร สถานศึกษา ผปู้ กครอง ตลอดจนสมาชิกในสงั คมทีเ่ กี่ยวข้อง มีจุดม่งุ หมายเพือ่ พนิ ิจ
พเิ คราะห์การกระทำของ ตนเองและกลุ่ม เพือ่ พฒั นาเพิม่ พูนความรเู้ กีย่ วกับหลักสูตรการสอนและการเรียนรู้
อนั เปน็ ผลจากการ เปลี่ยนแปลงแบบมแี ผน ดังนั้น การวจิ ยั ในชนั้ เรียน จงึ ไมใ่ ช่เปน็ เพียงการแก้ปัญหา แตจ่ ะ
เปน็ การตงั้ ปญั หาจากแรงกระตุน้ ของผู้วจิ ัยท่ีต้องการเปล่ยี นแปลงพฒั นา แลว้ ปฏิบัตสิ ังเกต สะทอ้ นกลับ
เป็นวฏั จกั รของการวจิ ัย ท่ีหมุนไปเร่ือย ๆ เพื่อการเปลย่ี นแปลงท่ียั่งยืนและสร้างภาพลักษณข์ องการเรียนการ
สอนให้มีคุณภาพยงิ่ ข้ึน ส่วนความสำคัญของการวจิ ัยในชน้ั เรยี นนั้นจะเห็นได้ว่าการวจิ ยั ในช้นั เรยี นนั้นมงุ่
แกป้ ญั หาและ/หรือ พัฒนางานทเ่ี กย่ี วกบั การเรยี นการสอนในชนั้ เรียน ซง่ึ ต้องบงั เกิดประโยชนแ์ กน่ ักเรียนให้
ในการพฒั นา การเรียนรอู้ ยู่แล้ว และตอ้ งส่งผลตอ่ ผลงานของครูผสู้ อนและโรงเรียนตามมา และนอกจากน้กี าร
วิจยั ในชัน้ เรียนน้ยี งั สอดคล้องกบั แนวทางของพระราชบัญญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 หมวด4 แนวการ
จัดการศึกษา มาตรา 24(5) ส่งเสรมิ สนับสนุนให้ครผู ู้สอนสามารถจดั บรรยากาศ สภาพแวดล้อม ส่อื การเรียนรู้
และมคี วามรอบรู้ รวมทง้ั สามารถใช้การวจิ ัยเปน็ ส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทงั้ น้ีผู้สอนและผเู้ รยี นอาจ
เรยี นรู้ไปพร้อมกันจากการเรยี นการสอนและแหลง่ วทิ ยาการประเภทตา่ ง ๆ มาตรา 30 ส่งเสริมใหผ้ ้สู อน
สามารถวจิ ยั เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ทเี่ หมาะสมกบั ผเู้ รียนในแตล่ ะระดับการศึกษาในหลักสูตรการศกึ ษา ขั้น
พนื้ ฐาน พ.ศ. 2544 ได้กลา่ วถึงการวจิ ยั ในกระบวนการจดั การศกึ ษา ของผู้เก่ียวข้อง ดงั เช่น ศึกษา ค้นควา้
วิจัยเพอื่ พัฒนาสอ่ื การเรียนรูใ้ ห้สอดคลอ้ งกับกระบวนการเรียนรขู้ องผู้เรยี น ให้ผู้สอนนำ กระบวนการวิจยั มา
ผสมผสานหรือบูรณาการใชใ้ นการจดั การเรยี นร้เู พื่อพัฒนาคณุ ภาพของผเู้ รียนและเพื่อให้ ผูเ้ รียนเกดิ การเรียนรู้
สามารถใชก้ ระบวนการวิจัยเปน็ สว่ นหน่งึ ของกระบวนการเรียนรู้ สวุ ฒั นา สวุ รรณเขตนคิ (2555) กลา่ ววา่ การ
วิจัยในชน้ั เรยี น คอื กระบวนการแสวงหาความรู้อันเป็น ความจริงท่เี ช่อื ถือได้ในเนื้อหาเกย่ี วกับการพัฒนาการ
จดั การเรยี นการสอน เพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ของนกั เรียน ในบรบิ ทของขนั้ เรยี น การวิจัยในชน้ั เรียนมีเปา้ หมาย
สำคัญอยทู่ ี่การพฒั นางานการจัดการเรียนการสอนของครู ลกั ษณะของการวิจยั เปน็ การวจิ ยั เชิงปฏบิ ตั ิการ
(Action Research) คอื เป็นการวจิ ัยควบค่ไู ปกบั การปฏิบัตงิ านจรงิ โดยมีครูเปน็ ท้ังผู้ผลิตงานวจิ ยั และ
ผู้บริโภคผลการวจิ ัย หรือกลา่ วอกี นยั หน่ึงคือ ครเู ป็น นกั วิจัยในช้นั เรียนครนู ักวจิ ยั จะตัง้ คำถามที่มคี วามหมาย
ในการพัฒนาการจดั การเรียนการสอน แลว้ จะวางแผน การปฏิบัติงานและการวิจัย หลกั จากนัน้ ครจู ะ
ดำเนินการการจดั การเรียนการสอนไปพร้อม ๆ กบั ทำการจัดเกบ็ ข้อมลู ตามระบบข้อมูลท่ไี ด้วางแผนการวิจัย
ไว้ นำข้อมูลทีไ่ ด้มาวิเคราะห์สรปุ ผลการวิจยั นำผลการวิจยั ไปใช้ในการพัฒนาการจัดการเรยี นการสอนแล้ว
พฒั นาข้อความรู้ท่ีไดน้ ัน้ ต่อไปใหม้ คี วามถูกต้อง เป็นสากลและเปน็ ประโยชน์มากย่ิงขน้ึ ต่อการพฒั นาการเรยี น
การสอนเพือ่ พัฒนานักเรียนของครใู ห้มคี ณุ ภาพ ยง่ิ ๆ ข้ึนไป โดยท่วั ไปแล้วประชากรเป้าหมายของการวจิ ยั ใน
ชน้ั เรยี นจะถูกจำกดั เป็นกลุ่มนักเรยี นในความ รบั ผิดชอบของครูนักวจิ ัยเท่าน้ัน และข้อความรูท้ ีไ่ ด้มักจะมคี วาม
เฉพาะคือจะเกยี่ วกับสภาพปัญหาและผลการพัฒนานักเรียนในช้ันเรียนของครนู กั วิจัยเป็นสำคัญ สรุปไดว้ ่าวจิ ัย
ในช้นั เรียนคือ การคน้ คว้าเพ่ือแก้ไขปัญหาของครแู ละนกั เรียน ในการจดั การเรียน การสอนเพ่ือให้บรรลุซ่ึง
เป้าหมายและพัฒนาผ้เู รียนให้มคี ุณภาพที่ดยี ิง่ ขึ้น โดยมกี ารวางแบบแผน การปฏบิ ัติการอย่างมรี ะบบ ขน้ั ตอน
และสบื ค้นหาข้อมลู เพ่อื นำมาแกไ้ ขปัญหาเหล่านั้นทเ่ี กิดในชั้นเรียนของ ครผู ูส้ อน ความสำคญั ของวจิ ัยในชน้ั
เรียน สวุ ฒั นา สวุ รรณเขตนิคม (2555) กล่าววา่ การทำวจิ ัยในชั้นเรยี นนั้นจะชว่ ยให้ครูมีวถิ ชี ีวิตของ การ
ทำงานครูอยา่ งเป็นระบบเห็นภาพของงานตลอดแนว มีการตดั สินใจที่มีคุณภาพ เพราะจะมองเห็น

ทางเลอื กต่าง ๆ ได้กวา้ งขวางและลึกซ้งึ ข้ึน แล้วจะตดั สินใจเลือกทางเลือกตา่ ง ๆ อย่างมเี หตุผลและสร้างสรรค์
ครูนักวิจัยจะมีโอกาสมากขนึ้ ในการคดิ ใครค่ รวญเก่ียวกบั เหตผุ ลของการปฏบิ ตั งิ านและครูจะสามารถบอกได้วา่
งานการจดั การเรียนการสอนที่ปฏบิ ตั ินนั้ ได้ผลหรอื ไมเ่ พราะอะไร นอกจากนค้ี รูที่ใชก้ ระบวนการวจิ ยั ในการ
พฒั นากระบวนการเรียนการสอนน้จี ะสามารถควบคุม กำกบั และพัฒนาการปฏิบตั ิงานของตนเองได้ อยา่ งดี
เพราะการทำงาน และผลของการทำงานนนั้ ลว้ นมีความหมาย และคุณค่าสำหรบั ครใู นการพฒั นา นักเรียน ผล
จากการทำวิจยั ในช้นั เรียนจะชว่ ยให้ครไู ด้ตวั บง่ ช้ีทเ่ี ป็นรปู ธรรมของผลสำเรจ็ ในการปฏบิ ัตงิ าน ของครู อันจะ
นำมาซงึ่ ความรใู้ นงานและความปิตสิ ุขในการปฏิบัติงานที่ถูกตอ้ งของครู เปน็ ท่ีคาดหวังวา่ เมือ่ ครผู ้สู อนได้ทำ
การวิจัยในช้ันเรยี นควบค่ไู ปกับการปฏบิ ัติงานสอนอยา่ งเหมาะสมแล้วจะก่อให้เกิดผลดีต่อ
วงการศึกษา และวชิ าชพี ครูอยา่ งน้อย 3 ประการ คือ

1. นกั เรยี นจะมกี ารเรยี นรู้ท่มี ีคุณภาพและประสิทธิภาพยงิ่ ขึน้
2. วงวิชาการการศกึ ษาจะมีข้อความรแู้ ละ/ หรือนวตั กรรมทางการจดั การเรียนการสอนท่ีเป็นจรงิ
เกิดมากข้นึ อนั จะเปน็ ประโยชนต์ ่อครูและเพ่ือนครูในการพัฒนาการจดั การเรียนการสอนเป็นอย่างมาก
3. วิถชี วี ติ ของครู หรือวัฒนธรรมในการทำงานของครู จะพัฒนาไปส่คู วามเปน็ ครูมืออาชีพ
(Professional Teacher) มากย่ิงขึ้นทั้งนี้เพราะครนู ักวจิ ยั จะมีคุณสมบัติของการเป็นผู้แสวงหาความรหู้ รือ
ผเู้ รียน (Learner) ในศาสตรแ์ หง่ การสอนอย่างต่อเนอ่ื งและมีชวี ติ ชีวา จนในท่สี ุดกจ็ ะเป็นผู้ท่ีมคี วามรู้ ความ
เขา้ ใจที่กวา้ งขวาง และลึกซึง้ ในศาสตร์และศลิ ป์แหง่ การสอนเปน็ ครทู ่ีมวี ทิ ยายุทธแ์ กรง่ กล้าในการสอน
สามารถทจ่ี ะสอนนักเรียนให้พฒั นากา้ วหนา้ ในด้านตา่ ง ๆ ในหลายบรบิ ทหรอื ที่เรียกวา่ เปน็ ครูผู้รอบรู้ หรือครู
ปรมาจารย์ (Maser Teacher) ซ่งึ ถา้ มีปริมาณครนู กั วจิ ยั ดงั กลา่ วมากขน้ึ จะช่วยใหก้ ารพัฒนาวิชาชพี ครูเป็น
อย่างสรา้ งสรรค์และมนั่ คง สรปุ ได้ว่าการจดั ทำวจิ ัยในช้ันเรียนจะชว่ ยใหค้ รสู ามารถวเิ คราะหถ์ งึ ปญั หาของ
ผ้เู รยี นและวิเคราะห์ได้ ถงึ ปัญหาในการจัดการเรยี นการสอนของครูผู้สอนได้อยา่ งลึกซึ้ง เน่อื งจากครผู ูส้ อนจะ
สามารถรแู้ ละเขา้ ใจถงึ ปัญหาทีเ่ กิดกับผ้เู รยี นไดโ้ ดยตรง เม่ือทราบถึงปญั หาครผู ้สู อนสามารถทำการวจิ ยั เพือ่
สบื ค้นหาหนทางหรอื วธิ กี ารแกไ้ ขได้อยา่ งตรงเป้าหมายทำใหผ้ ้เู รยี นมปี ระสทิ ธิภาพและคุณภาพท่ีดีมากยงิ่ ขนึ้

กระบวนการจัดการเรียนรู้
การจัดการเรยี นรู้เปน็ กระบวนการสำคัญในการนำหลักสูตรสู่การปฏบิ ตั ิ หลกั สตู รแกนกลาง

การศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน เปน็ หลักสตู รท่ีมมี าตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสำคญั และคุณลกั ษณะอนั พงึ
ประสงคข์ องผ้เู รยี น เป็นเปา้ หมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนในการพัฒนาผเู้ รยี นใหม้ ีคณุ สมบัตติ าม
เปา้ หมายหลกั สตู ร ผูส้ อนพยายามคัดสรรกระบวนการเรยี นรู้ จดั การเรยี นรโู้ ดยช่วยใหผ้ เู้ รยี นเรยี นรูผ้ า่ นสาระที่
กำหนดไว้ในหลกั สูตร 8 กล่มุ สาระการเรียนรู้ รวมท้ังปลูกฝังเสริมสรา้ งคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์พฒั นาทักษะ
ตา่ ง ๆ อนั เปน็ สมรรถนะสำคัญใหผ้ เู้ รยี นบรรลุตามเปา้ หมาย (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551 : 20-21)

หลักการจดั การเรียนรู้
1.การจดั การเรยี นรู้เพอ่ื ใหผ้ ้เู รียนมคี วามร้คู วามสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะ

สำคญั และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ตามท่ีกำหนดไว้ในหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน โดยยดึ หลกั
วา่ ผู้เรียนมีความสำคญั ท่สี ุด เชอ่ื วา่ ทุกคนมคี วามสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ยดึ ประโยชนท์ ี่เกิดกับ

