The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Supakkana Namwongsri, 2023-03-16 06:52:31

รายงานวิจัยในชั้นเรียน

ilovepdf_merged (1)

รายงานวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง ผลการปรับพฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการเสริมแรงทางบวก และการเสริมแรงทางลบ ในรายวิชาคณิตศาสตร์ ปีการศึกษา 2565 ภาคเรียนที่ 2 นางสาวสุภัคณา นามวงศ์ศรี ต าแหน่ง ครู วิทยฐานะครูช านาญการ โรงเรียนบ้านทะเลพัฒนา ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาก าแพงเพชร เขต 2


26 ชื่อเรื่อง ผลการปรับพฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการ เสริมแรงทางบวก และการเสริมแรงทางลบ ในรายวิชาคณิตศาสตร์ ผู้ศึกษา นางสาวสุภัคณา นามวงศ์ศรี ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การวิจัยเรื่อง ผลการปรับพฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วย การ เสริมแรงทางบวก และการเสริมแรงทางลบ ในรายวิชาวิทยาศาสตร์มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษา ผลการปรับพฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการเสริมแรงทางบวก และการเสริมแรง ทางลบในรายวิชาคณิตศาสตร์ศาสตร์ 2) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการคุยกันในชั้น เรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนและหลัง โดยใช้แบบประเมินการแก้ปัญหาการคุย กันในชั้นเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการเสริมแรงทางบวก และการเสริมแรงทางลบ รายวิชาวิทยาศาสตร์ท าการเก็บข้อมูล 4 สัปดาห์ ผลการวิจัยเรื่องการปรับพฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วย การเสริมแรงทางบวก และการเสริมแรงทางลบ ในรายวิชาคณิตศาสตร์สัปดาห์ที่ 1 พบว่านักเรียนที่ไม่คุย กัน 2 คน นักเรียนที่คุย กัน 5 คนคิดเป็นร้อยละ 57.14 สัปดาห์ที่ 2 พบว่านักเรียนที่ไม่คุยกัน 4 คน นักเรียนที่คุยกัน 3 คนคิดเป็นร้อยละ 42.87 สัปดาห์ที่ 3 พบว่านักเรียนที่ไม่คุยกัน 5 คน นักเรียนที่คุยกัน 2 คนคิดเป็นร้อยละ 28.57 สัปดาห์ที่ 4 พบว่านักเรียนที่ไม่คุยกัน 7 คน นักเรียนที่คุยกัน 0 คน คิดเป็น ร้อยละ 0 ดังนั้นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน จ านวน 7 คน ที่ได้รับการปรับพฤติกรรม การคุย กันในชั้นเรียน ด้วยการเสริมแรงทางบวก และการเสริมแรงทางลบ มีพฤติกรรมการคุยกันหรือพฤติกรรม ที่ ไม่พึงประสงค์หลังเรียน ดีขึ้น 100 เปอร์เซ็น


27 กิตติกรรมประกาศ รายงานผลการปรับพฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการ เสริมแรง ทางบวก และการเสริมแรงทางลบ ในรายวิชาคณิตศาสตร์ผู้ศึกษากราบขอบพระคุณครูที่กรุณา ให้ค าแนะน า ด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดีขอขอบพระคุณ คณะครูที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือและให้ ก าลังใจในการด าเนินการศึกษาและเก็บ รวบรวมข้อมูล รวมทั้งนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน บ้านทะเลพัฒนาที่ได้ให้ความร่วมมือในการศึกษาในครั้งนี้เป็นอย่างดี ขอขอบคุณก าลังใจและการช่วยเหลือจากครอบครัวทุกคน ที่ช่วยเหลือเกื้อกูล เอาใจใส่และเป็น ก าลังใจด้วยดีตลอดมา


28 สารบัญ เรื่อง หน้า กิตติกรรมประกาศ ก บทคัดย่อ ข สารบัญ ค บทที่1 บทน า 1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา 2 วัตถุประสงค์ในการวิจัย 2 สมมุติฐานการวิจัย 2 ขอบเขตการวิจัย 2 ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษา 3 บทที่2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับ พฤติกรรมการพูดคุยในชั้นเรียน 4 เทคนิคการปรับพฤติกรรม 6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 9 บทที่3 วิธีด าเนินการวิจัย 11 ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย 11 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 11 ขั้นตอนด าเนินการวิจัย 11 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 12 บทที่4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 13 ผลด าเนินการวิจัย 13 บทที่5 สรุปผล อภิปราบผล และข้อเสนอแนะ 15 สรุปผลการศึกษา 15 อภิปรายผล 15 ข้อเสนอแนะ 16 บรรณานุกรม 16


1 บทที่1 บทน า ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา การเรียนการสอนในชั้นเรียน นอกจากจะเป็นสถานที่ฝึกพฤติกรรมให้อยู่ในระเบียบวินัยของห้องเรียน และโรงเรียน ตามความประสงค์ของสังคม เพื่อให้กิจกรรมการเรียนการสอนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สภาพ พฤติกรรมที่เป็นปัญหาในชั้นเรียนส่วนมากที่พบในปัจจุบันนี้ได้แก่ พฤติกรรมลุกจากที่นั่ง คุยกัน เล่น กัน ส่งเสียง ดัง ซึ่งเป็นปัญหาในขณะที่ท ากิจกรรมการเรียนการสอนท าให้นักเรียนมีความสนใจต่อการเรียน น้อยลงเพราะ มักจะพูดคุยกันในขณะที่ก าลังเรียนท าให้ครูต้องหยุดการเรียนการสอน และหันมาตักเตือนแทน ซึ่งเป็น พฤติกรรมที่เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของนักเรียน เป็นผลท าให้ไม่สามารถด าเนินการสอน ไปตาม จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ นักจิตวิทยาที่ได้เสนอวิธีปรับพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของนักเรียนโดยเน้นการให้รางวัลแทนการลงโทษ ซึ่ง ใช้ทฤษฎีหลักการเรียนรู้มาประยุกต์ใช้กับพฤติกรรมของมนุษย์สกินเนอร์นักจิตวิทยาผู้ก่อตั้งทฤษฎีการวาง เงื่อนไขแบบการกระท าได้เน้นถึงการเสริมแรง และสนใจในการปรับพฤติกรรมมีความเชื่อว่าเมื่อกระท า พฤติกรรมหนึ่งแล้วได้รับการเสริมแรงแนวโน้มที่จะกระท าพฤติกรรมนั้นบ่อยครั้งขึ้นแต่ถ้าพฤติกรรมนั้นไม่ได้รับ การเสริมแรงพฤติกรรมนั้นจะมีความถี่ลดลงจนหายไป และสกินเนอร์พบว่าอัตราการตอบสนองในพฤติกรรมที่ พึงประสงค์จะเพ ขึ้นอย่างชัดเจนมากในระยะที่ได้รับการเสริมแรง ทฤษฎีนี้สามารถน าไปประยุกต์ปรับ พฤติกรรมที่เป็นปัญหาในชั้นเรียนได้คือ เมื่อเด็กแสดงพฤติกรรมที่ดีแล้วได้รับแรงเสริมจากครูเด็กมีแนวโน้ม ใน การแสดงพฤติกรรมนั้นเพิ่มขึ้นและถ้าเด็กไม่ได้รับการเสริมแรงเมื่อแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์เช่น คุย กัน ลุกออกจากที่ เป็นต้น พฤติกรรมนั้นจะมีความถี่ลดลงจนกระทั้งพฤติกรรมที่เป็นปัญหาจะหายไปในที่สุด เด็กจะ เห็นความส าคัญของการได้รับรางวัลและค าชมเชย การสัญญาว่าจะให้รางวัลจึงเป็นแรงจูงใจให้เด็ก กระท าความดี ได้มากกว่าการดุหรือการขู่ว่าจะลงโทษ เนื่องจากครูเป็นผู้ที่มีหน้าที่โดยตรงที่ปรับพฤติกรรมที่เป็นปัญหาให้เป็นไปในทางที่พึงประสงค์และ เอื้ออ านวยต่อการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้เด็กไทยเจริญทุกด้านตามความมุ่งหมายของการศึกษา พฤติกรรมการคุยกันของนักเรียนขณะที่ท ากิจกรรมการเรียนการสอนเป็นปัญหามากที่สุดซึ่งก่อให้เกิดปัญหา อื่นๆ ตามมา เช่นปัญหาการขาดระเบียบวินัย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ า ปัญหาต่อกิจกรรมการเรียนการสอน ในชั้น เรียน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความเจริญกาวหน้าทางการศึกษา ดังนั้น ผู้วิจัยจึงด าเนินการ ปรับพฤติกรรม การคุยกัน ในชั้นเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการเสริมแรงทางบวก และการเสริมแรงทางลบ ในรายวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งเด็กจะให้ความสนใจเมื่อได้รับรางวัล และค าชมเชย พฤติกรรมการคุยกัน จะลดลง และมีความ ยั่งยืน


