The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ชบาซ้อนbyอนันธชัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kasanee.kam, 2019-09-25 04:20:14

ชบาซ้อนbyอนันธชัย

ชบาซ้อนbyอนันธชัย

ชอื่ พนั ธไ์ุ ม้ ชบาซอ้ น รหสั พรรณไม้ ๗-๙๐๐๐๐-๐๐๕-๐๕๑/๔

ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์

บรเิ วณทส่ี ารวจ หนา้ อาคาเรียน 2 บรเิ วณหน้าธนาคารโรงเรยี น วนั ทส่ี ารวจ 6/8/2562

ผสู้ ารวจ นายอนนั ธชยั พลดั บญุ ทอง ชนั้ ปวส.1/1

ผรู้ ว่ มสารวจ 1.................................................................. ชนั้ ..................................................................

ผรู้ ว่ มสารวจ 2................................................................ ชนั้ ..................................................................

ผรู้ ว่ มสารวจ 3................................................................. ชนั้ ..................................................................

ผรู้ ว่ มสารวจ 4.................................................................. ชนั้ ..................................................................

ผรู้ ว่ มสารวจ 5.................................................................. ชนั้ ..............................................................

วทิ ยาลยั เทคโนโลยีวชิราโปลีสงขลา
ถนนทะเลหลวง ตาบล บอ่ ยาง อาเภอ เมอื ง จงั หวดั สงขลา รหสั ไปรษณยี ์ 90000

ก.7-003 (ฉบบั ปรบั ปรงุ 2562)

ขอ้ มลู พน้ื บา้ น

(ข้อมลู เกี่ยวกับการใชป้ ระโยชน์ และขอ้ มูลอื่น ๆ จากการสอบถามคนในทอ้ งถน่ิ )

ชอ่ื พนื้ เมือง(ชือ่ ในทอ้ งถน่ิ ท่เี ก็บตวั อย่างพนั ธุ์ไม)้ ชบาซอ้ น

การใชป้ ระโยชนใ์ นทอ้ งถน่ิ (ระบุส่วนทใี่ ชแ้ ละวิธกี ารใช)้ :
อาหาร ชว่ ยดับรอ้ นในรา่ งกาย แก้กระหาย และชว่ ยแก้ไข้ ด้วยการใช้ดอกชบา 4 ใบนามาแชใ่ นนา้ ต้มสกุ 2 แก้วแล้วดืม่ ตา่ ง

นา้ (ดอก)
ยารกั ษาโรค
กอ่ สรา้ ง เคร่ืองเรอื น -
ยาฆา่ แมลง ยาปราบศัตรูพืช -
ความเก่ยี วขอ้ งกับประเพณี วฒั นธรรม หรือความเชื่อทางศาสนา -
อ่ืน ๆ (เช่น การเป็นพษิ อนั ตราย -

ท่มี าของขอ้ มูล: ผใู้ หข้ ้อมูลช่ือ นายกรเทศ เทศเดชา อายุ 42
ทอ่ี ยู่ บ้านเลขที่ 36/7 หมู่ 3 ตาบลเขารูปช้าง อาเภอเมอื งจังหวดั สงขลา รหสั ไปรษณีย์ 9000

วนั ทีบ่ นั ทึกข้อมลู 6/8/2562 สถานท่บี นั ทกึ บา้ นเลขท่ี 36/7 หมู่ 3 ตาบลเขารูปช้าง อาเภอเมืองจงั หวดั สงขลา รหัสไปรษณีย์ 9000

ขอ้ มลู พรรณไม้

ลกั ษณะวสิ ยั (habit)

ไมต้ ้น(tree)  ไมพ้ ุ่ม(shrub) ไมล้ ม้ ลุก(herb) ไม้เลื้อย(climber)
ลกั ษณะวสิ ยั อน่ื ๆ

ไผ่ (bamboo เฟิรน์ (fern) กล้วยไม้ (orchid) ปาลม์ (palm)

