แฟ้มจริยธรรม OR กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยห้องผ่าตัด กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล โรงพยาบาลชลบุรี 4
INDEX 1. ประกาศนโยบาย CHONBURI Ethics Model 2. คำประกาศสิทธิผู้ป่วยและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วย 3. แนวทางการพิทักษ์สิทธิของผู้ป่วย 4. แผนจริยธรรมประจำหน่วยงาน 4.1 แผนปฏิบัติการ NECW ประจำปี 2566 4.2 แผนติดตามงาน NECW ประจำปี 2566 4.3แผนนิเทศสำหรับ NECW 5. อัตลักษณ์ CHONBURI Ethics Model 5.1 แผ่นภาพ CHONBURI Ethics Model 5.2 คำย่อ อัตลักษณ์ CHONBURI Ethics Model 5.3เกณฑ์การคัดเลือกพยาบาลดีเด่นตามอัตลักษณ์ CHONBURI Ethics Model 5.4 พฤติกรรมทางการพยาบาลตามหลัก CHONBURI Ethics Models 6. แผ่นภาพ 6 หลัก และ 4 แนวคิด ด้านจริยธรรมทางการพยาบาล 7. บัญชีความเสี่ยงด้านจริยธรรมทางการพยาบาลของหน่วยงาน 8. CQI ด้านจริยธรรมทางการพยาบาล (โครงร่าง หรือ รายงานการนำเสนอ) 9. เอกสารบันทึกกิจกรรมด้านจริยธรรมทางการพยาบาล เช่น Ethics round, Ethics conference 10. ภาคผนวก (สืบค้นเพิ่มเติมได้ที่ https://www.tnmc.or.th/all-articles-16 ) พิมพ์อย่างละ 1 ฉบับ 10.1 ข้อบังคับสภา เรื่องการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพ 10.2 จรรยาบรรณวิชาชีพการพยาบาล (9 ข้อ) 10.3 พระราชบัญญัติวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ฉบับแก้ไข ปี 2540 10.4 ประกาศชั่วโมงการทำงานของพยาบาลเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย 10.5 ประกาศห้ามมิให้ยาหรือสารละลายทางหลอดเลือดดำ 10.6 ประกาศห้ามฉีดยา Diclofenac 10.7 MOPH NUSRES 10.8 นโยบายการใช้สื่อสำหรับบุคลากรกลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลชลบุรี 10.9 นโยบายการแต่งกายสำหรับบุคลากรกลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลชลบุรี
1. ประกาศนโยบาย CHONBURI Ethics Model
2. คำประกาศสิทธิผู้ป่วยและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วย
3. แนวทางการพิทักษ์สิทธิของผู้ป่วย สิทธิข้อที่ 1 ผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะได้รับการรักษาพยาบาลและการดูแลด้าน สุขภาพตามมาตรฐานวิชาชีพจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติตามที่ บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แนวปฏิบัติตามสิทธิผู้ป่วย ข้อที่ 1 1. ให้การพยาบาลที่ครอบคลุมกาย จิต สังคม ตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพการพยาบาล และการผดุงครรภ์ 2. ให้การพยาบาลที่มีคุณภาพตามมาตรฐานวิชาชีพ โดยครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ การ ป้องกันและควบคุมโรค การรักษาพยาบาล และการพื้นฟูสภาพ 3. ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสิทธิค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิที่พึงได้รับ และให้ความช่วยเหลือตาม ความเหมาะสมในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องสิทธิค่ารักษาพยาบาล 4. ดูแลผู้ป่วยอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าผู้ป่วยจะนับถือ ศาสนา มีความเชื่อ หรือวัฒนธรรมใด ไม่คำนึงถึงอายุ เพศ ฐานะ หรือสถานะทางสังคม 5. ไม่ละเลย ละทิ้ง หรือแสดงความรังเกียจทั้งด้วยสีหน้า ท่าทาง และกิริยา วาจา ต่อผู้ป่วยที่ เป็นโรคติดต่อหรือโรคที่สังคมไม่ยอมรับ เช่น ผู้ป่วยเอดส์ เป็นต้น 6. ไม่ละเลย หรือละทิ้งการดูแลผู้ป่วยที่หมดหวังจากการรักษา รวมทั้งผู้ป่วยที่มีความคิด ความ เชื่อ หรือเจตคติต่างจากพยาบาลผู้ดูแล สิทธิข้อที่ 2 ผู้ป่วยที่ขอรับบริการด้านสุขภาพ มีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลที่เป็นจริงและ เพียงพอเกี่ยวกับการเจ็บป่วย การตรวจ การรักษา ผลดีและผลเสียจากการตรวจ การรักษา จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ ด้วยภาษาที่ผู้ป่วยสามารถเข้าใจได้ง่าย เพื่อให้ผู้ป่วย สามารถเลือกตัดสินใจในการยินยอม หรือไม่ยินยอมให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพปฏิบัติต่อ ตน เว้นแต่ในกรณีฉุกเฉิน อันจำเป็นเร่งด่วนและเป็นอันตรายต่อชีวิต แนวปฏิบัติตามสิทธิผู้ป่วย ข้อที่ 2 1. ให้ข้อมูลด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายเกี่ยวกับการเจ็บป่วย การรักษา การพยาบาล การทำหัตถการ และยาที่ได้รับ แก่ผู้ป่วยและครอบครัวในขอบเขตของวิชาชีพ