2 วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาผลการปรับพฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการ เสริมแรงทางบวก และการเสริมแรงทางลบ 2. เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อน และหลัง สมมติฐานการวิจัย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านทะเลพัฒนา จ านวน 7 คน ที่ได้รับการปรับพฤติกรรม การคุยกันในชั้นเรียน ด้วยการเสริมแรงทางบวก และการเสริมแรงทางลบ มีพฤติกรรมการคุยกันหรือ พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์มีจ านวนน้อยลง ขอบเขตของการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นกลุ่มเดียวกัน ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนบ้านทะเลพัฒนา จ านวน 7 คน ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น - การเสริมแรงทางบวกด้วยการให้คะแนน Superchild - การเสริมแรงทางลบ ด้วยการหักคะแนนครั้งละ 3 คะแนน ตัวแปรตาม - พฤติกรรมการไม่คุยเล่นในชั้นเรียน ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง ผู้วิจัยก าหนดระยะเวลาการแก้ปัญหาการคุยกันในชั้นเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านทะเลพัฒนา จ านวน 7 คน อยู่ในช่วงภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 4 สัปดาห์ๆ ใน ชั่วโมงสอนคณิตศาสตร์ นิยามศัพท์เฉพาะ การปรับพฤติกรรม หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดยใช้วิธีการประยุกต์หลัก ทฤษฎีการเรียนรู้ แบบวางเงื่อนไขแบบกระท ามาใช้อย่างเป็นระบบ


3 พฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียน หมายถึง พฤติกรรมการคุยกันของนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย ในชั้นเรียน ขณะที่ครู สอนหรือตอนให้นักเรียนท างานการเสริมแรงทางบวก หมายถึง การกล่าวค าชมเชยจากครูผู้สอนเมื่อกลุ่มเป้าหมายมี พฤติกรรมการพูดคุยในชั้นเรียนน้อยลง การเสริมแรงทางลบ หมายถึง การกล่าวค าตักเตือน /การหักคะแนนเมื่อนักเรียนมีพฤติกรรมการพูดคุย ในชั้น เรียนคะแนน Superchild หมายถึง คะแนนพิเศษนอกเหนือจากกคะแนนที่ได้จากการท างานส่งครู ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา และลดพฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียนของนักเรียนทุกชั้นได้ นักเรียนจะมี ระเบียบวินัยในการเรียน รู้จักกาลเทศะ และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างดี


4 บทที่2 เอกสารและวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง ผลการปรับพฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วย การ เสริมแรงทางบวก และการเสริมแรงทางลบ ผู้วิจัยได้ศึกษา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กับ การ แก้ปัญหา การคุยกันในชั้นเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ดังนี้ แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับ พฤติกรรมการพูดคุยในชั้นเรียน การปรับพฤติกรรมในชั้นเรียน ลักษณะของการปรับพฤติกรรม เทคนิคการปรับพฤติกรรม ตัวเสริมแรงทางสังคม (Social Reinforcer) เบี้ยอรรถกร (Token Economy) การหยุดยั้ง (Extinction) เทคนิค Satiation การแต่งพฤติกรรม (Shaping) งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมการพูดคุยในชั้นเรียน การปรับพฤติกรรมในชั้นเรียน ในสภาพการณ์จัดการเรียนกรสอน ครูมีอิทธิพลในการแก้ไขพฤติกรรมมากโดยเฉพาะการให้แรง เสริม ทั้งการให้แรงเสริมบวก และวิธีการอื่นๆ แม้แต่การลงโทษสถานเบา และการให้แรงเสริมทางสังคม แฮริ่ง และฟิลลิปส์(Haring & Phillips,1972) กล่าวว่า ครูสามารถให้แรงเสริมในห้องเรียนได้ด้วยการให้ ความสนใจ และให้ค าชมเชย ซึ่งเป็นแรงเสริมที่มีประสิทธิภาพมาก ประการส าคัญแรงเสริมทางสังคมเป็น แรงเสริมที่น ามาใช้ ได้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว ประเทือง ภูมิภัทราคม (2540) อ้างถึงในขวัญเฉลิม ตันประเสริฐ (2553 : online) ได้อธิบายว่า “การ ปรับพฤติกรรม หมายถึง การประยุกต์หลักการพฤติกรรมหรือหลักการเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไข พฤติกรรม โดยเน้นที่พฤติกรรมที่สามารถสังเกตเห็นได้หรือวัดได้เป็นส าคัญ และมีความเชื่อพื้นฐานว่า พฤติกรรมปกติและไม่ ปกติพัฒนามาจากหลักการเรียนรู้” วิธีการปรับพฤติกรรม สามารถกระท าได้ หลากหลายวิธี ซึ่งสามารถเลือกใช้ วิธีการให้เหมาะสมกับผู้เรียนหรือกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการปรับ พฤติกรรม โดยทั่วไปนิยมใช้5 วิธีดังนี้ แรงเสริมเชิงบวก (Positive Reinforcement)เป็นวิธีการที่เสริมแรงเพื่อให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรม ที่ต้องการออกมาอย่างสม่ าเสมอ เช่น การชมเชยเมื่อตอบค าถามได้ถูกต้อง เป็นต้น


5 แรงเสริมเชิงลบ (Negative Reinforcement)เป็นวิธีการที่เสริมแรงในทางลบ เพื่อให้ ผู้เรียน แสดงพฤติกรรมที่ต้องการออกมา โดยการหลีกเลี่ยงการกระท าอีกสิ่งหนึ่ง เช่น ก าหนดแบบฝึกหัด 2 ส่วน ให้ผู้เรียนเลือกท าเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าผู้เรียนคนใดเลือกท าทั้ง 2 ส่วน จะมีคะแนนพิเศษให้ เป็นต้น การหยุดยั้ง (Extinction)เป็นวิธีการที่ผู้สอนงดการให้รางวัล ค าชมเชยต่อพฤติกรรมในชั้น เรียนที่ไม่พึงประสงค์ และใช้วิธีเสริมแรงเชิงบวกควบคู่ไปด้วย แต่วิธีการนี้เหมาะส าหรับพฤติกรรมที่ไม่ รุนแรง เช่น การคุยในชั้นเรียน ผู้สอนจะท าการเพิกเฉยต่อพฤติกรรมดังกล่าว แต่เมื่อผู้เรียนที่คุยในชั้น เรียนสามารถ ตอบค าถามถูกต้อง ก็ให้ค าชมเชยหรือรางวัล เป็นต้น การท าสัญญากับผู้เรียน (Behavioral contract)เป็นวิธีการผู้สอนท าสัญญากับผู้เรียน เช่น หากผู้เรียนจดบันทึกการบรรยายในสมุดและส่งท้ายชั่วโมงครบทุกสัปดาห์ จะได้รับคะแนนจิตพิสัย 5 คะแนน เป็นต้น การลงโทษ (Punishment)เป็นวิธีการที่ผู้สอนพยายามขจัดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ในชั้นเรียน ออกไป โดยการต าหนิหักคะแนน หรือการลงโทษทางกาย เช่น เมื่อผู้เรียนขาดเรียนในสัปดาห์ใด จะต้อง เขียนสรุปบทเรียนของสัปดาห์นั้นๆด้วยลายมือลงในกระดาษ A4 จ านวน 1 แผ่น เป็นต้น ลักษณะของการปรับพฤติกรรม สมโภชน์เอี่ยมสุภาษิต (2541) อ้างถึงใน วรรณีเจตจ านงนุช (2553:0nline) ได้อธิบายเกี่ยวกับ ลักษณะส าคัญของการปรับพฤติกรรมไว้ดังนี้ มุ่งที่พฤติกรรมโดยตรง โดยที่พฤติกรรมนั้นต้องสังเกตเห็นได้และวัดได้ตรงกันด้วยเครื่องมือ ที่ เป็นวัตถุวิสัย ไม่ว่าการตอบสนองนั้นเป็นภายในหรือภายนอกก็ตามไม่ใช้ค าที่เป็นการตีตรา นอกจากจะมี ความหมายกว้าง ไม่มีความชัดเจน ยากต่อการสังเกต ให้ตรงกัน และยากต่อการจัดโปรแกรมการปรับ พฤติกรรมให้บรรลุเป้าหมายได้ การตีตราอาจท าให้เด็กหรือ ผู้ปกครองเกิดความอับอายแล้วจะส่งผลให้ เด็กเลือกแสดงพฤติกรรมตามที่ถูกตีตราได้ พฤติกรรมไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมที่ปกติหรือปกติ ก็ตาม ย่อมเกิดจากการเรียนรู้ในอดีตทั้งสิ้น ดังนั้นพฤติกรรมเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยกระบวนการเรียนรู้ การปรับพฤติกรรมจะเน้นสภาพ และเวลาในปัจจุบันเท่านั้น เมื่อวิเคราะห์ได้ว่าสิ่งเร้าและผล กรรมใดที่ท าให้พฤติกรรมนั้นเกิดบ่อยหรือลดลงในสภาพปัจจุบัน ก็สามารถปรับสิ่งเร้าและผลกรรมให้ เหมาะสม ยิ่งขึ้น เพื่อท าให้พฤติกรรมดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปตามเป้าหมายที่ต้องการ การปรับพฤติกรรมนั้นจะเน้นวิธีการทางบวกมากกว่าวิธีการลงโทษ เนื่องจากเป้าหมายของการ ปรับพฤติกรรมเน้นการเพิ่มพฤติกรรมที่พึงประสงค์จึงจ าเป็นต้องใช้วิธีการทางบวก เพราะเป็นวิธีการที่มี ประสิทธิภาพ ทั้งยังได้ก่อให้เกิดปัญหาทางอารมณ์น้อยกว่าวิธีการลงโทษ วิธีการปรับพฤติกรรมนั้น สามารถใช้ได้อย่างเหมาะสมตามลักษณะของปัญหาแต่ละบุคคล เพราะ คนแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ดังนั้นในการด าเนินการปรับพฤติกรรมจึงต้องค านึงถึงความแตกต่าง