ไม้พ่มุ (Shrub & Bush) คอื พนั ธุท์ ี่มคี วามสงู ไม่เกิน 6 เมตร ลักษณะของการแตกกิง่ กา้ นสาขาในระดบั ใกล้กบั ผวิ ดนิ ทา
ใหไ้ มน้ น้ั ๆ ดเู หมอื นกับไม้พุ่ม ไม้พุ่มบางชนิดเมื่อมอี ายุมากข้ึน ก็จะมีเนือ้ ไมเ้ หมอื นกับตน้ ไม้ใหญ่ แต่กม็ ีต้นไมบ้ างชนดิ เม่ือขยายพันธุด์ ้วย
การปกั กิ่ง หรอื ชากิ่งเมื่อโตมาก็จะมลี ักษณะเป็นพุ่มไดเ้ หมอื นกัน

เรอื นยอด ทรงพมุ่ (crown shape)

กลม (rounded) ทรงกระบอก (cylindric) รปู ร่ม (umbellate) รูปกรวย (conica

รปู คล้ายฉตั ร(Verticillate)  รปู แตกไมเ่ ปน็ ระเบียบ(irregular) รูปมกี ่ิงหอ้ ยยอ้ ยลงมา(irregular)

คอื ลกั ษณะของลาตน้ เป็นอวัยวะของพชื ท่เี จริญมาจากส่วนของเอม็ บริโอทีอ่ ยู่เหนือรากแรกเกิดภายในเมลด็ โดยเจริญมาจาก
สว่ นของลาต้นเหนอื ใบเล้ียง (epicotyl) ซ่ึงมยี อดแรกเกดิ (plumule) เจรญิ แบ่งเซลลไ์ ปเร่ือยๆ ทาให้ลาตน้ สูงขน้ึ และเกดิ ยอดใหม่

ความสงู 1 ม. ความกว้างทรงพุ่ม 45 ซม.

ถน่ิ อาศยั (habitat) พืชอิงอาศยั (epiphyte) กาฝาก (parasite)
 พชื บก (terrestrial)

พืชนา้ (aquatic) :

พืชใตน้ า้ (submerged plant) พชื โผล่เหนอื น้า (emerged plant)

พชื ลอยน้า (floating plant) พืชชายน้า (marginal plant)

หมายถึงกลุ่มพืชทีเ่ ติบโตบนพื้นแผ่นดนิ (ซง่ึ มคี วามหมายต่างจากพชื น้า) ประกอบไปดว้ ยตน้ ไม้, ไมด้ อก, เฟริ ์น, มอสส์ และ
พืชบกสีเขียวอ่นื ๆ ท้งั หมดเป็นยูแครโิ อตหลายเซลล์ท่สี ลับซับซ้อนท่ีมีอวยั วะสาหรบั สบื พันธุ์เป็นแบบพเิ ศษ พืชบกได้รับพลงั งานจากการ
สงั เคราะหด์ ว้ ยแสงและสงั เคราะห์อาหารจากคาร์บอนไดออกไซด์ พืชบกอาจต่างจากสาหร่ายหลายเซลลท์ ่ีใชค้ ลอโรฟิลล์โดยสาหร่ายมี
อวัยวะสบื พนั ธ์ุนั้นเปน็ หมนั พชื บกส่วนมากปรบั ตัวอาศัยอยู่บนบกแต่กม็ ีบางส่วนอาศยั อยูใ่ นน้า เชน่ สาหร่ายหางกระรอ

ลาตน้ (stem)
ชนดิ ของลาตน้
ลาตน้ ใตด้ นิ (underground stem) :

 เหง้า (rhizome) หวั แบบมันฝรั่ง (tuber)

หวั แบบหวั หอม (bulb) หัวแบบเผือก (corm)

ลาตน้ ใตด้ ินท่ีทอดนอนขนานไปกับผิวดิน มขี ้อและปลอ้ งท่ีชดั เจน มีเกลด็ ใบ (Scale leaf) คลมุ ท่ีข้อ มรี ากและตาเกิดบรเิ วณ
ข้อเช่น ลาต้นขิง ขา่ กลว้ ย