2. ซักถามผู้ป่วยถึงความเข้าใจในข้อมูลที่ได้รับจากผู้ประกอบวิชาชีพ 3. ให้โอกาสผู้ป่วยแสดงความเห็นและเข้าร่วมปรึกษากับทีมสุขภาพก่อนที่จะตัดสินใจเลือก วิธีการรักษา 4. ให้โอกาสผู้ป่วยเลือกรูปแบบหรือวิธีการพยาบาลโดยอิสระ ปราศจากการแทรกแซงจากผู้ ประกอบวิชาชีพ 5. เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยซักถามก่อนให้ผู้ป่วยลงนามยินยอมรับการรักษาหรือการทำหัตถการ 6. รับฟังปัญหา ความคิดเห็น ความต้องการ และตอบข้อซักถามของผู้ป่วยด้วยความเต็มใจ 7. อธิบายให้ผู้ป่วยทราบทุกครั้งก่อนให้การรักษาพยาบาล 8. ให้การพยาบาลแก่ผู้ป่วยภายหลังผู้ป่วยแสดงความยินยอม สิทธิข้อที่ 3 ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต มีสิทธิได้รับการช่วยเหลือรีบด่วนจากผู้ ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยทันทีตามความจำเป็นแก่กรณี โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ป่วยจะร้อง ขอความช่วยเหลือหรือไม่ แนวปฏิบัติตามสิทธิผู้ป่วย ข้อที่ 3 1. ให้การช่วยเหลือทันทีที่พบว่าผู้ป่วยอยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต ไม่ว่าผู้ป่วยจะร้องขอ หรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้การช่วยเหลือต้องคำนึงถึงความจำเป็นที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยอย่างแท้จริง 2. จัดเตรียมอุปกรณ์การช่วยเหลือชีวิตไว้ในหน่วยงาน ให้เพียงพอและพร้อมใช้อยู่เสมอ 3. พัฒนาทักษะในการช่วยเหลือผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต และทักษะการช่วยฟื้น คืนชีพอย่างสม่ำเสมอ 4. ทบทวนปรับปรุงหรือมีส่วนร่วมในการทบทวนปรับปรุงขั้นตอนวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วยที่อยู่ใน ภาวะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตอย่างสม่ำเสมอ สำหรับใช้เป็นแนวทางในการช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ สิทธิข้อที่ 4 ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับทราบชื่อ สกุล และวิชาชีพของผู้ให้การรักษาพยาบาลแก่ตน แนวปฏิบัติตามสิทธิผู้ป่วย ข้อที่ 4 1. ติดบัตร แสดงป้ายชื่อ สกุล และตำแหน่งให้มองเห็นชัดเจนและอ่านง่าย 2. แนะนำตนเองแก่ผู้ป่วยและญาติในการพบกันครั้งแรก
สิทธิข้อที่ 5 ผู้ป่วยมีสิทธิขอความเห็นจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพอื่นที่มิได้เป็นผู้ ให้บริการแก่ตน และมีสิทธิในการขอเปลี่ยนผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพหรือเปลี่ยน สถานพยาบาลได้ ทั้งนี้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสิทธิการรักษาของผู้ป่วยที่มีอยู่ แนวปฏิบัติตามสิทธิผู้ป่วย ข้อที่ 5 1. ประสานงานกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เมื่อผู้ป่วยและครอบครัวแจ้งความประสงค์ที่จะขอความ คิดเห็นจากผู้ประกอบวิชาชีพอื่นที่ไม่ได้เป็นผู้ทำการรักษาผู้ป่วยขณะนั้น 2. ประสานกับแพทย์เจ้าของไข้ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัว ใน การขอเปลี่ยนผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพที่ให้บริการและสถานพยาบาล 3. อำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยและครอบครัวในการขอความคิดเห็นจากผู้ประกอบวิชาชีพอื่น รวมทั้งการขอเปลี่ยนผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพที่ให้บริการและสถานบริการ 4. กรณีที่ไม่สามารถดำเนินการตามที่ผู้ป่วยต้องการได้ ต้องให้ข้อมูลและอธิบายให้ผู้ป่วยและ ครอบครัวเข้าใจเหตุผลและความจำเป็น สิทธิข้อที่ 6 ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับการปกปิดข้อมูลของตนเอง เว้นแต่ผู้ป่วยจะให้ความยินยอม หรือเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ เพื่อประโยชน์โดยตรงของ ผู้ป่วยหรือตามกฎหมาย แนวปฏิบัติตามสิทธิผู้ป่วย ข้อที่ 6 1. ไม่นำข้อมูลของผู้ป่วยไปเปิดเผยให้กับผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลผู้ป่วย เว้นแต่จะ ได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย หรือเมื่อต้องปฏิบัติตามกฎหมาย 2. ในขณะปฏิบัติงาน ระมัดระวังการพูดถึงข้อมูลที่เป็นความลับของผู้ป่วย เพื่อไม่ให้ผู้ที่ไม่ เกี่ยวข้องได้รับทราบ 3. ไม่นำเรื่องของผู้ป่วยมาถกเถียงหรือวิจารณ์ให้ผู้อื่นได้ยิน โดยเฉพาะในที่สาธารณะ 4. ให้คำปรึกษาหรือพูดคุยกับผู้ป่วยเกี่ยวกับข้อมูลที่เป็นความลับในสถานที่ที่เป็นส่วนตัว 5. ไม่เขียนชื่อผู้ป่วย และชื่อโรคของผู้ป่วยไว้ในที่เปิดเผย 6. อภิปรายข้อมูลผู้ป่วยเฉพาะผู้ร่วมทีมสุขภาพและเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล เท่านั้น 7. ไม่ให้ข้อมูลผู้ป่วยทางโทรศัพท์แก่ผู้อื่น เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย
8. จัดเก็บรายงาน หรือแฟ้มประวัติผู้ป่วยไว้เป็นสัดส่วน ไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าถึงข้อมูลได้ 9. ไม่สืบค้นข้อมูลของผู้ป่วยที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของตนเอง สิทธิข้อที่ 7 ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับทราบข้อมูลอย่างครบถ้วนในการตัดสินใจเข้าร่วมหรือถอนตัว จากการเป็นผู้เข้าร่วมหรือผู้ถูกทดลองในการทำวิจัยของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ แนวปฏิบัติตามสิทธิผู้ป่วย ข้อที่ 7 1. ให้ข้อมูลหรือประสานกับผู้วิจัยเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการวิจัยอย่างเพียงพอแก่ผู้ป่วย ก่อนให้ ผู้ป่วยตัดสินใจเข้าร่วมหรือปฏิเสธการเข้าร่วมวิจัยหรือการทดลอง 2. ประเมินความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้รับจากผู้วิจัย 3. ชี้แจงให้ผู้ป่วยทราบว่าผู้ป่วยมีสิทธิที่จะตอบรับหรือปฏิเสธการเข้าร่วมการวิจัย หรือการ ทดลองโดยอิสระ 4. ชี้แจงให้ผู้ป่วยทราบว่าแม้ผู้ป่วยปฏิเสธการเข้าร่วมการวิจัย หรือการทดลอง หรือถอนตัว ภายหลังการเข้าร่วมวิจัย ผู้ป่วยยังคงได้รับการดูแล และการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพเช่นเดียวกับผู้ป่วยราย อื่น 5. มีแนวทางการช่วยเหลือ และดูแล กรณีเกิดผลเสีย หรืออันตรายต่อผู้ป่วยเนื่องจากการวิจัย หรือการทดลอง
สิทธิข้อที่ 8 ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเฉพาะของตนที่ปรากฏ ในเวชระเบียนเมื่อร้องขอตามขั้นตอนของสถานพยาบาลนั้น ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวต้องไม่เป็นการ ละเมิดสิทธิหรือข้อมูลข่าวสารบุคคลของผู้อื่น แนวปฏิบัติตามสิทธิผู้ป่วย ข้อที่ 8 1. ดำเนินการให้ผู้ป่วยได้รับความสะดวกในการขอข้อมูลการรักษาพยาบาลในเวชระเบียนตาม ความประสงค์ของผู้ป่วยตามขอบเขตที่กำหนด 2. ขอหลักฐานการยินยอมจากผู้ป่วย กรณีผู้อื่นยื่นขอสำเนาข้อมูลการรักษาพยาบาลในเวช ระเบียนแทนผู้ป่วย 3. ขอหลักฐานแสดงสิทธิในการเป็นผู้ตัดสินใจแทนผู้ป่วยอย่างชอบธรรม กรณีครอบครัวของ ผู้ป่วยที่เสียชีวิตขอสำเนาข้อมูลการรักษาพยาบาลในเวชระเบียนแทนผู้ป่วย 4. ประสานแพทย์ผู้รักษาในการให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับการวินิจฉัย การรักษา การดำเนินของโรค และข้อมูลอื่นๆ ที่อยู่ในขอบเขตวิชาชีพเวชกรรรม 5. ให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับการเจ็บป่วย การวินิจฉัย การรักษา และการ พยาบาลที่ปรากฏในเวชระเบียนตามขอบเขตวิชาชีพการพยาบาล สิทธิข้อที่ 9 บิดา มารดา หรือผู้แทนโดยชอบธรรม อาจใช้สิทธิแทนผู้ป่วยที่เป็นเด็กอายุยังไม่ เกินสิบแปดปีบริบูรณ์ ผู้บกพร่องทางกายหรือจิต ซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิด้วยตัวเองได้ แนวปฏิบัติตามสิทธิผู้ป่วย ข้อที่ 9 1. เปิดโอกาสให้บิดา มารดา หรือผู้ปกครองตามกฏหมาย มีส่วนร่วมในการวางแผนหรือการ ตัดสินใจ เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลให้กับผู้ป่วยที่มีอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ 2. ในกรณีที่เด็กมีศักยภาพในการรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับโรค ความเจ็บป่วย และการ รักษาพยาบาล พยาบาลควรทำความเข้าใจกับบิดา มารดา ผู้ปกครอง ในสิทธิของเด็กที่จะรับรู้เรื่องราวของ ตนเอง และการมีส่วนในการวางแผน การตัดสินใจในการรับการรักษาพยาบาลร่วมกับบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้แทนโดยชอบธรรม 3. เปิดโอกาสให้บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้แทนโดยชอบธรรม มีส่วนร่วมในการวางแผน และ การตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาทาง จิต
แนวทางการเคารพเอกสิทธิ์ของผู้ป่วย การเคารพเอกสิทธิ์ (respect for autonomy) หมายถึง การยอมรับความเป็นอิสระของผู้ป่วย สามารถ ตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของตนเองได้ ภายใต้คุณค่าและความเชื่อของผู้ป่วยที่มีสติสัมปชัญญะ มี ความสามารถรับรู้และคิดพิจารณาได้ด้วยตนเอง ขั้นตอนในการเคารพเอกสิทธิ์ของผู้ป่วย พยาบาลควรปฏิบัติตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1. การประเมินความสามารถในการตัดสินใจของผู้ป่วย 1.1 ประเมินปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจ คือ อายุระดับการศึกษา ความเชื่อทาง ศาสนา ทัศนคติต่อการเจ็บป่วย สภาพอารมณ์และจิตใจในขณะนั้น 1.2 ประเมินความสามารถของผู้ป่วยในการเข้าใจข้อมูลที่ได้รับ ขณะสนทนา หรือ สังเกตการโต้ตอบของผู้ป่วย 1.3 ประเมินความสามารถของผู้ป่วยในการนำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจ 2. การให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วย 2.1 ให้ข้อมูลเมื่อผู้ป่วยมีความพร้อมที่จะรับฟัง โดยการสื่อสารด้วยท่าทีที่สุภาพ อ่อนโยน และใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายเหมาะสม 2.2 ให้ข้อมูลตามที่ผู้ป่วยต้องการ ภายใต้ขอบเขตหน้าที่ของพยาบาล และเป็น ข้อมูลที่ถูกต้อง เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน 2.3 ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงนามในแบบแสดงความยินยอม ก่อนการตัดสินใจ เช่น การตรวจวินิจฉัยโดยการส่องกล้อง การฉีดสีเข้าหลอดเลือด และการรักษาโดยการผ่าตัด เป็นต้น 3. การประเมินความเข้าใจภาพหลังการได้รับข้อมูล 3.1 สอบถามความเข้าใจของผู้ป่วยหลังการให้ข้อมูล แช่น การให้ผู้ป่วยสรุป คำอธิบาย คำแนะนำที่ได้รับจากพยาบาล หรือให้ผู้ป่วยบอกเหตุผลในการตรวจวินิจฉัย การรักษา และ การพยาบาลตามความเข้าใจของผู้ป่วย 3.2 ให้ผู้ป่วยซักถามข้อสงสัย พยาบาลควรสอบถามความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับ ความจำเป็น ผลดีและผลเสียของการตรวจวินิจฉัย การรักษาและการพยาบาลนั้น ๆ อีกครั้ง ก่อนที่ ผู้ป่วยจะตัดสินใจลงนาม
