ชื่อพนั ธุไ์ ม้ เฟื่ องฟ้ า รหสั พรรณไม้
ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์
บริเวณที่สารวจ หนา้ อาคารเรียน 2 – หอ้ งธนาคาร วนั ที่สารวจ 27 สิงหาคม 2562
ผสู้ ารวจ นางสาวนาดยี า แกว้ มณี ชน้ั ปวส.1/1
วิทยาลยั เทคโนโลยีวชิราโปลี สงขลา
ถนน ทะเลหลวง ตาบล บ่อยาง อาเภอ เมือง จงั หวดั สงขลา รหสั ไปรษณีย์ 90000
ก.7-003 (ฉบบั ปรบั ปรงุ 2553) หนา้ - 1 -
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – หอ้ งธนาคาร
ขอ้ มูลพ้ืนบา้ น
(ขอ้ มูลเก่ยี วกบั การใชป้ ระโยชน์ และขอ้ มูลอ่นื ๆ จากการสอบถามคนในทอ้ งถ่นิ )
ช่ือพ้ืนเมือง(ช่ือในทอ้ งถ่นิ ท่เี กบ็ ตวั อยา่ งพนั ธุไ์ ม)้ เฟ่ืองฟ้ า
การใชป้ ระโยชน์ในทอ้ งถ่นิ (ระบุสว่ นท่ใี ชแ้ ละวธิ กี ารใช)้ :
อาหาร : การทาดอกเฟ่ืองฟ้ าชุบแป้ งทอด
ยารักษาโรค : ดอกเฟ่ืองฟ้ ามสี รรพคุณชว่ ยบารุงหวั ใจและระบบขบั ถา่ ย ดอกเฟ่ืองฟ้ า มรี สขมฝาด เป็นยาสุขุม
ออกฤทธ์ิตอ่ ตบั ใชเ้ ป็นยาแกป้ ระจาเดือนมาไมเ่ ป็นปกติ ทาใหเ้ ลือดไหลเวยี นไดด้ ี รกั ษาสตรีท่ปี ระจาเดือนไมม่ า
หรือมุตกิดตกขาวของสตรี ดว้ ยการใชด้ อกท่เี ป็นยาแหง้ คร้ังละ 10-15 กรัมนามาตม้ กบั นา้ รบั ประทาน
กอ่ สรา้ ง เคร่ืองเรือน เคร่ืองใช้ : -
ยาฆา่ แมลง ยาปราบศตั รูพืช : -
ความเก่ยี วขอ้ งกบั ประเพณี วฒั นธรรม หรือความเช่อื ทางศาสนา : หากบา้ นใดปลูกตน้ เฟ่ืองฟ้ าไวเ้ ป็นไมป้ ระจา
บา้ นจะสามารถชว่ ยสรา้ งคุณคา่ ของชวี ิตใหส้ ูงข้ึน
อ่ืน ๆ (เชน่ การเป็นพษิ อนั ตราย) : -
วนั ท่บี นั ทึกขอ้ มูล 27 สิงหาคม 2562 สถานท่บี นั ทึก วิทยาลยั เทคโนโลยวี ชริ าโปลี สงขลา
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – หอ้ งธนาคาร หนา้ - 2 -
ขอ้ มลู พรรณไม้
ลกั ษณะวสิ ัย (habit)
ไมต้ น้ (tree) ไมพ้ ุม่ (shrub) ไมล้ ม้ ลุก(herb) ไมเ้ ล้ือย(climber)
ลกั ษณะวสิ ัยอนื่ ๆ
ไผ่ (bamboo เฟิ ร์น (fern) กลว้ ยไม้ (orchid) ปาลม์ (palm)
ตน้ เฟื่ องฟ้ า จดั เป็ นไมย้ นื ตน้ ประเภทพมุ่ ก่ึงเล้ือย มีอายยุ นื หลายสิบปี สามารถเล้ือยไปไดไ้ กลถึง 10 เมตร
ลกั ษณะของทรงพมุ่ สามารถตดั แตง่ และบงั คบั ทิศทางการเจริญเติบโตได้
เรือนยอด ทรงพุ่ม (crown shape) หนา้ - 3 -
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – ห้องธนาคาร
กลม (rounded) ทรงกระบอก (cylindric) รูปร่ม (umbellate) รูปกรวย (conical)
รูปคลา้ ยฉตั ร(Verticillate) รูปแตกไมเ่ ป็นระเบียบ(irregular) รูปมีก่ิงหอ้ ยยอ้ ยลงมา(irregular)
ลาตน้ มีลกั ษณะกลมใหญ่ ความสูง 3-6 ซม. ความกวา้ งทรงพมุ่ 2-3 ซม.