6 ระหว่างบุคคลด้วยวิธีการปรับพฤติกรรมเป็นวิธีการที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่า มีประสิทธิภาพและได้ผล โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (วราภรณ์บุญอ้อย 2553) วราภรณ์บุญอ้อย แนะน าให้มีการตั้งกฎเกณฑ์ร่วมกันว่าเวลาไหนเป็น เวลาที่ ครูพูดและเวลาไหนนักเรียนพูดได้ และที่ส าคัญถ้ามีการละเมิด กฎเกณฑ์ครูจะท าเป็นเฉยๆไม่ได้ เพราะเด็กจะคิด ว่าการคุยกันเป็นเรื่องที่ท าได้ นอกจากนี้ การที่นักเรียนพูดคุยกันในห้องเรียนมิใช่เป็น เรื่องไร้ประโยชน์ นักเรียน ก าลังสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม ระหว่างกันและกัน การเปิดโอกาสให้ นักเรียนได้พูดคุยกันจะท าให้นักเรียน รู้สึกผ่อนคลายและท างานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนั้นในการจัดการปัญหานี้ครูควรเปิดโอกาสให้นักเรียนคุยบ้าง แต่ครูต้องย้ าถึงข้อตกลงที่ท าไว้ ร่วมกัน ว่าช่วงนี้เป็นเวลาของครูนักเรียนควรจะตั้งใจฟัง รอไว้ถึงเวลานักเรียนแล้วค่อยพูดคุยกัน จากนั้น จึงลงโทษนักเรียนตามกติกา เทคนิคการปรับพฤติกรรม ตัวเสริมแรงทางสังคม (Social Reinforcer) ความหมาย : ตัวเสริมแรงทางสังคม คือการแสดงออกทางค าพูดหรือท่าทางหลังจากการที่บุคคล แสดง พฤติกรรมเป้าหมายแล้ว อันท าให้บุคคลนั้นแสดงพฤติกรรมเป้าหมายเพิ่มมากขึ้นหรือสม่ าเสมอ ประเภทของตัว เสริมแรงทางสังคม: ตัวเสริมแรงทางสังคมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ (1) ตัวเสริมแรง ทางสังคมที่เป็นค าพูด ได้แก่ค ายกย่อง ชมเชย เป็นต้น (2) ตัวเสริมแรงทางสังคมที่เป็นลักษณะท่าทาง ได้แก่การให้ความสนใจ การยิ้ม การพยักหน้า เป็นต้น ข้อดี:ใช้ได้ง่าย ใช้แล้วไม่รบกวนการแสดงออกของพฤติกรรมเป้าหมาย เป็นตัวเสริมแรงชนิดแผ่ ขยายซึ่งท าให้มีประสิทธิภาพสูง เป็นการประหยัด เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่ และใช้ในชีวิตประจ าวันอยู่เสมอ ข้อจ ากัด: ไม่สามารถใช้ได้กับทุก ๆ คน หลักการใช้ตัวเสริมแรงทางสังคมให้มีประสิทธิภาพต้องชม ต่อหน้าต้องชมทันทีทันใด การชมนั้นจะต้องบอกว่าผู้ที่ถูกชมนั้นแสดงพฤติกรรมอะไร โดยบอกให้ชัดเจน การชมนั้นจะต้องบอกว่าผู้ที่ชมมีความรู้สึกอย่างไรต่อการที่ผู้ถูกชมแสดงพฤติกรรมที่ดีและการ แสดงพฤติ กรรเช่นนั้นจะช่วยให้ผู้ที่ถูกชมดีได้อย่างไร หลังจากพูดชม และหยุดชั่วขณะหนึ่งแล้ว ใช้การแสดงความ ชื่นชมทางสีหน้า เพื่อให้ผู้ถูกชมมี ความรู้สึกว่า คุณมีความรู้สึกดีอย่างไร กระตุ้นให้ผู้ที่ถูกชมแสดง พฤติกรรมเป้าหมายนั้นเพิ่มมากขึ้นอีกจับมือ หรือแตะตัวผู้ที่ถูกชมให้เขามีความรู้สึกว่าผู้ที่ชมนั้นสนับสนุน เขา เบี้ยอรรถกร (Token Economy) ความหมาย : เป็นการใช้เบี้ย ดาว แต้ม หรือคะแนน เป็นตัวเสริมแรง โดยที่เบี้ย ดาว แต้ม หรือ คะแนนเหล่านั้น สามารถน าไปแลกตัวเสริมแรงอื่น ๆ ได้มากกว่า 1 ตัวขึ้นไป ข้อดี: เป็นตัวเสริมแรงที่มีอ านาจในการแผ่ขยาย ท าให้พฤติกรรมเป้าหมายคงอยู่ในระดับที่สูง ตลอดเวลา สามารถน าไปใช้ได้ทันที ไม่รบกวนการแสดงพฤติกรรมเป้าหมาย ไม่ต้องค านึงถึงความ แตกต่างระหว่างบุคคล สามารถใช้ได้กับทุกคน สามารถใช้ได้โดยไม่ก่อให้เกิด satiation


7 ข้อจ ากัด : เมื่อถอดโปรแกรมการใช้เบี้ยอรรถกรออก จะท าให้ความถี่ของการแสดงพฤติกรมม เป้าหมายลดลง อย่างรวดเร็วสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย จะต้องสังเกตและทราบข้อมูลของแต่ละบุคคลอย่าง ถูกต้อง เพราะความต้องการของบุคคลมัก เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เนื่องจากโปรแกรมการใช้เบี้ยอรรถกร นั้นมีประสิทธิภาพในการเสริมแรงมาก จึงท าให้เกิดการสะสม เบี้ยอรรถกรด้วยวิธีการที่ผิดได้ เช่น การ ขโมยหรือปลอมแปลงเบี้ยอรรถกร เป็นต้นหลักในการใช้เบี้ยอรรถกรให้มีประสิทธิภาพ ต้องก าหนด เงื่อนไขในการให้เบี้ยอรรถกรให้ชัดเจน วิธีการแลกเปลี่ยนเบี้ยอรรถกรนั้นไม่ควรซับซ้อนจนเกินไป ควร ก าหนดอัตราในการแลกเปลี่ยนเบี้ยอรรถกรให้ชัดเจน ควรให้เบี้ยอรรถกรทันทีที่นักเรียนแสดงพฤติกรรม เป้าหมาย ควรเตรียมสิ่งแลกเปลี่ยนหลาย ๆ ชนิด เพื่อให้นักเรียนแลกเปลี่ยนได้ตามความต้องการที่ แท้จริงตกลงกันไว้ การหยุดยั้ง (Extinction) ความหมาย : การหยุดยั้งคือการหยุดการให้การเสริมแรงต่อพฤติกรรมที่เคยได้รับการเสริมแรง อัน อาจเป็นผลท าให้พฤติกรรมนั้นลดหรือยุติลง จุดมุ่งหมายในการใช้: ใช้ลดหรือยุติพฤติกรรม ผลของการใช้ : เมื่อใช้วีการหยุดยั้งพฤติกรรมจะ ค่อย ๆ ลดลงก่อให้เกิดการระเบิดของพฤติกรรมเมื่อใช้การหยุดยั้งไปได้ระยะหนึ่งแล้ว พฤติกรรมที่ลดลง นั้นอาจจะกลับคืนมาได้อีก แม้ว่าจะ ไม่ได้รับการเสริมแรงก็ตามข้อดี : สามารถใช้ลดพฤติกรรมที่ไม่พึง ปรารถนาต่าง ๆ ซึ่งจะได้ผลดีถ้าพฤติกรรมนั้นได้รับการเสริมแรง แบบต่อเนื่อง ได้รับตัวเสริมที่ไม่บ่อยมาก และได้รับจ านวนไม่มากนักในเวลาที่ไม่ยาวนาน ข้อจ ากัด : การหยุดยั้งจะได้ผลช้ามาก ถ้าใช้กับพฤติกรรมที่ได้รับการเสริมแรงแบบบางครั้งบาง คราว การหยุดยั้งจะไม่ได้ผล ถ้าไม่ทราบถึงตัวเสริมแรงที่มีผลต่อพฤติกรรมที่ต้องการจะลดทุกตัว การ หยุดยั้งจะไม่ได้ผลถ้าไม่สามารถควบคุมแหล่งของแรงเสริมได้ การหยุดยั้งจะใช้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร หรือถึง จะได้ผลก็ต้องใช้เวลานานมาก ถ้าพฤติกรรมนั้นได้รับ ตัวเสริมแรงที่ชอบมาก ได้รับเป็นจ านวนมากและ ได้รับเป็นเวลาอันยาวนาน การหยุดยั้งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อจิตใจของบุคคลได้เนื่องจากว่าได้แสดง พฤติกรรมเพื่อ หวังจะได้รับการเสริมแรง แล้วไม่ได้รับจะท าให้เขาเกิดความคับข้องใจ และอาจแสดง พฤติกรรมก้าวร้าวได้ ข้อเสนอแนะ : ควรใช้การหยุดยั้งเมื่อผู้ใช้รู้ถึงตัวเสริมแรงทุกตัวที่มีผลต่อพฤติกรรมที่ต้องการลด นั้น และสามารถควบคุมได้อีกด้วย นอกจากนี้ควรใช้คู่กับการเสริมแรงทางบวกจะท าให้มีประสิทธิภาพ มากขึ้น หลักในการใช้การหยุดยั้งให้มีประสิทธิภาพควรเลือกพฤติกรรมที่ได้รับการเสริมแรงแบบต่อเนื่อง ควรเลือกพฤติกรรมที่คงอยู่ได้ด้วยแรงเสริมที่ไม่มากนัก และช่วงเวลาที่ได้รับการเสริมแรง นั้นสั้นผู้ปรับ พฤติกรรมต้องรู้ว่าพฤติกรรมที่ใช้การหยุดยั้งนั้น ได้รับการเสริมแรงจากที่ใดบ้างผู้ปรับพฤติกรรมต้อง ควบคุมแหล่งของแรงเสริมได้ ไม่ควรใช้การหยุดยั้งกับพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นและ ตนเอง ผู้ปรับพฤติกรรมต้องมีความอดทนเพียงพอ ต่อพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ รุนแรงขึ้น ได้


8 เทคนิค Satiation ความหมาย : การที่ให้ตัวเสริมแรงทางบวกต่อการแสดงพฤติกรรมเป็นจ านวนมาก และบ่อย เกินไปจน ท าให้ตัวเสริมแรงทางบวกนั้น หมดสภาพในการเป็นตัวเสริมแรงต่อพฤติกรรมนั้น อันเป็นผลท า ให้พฤติกรรมนั้น ยุติลง จุดมุ่งหมายในการใช้ : ลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์วิธีการด าเนินตามขั้นตอน ดังนี้ก าหนดพฤติกรรมที่ต้องการจะลดหรือให้ยุติลง สังเกตดูว่าพฤติกรรมที่ต้องการจะให้ลดหรือยุตินั้น เสริมแรงด้วยสิ่งใด ตัวเสริมแรงนั้นผู้ด าเนินโปรแกรมสามารถที่จะจัดหาให้ได้เป็นจ านวนมาก และให้ได้ ตลอดเวลา หรือไม่ ถ้าตัวเสริมแรงนั้นหาได้ยาก หรือไม่สามารถที่จะให้ได้มากควรจะลองหาวิธีอื่นดู เมื่อ พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น ให้ตัวเสริมแรงจ านวนมาก ข้อจ ากัด : ไม่ควรใช้satiation กับพฤติกรรมที่ได้รับการเสริมแรงจากตัวเสริมแรงแผ่ขยาย หลัก ในการใช้ Satiation ให้มีประสิทธิภาพผู้ปรับพฤติกรรมก าหนดพฤติกรรมที่ต้องการลดหรือให้ยุติลงให้ ชัดเจน ผู้ปรับพฤติกรรมต้องรู้ว่าพฤติกรรมที่ต้องการลดนั้นได้รับการเสริมแรงจากแห่งใดบ้าง ตัว เสริมแรงที่ได้นั้นต้องไม่เป็นตัวเสริมแรงชนิดแผ่ขยายตัวเสริมแรงที่น ามาใช้ ควรเป็นตัวเสริมแรงที่หาง่าย และมีจ านวนมาก พอกับความต้องการของ ผู้ปรับพฤติกรรมให้ตัวเสริมแรงจ านวนมาก เมื่อผู้ถูกปรับ พฤติกรรมแสดงพฤติกรรมที่ไมพึงประสงค์ การแต่งพฤติกรรม (Shaping) ความหมาย : การสร้างพฤติกรรมใหม่ โดยวิธีการให้การเสริมแรงทางบวกต่อพฤติกรรมที่ คาดหมายว่า จะน าไปสู่พฤติกรรมที่ต้องการ (successive approximation) ตามล าดับที่ก าหนดไว้ หลักการใช้การแต่งพฤติกรรมก าหนดพฤติกรรมเป้าหมายให้ชัดเจนเลือกพฤติกรรมที่บุคคล มักจะ แสดงออกในสภาพการณ์นั้น ที่คาดว่าจะสามารถเสริมแรงไปสู่ พฤติกรรมเป้าหมายได้พิจารณาว่า พฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกที่เลือกมานั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งแค่ไหน (ในกรณีที่ต้องการจะเพิ่มความบ่อยครั้ง ของการแสดงออกของ พฤติกรรมนั้น) หรือมีคุณภาพอย่างไร (ในกรณีที่ต้องการจะพัฒนาคุณภาพของ พฤติกรรมโดยพิจารณาจากผลงาน ก าหนดเกณฑ์ในการเสริมสร้างเป็นขั้นตอน โดยเริ่มจากเกณฑ์ที่บุคคล แสดงอยู่ในสภาพที่เป็น จริง แล้วเพิ่มเกณฑ์ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงพฤติกรรมเป้าหมายเกณฑ์ที่ก าหนดให้ เพิ่มขึ้นนั้นควรจะสามารถเปลี่ยนแปลงโดยการเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพที่เป็น จริงในการปฏิบัติการเกณฑ์ที่ก าหนดไว้นั้นควรจะสามารถเปลี่ยนแปลงโดยการเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ทั้งนี้ เพื่อให้ สอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริงในการปฏิบัติการในการเปลี่ยนเกณฑ์ให้สูงขึ้นในแต่ละขั้นตอนนั้น ควรจะให้พฤติกรรมในเกณฑ์ขั้นต่ ากว่านั้น เกิดขึ้นสม่ าเสมอก่อนแล้วจึงค่อยปรับเกณฑ์ให้สูงขึ้น ท าเช่นนี้ จนกว่าจะบรรลุพฤติกรรมเป้าหมาย เมื่อบุคคลแสดงพฤติกรรมได้ตามเกณฑ์ที่ต้องการอย่าลืมให้การ เสริมแรงในการที่จะปรับเกณฑ์แต่ละขั้นนั้นอาจใช้การชี้แนะหรือตัวแบบเข้าร่วมด้วยจะท าให้ได้ผลดีขึ้น


9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง อ าพาภรณ์เกิดทรัพย์(2559) รายงานการวิจัยเรื่อง การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา พฤติกรรมของนักเรียนในระดับชั้น คณะบริหารธุรกิจวิทยาลัยเทคนิคกระบี่ ผู้วิจัยได้จัดท าแบบสอบถาม เพื่อ ศึกษาสาเหตุของการไม่ส่งงาน/การบ้านของนักเรียนจ านวน 15 ข้อ โดยให้นักเรียนเรียงล าดับสาเหตุ การไม่ส่ง งาน/การบ้านตามล าดับที่มากที่สุดจนถึงน้อยที่สุดจากล าดับ 1 – 15 และได้น าผลของแต่ละ สาเหตุ มาหาค่า ร้อยละ แล้วน าข้อมูลมาวิเคราะห์และหาข้อสรุปพร้อมทั้งนาเสนอในรูปของตาราง ประกอบค าบรรยาย เพื่อศึกษา พฤติกรรมชองนักเรียนในเรื่องการไม่ส่งงาน/การบ้าน ผลการศึกษา จาก การศึกษาและวิเคราะห์แบบสอบถาม เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนักเรียนชั้นปวช. คณะบริหารธุรกิจ ในเรื่อง การไม่ส่งงาน/การบ้าน แสดงให้เห็นว่า สาเหตุของการไม่ส่งงาน/การบ้าน ล าดับที่ 1 คือ การให้การบ้าน มากเกินไป และแบบฝึกหัดยากท าไม่ได้โดยคิด จากนักเรียน 41 คน ที่เลือกเป็นสาเหตุอันดับที่ 1 และ 2 จ านวน 27 คน คิดเป็น ร้อยละ 65.85 ภาริกา รุ่งพิชยพิเชฐ และณัฐพร โชตยะกุล(2561) เรื่องการลดพฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียน ของ นักศึกษาโดยประยุกต์ใช้วิธีการสอนแบบมีส่วนร่วมนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของการใช้ วิธีการสอน แบบปกติและแบบมีส่วนร่วมต่อพฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียน และผลสัมฤทธิ์การศึกษาของ นักศึกษาปริญญา ตรีชั้นปีที่ 1 ก่อนและหลังการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในรายวิชาหลักการ แปรรูปอาหาร จ านวน 29 คน โดยมี เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนการสอนแบบมีส่วนร่วม แบบบันทึก พฤติกรรมก่อนและหลังการ จัดการเรียนการสอนแบบมีส่วนร่วม และแบบทดสอบปรนัยก่อนการเรียน (pre-test) และหลังการเรียน (post- test) ผลการวิจัยพบว่า การจัดการเรียนการสอนแบบมีส่วนร่วมที่ เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยการสอดแทรก กิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น การแข่งขันเล่นเกม ตอบค าถาม การชมคลิปวิดีโอที่มีเนื้อหา สอดคล้องกับ บทเรียน การมอบหมายงานให้น าเสนอหน้าชั้น เรียน รวมถึงการจัดสอบย่อย (quiz) สามารถลดพฤติกรรม การ คุยกันในชั้นเรียนของนักศึกษาได้และท า ให้บรรยากาศในห้องเรียนมีความสนุกสนาน นักศึกษารู้สึกสนุก กระตือรือร้น ตั้งใจรับความรู้และสามารถ จดจ าเนื้อหาได้ดีส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษามีแนวโน้มสูงขึ้น พรทิพย์ เอี่ยมประเสริฐ (2561) รายงานการวิจัยเรื่องการแก้ปัญหาการคุยกันในชั้นเรียนของ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้แอปพลิเคชนั่ class dojo จุดประสงค์เพื่อแก้ปัญหานักเรียนคุยกัน ไม่สนใจเรียนวิชา ประวัติศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เครื่องมือที่ใช้คือ แอปพลิเคชนั่ class dojo เป็น แอปพลิเคชั่นที่บริหารชั้น เรียน แสดงความเคลื่อนไหวของการให้คะแนนและหัก คะแนนในรูปแบบต่างๆ ตามที่ครูก าหนด พร้อมมีตัว การ์ตูนแทนนักเรียนทุกคน ครูแนะน าแอปพลิเคชั่นกับนักเรียน พร้อมทั้ง เลือกตัวการ์ตูนแทนตัวนักเรียน วาง เงื่อนไขในคาบร่วมกันว่า ทุกคนจะได้คะแนนพื้นฐาน เรียกว่าคะแนน Goodboy คนละ 5 คะแนน แต่หากคุย 1 ครั้งจะ ถูกหักคะแนนครั้งละ -3 คะแนน จากนั้นครูสังเกต พฤติกรรมนักเรียน (ครูบันทึกข้อมูลระหว่างการ สังเกต) ระหว่างคาบเรียนมีการแสดงผลคะแนนที่หน้าจอ ทีวีของห้องตลอดเวลา และเมื่อหมดคาบเรียน ก็สรุป คะแนนในครั้งที่ 1 จากการวิจัยนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6/1 จ านวน 49 คน ที่มีพฤติกรรมคุยเล่นในชั้นเรียน


10 สรุปผลได้ ดังนี้1. จากการสังเกตนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6/1 ครั้งที่ 1 ในการให้คะแนนพื้นฐานคนละ 5 คะแนน และหักคะแนน -3 คะแนนทุกครั้งที่คุย จากทั้งหมด 49 คน มีนักเรียนที่ไม่คุยเล่นจ านวน 38 คน และมีนักเรียนที่ โดนหักคะแนนจากการคุยทั้งหมด 11 คน คิดเป็นร้อยละ 22 แสดงว่านักเรียนส่วน หนึ่งยัง ควบคุมตนเองไม่ได้แต่ โดยส่วนใหญ่เริ่มตอบรับกติกาที่ให้จากการสังเกตเพิ่มเติมพบว่านักเรียน ชื่นชอบกับ ตัวการ์ตูนที่แทนตัวเอง มี ความสนุกสนานเมื่อเห็นตัวการ์ตูนของตนเอง การคุยในห้องเรียน ลดลง ไม่ขัดต่อ บรรยากาศการสอน 2.จาก การสังเกตนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6/1 ครั้งที่ 2 ในการให้ คะแนน Goodboyคนละ 5 คะแนน เท่านั้น จาก ทั้งหมด 49 คน มีนักเรียนที่ได้คะแนน Goodboy ทั้งหมด 45 คน นักเรียนที่ไม่คุยเล่นจ านวน 45 คน และ นักเรียนที่ยังคุยเล่นอยู่ 4 คน คิดเป็นร้อยละ 8 แสดงว่านักเรียนส่วนใหญ่เริ่มปรับ พฤติกรรมและให้ความร่วมมือ ต่อกิจกรรม บรรยากาศในห้องเรียน เงียบขึ้น คนคุยเล่นลดน้อยมาก 3. จากการสังเกตนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่6/1 ครั้งที่ 3 ในการให้หัก คะแนนคุยคนละ -3 คะแนน เท่านั้น จากทั้งหมด 49 คน มีนักเรียนที่โดนหักคะแนน เพราะคุย ทั้งหมด 2 คน คิดเป็นร้อยละ 4 แสดงว่านักเรียนส่วนใหญ่เริ่มปรับพฤติกรรมและให้ความร่วมมือต่อ กิจกรรม บรรยากาศในห้องเรียนเงียบ ขึ้น คุยเล่นลดน้อยมาก 4. จากการศึกษานักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6/1 ครั้งที่ 4 ในการให้คะแนน Goodboy คนละ5 คะแนน และหักคะแนนคุยคนละ -3 คะแนน จากทั้งหมด 49 คน ไม่มีนักเรียนที่โดนหักคะแนน คิดเป็นร้อยละ 0 แสดงว่านักเรียนทุกคนเริ่มปรับพฤติกรรมและให้ ความร่วมมือต่อ กิจกรรม บรรยากาศในห้องเรียน เงียบขึ้น นักเรียนรู้กาลเทศะ แม้ไม่ได้ใช้แอปพลิเคชั่น นักเรียนก็มีระเบียบในการเรียน


11 บทที่3 วิธีด าเนินการวิจัย การวิจัยเรื่อง ผลการปรับพฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการ เสริมแรงทางบวก และการเสริมแรงทางลบ ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ผู้วิจัยได้แบ่งวิธีการวิจัยตาม ขั้นตอน ดังต่อไปนี้ ประชากรในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ขั้นตอนด าเนินการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นกลุ่มเดียวกัน ได้แก่ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านทะเลพัฒนา จ านวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบประเมินการแก้ปัญหาการคุยกันของนักเรียนในแต่ละวัน - การคุยในห้องเรียน - การคุยในช่วงครูปฏิบัติการสอน - การคุยในช่วงท ากิจกรรมที่ครูมอบหมาย - การคุยในช่วงสิ้นสุดคาบเรียน ขั้นตอนด าเนินการวิจัย 1. ครูจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และสังเกตพฤตกรรมใน ชั้นเรียนเมื่อพบว่านักเรียนพูดคุยเล่นกันเสียงดังในระหว่างเรียน ครูได้ตักเตือนเป็นระยะ พร้อมวางเงื่อนไข การหักคะแนน จากนั้นสังเกตพฤติกรรมเมื่อพบนักเรียนยังไม่สามารถหยุดการคุยเล่นในคาบเรียนได้ ครู วางแผนการวิจัย โดยใช้ใน ระยะเวลา 4 สัปดาห์ครูด าเนินการวิจัยใน 4 สัปดาห์ดังนี้ 4.1 ครูด าเนินการวิจัยในสัปดาห์ที่ 1 ครูเตรียมกระดานไวท์บอร์ด แล้วท าตารางให้มีชื่อ นักเรียนทุก คน และมีช่องให้คะแนน และช่องหักคะแนน ติดกระดานบริเวณมุมที่นักเรียนมองเห็นได้ชัด ครูและนักเรียนวางเงื่อนไขในคาบร่วมกันว่า ทุกคนจะได้คะแนนพื้นฐาน เรียกว่าคะแนน Superchild คน ละ 5 คะแนน แต่หากคุย 1 ครั้งจะ ถูกหักคะแนนครั้งละ 3 คะแนน จากนั้นครูสังเกตพฤติกรรมนักเรียน ในขณะสอน และเมื่อหมดคาบเรียน ก็สรุปคะแนนในแต่ละครั้ง


12 4.2 ครูด าเนินการวิจัยในสัปดาห์ที่ 2 ครูวางเงื่อนไขพิเศษเฉพาะสัปดาห์นี้ โดยจะให้คะแนน Superchild คนละ 5 คะแนน เฉพาะนักเรียนที่ไม่คุยเท่านั้น หมายความว่านักเรียนต้องปฏิบัติตนเรียนอยู่ ใน กติกาถึงจะได้(เสริมแรงทางบวก) ส่วนคนที่คุยก็จะไม่ได้คะแนนนี้(ครูบันทึกข้อมูลระหว่างการสังเกต) 4.3 ครูด าเนินการวิจัยในสัปดาห์ที่ 3 ครูวางเงื่อนไขพิเศษเฉพาะสัปดาห์นี้ โดยจะไม่ให้คะแนน Superchild แต่จะหักคะแนนคนคุย ครั้งละ 3 คะแนน หมายความว่านักเรียนต้องปฏิบัติตนอยู่ในกติกาถึง จะไม่ โดนหักคะแนน (เสริมแรงทางลบ) ส่วนคนที่ ไม่คุยก็จะไม่ได้หักคะแนนใดๆเลย เป็นการรักษา คะแนนให้มากที่สุด (ครูบันทึกข้อมูลระหว่างการสังเกต) 4.4 ครูด าเนินการวิจัยในสัปดาห์ที่ 4 ครูวางเงื่อนไขพิเศษเฉพาะสัปดาห์นี้ โดยจะให้คะแนน Superchild คนละ 5 คะแนนเป็นช่วงๆช่วงละ10 นาทีและหักคะแนนคนคุยเป็นช่วงๆเช่นกัน ครั้งละ 3 คะแนน เพื่อให้นักเรียนได้รับการกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา และรักษา กติกามารยาท (ครูบันทึกข้อมูลระหว่าง การสังเกต) ครูสรุปผลคะแนนให้นักเรียน พร้อมมอบรางวัลให้นักเรียนที่ได้คะแนน Superchild มากที่สุด 3 อันดับ รางวัลอาจเป็นกล่องดินสอ สายคล้องแมส สมุด ปากกา ฯลฯ พร้อมให้ข้อคิดว่า แม้ไม่มีเครื่องมือ ใดมาก ากับ นักเรียน นักเรียนก็ยังคง ต้องปฏิบัติตนอย่างดีในคาบเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ใช้สถิติพื้นฐานในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ(%)


13 บทที่4 ผลการวิจัย การวิจัยเรื่อง ผลการปรับพฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการเสริมแรงทางบวก และการเสริมแรงทางลบ ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ได้ผลการวิจัยแยกเป็น 4 สัปดาห์ดังนี้ ผลด าเนินการวิจัย สัปดาห์ที่1 จากการสังเกตนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ครั้งที่ 1 ในการให้คะแนนพื้นฐานคนละ 5 คะแนน และ หักคะแนน 3 คะแนนทุกครั้งที่คุย จากทั้งหมด 7 คน มีนักเรียนที่ไม่คุยเล่นจ านวน 2 คน และมี นักเรียนที่ โดนหักคะแนนจากการคุยทั้งหมด 5 คน คิดเป็นร้อยละ 57.14 แสดงว่านักเรียนส่วนหนึ่งยัง ควบคุมตนเองไม่ได้แต่ โดยส่วนใหญ่เริ่มตอบรับกติกาที่ให้ สัปดาห์ที่2 จากการสังเกตนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ครั้งที่ 2 ในการให้คะแนน Superchild คนละ 5 คะแนน เท่านั้น จากทั้งหมด 7 คน มีนักเรียนที่ได้คะแนน Superchild ทั้งหมด 4 คน นักเรียนที่ไม่คุยเล่น จ านวนนวน 4 คน และนักเรียนที่ยังคุยเล่นอยู่ 3 คน คิดเป็นร้อยละ 42.87แสดงว่านักเรียนส่วนใหญ่เริ่ม ปรับ พฤติกรรมและให้ความร่วมมือต่อกิจกรรม บรรยากาศในห้องเรียนเงียบขึ้น คนคุยเล่นลดน้อยมาก สัปดาห์ที่3 จากการสังเกตนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ครั้งที่ 3 ในการให้หักคะแนนคุยคนละ 3 คะแนน เท่านั้น จากทั้งหมด 7 คน มีนักเรียนที่โดนหักคะแนนเพราะคุย ทั้งหมด 2 คน คิดเป็นร้อยละ 28.57 แสดงว่า นักเรียนส่วนใหญ่เริ่มปรับพฤติกรรมและให้ความร่วมมือต่อกิจกรรม บรรยากาศในห้องเรียนเงียบ ขึ้น คุย เล่นลด น้อยมาก สัปดาห์ที่4 จากการศึกษานักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ครั้งที่ 4 ในการให้คะแนน Superchild คนละ 5 คะแนน และหักคะแนนคุยคนละ 3 คะแนน จากทั้งหมด 7 คน ไม่มีนักเรียนที่โดนหักคะแนน คิดเป็นร้อย ละ 0 แสดงว่า นักเรียนทุกคนเริ่มปรับพฤติกรรมและให้ความร่วมมือต่อกิจกรรม บรรยากาศในห้องเรียน เงียบขึ้น นักเรียนรู้ กาลเทศะ แม้ไม่ได้ตั้งเงื่อนไขใดๆ นักเรียนก็มีระเบียบในการเรียน ผลการสังเกตพฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการ เสริมแรง ทางบวก และการเสริมแรงทางลบ ช่วงเวลาที่คุย แยกดังนี้คุยในช่วงเวลาเริ่มเรียน คุยในช่วง เวลาครูปฏิบัติการสอนคุยในช่วงกิจกรรมที่ครูมอบหมายคุยในช่วงสิ้นสุดคาบเรียน


14 ตารางบันทึกผล การสังเกตพฤติกรรมการคุยกัน การคุยกันในชั้นเรียน ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการเสริมแรงทางบวก และการเสริมแรงทางลบ ในรายวิชาคณิตศาสตร์ สัปดาห์ ที่ กติกา จ านวน นักเรียนที่ เข้าเรียน จ านวน นักเรียน ที่ ไม่คุย จ านวน นักเรียน ที่คุย จ านวน นักเรียนที่ คุยร้อยละ 1 ทุกคนจะได้คะแนนพื้นฐาน เรียกว่าคะแนน Superchild คนละ 5 คะแนน ทุกครั้งที่เรียน คณิตศาสตร์แต่หากคุย 1 ครั้งจะ ถูกหักคะแนนครั้ง ละ 3 คะแนน 7 2 5 57.14 2 ให้คะแนน Superchild คนละ 5 คะแนน เฉพาะ นักเรียนที่ไม่คุยเท่านั้น(เสริมแรงทางบวก) ส่วนคนที่ คุยก็จะไม่ได้คะแนนนี้ 7 4 3 42.87 3 ไม่ให้คะแนน Superchild แต่จะหักคะแนนคนคุย ครั้งละ 3 คะแนน (เสริมแรงทางลบ) ส่วนคนที่ไม่คุย ก็จะไม่ได้หักคะแนนใดๆเลย เป็นการรักษาคะแนนให้ มากที่สุด 7 5 2 28.57 4 ให้คะแนน Superchild คนละ 5 คะแนนเป็นช่วงๆ ช่วงละ 10 นาที และหักคะแนนคนคุยเป็นช่วงๆ เช่นกัน ครั้งละ 3 คะแนน 7 0 0 0 จากตาราง การสังเกตพฤติกรรมการคุยกัน การคุยกันในชั้นเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 ด้วยการเสริมแรงทางบวก และการเสริมแรงทางลบ สัปดาห์ที่ 1 พบว่านักเรียนที่ไม่คุยกัน 2 คน นักเรียนที่คุย กัน 5 คนคิดเป็นร้อยละ 57.14 สัปดาห์ที่ 2 พบว่านักเรียนที่ไม่คุยกัน 4 คน นักเรียนที่คุยกัน 3 คนคิดเป็นร้อยละ 42.87 สัปดาห์ที่ 3 พบว่านักเรียนที่ไม่คุยกัน 5 คน นักเรียนที่คุยกัน 2 คนคิดเป็นร้อย ละ 28.57 สัปดาห์ที่ 4 พบว่านักเรียนที่ไม่คุยกัน 7 คน นักเรียนที่คุยกัน 0 คนคิดเป็นร้อยละ 0


15 บทที่5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง ผลการปรับพฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการเสริมแรงทางบวก และการเสริมแรงทางลบ ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ได้ผลสรุปผล อภิปรายผล และ ข้อเสนอแนะดังนี้ สรุปผล ผลการวิจัยเรื่องการปรับพฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วย การเสริมแรงทางบวก และการเสริมแรงทางลบ สัปดาห์ที่ 1 พบว่านักเรียนที่ไม่คุยกัน 2 คน นักเรียนที่คุย กัน 5 คนคิดเป็นร้อยละ 57.14 สัปดาห์ที่ 2 พบว่านักเรียนที่ไม่คุยกัน 4 คน นักเรียนที่คุยกัน 3 คนคิดเป็น ร้อยละ 42.87 สัปดาห์ที่ 3 พบว่านักเรียนที่ไม่คุยกัน 5 คน นักเรียนที่คุยกัน 2 คนคิดเป็นร้อยละ 28.57 สัปดาห์ที่ 4 พบว่านักเรียนที่ไม่คุยกัน 7 คน นักเรียนที่คุยกัน 0 คนคิดเป็นร้อยละ 0 ดังนั้นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน จ านวน 7 คน ที่ได้รับการปรับพฤติกรรม การคุย กันในชั้นเรียน ด้วยการเสริมแรงทางบวก และการเสริมแรงทางลบ มีพฤติกรรมการคุยกันหรือพฤติกรรม ที่ ไม่พึงประสงค์หลังเรียน ดีขึ้น 100 เปอร์เซ็น อภิปรายผล จากการสังเกตนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ครั้งที่ 1 ในการให้คะแนนพื้นฐานคนละ 5 คะแนน และหัก คะแนน 3 คะแนนทุกครั้งที่คุย จากทั้งหมด 7 คน มีนักเรียนที่ไม่คุยเล่นจ านวน 2 คน และมี นักเรียนที่โดนหัก คะแนนจากการคุยทั้งหมด 5 คน คิดเป็นร้อยละ 57.14 แสดงว่านักเรียนส่วนหนึ่งยัง ควบคุมตนเองไม่ได้แต่โดยส่วน ใหญ่เริ่มตอบรับกติกาที่ให้จากการสังเกตนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ครั้งที่ 2 ในการให้คะแนน Superchild คนละ 5 คะแนน เท่านั้น จากทั้งหมด 7 คน มีนักเรียนที่ได้ คะแนน Superchild ทั้งหมด 7 คน นักเรียนที่ไม่คุย เล่น จ านวน 4 คน และนักเรียนที่ยังคุยเล่นอยู่ 3 คน คิดเป็นร้อยละ 42.87 แสดงว่านักเรียนส่วนใหญ่เริ่มปรับ พฤติกรรมและให้ความร่วมมือต่อกิจกรรม บรรยากาศในห้องเรียนเงียบขึ้น คนคุยเล่นลดน้อยมาก จากการ สังเกตนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ครั้ง ที่ 3 ในการให้หักคะแนนคุยคนละ 3 คะแนน เท่านั้น จากทั้งหมด 7 คน มีนักเรียนที่โดนหักคะแนนเพราะ คุย ทั้งหมด 2 คน คิดเป็นร้อยละ 28.57 แสดงว่านักเรียนส่วนใหญ่เริ่มปรับพฤติกรรมและให้ความร่วมมือ ต่อกิจกรรม บรรยากาศในห้องเรียนเงียบ ขึ้น คุยเล่นลดน้อยมาก จากการศึกษา นักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 ครั้งที่ 4 ในการให้คะแนน Superchild คนละ5 คะแนน และหักคะแนนคุยคนละ 3 คะแนน จาก ทั้งหมด 7 คน ไม่มีนักเรียนที่โดนหักคะแนน คิดเป็นร้อยละ 0 แสดงว่านักเรียนทุกคนเริ่มปรับ พฤติกรรม และให้ความร่วมมือต่อกิจกรรม บรรยากาศในห้องเรียน เงียบขึ้น นักเรียนรู้กาลเทศะ แม้ไม่มีเงื่อนไข ใด ๆ นักเรียนก็มีระเบียบในการเรียน


16 ข้อเสนอแนะ อาจมีการพัฒนาวิธีการโดยให้นักเรียนร่วมสร้างกติกา หรือสะสมคะแนนเด็กดีเมื่อท าความดีเพื่อ สร้าง แรงจูงใจในการปรับพฤติกรรม เป็นต้น ในการวิจัยครั้งต่อไปอาจจะเป็นการช่วยเหลือนักเรียนใน พฤติกรรมด้านต่างๆเพื่อช่วยให้นักเรียน สามารถเรียนรู้ได้ดีมากขึ้น


17 บรรณานุกรม นนทวุฒิกิตติวโยธิน (2557),การแกปัญหาการคุยในชั้นเรียนของนักเรียนชั้นป. 5/3 http://swis.acp.ac.th/html_edu/acp/temp_research/327.pdf พรทิพย์เอี่ยมประเสริฐ (2561), รายงานการวิจัยเรื่องการแก้ปัญหาการคุยกันในชั้นเรียนของ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้แอปพลิเคชนั่ class dojo https://www.sd.ac.th/main/wp-content/uploads/2018/research/3.PORNTIP.pdf ภาริกา รุ่งพิชยพิเชฐ1 และณัฐพร โชตยะกุล, การลดพฤติกรรมการคุยกันในชั้นเรียนของนักศึกษา โดยประยุกต์ใช้ วิธีการสอนแบบมีส่วนร่วม file:///C:/Users/DLIT/Downloads/137308- Article%20Text-364107


18 ภาคผนวก


19 แบบประเมินการแก้ปัญหาการคุยกันในชั้นเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการเสริมแรงทางบวกและการเสริมแรงทางลบในรายวิชาคณิตศาสตร์ศาสตร์ โรงเรียนบ้านทะเลพัฒนา สัปดาห์ที่ 1 วันที่ 13 มกราคม 2566 ค าชี้แจง ให้ผู้บันทึกท าเครื่องหมาย / ลงช่องที่ตรงกับพฤติกรรมของนักเรียน เลขที่ ชื่อ-นามสกุล ไม่คุย ช่วงเวลาที่คุย การคุยใน คะแนนที่ได้ ห้องเรียน คุยในช่วงครู ปฏิบัติการสอน คุยในช่วงท า กิจกรรมที่ครู มอบหมาย การคุยในช่วง สิ้นสุดคาบเรียน 1 เด็กชายณัฐชานนท์ แช่มผักแว่น -12 2 เด็กชายเทพทัต จินตกสิกาล -12 3 เด็กชายปัญญา หลาแก้ว -12 4 เด็กชายกันตภัทร เมธาเธียน 2 5 เด็กหญิง นันทนัช เทพอินแดง 5 6 เด็กหญิงกันตนา นาคเมือง 5 7 เด็กหญิงแพรวา เชญชาญ -12 ** หมายเหตุคะแนนที่ได้ให้เป็นไปตาม กติกาที่ครูผู้สอนก าหนดในแต่ละสัปดาห์ สัปดาห์ที่1 ทุกคนจะได้คะแนนพื้นฐาน เรียกว่าคะแนน Superchild คนละ 5 คะแนน แต่หากคุย 1 ครั้ง จะ ถูกหัก คะแนนครั้งละ 3 คะแนน สัปดาห์ที่2 ให้คะแนน Superchild คนละ 5 คะแนน เฉพาะนักเรียนที่ไม่คุยเท่านั้นส่วนคนที่คุยก็จะ ไม่ได้คะแนนนี้ สัปดาห์ที่3 ไม่ให้คะแนน Superchild แต่จะหักคะแนนคนคุย ครั้งละ 3 คะแนน (เสริมแรงทางลบ) ส่วนคนที่ ไม่คุย ก็จะไม่ได้หักคะแนนใดๆเลย เป็นการรักษาคะแนนให้มากที่สุด สัปดาห์ที่ 4 ให้คะแนน Superchild คนละ 5 คะแนนเป็นช่วงๆช่วงละ10 นาทีและหักคะแนนคนคุย เป็นช่วงๆ เช่นกัน ครั้งละ 3 คะแนน


20 แบบประเมินการแก้ปัญหาการคุยกันในชั้นเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการเสริมแรงทางบวกและการเสริมแรงทางลบในรายวิชาคณิตศาสตร์ศาสตร์ โรงเรียนบ้านทะเลพัฒนา สัปดาห์ที่ 2 วันที่ 20 มกราคม2566 ค าชี้แจง ให้ผู้บันทึกท าเครื่องหมาย / ลงช่องที่ตรงกับพฤติกรรมของนักเรียน เลขที่ ชื่อ-นามสกุล ไม่คุย ช่วงเวลาที่คุย การคุยใน คะแนนที่ได้ ห้องเรียน คุยในช่วงครู ปฏิบัติการ สอน คุยในช่วงท า กิจกรรมที่ครู มอบหมาย การคุยในช่วง สิ้นสุดคาบ เรียน 1 เด็กชายณัฐชานนท์ แช่มผักแว่น -9 2 เด็กชายเทพทัต จินตกสิกาล 5 3 เด็กชายปัญญา หลาแก้ว -6 4 เด็กชายกันตภัทร เมธาเธียน -12 5 เด็กหญิง นันทนัช เทพอินแดง 5 6 เด็กหญิงกันตนา นาคเมือง 5 7 เด็กหญิงแพรวา เชญชาญ -6 ** หมายเหตุคะแนนที่ได้ให้เป็นไปตาม กติกาที่ครูผู้สอนก าหนดในแต่ละสัปดาห์ สัปดาห์ที่1 ทุกคนจะได้คะแนนพื้นฐาน เรียกว่าคะแนน Superchild คนละ 5 คะแนน แต่หากคุย 1 ครั้ง จะ ถูกหัก คะแนนครั้งละ 3 คะแนน สัปดาห์ที่2 ให้คะแนน Superchild คนละ 5 คะแนน เฉพาะนักเรียนที่ไม่คุยเท่านั้นส่วนคนที่คุยก็จะ ไม่ได้คะแนนนี้ สัปดาห์ที่3 ไม่ให้คะแนน Superchild แต่จะหักคะแนนคนคุย ครั้งละ 3 คะแนน (เสริมแรงทางลบ) ส่วนคนที่ ไม่คุย ก็จะไม่ได้หักคะแนนใดๆเลย เป็นการรักษาคะแนนให้มากที่สุด สัปดาห์ที่ 4 ให้คะแนน Superchild คนละ 5 คะแนนเป็นช่วงๆช่วงละ10 นาทีและหักคะแนนคนคุย เป็นช่วงๆ เช่นกัน ครั้งละ 3 คะแนน


21 แบบประเมินการแก้ปัญหาการคุยกันในชั้นเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการเสริมแรงทางบวกและการเสริมแรงทางลบในรายวิชาคณิตศาสตร์ศาสตร์ โรงเรียนบ้านทะเลพัฒนา สัปดาห์ที่ 3 วันที่ 27 มกราคม2566 ค าชี้แจง ให้ผู้บันทึกท าเครื่องหมาย / ลงช่องที่ตรงกับพฤติกรรมของนักเรียน เลขที่ ชื่อ-นามสกุล ไม่คุย ช่วงเวลาที่คุย การคุยใน คะแนนที่ได้ ห้องเรียน คุยในช่วงครู ปฏิบัติการ สอน คุยในช่วงท า กิจกรรมที่ครู มอบหมาย การคุยในช่วง สิ้นสุดคาบ เรียน 1 เด็กชายณัฐชานนท์ แช่มผักแว่น -6 2 เด็กชายเทพทัต จินตกสิกาล 5 3 เด็กชายปัญญา หลาแก้ว 5 4 เด็กชายกันตภัทร เมธาเธียน -9 5 เด็กหญิง นันทนัช เทพอินแดง 5 6 เด็กหญิงกันตนา นาคเมือง 5 7 เด็กหญิงแพรวา เชญชาญ 5 ** หมายเหตุคะแนนที่ได้ให้เป็นไปตาม กติกาที่ครูผู้สอนก าหนดในแต่ละสัปดาห์ สัปดาห์ที่1 ทุกคนจะได้คะแนนพื้นฐาน เรียกว่าคะแนน Superchild คนละ 5 คะแนน แต่หากคุย 1 ครั้ง จะ ถูกหัก คะแนนครั้งละ 3 คะแนน สัปดาห์ที่2 ให้คะแนน Superchild คนละ 5 คะแนน เฉพาะนักเรียนที่ไม่คุยเท่านั้นส่วนคนที่คุยก็จะ ไม่ได้คะแนนนี้ สัปดาห์ที่3 ไม่ให้คะแนน Superchild แต่จะหักคะแนนคนคุย ครั้งละ 3 คะแนน (เสริมแรงทางลบ) ส่วนคนที่ ไม่คุย ก็จะไม่ได้หักคะแนนใดๆเลย เป็นการรักษาคะแนนให้มากที่สุด สัปดาห์ที่ 4 ให้คะแนน Superchild คนละ 5 คะแนนเป็นช่วงๆช่วงละ10 นาทีและหักคะแนนคนคุย เป็นช่วงๆ เช่นกัน ครั้งละ 3 คะแนน


22 แบบประเมินการแก้ปัญหาการคุยกันในชั้นเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการเสริมแรงทางบวกและการเสริมแรงทางลบในรายวิชาคณิตศาสตร์ศาสตร์ โรงเรียนบ้านทะเลพัฒนา สัปดาห์ที่ 4 วันที่ กุมภาพันธ์ 2566 ค าชี้แจง ให้ผู้บันทึกท าเครื่องหมาย / ลงช่องที่ตรงกับพฤติกรรมของนักเรียน เลขที่ ชื่อ-นามสกุล ไม่คุย ช่วงเวลาที่คุย การคุยใน คะแนนที่ได้ ห้องเรียน คุยในช่วงครู ปฏิบัติการ สอน คุยในช่วงท า กิจกรรมที่ครู มอบหมาย การคุยในช่วง สิ้นสุดคาบ เรียน 1 เด็กชายณัฐชานนท์ แช่มผักแว่น 5 2 เด็กชายเทพทัต จินตกสิกาล 5 3 เด็กชายปัญญา หลาแก้ว 5 4 เด็กชายกันตภัทร เมธาเธียน 5 5 เด็กหญิง นันทนัช เทพอินแดง 5 6 เด็กหญิงกันตนา นาคเมือง 5 7 เด็กหญิงแพรวา เชญชาญ 5 ** หมายเหตุคะแนนที่ได้ให้เป็นไปตาม กติกาที่ครูผู้สอนก าหนดในแต่ละสัปดาห์ สัปดาห์ที่1 ทุกคนจะได้คะแนนพื้นฐาน เรียกว่าคะแนน Superchild คนละ 5 คะแนน แต่หากคุย 1 ครั้ง จะ ถูกหัก คะแนนครั้งละ 3 คะแนน สัปดาห์ที่2 ให้คะแนน Superchild คนละ 5 คะแนน เฉพาะนักเรียนที่ไม่คุยเท่านั้นส่วนคนที่คุยก็จะ ไม่ได้คะแนนนี้ สัปดาห์ที่3 ไม่ให้คะแนน Superchild แต่จะหักคะแนนคนคุย ครั้งละ 3 คะแนน (เสริมแรงทางลบ) ส่วนคนที่ ไม่คุย ก็จะไม่ได้หักคะแนนใดๆเลย เป็นการรักษาคะแนนให้มากที่สุด สัปดาห์ที่ 4 ให้คะแนน Superchild คนละ 5 คะแนนเป็นช่วงๆช่วงละ10 นาทีและหักคะแนนคนคุย เป็นช่วงๆ เช่นกัน ครั้งละ 3 คะแนน


23 การจัดกิจกรรมในชั้นเรียน


24 การสังเกตพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้


25 การสังเกตพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้


รายงานวิจัยในชั้นเรียน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านทะเลพัฒนา ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาก าแพงเพชร เขต 2 ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ


Click to View FlipBook Version