4. การเคารพการตัดสินใจและการกระทำของผู้ป่วย พยาบาลต้องให้การยอมรับและ เคารพการตัดสินใจ และการกระทำของผู้ป่วยตามที่ได้ตัดสินใจภายหลังได้รับข้อมูลที่เพียงพอ 4.1 ให้ผู้ป่วยได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับความเจ็บป่วย และมีส่วนร่วมในการวาง แผนการตรวจวินิจฉัย การรักษาและการพยาบาล 4.2 ยินยอมให้ผู้ป่วยกระทำตามที่ตัดสินใจภายหลังจากผู้ป่วยเข้าใจข้อมูลที่ได้รับแล้ว 4.3 เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยปฏิบัติในสิ่งที่ผู้ป่วยเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อการรักษาของตน 4.4 ให้การดูแลผู้ป่วยตามมาตรฐานวิชาชีพด้วยความเอาใจใส่ การเคารพเอกสิทธิ์ของผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง เมื่อพยาบาลประเมินพบว่าผู้ป่วยไม่สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการักษาพยาบาลของตนเองได้ จะต้องประสานกับผู้ที่สามารถตัดสินใจแทนผู้ป่วย ซึ่งอาจจะเป็น บิดา มารดา บุตร สามี ภรรยา หรือ บุคคลอื่นๆ ในครอบครัว ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงหลักกฎหมายว่าบุคคลใดมีสิทธิตามกฎหมายในการตัดสินใจ แทนผู้ป่วย เช่น เด็กที่กำพร้าพ่อแม่ ศาลอาจสั่งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดในครอบครัวที่สามารถตัดสินใจ แทนผู้ป่วยได้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถตัดสินใจได้เอง เนื่องจากความเจ็บป่วย พยาบาลควรทำหน้าที่ ประสานกับบุคคลในครอบครัว เพื่อให้การตัดสินใจแทนผู้ป่วย แนวทางการปกปิดความลับของผู้ป่วย 1. กำหนดกลุ่มผู้ป่วยที่ควรปกปิดความลับ เช่น ผู้ป่วยคดี ผู้ป่วยโรคติดต่อ ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ถูกข่มขืน ผู้ป่วยทำแท้ง ผู้ป่วยจิตเวช เป็นต้น 2. การปกปิดความลับผู้ป่วยในระหว่างการปฏิบัติงาน 2.1 ชี้แจงแก่ผู้ป่วยและครอบครัวให้ทราบถึงความจำเป็นในการให้ข้อมูลแก่ทีมสุขภาพ เพื่อ ประโยชน์ต่อการรักษาพยาบาล 2.2 เปิดเผยข้อมูล ชื่อ สกุลของผู้ป่วยต่อทีมสุขภาพที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้ป่วยเท่านั้น 2.3ขณะรับ ส่งเวร หรือประชุมปรึกษาทางการพยาบาลเกี่ยวกับข้อมูลที่เป็นความลับของผู้ป่วย จะต้องระมัดระวังไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องได้ยิน 2.4 ไม่นำข้อมูลของผู้ป่วยมาพูดคุยสนทนาทั้งในขณะทำงาน หรือนอกเวลาการทำงาน ที่ไม่ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วย
2.5ไม่ให้ข้อมูลผู้ป่วยแก่ผู้อื่นทางโทรศัพท์ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้ป่วย 2.6 ไม่รายงานอาการ หรือนำเสนอภาพถ่ายให้แพทย์ทำการวินิจฉัย หรือสั่งการรักษาทางสื่อ ออนไลน์ต่างๆ 2.7 หอผู้ป่วยต้องไม่แสดงชื่อ สกุล และการวินิจฉัยโรคของผู้ป่วยไว้ในที่เปิดเผยต่อสาธารณะ 2.8 ในการบันทึกทางการพยาบาล หากมีข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย หรืออันตรายต่อ ผู้ป่วย ต้องแยกเก็บไว้ที่เฉพาะเพื่อป้องกันผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าถึงข้อมูลของผู้ป่วยได้ 3. การปกปิดความลับกรณีนำเสนอข้อมูลผู้ป่วยต่อสาธารณะ 3.1 การนำข้อมูลหรือภาพของผู้ป่วยที่รู้สึกตัว จะต้องขออนุญาตจากผู้ป่วย โดยต้องปกปิดชื่อ สกุล ใบหน้า หรือนัยน์ตา รวมทั้งไม่นำเสนอข้อมูลในลักษณะที่สามารถสืบค้นไปถึงชื่อ สกุล ของผู้ป่วยได้ใน ภายหลัง 3.2 การนำข้อมูลหรือภาพของผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว จะต้องขออนุญาตจากบุคคลที่เป็นผู้แทน โดย ชอบธรรมของผู้ป่วย โดยต้องปกติชื่อ สกุล ใบหน้า หรือนัยน์ตา 3.3 การให้ข้อมูลหรือภาพของผู้ป่วยแก่สื่อมวลชน จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย หรือ ผู้แทนโดยชอบธรรมเท่านั้น 3.4 กรณีมีนักวิจัยต้องการพบผู้ป่วยเพื่อขอความร่วมมือในการเป็นกลุ่มตัวอย่าง พยาบาล จะต้องขออนุญาตผู้ป่วย หรือผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนที่จะให้นักวิจัยเข้าพบผู้ป่วยได้ 3.5 การตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่นำข้อมูลของผู้ป่วยไปใช้ จะต้องไม่นำเสนอ ในลักษณะที่สามารถสืบค้นถึงชื่อ สกุล ของผู้ป่วยในภายหลังได้ 4. การปกปิดความลับของผู้ป่วยที่จัดเก็บในระบบคอมพิวเตอร์ โรงพยาบาลจึงต้องจัดระบบการ ปกปิดความลับของผู้ป่วย