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – ห้องธนาคาร หนา้ - 4 -
ถ่ินอาศัย (habitat) พชื อิงอาศยั (epiphyte) กาฝาก (parasite)
พชื บก (terrestrial)
ถิ่นอาศยั : เป็ นพืชบก
ลาต้น (stem)
ชนดิ ของลาต้น
ลาต้นเหนอื ดนิ (aerial stem) :
ต้งั ตรงเองได้
เปลอื กลาต้น
สี สีเทาหรือสีน้าตาล
ลกั ษณะ :
เรียบ ขรุขระ แตกเป็ นสะเก็ด แตกเป็ นเสน้
สีอ่ืน ๆ ........................
มีหนาม อ่ืน ๆ ............................
ยาง
ไมม่ ี
มี:
สีขาวใส สีขาวข่นุ
ลาตน้ เน้ือแขง็ ผิวเป็ นสีเทาหรือสีน้าตาล ลาตน้ เปราะและหักไดง้ ่าย มีหนามข้ึนตามลาตน้ อยเู่ หนือใบ หนามมี
ความยาวประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – ห้องธนาคาร หนา้ - 5 -
ใบ (leaf)
ชนิดของใบ
ใบเดย่ี ว (simple leaf) ใบประกอบ (compound leaf) แบบนิว้ มอื (palmate)
ขนนกช้ันเดยี ว (pinnate) ขนนกสองช้ัน (bipinnate) ขนนกสามช้ัน (tripinnate)
ขนนกปลายคี่ (odd-pinnate) ขนนกปลายคู่ (even-pinnate)
สี เขยี ว ขนาดแผ่นใบ กวา้ ง 3-6 ซม. ยาว 5-10 ซม.
ลกั ษณะพิเศษของใบ ใบบาง มหี นามอยูต่ ามงา่ มใบ มกี า้ นใบยาวประมาณ 1 เซนตเิ มตร
ใบเฟ่ื องฟ้ า ใบเป็ นใบเด่ียว ใบมีขนาดกวา้ งประมาณ 3-6 เซนติเมตรและยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร
แผน่ ใบเป็ นสีเขียว
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – ห้องธนาคาร หนา้ - 6 -
การเรียงตวั ของใบบนก่งิ (phyllotaxy)
สลบั (alternate) สลบั ระนาบเดียว (distichous) กระจุก (fascicled)
ตรงขา้ ม (opposite) ตรงขา้ มสลบั ต้งั ฉาก(decussate) เป็นวงรอบ (whorled)
คลา้ ยแบบจุก (Clusterd) กุหลาบซอ้ น (rosette)
การเรียงตัวของเส้นใบ (Leaf Venation)
การเรียงเส้นใบแยกสองแฉก (Dichotomous Venation)
การเรียงเส้นใบแบขนาน (Paralle Venation)
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – หอ้ งธนาคาร หนา้ - 7 -
การเรียงเส้นใบแบบขนานรูปฝ่ ามือ เส้นใบขนานแบบขนนก
(palmatelyparalled venation) (pinnately parallel venation)
เส้นใบร่างแห (Netted หรือ Reticulated Venation)
เส้นใบร่างแหแบบฝ่ ามือ เส้นใบร่างแหแบบขนนก
(palmately netted venation ( pinnately netted venation)
รูปร่างแผ่นใบ (leaf shape)
รูปเขม็ (acicular, needle shaped) รูปแถบ (linear)
รูปขอบขนาน (oblong) รูปรี (elliptic)
รูปใบหอก (lanceolate) รูปใบหอกกลบั (oblanceolate) รูปไข่ (ovate) รูปไขก่ ลบั (obovate)
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – หอ้ งธนาคาร หนา้ - 8 -
รูปหวั ใจ (cordate) รูปสามเหล่ียม (deltoid) รูปคลา้ ยสามเหล่ียม (obdeltoid)