ลาตน้ เหนอื ดนิ (aerial stem) :

 ตงั้ ตรงเองได้

ตงั้ ตรงเองไมไ่ ด้ :

ใชล้ าตน้ เกยี่ วพนั (twining) ใชม้ ือเกาะ (tendril)

ใชต้ ะขอ (hook) หรอื หนามยดึ เกาะ ใชร้ ากยึดเกาะ (climbing root)
ทอดนอนตามพน้ื ดนิ :

ทอดนอน(procumbent) ทอดชูยอด(decumbent) เกาะเลื้อย(creeping)

เปลอื กลาตน้  ขรขุ ระ แตกเปน็ สะเก็ด แตกเป็นเสน้
สี นา้ ตาล
ลกั ษณะ : อื่น ๆ ............................

เรยี บ
มีหนาม
ยาง

 ไม่มี

มี:
สีขาวใส สขี าวข่นุ สอี น่ื ๆ ........................

ใบ (leaf)
ชนดิ ของใบ

 ใบเดย่ี ว (simple leaf) ใบประกอบ (compound leaf) แบบนวิ้ มอื (palmate)

ขนนกชน้ั เดยี ว (pinnate) ขนนกสองชน้ั (bipinnate) ขนนกสามชนั้ (tripinnate)

ขนนกปลายค่ี (odd-pinnate) ขนนกปลายคู่ (even-pinnate)

สี เขียว ขนาดแผน่ ใบ กวา้ ง 6 ซม. ยาว 8 ซม.
ลักษณะพิเศษของใบ โคนใบมนหรอื กวา้ ง ปลายใบแหลม ขอบใบหยักมนหรอื จักฟนั เล่อื ยหรอื เว้าเป็น 3 พู แผ่นใบบาง สีเขยี วเข้ม กา้ น
ใบยาว 2-4 ซม. มีหูใบแบบ free lateral stipule

การเรยี งตวั ของใบบนกงิ่ (phyllotaxy)

สลับ (alternate) สลับระนาบเดียว (distichous) กระจุก (fascicled)

ตรงขา้ ม (opposite)  ตรงขา้ มสลับตงั้ ฉาก(decussate) เป็นวงรอบ (whorled)

คล้ายแบบจุก (Clusterd) กหุ ลาบซ้อน (rosette)

เป็นใบท่มี ีคลอโรฟิลล์ ทาหน้าทส่ี งั เคราะหแ์ สง คายนา้ และหายใจ ประกอบดว้ ยส่วนสาคญั 2 ส่วนคือ แผ่นใบ (blade หรือ
lamina) และ กา้ นใบ (petiole หรือ leaf stalk) นอกจากนพ้ี ชื บางชนดิ อาจมหี ใู บ (stipule) อยู่ขา้ งกา้ นใบ แผน่ ใบประกอบดว้ ยเส้น
ใบ (vein) ซึ่งเป็นกล่มุ เนื้อเยื่อท่อลาเลียง (vascular tissue) ทาหนา้ ท่ลี าเลยี งธาตอุ าหาร นา้ และช่วยให้แผน่ ใบคงรปู อย่ไู ด้.....

ใบเปลย่ี นแปลงไปทาหนา้ ทพ่ี เิ ศษ (Modified Leaf)

ใบมือเกาะ(leaf tendrils) ใบหนาม(spinose leaf) ใบกินแมลง(insectivorous leaf)

ใบสะสมอาหาร(storage leaf) ใบขยายพันธ์ (reproductive leaf)

การเรยี งตวั ของเสน้ ใบ (Leaf Venation)

การเรยี งเสน้ ใบแยกสองแฉก (Dichotomous Venation)

 การเรยี งเสน้ ใบแบขนาน (Paralle Venation)

การเรยี งเส้นใบแบบขนานรปู ฝ่ามือ เสน้ ใบขนานแบบขนนก
(palmatelyparalled venation)  (pinnately parallel venation)