ในฐานะที่พยาบาลต้องปฏิบัติงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง จึงต้อง ระมัดระวังการรั่วไหลของข้อมูลของผู้ป่วย และปฏิบัติตามแนวทางดังต่อไปนี้ 4.1 พยาบาลผู้มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ป่วยให้เก็บรหัสลับส่วนบุคคลของตนเองไว้เป็น ความลับ ไม่ส่งต่อหรือถ่ายโอนแก่ผู้ใด 4.2 ปิดโปรแกรมทุกครั้งภายหลังการบันทึก หรือสืบค้นข้อมูลผู้ป่วยเสร็จสิ้นลง 4.3 จัดวางเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลผู้ป่วย ให้หน้าจออยู่ในตำแหน่งที่ มองเห็นได้เฉพาะเจ้าหน้าที่เท่านั้น และไม่เปิดหน้าจอที่มีข้อมูลของผู้ป่วยค้างไว้ 5. การกำกับ ติดตาม และการประเมินผลการปฏิบัติตามแนวทางการปกปิดความลับของผู้ป่วย หัวหน้าหอผู้ป่วยหรือผู้ที่รับผิดชอบควรดำเนินการดังนี้
5.1 อธิบายให้พยาบาลทุกคนเห็นความสำคัญของการปกปิดความลับของผู้ป่วยและกำหนด นโยบายที่ชัดเจนให้พยาบาลปฏิบัติตามแนวทางการปกปิดความลับของผู้ป่วย 5.2 สังเกตการปฏิบัติของพยาบาลว่าเป็นไปตามแนวทางการปกปิดความลับของผู้ป่วย หรือไม่ และตักเตือนทันทีเมื่อพบว่าพยาบาลไม่ปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว 5.3 รวบรวมอุบัติการณ์การเปิดเผยความลับของผู้ป่วย เพื่อนำมาใช้วางแผนกำหนด มาตการที่เหมาะสมยิ่งขึ้นในการส่งเสรมิการปกปิดความลับของผู้ป่วย 5.4 จัดระบบยกย่อง ชมเชยผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางการปกปิดความลับของผู้ป่วยอย่างเคร่งครัด แนวทางการบอกความจริงที่เป็นข่าวร้าย การบอกความจริง เป็นการให้ข้อมูลที่เป็นความจริง ไม่ปิดบัง เพื่อแสดงถึงความเคารพในความ เป็นบุคคล แต่บางครั้งการบอกความจริงก็อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อผู้ป่วยและครอบครัวได้ โดยเฉพาะการบอก ความจริงที่เป็นข่าวร้าย เนื่องจากความจริงเป็นข่าวร้ายอาจส่งผลเสียต่อผู้ป่วยและครอบครัวมากกว่าผลดีก็ ได้ แต่พยาบาลก็ไม่สามารถปฏิเสธการมีส่วนร่วมในกระบวนการบอกความจริงแก่ผู้ป่วยและครอบครัวได้ ความหมายของข่าวร้าย ข่าวร้าย หมายถึง ข้อมูลใดๆ ที่มีผลกระทบทางลบและรุนแรงต่อผู้ป่วยและครอบครัว ได้แก่ การ เจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์ โรคมะเร็ง การเจ็บป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิต ความพิการของเด็กในท้อง ความพิการ จากการเจ็บป่วยหรือการรักษา การเสียชีวิตของผู้ป่วย เป็นต้น คุณสมบัติและทักษะของผู้บอกข่าวร้าย 1. มีความมั่นคงทางอารมณ์ สามารถควบคุมอารมณ์และความรู้สึกได้ดี 2. มีความเข้าใจ และเห็นใจผู้ป่วย 3. มีความไว และความเข้าใจต่อปฏิกิริยาของผู้ป่วย และครอบครัวภายหลังได้รับข่าวร้าย 4. มีเวลาในการให้ข้อมูล และรับฟังความรู้สึกของผู้ป่วย / ครอบครัว 5. มีทักษะการสื่อสาร 6. มีทักษะในการให้คำปรึกษา
7. มีความสามารถในการเผชิญกับปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงของผู้ป่วยและครอบครัวด้วย ความสงบ ขั้นตอนการบอกความจริงที่เป็นข่าวร้าย 1. การประเมินสภาพ (assessment) พยาบาลมีบทบาทสำคัญในขั้นตอนของการประเมินสภาพ ผู้ป่วยและครอบครัวเพื่อทำให้มั่นใจว่าการบอกความจริงจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบทางลบ 1.1 ภูมิหลัง เช่น เพศ การศึกษา อาชีพ บทบาทในครอบครัว สังคม หน้าที่การงาน รวมถึง วัฒนธรรม และความเชื่อเกี่ยวกับสุขภาพ 1.2 อายุ และวุฒิภาวะทางอารมณ์ รวมถึงสภาพจิตใจของผู้ป่วยและครอบครัว 1.3 ความสามารถในการเข้าใจในข้อมูลที่ได้รับ การรับรู้ข้อมูล 1.4 ประสบการณ์การเผชิญปัญหาและความสามารถในการปรับตัวเมื่อมีอาการเจ็บป่วย 1.5 ผลกระทบหรือปฏิกิริยาของผู้ป่วยและครอบครัว 1.6 การให้ความสำคัญหรือคุณค่า 1.7 ความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัว 2. การพิจารณาทางเลือกของการบอกความจริง (options of truth)การบอกความจริงมี 4 ทางเลือก 2.1 การบอกความจริงทั้งหมาด (whole truth) เป็นการบอกข้อมูลที่เป็นจริงทั้งหมดแก่ ผู้ป่วย ซึ่งวิธีนี้มักจะใช้เมื่อผู้ป่วยร้องขอ 2.2 การบอกความจริงบางส่วน (partial truth) ความตั้งใจของการบอกความจริงด้วยวิธีนี้ คือ การให้ผู้ป่วยได้รับการบอกความจริงทั้งหมด แต่ให้ข้อมูลทีละส่วน การบอกข้อมูลทีละส่วนจะช่วยให้ผู้ป่วย มีเวลาในการปรับตัว และยอมรับความเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น 2.3 การให้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง (deception) หมายถึงการบอกข้อมูลผู้ป่วยที่ไม่ตรงกับ ความเป็นจริง 2.4 การชะลอการบอกความจริง (truth delay) วิธีการนี้เหมาะสมในกรณีที่ทีมสุขภาพไม่มี เวลาเพียงพอที่จะให้ข้อมูล หรือช่วยเหลือผู้ป่วยภายหลังการบอกข่าวร้าย ข้อดีของวิธีการนี้จะทำให้ทีมสุขภาพ มีเวลาในการหาข้อมูลที่ยังไม่ครบถ้วน แต่ข้อเสียคือทำให้ผู้ป่วยเกิดความวิตกกังวลจากการรอคอยข้อมูล 3. การปฏิบัติ (implementation)