รูปหวั ใจกลบั (obcordate)
รูปลิ่ม (cuneate) รูปคลา้ ยส่ีเหลี่ยมขา้ วหลามตดั (rhomboid) รูปไต (reniform) รูปโล่ (peltate)
รูปวงกลม (orbicular) รูปชอ้ น (spathulate, spatulate) รูปเง่ียงใบหอก (hastate) รูปหวั ลูกศร (sagittate)
รูปจนั ทร์เส้ียว (lunate) รูปไวโอลิน (pandurate) รูปพดั (flabellate) รูปพดั (fan-shaped)
รูปล่ิมแคบ (subulate) รูปแฉกแบบนิ้วมือ (palmalifid) รูปแฉกลึกแบบนิ้วมือ (palmatisect)
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – หอ้ งธนาคาร หนา้ - 9 -
รูปหยกั แบบขนนก(pinnatifid) รูปหยกั ลึกสุดแบบขนนก (pinnatisect)
รูปร่างปลายใบ (Leaf Apex)
เรียวแหลม (acuminate) แหลม (acute) ติ่งแหลม (apiculate) แหลมเขม็ (aristate)
ยาวคลา้ ยหาง (caudate) มว้ น (cirrhose) เวา้ ลึก (cleft) ต่ิงแหลมยาว (cuspidate)
เวา้ ต้ืน (emarginate) ติ่งหนาม (mucronate) ติ่งหนามส้นั (mucronulate) ป้ าน, มน (obtuse)
เวา้ บุ๋ม (retuse) กลม (rounded) หนาม (spinose) ตดั (truncate)
ปลายแหวง่ (praemorse) ปลายแหลมแขง็ (pungent)
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – ห้องธนาคาร หนา้ - 10 -
รูปร่างฐานใบ (LeafBase)
รูปล่ิม (cuneate) รูปหุม้ ลาตน้ (amplexicaul) รูปสอบเรียว (attenuate) รูปต่ิงหู (auriculate)
รูปฐานคู่เชื่อมรอบขอ้ รูปหวั ใจ (cordate) รูปครีบ (decurrent) รูปเง่ียงใบหอก (hastate)
(connate perfoliate)
รูปลิน้ (ligulate) รูปเฉียง, เบ้ียว (oblique) รูปป้ าน, มน (obtuse) รูปโล่ (peltate)
รูปกลม (rounded) รูปหวั ลูกศร (sagittate) รูปตดั (truncate)
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – ห้องธนาคาร หนา้ - 11 -
ขอบใบ (Leaf Margin)
ขอบเรียบ (entire) หนามแหลม (aculeate, spinose) ขนครุย (ciliate) หยกั มน (crenate)
หยกั มนถ่ี (crenulate) หยกั ซี่ฟัน (dentate) หยกั ซ่ีฟันถี่ (denticulate) จกั ฟันเล่ือย (serrate)
จกั ฟันเล่ือยถี่ (serrulate)จกั ฟันเลื่อยซอ้ น (double serrate) หยกั ไม่เป็นระเบียบ (erose) ขอบใบมว้ นลง (revolute)
คลื่น (undulate) พู (lobed) ยบั ยน่ (crispate) รูปฝ่ ามือ (palmate)
ใบเฟื่ องฟ้ า ใบเป็ นใบเดี่ยวออกเรียงสลบั ลกั ษณะของใบเป็ นรูปไข่ รูปรี หรือรูปหวั ใจ ปลายใบแหลม โคนใบ
มน ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกวา้ งประมาณ 3-6 เซนติเมตรและยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร แผ่นใบเป็ นสีเขียว ผิว
ใบเรียบ ใบบาง มีหนามอยตู่ ามง่ามใบ มีกา้ นใบยาวประมาณ 1 เซนติเมตร
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – หอ้ งธนาคาร หนา้ - 12 -
ดอก (flower) ดอกช่อ (inflorescence) :
ชนิดของช่อดอก
ดอกเดย่ี ว (solitary)
ช่อกระจุกดา้ นเดียวชนิดเด่ียว (simple monochasium) ช่อวงแถวเด่ียว (helicoids cyme) ช่อวงแถวคู่ (scorpioid cyme)
ช่อกระจุกซอ้ นเดี่ยว (simple dichasium) ช่อกระจุกซอ้ นเชิงประกอบ (compound dichasium) ช่อกระจะ (raceme)
ช่อเชิงลด (spike) ช่อแบบหางกระรอก (ament, catkin) ช่อเชิงหลน่ั (corymb)
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – ห้องธนาคาร หนา้ - 13 -
ช่อเชิงลดมีกาบ (spadix) ช่อซ่ีร่ม (umbel) ช่อซี่ร่มเชิงประกอบ (compound umbel)
ช่อกระจุกแน่น (capitulum, head) ช่อแยกแขนง (panicle, compound raceme)
ตาแหน่งทอ่ี อกดอก
ปลายยอด (terminal) ซอกใบ (axillary) ตามลาต้นหรือกง่ิ (cauliflorous)
รูปร่างของดอกแบบต่างๆ (Perianth Forms)
รูปกงลอ้ (rotate, wheel-shaped) รูประฆงั (campanulate, bell-shaped) รูปคนโท, โถ (urceolate, urn-shaped)
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – ห้องธนาคาร หนา้ - 14 -
รูปดอกเขม็ (salverform, hypocrateriform) รูปกรวย (funnelform) รูปหลอด (tubular)
รูปลิ้น (ligulate, tongue-shaped) รูปปากเปิ ด (bilabiate) รูปปากปิ ด (personate)
รูปกระเปาะทรงกระบอก (foxgloveform) รูปดอกถว่ั (papilionaceous)
ปลายแยกเป็ น 3 แฉก สี หลายสี
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – ห้องธนาคาร หนา้ - 15 -
กลบี ดอก (corolla) รูปดอกถวั่ (papilionaceous) รูปดอกกลว้ ยไม้ (orchid)
แยกจากกนั (polypetalous) : มจี านวน 3 กลบี สี หลายสี
รูปดอกพเิ ศษ (พบในพชื เฉพาะกลุ่ม)
มจี านวน 5-10 อนั สีและลกั ษณะ สีเขยี ว
รูปกากบาท (cruciform)
เกสรเพศผู้ (stamen)
ติดที่ฐาน (basifixed, innate) ติดที่ดา้ นหลงั (dorsifixed) เช่ือมติด (adnate) ติดกลาง (versatile)
แตกตามยาว (longitudinal dehiscence) แตกตามช่อง (poricidal dehiscence) แตกตามขวาง (transverse dehiscence)
แตกแบบมีลิน้ ปิ ดเปิ ด (valvular dehiscence) หนา้ - 16 -
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – หอ้ งธนาคาร
เกสรเพศเมยี (pistil)
มีจานวน 1 อนั สีและลกั ษณะ ยาวเรียว
รังไขเ่ หนือวงกลีบ (superior ovary) รังไขใ่ ตว้ งกลีบ (inferior ovary) รังไขก่ ่ึงใตว้ งกลบี (half-inferior ovary)
องค์ประกอบอนื่ ๆ ของดอก
ใบประดบั คลา้ ยกลีบดอก (petaloid bract) วงใบประดบั (involucres, involucral bract, phyllary)
วงกลีบเล้ียงคลา้ ยกลีบดอก (petaloid calyx) กาบหุม้ ช่อดอก (spathe) ริ้วประดบั (epicalyx)
กลน่ิ (scent) :
ไมม่ ี มี .........................................................
ดอกเฟื่ องฟ้ า ออกดอกเป็ นกระจุกตามง่ามใบและปลายก่ิง มี 3 ดอก ดอกมีหลายสี ทางจีนนิยมนามาใชเ้ ป็ นยา
คือ ดอกสีม่วง หรือสีแดง ดอกที่เป็ นสี ๆ กค็ ือใบท่ีเปลี่ยนสี เรียกวา่ ใบดอก มีลกั ษณะบางคลา้ ยกบั กระดาษ ลกั ษณะเป็ น
รูปไข่ปลายแหลม ในหน่ึงดอกจะมีใบดอก 3 ใบเช่ือมติดกนั ใบดอกจะกวา้ งประมาณ 2-4 เซนติเมตรและยาวประมาณ
3-5 เซนติเมตร มีเกสรเป็ นรูปทรงกระบอกสีเขียว
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – ห้องธนาคาร หนา้ - 17 -
ผล (fruit)
ชนิดของผล
ผลเดี่ยว Simple Fruit ผลกลมุ่ (Aggregate Fruit)
ผลรวม (Multiple Fruit) ผลแบบมะเดื่อ (syconium)
ผลมเี นือ้ สด (Fleshy Fruit)
ผลเมลด็ เดียวแขง็ (Drupe) หนา้ - 18 -
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – หอ้ งธนาคาร
ผลแบบมีเน้ือหลายเมลด็ (Berry)
ผลแบบสม้ (Hesperidium)
ผลแบบแตง (Pepo) หนา้ - 19 -
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – หอ้ งธนาคาร
สขี องผล สดี า
รูปร่างผล มขี นาดเลก็ มาก
ลกั ษณะพเิ ศษของผล ผลจะอยูด่ า้ นในดอก
เมล็ด (seed)
จานวนเมลด็ 1 เมลด็ สขี องเมลด็ สดี า
รูปร่างเมลด็ กลม
ผลของดอกเฟ่ื องฟ้ ามกั ไม่ปรากฏใหเ้ ห็นหากไม่นามาแกะดู เนื่องจากผลจะอยดู่ า้ นในดอก มีขนาดเล็กมาก สีดา
และที่สาคญั เฟ่ื องฟ้ าไมค่ อ่ ยติดผลใหเ้ ห็นมากนกั นอกจากจะมีการผสมเกสร
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – หอ้ งธนาคาร หนา้ - 20 -
วาดภาพ หรือติดภาพวาดส่วนต่างๆ ของพืช
สว่ นของ ดอก สว่ นของ ลาตน้
สว่ นของ ใบ
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – หอ้ งธนาคาร หนา้ - 21 -
ช่ือพนั ธุไ์ ม้ สรุปลกั ษณะและขอ้ มูลพรรณไม้
(สรุปลกั ษณะและขอ้ มูลพรรณไมต้ งั้ แตห่ นา้ 2-7และขอ้ มูลพ้ืนบา้ นหนา้ 1 โดยเขยี นเป็นเรียงความบรรยาย)
เฟื่องฟ้ า รหสั พรรณไม้
ประโยชน์ของเฟ่ืองฟ้ า
ดอกเฟ่ืองฟ้ าสามารถนามาใชใ้ นการประกอบอาหารได้ เชน่ การทาดอกเฟ่ืองฟ้ าชุบแป้ งทอด ดว้ ยการนาดอก
เฟ่ืองฟ้ ามาชุบในแป้ งชุบทอด รอใหน้ ้ามนั รอ้ นจดั แลว้ ใสด่ อกเฟ่ืองฟ้ าท่ชี ุบแป้ งลงไปทอดจนเหลืองกรอบ แลว้ ตกั
ข้ึนมารอจนน้ามนั สะเดด็ ใชร้ บั ประทานกบั น้าจ้ิมเพ่ือเพ่มิ รสชาติใหอ้ ร่อยย่งิ ข้ึน
ใชป้ ลูกเป็นไมป้ ระดบั ดอกสวยมหี ลายสีจากหลากหลายสายพนั ธุ์ นิยมปลูกเป็นไมป้ ระดบั เป็นซุม้ ไมเ้ ล้ือย เป็น
ซุม้ น่ังเลน่ ปลูกในท่สี าธารณะ สวนขา้ งทางเดิน ปลูกเป็นแนวรั้ว ปลูกเป็นไมก้ ระถาง หรือทาเป็นไมบ้ อนไซหรือ
ไมแ้ คระ สามารถตดั แตง่ ทรงพุม่ ได้ ดูแลรักษาไดง้ า่ ยและทนความแลง้ ไดด้ ี เม่ือมอี ากาศเยน็ จะมดี อกออกเตม็ ตน้
แตไ่ มค่ วรนาไปปลูกไวใ้ กลก้ บั สนามเดก็ เลน่ เพราะมหี นามแหลม[2]
ในดา้ นความเป็นมงคล คนไทยโบราณมคี วามเช่ือวา่ หากบา้ นใดปลูกตน้ เฟ่ืองฟ้ าไวเ้ ป็นไมป้ ระจาบา้ นจะสามารถ
ชว่ ยสรา้ งคุณคา่ ของชวี ิตใหส้ ูงข้ึน เน่ืองจากตน้ เฟ่ืองฟ้ าเป็นพรรณไมท้ ่ไี ดร้ ับสมญานามวา่ เป็น "ราชินีแหง่ ไม้
ประดบั " นอกจากน้ีคนไทยโบราณยงั มคี วามเช่ืออกี วา่ ตน้ เฟ่ืองฟ้ าเป็นไมม้ งคลสาคญั ของเทศกาลตรุษจนี เพราะ
ตน้ เฟ่ืองฟ้ าสามารถออกดอกไดบ้ านสะพร่ังในชว่ งเทศกาลตรุษจนี (จึงเป็นท่มี าของการเรียกตน้ เฟ่ืองฟ้ าวา่ "ตน้
ตรุษจนี ") ดงั นั้นจึงมคี วามเช่ือวา่ เม่ือชว่ งดอกเฟ่ืองฟ้ าบานจะแสดงถึงความเบิกบาน สวา่ งไสว และความรุ่งเรือง
ท่กี า้ วไกลแหง่ ชวี ิต และเพ่ือความเป็นสิริมงคลแกบ่ า้ นและผูอ้ ยูอ่ าศยั ควรปลูกตน้ เฟ่ืองฟ้ าไวท้ างทิศตะวนั ออก
และผูป้ ลูกควรปลูกในวนั พุธเพ่ือเอาคุณ ถา้ จะใหเ้ ป็นสิริมงคลย่ิงข้ึน ผูป้ ลูกควรเป็นสตรี เพราะเฟ่ืองฟ้ าเป็นราชนิ ี
แหง่ ไมป้ ระดบั จึงเหมาะสมอยา่ งย่งิ กบั สุภาพสตรี
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – หอ้ งธนาคาร หนา้ - 22 -
ขอ้ มูลพฤกษศาสตร์
ช่ือวิทยาศาสตร์ : Bougainvillea hybrid
ช่ือวงศ์ : NYCTAGINACEAE
ช่ือสามญั : เฟ่ืองฟ้ า
ช่ือพ้ืนเมืองอ่ืน ๆ : ดอกโคม (ภาคเหนือ), ดอกตา่ งใบ (กรุงเทพฯ), ตรุษจนี (ภาคกลาง)
ถ่นิ กาเนิด : ทวปี อเมริกาใต้
การกระจายพนั ธุ:์
ในประเทศไทย : การตอนก่งิ การปักชาก่งิ เสยี บยอด
ในประเทศอ่ืน ๆ : -
นิเวศวิทยา : -
เวลาออกดอก : ออกดอกตลอดทง้ั ปี
เวลาตดิ ผล : -
การขยายพนั ธุ์ : การตอนก่งิ การปักชาก่งิ เสยี บยอด
การใชป้ ระโยชน์ : 1. เป็นไมด้ อกไมป้ ระดบั ใชป้ ลูกตามสวน หนา้ บา้ นหรือปลูกในกระถางประดบั อาคาร
2. ดอกนามาสกดั เป็นสยี อ้ มผา้ สผี สมอาหาร
ประวตั ิพนั ธุไ์ ม้ (การนาเขา้ มาปลูกในประเทศไทย) : ตน้ เฟ่ืองฟ้ าถูกพบคร้ังแรกในประเทศบราซิลโดยนักพฤกษศาสตรช์ าว
ฝร่ังเศส เม่ือประมาณปี ค.ศ. 1766-1769 และไดถ้ ูกนาไปปลูกยงั ส่วนตา่ ง ๆ ของโลก เร่ิมจากทางยุโรป อเมริกาเหนือ
และเอเชยี สาหรับในประเทศไทยไดม้ กี ารนาพนั ธุข์ องตน้ เฟ่ืองฟ้ าเขา้ มาจากประเทศสิงคโปร์เป็นครั้งแรกเม่ือประมาณปี
พ.ศ.2423 (รัชกาลท่ี 5) และมกี ารนาเขา้ มาจากตา่ งประเทศอกี มากมายจนถึงปัจจุบนั โดยสายพนั ธุข์ องตน้ เฟ่ืองฟ้ าใ น
ประเทศกม็ จี านวนไมน่ อ้ ยไปกวา่ ตา่ งประเทศ เน่ืองมาจากตน้ เฟ่ืองฟ้ าเป็นไมท้ ่เี จริญเติบโตไดด้ ใี นประเทศไทยแลว้ ยงั เกิด
การกลายพนั ธุเ์ ป็นสายพนั ธุใ์ หมเ่ กิดข้ึนอกี มากมาย
เอกสารอา้ งองิ : https://medthai.com/เฟ่ืองฟ้ า/
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – หอ้ งธนาคาร หนา้ - 23 -
บนั ทึกขอ้ มลู เพ่ิมเติม
เชน่ ประวตั ิพนั ธุไ์ ม้ (ประวตั กิ ารนาเขา้ มาปลูกในโรงเรียน) เวลาการออกดอก หรือตดิ ผลนอกฤดูกาล หรืออ่ืน ๆ
สรรพคุณของเฟ่ืองฟ้ า
ดอกเฟ่ืองฟ้ ามสี รรพคุณชว่ ยบารุงหวั ใจและระบบขบั ถา่ ย (บางขอ้ มูลระบุวา่ ดอกเฟ่ืองฟ้ ามสี รรพคุณชว่ ยบารุง
โลหิตและใชแ้ ทนเคร่ืองหอมไดด้ ว้ ย) (ดอก)
ดอกเฟ่ืองฟ้ า (สายพนั ธุ์ Bougainvillea glabra Choisy.) มรี สขมฝาด เป็นยาสุขุม ออกฤทธ์ิตอ่ ตบั ใชเ้ ป็นยาแก้
ประจาเดือนมาไมเ่ ป็นปกติ ทาใหเ้ ลือดไหลเวยี นไดด้ ี รักษาสตรีท่ปี ระจาเดือนไมม่ าหรือมุตกิดตกขาวของสตรี
ดว้ ยการใชด้ อกท่เี ป็นยาแหง้ ครั้งละ 10-15 กรัมนามาตม้ กบั น้ารบั ประทาน หรือจะใชร้ ่วมกบั ตวั ยาอ่ืน ๆ ในตารับ
ยาตามท่ตี อ้ งการ (ดอก)
เฟ่ืองฟ้ าดอกขาว (Bougainvillea spectabilis Willd.) ในประเทศจนี จะไมน่ ิยมนามาใชท้ ายา แตใ่ นประเทศไทย
จะมกี ารนารากมาใชเ้ ป็นยาแกพ้ ษิ ตา่ ง ๆ (ราก)
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – ห้องธนาคาร หนา้ - 24 -
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หนา้ อาคารเรียน 2 – หอ้ งธนาคาร หนา้ - 25 -