ผูเ้ รียน กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรยี น สามารถพฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเต็มตามศักยภาพ
คำนงึ ถึงความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลและพฒั นาการทางสมอง เนน้ ให้ความสำคญั ทั้งความรู้ และคุณธรรม

2. กระบวนการเรียนรู้ การจดั การเรียนรู้ทเ่ี นน้ ผเู้ รียนเป็นสำคัญ ผเู้ รียนจะต้องอาศยั
กระบวนการเรยี นรู้ท่ีหลากหลาย เปน็ เครื่องมือทจ่ี ะนำพาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร กระบวนการ
เรยี นรทู้ ีจ่ ำเป็นสำหรับผูเ้ รยี น อาทิ กระบวนการเรียนรแู้ บบบรู ณาการ กระบวนการสรา้ งความรู้ กระบวนการ
คิดกระบวนการทางสงั คม กระบวนการเผชิญสถานการณ์และแกป้ ญั หา กระบวนการเรยี นรจู้ ากประสบการณ์
จรงิ กระบวนการปฏบิ ตั ิ ลงมือทำจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจยั กระบวนการเรยี นรูข้ องตนเอง
กระบวนการพัฒนาลกั ษณะนิสยั กระบวนการเหลา่ นเี้ ปน็ แนวทางในการจดั การเรยี นรทู้ ่ีผู้เรียนควรได้รบั การ
ฝึกฝน เพราะจะสามารถช่วยใหผ้ ้เู รียนเกิดการเรยี นรู้ไดด้ ี บรรลเุ ป้าหมายของหลกั สูตร ดังนัน้ ผสู้ อนจึง
จำเปน็ ต้องศึกษาทำความเข้าใจในกระบวนการเรียนรตู้ า่ ง ๆ เพื่อใหส้ ามารถเลือกใชใ้ นการจดั กระบวนการ
เรียนรูไ้ ด้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ

3.การออกแบบการจดั การเรียนรู้ ผู้สอนตอ้ งศึกษาหลกั สตู รสถานศึกษาใหเ้ ข้าใจถงึ มาตรฐาน
การเรยี นรู้ ตัวชี้วัด สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ และสาระการเรยี นรูท้ ่เี หมาะสมกับ
ผู้เรยี น แล้วจงึ พิจารณาออกแบบการจดั การเรยี นร้โู ดยเลอื กใชว้ ิธีสอนและเทคนิคการสอน สือ่ /แหลง่ เรยี นรู้
การวัดและประเมินผล เพ่ือใหผ้ ู้เรียนไดพ้ ัฒนาเต็มตามศกั ยภาพและบรรลุตามเป้าหมายทกี่ ำหนด

4 บทบาทของผู้สอนและผูเ้ รยี น การจดั การเรยี นรเู้ พอ่ื ใหผ้ ูเ้ รยี นมคี ุณภาพตามเปา้ หมายของ
หลักสูตร ท้งั ผ้สู อนและผเู้ รยี นควรมีบทบาท ดังนี้

1. บทบาทของผู้สอน
1.1. ศกึ ษาวิเคราะห์ผ้เู รยี นเป็นรายบคุ คล แล้วนำขอ้ มลู มาใชใ้ นการวาง

แผนการจดั การเรียนรู้ ที่ทา้ ทายความสามารถของผู้เรยี น
1.2. กำหนดเปา้ หมายที่ต้องการให้เกิดข้ึนกับผู้เรยี น ด้านความรแู้ ละทักษะ

กระบวนการ ทีเ่ ปน็ ความคิดรวบยอด หลักการ และความสัมพนั ธ์ รวมทงั้ คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
1.3 ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรยี นรู้ที่ตอบสนองความแตกต่าง

ระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมอง เพ่ือนำผ้เู รยี นไปสูเ่ ปา้ หมาย
1.4. จัดบรรยากาศที่เออื้ ต่อการเรียนรู้ และดูแลช่วยเหลือผู้เรยี นใหเ้ กิดการ

เรยี นรู้
1.5. จดั เตรยี มและเลือกใชส้ ื่อใหเ้ หมาะสมกับกจิ กรรม นำภูมิปัญญาท้องถิ่น

เทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใชใ้ นการจดั การเรยี นการสอน
1.6. ประเมนิ ความกา้ วหนา้ ของผ้เู รียนด้วยวิธีการทห่ี ลากหลาย เหมาะสม

กบั ธรรมชาติของวิชาและระดับพัฒนาการของผูเ้ รียน
1.7. วิเคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนาผเู้ รียน

รวมท้ังปรบั ปรุงการจัดการเรียนการสอนของตนเอง
2. บทบาทของผ้เู รยี น
2.1. กำหนดเป้าหมาย วางแผน และรับผิดชอบการเรยี นรู้ของตนเอง

2.2. เสาะแสวงหาความรู้ เขา้ ถงึ แหลง่ การเรียนรู้ วิเคราะห์ สังเคราะห์

ข้อความรู้ ต้ังคำถาม คิดหาคำตอบหรอื หาแนวทางแก้ปญั หาดว้ ยวิธีการต่าง ๆ

2.3 ลงมอื ปฏบิ ตั ิจรงิ สามารถสรุปส่งิ ทีไ่ ดเ้ รยี นรดู้ ้วยตนเองและนำความรู้ไป

ประยุกตใ์ ชใ้ นสถานการณ์ต่าง ๆ

2.4. มีปฏิสมั พนั ธ์ ทำงาน ทำกิจกรรมรว่ มกับกลุ่มและครู

2.5. ประเมนิ และพฒั นากระบวนการเรยี นรขู้ องตนเองอย่างตอ่ เน่ือง

รปู แบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรูข้ องสถาบันสง่ เสริมการสอนสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
และเทคโนโลยี (สสวท., 2546) ประกอบดว้ ยข้นั ตอนทส่ี ำคญั ดงั นี้

1. ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement) เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนหรอื เรื่องท่ีสนใจ ซึ่งอาจเกิดข้นึ
เองจากความสงสัย หรอื อาจเร่ิมจากความสนใจของตัวนักเรยี นเอง หรือเกิดจากการอภิปรายภายในกลมุ่ เร่ือง
ทน่ี ่าสนใจอาจมาจากเหตุการณ์ทกี่ ำลังเกดิ ข้ึนอยู่ในช่วงเวลาน้ัน หรือเป็นเรอื่ งทเ่ี ชื่อมโยงกบั ความรู้เดิมทเ่ี พงิ่
เรยี นรมู้ าแล้ว เป็นตวั กระตนุ้ ใหน้ ักเรียนสรา้ งคำถาม กำหนดประเดน็ ทีจ่ ะศึกษา ในกรณีท่ยี งั ไม่มีประเด็นใดท่ี
นา่ สนใจ ครูอาจให้ศกึ ษาจากสื่อตา่ ง ๆ

2. ขน้ั สำรวจและค้นหา (Exploration) เมอ่ื ทำความเขา้ ใจในประเดน็ หรอื คำถาม ทีส่ นใจจะ
ศึกษาอย่างถ่องแท้แลว้ ก็มีการวางแผนกำหนดแนวทางการสำรวจตรวจสอบตงั้ สมมติฐาน กำหนดทางเลือกที่
เปน็ ไปได้ ลงมือปฏิบตั ิเพ่ือเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศ หรือปรากฏการณต์ ่าง ๆ วิธกี ารตรวจสอบอาจทำได้
หลายวธิ ี เชน่ ทำการทดลอง ทำกจิ กรรมภาคสนามการใชค้ อมพิวเตอร์ เพื่อช่วยสร้างสถานการณจ์ ำลอง
(Simulation) การศึกษาหาข้อมลู จากเอกสารอา้ งองิ หรอื จากแหลง่ ข้อมูลต่าง ๆ เพ่ือให้ไดม้ าซงึ่ ข้อมลู อยา่ ง
เพยี งพอที่จะใชใ้ นข้ันต่อไป

3. ข้ันอธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) เม่ือได้ขอ้ มลู อย่างเพียงพอจากการสำรวจ
ตรวจสอบแลว้ จงึ นำข้อมูล ข้อสนเทศทไี่ ด้มาวเิ คราะห์ แปลผล สรุปผลและนำเสนอผลท่ีได้ในรปู ต่าง ๆ เช่น
บรรยายสรุป สรา้ งแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ หรือรูปวาด สรา้ งตาราง ฯลฯ

4. ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration) เป็นการนำความรู้ท่ีสรา้ งขึน้ ไปเช่ือมโยงกบั ความร้เู ดิมหรือ
แนวคดิ ทไี่ ด้ค้นคว้าเพม่ิ เติมหรือนำแบบจำลองหรือข้อสรุปท่ีไดไ้ ปใช้อธิบายสถานการณ์ หรือเหตกุ ารณอ์ ่นื ๆ
ถ้าใช้อธิบายเรื่องต่าง ๆ ได้มากกแ็ สดงวา่ ข้อจำกัดนอ้ ย ซ่ึงจะชว่ ยให้เช่อื มโยงกบั เรื่องตา่ ง ๆ และทำใหเ้ กดิ
ความรกู้ วา้ งขวางขนึ้

5. ข้ันประเมิน (Evaluation) เป็นการประเมนิ การเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ วา่ นักเรยี นมี
ความรอู้ ะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อยเพยี งใด จากขนั้ นี้จะนำไปสู่การนำความร้ไู ปประยุกตใ์ ช้ในเรอื่ งอน่ื ๆ
การนำความรู้หรือแบบจำลองไปใชอ้ ธิบาย หรือ ประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์หรือเร่ืองอ่นื ๆ จะนำไปส่ขู ้อโตแ้ ย้ง
หรอื ขอ้ จำกัดซึ่งจะกอ่ ใหเ้ ป็นประเดน็ หรอื คำถาม หรอื ปญั หาทจ่ี ะต้องสำรวจตรวจสอบต่อไป ทำให้เกิดเปน็
กระบวนการท่ีตอ่ เน่ืองกันไปเร่ือย ๆ จงึ เรยี กว่า Inquiry cycle กระบวนการสบื เสาะหาความรู้จงึ ช่วยให้
นกั เรียนเกดิ การเรยี นรทู้ ัง้ เนื้อหาหลัก และหลักการ ทฤษฎี ตลอดจนการลงมือปฏบิ ัติ เพ่ือให้ได้ความรซู้ งึ่ จะ
เป็นพื้นฐานในการเรยี นรู้ต่อไป

การนำรูปแบบการจดั การเรียนรนู้ ีไ้ ปใช้ ครคู วรจัดเตรยี มกิจกรรมใหเ้ หมาะสมกับความรู้
ความสามารถของผเู้ รยี น ครูควรพิจารณาตรวจสอบบทบาทของครู แต่ละขั้นตอนว่าสอดคล้องกบั รปู แบบการ
จดั การเรียนรู้ 5Es (Engagement, Exploration, Explanation, Elaboration, Evaluation) หรือไม่ แลว้
ปรบั พัฒนากจิ กรรมใหส้ อดคล้องกบั รูปแบบการจัดการเรียนรู้

รปู แบบการสอนห้องเรียนกลับดา้ น Flipped Classroom
เปน็ การจดั การเรียนการสอนท่สี วนทางกับสิ่งท่เี ป็นอยู่ปัจจุบัน โดยให้นกั เรยี นศกึ ษาความรูผ้ า่ น
อินเตอร์เน็ตนอกห้องเรยี น นอกเวลาเรยี น ส่วนในห้องเรยี นจะเปน็ การจดั กิจกรรม นำการบา้ นมาทำใน
หอ้ งเรียนแทน วธิ ีน้ีนักเรยี นมเี วลาดกู ารสอนของครูผ่านวดี โี อออนไลน์ ดูก่ีครง้ั ก็ได้ เมื่อไรกไ็ ด้ สามารถปรึกษา
พดู คุยกบั เพ่ือนหรือครู ดว้ ยโปรแกรมสนทนาออนไลนก์ ็ได้ ในห้องเรยี นครูให้นักเรยี นทำงานทเ่ี กยี่ วข้องกับ
เนอื้ หาที่ดูผ่านวีดีโอ เพ่ือทำความเขา้ ใจหลักการความรผู้ ่านกจิ กรรม โดยครูจะเปน็ ผู้ให้คำแนะนำเมื่อเด็กมี
คำถาม หรือติดปญั หาท่ีแก้ไม่ได้ หลักการของ Flipped Classroom ใชเ้ ทคโนโลยีทางการศกึ ษา บวกกับการ
จัดกิจกรรมในห้องเรียน เนื่องจากเวลาในห้องเรยี นมจี ำกัด การท่จี ะใหน้ ักเรยี นเข้าใจในหลกั การความรู้
บางอย่างอาจมีเวลาไม่พอ ดงั นั้นการศึกษาความรจู้ ากการสอนผา่ นวีดีโอทีค่ รูได้บันทึกไวแ้ ลว้ รวมท้ังการอ่าน
หนังสือเพิ่มเตมิ ปรึกษาเพอ่ื นหรอื ครูออนไลน์ สามารถทำไดล้ ่วงหนา้ นอกห้องเรยี น ส่วนเวลาในห้องเรียน ครูก็
สรา้ งสภาวะแวดลอ้ มใหเ้ หมาะกับการจัดกิจกรรมที่ออบแบบไว้ เพ่ือให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติ ครกู เ็ ดินสำรวจไป
รอบ ๆ ห้อง คอยให้คำแนะนำหลกั การทีเ่ ขา้ ใจยาก หรอื ปัญหาท่เี ด็กพบ วธิ นี จ้ี ะทำให้เด็กเขา้ ใจความรู้ และ
เชือ่ มโยงในหลักการ มากยิ่งข้ึน

ภาพประกอบ แสดงการเรียนแบบหอ้ งเรียนกลบั ด้าน

สอ่ื การเรยี นรู้
ส่อื การเรียนรู้เปน็ เครือ่ งมือสง่ เสรมิ สนับสนนุ การจัดการกระบวนการเรยี นรู้ ใหผ้ เู้ รยี นเขา้ ถงึ
ความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลกั สูตรได้อย่าง มีประสิทธิภาพส่ือการเรียนรู้มี
หลากหลายประเภท ทง้ั ส่ือธรรมชาติ สอ่ื สิ่งพิมพ์ ส่ือเทคโนโลยี และเครอื ข่ายการเรยี นร้ตู ่าง ๆ ท่ีมใี นท้องถนิ่
การเลอื กใชส้ ่อื ควรเลือกใหม้ ีความเหมาะสมระดับพฒั นาการ และลลี าการเรียนร้ทู ีห่ ลากหลายของผเู้ รยี น การ
จดั หาส่อื การเรยี นรู้ ผ้เู รยี นและผสู้ อนสามารถจัดทำและพฒั นาขึ้นเอง หรือปรับปรงุ เลอื กใชอ้ ย่างมีคุณภาพจาก
ส่อื ต่าง ๆ ท่มี ีอยรู่ อบตวั เพ่ือนำมาใชป้ ระกอบในการจัดการเรียนรู้ที่สามารถส่งเสรมิ และส่ือสารให้ผู้เรยี นเกิด
การเรยี นรู้ โดยสถานศกึ ษาควรจดั ให้มอี ยา่ งพอเพียง เพ่ือพัฒนาให้ผู้เรยี นเกดิ การเรยี นรู้อยา่ งแท้จริง
สถานศึกษา เขตพืน้ ท่ีการศึกษา หน่วยงานท่เี กี่ยวข้องและผ้มู หี นา้ ที่จดั การศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน ควรดำเนนิ การ
ดังน้ี (กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2551 : 22)

1. จัดใหม้ แี หล่งการเรียนรู้ ศูนย์สื่อการเรียนรู้ ระบบสารสนเทศการเรียนรู้ และเครือข่ายการ
เรยี นรทู้ ี่มปี ระสิทธภิ าพท้งั ในสถานศึกษาและในชุมชน เพือ่ การศึกษาค้นควา้ และ การแลกเปลยี่ นประสบการณ์
การเรยี นรู้ ระหว่างสถานศกึ ษา ทอ้ งถ่ิน ชมุ ชน สังคมโลก

2. จัดทำและจดั หาสอื่ การเรยี นรู้สำหรับการศึกษาค้นควา้ ของผู้เรียน เสรมิ ความรใู้ ห้
ผ้สู อนรวมท้งั จัดหาส่ิงท่ีมอี ยใู่ นทอ้ งถ่ินมาประยุกต์ใชเ้ ปน็ สอื่ การเรยี นรู้

3. เลอื กและใชส้ อ่ื การเรยี นรู้ทม่ี ีคณุ ภาพ มีความเหมาะสม มีความหลากหลาย
สอดคลอ้ งกับวิธีการเรียนรู้ ธรรมชาติของสาระการเรียนรู้ และความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลของผเู้ รียน

4. ประเมินคณุ ภาพของสื่อการเรียนรูท้ เ่ี ลอื กใช้อย่างเป็นระบบ
5. ศึกษาคน้ คว้า-วจิ ยั เพ่อื พฒั นาสือ่ การเรยี นรใู้ หส้ อดคล้องกบั กระบวนการเรยี นรขู้ องผเู้ รียน
6. จดั ให้มกี ารกำกบั ตดิ ตาม ประเมินคุณภาพและประสทิ ธิภาพเกี่ยวกับส่ือและการใช้ส่อื การ
เรียนร้เู ป็นระยะ ๆ และสม่ำเสมอในการจดั ทำ การเลอื กใช้และการประเมินคุณภาพสื่อการเรยี นรทู้ ใี่ ช้ใน
สถานศกึ ษา ควรคำนึงถึงหลกั การสำคญั ของส่ือการเรียนรู้ เช่น ความสอดคล้องกบั หลกั สูตร วตั ถุประสงค์การ
เรียนรูก้ ารออกแบบกจิ กรรมการเรียนรู้ การจดั ประสบการณ์ใหผ้ ูเ้ รียน เน้อื หามีความถูกต้องและทนั สมัยไม่
กระทบความมนั่ คงของชาติไม่ขัดต่อศีลธรรม มีการใชภ้ าษาทถี่ กู ต้อง รปู แบบการนำเสนอที่เข้าใจงา่ ย และ
น่าสนใจ
การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้
การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ของผเู้ รยี นต้องอยบู่ นหลกั การพน้ื ฐานสองประการคอื
การประเมนิ เพ่ือพฒั นาผูเ้ รียนและเพ่ือตัดสนิ ผลการเรียน ในการพฒั นาคุณภาพการเรยี นรขู้ องผูเ้ รยี นใหป้ ระสบ
ผลสำเรจ็ นั้น ผเู้ รยี นจะต้องได้รบั การพัฒนาและประเมนิ ตามตัวชวี้ ดั เพอ่ื ให้บรรลุตามมาตรฐานการเรยี นรู้
สะท้อนสมรรถนะสำคญั และคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ของผู้เรยี นซงึ่ เป็นเป้าหมายหลักในการวัดและ
ประเมินผลการเรียนรูใ้ นทุกระดับไม่ว่าจะเปน็ ระดับชัน้ เรียน ระดับสถานศึกษา ระดับเขตพนื้ ท่ีการศึกษา และ
ระดับชาติ การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ เปน็ กระบวนการพัฒนาคุณภาพผูเ้ รียนโดยใชผ้ ลการประเมนิ เป็น
ขอ้ มูลและสารสนเทศที่แสดงพฒั นาการ ความก้าวหนา้ และความสำเรจ็ ทางการเรยี นของผู้เรียน ตลอดจน
ขอ้ มูลท่ีเป็นประโยชน์ตอ่ การสง่ เสริมใหผ้ เู้ รียนเกิดการพัฒนาและเรยี นรู้อย่างเตม็ ตามศักยภาพ
(กระทรวงศกึ ษาธิการ. 2551 : 23)

การสอนคิดตามแนวทาง Thinking School ของโรงเรยี นองค์การบริหารส่วนจงั หวัดสกลนคร
Thinking School มหี ลกั การทีส่ ำคญั สรปุ ได้ดังน้ี

1. บทบาทครเู ป็นทงั้ ผู้ชว่ ยเหลอื และผู้ร่วมงาน
2. นักเรียนทำงานเป็นทีม เคารพสิทธขิ องตนเองและผู้อืน่ รู้จกั รับฟงั ความคิดเหน็ ของผู้อืน่
3. นักเรยี นรจู้ กั คดิ นอกกรอบ มีแนวคดิ เพ่ิมทีห่ ลากหลาย เพิ่มพูนปญั ญาค้นพบตนเอง
4. นกั เรยี นฝกึ ลองผดิ ลองถูกในการแสดงความคิดเหน็ แลกเปล่ียนในช้นั เรียน
5. ครใู ชค้ ำถามในการเรยี นการสอนกระตนุ้ ใหผ้ ู้เรียนกล้าตอบคำถามตลอดเวลา
6. กระบวนการเรียนรู้ในชั้นเรยี นเปน็ ขัน้ ตอนตามรูปแบบ Thinking Whiteboard
7. ครใู ช้เคร่ืองมอื การคิด Thinking Tools ในขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนสม่ำเสมอ

8. นักเรยี นไดแ้ สดงความคดิ ของตนเองเป็นสรายบุคคล และเหน็ ความสำคัญของการเรยี นท่ีเนน้
ความเขา้ จากกวา่ การท่องจำ

9. ฝกึ คดิ อย่างเป็นระบบ นำทกั ษะการคิดไปใชใ้ นชวี ิตประจำวันได้สมำ่ เสมอ และสามารถคิดใน
ระดบั สูงได้เปน็ อยา่ งดี

10. นักเรียนสามารถแก้ไขปญั หาและตัดปัญกาได้อยา่ งมีเหตมุ ีผล ตลอดถงึ ใช้วิจารณญาณตัดสินใจได้
อยา่ งถูกต้องเหมาะสม บนฐานข้อมูลทีร่ อบดา้ น

กระบวนการสอนคิดตามแนวทาง Thinking School มี 4 ขัน้ ตอน ดงั นี้
1.ข้ันที่ 1 คอื Do Now หมายถงึ การนำเข้าสู่บทเรียนของนกั เรียนและครู เปน็ การออกแบบหรือแจง้
ให้นกั เรียนรบั รูว้ ่าครูต้องการใหน้ กั เรียนปฏบิ ตั ิอะไร หรอื ทำอย่างไร โดยครูต้องเริ่มข้ันตอนนีก้ อ่ นทุกคร้งั ทจี่ ะ
สอน ซึ่งสามารถปรบั ปเปล่ยี นรปู แบบทีห่ ลากหลายไดเ้ ชน่ คำถาม เกม ภาพ เสียง สื่อวีดที ศั น์ ซึ่งเป็น
ตวั ชี้วดั ใหเ้ หน็ วา่ นักเรยี นได้ใช้การคดิ คล่อง คดิ ไว คิดทันทีทนั ใด ระยะเวลาในการขน้ั ตอนน้ีใช้เวลา 1-5 นาที
2.ข้ันท่ี 2 คือ Purpose หมายถึง ขนั้ การแจง้ วัตถุประสงค์การเรยี นร้ใู นชั่วโมง/คาบเรียนนั้นๆ ให้กบั
นกั เรยี นและครไู ด้รับทราบ เปน็ ขั้นตอนการบอกครูและนักเรยี นว่าจะสอนหรือเรยี นอะไร และเพื่อให้นักเรียนรู้
สิ่งใดในช่วั โมง/คาบเรยี นนี้
3. ขั้นท่ี 3 คอื Work Mode หมายถึง ขนั้ ตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรขู้ องนกั เรียนและครู ครจู ะ
ออกแบบกิจกรรมอย่างไรก็ได้ในขน้ั ตอนน้ี เพื่อให้บรรลุตามวัตถปุ ระสงคซ์ ึ่งเป็นไปตามะรรมชาตขิ องวชิ า
เนอื้ หา หรอื กลุ่มสาระท่ีตนเองสอน เช่นครูบอก ครูอธิบาย ครูบรรยาย ใหข้ ้อมลู ครูสาธิต ครแู จกใบงาน
ฯลฯ ในการทำกจิ กรรมช่วงนี้ครูจะใช้เคร่ืองมือการสอน 10 เครอื่ งมือโดยเลอื กเคร่ืองมือให้เหมาะสม
วตั ถุประสงค์ของรายวิชาท่สี อน ใชเ้ วลา ประมาณ 10-30 นาที ภายในคาบสอน โดยมี
พฤติกรรมของครู คือ ในช่วง Work Mode ไมส่ อนหรอื อธบิ ายทง้ั คาบ เดนิ ดูหรือเข้าถงึ นกั เรยี นใหไ้ ด้
ทกุ คน กระตนุ้ นักเรยี นท่ีไมพ่ ร้อมทจ่ี ะเรยี น ดว้ ยการให้กำลังใจ มสี ัญญาณหรือสัญลักษณเ์ รียกความสนใจ เข้า
สอนตรงเวลา ปลอ่ ยตรงเวลาไม่มอบภาระงานไปเป็นการบ้านเพราะจะส่งเสริมความไม่มีวนิ ัยของนกั เรยี น
พฤติกรรมของนกั เรียน เง่อื นเวลา Time Frame เป็นสง่ิ สำคญั ตอ้ งตรงต่อเวลา ทงั้ การเข้าเรยี นและ
เลกิ เรียน ต้องทำภาระกิจการเรยี นรู้ใหเ้ สรจ็ สน้ิ ในห้องเรียนกจิ กรรมการเรยี นรจู้ ะเป็นแบบ Active Learning
มกี จิ กรรมการเรยี นให้เรียนรู้ ค้นควา้ นำเสนอฝึกปฏิบตั ติ ลอดชัว่ โมง/คาบเรียน ไม่มโี อกาสง่วง
4. ขนั้ ที่ 4 คือ Reflective Thinking คือ ขน้ั การสรปุ บทเรียนหรือสะท้อนผลของการเรยี นในช่วั โมง/
ในคาบเรยี นนนั้ ๆ วา่ นักเรยี นเขา้ ใจหรือบรรลตุ ามวัตถุประสงคท์ ตี่ งั้ ไว้หรือไม่ เป็นการตรวจสอบความเขา้ ใจ
ของนักเรยี น เพ่ือทบทวน ย้ำ หรือสรุปเนอ้ื หาหรือบทเรยี นที่เรยี นในคาบเรียนนั้น ๆ ตลอดจนการนำข้อสอบที่
เคยออกไป O-Net มาถามนกั เรยี นทั้งหอ้ งเพื่อวดั ความเข้าใจการเรียนในวันน้ีลดปญั หาการตวิ ขอ้ สอบอนื่ ๆ
คำถามทค่ี วรใช้ในขั้นตอน Reflective Thinking เชน่
1. สง่ิ ทนี่ ักเรยี นไดร้ ับในช่วั โมง/คาบเรียนน้ีคืออะไร
2. 1หรือ2 สง่ิ ทนี่ กั เรียนสงสัยในชัว่ โมง/คาบเรียนน้ีคอื อะไร
3. 3 สิ่งท่นี ักเรยี นสามารถนำไปปรบั ใช้หรือประยุกตใ์ ช้
4. ส่ิงทน่ี ักเรยี นอยากเรียนรู้ หรอื อยากคน้ ควา้ เพิม่ เติม หรืออยากเรยี นในช่วั โมง/คาบเรยี นต่อไปคืออะไร
5. ข้อสอบท่ีครนู ำมาให้ดูพวกเราจะตอบข้อไหนกนั เพราะเหตุใด

