51
"ไทย" โดยในชว่ งต่อมาได้เปลยี่ นกลบั เป็นสยามเมื่อปี พ.ศ. 2488 ในช่วงเปลี่ยน
นายกรฐั มนตรี แตใ่ นท่สี ดุ ได้เปลยี่ นกลบั มาชื่อไทยอีกครงั้ ในปี พ.ศ. 2491 ซ่งึ เป็นช่วงที่
จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรฐั มนตรีในสมยั ตอ่ มา ชว่ งแรกเปลย่ี นเฉพาะชือ่
ภาษาไทยเทา่ นนั้ ชื่อภาษาฝรง่ั เศส[1]และองั กฤษคงยงั เป็น "Siam" อยจู่ นกระทง่ั
เดอื นเมษายน พ.ศ. 2491 จงึ ได้เปลยี่ นชอ่ื ภาษาฝรง่ั เศสเป็น "Thaïlande" และ
ภาษาองั กฤษเป็น "Thailand" อยา่ งในปัจจบุ นั อย่างไรก็ตาม ช่ือ สยาม ยงั เป็นที่
รู้จกั แพร่หลายทงั้ ในและตอ่ าณาจักรโบราณในดนิ แดนประเทศไทย ก่อนสมยั สุโขทยั
ประเทศไทยในปัจจบุ นั ไดม้ ีผคู้ นหลายเผา่ พนั ธุ์ต้งั ถ่ินฐาน อาศยั อย่ตู ้งั แต่
สมยั กอ่ นประวตั ิศาสตร์ สืบตอ่ เนื่องมาตามลาดบั นบั เป็นระยะเวลาหลายพนั ปี มาแลว้
โดยเร่ิมจากชมุ ชนหมบู่ า้ น ทกี่ ระจายอยบู่ ริเวณทรี่ าบลุม่ แมน่ ้าและบนท่รี าบสูงมารวมตวั
กนั เป็นเมอื ง มกี ารตดิ ต่อคา้ ขายกบั ชุมชนอ่นื ๆ ท้งั ภายในและภายนอก กลายเป็นเมืองทา่
คา้ ขาย มีผคู้ นยา้ ยมาต้งั ถ่นิ ฐานมากข้นึ และไดม้ ีพฒั นาเป็นอาณาจกั ร ตลอดจนไดข้ ยาย
อานาจครอบคลมุ อานาจอน่ื ต่างชิงความเป็นใหญ่ และต้งั เป็นอาณาจกั รของตนเอง ไดแ้ ก่
อาณาจกั รตามพรลิงค์ อาณาจกั รโคตรบรู อาณาจกั รขอม อาณาจกั รทวารวดี อาณาจกั ร
ละโว้ อาณาจกั รศรีวิชยั อาณาจกั รเงนิ ยางเชียงแสน อาณาจกั รลา้ นนา อาณาจกั รหริภุญชยั
อาณาจกั รอโยธยา และอาณาจกั รสุพรรณภูมิ
อาณาจักรโบราณในดนิ แดนภาคกลางของไทยอาณาจักรทวารวดี
อาณาจกั รทวารดเี ป็นอาณาจกั รทีส่ าคญั อาณาจกั รหน่ึง ซ่ึงเคยมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ใน
ดินแดนประเทศไทยในปัจจบุ นั ระหวา่ งพุทธศตวรรษที่ 11-16 มคี วามเจริญ
ครอบคลุมไปยงั ดนิ แดนภาคเหนือ และภาคกลางของประเทศไทยในปัจจุบนั ตลอดจนถึง
หวั เมืองมอญริมฝั่งทะเลอนั ดามนั โดยนกั ประวตั ศิ าสตร์มคี วามเหน็ เกี่ยวกบั ศนู ยก์ ลาง
ของอาณาจกั รทวารวดที ี่มีความแตกตา่ งกนั แบ่งเป็น 3 กลมุ่ ดงั น้ี
กลุ่มท่ี 1 เช่ือว่าอาณาจกั รทวารวดมี ีศูนยก์ ลางท่ีเมอื งนครชยั ศรี จงั หวดั นครปฐม