3.1 จัดสถานที่ให้มีความเป็นส่วนตัว และเหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วยและ ครอบครัว เพื่อไม่ให้รู้สึกอึดอัดหรือกังวลว่าผู้อื่นจะรับทราบเรื่องของตนเอง 3.2 เลือกเวลาที่เหมาะสม ความพร้อมของผู้ป่วยและครอบครัว 3.3 ผู้ให้ข้อมูลควรเป็นผู้ที่มีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วยและครอบครัวก่อนการบอกความ จริง เพื่อให้เกิดความเชื่อถือ ไว้วางใจ 3.4 ผู้ให้ข้อมูลควรจัดสรรเวลาอย่างเพียงพอสำหรับการบอกข่าวร้ายต้องไม่รีบเร่ง 3.5 ขณะบอกข่าวร้าย ควรปฏิบัติดังนี้ 1) แสดงสีหน้า ท่าทางที่สงบ ไม่กระวนกระวาย เพราะจะทำให้เพิ่มความวิตกกังวล และความกลัวให้กับผู้ป่วยหรือครอบครัว 2) ใช้ทักษะการสื่อสารที่เหมาะสมใช้ภาษาที่สุภาพ ง่ายต่อความเข้าใจ และ เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน รับฟังผู้ป่วยด้วยความเห็นใจ หลีกเลี่ยงคำพูดที่ทำให้ผู้ฟังท้อแท้ หมดหวัง 3) สังเกตพฤติกรรมของผู้ป่วยและครอบครัวที่ตอบสนองต่อการได้รับข่าวร้ายเป็น ระยะ 4) ประเมินความเข้าใจในข้อมูลที่ผู้ป่วยหรือครอบครัวได้รับ และเปิดโอกาสให้ ซักถาม 5) สื่อสารให้ผู้ป่วยรู้ว่าผู้บอกข่าวมีความห่วงใย เข้าใจ เห็นใจในความทุกข์และความ ไม่สบายใจ และพร้อมให้ความช่วยเหลือเมื่อผู้ป่วยต้องการ เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและครอบครัวระบาย ความรู้สึก 4. การประเมินผล (evaluation) ขั้นตอนนี้เป็นบทบาทสำคัญประการหนึ่งของพยาบาล การ ประเมินผลที่ถูกต้องจะช่วยให้พยาบาลสามารถประสานกับทีมสุขภาพเพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวให้รับการ ดูแลอย่างทันท่วงทีและต่อเนื่อง 4.1 ประเมินความรู้สึกและปฏิกิริยาของผู้ป่วยและครอบครัวหลังได้รับการบอกความจริง อย่างสม่ำเสมอ 4.2 พยาบาลและทีมสุขภาพอื่นๆ จะต้องให้ข้อมูลที่ตรงกันทุกครั้งที่ผู้ป่วยซักถามถึงข่าว ร้ายที่ได้รับ 4.3 ประเมินกระบวนการในการบอกข่าวร้าย เช่น ความเหมาะสมของวิธีการสื่อสาร การ ใช้ภาษา ท่าทาง สถานที่ เวลา และความร่วมมือระหว่างพยาบาล แพทย์ ผู้ป่วยหรือครอบครัว
4.4 ประเมินผลลัพธ์ การมีส่วนร่วมในการดูแลตนเอง และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ด้านสุขภาพ 4.5 พยาบาลประเมินถึงประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ในกระบวนการบอกความจริงที่เป็นข่าว ร้ายแต่ละครั้ง และสิ่งที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาการทักษะการบอกข่าวร้ายแก่ผู้ป่วย/ครอบครัว 4. แผนจริยธรรมประจำหน่วยงาน 4.1 แผนปฏิบัติการ NECW ประจำปี 2566 4.2 แผนติดตามงาน NECW ประจำปี 2566
4.3 แผนนิเทศสำหรับ NECW
5. อัตลักษณ์ CHONBURI Ethics Model 5.1 แผ่นภาพ CHONBURI Ethics Model
5.2 คำย่อ อัตลักษณ์ CHONBURI Ethics Model
5.3 เกณฑ์การคัดเลือกพยาบาลดีเด่นตามอัตลักษณ์ CHONBURI Ethics Model
5.4 พฤติกรรมทางการพยาบาลตามหลัก CHONBURI Ethics Models
6. แผ่นภาพ 6 หลัก และ 4 แนวคิด ด้านจริยธรรมทางการพยาบาล 7. บัญชีความเสี่ยงด้านจริยธรรมทางการพยาบาลของหน่วยงาน ความเสี่ยงเกี่ยวกับ ผิดหลัก/แนวคิดจริยธรรม และ CHONBURI ethics model จำนวนครั้งที่พบ 1. ทำให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บ (ร่างกาย หรือ จิตใจ) เช่น ปฏิบัติต่อผู้ป่วยด้วยความรุนแรง ใช้น้ำเสียง หรือถ้อยไม่เหมาะสม ทำให้ผู้ป่วยได้รับอันตราย จากการรักษาพยาบาล เช่น Phlebitis, แผลจากการ ผูกมัด Non maleficence Beneficence Caring 2. พฤติกรรมบริการไม่เหมาะสม ไม่ดี เช่น ใช้ คำพูด หรือแสดงกริยาที่ไม่เหมาะสมต่อผู้ป่วย Non maleficence Beneficence , Caring Interpersonal relationship 3. ผู้ป่วยได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน ไม่เพียงพอ ไม่ ประเมินเรื่องการรับรู้ข้อมูลของผู้ป่วย Veracity or Truth telling Autonomy
ความเสี่ยงเกี่ยวกับ ผิดหลัก/แนวคิดจริยธรรม และ CHONBURI ethics model จำนวนครั้งที่พบ 4. ไม่ใส่ใจ ไม่ตอบสนองต่อความต้องการของ ผู้ป่วย Beneficence , Caring Interpersonal relationship 5. เปิดเผยข้อมูลของผู้ป่วย Fidelity , Honesty 6. ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพ เช่น ผิดหลัก IC ไม่ Identify ผู้ป่วยก่อนให้ยา Non maleficence Beneficence 7. ขาดความระมัดระวัง ทำให้ผู้ป่วยได้รับอันตราย เช่น ไม่ดึงไม้กั้นเตียง Non maleficence Beneficence 8. ปฏิบัติต่อผู้ป่วยไม่เท่าเทียมกัน Justice 9. ไม่รายงานแพทย์ หรือ รายงานไม่ครบถ้วน ทำ ให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาล่าช้า/ได้รับอันตราย Beneficence , Non maleficence Advocacy 10. เขียนบันทึกไม่ตรงตามจริง/ไม่ครบถ้วน Veracity or Truth telling Obligation (Responsibility) 8. CQI ด้านจริยธรรมทางการพยาบาล (โครงร่าง หรือ รายงานการนำเสนอ) โครงการ CQI เพื่อสร้างบรรยากาศจริยธรรมในหน่วยงาน ปี 2566 โครงการพัฒนาจริยธรรมเรื่อง “การพัฒนาระบบและกลไกส่งเสริมสมรรถนะจริยธรรมทางการพยาบาล ลดความเสี่ยงทางการพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัด” งานห้องผ่าตัดโรงพยาบาลชลบุรี ประธานโครงการ นางขวัญจิตร ศักดิ์ศรีวัฒนา หัวหน้ากลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยห้องผ่าตัด เจ้าของโครงการ 1.