เสน้ ใบรา่ งแห (Netted หรอื Reticulated Venation)

เสน้ ใบร่างแหแบบฝ่ามอื เส้นใบรา่ งแหแบบขนนก
(palmately netted venation  ( pinnately netted venation)

การเรยี งเส้นใบทเ่ี รยี งออกไปทุกทิศทาง โดยมาออกจากเส้นกลางใบตง้ั แตโ่ คนใบไปจนถึงปลายใบ เส้นใบย่อยเรียงประสานกัน
เป็นร่างแหรูปรา่ งแผน่ ใบ (leaf shape)

รูปเข็ม (acicular, needle shaped) รูปแถบ (linear) รูปขอบขนาน (oblong) รูปรี (elliptic)

รปู ใบหอก (lanceolate) รปู ใบหอกกลบั (oblanceolate) รูปไข่ (ovate) รปู ไขก่ ลับ (obovate)

 รปู หวั ใจกลบั (obcordate) รปู สามเหลี่ยม (deltoid) รปู คล้ายสามเหลย่ี ม (obdeltoid)

รูปหัวใจ (cordate)

รูปล่ิม (cuneate) รูปคล้ายสเี่ หลยี่ มขา้ วหลามตัด (rhomboid) รูปไต (reniform) รูปโล่ (peltate)

รูปวงกลม (orbicular) รูปชอ้ น (spathulate, spatulate) รูปเงย่ี งใบหอก (hastate) รูปหัวลูกศร (sagittate)

รูปจนั ทรเ์ สีย้ ว (lunate) รูปไวโอลิน (pandurate) รปู พดั (flabellate) รูปพดั (fan-shaped)

รปู ล่มิ แคบ (subulate) รปู แฉกแบบนิว้ มอื (palmalifid) รูปแฉกลกึ แบบนว้ิ มอื (palmatisect)

รูปหยกั แบบขนนก(pinnatifid) รูปหยักลกึ สุดแบบขนนก (pinnatisect)

แผน่ ใบมีส่วนกว้างใกล้ฐานใบแลว้ ค่อยเรียวแหลมไปทางปลายใบ ก้านใบติดตรงฐานใบทเ่ี วา้ เข้าไป

รปู รา่ งปลายใบ (Leaf Apex)



เรยี วแหลม (acuminate) แหลม (acute) ตง่ิ แหลม (apiculate) แหลมเข็ม (aristate)

ยาวคล้ายหาง (caudate) มว้ น (cirrhose) เว้าลึก (cleft) ติ่งแหลมยาว (cuspidate)

เวา้ ต้นื (emarginate) ต่ิงหนาม (mucronate) ติง่ หนามสนั้ (mucronulate) ป้าน, มน (obtuse)

เว้าบุ๋ม (retuse) กลม (rounded) หนาม (spinose) ตัด (truncate)

ปลายแหว่ง (praemorse) ปลายแหลมแข็ง (pungent)

ปลายใบสอบเข้าหากันแลว้ ย่ืนยาวออกไปเล็กน้อย

รูปรา่ งฐานใบ (LeafBase)

รูปลม่ิ (cuneate) รปู หุ้มลาตน้ (amplexicaul) รปู สอบเรยี ว (attenuate) รูปต่งิ หู (auriculate)



รูปฐานคเู่ ชือ่ มรอบข้อ รูปหัวใจ (cordate) รูปครีบ (decurrent) รูปเง่ียงใบหอก (hastate)
(connate perfoliate)

รปู ลิ้น (ligulate) รปู เฉียง, เบ้ยี ว (oblique) รูปป้าน, มน (obtuse) รูปโล่ (peltate)

รปู กลม (rounded) รปู หัวลกู ศร (sagittate) รปู ตดั (truncate)

ฐานใบ หยักเวา้ เปน็ รปู หัวใจ

ขอบใบ (Leaf Margin)



ขอบเรยี บ (entire) หนามแหลม (aculeate, spinose) ขนครุย (ciliate) หยักมน (crenate)

หยกั มนถ่ี (crenulate) หยักซี่ฟนั (dentate) หยักซฟ่ี นั ถี่ (denticulate) จกั ฟันเล่ือย (serrate)

จักฟนั เลื่อยถี่ (serrulate)จกั ฟันเล่ือยซอ้ น (double serrate) หยกั ไม่เปน็ ระเบียบ (erose) ขอบใบม้วนลง (revolute)

คลน่ื (undulate) พู (lobed) ยบั ย่น (crispate) รปู ฝา่ มือ (palmate)

ขอบใบ เรียบเป็นเส้นเดยี วกันตลอด

ดอก (flower) ดอกชอ่ (inflorescence) :
ชนดิ ของชอ่ ดอก

 ดอกเดย่ี ว (solitary)



ช่อกระจกุ ด้านเดยี วชนิดเด่ียว (simple monochasium) ชอ่ วงแถวเดยี่ ว (helicoids cyme) ชอ่ วงแถวคู่ (scorpioid cyme)

ชอ่ กระจกุ ซอ้ นเดี่ยว (simple dichasium) ชอ่ กระจุกซอ้ นเชิงประกอบ (compound dichasium) ชอ่ กระจะ (raceme)

ช่อเชิงลด (spike) ชอ่ แบบหางกระรอก (ament, catkin) ช่อเชิงหลน่ั (corymb)

ชอ่ เชงิ ลดมีกาบ (spadix) ชอ่ ซร่ี ่ม (umbel) ช่อซีร่ ม่ เชงิ ประกอบ (compound umbel)

ชอ่ กระจุกแน่น (capitulum, head) ช่อแยกแขนง (panicle, compound raceme)

เป็นดอกท่เี กดิ ขน้ึ บนกา้ นดอก เปน็ ดอกเดียวโดดๆ ในแต่ละขอ้ ของกิ่งหรอื ลาต้น เชน่ ชบา จาปี การะเวก

ตาแหนง่ ทอี่ อกดอก ซอกใบ (axillary) ตามลาตน้ หรอื กง่ิ (cauliflorous)

 ปลายยอด (terminal)

รูปรา่ งของดอกแบบตา่ งๆ (Perianth Forms)



รูปกงลอ้ (rotate, wheel-shaped) รูประฆงั (campanulate, bell-shaped) รูปคนโท, โถ (urceolate, urn-shaped)

รปู ดอกเข็ม (salverform, hypocrateriform) รูปกรวย (funnelform) รปู หลอด (tubular)

รูปล้ิน (ligulate, tongue-shaped) รปู ปากเปิด (bilabiate) รปู ปากปดิ (personate)

รูปกระเปาะทรงกระบอก (foxgloveform) รปู ดอกถว่ั (papilionaceous)

ปลายแยกเป็น 5 แฉก สี ชมพู

กลีบดอกที่มีกลีบหลอดดอกสัน้ และแฉกกลีบดอกแผ่กว้างเรยี งกันคลา้ ยวงลอ้

กลบี ดอก (corolla)

แยกจากกนั (polypetalous) :

รูปดอกพเิ ศษ (พบในพชื เฉพาะกลมุ่ )



รปู กากบาท (cruciform) รูปดอกถ่วั (papilionaceous) รูปดอกกล้วยไม้ (orchid)

มีจานวน 5 กลบี สี ชมพู.

เกสรเพศผู้ (stamen)
มจี านวน 1 อัน สแี ละลกั ษณะ ติดทฐ่ี าน



ติดทีฐ่ าน (basifixed, innate) ตดิ ทีด่ า้ นหลงั (dorsifixed) เชือ่ มติด (adnate) ตดิ กลาง (versatile)

แตกตามยาว (longitudinal dehiscence) แตกตามชอ่ ง (poricidal dehiscence) แตกตามขวาง (transverse dehiscence)

แตกแบบมลี น้ิ ปิดเปิด (valvular dehiscence)

สว่ นปลายของก้านเกสรเพศผู้ตดิ ที่ฐานของอบั เรณู.

เกสรเพศเมยี (pistil)

มีจานวน 1 อัน สีและลักษณะ รงั ไขเ่ หนอื วงกลบี .



รงั ไขเ่ หนอื วงกลบี (superior ovary) รังไข่ใตว้ งกลีบ (inferior ovary) รังไขก่ ่ึงใตว้ งกลบี (half-inferior ovary)

รงั ไข่ทอี่ ยเู่ หนอื สว่ นอนื่ ๆของดอก หรอื ผนังรงั ไข่ไม่เชอ่ื มกับส่วนอ่ืนๆ ของดอก

องคป์ ระกอบอนื่ ๆ ของดอก

ใบประดบั คล้ายกลบี ดอก (petaloid bract) วงใบประดบั (involucres, involucral bract, phyllary)



วงกลบี เลยี้ งคลา้ ยกลบี ดอก (petaloid calyx) กาบหุ้มชอ่ ดอก (spathe) ร้วิ ประดบั (epicalyx)

กลนิ่ (scent) :

ไม่มี  มี .........................................................
ใบประดับท่ีลดรปู เป็นริว้ เล็กๆ เช่นใบประดบั ของชบา พรู่ ะหง

ผล (fruit)
ชนดิ ของผล

ผลเดี่ยว Simple Fruit ผลกล่มุ (Aggregate Fruit)

ผลรวม (Multiple Fruit) ผลแบบมะเดอื่ (syconium)
ผลมเี นอื้ สด (Fleshy Fruit)

ผลเมล็ดเดยี วแขง็ (Drupe)
ผลแบบมเี นื้อหลายเมล็ด (Berry)

ผลแบบสม้ (Hesperidium)

ผลแบบแตง (Pepo)

ผลแหง้ (Dry Fruit)
ผลแหง้ แกไ่ มแ่ ตก (Dry Indehiscent Fruit)

ผลแห้งเมล็ดตดิ หรอื ผลแบบธัญพืช (Caryopsis or Grain) ผลเปลอื กแขง็ มกี าบรปู ถว้ ย (Acorn)

ผลแห้งเมลด็ ออ่ น (Achene) ผลแหง้ เมล็ดล่อนปลายมขี น (cypsela)

ผลเปลอื กแห้งเมลด็ เดยี ว (Nut)

ผ ผลแบบปีกเดียว (Samara) ผลคลา้ ยผลปีกเดียว (samaroid)

ผลแยกแล้วแตก (Schizocarp)
ผลแหง้ แกแ่ ตก (Dry Dehiscent Fruit)แบง่ เปน็

ฝกั แตกแนวเดียว (Follicle) ผลแตกแบบผกั กาด (Silique) ฝกั แบบถั่ว(Legume)

ผลแบบฝักหกั ขอ้ (loment, lomentum) ผลแบบผักชี (cremocarp)

ผลแหง้ แตก (capsule)
ผลท่ีเกิดจากดอกท่ีรังไข่มหี ลายคาร์เพลเชอ่ื มกัน และเม่อื ผลแก่จะแตก แบง่ ออกเป็น

ผลแห้งแตกตามรอยประสาน (septicidal capsule) ผลแห้งแตกกลางพู (loculicidal capsule)

ผลแห้งแตกเปน็ ช่อง (poricidal capsule)  ผลแห้งแตกแบบฝาเปดิ (circumscissile capsule, pyxis)

สขี องผล ผลอ่อน สนี ้าตาล ผลแกส่ ี ดา

รูปรา่ งผล เปน็ เมลด็ เล็ก ๆ สีนา้ ตาล
เมล็ด (seed)

จานวนเมลด็ 4-5 เมด็ สีของเมล็ด สีดา
รูปรา่ งเมลด็ วงกลมแบน ๆ

วาดภาพ หรอื ตดิ ภาพวาดสว่ นตา่ งๆ ของพชื

สว่ นของ ดอก สว่ นของ กา้ น
สว่ นของ ใบ สว่ นของ ราก
สว่ นของ ผล

สรปุ ลักษณะและขอ้ มลู พรรณไม้

(สรุปลกั ษณะและขอ้ มูลพรรณไม้ตงั้ แตห่ น้า 2-7และขอ้ มูลพ้ืนบ้านหน้า 1 โดยเขยี นเป็นเรยี งความบรรยาย)

ชอ่ื พนั ธไ์ุ ม้ ชบาซอ้ น รหสั พนั ธไุ์ ม้ ๙-๙๐๐๐๐-๐๐๕-๐๕๑/๔

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์: ไมพ้ มุ่ ขนาดกลาง สงู 2-4 ม. ลาต้นเป็นไม้เน้ือออ่ น ส่วนเปลอื กน้ันจะเหนียวมาก เป็นเมอื กลื่น

ใบ: ใบเรยี งสลบั ใบเด่ียว รูปไข่ กว้าง 5-9 ซม. ยาว 7-12 ซม. โคนใบมนหรือกว้าง ปลายใบแหลม ขอบใบหยักมนหรือ จกั ฟันเลื่อยหรือ
เวา้ เป็น 3 พู แผน่ ใบบาง สีเขียวเขม้ ก้านใบยาว 2-4 ซม. มหี ูใบแบบ free lateral stipule
ดอก: ดอกเดยี่ วออกตามซอกใบใกล้ปลายกิง่ กลีบดอกชนั้ เดยี วถงึ ดอกซ้อน เสน้ ผ่านศูนย์กลาง 7-15 ซม. กลีบเลย้ี ง 5 กลบี สีเขยี ว กลบี
ดอก 5 กลีบ มีสีตา่ งๆ เชน่ แดง ชมพู ส้ม ขาว เหลอื ง ปลายกลีบดอกมนและกลม ก้านเกสรเพศเมียและเพศผเู้ ชอื่ มกันเปน็ หลอดยาว
โผล่พ้นกลีบดอก
ผล: ผลเดยี่ วแบบ capsule สนี ้าตาล เมอ่ื แก่จะแห้งและแตกเป็น 5 แฉก

ขอ้ มูลพฤกษศาสตร์

ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ Hibicus hybrid
ช่อื วงศ์ MALVACEAE
ชอ่ื สามญั Hibiscus, Chinese Rose, Shoe flower
ชื่อพ้ืนเมอื งอืน่ ๆ -
ถิน่ กาเนิด เขตรอ้ น และกง่ึ ร้อนของเอเชีย
การกระจายพันธ์ุ:

ในประเทศไทย ภาคเหนือภาคอิสานของประเทศไทย
ในประเทศอน่ื ๆ พืน้ ที่ราบตา่ ของศรลี งั กา ประเทศอนิ เดยี , ตอนใต้เบงกอล ประเท
นเิ วศวิทยา ดนิ ชุ่ม ระบายนา้ ได้ดี กลางแจ้ง
เวลาออกดอก เมษายน – พฤษภาคม
เวลาตดิ ผล มถิ นุ ายน-กรกฎาคม
การขยายพนั ธุ์ ปกั ชา,เสียบยอด,ติดตา
การใช้ประโยชน์ เปลือกของตน้ ใช้นามาต้มบ้านได้ มาเปน็ ยาหม้อแกท้ อ้ งร่วง เน้อื ไม้ สามารถนามาใช้เป็นเคร่อื งประดับ เนื้อลาไย
สามารถบริโภคได้ ถ้านาไปตากแห้ง สามารถนามาเปน็ ยาบารุงกาลัง ใหห้ ลับสบาย และเจริญอาหารประวัติพันธุ์ไม้ (การนาเขา้ มาปลกู
ในประเทศไทย)

เอกสารอ้างอิง ผแู้ ต่ง: ,ชอ่ื เร่อื ง: ,ชอ่ื เวบ็ ไซต์: sites ,ปที ่ี: 2562 , แหล่งท่ีมา: https://sites.google.com/site/cwk270755/chba ,ค้นหาเม่อื

วันที่: 6/8/2562

บนั ทกึ ขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ

เช่น ประวัติพันธไุ์ ม้ (ประวัติการนาเขา้ มาปลกู ในโรงเรียน) เวลาการออกดอก หรอื ติดผลนอกฤดูกาล หรืออืน่ ๆ

ชบาพืชท่พี บได้ทวั่ ไปในสว่ นตา่ งๆ ของโลกมถี ิ่นกาเนิดเปน็ บริเวณกว้างใขเขตร้อนชื่น จากสมมุตฐิ านของ Ross Gast ใน
หนังสอื Genetic History of Hibibiscus rosasinensis บันทึกว่า ชบามีการกระจายพนั ธ์เุ รมิ่ จากอนิ เดีย ซึ่งมกี ารนาชบามาใช้
ประโยชน์ในกลุ่มชาวโพลนิ นีเซยี น ต่อมาจงึ แพรห่ ลายไปสูจ่ นี และบรเิ วณหมู่เกาะแปซิฟิก โดยนาชบาดอกสีแดง ( ปัจจุบันคอื
Hibiscus rosasinensis ) ทเี่ รยี กกันว่า กหุ ลาบจีน หรอื ” Rose of China ” ซง่ึ มี ท้ังกลบี ดอกชั้นเดยี วและดอกซ้อนมาใช้เปน็ ไม้
ดอกไม้ประดับ มกี ารสะสมพนั ธ์ุ และส่งไปประเทศในแถบยโุ รป

ชบาแพรเ่ ข้าสยู่ ุโรปครงั้ แรกเมอื่ ปี พ.ศ. 2221 โดย Van Reed ซงึ่ เป็นชบาสแี ดงกลบี ดอกซ้อน ต่อมาในปี พ.ศ. 2275
Philip Miller และคณะไดน้ าชบาพนั ธดุ์ อกซอ้ นและพนั ธ์อุ นื่ ๆ เข้าไปเผยแพร่ในอังกฤษ โดยนามาปลูกสะสมพนั ธ์ุท่ี The Chelsea
Physic Garden และทดลองผลิตลูกผสม แตย่ งั ไมแ่ พรห่ ลายนัก ซง่ึ ในขณะนนั้ ใชช้ ื่อวทิ ยาศาสตรว์ า่ Hibiscus javanica เพราะ
เข้าใจว่าชบาที่นาเขา้ มาเปน็ พชื พน้ื เมอื งของเกาะชวา (Java)ของอนิ โดนเี ซีย ต่อมากัปตนั คุกและคณะไดเ้ ดินเรือสารวจหมเู่ กาะในแถบ
มหาสมุทรแปซฟิ กิ ไปพบชบากลีบดอกซอ้ นสีแดงปลกู อยู่ทั่วไป

การปลูกชบาในฮาวายมคี วามนิยมมากว่า 100 ปแี ลว้ ในชว่ งแรกมีการนาชบาสีแดงกลีบดอกชัน้ เดียวจากจีนมาผสมกับพนั ธุ์
พ้ืนเมอื งของฮาวาย และพู่ระหง เพ่ือผลติ ลูกผสมทม่ี ีลกั ษณะแปลกใหม่ โดยในปีพ.ศ.2457 GERNIT WILDER เป็นบุคคลแรกที่
รวบรวมพันธช์ุ บาและนามาจดั แสดงไดม้ ากถึง 400 พนั ธุ์ ในปีต่อมาจึงเรืม่ มีผูใ้ หค้ วามสนใจและผลติ ลูกผสมที่มีรูปร่างและสสี ันแตกต่าง
กนั ออกมามากมาย จนในปี พ.ศ.2466 มีการออกกฎหมายประกาศให้ชบาเปน็ ดอกไมป้ ระจา


Click to View FlipBook Version