กลมุ่ ท่ี 2 เชื่อวา่ อาณาจกั รทวารวดีมศี ูนยก์ ลางอยู่ท่ีเมอื งอทู่ อง จงั หวดั สุพรรณบุรี
กล่มุ ที่ 3 เช่ือวา่ อาณาจกั รทวารวดมี ศี นู ยก์ ลางอยู่ที่ตาบลคบู วั จงั หวดั ราชบรุ ี
52
จากขอ้ สนั นิษฐานของนกั ประวตั ิศาสตร์ท่ีมีความแตกต่างกนั ออกไป เน่ืองจาก
บริเวณ ท้งั 3 แห่ง พบร่องรอยเมอื งโบราณ โบราณสถาน ศิลปวตั ถุ สมยั ทวารวดี
เป็นจานวนมาก เช่น พระพุทธรูป ลกู ปัด เหรียญเงิน กงลอ้ รูปธรรมจกั รกบั กวางหมอบ
ธรรมจกั รศิลา ลายปูนป้ันนูนสตรีเลน่ ดนตรี
กลมุ่ เมอื งสาคญั เหลา่ น้ีลว้ นเป็นดินแดนเขตชายฝ่ังทะเลทีม่ กี ารตดิ ต่อคา้ ขายทางทะเลกบั
อินเดยี จนี อาหรบั และเป็นแหล่งทม่ี ีความอุดมสมบูรณด์ า้ นการเพาะปลูก จงึ ดึงดูดให้
ผคู้ นจากดินแดนภายนอก ตอนบนเคลือ่ นยา้ ยลงมาต้งั หลกั แหลง่ เป็นจานวนมาก จึงทา
ใหเ้ กิดเมืองใหญ่ๆ ข้ึนหลายเมอื ง นอกจากน้นั ชมุ ชนแถบน้ยี งั ไดร้ ับอทิ ธิพลจากอนิ เดยี
ทางดา้ นศาสนา ศิลปวฒั นธรรม และแบบแผนการปกครอง โดยนามาปรบั ให้สอดคลอ้ ง
กบั วฒั นธรรมด้งั เดิมของตนเอง อทิ ธิพล ทอี่ ินเดยี ส่งต่อมายงั อาณาจกั รทวารวดี
ไดแ้ ก่
1. พระพทุ ธศาสนา ซ่ึงมีบทบาทเช่ือมโยงความแตกต่างทางเช้ือชาตเิ ผา่ พนั ธุข์ องกลมุ่ ใน
ดินแดนน้ี ให้ยดึ ถอื ในความเช่ือเดียวกนั
2. กาหนดแบบแผนของกษตั ริยท์ ที่ รงเป็นองคอ์ ุปถมั ภแ์ ละส่งเสริมพระพทุ ธศาสนา
3. มกี ารแบง่ ชนช้นั ทางสังคม ไดแ้ ก่ ชนช้นั ปกครอง และชนช้นั ใตป้ กครอง โดย
พระสงฆเ์ ป็นผปู้ ลกู ฝังความเชื่อใหแ้ ก่ประชาชนใชภ้ าษาบาลปี ระกาศคาสอนจาก
พระไตรปิ ฎก และใชภ้ าษาสนั สกฤต ในคาประกอบพิธีกรรม
การนับถือศาสนา
ประชาชนของอาณาจกั รทวารวดีส่วนใหญใ่ หก้ ารนบั ถอื พระพทุ ธศาสนานิกายเถรวาท
ศิลปะสมัยทวารดี
ศลิ ปะสมยั ทวารวดีพบอยูใ่ นภาคกลางของประเทศไทย ไดแ้ ก่ นครปฐม สุพรรณบรุ ี
ลพบุรี สิงหบ์ ุรี ราชบุรี ข้นึ ไปจนถงึ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เช่น ท่ี
เมอื งฟ้าแดดสงยาง จงั หวดั กาฬสินธุ์ ไดค้ น้ พบใบเสมา ศลิ าสลกั เป็นพระพุทธรูป พุทธ
ประวตั ิ และชาดกตา่ ง ๆ
53
ใบเสมาสลกั เร่ืองพุทธประวตั ิทเี่ มืองโบราณฟ้าแดดสงยาง จ.กาฬสินธ์ุ
ท่ีมาภาพ คมู่ อื การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนประวตั ิศาสตร์ กรมวชิ าการ