เครอื่ งมอื การสอนคดิ Thinking Tools มีดังนี้
1.PMI คือเคร่ืองมือสอนคิด ข้อดี ข้อเสีย และส่งิ ท่ีตอ้ งใหค้ วามสนใจและข้อเสนอแนะหรือทางเลือก
2. CAF คือเคร่ืองมือสอนคดิ เพื่อค้นหาคัดกรองข้อมูลรวมถึงการคาดการณ์ในผลลพั ธ์กระบวนการคดิ
3.OPV คือเคร่ืองมอื สอนคดิ เพ่ือใหก้ ารมองเห็นประเดน็ ต่าง ๆในมุมมองของผู้อ่ืน
4.Compare and contrast คือเครื่องมือสอนคดิ ทีช่ ่วยพฒั นากระต้นุ การคิดเปรยี บเทยี บความ
เหมือนและความแตกต่าง
5.Diagram คือเคร่อื งมือสอนคดิ ท่ใี หน้ ักเรียนสรปุ บทเรียนเน้อื หาสร้างความเข้าใจง่ายขนึ้ โดย
โครงสร้างทไี่ ม่ตายตัว
6.Mind Map คอื เคร่ืองมือสอนคดิ มแี กนกลางของเน้ือหา มีกิ่งก้านเพ่ือแยกแยะ มีกิ่งก้อยเพ่ือ
อธบิ าย ก่งิ ย่อยเพ่ือสนบั สนุนประเดน็ รองลงไป เส้นไม่สนิ้ สดุ
7.Ranking คือเครื่องมือสอนคิด เปน็ การจดั อันดับของสง่ิ ทม่ี ีลกั ษณะใกลเ้ คียงกันหรือประเภท
เดยี วกันโดยกำหนดเกณฑ์การตดั สนิ ใจจากคำถามหรือจุดประสงคท์ ี่กำหนดไว้
8. Six Hat คอื เคร่อื งมอื สอนคิด ชว่ ยให้นกั เรียนสามารถพิจารณาความคดิ แต่ละอย่างในหลาย ๆ
มุมมอง ตามบทบาทของหมวกแต่ละสี
9.KWL คอื เคร่ืองมอื สอนคิด โดยให้นักเรียนคิดคำตอบทนี่ ักเรียนรูอ้ ยู่แลว้ (Know) ส่ิงท่นี ักเรียน
ต้องการรู้ (Want) และสิง่ ที่นักเรียนได้เรยี นรู้ (Learned)
10. Cause and Effect คอื เครื่องมือสอนคิด การคิดแบบมีเหตุผล เปน็ การมองหาสาเหตุ (Cause
)และผลกระทบทีจ่ ะตามมา (Effect) (ดร.สราวธุ สตุ ะวงศ,์ 2562)

ความพึงพอใจ
1. ความหมายของความพึงพอใจในการเรยี นรู้
ความพึงพอใจ (Satisfaction) เป็นคำที่มีความหมายที่หลากหลาย นักการศึกษาและนักพัฒนา

หลกั สูตรหลายคนได้ให้ความหมายไว้ดังตอ่ ไปน้ี
ปรียาพร วงษ์อนุตรโรจน์ (2553 : 30) ได้ให้ความหมายความพึงพอใจไว้ว่า เป็นความรู้สึกรวมของ

บคุ คลที่มีตอ่ การทำงานทางบวก เป็นความสขุ ของบุคคลทีเ่ กิดจากการปฏิรูปงาน และได้รับ คอื ผลท่ีเป็นความ
พึงพอใจที่ทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกกระตือรือร้น มีความมุ้งมั่นที่จะทำงานมีขวัญกำลังใจ สิ่งเหล่านีจ้ ะเป็นผล
ต่อประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของการทำงานรวมทั้ง ส่งผลต่อความสำเร็จและเป็นไปตามเป้าหมายของ
องคก์ ร

บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ (2549: 189) ได้ให้ความหมายความพึงพอใจไว้ว่า ความพึงพอใจเป็น
สภาพความรู้สึกที่มีต่อบุคคลสิ่งของและบริการ เป็นภาวะทางอารมณ์เชิงบวกที่บุคคลแสดงออก เมื่อได้รับ
ผลสำเรจ็ ทั้งปรมิ าณและคณุ ภาพตามจดุ ม่งุ หมายและตามความต้องการ

คอตเลอร์ (Kotler. 2000: 36) ไดใ้ ห้ความหมายความพึงพอใจว่า เปน็ ความรสู้ กึ ของบุคคลเมื่อได้รับ
ความ สุขหรือความผิดหวังซึง่ เกิดจากการเปรียบเทียบการรบั รู้กับความคาดหวังในผลลัพธ์ของส่ิงท่ีต้องการถา้
การรบั รตู้ ่อสิง่ ท่ตี ้องการพอดีกับความคาดหวังลูกค้าจะเกดิ ความพึงพอใจ

มอร์ส ( Morse. 1955 : 27) ได้ให้ความหมายความพึงพอใจไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ทุกสิ่ง
ทุกอย่างที่สามารถถอดความเครียดของผู้ท่ีทำงานให้ลดน้อยลง ถ้าเกิดความเครียดมาก จะทำให้เกิดความไม่

พอใจในการทำงาน และความเครียดนี้มีผลมาจากความต้องการของมนษุ ย์ เม่อื มนษุ ยม์ ีความต้องการมากจะ
เกิดปฏิกริ ยิ าเรียกรอ้ งหาวิธีตอบสนอง ความเครยี ดกจ็ ะน้อยลงหรือหมดไป ความพึงพอใจกจ็ ะมากข้นึ

แอปเปลิ ไวท์ (Applewhite. 1965: 8) ได้ให้ความหมายความพงึ พอใจไว้วา่ ความพึงพอใจเป็น
ความรู้สึกส่วนตวั ของบุคคลในการปฏิบตั ิงาน ซงึ่ มีความหมายกวา้ ง รวมไปถึงความพึงพอใจในสภาพแวดล้อม
ทางกายภาพด้วย การมีความสุขทีท่ ำงานรว่ มกบั คนอนื่ ที่ได้ มีทัศนคติทดี่ ีต่องานด้วย

กู๊ด (Good. 1973 : 161) ได้ใหค้ วามหมายไวว้ ่า ความพงึ พอใจหมายถึง สภาพหรอื ระดับความพึง
พอใจที่เปน็ ผลมาจากความสนใจและเจตคตขิ องบคุ คลท่ีมตี ่องาน

จากความหมายท่กี ล่าวมาขา้ งตน้ พอสรปุ ไดว้ า่ ความพงึ พอใจหมายถึงความรู้สึกนึกคิดหรอื เจตคติท่ีดี
ของบุคคลที่มีต่อการทำงานหรือการปฏิบัติกจิ กรรมทั้งทางบวกและทางลบ ถ้าเป็นทางบวกก็จะทำให้เกิดผลดี
ต่อการปฏิบัติงานที่ทำ แต่ถ้าเป็นทางลบก็จะเกิดผลเสียต่อการปฏิบัติงานนั้นได้ การทำให้ผู้เรียนเกิดความพึง
พอใจในการเรยี นจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญท่ีทำให้ผูเ้ รยี นเกดิ การเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธภิ าพ การท่บี ุคคลจะ
เรียนรู้หรอื มีพฒั นาการและความเจริญงอกงามนน้ั บุคคลจะต้องอยู่ในสภาวะพึงพอใจสุขใจเปน็ เบื้องต้น น่ันคือ
บคุ คลต้องได้รบั การจงู ใจทงั้ ในลักษณะนามธรรมและรูปธรรม

2. แนวคิดทฤษฎเี กี่ยวกบั ความพึงพอใจ
การปฏิบัติงานใด ๆ ก็ตามการที่ผู้ปฏิบัติงานจะเกิดความพึงพอใจต่อการทำงานนั้นมาก หรือน้อย
ขึ้นอยู่กับสิ่งจูงใจในงานที่มีอยู่การสร้างสิ่งจูงใจหรือแรงกระตุ้นให้เกิดกับผู้ปฏิบัติงานจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้
การปฏิบัติงานน้นั ๆ เปน็ ไปตามวตั ถุประสงคท์ ี่วางไว้มีนักการศึกษาและนกั วิจัยหลายท่านได้ศกึ ษาค้นคว้าและ
ตงั้ ทฤษฎีเกีย่ วกับการจงู ใจในการทำงานไว้ดังนี้
มาสโลว์ (Maslow. 1970 : 69-80) ได้เสนอทฤษฎีลำดับข้ันของความต้องการ (Hierarchy of
Needs) นับว่าเป็นทฤษฎีหนึ่งท่ีไดร้ บั การยอมรับอย่างกว้างขวางซ่ึงตั้งอยู่บนสมมติฐานทีว่ า่ “มนษุ ย์เรามีความ
ต้องการอยู่เสมอไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อต้องการได้รับการตอบสนองหรือพึงพอใจอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ความ
ต้องการสง่ิ อ่นื ๆ กจ็ ะเกิดข้ึนมาอีก ความต้องการของคนเราอาจจะซ้ำซ้อนกันความต้องการอย่างหนึ่งอาจยังไม่
หมดไป ความตอ้ งการอกี อยา่ งหนงึ่ อาจเกดิ ขน้ึ ได้” ความต้องการของมนษุ ย์มลี ำดับขั้นดังน้ี
1. ความต้องการทางร่างกาย (Physiological Needs) เป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์เน้น
สิ่งจำเปน็ ในการดำรงชวี ติ ได้แกอ่ าหารอากาศและท่ีอยู่อาศัย
2. ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs) ความมั่นคงในชีวิตทั้งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน และ
อนาคตความเจรญิ ก้าวหน้าและความอบอนุ่ ใจ
3. ความต้องการทางสังคม (Social Needs) เป็นสิ่งจูงใจที่สำคัญต่อการเกิดพฤติกรรมต้องการให้
สงั คมยอมรับตนเองเขา้ เปน็ สมาชกิ ตอ้ งการความเป็นมิตรความรักจากเพ่ือนรว่ มงาน
4. ความต้องการมีฐานะ (Esteem Needs) มีความอยากเด่นในสังคมมีชื่อเสียงอยากให้บุคคลยก
ย่องสรรเสริญตวั เอง
5. ความต้องการท่จี ะประสบความสำเร็จในชวี ิต (Self-Actualization Needs) เปน็ ความตอ้ งการใน
ระดบั สูงอยากให้ตนเองประสบความสำเรจ็ ทกุ อยา่ งในชวี ิตซึง่ เปน็ ไปได้ยาก
เฮอร์ซเบอร์ก Herzberg. (1959 : 113-115) ได้ทำการศึกษาค้นคว้าทฤษฏีทีเ่ ป็นมูลเหตุที่ทำให้เกิด
ความพึงพอใจในการทำงาน 2 ปัจจยั คอื

1. ปัจจัยกระตุ้น (Motivation Actors) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการงานซึ่งมีผลก่อให้เกิดความ
พงึ พอใจในการทำงานเช่นความสำเรจ็ ของงานการไดร้ บั การยอมรบั นับถือลักษณะของงานความรับผิดชอบและ
ความกา้ วหนา้ ในตำแหน่งการงาน

2. ปัจจัยค้ำจุน (Hygiene Factor) เป็นปัจจัยท่ีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในการทำงานและมีหนา้ ท่ใี ห้
บุคคลเกิดความพึงพอใจในการทำงานเช่นโอกาสที่เจริญก้าวหน้าในอนาคตสถานะของอาชีพสภาพของการ
ทำงานเป็นต้น

การดำเนินกิจกรรมการเรยี นการสอนความพึงพอใจเป็นสิ่งที่สำคญั ท่จี ะกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นทไี่ ดร้ บั

มอบหมาย หรือต้องการปฏิบัติใหบ้ รรลผุ ลตามวัตถปุ ระสงค์ ครผู ู้สอนซึง่ ในสภาพปจั จุบันเปน็ เพียงผู้อำนวย

ความสะดวกหรือใหค้ ำปรึกษา จงึ ต้องคำนึงถงึ ความพงึ พอใจในการเรยี นรู้การทำใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ ความพงึ พอใจใน

การเรียนร้หู รอื การปฏบิ ัตงิ าน มีแนวคดิ พื้นฐานท่ีแตกต่างกัน 2 ลักษณะคือ

1. ความพงึ พอใจนำไปสกู่ ารปฏบิ ตั งิ าน
การตอบสนองความต้องการผู้ปฏิบัติงานจนเกิดความพึงพอใจจะทำให้เกิดแรงในการเพิ่ม
ประสิทธิภาพการทำงานที่สูงกว่าผู้ไม่ได้รับการตอบสนองทัศนะตามแนวความคิดดังกล่าวสามารถแสดงดัง
ภาพประกอบ 2

ผลการตอบ ความพงึ พอใจ แรงจงู ใจ การปฏบิ ตั ิงานท่มี ี
แทนที่ได้รบั ของผปู้ ฏบิ ตั ิ ประสทิ ธภิ าพ

ภาพประกอบ 2 ความพึงพอใจนำไปส่ผู ลการปฏบิ ัตงิ านที่มีประสิทธภิ าพ

จากแนวคดิ ดงั กลา่ วครผู สู้ อนทีต่ อ้ งการใหก้ จิ กรรมการเรยี นการสอนท่ีเนน้ ผูเ้ รยี นสำคัญบรรลุผลสำเร็จ
จึงต้องคำนึงถงึ การจดั บรรยากาศและสถานการณ์ รวมทงั้ สอ่ื และอุปกรณก์ ารเรยี นการสอนที่เอ้ืออำนวยต่อการ
เรียนเพื่อตอบสนองความพึงพอใจของผู้เรียนให้มีแรงจูงใจในการทำกิจกรรมจนบรรลุวัตถุประสงค์ของ
หลกั สูตร

2. ผลของการปฏิบัตงิ านไปสู่ความพงึ พอใจ
ความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจและผลการปฏิบัติงานจะถูกเชื่อมโยงด้วยปัจจัยอื่น ๆ ผลการ
ปฏิบัติงานดีจะนำไปสู่ผลตอบแทนที่เหมาะสมซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การตอบสนองความพึงพอใจ ผลการ
ปฏิบัติงานย่อมได้รับการตอบสนองในรูปของรางวัลหรือผลตอบแทนซึ่งแบ่งออกเป็นผลตอบแทนภายในแ ละ
ผลตอบแทนภายนอกโดยผ่านการรับรู้เกี่ยวกับความยุติธรรมของผลตอบแทนซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ปริมาณของ
ผลตอบแทนที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับนั้นคือความพึงพอใจในงานของผู้ปฏิบัติงานจะถูกกำหนดโดยความแตกต่าง
ระหว่างผลตอบแทนทีเ่ กดิ ขึ้นจริงและการรับรู้เรื่องราวเก่ียวกับความยุติธรรมของผลตอบแทนที่รับรู้แล้วความ
พงึ พอใจยอ่ มเกดิ ขน้ึ
จากแนวคิดพื้นฐานดังกล่าวเมื่อนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผลการสอนผลตอบแทนภายใน
และรางวัลภายในเป็นผลดา้ นความรู้สึกของผู้เรียนท่ีเกิดแก่ตัวผู้เรียนเองเช่นความรู้สึกต่อความสำเร็จที่เกิดขึ้น
เมอื่ สามารถเอาชนะความยุ่งยากตา่ ง ๆ และสามารถดำเนนิ งานภายใตค้ วามยุง่ ยากท้งั หลายไดส้ ำเรจ็ ทำให้เกิด

ความภาคภูมิใจความมั่นใจ ตลอดจนได้รับการยกย่องจากบุคคลอื่น ส่วนผลตอบแทนภายนอกเป็นรางวัลท่ี
ผอู้ ื่นจดั หาใหม้ ากกวา่ ทต่ี นเองให้ตนเอง (รตั นา ลาวงศ.์ 2552: 45) จากแนวคิดพื้นฐานดงั กล่าว สรปุ ได้วา่ ความ
พึงพอใจในการเรียนและผลการเรยี นจะมีความสัมพันธ์กนั ในทางบวกนี้ ข้ึนอยู่กบั วา่ กิจกรรมที่ผู้เรียนได้ปฏิบัติ
นั้น ทำให้ผู้เรียนได้รับ การตอบสนองความต้องการทางด้านร่างกายและจิตใจผลตอบแทนภายในเป็นผลด้าน
ความรู้สึกของผู้เรียนที่เกิดแก่ตัวผู้เรียนเอง เช่น ความรู้สึกต่อความสำเร็จที่เกิดขึ้นเมือ่ สามารถเอาชนะ ความ
ยุ่งยากต่าง ๆ และสามารถดำเนินงานภายใต้ความยุ่งยากทั้งหลายได้สำเร็จ ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ ความ
มั่นใจ ตลอดจนได้รับการยกย่องจากบุคคลอื่น ส่วนผลตอบแทนภายนอกเป็นรางวัลที่ผู้อื่นจัดหาให้มากกว่าท่ี
ตนเองให้ตนเอง เช่น การได้รับคำยกย่องชมเชยจากครูผู้สอน พ่อแม่ ผู้ปกครองหรือแม้แต่การได้คะแนน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดความสมบูรณ์ของชีวิตมากน้อย
เพียงใดนั้นคือสิง่ ที่ครผู ู้สอนจะคำนึงถึงองคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ในการเสริมสร้างความพึงพอใจในการเรียนรู้ให้กับ
ผเู้ รยี น

งานวิจยั ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง
จุฑารัตน์ พันธุ ,2556 ได้ศกึ ษาเรอ่ื งการพฒั นาการคดิ วเิ คราะห์โดยกระบวนการคดิ วิเคราะห์ 5W

1H สำหรับนักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ผวู้ จิ ัยไดพ้ ัฒนากิจกรรมการเรียนรูท้ ่ีดำเนนิ การวิจยั ควบคกู่ ับการ
จดั การเรยี นการสอนปกติทมี่ ุง่ พัฒนาผูเ้ รยี นให้เกิดกระบวนการคดิ วิเคราะหโ์ ดยใช้กระบวนการคดิ วเิ คราะห์
5W 1H ท่ีผวู้ ิจัยได้นำมาพัฒนาขนึ้ ไปเกบ็ รวบรวมกับกลุ่มเป้าหมายทใี่ ช้ในการศึกษาโดยใช้วิธกี ารสะทอ้ นการ
เรยี นรูแ้ ละ ตรวจสอบและวิเคราะห์เนอื้ หาและเชงิ ปรมิ าณผู้วิจัยได้ตรวจสอบการสะทอ้ นการเรียนร้ขู องผ้เู รยี น
นำมาประมวลผลและสรปุ ผลการสะท้อนการเรยี นรู้กลุ่มเป้าหมายทศ่ี ึกษานักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ 6/7
ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2556 โรงเรยี นดอนเมอื งทหารอากาศบำรงุ ผลการวิจัยพบวา่ การวเิ คราะหแ์ บบ
ประเมินผลงานการคิดวเิ คราะห์ 5W 1H พบว่าผู้เรยี นสว่ นใหญม่ กี ารพัฒนากระบวนการคิดวเิ คราะห์ทดี่ ขี ึ้น รู้
หลักการคิดวเิ คราะห์และสามารถปฏบิ ัตงิ านและความถูกต้องของงานอยู่ ในระดบั ดแี ละกลา้ท่ีจะคดิ อย่าง
เตม็ ท่ี ซง่ึ ผเู้ รยี นได้ให้เหตผุ ลประกอบในทุกหวั ข้อได้อยา่ งชัดเจนอยใู่ น ระดบั ท่ีดี หวั ขอ้ การประเมิน
กล่มุ เปา้ หมาย(Who) พบวา่ ผู้เรยี นไม่มปี ญั หาในการเลือกกล่มุ เปา้ สามารถให้ เหตุผลประกอบได้อยา่ งชดั เจน
หวั ขอ้ การประเมินประเภทสินค้า(What) ผเู้ รยี นมีการเลือกประเภทสินคา้ ได้ เหมาะสมกบักลมุ่ เป้าหมายและมี
ความคดิ เชิงสรา้ งสรรคใ์ นการเลือกสินค้า หวั ข้อการประเมินเวลา(When) ผู้เรียนมกี ารเลอื กช่วงเวลาในการจัด
จำหน่ายได้เหมาะสม และมีความตรงตอ่ ยุคสมัย หวั ข้อการประเมิน สถานที่ (Where) ผู้เรียนเลือกสถานทีใ่ น
การจดัจำหน่ายได้เหมาะสม และตรงกับกลุม่ เปา้ หมาย หวั ขอ้ การ ประเมินเพราะเหตุใด(Why) ผู้เรยี น\บอก
เหตุผลประกอบการเลือกและออกแบบได้อย่างครบถว้ นชัดเจน หวั ขอ้ การประเมนิ อย่างไร(How) ผู้เรยี นมี
ความคดิ สร้างสรรค์ในการออกแบบสามารถบอกเหตผุ ลการ ออกแบบได้ขัดเจนและสามารถนำไปประยุกต์ใช้
ได้จรงิ ซงึ่ สรปุ ไดว้ ่าวธิ กี ารพัฒนาการคิดวิเคราะห์โดย กระบวนการคิดวเิ คราะห์ 5W 1H เป็นทักษะทใ่ี ช้ได้ผลดี
ในระดบั ทนี่ ่าพอใจ สามารถช่วยพัฒนาบวนการคดิ วิเคราะหข์ องผู้เรยี นได้ดขี ึน้ ตามจดุ ประสงคท์ ่ีกำหนดไว้และ
ผลแบบสะท้อนการเรียนรู้ พบว่าผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการออกแบบ ท่ีใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์5W 1H
นน้ั ทำใหผ้ เู้ รียนเกดิ การ คดิ ที่เป็นกระบวนการ มขี ั้นตอนในการคดิ ท่ีเปน็ ระบบ มีกระบวนการเรียนรู้ท่ีเปน็
ขน้ั ตอน มีแนวทางด้านความคดิ ทเ่ี ปน็ ระบบ มีเหตผุ ลในการตัดสนิ ใจ ออกแบบผลงานได้ถูกต้องตรงตาม

จดุ ประสงคท์ ่ีไดต้ ้ังไว้ ผู้เรยี นมีความสนุกสนานท่ีได้ทำกจิ กรรมร่วมกับ เพ่ือนๆ ดังนั้น สรุปได้วา่ วธิ กี าร
พฒั นาการคิดวเิ คราะหโ์ ดย กระบวนการคดิ วิเคราะห์ 5W 1H เปน็ ทกั ษะทใี่ ช้ไดผ้ ลดีในระดบั ทน่ี ่าพอใจ
สามารถช่วยพฒั นา กระบวนการคดิ วิเคราะหข์ องผเู้ รียนได้ดีขึน้ ตามจดุ ประสงค์ที่กำหนดไว้

สิริกาญจน์ ธนวฒุ พิ รพินิต,2553 ไดศ้ ึกษาเรอ่ื ง การพฒั นาทกั ษะกระบวนการคิดวิเคราะห์กลุม่ สาระ
การเรียนรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 6 มวี ตั ถุประสงค์เพื่อพัฒนารปู แบบการจดั
กิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใชแ้ ผนการจัดการเรียนเพื่อพัฒนาการคดิ วเิ คราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา
ศาสนาและวฒั นธรรม เปรียบเทยี บทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ก่อนเรียนและหลังเรียนและสะท้อนผลการเรยี นของ
นกั เรยี นดว้ ยการบนั ทึกอนุทนิ โดยใชร้ ปู แบบการทดลองกลุ่มเดยี วทดสอบกอ่ นและหลังเรียน เครื่องมือท่ีใชใ้ น
การวิจัยคือ แผนการจดั การเรียนรู้ แบบทักษะวัดการคิดวเคราะห์แบบบันทึกอนทุ ิน ผลการวจิ ยั พบวา่ รูปแบบ
การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใชแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้ 5 ขนั้ ตอน คือ 1) ข้นั ทบทวนเชื่อมโยงประสบการณ์
2) ขน้ั กิจกรรมนำมาค้นควา้ 3) ขนั้ ปฏิบัติเพ่ือหาข้อสรปุ 4) ข้ันอภปิ รายขยายความคิด 5) ขน้ั นำความรสู้ กู่ าร
เผยแพร่ การเปรยี บเทยี บทักษะการคิดวเิ คราะห์พบวา่ ค่าเฉลย่ี หลังเรยี นสูงกวา่ กอ่ นเรยี นโดยมีความแตกตา่ ง
กนั อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ.05 และการสะทอ้ นผลพบวา่ นกั เรยี นไดร้ ับความร้คู วามเขา้ ใจเน้ือหาสาระ
วทิ ายาศาสตร์และการคิดวเิ คราะห์ ผู้สอนมีรูปแบบการสอนที่นา่ สนใจ มีสื่ออปุ กรณก์ ารสอนท่ีหลากหลาย
บรรยายกาศการเรยี นสนกุ สนาน และสามารถนำความรู้ไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวันได้

ลดั ดา เหลืองรตั นมาศและคณะ,2559 ได้ทำการศึกษาเรือ่ ง การพฒั นารปู แบบการเรียนการสอนที่
เน้นทักษะกระบวนการเพอ่ื สง่ เสริมความสามารถ ด้านการคิดวิเคราะห์สำหรับนกั ศึกษาพยาบาลวทิ ยาลัย
พยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี การวิจยั นี้มวี ัตถปุ ระสงคเพ่ือ 1) ศกึ ษาสภาพปัจจบุ ันและความต้องการด้านการ
จัดการเรียนรเู้ พื่อพฒั นาการคิดวิเคราะห์ ของนกั ศกึ ษา 2) พัฒนารปู แบบการเรยี นการสอนท่ีเน้นทักษะ
กระบวนการ 3) ศึกษาประสิทธผิ ลของรูปแบบการเรียนการสอน โดยมีรูปแบบการวิจยั เป็นวิจัยและพฒั นา
กลุ่มตัวอย่างเป็นนกั ศึกษาพยาบาลช้นั ปีท2่ี วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี จำนวน 118 คน ทีเ่ รียนวิชา
พยาธสิ รรี วทิ ยา เคร่อื งมอื วิจัยประกอบดว้ ย แผนการสอนท่ีใชร้ ปู แบบการเรียนการสอนที่เน้นทกั ษะ
กระบวนการ และแบบทดสอบวัดการคดิ วเิ คราะหซ์ ึ่งมีคา่ ความเช่อื ม่นั เท่ากับ 0.82คา่ ความยากงา่ ยอย่รู ะหวา่ ง
0.23-0.73 แบบสอบถามความสามารถของตนเองด้านการคิดวเิ คราะห์และความพงึ พอใจท่ีมตี อ่ รูปแบบ
วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ รอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และสถิติที (t-test) วเิ คราะห์ข้อมลู เชงิ
คุณภาพโดยวิเคราะหเ์ ชิงเนือ้ หา(Content analysis) ผลการวจิ ยั พบวา่ การจดั การเรียนการสอนในปจั จุบัน
อาจารย์ใชว้ ิธีการสอนท่หี ลากหลายแตว่ ิธีที่ใช้มากทีส่ ุดคอื การบรรยายรวมทั้งรูปแบบการเรยี นการสอนเนน้
ทกั ษะกระบวนการกลุม่ ประกอบด้วย 7 ขน้ั ตอน ได้แก่ รฉู้ นั รู้เธอ ปลกุ ความคิด พนิ ิจไตร่ ตรอง มองหาความ
เช่ือมโยง สรา้ งข้อคำถาม ระดมสมอง สรปุ รวบยอดและถ่ายทอดความคิด และผลการศึกษา ประสิทธผิ ลของ
รูปแบบ พบว่า นักศึกษามีคะแนนสอบดา้ นการคิดวิเคราะหห์ ลงั เรยี นผ่านเกณฑร์ ้อยละ 70 รอ้ ยละ 88.98
นกั ศึกษา ประเมนิ ความสามารถของตนเองดา้ นการคิดวิเคราะหห์ ลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมนี ัยสำคัญทาง
สถิตทิ ีร่ ะดบั .01 และนักศกึ ษา มคี วามพงึ พอใจต่อการเรยี นโดยใช้รูปแบบในภาพรวมอยู่ในระดบั มาก ด้าน
ผู้สอนมีคา่ เฉลยี่ สูงท่ีสุด สรุปได้ว่า รปู แบบน้ีสง่ เสรมิ การคดิ วิเคราะห์ของนกั ศกึ ษา

บทที่ 3

วธิ ีการดำเนนิ งาน

วจิ ัย เรื่อง การใช้กระบวนการ PLC พัฒนารปู แบบการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน
โดยใช้รปู แบบการสอนคิด Thinking School 4 step รายวิชาสงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ส 23101
ระดับชนั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 กลุม่ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โดยมีวัตถปุ ระสงค์เพ่ือ
แกป้ ัญหาพฒั นารูปแบบการสอนเพื่อแก้ปัญหา นักเรียนไม่กล้าแสดงออก ไมก่ ล้าแสดงความคดิ เหน็ มี
รายละเอียดดังน้ี

1. กล่มุ ประชากร
กล่มุ ประชากร คอื นักเรยี นช้ันนักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 กลมุ่ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา
และวฒั นธรรม จำนวน 30 คน
2. ระยะเวลาทใี่ ช้ในการทำงาน
ระยะเวลาที่ใชใ้ นการทำวจิ ัย ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2563
3. เคร่อื งมือทใี่ ชใ้ นการวิจยั

- แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
- แบบประเมินความพึงพอใจ
4. ขนั้ ดำเนินการ
1. ศึกษาปัญหาและอุปสรรคที่ทำใหน้ กั เรยี นนักเรียนไม่กล้าแสดงออก ไมก่ ลา้ แสดงความคิดเห็น
ขั้นสรา้ งรูปแบบการสอน
2. ใช้ รูปแบบการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนโดยใชร้ ูปแบบการสอนคิด Thinking School 4 step
รายวชิ าสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ส 23101 ระดับชนั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคม
ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
2.1 ศึกษาหลักสตู ร มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวชว้ี ัดในเรอ่ื งทจ่ี ะดำเนนิ การสอน
2.2 ศึกษารปู แบบการสอน 3 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ รูปแบบ
การสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน รปู แบบการสอนคิด Thinking School ตามแนวคิดโรงเรียนอบจ.เชียงราย
2.3 สังเคราะห์รูปแบบการสอนทั้ง 3 มาเป็นรปู แบบการสอนของกลมุ่ PLC โดย สงั เคราะห์ได้ 4
ข้ันตอน ดงั น้ี ต้งั ชือ่ รูปแบบการสอนเป็น การสอนคิดThinking School 4 step ประกอบดว้ ย ขนั้ ที่ 1 Do
Now ข้นั ที่ 2 Purpose ขน้ั ที่ 3 Work Mode ข้ันท่ี 4 Reflective Thinking
2.4 ดำเนินการเขียนแผนการจัดการเรยี นรู้ การสอนคิด Thinking School 4 Step จากน้ันนำมา
ใหส้ มาชกิ ในกลุม่ PLC มาช่วยกนั วิเคราะห์หาจุดบกพร่องของแผนการจัดการเรยี นรู้ คร้ังท่ี 1 จากน้นั นำแผน
ไปปรับเพ่ือนำมาวิเคราะห์คร้ังท่ี 2
2.5 วิเคราะหแ์ ผนการจัดการเรียนรู้ ครั้งท่ี 2 โดยนำเข้าท่ีประชมุ กลมุ่ PLC เพ่ือให้สมาชกิ ใน
กล่มุ รว่ มกันวิเคราะห์ แก้ไขแผน จากนนั้ นำไปส่กู ารปฏิบัติ
2.6 ขน้ั สอนนำแผนการจัดการเรยี นการสอนคิด Thinking School 4 Step ลงสกู่ ารปฏิบตั ิ ใน
คร้ังนี้สมาชิกในกลุ่มเข้าชมการจัดการชัน้ เรียนและสงั เกตการณส์ อนตามแผนการจัดการเรยี นร้ทู ีว่ างไว้ เป็น
การสังเกตการณ์สอนครง้ั ท่ี 1 เพ่ือพัฒนาการสอนของครูและดรู ูปแบบการสอนที่ควรพฒั นา

2.7 มาประชมุ ในกลุ่ม PLC หลงั การสงั เกตการณ์สอนครง้ั ที่ 1 และให้ไปทำแผนการจดั การเรียนรู้
เพม่ิ เติม ให้ครบหนว่ ย แล้วดำเนินการสังเกตการณ์สอนอีก 2 คร้งั เพ่ือพฒั นารูปแบบการสอนให้ดียิ่งขน้ึ

ขน้ั การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น
แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพ่ือประเมินความรู้ของนักเรยี นก่อนและหลัง
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้รปู แบบการสอนคิด Thinking School 4 step รายวชิ าสังคมศกึ ษา ศาสนา
และวฒั นธรรม ส 23101 ระดบั ชันมธั ยมศึกษาปีที่ 3 เป็นแบบทดสอบปรนยั ชนดิ เลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก ศึกษา
คน้ ควา้ ได้สร้างข้นึ ตามลำดับ ดงั นี้

2.1 สรา้ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก
จำนวน 50 ขอ้ ตอ้ งการจรงิ 30 ข้อ

2.2 นำแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเสนอต่อสมาชกิ ในกลุม่ PLC เพื่อพิจารณาข้อสอบ
รายขอ้ เพอ่ื เป็นการตรวจสอบความสอดคล้องระหวา่ งเนือ้ หากับจุดประสงค์ โดยมเี กณฑ์การให้คะแนนดงั น้ี

+1 ถ้าแนใ่ จวา่ ขอ้ สอบข้อนั้นวัดจุดประสงคก์ ารเรียนรูต้ ามทรี่ ะบุไว้จรงิ
0 ถา้ ไมแ่ นใ่ จว่าข้อสอบข้อน้นั วดั จุดประสงค์การเรียนรูต้ ามท่รี ะบุไวจ้ ริง
-1 ถา้ แน่ใจวา่ ข้อสอบข้อนัน้ ไมไ่ ด้วัดจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ตามทรี่ ะบุไว้
2.3 วเิ คราะห์หาดชั นีความสอดคลอ้ งระหว่างข้อคำถามของแบบทดสอบกับจุดประสงค์ จากนน้ั
ผู้วจิ ัยจงึ นำผลการประเมนิ ของสมาชิกในกลุม่ PLC มาวเิ คราะห์หาคา่ ดัชนีความเหมาะสมสอดคล้อง
(มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. 2545ก : 108-109) นำแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทาง
การเรยี นท่ีได้รับการตรวจสอบความเท่ียงตรงตามเนื้อหา แลว้ มาหาค่าเฉลี่ย โดยเลอื กขอ้ ที่มีค่าเฉลีย่ IOC จาก
การประเมนิ ตั้งแต่ 0.60 ถงึ 1.00 และคดั เลือกไวจ้ ำนวน 30 ขอ้
2.4 จัดพิมพเ์ ปน็ ฉบับ นำไปทดลอง (Try – Out) กบั กลมุ่ นักเรียนทไี่ ม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย จำนวน
30 คน
2.5 นำกระดาษคำตอบทนี่ ักเรียนทดสอบมาตรวจให้คะแนน เพือ่ นำผลการทดสอบมาวเิ คราะห์
หาคณุ ภาพค่าอำนาจจำแนกรายข้อ (B) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิตามวิธขี องแบรนแนน (Brennan)
(สมบัติ ท้ายเรือคำ. 2547 : 96 - 97) พบวา่ ได้ข้อสอบทเี่ ขา้ เกณฑ์มคี ่าอำนาจจำแนกตัง้ แต่ 0.2 ขน้ึ ไป และมคี ่า
ความยากงา่ ย (P) อยู่ระหว่าง 0.20 ถงึ 0.80 (ภาคผนวก)
2.6. นำขอ้ สอบที่ผ่านการคัดเลือกไวจ้ ำนวน 30 ข้อ มาหาค่าความเช่ือม่ันทัง้ ฉบบั โดยใช้สูตร
ของครอนบาค (ธรี ศกั ด์ิ อุ่นอารมณเ์ ลศิ . 2549: 86-87) ผลปรากฏวา่ ได้คา่ ความเชื่อมัน่ เทา่ กบั 0.78
2.7 พมิ พ์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นฉบบั จริง และนำแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรียนไปทดสอบนกั เรียนกอ่ นเรยี นและหลังจากเรียนรูค้ รบทุกกจิ กรรมการเรยี นรู้

การสรา้ งแบบประเมินความพึงพอใจ

4. การสรา้ งแบบประเมินความพงึ พอใจของนักเรยี น โดยใช้รปู แบบการสอนคิด Thinking School 4
step รายวชิ าสังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ส 23101 ระดับชันมธั ยมศึกษาปีท่ี 3

4.1 ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ที่เกยี่ วขอ้ งกับการสรา้ งแบบประเมนิ ความพึงพอใจ เพ่ือนำมาเป็น
แนวทางในการสร้างแบบสอบถามความพงึ พอใจ

4.2 ศกึ ษาวิธสี ร้างแบบประเมินความพึงพอใจ และกำหนดรปู แบบแบบสอบถาม จากเอกสารและ
งานวจิ ัยท่เี กี่ยวข้อง

4.3 ออกแบบแบบประเมินความพงึ พอใจ โดยใชร้ ูปแบบการสอนคดิ Thinking School 4 step
รายวชิ าสังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ส 23101 ระดับชนั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3

มาตราการประเมนิ (Rating Scale) 5 ระดบั ตามแนวคิดของลเิ คิร์ท ข้อคำถามจำนวน 20 ข้อ โดย
ใช้เกณฑน์ ้ำหนักคะแนนประเมินค่าจัดอนั ดับความสำคญั ดังน้ี

5 หมายถึง เหน็ ดว้ ยมากทีส่ ดุ
4 หมายถงึ เห็นดว้ ยมาก
3 หมายถงึ เห็นด้วยปานกลาง
2 หมายถึง เหน็ ดว้ ยนอ้ ย
1 หมายถงึ เห็นดว้ ยน้อยทส่ี ุด
สำหรับการแปลความหมายใช้ค่าเฉลีย่ ของคา่ ทีว่ ัดได้และยดึ แนวคิดของเบสท์
(Best, 1986 : 195) ดังน้ี
1.00 - 1.50 หมายถงึ เหน็ ด้วยอยู่ในระดับน้อยท่ีสุด
1.51 - 2.50 หมายถงึ เห็นดว้ ยอย่ใู นระดับน้อย
2.51 - 3.50 หมายถึง เหน็ ด้วยอยู่ในระดับปานกลาง
3.51 - 4.50 หมายถึง เห็นดว้ ยอยูใ่ นระดบั มาก
4.51 - 5.00 หมายถงึ เห็นด้วยอยใู่ นระดับมากที่สุด

5. การวเิ คราะหข์ ้อมลู
ผวู้ ิจัยดำเนนิ การวิเคราะหข์ ้อมลู เพื่อให้สอดคล้องกบั วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัยดว้ ยวธิ ีการทาง
สถติ ิ ดังนี้
1. การประเมินเปรียบเทียบคะแนนผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนกอ่ นและหลงั เรยี นของนักเรยี นท่ีจัด
กิจกรรมการโดยใชร้ ปู แบบการสอนคดิ Thinking School 4 step รายวชิ าสังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ส 23101 ระดับชนั มัธยมศึกษาปที ่ี 3 เปน็ การประเมินโดยนำผลคะแนนจากการทำแบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรยี นกอ่ นและหลังการเรียน มาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ( X ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ
ตรวจสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลย่ี ของคะแนนก่อนเรียน และหลงั เรยี นโดยการทดสอบหาค่าที (t- test)
ถา้ ผลการตรวจสอบค่าเฉล่ยี หลังเรยี นมคี ่าสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนยั สำคญั ทร่ี ะดบั .05 แสดงวา่ การใช้รูปแบบ
การสอนคดิ Thinking School 4 step รายวชิ าสงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ส 23101 ระดบั ชัน
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 มีคุณภาพอย่ใู นระดบั ทน่ี ำไปใช้ได้

2. การประเมนิ ความพึงพอใจของนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ทจี่ ัดกจิ กรรม
การเรียนรู้ โดยใช้รปู แบบการสอนคิด Thinking School 4 step โดยใชห้ าคา่ เฉลย่ี ( X ) ส่วนเบย่ี งเบน
มาตรฐาน (S.D.) กำหนดเกณฑ์ในการให้คะแนนความพึงพอใจของผ้เู รียนตามเกณฑ์การประเมิน ดงั นี้

4.51 – 5.00 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจมากที่สุด
3.51 – 4.50 หมายถึง มีความพึงพอใจมาก
2.51 – 3.50 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจปานกลาง
1.51 – 2.50 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจน้อย
1.00 – 1.50 หมายถงึ มีความพึงพอใจน้อยท่ีสดุ

6. สถิตทิ ใี่ ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล
6.1 สถิติทีใ่ ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมลู ไดแ้ ก่

1.1 การหาคา่ ความเที่ยงตรงเชงิ เนื้อหา (Content Validity) ของแบบทดสอบ
วดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น เพ่ือประเมินความรู้ของนักเรยี นก่อนและหลงั การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
ดว้ ยใชร้ ปู แบบการสอนคดิ Thinking School 4 step รายวิชาสงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ส 23101
ระดบั ชนั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 เพอื่ ทำการวเิ คราะห์หาค่าดชั นีสอดคลอ้ งระหวา่ งข้อสอบกับจดุ ประสงคเ์ ป็นราย
ข้อ (มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช. 2545ก : 108-109)

∑R
IOC = N

เมื่อ IOC แทน ดัชนีความเหมาะสมสอดคลอ้ ง
R แทน คะแนนของผเู้ ชี่ยวชาญ

R แทน ผลรวมคะแนนของผ้เู ชย่ี วชาญแต่ละคน

N แทน จำนวนผ้เู ชี่ยวชาญ
1.2 การหาค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยใชส้ ูตร B
(Discrimination Index B) (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2545 : 87)

UL
B = n1 − n2

เม่อื B แทน ค่าอำนาจจำแนก
U แทน จำนวนผูร้ อบรหู้ รือสอบผา่ นเกณฑ์ทีต่ อบถูก
L แทน จำนวนผไู้ ม่รอบรู้หรอื สอบไม่ผ่านเกณฑ์ทต่ี อบถูก
n1 แทน จำนวนผรู้ อบร้หู รือสอบผา่ นเกณฑ์
n2 แทน จำนวนผ้ไู มร่ อบรหู้ รือสอบไม่ผ่านเกณฑ์

1.3. วิเคราะหห์ าค่าความยาก (p) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยใช้สูตร ดงั นี้ (บุญ
ชม ศรีสะอาด. 2545 : 84)

p = Ru + R1
2f

เม่ือ p แทน ระดบั ความยาก
Ru แทน จำนวนคนกลุ่มสูงที่ตอบถูก
R1 แทน จำนวนคนกลุ่มต่ำท่ีตอบถูก
f แทน จำนวนคนในกลมุ่ ทส่ี ูงหรือตำ่ ซ่งึ เทา่ กนั

1.4. การหาคา่ ความเช่ือมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นโดยการใช้
สูตรของครอนบาค (ธรี ศักดิ์ อุน่ อารมณเ์ ลศิ . 2549: 86-87)

α = k k 1 [1 − ∑SSt2i2]


เมอื่ แทน คา่ สัมประสทิ ธค์ิ วามเชอื่ มั่น
แทน จำนวนข้อสอบ
แทน ความแปรปรวนของคะแนนรายข้อ
แทน ความแปรปรวนของคะแนนทั้งฉบับ

2. สถิติพ้ืนฐาน ไดแ้ ก่
2.1. ร้อยละ (Percentage) โดยใชส้ ูตร (บญุ ชม ศรีสะอาด. 2546 : 104) ดงั นี้

เมอื่ P แทน ร้อยละ
F แทน ความถีห่ รือคะแนนท่ีต้องการแปลงใหเ้ ป็นร้อยละ
N แทน จำนวนความถท่ี ง้ั หมดหรอื คะแนนเตม็

2.2. ค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) ของคะแนนใชส้ ตู ร (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2546 : 105)

ดงั นี้

เมอ่ื แทน ค่าเฉล่ยี
แทน ผลรวมของคะแนน

N แทน จำนวนคนทัง้ หมด

2.3. ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สตู ร
(บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2546 : 106) ดังน้ี

S.D. = √N ∑ X2−(∑ X)2

N(N−1)

เมอ่ื S.D. แทน ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน
แทน ผลรวมของคะแนนทง้ั หมด
∑X
∑ X2 แทน ผลรวมของคะแนนทง้ั หมดยกกำลังสอง
N แทน จำนวนคนทั้งหมด

บทท่ี 4

ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู

ในการศึกษาคร้งั นี้ เปน็ วจิ ยั ในชั้นเรียน เรือ่ งการใช้กระบวนการ PLC พฒั นารูปแบบการจดั กจิ กรรม
การเรียนการสอนโดยใชร้ ูปแบบการสอนคิด Thinking School 4 step รายวิชาสังคมศกึ ษา ศาสนาและ
วฒั นธรรม ส 23101 ระดับชนั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 กล่มุ สาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ผู้วิจยั ไดเ้ สนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูล ตามลำดับดงั ต่อไปน้ี

1. สัญลกั ษณ์ท่ใี ช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล
2. ลำดับขน้ั ตอนในการเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
3. ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล

สัญลกั ษณท์ ่ีใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล

ผู้ศกึ ษาได้กำหนดสญั ลกั ษณ์ท่ีใช้ในการแปลความหมายผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ดังน้ี
N แทน จำนวนนักเรียนในกล่มุ ตวั อย่าง
X แทน คะแนนเฉลี่ย (Mean)
S.D. แทน ค่าส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
t แทน สถิติทดสอบท่ีใช้เปรยี บเทยี บค่าวกิ ฤตในการแจกแจง
แบบ t เพอื่ ทราบความมีนัยสำคญั
D แทน ค่าความแตกตา่ งระหว่างคู่คะแนนในการทดสอบกอ่ นเรียน
และหลังเรียน

 D แทน ผลรวมของค่าต่างระหวา่ งคู่คะแนนในการทดสอบก่อนเรยี น

และหลงั เรียน

D2 แทน ผลรวมของค่าต่างระหว่างคคู่ ะแนนในการทดสอบก่อนเรียน

และหลงั เรียนยกกำลงั สอง

ลำดบั ขนั้ ตอนในการเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูล

ผศู้ ึกษาไดด้ ำเนนิ การวเิ คราะหข์ ้อมูล ตามลำดับข้นั ตอนดงั นี้

ตอนท่ี 1 การวิเคราะหเ์ ปรยี บเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน ของนักเรยี นกอ่ นเรยี นและ

หลงั เรียน ที่เรยี นโดยใช้ใช้รูปแบบการสอนคดิ Thinking School 4 step รายวิชาสงั คมศึกษา ศาสนาและ
วฒั นธรรม ส 23101 ระดับชนั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 กลุม่ สาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

ตอนที่ 2 ความพึงพอใจของนักเรียนทตี่ ่อการใชร้ ูปแบบการสอนคิด Thinking School 4 step รายวชิ า
สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ส 23101 ระดบั ชันมธั ยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา
และวฒั นธรรม

ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู

ตอนที่ 1 การวิเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรียนก่อนเรียนและ
หลังเรียน ทีเ่ รียนโดยใช้ชุดกจิ กรรมสงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม หน่วยกฎหมายอาญา
เพอ่ื เสรมิ สรา้ งการมจี ติ อนุรกั ษ์สง่ิ แวดลอ้ ม ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 โดยการทดสอบคา่ ที ปรากฏผลดังตาราง

ตาราง วเิ คราะหเ์ ปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรยี นทเ่ี รียนโดยใช้รปู แบบการสอนคดิ Thinking
School 4 step รายวชิ าสงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ส 23101 ระดบั ชนั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 กลุ่มสาระ
การเรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม

N คะแนน คะแนนเฉลย่ี ( X ) D D2 t
เต็ม กอ่ น หลัง

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 25 40 22.32 33.00 242 2544 17.1895**

** ค่า t มีนยั สำคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .01 ( df= 40, t40 = 2.423)

จากตาราง พบว่า ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3

หลงั เรยี นด้วยใช้รปู แบบการสอนคดิ Thinking School 4 step รายวิชาสงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม
ส 23101 ระดับชนั มัธยมศึกษาปที ี่ 3 กลุม่ สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สงู กว่ากอ่ น
เรียน อย่างมีนยั สำคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 ซงึ่ เป็นไปตามสมมติฐาน

ตอนท่ี 2 ความพึงพอใจของนักเรียนทีต่ ่อการใชร้ ูปแบบการสอนคดิ Thinking School 4 step
รายวชิ าสังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ส 23101 ระดับชนั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 กลมุ่ สาระการเรียนรู้สงั คม
ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

ขอ้ ท่ี รายการ ระดับความพึงพอใจ

ดา้ นบรรยากาศ X S.D. ผลการประเมิน
1 บรรยากาศของการเรยี นเปิดโอกาสใหน้ กั เรียนมีสว่ นร่วมในการทำ
กจิ กรรม 4.40 0.5 มาก
2 บรรยากาศของการเรยี นทำใหน้ กั เรียนมคี วามรบั ผิดชอบต่อตนเอง และ
กลมุ่ 4.40 0.5 มาก
3 บรรยากาศของการเรยี นทำใหน้ กั เรยี นมคี วามกระตอื รือรน้ ในการเรยี น
4 บรรยากาศของการเรยี นเปดิ โอกาสให้นกั เรยี นทำกจิ กรรมได้อย่างอสิ ระ 4.57 0.5 มากท่สี ุด
5 บรรยากาศของการเรยี นทำใหน้ ักเรยี นเกดิ ความคิดที่หลากหลาย
ขอ้ ที่ รายการ 4.40 0.5 มาก

ด้านกจิ กรรมการเรยี น 4.80 0.5 มากที่สดุ
1 กิจกรรมการเรยี นรมู้ ีความเหมาะสมกบั เนือ้ หา
2 กิจกรรมการเรยี นรสู้ ่งเสรมิ ให้นกั เรยี นได้แลกเปลย่ี นความรคู้ วามคดิ ระดบั ความพงึ พอใจ
3 กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ง่ เสริมการคิดและตดั สนิ ใจ
4 กจิ กรรมการเรยี นรู้ทำให้นักเรียนกลา้ คิดกลา้ ตอบ X S.D. ผลการประเมิน
5 กจิ กรรมการเรียนรู้ทำใหน้ ักเรียนมโี อกาสแสดงความคดิ เห็น
6 กิจกรรมการเรยี นรทู้ ำให้นักเรยี นเข้าใจในเนื้อหามากขน้ึ 4.07 0.25 มาก
7 กิจกรรมการเรียนรสู้ ่งเสรมิ การเรยี นรรู้ ่วมกัน 4.53 0.51 มากที่สุด
4.67 0.48 มากที่สุด
4.50 0.51 มากท่ีสดุ
4.53 0.51 มากที่สดุ
4.53 0.51 มากท่สี ุด
4.47 0.51
มาก

ประโยชนท์ ่ไี ด้รบั 4.40 0.5 มาก
1 การจดั การเรยี นร้ทู ำให้เขา้ ใจเนอ้ื หาไดง้ ่าย 4.37 0.49 มาก
2 การจดั การเรยี นรทู้ ำให้จำเนอ้ื หาได้นาน 4.50 0.51 มากที่สดุ
3 การจัดการเรยี นรชู้ ่วยใหน้ กั เรยี นสรา้ งความรู้ ความเขา้ ใจดว้ ยตนเองได้ 4.53 0.51 มากทส่ี ุด
4 การจัดการเรยี นรู้ทำให้นักเรยี นนำวิธีการเรยี นรู้ไปใช้ในวชิ าอื่น ๆ 4.27 0.45 มาก
5 การจัดการเรยี นร้ทู ำใหน้ ักเรยี นพฒั นาทกั ษะการคิดทสี่ ูงขึ้น 4.37 0.49 มาก
6 การจดั การเรยี นรู้ชว่ ยให้นกั เรียนตดั สินใจโดยใชเ้ หตผุ ล 4.67 0.48 มากทีส่ ุด
7 การจัดการเรยี นรทู้ ำใหเ้ ข้าใจและรจู้ ักเพ่ือนมากขน้ึ 4.67 0.48 มากทส่ี ดุ
8 กจิ กรรมการเรียนการสอนน้ที ำใหไ้ ดท้ ำงานรว่ มกับผู้อ่ืน 4.48 0.48 มาก
เฉลี่ยรวม

จากตาราง พบวา่ นกั เรยี นมีความพึงพอใจต่อการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้โดยการใชร้ ปู แบบการ
สอนคิด Thinking School 4 step รายวชิ าสังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ส 23101 ระดบั ชัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 3 กลมุ่ สาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม อยใู่ นระดบั มากทสี่ ุด โดย
แบ่งเปน็ ดา้ นๆ 3 ดา้ น ดงั นี้ ด้านท่ี 1 บรรยากาศ ระดับความพงึ พอใจมากทสี่ ุด คือ บรรยากาศของการเรียน

ทำให้นักเรียนเกิดความคิดที่หลากหลาย ( X = 4.80 ) ด้านท่ี 2 ดา้ นการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ระดับความพึง
พอใจมากท่ีสดุ คอื กิจกรรมการเรียนรู้ส่งเสรมิ การคดิ และตัดสินใจ ( X = 4.67) ดา้ นท่ี 3 ด้านประโยชนท์ ี่
ไดร้ ับ ระดบั ความพงึ พอใจมากที่สุด คือ การจัดการเรียนรู้ทำให้เขา้ ใจและรู้จักเพื่อนมากขึ้น ( X = 4.67)
และ กิจกรรมการเรยี นการสอนน้ีทำให้ได้ทำงานร่วมกับผ้อู ื่น ( X = 4.67) นกั เรยี นมีความพึงพอใจในการจัด
กิจกรรมการเรยี นรูโ้ ดยใช้( X = 4.67) ทกุ รายการประเมนิ โดยภาพรวม อยใู่ นระดับมาก ( X = 4.48)

บทท่ี 5

สรปุ ผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

การวิจยั ในครัง้ นีเ้ ปน็ วิจัยช้นั เรียนเรือ่ งการใชก้ ระบวนการ PLC พัฒนารปู แบบการจัดกจิ กรรมการ
เรยี นการสอนโดยใชร้ ูปแบบการสอนคดิ Thinking School 4 step รายวชิ าสังคมศกึ ษา ศาสนาและ
วฒั นธรรม ส 23101 ระดับชนั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 กลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ซง่ึ
มีจุดประสงค์เพ่ือแก้ปญั หา นักเรยี นไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าแสดงความคดิ เห็นในกลมุ่ ไมก่ ล้าตอบคำถาม
เพราะกลัวเพ่ือล้อ ขาดความม่นั ใจในคำตอบ ซึ่งทำใหค้ รูไม่สามารถวดั ทักษะและความก้าวหน้าของนักเรยี นได้
โดยประชากรในการทำวจิ ยั คือ ของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 3จำนวน 30 คน ซึ่งใชร้ ะยะเวลาในการทำวิจยั
1 ภาคเรียน คอื ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2563เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ยั ครั้งน้ี เปน็ เครื่องมือท่ีผู้จัดทำได้สรา้ ง
ข้ึนไดแ้ ก่ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนักเรียน แบบประเมินความพึงพอใจตอ่ การใช้รูปแบบ
การสอนคดิ Thinking School 4 step รายวชิ าสงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ส 23101 เครื่องมือของ
แบบประเมนิ ความพงึ พอใจเป็นแบบมาตราการประเมิน (Rating Scale) 5 ระดับ ตามแนวคิดของลเิ คริ ์ท
ขอ้ คำถามจำนวน 20 ขอ้ โดยใชเ้ กณฑน์ ้ำหนักคะแนนประเมินคา่ จัดอนั ดบั ความสำคญั และสำหรบั การแปล
ความหมายใช้ค่าเฉลยี่ ของค่าท่วี ดั ได้และยึดแนวคดิ ของเบสท์ (Best, 1986 : 195) การวเิ คราะห์ข้อมูล

จะใช้สถติ ิท่ใี ช้วเิ คราะหป์ รมิ าณการส่งงานของนกั เรยี น คือ ค่าเฉลีย่ ( X ) และ รอ้ ยละ (%) สว่ นการวเิ คราะห์
ขอ้ มูลด้านความพึงพอใจใช้สถติ ทิ ใ่ี ช้วิเคราะห์ข้อมลู คือ ค่าเฉลย่ี ( X )ร้อยละ (%) และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน

(S.D.)

สรปุ ผลการวิจัย

1. นักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3 ทเี่ รยี นโดยใช้รูปแบบการสอนคิด Thinking School 4 step
รายวชิ าสงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ส 23101 มคี ะแนนหลังเรยี น สงู กว่ากอ่ นเรยี น อย่างมีนยั สำคัญ
ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .01

2. นกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 ที่เรยี นโดยใชร้ ปู แบบการสอนคิด Thinking School 4 step
รายวชิ าสงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ส 23101 มคี วามพึงพอใจในระดับมาก

อภปิ รายผล

จากผลการวิจยั เรอื่ ง การวจิ ยั ในครง้ั น้เี ปน็ วจิ ัยช้ันเรยี นเร่ืองการใช้กระบวนการ PLC พฒั นารูปแบบ
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใชร้ ปู แบบการสอนคิด Thinking School 4 step รายวชิ าสังคมศกึ ษา
ศาสนาและวัฒนธรรม ส 23101 ระดบั ชนั มัธยมศึกษาปที ่ี 3 กลุม่ สาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและ
วฒั นธรรม สามารถอภปิ รายผลไดด้ ังนี้

1. นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ทีเ่ รยี นโดยใชร้ ปู แบบการสอนคิด Thinking School 4 Step รายวชิ าสงั คม
ศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ส 23101 มีคะแนนหลงั เรยี น สงู กวา่ กอ่ นเรยี น อย่างมีนัยสำคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดับ
.01 ที่เปน็ เช่นนีเ้ พราะ ผ้สู อนศกึ ษาทำความเข้าใจในกระบวนการเรียนร้ตู า่ ง ๆ เพื่อใหส้ ามารถเลือกใชใ้ นการ
จดั กระบวนการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มกี ารออกแบบการจัดการเรียนรู้ โดยตอ้ งศึกษาหลักสตู ร
สถานศึกษาให้เข้าใจถึงมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด สมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
และสาระการเรยี นรู้ทเี่ หมาะสมกบั ผ้เู รียน แล้วจงึ พิจารณาออกแบบการจัดการเรยี นรู้โดยเลือกใช้วธิ สี อนและ
เทคนิคการสอน สือ่ /แหลง่ เรียนรู้ การวัดและประเมินผล เพ่ือให้ผเู้ รยี นได้พัฒนาเตม็ ตามศักยภาพและบรรลุ
ตามเปา้ หมายทีก่ ำหนด โดยครูมีการกำหนดบทบาทศกึ ษาวิเคราะห์ผู้เรยี นเปน็ รายบุคคล แลว้ นำขอ้ มูลมาใช้ใน
การวางแผนการจัดการเรยี นรู้ ท่ที า้ ทายความสามารถของผ้เู รียน กำหนดเป้าหมายท่ีต้องการใหเ้ กดิ ข้นึ กบั
ผเู้ รยี น ด้านความรแู้ ละทักษะกระบวนการ ที่เป็นความคดิ รวบยอด หลักการ และความสัมพนั ธ์ รวมท้งั
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ออกแบบการเรยี นรูแ้ ละจดั การเรียนรู้ท่ีตอบสนองความแตกต่างระหวา่ งบุคคลและ
พัฒนาการทางสมอง เพื่อนำผู้เรียนไปส่เู ป้าหมายจดั บรรยากาศท่ีเอ้ือตอ่ การเรียนรู้ และดูแลชว่ ยเหลือผเู้ รยี น
ให้เกิดการเรียนร้จู ัดเตรยี มและเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมกบั กิจกรรม นำภมู ิปญั ญาทอ้ งถิน่ เทคโนโลยที ีเ่ หมาะสม
มาประยุกต์ใชใ้ นการจดั การเรียนการสอนประเมนิ ความกา้ วหน้าของผู้เรียนดว้ ยวิธีการที่หลากหลาย เหมาะสม
กับธรรมชาติของวิชาและระดับพฒั นาการของผู้เรียนวิเคราะหผ์ ลการประเมินมาใชใ้ นการซ่อมเสริมและพฒั นา
ผ้เู รยี น รวมทั้งปรบั ปรุงการจัดการเรยี นการสอนของตนเอง ซง่ึ ทำใหน้ ักเรียนมกี ารเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทด่ี ี
ขนึ้ ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ัยของ จฑุ ารตั น์ พนั ธุ ,2556 ไดศ้ ึกษาเรอื่ งการพัฒนาการคิดวเิ คราะห์โดย
กระบวนการคดิ วเิ คราะห์ 5W 1H สำหรบั นกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 ผู้เรียนส่วนใหญ่มกี ารพัฒนา
กระบวนการคดิ วเิ คราะห์ทีด่ ีข้ึน รู้หลักการคดิ วเิ คราะห์และสามารถปฏบิ ัตงิ านและความถกู ต้องของงานอยู่ ใน
ระดบั ดีและกลาท้ ่จี ะคิดอยา่ งเต็มที่ ซ่ึงผู้เรียนได้ให้เหตุผลประกอบในทุกหัวข้อได้อยา่ งชัดเจนอยู่ใน ระดับท่ดี ี

2. นักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3 ทเ่ี รยี นโดยใชร้ ูปแบบการสอนคดิ Thinking School 4 step
รายวิชาสังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ส 23101 มคี วามพงึ พอใจในระดับมากทเ่ี ปน็ เช่นน้ีอาจเปน็ เพราะ
บทบาทครูเปน็ ท้ังผูช้ ่วยเหลือและผ้รู ว่ มงาน นกั เรยี นทำงานเปน็ ทีม เคารพสทิ ธขิ องตนเองและผู้อน่ื รูจ้ กั รบั ฟงั
ความคดิ เหน็ ของผู้อื่นนักเรียนรจู้ กั คดิ นอกกรอบ มีแนวคิดเพ่ิมท่ีหลากหลาย เพ่มิ พูนปญั ญาคน้ พบตนเอง
นกั เรียนฝกึ ลองผดิ ลองถูกในการแสดงความคิดเห็นแลกเปล่ียนในชน้ั เรยี นครูใชค้ ำถามในการเรยี นการสอน
กระตุน้ ให้ผเู้ รยี นกล้าตอบคำถามตลอดเวลากระบวนการเรยี นรู้ในชั้นเรียนเป็นขั้นตอนตามรปู แบบ Thinking
Whiteboard ครูใช้เครื่องมือการคิด Thinking Tools ในข้ันตอนการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนสมำ่ เสมอ
นักเรยี นไดแ้ สดงความคดิ ของตนเองเป็นสรายบุคคล และเหน็ ความสำคญั ของการเรยี นท่ีเน้นความเข้าจากกว่า
การท่องจำฝึกคิดอยา่ งเปน็ ระบบ นำทักษะการคิดไปใชใ้ นชีวติ ประจำวันได้สม่ำเสมอ และสามารถคดิ ใน
ระดบั สูงได้เป็นอย่างดี ซ่งึ ทำให้เกดิ ความพงึ พอใจของนักเรียน นกั เรียนสามารถแก้ไขปัญหาและตัดปัญกาได้
อยา่ งมีเหตุมีผล ตลอดถึงใช้วจิ ารณญาณตัดสินใจได้อยา่ งถูกต้องเหมาะสม บนฐานขอ้ มลู ท่รี อบด้าน (ดร.สราวุธ
สตุ ะวงศ,์ 2562) และสอดคล้องกับงานวิจยั ของ ลดั ดา เหลอื งรตั นมาศและคณะ,2559 ไดท้ ำการศึกษาเร่ือง
การพฒั นารปู แบบการเรียนการสอนท่ีเนน้ ทักษะกระบวนการเพ่อื สง่ เสรมิ ความสามารถ ด้านการคดิ วเิ คราะห์
สำหรับนกั ศึกษาพยาบาลวิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี พบวา่ นักศกึ ษา มีความพงึ พอใจต่อการเรียน
โดยใชร้ ูปแบบในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ดา้ นผูส้ อนมีคา่ เฉลี่ยสงู ทีส่ ุด

ขอ้ เสนอแนะในการทำวจิ ยั

1. ควรทำศกึ ษเพ่ิมเติมในส่วนของประสทิ ธภิ าพของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น
2. ควรทำวจิ ัยเปรยี บเทียบนำผลทไ่ี ดเ้ ปรียบเทยี บกบั รายวิชาอน่ื ๆ ในกลุ่มสาระเดียวกัน

บรรณานุกรม

ธรี ะศักด์ิ อุ่นอารมณเ์ ลิศ. เคร่ืองมือวจิ ัยทางการศกึ ษา : การสร้างและการพฒั นา. นครปฐม :
มหาวิทยาลัยศลิ ปากร, 2549.

บญุ ชม ศรีสะอาด นิภาศรี ไพโรจน์ และนุชนา ทองทว.ี การวดั ผลและการประเมินผล
ทางการศึกษา. มหาสารคาม : โรงพมิ พ์ปรีดาการพมิ พ์, 2543.

ปรียาพร วงศอ์ นุตรโรจน.์ จิตวทิ ยาการบริหารงานบุคคล. กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัทพมิ พ์ดี
จำกดั ,2555.

รตั นา ลาวงศ์. ผลการจดั การเรียนรแ้ ละความพึงพอใจทางการเรียน เรื่องการเมอื ง
การปกครองกล่มสาระการเรยี นรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม โดยใชบ้ ทเรียน
การต์ นู สําหรับนกั เรยี นชนั ประถมศึกษาปีที 6 โรงเรยี นบา้ นคลองหลวง จังหวัด
สมุทรปราการ.วิทยานิพนธ์ปรญิ ญามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี,2552.

ลัดดา เหลืองรตั นมาศและคณะ. ความสมั พันธร์ ะหว่างเชาวป์ ญั ญาเชิงเลือ่ นไหลและ
ความจำขณะคิด.วารสารวทิ ยาการวิจยั และวทิ ยาการปัญญา, 2553.

ศราวุธ สุตะวงค์. สอนคิดตามแนวทาง Thinking School. กรุงเทพฯ : นานมีบ๊คุ , 2562.

สถานบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เอกสารเผยแพร่
รปู แบบการเรยี นการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้. กรงุ เทพฯ :สถาบนั ,2548.

สมบตั ิ ท้ายเรือคำ. การวจิ ัยเชงิ ปฏิบัติการแบบมีสว่ นร่วม เพอ่ื พฒั นาหลักสตู รการ
วิจยั เชิงปฏิบตั ิการ ในชนั้ เรยี นสำหรบั ครสู ังกดั สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษา
ขน้ั พนื้ ฐาน. มหาวทิ ยาลัยนเรศวร/พษิ ณโุ ลก,2547.

สิรกิ าญจน์ ธนวฒุ ิพรพินติ . การพฒั นาทกั ษะการคิดวิเคราะห์กลมุ่ สาระการเรยี นรู้
วิทยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปี ท่ี 6. วทิ ยานพิ นธป์ ริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชา
เทคโนโลยีการวิจยั ละพัฒนา หลักสตู รคณะครศุ าสตรอ์ ตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัย
เทคโนโลยีราชมงคลธญั บุรี, 2553.

สุภทัรา เออื้ วงศ์.การวจิ ัยเพ่อื การพัฒนาการเรียนรู้.
http://www.moe.go.th /wijai/RE%20learn.doc.(ออนไลน)์ ,2554.

สวุ ัฒนา สวุ รรณเขตนิคม . (. แนวคิดและรปู แบบเกี่ยวกับงานวิจยั ในชนั้ เรียน.
(ออนไลน์) สบื ค้นจาก http//www.moobankru.com/article_18_09_2002.html,
2554.

Applewhite, P.B. Organization Behaviors. New York : Prentice Hall,1965.

Best, John W. (). Research in Education. 5th ed. New Jersey : Prentice Hall, Inc
1986.

Good, C. V. Dictionary of Education (3rd ed). New York : McGraw – Hill,1973.

Kotler, Philip. Marketing Management. The Millennium edition.New
Jersey:Prentic - Hall ,2000.

Maslow, A. Motivation and Personality (2nd ed.). New York: Harpers and
Row, 1970.

Morse, N.C. Satisfaction in the White Collar Job. Michigan : University of
Michiqan Press, 1955.


Click to View FlipBook Version