โดย นักศึกษาชั้นปีที่ 3
หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขานาฏศิลป์ไทย
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสี มา
ณ เรือนโคราช มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสี มา
วันอังคารที่ 4 พฤจิกายน 2565
ตั้งเเต่เวลา 17.00 น.เป็นต้นไป
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินงานที่ว่า “เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ
ของประเทศ ด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น” การจัดการเรียนการสอนในสสาขาวิชาต่าง ๆ จึงมุ่งเน้น
ให้นักศึกษาได้พัฒนาศักยภาพของตนเอง ทั้งด้านวิชาการ สร้างองค์ความรู้ให้เท่าทัน
ต่อสังคมที่เปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา การฝึกฝนด้านทักษะวิชาชีพให้เป็นผู้มีความ
ชำนาญตามศาสตร์วิชาเอกของตน อีกทั้งยังสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ
ในมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นประโยชน์แก่นักศึกษาในการฝึกการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ
ผ่านการดูแล และควบคุมของคณาจารย์ หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต
สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา เล็งเห็นความสำคัญดังกล่าว จึงได้บรรจุรายวิชาการ
จัดการแสดงวิพิธทัศนา (Management of Variety Shows) ไว้ในการเรียนการสอน เพื่อให้นักศึกษาได้
ศึกษาหลักการจัดวิพิธทัศนา องค์ประกอบในการจัดการแสดง และฝึกให้นักศึกษาได้ปฏิบัติการจัดการแสดง
วิพิธทัศนานำการแสดงออกเผยแพร่สู่สาธารณชน เสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 มุ่งเน้นให้ผู้เรียน
เรียนรู้จากการปฏิบัติงานจริง เป็นกระบวนการสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้นักศึกษามีสมรรถนะที่ดีก่อนจบ
ออกไปเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ
กำหนดการโครงการวิพิธทัศนา
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2565
ณ เรือนโคราช มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
จัดโดย นักศึกษาชั้นปีที่ 3 หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2565
09.00 – 12.00 น.
- ซ้อมการแสดง (แยกตามชุดการแสดง)
ณ อาคาร 5 สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
12.00 – 13.30 น.
- พักรับประทานอาหารกลางวัน
13.30 – 16.30 น.
- นักแสดงแต่งกาย แต่งหน้า
17.00 – 17.30 น.
- ลงทะเบียน
17.30 – 18.00 น.
- พิธีเปิด
- กล่าวรายงานโดยประธานโครงการฯ
- ประธานในพิธีกล่าวเปิดโครงการฯ
- ประธานโครงการฯ มอบของที่ระลึกให้ประธานในพิธี
- ประธานในพิธี คณะครู และนักศึกษาถ่ายภาพร่วมกัน
18.00 – 18.40 น.
- การแสดงวิพิธทัศนา ช่วงที่ 1
18.40 – 19.00 น.
- พักการแสดง (เล่มเกมส์ และทายปัญหา แจกรางวัลให้แก่ผู้ชมการแสดง)
19.00 – 19.40 น.
- การแสดงวิพิธทัศนาช่วงที่ 2
19.40 – 20.00 น.
- ผู้ดำเนินโครงการมอบของที่ระลึกแก่อาจารย์ที่ปรึกษา
- อาจารย์ที่ปรึกษา คณาจารย์ ผู้ปกครอง ผู้ดำเนินโครงการ และผู้ชม
ร่วมถ่ายภาพกับคณะนักแสดง
- ปิดโครงการ
หมายเหตุ : อาจมีการเปลี่ยนแปลงเวลาในการดำเนินการตามความเหมาะสม
ระบำ สุโขทัย เป็นระบำชุดที่ ๕ อยู่ในระหว่างพุทธ
ศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๐ นับเป็นยุคสมัยที่ชนชาติไทย เริ่ม
สร้างสรรค์ศิลปะด้านนาฏศิลป์ และดนตรีในเป็นสมบัติประจำ
ชาติ โดยอาศัยหลักฐานอ้างอิงที่กล่าวไว้ในเอกสาร และหลัก
ศิลาจารึก ประกอบศิลปกรรมอื่น ๆ การแต่งทำนอง กระบวน
ท่ารำ และเครื่องแต่งกาย ประดิษฐ์ขึ้นให้มีลักษณะที่อ่อนช้อย
งดงาม ตามแบบอย่างของศิลปะสมัยสุโขทัย
ระบำชุดสุโขทัย จัดแสดงครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๕
พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๐ และภายหลังได้นำออกแสดง ในโรง
ละครแห่งชาติ และที่อื่น ๆ เพื่อให้ประชาชนชม
นายมนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดุริยางค์ไทย
กรมศิลปากร ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรี
ไทย) ปีพุทธศักราช ๒๕๒๘ เป็นผู้แต่งทำนองเพลง โดยนำ
ทำนองเพลงเก่าของสุโขทัยมาดัดแปลง
ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ไทย กรมศิลปากร ศิลปินแห่งชาติ สาจาศิลปะ
การแสดง(นาฏศิลป์ไทย) ปีพุทธศักราช ๒๕๒๘ เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำ
นายสนิท ดิษฐพันธ์ ออกแบบเครื่องแต่งกาย นางชนานันท์ ช่างเรียน สร้างเครื่องแต่งกาย นายชิต
แก้วดวงใหญ่ สร้างศิราภรณ์ และเครื่องประดับ
เป็นการแสดงชุดหนึ่งในละครพันทางเรื่องพระลอตอนพระลอลงสวน พระนิพนธ์ของ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ที่ทรงปรับปรุงขึ้นจากวรรณคดีลิลิตพระลอ
บทร้องและลีลาท่ารำแสดงถึงความรักของนายแก้วนายขัวญสองพระพี่เลี้ยงของพระลอกษัตริย์
แห่งแมนสรวง กับนางรื่นนางโรยพระพี่เลี้ยงของพระเพื่อนพระแพง พระราช
ธิดาของท้าวพิชัยพิษณุกรแห่งเมืองสรอง
ประเพณีการลอยกระทง ซึ่งต้องมีนํ้าเป็นปัจจัยสำคัญ น่าจะเป็นคติ
ของชนชาติที่ประกอบ กสิกรรม เมื่อพืชพันธุ์ธัญญาหารเจริญงอกงามอุดมสมบูรณ์
จึงมีการลอยกระทงไปตามกระแสนํ้า เพื่อขอบคุณพระแม่คงคา หรือเทพเจ้าแห่งนํ้า
อีกทั้งเป็นการแสดงความคารวะขออภัย ที่ได้ลงอาบ หรือปล่อยสิ่งปฏิกูลลงนํ้า ไม่
ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม รวมทั้งเป็นการบูชาเทพเจ้า ตลอดจนพระพุทธบาท
พระเจดีย์จุฬามณี ฯลฯ ตามคติความเชื่อ
ประเพณีการลอยกระทง น่าจะเป็นคติของชนชาติที่ประกอบกสิกรรม
ซึ่งต้องมีน้ำเป็นปัจจัยสำคัญ เมื่อพืชพันธุ์ธัญญาหารเจริญงอกงามอุดมสมบูรณ์ จึง
มีการลอยกระทงไปตามกระแสน้ำ เพื่อขอบคุณพระแม่คงคาหรือเทพเจ้าแห่งน้ำ อีก
ทั้งเป็นการแสดงความคารวะขออภัยที่ได้ลงอาบ หรือปล่อยสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ไม่ว่าจะ
โดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม รวมทั้งเป็นการบูชาเทพเจ้าตลอดจนรอยพระพุทธบาท พระ
เจดีย์จุฬามณี ฯลฯ หลังจากทำพิธีลอยกระทงแล้ว ก็จัดให้มีการละเล่นรื่นเริง
สนุกสนาน เช่น การละเล่นพื้นเมือง การละเล่นเพลงเรือ รำวง ฯลฯ อันเป็น
ธรรมเนียมประเพณี ที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณ
จากเรื่องข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า การลอยกระทง ส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงความกตัญญู ระลึกถึงผู้มี
พระคุณต่อมนุษย์ เช่น พระพุทธเจ้า เทพเจ้า พระแม่คงคา และบรรพชน เป็นต้น และแสดงความกตเวที (ตอบแทน
คุณ) ด้วยการเคารพบูชาด้วยเครื่องสักการะต่างๆ โดยเฉพาะการบูชาพระพุทธเจ้า หรือรอยพระพุทธบาท ถือได้ว่า
เป็นคติธรรมอย่างหนึ่ง ที่บอกเป็นนัยให้พุทธศาสนิกชน ได้เจริญรอยตามพระบาทของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์
แห่งความดีงามทั้ง ปวงนั่นเอง
นางนพมาศ หรือ เรวดีนพมาศ หรือ ท้าวศรี
จุฬาลักษณ์ เป็นสตรีที่ปรากฏอยู่ใน เรื่องนางนพมาศ หรือ
ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ที่อ้างอิงว่าถูกรจนาขึ้นตั้งแต่สมัยกรุง
สุโขทัย มีเนื้อความว่านางนพมาศบอกเล่าถึงความเป็นไป
ภายในรัฐสุโขทัยว่ามีความเจริญรุ่งเรืองสมบูรณ์พูนสุข
นานัปการ ในรัฐมีคนต่างชาติต่างภาษาและศาสนาอาศัยอยู่ร่วม
กัน และเรื่องที่เด่นที่สุดคือการที่นางประดิษฐ์กระทงขึ้นมา จน
นางนพมาศได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเพณีลอยกระทง
กล่าวกันว่านางนพมาศมีรูปโฉมงดงาม ในยุคหลังเมื่อครา
เทศกาลลอยกระทงก็มีการประกวดประขันนางนพมาศสืบมา
อย่างไรก็ตามได้มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการมีตัวตนจริงของนางนพมาศ มีนักประวัติศาสตร์หลาย
ท่าน เช่น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, นิธิ เอียวศรีวงศ์ และสุจิตต์ วงษ์เทศ เห็นว่าเรื่องนาง
นพมาศนั้นเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์เท่านั้นเอง
รำวงย้อนยุค หรือรำวงพื้นบ้าน คือ รำโทนในภาคกลาง ซึ่งชาวจันทบุรี เรียกกันทั่วไปในอดีต
ว่า รำวงเขี่ยไต้ เป็นการแสดงพื้นบ้านของชาวบ้าน เมื่อประมาณ ๕๐ – ๖๐ ปีมาแล้ว เพื่อเป็นการบันเทิง
ในขณะนวดข้าว สลับกับการร้องเพลงหงส์ฟาง โดยใช้เครื่องดนตรี เป็นอุปกรณ์ที่หาได้ในขณะนั้น เป็น
เครื่องกำหนดจังหวะ เช่น ใช้เคาะไม้ เคาะปี๊ป ต่อมาใช้เป็นศิลปะในการหาเลี้ยงชีพ คือรับจ้างแสดงตาม
งานต่าง ๆ หรือมักเล่นกันในช่วงในฤดูแล้ง มักจัดขึ้นในงานวัด เช่น งานวันวิสาขบูชา งานประจำปี งาน
บวช