นางพาภรณ์ เยาว์วัฒนานุกุล พยาบาล ผู้ช่วยหัวหน้ากลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยห้องผ่าตัด 2.นางสาววิไลภรณ์ พุทธรักษา พยาบาล (กรรมการ NEC-wardคนที่ 1) 3.นางสาวจิราภรณ์ พรหมลักขโณ (กรรมการ NEC-wardคนที่ 2) สมาชิกโครงการ พยาบาลวิชาชีพทุกท่านในหน่วยงาน หลักการและเหตุผล หน่วยงานห้องผ่าตัดได้ดำเนินการพัฒนา วางระบบและกลไก จริยธรรมในการปฏิบัติการพยาบาล และนำ นโยบายมาขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง แต่พบว่ายังมีประเด็นปัญหาจริยธรรม ด้านพฤติกรรมบริการที่ไม่เหมาะสม และมี รายงานอุบัติการณ์ที่ไม่พึงประสงค์จากการให้การพยาบาล และการบริหารจัดการใช้เครื่องมือ อุปกรณ์การแพทย์ ทบทวน 15 กุมภาพันธ์ 2566
ประเมินอาการผู้ป่วยไม่ครบถ้วน การวางแผนทางการพยาบาลไม่ครอบคลุมปัญหา ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบหลายด้าน ต่อผู้ป่วย ทางหน่วยงานห้องผ่าตัดจึงได้ตระหนักถึงการพัฒนาทักษะและสมรรถนะเพื่อส่งเสริมจริยธรรมของพยาบาล และลดพฤติกรรมเสี่ยงทางจริยธรรมได้ โดยการใช้หลักและแนวคิดจริยธรรมทางการพยาบาลมาประยุกต์ใช้ในการ ปฏิบัติงาน เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ จึงได้จัดทำโครงการพัฒนาระบบและกลไก ส่งเสริม สมรรถนะจริยธรรมทางการพยาบาล ลดความเสี่ยงทางการพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัด เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติที่ เหมาะสมกับการดูแลผู้ป่วยอย่างมีจริยธรรม วัตถุประสงค์ 1. บุคลากรพยาบาลมีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับจริยธรรมวิชาชีพพยาบาล 2. เพื่อพัฒนาสมรรถนะทางจริยธรรมบุคลากรทางการพยาบาล 3. เพื่อส่งเสริมบรรยากาศและพฤติกรรมจริยธรรมในการดูแลผู้ป่วยที่มารับบริการผ่าตัด 4. เพื่อลดอุบัติการณ์/ข้อร้องเรียน เกี่ยวกับจริยธรรมวิชาชีพพยาบาล ตัวชี้วัด 1. ระดับพฤติกรรมจริยธรรมของบุคลากรทางการพยาบาลมากกว่าร้อยละ 80 2. จำนวน Ethical risk profile ของหน่วยงานลดลง 3 จำนวนข้อร้องเรียนของหน่วยงานเกี่ยวกับจริยธรรมวิชาชีพพยาบาล ระยะเวลาดำเนินการ 1 ธันวาคม 2565 - 1 ธันวาคม 2566 กลุ่มเป้าหมาย: บุคลากรพยาบาลทุกระดับ วิธีการ/ขั้นตอนในการพัฒนาระบบและกลไกจริยธรรม 1.หัวหน้าและผู้ช่วยหัวหน้ากลุ่มงานการพยาบาลห้องผ่าตัดเป็นผู้นำนโยบายการพัฒนาระบบและกลไกจริยธรรมสู่ หน่วยงาน ชี้แจงแผนดำเนินงานของหน่วยงานให้ที่ประชุมพยาบาลรับทราบ 2. แต่งตั้งคณะกรรมการจริยธรรมทางการพยาบาลระดับหน่วยงาน (Nursing Ethics Committee OR ) จำนวน 2 คน และคัดเลือก role model ของหน่วยงาน 3. กำหนดแผนดำเนินงานและโครงการ ด้านจริยธรรมของงานการพยาบาลที่สอดคล้องกับแผนจริยธรรมของฝ่าย การพยาบาล มุ่งคำนึงจริยธรรมในการดูแลผู้รับบริการและกำหนดนโยบายและระบบกลไกลจริยธรรม 5 ด้านได้แก่ - Ethic round -Ethic conference -Incident review - OR ethical risk model - Ethical risk profile & Dilemma 4. พัฒนาสมรรถนะด้านจริยธรรมของบุคลากรทางการพยาบาลทุกระดับ โดย NECW-ห้องผ่าตัด เป็นให้ความรู้ด้าน จริยธรรมทางการพยาบาล 1 ครั้ง/สัปดาห์ 5. KM ใช้กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในงานการพยาบาล/ หน่วยงานเกี่ยวกับความเสี่ยงทางจริยธรรมหรือ ethical dilemma ที่พบในการปฏิบัติงาน/การใช้กลไกจริยธรรมในการปฏิบัติงาน 6. ส่งเสริมการทำความดี และรวบรวมเป็นคลังความดี 7. คัดเลือก role model ของหน่วยงาน 8. Quality and ethics round ร่วมกับ NECW OR อย่างสม่ำเสมอเดือนละ 1 ครั้ง
โครงการ/กิจกรรมที่ดำเนินการภายใต้ระบบและกลไกจริยธรรม 1. จัดทำแผนจริยธรรมของหน่วยงานให้สอดคล้องกับแผนจริยธรรมของกลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล และ การนำระบบและกลไกจริยธรรม 5 ด้าน ไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาลได้แก่ - Ethic round -Ethic conference - Incident review - OR ethical risk model - Ethical risk profile & Dilemma พร้อมทั้งสื่อสารให้บุคลากรทุกระดับใน หน่วยงานรับทราบ 2. ส่ง NECW-OR ตัวแทนของหน่วยงาน เข้าร่วมอบรมจริยธรรมวิชาชีพพยาบาลที่ฝ่ายการพยาบาลจัดขึ้น ทุก 2 เดือน ที่ห้องประชุมเฉลิมราชสมบัติชั้น9 3. ส่งบุคลากรทุกระดับเช้าร่วมโครงกาที่เกี่ยวกับการส่งเสริมจริยธรรมเช่น การปฏิบัติธรรม ณ วัดป่าเพิ่ม บุญ ปีละ 1 ครั้ง 4. คัดเลือกบุคลากรที่มีพฤติกรรมจริยธรรมดีเด่น