กระทรวงศึกษาธิการ
ผลงานดา้ นศลิ ปะสมยั ทวารวดี เกิดจากการสร้างสรรคท์ างศลิ ปะทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั
พระพทุ ธศาสนา โดยรบั แบบพุทธศลิ ป์ ของอินเดียมาผสมผสานกบั คตคิ วามเช่ือใน
54
ทอ้ งถ่ินแลว้ ไดพ้ ฒั นามาเป็นลกั ษณะเฉพาะของตนเอง เป็นศิลปะสมยั ทวารดที ่ีโดดเดน่
และยงั คงเหลอื ให้เหน็
มหี ลายดา้ น ดงั น้ี
ด้านสถาปัตยกรรม
ผลงานดา้ นสถาปัตยกรรมสมยั ทวารวดีมกั ใชก้ ารกอ่ อฐิ ถอื ปูน มีลายปนู ป้ันประกอบไม่
นิยมกอ่ อิฐดว้ ยศิลาแลง รูปสัณฐานของเจดีย์ ฐานทาเป็นรูปสี่เหลีย่ ม องคส์ ถูปทาเป็นรูป
ระฆงั คว่าและมียอดเต้ีย เชน่ พระปฐมเจดียอ์ งคเ์ ดมิ หรือเจดยี ว์ ดั จลุ ปะโทน จงั หวดั
นครปฐมและ บางแบบทาเป็นรูปส่ีเหลี่ยมวางซอ้ นกนั ข้นึ ไปเป็นช้นั แตล่ ะช้นั เจาะเป็น
ซุ้มสาหรับไวเ้ ป็นท่ีประดิษฐานพระพทุ ธรูป เช่น เจดียว์ ดั กกู่ ุด จงั หวดั ลาพนู
พระปฐมเจดีย์ จังหวดั นครปฐม
55
เจดยี ์วดั กดุ กู่
ท่มี า
ด้านประติมากรรม
ผลงานดา้ นประติมากรรมสมยั ทวารวดีทสี่ าคญั ไดแ้ ก่ การสร้างพระพุทธรูปทาดว้ ยศิลา
ลกั ษณะพระพกั ตร์มีขมวดพระเกศาใหญ่บางคร้งั มรี ัศมีเป็นรูปดอกบวั ตมู อยู่เหนือพระ
เกตมุ าลา พระพกั ตร์แบน พระขนงสลกั เป็นเส้นนูนโคง้ ติดต่อเป็นรูปปีกกา พระเนตร
โปน พระนาสิกแบน พระโอษฐ์หนา จวี รบางตดิ กบั พระองค์ พระบาทใหญ่ มกั นิยม
ทาเป็นพระพทุ ธรูปปางปฐมเทศนาประทบั นงั่ หอ้ ยพระบาท เชน่ พระพทุ ธรูปสมยั
ทวารวดที วี่ ดั หนา้ พระเมรุ จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา และทถ่ี ้าฤๅษเี ขางู จงั หวดั
ราชบุรี นอกจากน้นั ยงั มีศลิ าสลกั รูปกงลอ้ พระธรรมจกั รกบั กวางหมอบ รูปเหลา่ น้ี
หมายถึง พระพทุ ธองคป์ างประทานปฐมเทศนา ณ ป่ าอิสิปตน
มฤคทายวนั เมอื งพาราณสี และพบประติมากรรมดนิ เผาและรูปป้ันหลายชิ้นทีม่ ีความ
งดงาม เชน่ ภาพปูนป้ันสตรีเล่นดนตรี
56
พระพุทธรูปศิลาขาว ประทบั นง่ั ห้อยพระบาทศลิ ปะทราวดี พทุ ธศตวรรษที่ 11-16
บางแสดงเทศนา แสดงอย่ทู พี่ พิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา
ท่ีมาภาพ ประวตั ิศาสตร์เชิงวเิ คราะห์ กรมวชิ าการ. หนา้ 138.
57
อาณาจกั รละโว้
เมอื งละโว้ เม่ือแรกกอ่ ต้งั น้นั ปรากฏขอ้ ความในพงศาวดารเหนือกลา่ วว่า พระ
พทุ ธศกั ราช 1002 ปี จุลศกั ราช 10 ปี ระกาสัมฤทธิศก จงึ พระยากาฬวรรณดิศราชบตุ ร
ของพระยากากะพตั รไดเ้ สวยราชสมบตั ิ เมอื งตกั กะศลิ ามหานคร จงึ ใหพ้ ราหมณท์ ้งั หลาย
ยกพลไปสร้างเมอื งละโว้
จากขอ้ มลู ทีป่ รากฏอยู่ในพงศาวดารเหนือ พอจะสรุปไดว้ า่ เมืองละโวม้ มี าต้งั แต่ พ.ศ.
1002 แลว้ และจากการขดุ คน้ ทางโบราณคดี ปรากฏวา่ ต้งั แตอ่ าเภอชยั บาดาล ถงึ อาเภอ
พฒั นานคิ ม จงั หวดั ลพบรุ ี ลว้ นแตม่ หี ลกั ฐานเก่ยี วกบั มนษุ ยใ์ นอดตี ท่ยี าวนานมาแลว้ จาก
ชุมชนขนาดยอ่ มขยายเป็นเมืองเล็กๆ จนกระทง่ั รวมตวั กนั เป็นอาณาจกั รหรือเขตปกครอง
ทเ่ี ป็นส่วนย่อยของประเทศ ราวพุทธศตวรรษที่ 10 – 12 ละโวก้ ลายเป็นอาณาจกั ร
หรือเมอื งขนาดใหญแ่ ลว้ และในชว่ งพุทธศตวรรษท่ี 13 – 14 อาณาจกั รละโวม้ คี วาม
รุ่งเรืองอยา่ งมาก โดยเฉพาะดา้ นพระพทุ ธศาสนา
อาณาจกั รละโว้ มีความเจริญมากข้นึ เรื่อยๆ จนมอี ทิ ธิพลครอบคลุมดินแดนภาคกลาง
ตอนบน ต้งั แต่จงั หวดั นครสวรรคเ์ รื่อยมาจนถึงภาคตะวนั ออกและภาค
ตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศไทยบางส่วน ศนู ยก์ ลางของอาณาจกั รละโวใ้ นตอนตน้
สันนิษฐานว่าอยทู่ ี่เมืองลพบุรี และประมาณพุทธศตวรรษท่ี 17 ไดย้ า้ ยมาอยู่ท่เี มอื งอโยธ
ยา ภายหลงั ต่อมาเมื่อใน พ.ศ.1893 ไดม้ กี ารสถาปนาอาณาจกั รอยุธยาข้ึนน้นั ให้ละโว้
กลายเป็นส่วนหน่ึงของอาณาจกั รอยุธยา
58
พระปรางค์สามยอด จังหวดั ลพบุรี
แสดงให้เหน็ อทิ ธิพลของศาสนาฮนิ ดูและพระพทุ ธศาสนา
ท่มี า
หลงั จากพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นตน้ มา อาณาจกั รขอมไดข้ ยายอิทธิพลเขา้ มายงั
บริเวณน้ี ทาให้ความสาคญั ของอาณาจกั รละโวล้ ดลง อทิ ธิพลศลิ ปวฒั นธรรมของขอม
ไดแ้ พร่เขา้ มาในดนิ แดนประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ เช่น ปราสาท
พนมรุง้ จงั หวดั บรุ ีรมั ย์ ปราสาทหินพมิ าย จงั หวดั นครราชสีมา และเลยมาทางตะวนั ตก
ไดแ้ ก่ ปราสาทเมอื งสิงห์ จงั หวดั กาญจนบรุ ี และในช่วงเวลาดงั กล่าวละโวเ้ ป็น
ศนู ยก์ ลางท่ีสาคญั ทางภาคกลาง จงึ ไดร้ ับอิทธิพลศิลปะขอม โดยนามาผสมผสานรูปแบบ
ใหเ้ ป็นลกั ษณะเฉพาะของตนเอง ไดแ้ ก่ พระปรางคส์ ามยอด และเทวสถานปรางค์
แขก จงั หวดั ลพบรุ ี
เทวสถานปรางค์แขก จังหวัดลพบรุ ี
ท่มี า
อาณาจักรอโยธยา
หลกั ฐานพงศาวดารเหนือกลา่ ว อาณาจกั รอโยธยาไดพ้ ฒั นาข้นึ มาจากศูนยก์ ลาง การ
ปกครองเดิม ไดแ้ ก่ เมอื งละโว้ เมอื งอโยธยา ต้งั อยบู่ ริเวณปากแมน่ ้าเบ้ยี ทางฝั่ง
ตะวนั ออกของตวั เมืองพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบนั การยา้ ยศูนยก์ ลางการปกครองจาก
59
เมอื งละโวม้ ายงั เมือง อโยธยา น้นั เป็นช่วงเวลาที่มีการขยายตวั ทางดา้ นการคา้ ทางทะเล
โดยเฉพาะจีน เพราะอาณาจกั ร
อโยธยาอยู่ใกลท้ ะเลกวา่ ละโวแ้ ละอยใู่ นบริเวณชุมทางของแมน่ ้า 3 สาย คือ แมน่ ้า
เจา้ พระยา แม่น้าป่ าสกั และแม่น้าลพบรุ ี จงึ เป็นชมุ ทางสินคา้ ทส่ี าคญั ท้งั จากดนิ แดน
ภายในและดินแดนภายนอก
อาณาจกั รอโยธยามคี วามเจริญรุ่งเรืองจากการคา้ ขาย เนื่องจากเป็นแหล่งชุมชนทีม่ ี
ทางออกสู่ทะเลไดส้ ะดวกประกอบกบั มชี นหลายกล่มุ หลายเผ่าพนั ธุ์ จากถิ่นต่างๆ และมี
กษตั ริยจ์ ากหลายราชวงศผ์ ลดั เปลยี่ นกนั ปกครอง วฒั นธรรมหลายอยา่ งไดร้ ับการสืบทอด
มาจากเมืองละโว้ ประชาชนของอาณาจกั รอโยธยา ส่วนใหญน่ บั ถือพุทธศาสนาท้งั
นิกายเถรวาท และมหายาน
(อาจริยวาท) อาณาจกั รอโยธยามคี วามสมั พนั ธใ์ กลช้ ิดทางการเมือง และทางเครือญาตกิ ับ
เมืองละโว้ และเมืองสุพรรณภูมิ ในตอนปลายพุทธศตวรรษท่ี 19 ดนิ แดนแถบน้ีมจี งึ
กาลงั ไพร่พลมากข้นึ สามารถรวมตวั กนั กอ่ ต้งั เป็นอาณาจกั รอยธุ ยาในปี พ.ศ.1873
อาณาจักรสุพรรณภมู ิ
อาณาจกั รสุพรรณภมู ิ คอื ดนิ แดนฟากตะวนั ตกของแมน่ ้าเจา้ พระยา มเี มืองนคร
ชยั ศรี เป็นศนู ยก์ ลางในสมยั ทวารวดี ตอ่ มาเม่ือประมาณพทุ ธศตวรรษที่ 18 ไดม้ กี าร
เปล่ียนแปลงโยกยา้ ยศนู ยก์ ลางการปกครองจากเมอื งนครชยั ศรีมาต้งั อยู่ท่เี มืองสุพรรณภมู ิ
หรือสุพรรณบรุ ี เน่ืองจากเมืองสุพรรณภมู ิมีสภาพทเี่ หมาะสมกวา่
60
ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวดั กาญจนบรุ ี
ศิลปะการก่อสร้างสมยั ลพบรุ ี อิทธพิ ลพระพุทธศาสนา
นิกายมหายานในอาณาจกั รสุพรรณภูมิ
ท่ีมาภาพ
พฒั นาการของการยา้ ยศูนยก์ ลางจากเมืองนครชยั ศรีมาอยู่ทเี่ มอื งสุพรรณภมู ิ เพราะลาน้า
ทเี่ ป็นเส้นทางคมนาคมของเมอื งนครชยั ศรีต้ืนเขนิ ทาใหเ้ รือสินคา้ เขา้ ถึงไดย้ าก ส่วน
เมอื งสุพรรณภูมิต้งั อยู่ริมแม่น้าสุพรรณบุรี ซ่ึงเป็นแม่น้าใหญส่ ามารถติดต่อกบั อา่ วไทย
ไดส้ ะดวก เอกสารจีนเรียกดนิ แดนของอาณาจกั รสุพรรณภมู ิว่า “เจนลฟี ู” สุพรรณภูมิ
เป็นชุมชนท่ีเจริญเตบิ โตจากการคา้ ขายกบั ชาวจนี โดยพ่อคา้ ชาวจนี มาต้งั หลกั แหลง่ ที่
ไทย ในพทุ ธศตวรรษท่ี 19 อาณาจกั รสุพรรณภูมิ
มคี วามรุ่งเรืองดา้ นเศรษฐกิจอยา่ งมาก บรรดาเมืองสาคญั ของอาณาจกั รสุพรรณภมู ิ เช่น
ราชบุรี เพชรบรุ ี มีแมน่ ้าไหลผา่ นเมืองสามารถใชเ้ ป็นเสน้ ทางตดิ ต่อกบั ดนิ แดนภายใน
และตดิ ต่อทางทะเลไดส้ ะดวก โดยเฉพาะเมืองเพชรบรุ ี เป็นเมอื งท่าทีส่ าคญั ที่สามารถคมุ
เสน้ ทางติดตอ่ กบั อาณาจกั รตามพรลงิ ค์ (นครศรีธรรมราช)
อาณาจกั รสุพรรณภมู ิเติบโตระยะเวลาใกลเ้ คยี งกบั อาณาจกั รอโยธยามกี ษตั ริยป์ กครอง
เช่นเดยี วกบั อาณาจกั รอโยธยา ประชาชนในอาณาจกั รสุพรรณภมู ิใหก้ ารนบั ถือ
พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเป็นหลกั แต่จากการท่ีสุพรรณภูมิมีการตดิ ต่ออย่างใกลช้ ิด
กบั เมอื งละโว้ (ลพบรุ ี) ซ่ึงมคี วามสัมพนั ธท์ างเครือญาตกิ บั กษตั ริยข์ อมสนั นิษฐานไดว้ า่
อาณาจกั รสุพรรณภมู ิมีทต่ี ้งั อยูค่ นละฟากแม่น้ากบั เมืองละโว้ อาจรบั อิทธิพลทาง
ศลิ ปกรรมและพระพุทธศาสนานิกายมหายานไวด้ ว้ ย โดยสังเกตไดว้ า่ อิทธิพลของนกิ าย
มหายานไดป้ รากฏในหลายทอ้ งถนิ่ ของอาณาจกั รสุพรรณภมู ิ เช่น การสรา้ งปราสาทเมอื ง
สิงหท์ จี่ งั หวดั กาญจนบุรีและการสร้างพระปรางคศ์ ลิ ปะสมยั ลพบรุ ี ที่วดั มหาธาตุ
จงั หวดั ราชบรุ ี
61
วดั มหาธาตุ จงั หวัดราชบุรี