เป็น role model ในหน่วยงานทั้งระดับพยาบาล พนักงาน ช่วยเหลือคนไข้และพนักงานเปล จำนวน 3 คน 5. จัดทำโครงการพัฒนาจริยธรรมเรื่อง “การพัฒนาระบบและกลไกจริยธรรมทางการพยาบาล ใน หน่วยงาน” 6. ประเมิน Scoring การพัฒนาระบบและกลไกจริยธรรมทางการพยาบาลของพยาบาลในหน่วยงานทั้ง 5 ด้านได้แก่ -Ethic round -Ethic conference -Incident review - OR ethical risk model -Ethical risk profile ทั้งก่อนและ หลังการพัฒนา 7. มอบหมายให้พยาบาล NECW-OR ประจำหน่วยงานเยี่ยมตรวจการปฏิบัติงานตามแนวทางนโยบาย พฤติกรรมบริการ การป้องกันการติดเชื้อ การส่งสิ่งส่งตรวจ และการลงรายการค่าวัสดุ อุปกรณ์การแพทย์ ค่าผ่าตัด และการบันทึกในระบบคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายของแผนก เป็นต้น 8. คณะกรรมการบริหารด้านจริยธรรมของหน่วยงาน ติดตามผลการดำเนินงานประจำเดือน จำนวน อุบัติการณ์ด้านจริยธรรมและข้อร้องเรียน 9. ติดตามระดับพฤติกรรมด้านจริยธรรมของบุคลากรทางการพยาบาลโดยใช้แบบประเมิน พฤติกรรม จริยธรรมของฝ่ายการพยาบาล 10. ติดตามและรวบรวม Ethical risk profile และ ethical risk guide line ของหน่วยงานในแต่ละ เดือนพร้อม ทั้งจัดลำดับ TOP-3 ของหน่วยงาน 11. สำรวจความคิดเห็น การรับรู้การดำเนินงานด้านจริยธรรมทางการพยาบาลของพยาบาลในหน่วยงาน โดยการลงบันทึกรายงานความเสี่ยงทางจริยธรรมที่เกิดขึ้นในทุกเวร แนวทางในการนำเสนอ ได้แก่ 1. กิจกรรมที่แสดงออกว่าบุคลากรมีพฤติกรรมจริยธรรมทางการพยาบาลโดยหน่วยงานนำเสนอการ สร้าง บรรยากาศ ให้บุคลากร มีพฤติกรรมจริยธรรมที่ดีโดยใช้เครื่องมือ Ethic round - Ethic conference - Incident review with OR ethical risk model ในการดำเนินงาน 2. จริยธรรมทางการพยาบาล โดยเน้นการนำเสนอ Ethic risk profile หรือ dilemma ในหน่วยงาน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกี่ยวกับอุบัติการณ์ที่เสี่ยงทางจริยธรรม โดยการวิเคราะห์หาสาเหตุ และหาแนวทางแก้ไขให้เชื่อมโยง กับหลักและแนวคิดจริยธรรมพยาบาล
3. เรื่องเล่า รายงานเหตุการณ์การดูแลผู้ป่วยที่เกิดความเสี่ยงประจำวัน ด้านจริยธรรม ส่ง เวรเช้าทุกวัน แผนปฏิบัติการประจำปี 2566 เกี่ยวกับการพัฒนาระบบและกลไกจริยธรรม ในการส่งเสริมสมรรถนะทาง จริยธรรมของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วย กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการผ่าตัด เรื่อง ปี2566 ต.ค พ.ย ธ.ค ม.ค ก.พ มี.ค เม.ย พ.ค มิ.ย ก.ค ส.ค ก.ย หัวหน้าห้องผ่าตัดสื่อสารแผนและนโยบายการพัฒนาระบบและกลไกจริยธรรม สู่หน่วยงาน จัดกิจกรรมเครื่องมือ Ethic round - Ethic conference - Incident review-เรื่อง เล่า รายงานเหตุการณ์การดูแลผู้ป่วยที่เกิดความเสี่ยงประจำวัน ด้านจริยธรรม ส่ง เวรเช้าทุกวัน จัดทำ case conference ORทุกเช้าวันอังคาร-ศุกร์ Ethical Risk Model ทุกเดือน เก็บรวบรวมข้อมูลที่มีความเสี่ยงทางจริยธรรมและส่งต่อข้อมูลให้หัวหน้า หน่วยงานและNECW สรุปTOP-3 Ethic risk profileของหน่วยงานทุกเดือนและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประเด็นที่เสี่ยงต่อการฟ้องร้องหรือ Dilemmaแจ้งที่ประชุมทุกเดือน พยาบาล NECW-OR ประจำหน่วยงานเยี่ยมตรวจการปฏิบัติงานตามแนวทาง นโยบาย พฤติกรรมบริการ การพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัดรายโรค การส่งสิ่งส่ง ตรวจ และการลงรายการค่าวัสดุ อุปกรณ์การแพทย์ ค่าผ่าตัดและการบันทึก ในระบบคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายของแผนกและ การป้องกันการติดเชื้อ เป็นต้น สำรวจความคิดเห็น การรับรู้การดำเนินงานด้านจริยธรรมทางการพยาบาล ของพยาบาลในหน่วยงาน โดยการลงบันทึกรายงานความเสี่ยงทางจริยธรรมที่ เกิดขึ้นในทุกเวร สรุปแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมเกี่ยวกับหลักจริยธรรมในการแก้ไขประเด็นความ เสี่ยงทางด้านจริยธรรมทางการพยาบาล
9. เอกสารบันทึกกิจกรรมด้านจริยธรรมทางการพยาบาล เช่น Ethics round, Ethics conference
10. ภาคผนวก (สืบค้นเพิ่มเติมได้ที่ https://www.tnmc.or.th/all-articles-16 ) พิมพ์ อย่างละ 1 ฉบับ 10.1 ข้อบังคับสภา เรื่องการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพ 10.2 จรรยาบรรณวิชาชีพการพยาบาล (9 ข้อ) 10.3 พระราชบัญญัติวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ฉบับแก้ไข ปี 2540 10.4 ประกาศชั่วโมงการทำงานของพยาบาลเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย 10.5 ประกาศห้ามมิให้ยาหรือสารละลายทางหลอดเลือดดำ 10.6 ประกาศห้ามฉีดยา Diclofenac 10.7 MOPH NUSRES 10.8 นโยบายการใช้สื่อสำหรับบุคลากรกลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลชลบุรี 10.9 นโยบายการแต่งกายสำหรับบุคลากรกลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลชลบุรี