The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sinthuwongs14, 2022-11-01 08:52:44

วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active Learning วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5

นางสาวสุวนันท์ สินธุวงษ์
ครูโรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง

วจิ ยั ในช้ันเรียน
เร่อื ง

การพัฒนาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน
โดยใชร้ ูปแบบการจัดการเรยี นรู้ด้วยกระบวนการ Active Learning

วิชาภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5

โดย
นางสาวสวุ นนั ท์ สินธุวงษ์

ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2564
โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี
สำนกั งานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา กาญจนบุรี

สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

บันทึกข้อความ

สว่ นราชการ โรงเรยี นเลาขวญั ราษฎรบ์ ำรงุ อำเภอเลาขวัญ จงั หวดั กาญจนบุรี

ท.ี่ ......................... วนั ที่ 15 มนี าคม 2565

เรือ่ ง รายงานวิจยั ในชนั้ เรียน

เรยี น ผอู้ ำนวยการโรงเรียนเลาขวัญราษฎรบ์ ำรุง
เนื่องด้วย ข้าพเจ้า นางสาวสุวนนั ท์ สินธุวงษ์ ได้รับมอบหมายให้ทำการสอนในรายวชิ าภาษาอังกฤษ

พื้นฐาน รหัสวิชา อ32102 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 แล้วน้ัน
ระหว่างทำการจัดการเรยี นการสอนได้พบปัญหาในชัน้ เรียน จึงไดค้ ิดแก้ปญั หา โดยจดั การวจิ ยั ในช้นั เรียน เพื่อ
พัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น

ดังนั้น บัดนี้ ข้าพเจ้าได้ทำการวิจัยดังกลา่ วเสร็จสิ้นเรยี บร้อยแลว้ จึงขอรายงานเพื่อเป็นประโยชนต์ อ่
การพฒั นาของสถานศึกษาต่อไป

จงึ เรียนมาเพือ่ โปรดทราบ

ความเห็นหวั หนา้ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ (นางสาวสวุ นันท์ สินธวุ งษ์)
…………………………………………………………..……… ครผู ูส้ อน
…………………………………………………….……………..
ความเห็นหวั หน้างานวิจัยเพื่อพฒั นาคุณภาพการศึกษา
(นางธนิฐา กำ่ พันธด์ )ี …………………………..…………………………………..
หัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ …………………………..………………………………..…

(นางสาวรตั นาภรณ์ ลกั ขณาพินจิ )
หัวหนา้ งานวจิ ัยเพือ่ พัฒนาคุณภาพการศกึ ษา

ความเหน็ หัวหน้ากลุ่มบริหารงานวชิ าการ ความเหน็ ของรองผูอ้ ำนวยการกลุม่ บริหารงานวิชาการ
....................................................................... ......................................................................
...................................................................... .....................................................................
(นางสาวรัตนาภรณ์ ลกั ขณาพินจิ ) (นางสาวจารวุ รรณ คงวิเชียร)
รองผูอ้ ำนวยการกลมุ่ บริหารงานวิชาการ
หัวหน้ากลมุ่ บรหิ ารงานวิชาการ

ความเหน็ ของผู้อำนวยการโรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรงุ
…………………………………………………………..………
…………………………………………………………..………
(นางสาวเสาวณ์ ี วงษ์พฒั น)์
ผอู้ ำนวยการโรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรงุ

บทคดั ยอ่

การวจิ ัยครง้ั นี้มวี ัตถปุ ระสงคเ์ พ่ือ 1) พัฒนาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพ้ืนฐาน รหัส
วิชา อ32102 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจ
ของนักเรียน ต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active Learning โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้
คอื นักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษาปี 2564 โรงเรยี นเลาขวัญราษฎร์บำรงุ จำนวน 23
คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 2)
แบบสอบถามความพึงพอใจของผ้เู รียน โดยสถติ ทิ ่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู ไดแ้ ก่ คา่ ร้อยละ คา่ เฉล่ยี (X̅) ส่วน
เบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.)และการทดสอบคา่ ที (t-test) แบบ Paired Sample Test

ผลการวจิ ยั พบวา่
1. ผลการพัฒนาพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลัง
การใช้การจัดการเรียนรดู้ ้วยกระบวนการ Active Learning มคี า่ เฉลยี่ สงู กว่าก่อนเรยี น
2. ด้านความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active Learning
หลงั จากการใช้อยใู่ นระดับมากทสี่ ุด

สารบญั หนา้
1
เรื่อง 1
บทท่ี 1 บทนำ 1
1
ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา 2
วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั 3
ขอบเขตของการวิจยั 4
คำจำกดั ความในการวิจัย 5
ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ 7
บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่เี กีย่ วขอ้ ง 8
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน 12
หลักสตู รสถานศกึ ษาโรงเรยี นเลาขวัญราษฎรบ์ ำรุง 16
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น 17
รูปแบบการจัดการเรยี นรูแ้ บบ Active Learning 19
แนวคิดเกยี่ วกบั ความพึงพอใจ 19
งานวิจยั ท่เี กยี่ วข้อง 19
บทที่ 3 วิธีดำเนนิ การวจิ ัย 19
กล่มุ เปา้ หมายท่ใี ช้ในการวจิ ัย 24
เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการวิจัย 25
ข้ันตอนการดำเนนิ การวจิ ัย 25
วกี ารรวบรวมข้อมลู 28
การวิเคราะห์ข้อมูล 32
สถิตทิ ใ่ี ชใ้ นการวิจัย 33
บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล
บทท่ี 5 สรปุ และอภิปรายผลการวิจยั
ขอ้ เสนอแนะ
บรรณานกุ รม
ภาคผนวก

1

บทที่ 1

บทนำ

ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา

ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สังคม และประเทศชาติการศึกษาเป็นปัจจัยที่สำคัญ
อย่างยิ่งในการพัฒนา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2)
พ.ศ.2545 มาตรา 24 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2253 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน
โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์
และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไข จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
ฝึกการปฏิบัติให้ ทำได้ คิดเป็น ทำเป็นและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง จัดการเรียนการสอนโดย
ผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและ
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ โดยการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้
และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญ ฉะนั้นรูปแบบการจัดการการสอนจึงถือว่าเป็นกุญแจ
สำคัญเพื่อปลดล็อคให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การจัดการเรียนการสอน
ในปัจจุบันจึงต้องปรับเปลี่ยนไปจากเดิมที่เน้น “การท่องจำมากกว่าการคิดวิเคราะห์ การเรียนการสอนที่ไม่
สอดคล้องกับสถานการณ์จริงเมื่อออกไปทำงาน ไม่ได้มีการฝึกให้ผู้เรียนเรียนรู้ตลอดชีวิต และไม่สามารถ
ทำงานเป็นทีมได้” มาเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เน้นการเรียนรู้แบบ Active Learning
ให้มากขนึ้

Active Learning เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้สูงสุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้ในระดับทักษะการคิดขั้นสูง อันประกอบด้วย การวิเคราะห์ การสังเคราะห์
และการประเมินค่า ซึ่งลักษณะสำคัญของการจัดการเรียนการสอนรูปแบบนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียน
มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ สามารถสร้าง องค์ความรู้ และจัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง อีกท้ัง
เป็นการเสริมสร้างความรับผิดชอบ การมีวินัยในการทำงานแก่ผู้เรียน ซึ่งสอดคล้องกับการฝึกให้ผู้เรียน
มีคุณลักษณะและทักษะของ 21st Century Skills สำหรับเทคนิคการจัดการเรียนการสอนแบบ Active
Learning มีหลายรูปแบบ ได้แก่ การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) การเรียนโดยใช้ปัญหาเป็น
ฐาน (Problem-Based Learning) การเรียนการสอนแบบกลุ่มย่อย (Small Group Teaching/Learning)
การเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Directed Learning) การใช้กระบวนการกลุ่ม เพื่อร่วมกันวิเคราะห์ (Group
Analysis/Learning) ร่วมกันแก้ไขปัญหา (Group Problem-Solving) การเรียนเป็นทีม (Team-Based
Learning) ตลอดจนการเรียนรู้จากการปฏิบตั ิ (Learning by Doing/Activities) ฯลฯ

การจัดการเรียนรู้ วชิ าภาษาอังกฤษพื้นฐาน รหสั วิชา อ32102 ประสบปญั หาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
ไม่เป็นที่พึงพอใจ นักเรียนสามารถพัฒนาองค์ความรู้และทักษะให้เป็นไปตามเกณฑ์คุณภาพได้จำนวนน้อยอัน
เนื่องมาจาก เนื้อหาสาระที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้มีมาก การเรียนรู้ส่วนใหญ่เกิดจากเอกสารและการสอนโดย

2

การอธิบายของครูเป็นหลัก นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้และการแสดงความคิดเห็นหรือการมีส่วน
ร่วมในห้องเรียนน้อย จึงทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและขาดสมาธิไม่เกิดกระบวนการในการพัฒนาองค์ความรู้
แบบถาวร ในการเรียน จากปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยในจึงมีแนวคิดในการกระตุ้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการ
จัดการเรียนรู้และมีบทบาทในชั้นเรียนเพิ่มมากขึ้น โดยครูลดบทบาทการสอนใหเ้ ป็นการแนะนำ เพิ่มเติมส่วน
องค์ความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการเข้าถึงองค์ความรู้ ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning
ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน รหัสวิชา อ32102 นักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษา
ปีที่ 5 โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มธั ยมศึกษากาญจนบุรี

วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั
1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน รหัสวิชา อ32102 นักเรียนช้ัน

มัธยมศึกษาปที ี่ 5 โรงเรียนเลาขวัญราษฎรบ์ ำรงุ
2. เพือ่ ศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรียน ต่อการจดั การเรยี นรดู้ ว้ ยกระบวนการ Active Learning

ขอบเขตของการวจิ ยั

1. กลุ่มประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน
5 ห้องเรียน ม.5/1-5 ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง สำนักงานเขตพื้นที่
การศกึ ษามัธยมศกึ ษากาญจนบรุ ี รวมท้ังหมด 123 คน

2. ประชากรกลุ่มตัวอย่าง คัดเลือกโดยวิธีการเจาะจง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 โรงเรียน
เลาขวัญราษฎรบ์ ำรุง อำเภอเลาขวัญ จงั หวัดกาญจนบุรี จำนวน 23 คน

3. ตัวแปรทีศ่ ึกษาในการวิจยั มีดังน้ี
3.1 ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรยี นรูด้ ว้ ยกระบวนการ Active Learning
3.2 ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษา

ปีที่ 5 โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง และความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ด้วย กระบวนการ
Active Learning

4. ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการวิจยั ต้ังแต่ วันท่ี 1 ธนั วาคม 2564 ถงึ วันท่ี 30 มกราคม 2565

คำจำกัดความในการวิจยั
1. Active Learning เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้

สูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้ในระดับทักษะการคิดขั้นสูง อันประกอบด้วย การวิเคราะห์
การสังเคราะห์ และการประเมินค่า ซึ่งลักษณะสำคัญของการจัดการเรียนการสอนรูปแบบนี้เป็นการเปิด
โอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ สามารถสร้าง องค์ความรู้ และจัดระบบการเรียนรู้ด้วย
ตนเอง อีกทั้งเป็นการเสริมสร้างความรับผิดชอบ การมีวินัยในการทำงานแก่ผู้เรียน ประกอบด้วยเทคนิค
ในการจัดการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) การเรียนโดยใช้

3

ปัญหาเป็ นฐ าน (Problem-Based Learning) การเรียนการสอนแบบกลุ่มย่ อย (Small Group
Teaching/Learning) การเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Directed Learning) การใช้กระบวนการกลุ่มเพ่ือร่วมกัน
วิเคราะห์ (Group Analysis/Learning) ร่วมกันแก้ไขปัญหา (Group Problem-Solving) การเรียนเป็นทีม
(Team-Based Learning) ตลอดจน การเรยี น รู้จากการปฏบิ ัติ (Learning by Doing /Activities)

2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนความสามารถของผู้เรียนที่ได้จากแบบ
ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้หมายถึง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียน
ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเลาขวญั ราษฎร์บำรุง

3. นักเรียน หมายถึง ผู้เรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนเลาขวญั ราษฎร์บำรุง อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่
การศกึ ษามัธยมศกึ ษากาญจนบรุ ี

4. ความพึงพอใจ หมายถึง ความพงึ พอใจเป็นคำนามของกิริยาท่ีบ่งบอกให้รู้ถึงสภาวะของความรู้สึก
พอใจ โดยคำว่า พอใจ หมายถึง การได้บรรลุความต้องการ ความคาดหวัง ความปรารถนา ความอยากของ
บุคคล การได้บรรลุหรือการได้ตอบสนองบางสิ่งที่เรียกร้องหรือเป็นข้อแม้ การยอมตาม การมีอิสระจากความ
สงสยั อย่างเพยี งพอ หรอื ทำให้คล้อยตาม

ประโยชนท์ ไ่ี ด้รับ

1. ผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการใช้การพัฒนาทางการเรยี นรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน รหัสวิชา อ32102
โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active Learning กับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์
บำรุงเปน็ แนวทางในการพฒั นาการเรียนรู้ของนกั เรียนให้มีคุณภาพที่สูงขึ้น

2. ครูได้มีโอกาสในการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
และนกั เรยี นมสี ่วนร่วมตอ่ การจัดการเรียนรู้เพิ่มขน้ึ

3. นักเรียนมคี วามพึงพอใจ ต่อการจัดการเรียนรู้ดว้ ยกระบวนการ Active Learning ในระดับ ดมี าก

4

บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ ก่ยี วข้อง

การพัฒนาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรยี นรู้ด้วยกระบวนการ Active Learning
วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน รหัสวิชา อ32102 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง
ในการวิจยั ครั้งน้ี ผวู้ ิจัยไดศ้ ึกษาแนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วข้องดงั นี้

1.หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551และ หลกั สตู รกลมุ่ สาระการ
เรียนร้ภู าษาต่างประเทศ
2. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น

2.1 ความหมายของผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
2.2 องค์ประกอบของผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน
2.3 ความหมายของการวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น
3. รูปแบบการจัดการเรยี นรู้แบบ Active Learning
4. แนวคดิ เกย่ี วกบั ความพงึ พอใจ

5.1 ความหมายของความพงึ พอใจ
5.2 องค์ประกอบของความพงึ พอใจ
5.3 การวัดความพึงพอใจ
5. งานวิจัยทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง
6.1 งานวจิ ัยในประเทศทเ่ี กี่ยวขอ้ ง
6.2 งานวิจยั ต่างประเทศทีเ่ กี่ยวข้อง

5

1. หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระการเรยี นรูภ้ าษาตา่ งประเทศ
ในสังคมโลกปัจจุบัน การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน

เนื่องจากเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อส่ือสาร การศกึ ษา การแสวงหาความรู้ การประกอบอาชีพ การสร้าง
ความเข้าใจเกี่ยวกับวฒั นธรรมและวิสัยทัศน์ของชุมชนโลก และตระหนักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและ
มุมมองของสังคมโลก นำมาซึ่งมิตรไมตรีและความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความเข้าใจ
ตนเองและผู้อ่ืนดขี ึ้น เรียนรแู้ ละเข้าใจความแตกต่างของภาษาและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การคิด
สังคม เศรษฐกิจ การเมอื ง การปกครอง มีเจตคติที่ดีต่อการใช้ภาษาต่างประเทศและใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อ
การสื่อสารได้ รวมทั้งเข้าถึงองค์ความรตู้ ่าง ๆ ไดง้ ่ายและกวา้ งข้ึน และมีวิสัยทัศน์ในการดำเนนิ ชีวติ

ภาษาต่างประเทศที่เป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐาน ซึ่งกำหนดให้เรียนตลอดหลกั สูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
คอื ภาษาอังกฤษ สว่ นภาษาตา่ งประเทศอืน่ เช่น ภาษาฝรัง่ เศส เยอรมัน จีน ญ่ีปุ่น อาหรับ บาลี และภาษากลุ่ม
ประเทศเพื่อนบ้าน หรือภาษาอื่น ๆ ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาที่จะจัดทำรายวิชาและจัดการเรียนรู้ตาม
ความเหมาะสม กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มุ่งหวังให้นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อภาษาต่างประเทศ
สามารถใช้ภาษาต่างประเทศสื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ แสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพและศึกษาต่อในระดับท่ี
สูงขึ้น รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเร่ืองราวและวัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคมโลกและสามารถถ่ายทอด
ความคดิ และวัฒนธรรมไทยไปยงั สังคมโลกไดอ้ ย่างสร้างสรรค์ ประกอบดว้ ยสาระสำคัญ ดงั น้ี

1) ภาษาเพื่อการส่อื สาร การใชภ้ าษาตา่ งประเทศในการฟัง-พดู -อา่ น-เขยี น แลกเปล่ยี นขอ้ มลู ขา่ วสาร
แสดงความรู้สึกและความคิดเห็น ตีความ นำเสนอข้อมูล ความคิดรวบยอดและความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ
และสรา้ งความสมั พนั ธ์ระหว่างบคุ คลอย่างเหมาะสม

2) ภาษาและวัฒนธรรม การใช้ภาษาต่างประเทศตามวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาความสัมพันธ์
ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของ
ภาษากับวัฒนธรรมไทยและนำไปใชอ้ ย่างเหมาะสม

3) ภาษากับความสัมพันธ์กบั กลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น การใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้
กับกล่มุ สาระการเรียนรู้อื่นเปน็ พ้นื ฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทศั น์ของตน

4) ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก การใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งใน
ห้องเรียนและนอกห้องเรียน ชุมชน และสังคมโลก เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ ประกอบอาชีพ และ
แลกเปลย่ี นเรียนรู้กับสังคมโลก

6

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ 1 ภาษาเพอ่ื การส่อื สาร
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็น
อย่างมเี หตผุ ล
มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึกและ
ความคดิ เห็นอย่างมปี ระสิทธภิ าพ
มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอขอ้ มูลขา่ วสาร ความคิดรวบยอดและความคดิ เห็นในเร่ืองต่าง ๆ โดยการพูด
และการเขยี น
สาระที่ 2 ภาษาและวฒั นธรรม
มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวฒั นธรรมของเจ้าของภาษาและนำไปใชไ้ ด้อย่าง
เหมาะสมกบั กาลเทศะ
มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหวา่ งภาษาและวฒั นธรรมของเจา้ ของภาษา
กับภาษาและวฒั นธรรมไทย และนำมาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
สาระท่ี 3 ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กับกล่มุ สาระการเรียนร้อู ืน่
มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชอ่ื มโยงความรูก้ ับกลุ่มสาระการเรียนรู้อน่ื และเป็นพ้ืนฐาน
ในการพัฒนา แสวงหาความร้แู ละเปิดโลกทศั นข์ องตน

สาระที่ 4 ภาษากับความสมั พนั ธก์ บั ชุมชนและโลก
มาตรฐาน ต 4.1 ใชภ้ าษาต่างประเทศในสถานการณต์ ่าง ๆ ทัง้ ในสถานศกึ ษา ชมุ ชน และสงั คม
มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเปน็ เครื่องมอื พนื้ ฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชพี และการ
แลกเปลี่ยนเรียนรู้กบั สงั คมโลก
คณุ ภาพนักเรียน
1) ปฏิบตั ติ ามคำแนะนำในคู่มือการใช้งานต่าง ๆ คำชีแ้ จง คำอธิบายและคำบรรยายที่ฟังและอ่าน อ่าน
ออกเสียงข้อความ ข่าว ประกาศ โฆษณา บทร้อยกรอง และบทละครสั้นถูกต้องตามหลักการอ่าน อธิบายและ
เขียนประโยคและข้อความสัมพันธ์กับสื่อที่ไม่ใช่ความเรียงรูปแบบต่าง ๆ ที่อ่าน รวมทั้งระบุและเขียนสื่อที่ไม่ใช่
ความเรียงรูปแบบต่าง ๆ สัมพันธ์กับประโยคและข้อความที่ฟังหรืออ่าน จับใจความสำคัญ วิเคราะห์ความ
สรุปความ ตีความ และแสดงความคิดเห็นจากการฟังและอ่านเรื่องที่เป็นสารคดีและบันเทิงคดี พร้อมทั้งให้
เหตผุ ลและยกตวั อยา่ งประกอบ
2) สนทนาและเขียนโต้ตอบข้อมูลเกี่ยวกับตนเองและเรื่องต่าง ๆ ใกล้ตัว ประสบการณ์ สถานการณ์
ข่าว/เหตุการณ์ ประเด็นที่อยู่ในความสนใจและสื่อสารอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม เลือกและใช้คำขอร้อง
คำชี้แจง คำอธิบายและให้คำแนะนำ พูดและเขียนแสดงความต้องการ เสนอและให้ความช่วยเหลือ ตอบรับ
และปฏิเสธการให้ความชว่ ยเหลือในสถานการณ์จำลองหรอื สถานการณ์จริงอยา่ งเหมาะสม พูดและเขียนเพื่อขอ
และให้ข้อมูล บรรยาย อธิบาย เปรียบเทียบ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเร่ือง/ประเด็น/ข่าว/เหตุการณท์ ี่ฟัง

7

และอ่านอย่างเหมาะสม พูดและเขียนบรรยายความรู้สึกและแสดงความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ
กิจกรรม ประสบการณ์ และข่าว/เหตุการณ์อย่างมเี หตุผล

3) พูดและเขียนนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง/ประสบการณ์ ข่าว/เหตุการณ์ เรื่องและประเด็นต่าง ๆ
ตามความสนใจ พูดและเขียนสรุปใจความสำคัญ แก่นสาระที่ได้จากการวิเคราะห์เรือ่ ง กิจกรรม ข่าว เหตุการณ์
และสถานการณ์ตามความสนใจ พูดและเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั กิจกรรม ประสบการณ์ และเหตุการณ์
ทงั้ ในทอ้ งถ่ิน สังคมและโลก พร้อมทัง้ ให้เหตุผลและยกตัวอย่างประกอบ

4) คน้ ควา้ /สบื คน้ บันทกึ สรุป และแสดงความคิดเห็นเกย่ี วกบั ข้อมลู ทีเ่ ก่ยี วข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้
อื่นจากแหลง่ เรยี นรตู้ า่ ง ๆ และนำเสนอด้วยการพดู และการเขียน

5) ใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น/คน้ คว้า รวบรวม วิเคราะห์ และสรุปความรู้/ข้อมูลต่าง ๆ จากส่ือ
และแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ ในการศกึ ษาต่อและประกอบอาชีพ เผยแพร่/ประชาสมั พนั ธ์ ข้อมลู ข่าวสาร ของ
โรงเรยี น ชุมชน และทอ้ งถ่นิ /ประเทศชาตเิ ป็นภาษาต่างประเทศ

6) มีทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศ (เน้นการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน) สื่อสารตามหัวเรื่องเกี่ยวกับตนเอง
ครอบครวั โรงเรยี น ส่ิงแวดลอ้ ม อาหาร เคร่ืองด่ืม ความสมั พันธร์ ะหว่างบุคคล เวลาว่างและนันทนาการ สขุ ภาพ
และสวัสดกิ าร การซื้อ-ขาย ลมฟ้าอากาศ การศกึ ษาและอาชีพ การเดนิ ทางท่องเท่ียว การบริการ สถานท่ี ภาษา
และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภายในวงคำศัพท์ประมาณ 3,600-3,750 คำ (คำศัพท์ที่มีระดับการใช้แตกต่าง
กนั )

หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรยี นเลาขวญั ราษฎร์บำรุง พุทธศักราช 2563
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ปรับปรุง 2560)

วิสยั ทศั น์หลักสตู ร
หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนานักเรียนทุกคน ซ่ึง
เปน็ กำลงั ของชาตใิ ห้เปน็ มนษุ ยท์ ่ีมีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจติ สำนกึ ในความเป็นพลเมือง
ไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มี
ความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต
โดยม่งุ เน้นนกั เรียนเปน็ สำคัญบนพ้ืนฐานความเช่ือว่าทุกคนสามารถเรียนรูแ้ ละพฒั นาตนเองได้เตม็ ตามศกั ยภาพ
พันธกิจ
1. สง่ เสริมและสนบั สนุนให้ผ้เู รยี นเปน็ คนดี มีคุณภาพ บนพนื้ ฐานของความเป็นไทย
2. ส่งเสริมให้นักเรียนมที ักษะในการดำรงชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
3. สง่ เสรมิ ใหช้ มุ ชนมสี ่วนร่วมในการจดั การศกึ ษาอย่างมีคุณภาพ
เปา้ หมาย
“เพื่อให้นักเรียน เป็นคนดี มีคุณภาพ บนพื้นฐานของความเป็นไทย มีทักษะในการดำรงชีวิตตามหลัก
ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง และอยใู่ นสังคมได้อยา่ งมีความสุข” กำหนดวตั ถุประสงค์ดังนี้

8

1. ผ้เู รียนมคี ณุ ภาพตามมาตรฐานการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน โดยชมุ ชนเข้ามามสี ว่ นรว่ มในการจัดการศึกษา
อยา่ งมีคุณภาพ

2. นกั เรยี นได้รับโอกาสในการศึกษาขน้ั พืน้ ฐานอย่างท่วั ถึง มคี ุณภาพและเสมอภาค
3. มหี ลักสตู รสถานศึกษาทยี่ ืดหยุน่ ทันสมัย และจดั การเรียนการสอน เพอื่ ยกระดับผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรยี นทุกกลุม่ สาระการเรียนรู้
4. นักเรียนเป็นคนดี มีคุณภาพ และมีทักษะในการดำเนินชวี ิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
บนพ้นื ฐานของความเป็นไทย
แนวทางการพัฒนาคณุ ภาพการจัดการของสถานศึกษา
โรงเรียนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและกิจกรรมเสริมต่าง ๆ เพื่อให้นักเรียนบรรลุตามตัวบ่งชี้
ดำเนินกิจกรรมต่อไปน้ีโครงการพัฒนาการเรียนการสอนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ทุกรายวิชาโครงการค่ายพุทธ
บุตร โครงการยกระดบั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนทุกกลุ่มสาระการเรยี นรู้ โครงการยกระดับการอ่าน คิดวิเคราะห์
เขียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโครงการเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โครงการพัฒนาการเรียน
การสอนวิชาเกษตรกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี บริการแนะแนว กิจกรรมโฮมรูม
โรงเรียนกำหนดเป็นนโยบายใหค้ รปู ระจำชัน้ ทุกคนต้องพบนักเรียน เพ่ืออบรมส่งั สอนสำรวจความผิดปกติที่อาจ
เกิดขึ้นกับนักเรียนที่รับผิดชอบทุกเรื่อง เช่น การเรียน กริยามารยาทความประพฤติ การมาเรียน การแต่งกาย
ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง กิจกรรมบันทึกการอ่านเหตุการณ์ประจำวัน กิจกรรมสร้างนวัตกรรม
กิจกรรมการผลิตสื่อและเอกสารประกอบการเรียนและแบบทดสอบกิจกรรมการเพาะชำกล้าไม้ กิจกรรม
ทัศนศึกษา กิจกรรมจัดบรรยากาศการเรียนรู้ กิจกรรมปรับปรุงและบำรุงรักษาอุปกรณ์ กิจกรรมแข่งขันทักษะ
ทางวิชาการ กิจกรรมสอบธรรมศึกษา กิจกรรมสอบธรรมะความกา้ วหน้า กิจกรรมอบรมศกึ ษาดูงานโรงเรียนวถิ ี
พทุ ธกจิ กรรมคดั กรองนักเรยี น ชมุ นุมพระพทุ ธศาสนา ชมุ นมุ ภาษาไทย ชมุ นุมอนรุ ักษส์ ิง่ แวดลอ้ ม
การจดั การเรยี นการสอนโดยเนน้ ประโยชน์ของผู้เรยี นเปน็ สำคญั โดยศึกษาหลักสตู รแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 และหลักสูตรของโรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง นโยบายของสำนักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษามัธยมศึกษาเขต 8 ศึกษาความต้องการของผู้ปกครอง รวมทั้งศึกษาข้อมูลพื้นฐานของนักเรียนเป็น
รายบุคคลเพื่อจัดการเรียนรู้ได้เหมาะสมกับนักเรียน มีการออกแบบการจัดการเรียนรู้จัดทำแผนการเรียนรู้
จัดการเรียนการสอนโดยเน้นความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียน เปิดโอกาสให้นักเรียนเลือกเรียน ตาม
ความสนใจจัดบรรยากาศในการเรยี นให้สนกุ สนาน ใช้สอื่ ประกอบการสอน มีการบนั ทึกหลงั การสอน เพ่อื นำไป
พัฒนาในครั้งตอ่ ไปหรือจัดทำวิจัยในช้นั เรียน และวัดและประเมินผลการเรยี นร้ตู ามสภาพจริง

2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2.1 ความหมายผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น
อรทัย จันใด (2553, หน้า 18) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถในการ

ที่จะพยายามเข้าถึงความรู้ หรือทักษะซึ่งเกิดจากการกระท าที่ประสานกันต้องอาศัยความพยายามอย่างมาก

9

ทั้งองค์ประกอบทางด้านที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญา และองค์ประกอบที่ใช้สถิติปัญญา แสดงออกในรูปของ
ความสำเร็จ ซงึ่ สามารถสังเกตและวดั ไดด้ ้วยเคร่ืองมอื ทางจิตวิทยาหรอื แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทวั่ ไป

ชนิดา ยอดสาลี และ กาญจนา บุทส่ง (2559, หน้า 13)ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้หรือ
ทักษะที่ต้องใช้สติปัญญาและสมรรถภาพทางสมองที่ได้รับมาจากการสั่งสอน แสดงออกมาในรูปความสำเร็จ
สามารถ วัดได้โดยการแสดงออกมาทั้ง 3 ด้าน คือพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย ด้านทักษะพิสัย และใช้แบบทดสอบ
ความสามารถใน การเรยี นร้เู กย่ี วกบั เนื้อหาวิชาทีเ่ รยี น

สนทยา เขมวิรัตน์ (2542 : 6) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง ความรู้หรือ
ความสามารถของบุคคลที่ได้จากการเรียนรู้และความสามารถ โดยสามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาหรือศึกษา
ต่อเน่ืองได้ ซึ่งผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นสามารถวัดไดด้ ว้ ยแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ทิ ่ัวไป

สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ระดับความสามารถของบุคคลที่เกิดจากการเรียนรู้การ
ฝกึ ฝน และสมรรถภาพทางสมองด้านต่าง ๆ ซงึ่ สามารถวดั ไดจ้ ากแบบทดสอบผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน

2.2 องคป์ ระกอบที่มอี ทิ ธิพลต่อผลสัมฤทธิท์ างการเรียน
ในกระบวนการเรียนรู้ การที่ผู้เรียนจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงหรือต่ำเพียงใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับ
องค์ประกอบหลายประการ ดังที่นักจิตวิทยาและนักการศึกษาได้กล่าวไว้ดังน้ีBloom (อ้างใน เรณู จันทร์กุย,
2538, หน้า 25) ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนในโรงเรียนว่า ตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
ประกอบดว้ ย 3 ตวั แปรคอื
1. พฤติกรรมด้านความรู้ความคิด (Cognitive Entry Behaviors) หมายถึง ความรู้ความสามารถและ
ทกั ษะต่าง ๆ ของผเู้ รียนทม่ี มี าก่อน
2. คุณลกั ษณะทางจติ ใจ (Affective Entry Characteristics) หมายถงึ แรงจูงใจทท่ี ำให้ผู้เรียนเกดิ ความ
อยากเรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ ได้แก่ ความสนใจในวิชาที่เรียน เจตคติต่อเนื้อหาวิชาที่เรียนและการยอมรับ
ความสามารถของตนเอง เปน็ ต้น
3. คุณภาพการเรียนการสอน (Quality of Instruction) ประสิทธิภาพการเรียนการสอนที่นักเรียนจะ
ได้รับ ได้แก่ คำแนะนำการปฏิบัติและแรงเสริมของผู้สอนทีม่ ีต่อผูเ้ รียน เป็นต้น Klausmier (อ้างใน เรณู จันทร์
กุย, 2538, หน้า 27) ได้กล่าวถึงองคป์ ระกอบท่ีมอี ิทธิพลต่อผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า นอกจากตัวนักเรียนเอง
และครูผู้สอนแล้วยังมีองค์ประกอบอื่น ๆที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเช่นบ้าน สิ่งแวดล้อม
และการศกึ ษาสว่ นตัวของนักเรียน เป็นตน้ คลอสไมร์ ได้เสนอรปู แบบขององค์ประกอบเหล่านี้ไว้ 6 ประการ คอื
1. คุณลกั ษณะของผเู้ รียน ไดแ้ ก่ ความพร้อมทางดา้ นสมอง ความพร้อมทางด้าน สติปัญญา ความพร้อม
ทางด้านร่างกายและความสามารถทางด้านทักษะของร่างกายคุณลักษณะทางจิตใจ ซึ่งได้แก่ความสนใจ
แรงจูงใจ เจตคติและค่านยิ ม สขุ ภาพ ความเขา้ ใจเกีย่ วกับตนเอง ความเข้าใจในสถานการณ์ อายุ เพศ เป็นต้น
2. คุณลักษณะของผู้สอนได้แก่ สติปัญญา ความรู้ในวิชาที่สอน การพัฒนา ความรู้ ทักษะทางร่างกาย
คณุ ลักษณะของจติ ใจ สุขภาพ ความเขา้ ใจเกย่ี วกับตนเอง ความเข้าใจสถานการณ์ อายุและเพศ เปน็ ตน้

10

3. พฤติกรรมระหวา่ งผู้เรียนและผู้สอน ได้แก่ ปฏิสัมพันธร์ ะหวา่ งการดำเนินการเรียนการสอนทั้งหลาย
กล่าวคอื ปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ งความรู้ ความคดิ วิธกี ารที่ครูนำมาสอนทักษะทางร่างกาย และการกระทำทางจิตใจ
และความรู้สึก เป็นต้น

4. คุณลักษณะของกลมุ่ ได้แก่ โครงสร้าง เจตคติ ความสามัคคี การเป็นผนู้ ำ เปน็ ต้น
5. คณุ ลักษณะของพฤติกรรมเฉพาะตัว ไดแ้ ก่ การตอบสนอง เคร่อื งมอื อุปกรณ์ เป็นตน้
6. แรงผลกั ดันภายนอก ไดแ้ ก่ บ้าน สง่ิ แวดล้อม อิทธิพลทางศิลปวัฒนธรรม เปน็ ตน้
นอกจากน้ี Presscott (อา้ งใน เรณู จนั ทรก์ ุย, 2538, หนา้ 28) ยงั ได้ทำการศึกษาเดก็ ติดต่อกันเป็นเวลา
30 ปี เพอ่ื ศึกษาองค์ประกอบทีม่ ีผลต่อผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นของนักเรยี นซึง่ ปรากฏผลดงั ต่อไปนี้
1. องค์ประกอบทางด้านร่างกาย (Physical Factors) ได้แก่อัตราการเจริญเติบโตของร่างกาย สุขภาพ
ทางร่างกาย ขอ้ บกพรอ่ งทางร่างกาย และลักษณะทา่ ทาง
2. องค์ประกอบทางด้านความรัก (Love Factors) ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างบิดา มารดา
ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดาและลูก ความสัมพันธ์ระหว่างลูก ๆ และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลภายใน
ครอบครัวเดียวกนั
3. องค์ประกอบทางด้านวัฒนธรรมและสังคม ( Cultural and Socialization Factors) ได้แก่
ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเป็นอยู่ของครอบครัว สภาพแวดล้อมทางบ้าน การอบรมทางบ้านและฐานะทาง
ครอบครวั
4. องค์ประกอบทางด้านความสัมพันธ์ในหมู่เพื่อนวัยเดียวกัน ( Peer Group Factors) ได้แก่
ความสัมพันธ์ในหมู่เพอ่ื นวยั เดยี วกนั ทัง้ ทางบ้านและทางโรงเรยี น
5. องคป์ ระกอบทางดา้ นการพฒั นาแห่งตน (Self-Development Factors) ไดแ้ กส่ ตปิ ัญญาความสนใจ
ทัศนคตขิ องนักเรียนที่มีต่อการเรยี น
6. องคป์ ระกอบทางดา้ นการปรับตัว (Self-Adjustment Factors) ไดแ้ กป่ ญั หาในการปรับตน การ
แสดงออกทางอารมณ์
เรณู จันทร์กุย (2538, หน้า 28) กล่าวว่าองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ
นักเรียนประกอบด้วย ลักษณะของตัวนักเรียนเอง ได้แก่ ความสนใจทัศนคติตอ่ สิ่งต่าง ๆ สติปัญญาและสุขภาพ
เป็นต้น สว่ นลักษณะที่เป็นสภาพแวดล้อมรอบตวั นักเรยี น เช่น ที่อยูอ่ าศยั สถานท่ีเรียน เศรษฐกจิ ความเอาใจใส่
ของครูและผู้ปกครอง ความสัมพันธ์กับพี่น้อง ความสัมพันธ์กับเพื่อน เป็นต้น องค์ประกอบเหล่านี้ ครูหรือครู
แนะแนว ตลอดจนผปู้ กครองสามารถชว่ ยเสริมหรือพัฒนาสภาพองค์ประกอบตา่ ง ๆของนกั เรยี นให้มีสภาพท่ดี ไี ด้
สรุป องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนประกอบด้วยองค์ประกอบ
ทางด้านร่างกายที่เกี่ยวกับด้านตัวเด็ก พันธุกรรม องค์ประกอบทางด้านสังคม สิ่งแวดล้อมสิ่งแวดล้อมที่มี
ปฏิสัมพันธ์กับตัวเด็ก ทั้งนี้รวมไปถึงประสิทธิภาพทางการเรียนการสอนที่นักเรียนจะได้รับจากหลักสูตรของ
โรงเรยี นและผู้สอน ซึง่ องคป์ ระกอบเหล่าน้ีจะรวมกนั และมผี ลตอ่ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของผูเ้ รยี น
2.3 ความหมายของการวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน

11

สำหรับการวัดและการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางเรียนนั่น มีทฤษฎีการเรียนรู้ ของบลูม (Bloom) เป็นที่
ยอมรับและนิยมใช้วัดทักษะทางปัญญา และการเรียนรู้ ในปี 1982 การ เรียนรู้ตามกระบวนการทักษะทาง
ปัญญา ประกอบ 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ความรู้ 2)ความเข้าใจ 3) วิเคราะห์ 4) สังเคราะห์ และ 5) ประเมินผล
ต่อมาได้พัฒนาและปรับปรุงระบบการเรียนรู้ใน ปัจจุบัน จนได้ การวัดและประเมินผลตามคู่มือ taxonomy of
educational objectives ของ บลูม (Hess et al., 2009) ที่ประกอบด้วย การประเมินตามสภาพจริงและ
พฤติกรรมทีต่ อ้ งการทำการ วัดประเมินผูเ้ รยี น มี 6 ขนั้ ตอน ดงั น้ี

1. ดา้ นความรู้ความจำ หมายถึง ความสามารถในการระลึกถงึ สิ่งที่เคยเรยี นรู้ มาแล้วเกย่ี วกบั ข้อเท็จจริง
ศัพท์นิยาม มโนทัศน์ ข้อตกลง การจัดประเภท เทคนิควธิ ีการ หลกั การ กฎ ทฤษฎี และแนวคิดที่สำคัญทางด้าน
วิทยาศาสตร์ นักเรียนที่มีความสามารถในด้าน นี้ จะแสดงออกโดยสามารถให้คำจำกัดความหรือนิยาม เล่า
เหตกุ ารณ์ จดบันทกึ เรียกช่ือ อ่านสญั ลักษณ์ และระลึกขอ้ สรุปได้ การวัดพฤติกรรมด้านความรู้ความจำลักษณะ
ของข้อสอบจะถาม เกย่ี วกบั ความรคู้ วามจำไมเ่ กนิ ร้อยละยี่สิบของข้อสอบทั้งหมด

2. ด้านความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการอธิบาย การแปลความ การ ตีความสร้างข้อสรุป
ขยายความ นกั เรยี นมคี วามสามารถในด้านนจ้ี ะแสดงออกโดยสามาร เปรยี บเทยี บแสดงความสมั พนั ธ์ การ
อธบิ ายชแี้ นะ การจำแนกเข้าหมวดหมู่ ยกตวั อยา่ ง ให้ เหตผุ ล จบั ใจความเขียนภาพประกอบ ตัดสนิ เลือก แสดง
ความเหน็ อา่ นกราฟแผนภมู แิ ละ แผนภาพได้

2.1 พฤตกิ รรมความเข้าใจ แบง่ ออกเปน็ 3 ระดบั
2.1.1 ความสามารถอธบิ ายความเขา้ ใจต่าง ๆ ไดด้ ว้ ยตนเอง
2.1.2 ความสามารถจำแนกหรอื ระบคุ วามรู้ได้เม่ือปรากฏในรูปแบบ สถานการณ์ใหม่
2.1.3 ความสามารถแปลความร้จู ากสญั ลักษณห์ นง่ึ ไปสอู่ กี สัญลักษณ์หนง่ึ

2.2 การวัดพฤติกรรมความเข้าใจ ลักษณะของข้อสอบจะถามให้นักเรียน อธิบายหรือบรรยาย
ความรู้ต่าง ๆ ด้วยค าพูดของตัวหรือให้ระบุข้อเท็จจริง มโนทัศน์ หลักการ กฎ หรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
กับสถานการณ์ที่กำหนดให้ หรือให้แปลความหมายสถานการณ์ ที่กำหนดให้ซึ่งอาจอยู่ในรูปของข้อความ
สญั ลกั ษณ์ รปู ภาพ หรือแผนภาพ เปน็ ตน้

3. ด้านการนำไปใช้เป็นการวัดความสามารถด้านการนำเอาความรู้ความเข้าใจมาประยุกต์ใช้ หรือ
แกป้ ญั หาในเหตุการณ์ หรือสถานการณใ์ หมไ่ ด้อยา่ งเหมาะสม การเขียนคำถาม ในระดับน้อี าจเขียนคำถามความ
สอดคลอ้ งระหวา่ งวิชาและการปฏบิ ตั ิ ถามใหอ้ ธบิ ายหลกั วชิ า ถามให้แกป้ ัญหา ถามเหตผุ ลของภาคปฏบิ ตั ิ

4. ด้านการวิเคราะห์ เป็นการวัดความสามารถในการแยกแยะหรือแจกแจงรายละเอียดของเรื่องราว
ความคิด การปฏิบัติออกเป็นระดับย่อย ๆ โดยอาศัยหลักการหรือ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อค้นพบข้อเท็จจริงและ
คุณสมบัติบางประการ คำถามระดับการวิเคราะห์ แบ่งออก 3 ประเภท คือ การวิเคราะห์ความสำคัญ
การวิเคราะหค์ วามสัมพนั ธ์ และการวเิ คราะหห์ ลักการ

5. ด้านการสังเคราะห์เป็นการวัดความสามารถในการรวบรวมและผสมผสานใน ด้านรายละเอียดหรือ
เรื่องราวปลกี ย่อย ของข้อมูลสร้างเป็นส่ิงใหม่ทีแ่ ตกต่างจากเดิม ความสามารถดังกล่าวเป็นพ้ืนฐานของความคดิ

12

ริเริ่มสร้างสรรค์ คำถามระดับนี้แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การสังเคราะห์ข้อความ การสังเคราะห์แผนงาน
การสังเคราะหค์ วามสมั พนั ธ์

6. ดา้ นการวัดและประเมินคา่ เป็นการวดั ความสามารถในดา้ นการสรปุ ค่าหรอื ตี ราคา เก่ียวกับเรื่องราว
ความคิด พฤติกรรมว่าดี-เลว เหมาะสม-ไม่เหมาะสม เพื่อหาจุดประสงค์ บางประการมาอ้างโดยใช้เกณฑ์ภายใน
และการประเมินโดยใช้เกณฑภ์ ายนอก

สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2555, หนา้ 1-2) กลา่ วถึง การ วดั และประเมินผล
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรว์ ่าเป็นภารกิจหนึ่งท่ีสำคัญของการจดั การ เรยี นรู้ การใชห้ ลกั สูตร กระบวนการ
เรียนรู้ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน โดยการประเมินผลกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มีแนว
ทางการวัดและพิจารณาผล ประกอบดว้ ย การประเมนิ ด้านการกระบวนการคดิ การจดั การ การประยุกต์ความรู้
การมีคุณธรรม ค่านิยมที่ดี และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ รวมถึงการประเมินให้ครอบคลุมตามเป้าหมาย
7 ประการ ดังตอ่ ไปนี้

1) เพอื่ ให้เข้าใจหลกั การ ทฤษฎีทีเ่ ป็นพน้ื ฐานทางวิทยาศาสตร์
2) เพื่อใหเ้ ข้าใจขอบเขต ธรรมชาติ และขอ้ จำกดั ของวิทยาศาสตร์
3) เพอ่ื ใหม้ ีทักษะทส่ี ำคญั ในการศึกษาคน้ ควา้ และคิดคน้ ทางวิทยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี
4) เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแกป้ ัญหาและการ จัดการ ทักษะใน
การสอ่ื สาร และความสามารถในการตัดสนิ ใจ
5) เพื่อตระหนักถึงความสัมพันธร์ ะหวา่ งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์และ สภาพแวดล้อมในเชิง
ท่มี อี ทิ ธพิ ลและผลกระทบซง่ึ กนั และกนั
6) เพื่อนำความรู้ความเข้าใจในเร่ืองวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์ต่อสังคมและการ
ดำรงชวี ติ
7) เพื่อให้เป็นคนที่มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยอี ย่างสร้างสรรค์
สำหรับการวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียน สรุปได้ว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็น การวัดพฤติกรรม
การเรียนรู้ทั้งหมด 6 ด้าน คือ ความรู้ความจำ ด้านความเข้าใจ ด้านการนำไปใช้ ด้านการวิเคราะห์ ด้านการ
สังเคราะห์และด้านการประเมินค่า ตามแนวคิดของบลูม ซึ่งผู้วิจัยใช้เป็นแนวทางในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี นวิทยาศาสตรใ์ นการวิจัยครัง้ น้ี

3. จดั การเรยี นรู้แบบ Active Learning
Active Learning เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่มุง่ เนน้ ให้ผ้เู รียนเกดิ การเรยี นรูส้ งู สุด โดยเฉพาะอย่าง

ยิ่งการเรียนรู้ในระดับทักษะการคิดขั้นสูง อันประกอบด้วย การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า
ซึ่งลักษณะสำคัญของการจัดการเรียนการสอนรูปแบบนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการ
เรียนรู้ สามารถสร้าง องค์ความรู้ และจัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง อีกทั้งเป็นการเสริมสร้างความรับผิดชอบ
การมีวินยั ในการทำงานแก่ผเู้ รยี น

13

Active Learning คือกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือกระทำาและได้ใช้ กระบวนการคิด
เกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป (Bonwell, 1991) , เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภายใต้สมมติฐานพื้นฐาน 2
ประการ คอื 1) การเรยี นรเู้ ปน็ ความพยายามโดยธรรมชาติของมนุษยแ์ ละ 2) แตล่ ะบคุ คลมแี นวทางในการเรียนรู้
ที่แตกต่างกัน (Meyers and Jones, 1993) , เป็นกระบวนการที่ผู้เรียนจะถูกเปลี่ยนบทบาทจากผู้รับความรู้
(receive) ไปสู่การมีสว่ นรว่ มใน การสรา้ งความรู้ (co-creators) (Fedler and Brent, 1996)

Active Learning หมายถึง การเรียนรเู้ ชิงรุก เปน็ การเรยี นรู้ท่ผี ้เู รียนมีส่วนร่วมในการ เรียนหรือดำเนิน
กิจกรรมต่าง ๆ ในการเรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย เป็นวิธีการเรียนรู้ ในระดับลึก ผู้เรียนจะสร้าง
ความเข้าใจและค้นหาความหมายของเนื้อหาสาระโดยเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมที่มีอยู่สามารถบูรณาการ
ความรู้ใหม่ที่ได้รับกับความรู้เก่าที่มี สามารถประเมิน ต่อเติมและสร้างเป็นแนวคิดของตนเอง ซึ่งแตกต่างจาก
วิธกี ารเรยี นรใู้ นระดับผิวเผนิ ซง่ึ เนน้ การรบั ข้อมูลและจดจำข้อมูลเท่านัน้ ผเู้ รยี นลักษณะน้ีจะเป็นผู้เรียนที่เรียนรู้
วิธีการเรียน (Learning How to Learn) เป็นผู้เรียนที่กระตือรือร้นและ มีทักษะที่สามารถเลือกรับข้อมูล
วเิ คราะห์และสงั เคราะหข์ อ้ มูลไดอ้ ย่างมีระบบ (Suwannatthachote, 2555)

Active Learning เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการสร้างสรรค์ทางปัญญา
(Constructivism) ที่เน้นกระบวนการเรียนรูม้ ากกวา่ เนื้อหาวิชา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้หรือ
สร้างความรู้ให้เกิดขึ้นในตนเอง ด้วยการลงมือปฏิบัติจริงผ่านสื่อหรือ กิจกรรมการเรียนรู้ที่มีผู้สอนเป็นผู้แนะนำ
กระตุ้นหรืออำนวยความสะดวก ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้นโดยกระบวนการคิดขั้นสูง กล่าวคือผู้เรียนมีการ
วเิ คราะห์ การสังเคราะหแ์ ละการประเมินค่าจากส่ิงที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนรู้ทำใหก้ ารเรียนรู้เป็นไป อย่างมี
ความหมายและนำไปใชใ้ นสถานการณอ์ นื่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (สถาพร พฤฑฒกิ ลุ , 2555)

Active Learning เป็นการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ส่งเสริมให้ผู้เรียน
ประยุกต์ใช้ทักษะและเชื่อมโยงองค์ความรูน้ าไปปฏิบัตเิ พื่อแก้ไขปัญหาหรือ ประกอบอาชีพในอนาคต หลักการ
จัดการเรียนการสอนแบบ Active Learningคือ การนำเอาวิธีการสอน เทคนิคการสอนที่หลากหลายมาใช้
ออกแบบแผนการสอนและกจิ กรรมกระตุ้นให้ ผูเ้ รยี นมีส่วนรว่ มในช้นั เรียน ส่งเสรมิ ปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างผู้เรียนกับ
ผเู้ รยี นและผ้เู รยี นกับผสู้ อนActive Learning จงึ ถอื เป็นการจัดการเรียนการสอนประเภทหน่ึงทสี่ ่งเสริมให้ผู้เรียน
มี คุณลักษณะสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน อีกทั้งยังช่วยส่งเสริม student engagement ,
enhance relevance, and improve motivation ของผ้เู รียน (มหาวิทยาลัย ศรปี ทุม, 2559)

ลกั ษณะสำคญั ของการจดั การเรียนการสอนแบบ Active learning ไดแ้ ก่
1. เป็นการเรียนการสอนท่ีเปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนมีสว่ นร่วมในกระบวนการเรียนรสู้ งู สุด
2. ผเู้ รยี นเรยี นรคู้ วามรับผดิ ชอบร่วมกนั การมีวินัยในการทำงาน การแบง่ หนา้ ท่ีความรับผดิ ชอบ
3. เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรยี นอ่าน พดู ฟงั คดิ อย่างลุม่ ลึก ผเู้ รยี นจะเป็นผู้จัดระบบการ
เรยี นรู้ด้วยตนเอง
4. เปดิ โอกาสใหผ้ ูเ้ รยี นบรู ณาการขอ้ มูลขา่ วสาร หรอื สารสนเทศ และหลกั การความคิดรวบยอด
5. ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพอื่ ให้ผเู้ รยี นเป็นผู้ปฏบิ ัติด้วยตนเอง
6. ความรู้เกิดจากประสบการณ์ การสรา้ งองคค์ วามรแู้ ละการสรุปทบทวนของผเู้ รยี น

14

กิจกรรมพ้ืนฐานทสี่ ำหรับการเรียนการสอนแบบ Active learning ในชน้ั เรยี นน้นั
1. การพดู และการฟังเม่ือผู้เรยี นได้พูดในหวั ข้อใดหวั ข้อหน่ึง ไมว่ า่ จะเป็นการตอบคำถามของผู้สอนหรือ
การอธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้เพื่อนร่วมชั้นฟัง ผู้เรียนได้ฝึกเรียบเรียงและประมวลความรู้ที่ตนได้ศึกษาและ
เรียนรู้ในชั้นเรียนเข้าด้วยกันเมื่อผู้เรียนฟังการบรรยาย ผู้สอนควรมั่นใจว่าเป็นการฟังที่มีความหมาย นั่นคือ
ผู้สอนต้องมั่นใจว่าผ้เู รียนจะสามารถเชื่อมโยงระหว่างส่ิงท่ีผู้เรียนรู้อยู่แล้วกับส่ิงท่ีผู้เรียนกำลังฟัง ในการบรรยาย
แต่ละครั้ง ผู้เรียนต้องการเวลาระยะหนึ่งในการทำความเข้าใจและเรียบเรียงข้อมลู ท่ีได้จากการฟัง อีกประเด็นท่ี
น่าสนใจ คือ ผู้เรียนต้องการเหตุผลของการฟัง วิธีการง่ายๆ ที่ผู้สอนจะกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนได้
ผูส้ อนอาจใชว้ ิธีต้งั คำถามที่จุดประกายความสนใจใคร่รู้ของผู้เรียนก่อนเริ่มการบรรยาย ผ้เู รยี นจะเกิดความสงสัย
อยากค้นหาคำตอบ เพื่อให้ได้คำตอบนั้น ผู้เรียนจะให้ความสนใจในสิ่งที่ผู้สอนจะบรรยายต่อไป หรือผู้สอนอาจ
มอบหมายงานล่วงหน้า ให้ผู้เรียนอธิบายหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งที่ผู้สอนกำลังจะบรรยายแก่เพื่อนร่วมชั้นหลังจบ
การบรรยาย ผู้เรียนจะให้ความสนใจในเนื้อหาที่ผู้สอนจะบรรยาย ประมวลผลและเรียบเรียงเนื้อหาของการ
บรรยายภายในระยะเวลาทีจ่ ำกัด และส่ือสารให้เพอ่ื นร่วมชน้ั ได้เขา้ ใจในสิง่ ท่ีตนเองเขา้ ใจ
2. การเขียนเช่นเดียวกับการฟังและการพดู การเขียนคือกระบวนการที่ผู้เรียนประมวลขอ้ มูลทีต่ นเองมี
อยู่และถ่ายทอดออกมาด้วยสำนวนภาษาของตนเอง การฝึกทักษะการเขียนเหมาะกับผู้เรียนที่ชอบเรียนรู้ด้วย
ตนเอง ทักษะการเขียนถูกใช้ได้ผลดีมากกับชั้นเรียนขนาดใหญ่ ในขณะที่การมอบหมายงานกลุ่มย่อยหรือการ
จบั คเู่ ป็นกิจกรรมทีไ่ มค่ ่อยเหมาะสมนัก เพราะผู้เรียนทุกคนอาจไม่ไดม้ ีส่วนร่วมในงานเขียนของกลมุ่
3. การอ่านโดยปกติแลว้ ผ้เู รยี นสามารถเรยี นรูผ้ า่ นการอา่ นได้ดี แต่ผูเ้ รียนมักจะขาดการได้รบั คำแนะนำ
เพื่อการอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมเพื่อส่งเสริม Active learning เช่น การทำสรุปหรือโน้ตตรวจสอบ
ความเข้าใจ จะช่วยให้ผู้เรยี นสรุปแนวคิดรวบยอดจากการอ่านและพัฒนาความสามารถในการจับใจความสำคญั
ได้
4. การสะท้อนในห้องบรรยายท่ัว ๆ ไป ผู้สอนจะจบการพูดบรรยายท่ีดำเนนิ มาอย่างต่อเนื่องเมื่อใกล้จะ
หมดเวลาบรรยายแล้ว ขณะนั้น ผู้เรียนจะเริ่มเก็บอุปกรณ์การเรียนและเดินไปห้องบรรยายรายวิชาถัดไปใน
บางครง้ั ผู้เรียนกไ็ มไ่ ด้ซึมซับความรู้จากการบรรยายทเี่ พงิ่ จบลงเลย เพราะผู้เรยี นไม่มีเวลาไดถ้ ่ายทอดในสิ่งที่เพิ่ง
เรียนร้โู ดยเช่ือมโยงเข้ากบั สง่ิ ทรี่ ูอ้ ยูแ่ ล้วหรือได้นำความรทู้ ี่ได้ศึกษามานั้นไปใช้ ดังนั้น การให้ผเู้ รียนได้หยุดเพื่อคิด
หรือถ่ายทอดความรู้ของตนผ่านการสอนหรือติวเพื่อนร่วมชั้นหรือตอบคำถามต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ
เปน็ วิธีที่งา่ ยทส่ี ุดในการกระต้นุ ความสนใจของผู้เรียน
กิจกรรมเพื่อส่งเสริม Active Learning ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในชั้นเรียนใด ๆ ก็คือกิจกรรมที่พัฒนา
ทักษะที่ผู้เรียนยังขาดความชำนาญอยู่ อย่างไรก็ดี ในบางกิจกรรม ผู้สอนสามารถช่วยพัฒนาทกั ษะหลายๆ ด้าน
ไปพร้อม ๆ กันได้ ดังนั้น การที่ผู้สอนให้ความสำคัญต่อการวางแผนการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริม Active
Learning ในระหวา่ งภาคการศกึ ษาจงึ เปน็ เร่ืองท่ีสำคญั ย่ิง
กิจกรรมเพ่ือสง่ เสริม Active Learning

15

1. Active Readingเป็นวิธีที่ให้แต่ละคนอ่านบทความแล้วแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ได้อ่านกับ
เพื่อนนำมาเขียนแผนผังมโนทัศน์ (Concept Map) ลงในกระดาษโปสเตอร์เพื่อท้ากิจกรรม Walk Gallery
ต่อไป

2. Brainstormingกำหนดหัวข้อและเวลา จากนั้นแบ่งกลุ่มผู้เรียนร่วมกันอภิปรายเพื่อหาข้อสรุปของ
กลุม่ แลว้ ทุกคนนำเสนอแนวคดิ ของตนและบันทึกทุกแนวคิดทีม่ ผี นู้ ำเสนอ

3. Agree & Disagree Statementผู้สอนตั้งคำถาม โดยมีตัวเลือกให้ผู้เรียนว่าเห็นด้วยหรือไม่ อย่างไร
เช่น อาจใช้ไม้ปิงปองที่มีสี 2 ด้านต่างกันเป็นอุปกรณช์ ว่ ยตอบ แล้วเลือกผู้ตอบในแต่ละกลุ่มให้อธิบาย หลังจาก
น้นั จึงอภปิ รายแลกเปลยี่ นเรียนร้รู ว่ มกนั ทัง้ ชัน้ เรยี น

4. Carouselกำหนดหัวเรื่อง แล้วแบง่ เป็นหวั ขอ้ ย่อยทเี่ ก่ียวข้องสัมพันธ์กัน แบง่ กลุ่มผเู้ รียนให้ได้จำนวน
กล่มุ เท่ากับจำนวนหวั ขอ้ ยอ่ ย จากนัน้ เขยี นหวั ขอ้ ย่อย ๆ ลงบนกระดาษโปสเตอร์แลว้ ตดิ ไว้รอบ ๆ ห้องแตล่ ะกลุ่ม
ระดมความคิดและเขียนลงในกระดาษโปสเตอร์เมื่อครบ 2-3 นาทีเปลี่ยนไประดมความคิดหน้าโปสเตอร์ถัดไป
โดยอา่ นแนวคดิ ของกลุ่มก่อนหนา้ ถ้าเหน็ ดว้ ยให้ใสเ่ ครื่องหมายถูกและเพ่ิมส่งิ ที่คิดเหน็ แตกต่าง จากนั้นสรุปส่ิงท่ี
ไดเ้ รยี นรู้ร่วมกัน

5. Concept Mapลักษณะคล้ายการเขียน Mind Map แต่การเขียนแผนผังมโนทัศน์จะแสดงแนวคิด
และใช้คำเช่ือมโยงระหว่างแนวคิด

6. Gallery Walkกำหนดหัวข้อเร่ือง เขยี นแนวคดิ วิธีการ ลงบนกระดาษโปสเตอร์แล้วตดิ ไว้รอบ ๆ ห้อง
เพอื่ ใหแ้ ลกเปลี่ยนเรยี นรู้ระหว่างการเดนิ ชมผลงาน

7. Jigsawผสู้ อนเลือกเนื้อหาที่แบ่งเป็นส่วนๆ 3-4 ช้ิน แบ่งผเู้ รียนเป็นกลุ่มๆ โดยมีสมาชิกในกลุ่มเท่ากัน
กับเนื้อหา (Home group) สมาชิกแต่ละคนเลือกเนื้อหาที่ตนสนใจแล้วไปร่วมกับสมาชิกจากกลุ่มอื่น (Expert
group) เพื่อศึกษา ท้าความเข้าใจหรือหาค้าตอบร่วมกันในกลุ่ม จากนั้นกลับไปสอนที่กลุ่มเดิมของตนจน
ครบถ้วน

8. Problem/Project-based Learning หรอื Case Studyใชเ้ ร่ืองจริงหรือปัญหาที่เกดิ ข้ึนจริงในชุมชน
บ้าน โรงเรียน หรือที่เกิดขึ้นกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพื่อให้นักเรียนคิดวิเคราะห์และหาทางแก้ปัญหาที่เกิดข้ึน
โดยการบรู ณาการความร้ทู ่ีได้เรยี นกบั ประสบการณ์ตรงหรือสืบเสาะหาความร้เู พมิ่ เติม

9. Role Playingการแสดงบทบาทสมมตุ เิ ปน็ วิธีการสอนท่ีใหผ้ ู้เรยี นไดฝ้ ึกการแสดงออกตามสถานการณ์
ที่กำหนดให้เพื่อเป็นประสบการณ์ที่จะน้าไปแก้ไขปัญหาและสถานการณ์จริงในชีวิต ผู้เรียนได้เรียนรู้การ
แสดงออก ฝึกวางแผนการท้างานร่วมกัน เข้าใจความรู้สึกและพฤติกรรมทั้งของตนเองและของผู้อืน่ เช่นการทำ
กิจกรรม “คุ๊กกี้คาเฟ่” ผู้สอนจะกำหนดบทบาทแล้วเขียนไว้ในกระดาษ ให้ผู้เรียน 6 คน จับฉลากเลือกว่าจะ
แสดงบทบาทใด โดยไม่ให้ปรึกษากัน แล้วให้แสดงบทบาทสมมติตามบทบาทที่ตนเองได้รับหลังจากนั้นจะต้ัง
คำถามและให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นว่า ผู้แสดงแต่ละคนทำหน้าที่อะไร และทำหน้าที่นั้นได้ดีหรือไม่ มีจุดใด
ต้องแกไ้ ขหรอื ปรบั ปรงุ เปน็ ต้น

10. Think – Pair – Shareผู้สอนเป็นผู้ตั้งคำถามให้ผู้เรียนคิดหาคำตอบด้วยตนเอง หลังจากนั้นจึง
อภปิ รายแลกเปล่ยี นความคิดเหน็ กันกบั เพื่อนในชน้ั เรียน

16

11. Predict – Observe – Explainจำลองสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะเรียนรู้ โดยผู้เรียนเขียน
ทำนายสง่ิ ทีน่ ่าจะเกิดขึ้นสงั เกตและบันทึกผล อธิบายสง่ิ ทสี่ งั เกตได้อาจทำการทดลอง สำรวจหรอื คน้ คว้าเพ่ิมเติม
ได้ และนำเสนอผลงานกลุ่มหน้าชั้นเรียน เปน็ ต้น

12. Clarification Pauseเมื่ออธิบายถึงประเด็นทีส่ ำคัญ ผู้สอนควรใหเ้ วลาผู้เรียนตกผลึกความคดิ และ
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถามหากต้องการค้าอธบิ ายเพิม่ เตมิ (ผู้สอนควรจะเดินไปรอบ ๆ ห้อง เพราะผู้เรยี นมักไม่
กล้าถามหนา้ ช้ันเรียน)

13. Card Sortsผู้สอนจัดเตรียมบัตรคำ/บัตรภาพไว้ให้ผู้เรียนจัดกลุ่มบัตรภาพนั้น ๆ และต้องอธิบาย
เกณฑ์ทใ่ี ชจ้ ดั กลมุ่ ให้เพอื่ นและผู้สอนฟัง และอภิปรายร่วมกันในชนั้ เรยี น

14. Chain Noteผู้สอนเตรียมคำถาม/ข้อความที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่ต้องการไว้ โดยอาจพิมพ์ลงบน
กระดาษ A4 แล้วให้ผู้เรียนแต่ละคนตอบคำถามหรือข้อความนั้น ๆ เพียง 1-2 ประโยค จากนั้นส่งต่อกระดาษ
แผนน้นั ใหเ้ พอื่ นที่นัง่ ถดั ไปเพ่ือชว่ ยกันตอบคำถามนัน้ ให้สมบรู ณย์ ง่ิ ขน้ึ สามารถใชก้ อ่ นเรียนหรือหลังเรียนได้และ
ควรสง่ กระดาษแผน่ นั้นกลบั ในทศิ ทางเดิม เพ่ือให้ผู้ท่เี ขยี นกอ่ นไดอ้ า่ นความเห็นท้ังหมดด้วย

15. Team - pair - soloเทคนิคการทำเป็นกลุ่ม ทำเป็นคู่ และทำคนเดียว เป็นเทคนิคที่ผู้สอนกำหนด
ปัญหาหรืองานให้แล้วนักเรียนทำงานร่วมกันทั้งกลุ่มจนงานสำเร็จ จากนั้นจะแยกทำงานเป็นคู่จนงานสำเร็จ
สดุ ทา้ ยผเู้ รยี นแตล่ ะคนแยกมาทำเองจนสำเร็จไดด้ ้วยตนเอง

16. Students’ Reflectionเป็นการให้ผู้เรียนได้สะท้อนความคิด อาจจะให้ผู้เรียนสรปุ สิ่งที่ได้เรียนร้ใู น
คาบเรยี นเสนอแนะเก่ียวกับการเรยี น ถามคำถามที่ยังสงสัย หรอื ให้ผเู้ รียนค้นคว้าเพิ่มเตมิ เกย่ี วกับสิ่งที่เรียน เช่น
- Know – Want – Learned เมอื่ เรมิ่ ตน้ บทเรียน ให้ผูเ้ รยี นเขยี นส่ิงที่ร้แู ละส่ิงท่ีอยากรูเ้ ก่ยี วกับเนื้อหาที่จะเรียน
เมื่อจบบทเรียน ให้ผู้เรียนเขียนสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้- Got – Need และ Exit Ticket เมื่อจบบทเรียน ให้ผู้เรียน
เขียนสิ่งที่ได้เรียนรู้อาจเป็นการสรุปร่วมกันหน้าชั้นเรียน และวางแผนกิจกรรมการเรียนจากส่ิงที่อยากรู้เพิ่มเตมิ
- Diary/ Journal Note เขียนสรุปสิ่งทไ่ี ด้เรียนรู้ คา้ ถามทย่ี งั สงสยั และความรู้ ความในใจ

4. การวัดความพึงพอใจ
นักการศกึ ษาหลายทา่ นได้กล่าวถึงการวัดความพึงพอใจไว้ดังต่อไปนี้
สาโรช ไสยสมบัติ (2534: 39) กล่าวไวว้ า่ ความพึงพอใจเกิดขนึ้ หรือไม่เกิดข้ึนน้ันข้ึนอยู่กับกระบวนการ

จัดการเรียนรู้ประกอบกับระดับความรู้สึกของนักเรียน ดังนั้นในการวัดความพึงพอใจในการเรียนรู้กระทำได้
หลายวิธี ตอ่ ไปน้ี

1. การใช้แบบสอบถาม ซึ่งเปน็ วธิ ที น่ี ยิ มใช้กันอยา่ งแพร่หลาย
2. การสัมภาษณ์ ซึ่งเป็นวิธีที่ต้องอาศัยเทคนิคและความชำนาญของผู้สัมภาษณ์ที่จะจูงใจให้
ผู้ตอบคำถามตามขอ้ เทจ็ จริง
3. การสังเกต เป็นการสังเกตพฤติกรรมทั้งก่อนการปฏิบัติกิจกรรม ขณะปฏิบัติกิจกรรมและ
หลังการปฏิบัติกิจกรรม ซึง่ จะเห็นไดว้ า่ การวดั ความพึงพอใจในการเรียนรู้สามารถทจ่ี ะวัดไดห้ ลายวิธี ข้ึนอยู่กับ

17

ความสะดวกและความเหมาะสม ตลอดจนจุดมุ่งหมาย หรือเป้าหมายของการวัดด้วยจึงจะส่งผลให้การวัดนั้นมี
ประสทิ ธิภาพและนา่ เช่อื ถือ

สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์ (2544: 75-78) กล่าวถึง การวัดความพึงพอใจ ดังนี้ การวัดเจตคติจากการตีความ
คำพูดของคนเราต้องการวัดนั้น พบว่า บุคคลอาจเปิดเผยสิ่งที่เป็นเจตคติเพียงบางส่วนเท่านั้น โดยส่วนใหญ่จะ
ถกู เกบ็ เปน็ ความลับส่วนตวั แต่ด้วยเหตุทเี่ จตคตเิ ป็นเร่อื งทซ่ี ับซ้อน ยากทจ่ี ะถา่ ยทอดออกมาได้ถกู ตอ้ ง ตรงความ
ต้องการของบุคคล ประเด็นเหล่านนี้เปน็ เรื่องที่ท้าทาย ก่อให้เกิดความพยายามที่จะสร้างเครื่องมือที่ใช้วัดความ
พึงพอใจได้อย่างเป็นระบบ มีความเที่ยงตรง แม่นยำและมีความน่าเชื่อถือได้ขึ้นหลายวิธี ทั้งที่อยู่ในมาตราส่วน
ประเมนิ ค่า (Rating Scale) แบบสอบถาม (Questionnaires) และการรสมั ภาษณ์ เปน็ ต้น

ภูษิต สายกมิ้ ซว้ น (2550: 15) ไดก้ ล่าววา่ ทำไมเราถึงต้องมกี ารวัดความพึงพอใจ
1. เพื่อท่ีจะเรยี นรูถ้ ึงความร้สู กึ และความเข้าใจ
2. เพอ่ื ทีจ่ ะแจกแจงว่าอะไรคือความจำเป็น ความปรารถนา ความต้องการหรอื ความคาดหวัง
3. เพ่ือลดความเขา้ ใจทคี่ ลาดเคลอ่ื น
4. เพื่อตรวจสอบสง่ิ ท่ีคาดหวงั ปรบั ปรุงคุณภาพและความพงึ พอใจ
5. ต้องการนำไปสูผ่ ลงานที่ดขี ้ึน
6. เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่ดำเนินการในปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไรบ้างและจากจุดนี้จะมุ่งหน้าไปสู่จุดใด
ตอ่ ไป

จากการศึกษาการวัดความพึงพอใจข้างต้น สรุปได้ว่า การวัดความพึงพอใจจะมีความสัมพันธ์กันใน
ทางบวกทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ผู้เรียนได้ปฏิบัตินั้น ทำให้ผู้เรียนได้รับการตอบสนองความต้องการทางด้าน
รา่ งกายและจิตใจ ดังนน้ั ในการศึกษาความพึงพอใจทีม่ ีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนร้ภู าษาอังกฤษโดยใช้วิธีการ
จัดการเรยี นรแู้ บบเน้นภาระงานรว่ มกับแผนผงั ความคดิ ของนักเรียน จงึ สามารถบอกไดว้ ่า ผูเ้ รียนมคี วามรู้สึกเช่น
ไรกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นี้ ซึ่งจะทำให้ทราบถึงข้อดีหรือข้อเสียของการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยพัฒนาข้ึน
โดยอาศยั เคร่อื งมอื ท่ีมคี วามเทยี่ งตรง แม่นยำและมีความนา่ เชื่อถือ เช่น การใชแ้ บบสอบถาม การสมั ภาษณ์ หรือ
การสงั เกต เป็นตน้
5. งานวิจัยที่เก่ยี วข้อง

5.1 งานวิจัยในประเทศทีเ่ ก่ียวข้อง
รองศาสตราจารย์นิลมณี พิทักษ์และคณะ พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการคิด โดยใช้
โครงงาน กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม กลุ่มเป้าหมาย คือ ครูโรงเรียนจำนวน 10 คน
จากโรงเรียน 4 โรงเรียน ในเขตพื้นที่การศึกษา 1 จังหวัดขอนแก่น การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจยั เพื่อพัฒนาโดยใช้
วงจรการพัฒนาคุณภาพงานแบบ วงจร Deming ประกอบด้วย P D C A พบว่า การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้
ตามกระบวนการ เรียนรู้ที่เน้นทักษะการคิด โดยใช้โครงงานผู้วิจัยต้องดำเนินการให้ความรู้เชิงหลักการแนวคิด
เก่ียวกับทักษะการคิด การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญโดยใช้โครงงาน การผลิตสื่ออุปกรณ์
ประกอบการสอน จากนั้นจึงพัฒนาความรู้จากที่อบรมมาจัดเตรียมเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการ

18

คิดโดยโครงงาน เมื่อกลุ่มเป้าหมายสามารถเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แล้วจัดกิจกรรมให้มีการแลกเปลี่ยน
เรยี นร้รู ะหว่างบุคคลโดยมีผ้วู จิ ยั ใหค้ ำปรึกษาแก้ไข พร้อมทจ่ี ะนำไปปฏบิ ัติการในชน้ั เรียน

เดชดนัย จยุ้ ชมุ และคณะการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เรอ่ื ง ทกั ษะการคดิ ของนักศึกษาในรายวิชา
ทักษะการคิด (Thinking Skills) รหัสวิชา 11-024-112 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 ด้วยการเรียนรู้แบบมี
ส่วนร่วม (Active Learning) วัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมทางการเรียน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาในรายวิชาทักษะการคิด รหัสวิชา 11-024-112 ภาค
เรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2558 ดว้ ยการเรียนรแู้ บบมีสว่ นร่วม กลุ่มตวั อยา่ ง ใช้วธิ สี มุ่ กลมุ่ ตัวอย่างแบบเจาะจง โดย
ใช้นกั ศึกษาสาขาวิชาภาษาองั กฤษ คณะศลิ ปศาสตร์ ในรายวิชาทกั ษะการคิด รหัสวิชา 11-024-112 ภาคเรียนที่
1 ปกี ารศึกษา 2558 จำนวน 83 คน เคร่อื งมือวิจัยทีใ่ ชใ้ นการทดลอง คือ 1) แผนการสอนแบบมสี ว่ นรว่ ม2) แบบ
บันทึกพฤติกรรมทางการเรียน 3) แบบทดสอบทักษะการคิด ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ เท่ากับ 0.941
และ 4) แบบสอบถามความพงึ พอใจ ได้ค่าสัมประสทิ ธ์อิ ลั ฟา่ ของครอนบาคเท่ากบั 0.823 วิเคราะห์ ขอ้ มูลโดยใช้
ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าร้อยละผลการวิจัยพบว่า 1) พฤติกรรมทางการเรียนของ
นักศึกษา หลังการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ดีขึ้นทั้งในด้านการทำงาน เป็นกลุ่ม การแสดงความคิดเห็น และการ
แสดงออกเพื่อสะท้อนความคิดเห็นร่วมกัน 2)คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลัง เรียนของนักศึกษา สูงกว่า
ก่อนเรียน และ 3) นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม โดยรวมอยู่ระดับมาก ( =4.17,
S.D.=0.476)

ธนนันท์ คำสาริรักษ์ (23 : 2563) การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
ด้วยกระบวนการActive Learning วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน 3 รหัส ว22101 เรื่อง การเคลื่อนที่และแรง ของ
นกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นสฤษดเิ ดช สรปุ ผลการวิจยั พบวา่ 1. ผลการเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธทิ์ างการ
เรียน ก่อนเรียนและหลังการเรียน ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้รปู แบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active
Learning วชิ าวทิ ยาศาสตรพ์ ืน้ ฐาน 3รหสั ว22101 เรอื่ ง การเคลื่อนท่ีและแรงพบว่า นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี
2 โรงเรียนสฤษดิเดช มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 23.74 คิดเป็นร้อยละ 79.19 สูงกว่า
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 11.39 คิดเป็นร้อยละ 37.86 ซึ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าเท่ากับ 12.35 คิดเป็นร้อยละ 41.33 แสดงให้เห็นว่าการใช้รูปแบบ
การจัดการเรยี นรดู้ ้วยกระบวนการ Active Learning สามารถส่งผลให้ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของผเู้ รียนดขี น้ึ

5.2 งานวจิ ยั ตา่ งประเทศทเ่ี ก่ียวข้อง
กิลล์ (Giles, 1975) ได้ทำการวจิ ยั เรอ่ื ง คุณคา่ ของชดุ การสอนแบบศนู ยก์ ารเรยี นในระดบั ประถมศกึ ษา
พบว่าชุดการสอนแบบศูนย์การเรียนเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับประสบการณ์จาก กิจกรรม และสื่อการสอน
ต่างๆ ที่ครูจัดไว้เป็นการสนองความต้องการของนักเรียน ทำให้นักเรียน มีความกระตือรือร้น มีความคิด
สร้างสรรค์เพิ่มข้ึน ส่วนการสอนตามปกติได้จัดกิจกรรมการเรียน การสอนไปตามแผนการสอนที่กำหนดไว้
ครูผู้สอนมีบทบาทในการเรียนการสอนโดยเป็นผู้บรรยาย อธิบาย ควบคุมให้เป็นไปตามแผนการสอนโดยไม่
คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล นักเรียน ไม่มีความเป็นอิสระต่อการทำกิจกรรม ทำให้นักเรียนไม่มีความ
กระตือรอื ร้นและไมอ่ ยากรู้ ไม่อยากเห็นในสงิ่ ท่ีเรยี นในบทเรยี นนั้น ๆ

19

แอนเดอร์สัน (1982 : 4795) ได้สร้างชุดการเรียนด้วยตนเองเพื่อหาประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ที่ตั้ง ไว้
และเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าสังคมศึกษาของผู้ทฝี่ ึกอบรมเป็นครู สงั คมศกึ ษาระดับประถมศึกษา
โดยใช้ชุดการเรียนด้วยตนเองกับการสอนแบบบรรยาย ผลการวิจัย 57 พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมี
นยั สำคัญจากกลุ่มที่สอนโดยใช้ชุดการเรียนด้วยตนเองและการ สอนแบบบรรยาย ทงั้ ในด้านผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียน การวางแผนการสอนและวิธกี ารสอน แต่ไม่มี ความแตกต่างกันในด้านทัศนคตทิ ีม่ ีต่อวิชาสังคมศึกษา และ
ครูฝึกโดยมากชอบการเรียนด้วย ตนเอง จากการศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ว่า การจัดการเรียน
การสอนโดยใชช้ ุด กิจกรรมทมี ีส่อื การเรยี นรู้และกจิ กรรมท่ีหลากหลาย สามารถพฒั นาการเรียนรู้และผลสัมฤทธ์ิ
ทำงการเรียนของผเู้ รียนให้สูงข้ึน อย่างมีประสทิ ธิภาพ และเกิดพฤติกรรมการเรยี นรทู้ ่ีดีอยา่ ง ต่อเนื่อง

19

บทท่ี 3
วิธีการดำเนินการวจิ ัย

การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active
Learning วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง ผู้วิจัยได้เสนอ
ตามลำดบั ดงั น้ี

1. ประชากรกลุ่มตวั อย่างทีใ่ ช้ในการวจิ ัย
2. เคร่อื งมือท่ีใช้ในการวิจยั
3. ข้นั ตอนการสร้างเครือ่ งมอื
4. วธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
5. การวิเคราะหข์ อ้ มูล
6. สถติ ทิ ่ใี ชใ้ นการวิจยั

1. ประชากรกลุ่มตัวอย่างทีใ่ ชใ้ นการวิจัย
ประชากรกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/5 โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์

บำรุง อำเภอเลาขวัญ จงั หวดั กาญจนบรุ ี จำนวน 23 คน

2. เครื่องมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย
2.1 แบบทดสอบกอ่ นเรียน และ หลังเรียน
2.2 แบบสอบถามความพงึ พอใจของผ้เู รียน

3. ขั้นตอนการสรา้ งเครือ่ งมอื
3.1 แบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ซ่ึงเป็นแบบทดสอบแบบปรนัย

ชนิด 4 ตวั เลือก จำนวน 30 ขอ้ ขอ้ ละ 1 คะแนน (คะแนนเตม็ 30 คะแนน) คะแนน หาค่าโดยใชส้ ถติ คิ ่ารอ้ ยละ
ข้ันตอนการสร้างเคร่อื งมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล แบบทดสอบกอ่ นเรียน และหลงั เรยี น วิชา

ภาษาอังกฤษพื้นฐาน เป็นแบบทดสอบชนดิ เลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก จำนวน 30 ขอ้ ซ่ึงมีข้ันตอนการสรา้ งดงั น้ี
3.1.1 กำหนดจดุ มุ่งหมายในการสรา้ งแบบทดสอบ
3.1.2 ศึกษาจุดมงุ่ หมาย เนอ้ื หา วิชาภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน ตามหลักสตู ร

20

3.1.3 ศึกษาการสร้างแบบทดสอบ จากเอกสารเกี่ยวกับการวัดและประเมินผลเช่น การวัดผล
การศกึ ษา ของ รศ.สมนกึ ภทั ทิพยธนี. (2546:1-231) และเคร่ืองมือทม่ี ผี สู้ รา้ งไวแ้ ลว้

3.1.4 วเิ คราะห์ความสัมพนั ธร์ ะหว่างเน้ือหา และจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1.5 กำหนดจำนวนขอ้ สอบที่ให้สอดคลอ้ งกับจดุ ประสงค์การเรยี นรู้และเน้ือหา
3.1.6 นำแบบทดสอบท่ีสร้างข้ึน ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเพอ่ื พิจารณาข้อทดสอบแต่ละข้อ วัด
ตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมและครอบคลุมเนื้อหาหรือไม่ วิเคราะห์หาความเท่ียงตรงตามเน้ือหา
(Conten Validity) โดยพิจารณาดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
(IOC: Index of Item Objective Congruence) ตามวิธีการของ โรวิเนลลี (Rovinelli)และแฮมตัน
(Hambleton) (สมนกึ ภัททิยธนี.2546 : 218)
3.1.7 พิจารณาแบบทดสอบท่ีวัดครอบคลุมกับเนื้อหาตามชื่อเรื่องและขอ้ สอบข้อน้ันวดั ได้ตรง
ตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ จำนวน 30 ข้อ
3.1.8 นำแบบทดสอบทไ่ี ด้มาปรบั ปรงุ แกไ้ ข ตามข้อเสนอแนะของผู้เช่ียวชาญแล้วนำไปทดลอง
ใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา2564 ท่ี
ไม่ใช่กลมุ่ ตวั อยา่ ง จำนวน 20 คน
3.1.9 วิเคราะห์คุณภาพของแบบทดสอบ ดำเนินการวิเคราะห์คณุ ภาพแบบทดสอบ ดงั น้ี
นำแบบทดสอบ ท่สี รา้ งขึน้ ไปให้ผเู้ ชี่ยวชาญด้านการจดั การเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษพ้ืนฐาน และด้านการ
วัดและประเมินผล รวม 3 ท่าน ตรวจสอบคุณภาพด้านความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) โดย
พิจารณาความสอดคล้องของข้อสอบกับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ความเหมาะสมของการใช้ภาษา เพ่ือ
หาคา่ ดชั นคี วามสอดคล้อง (IOC) ซง่ึ ควรมีคา่ ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป โดยใช้ เกณฑ์การประเมนิ ดงั นี้
คะแนน +1 หมายถึง ผู้เช่ยี วชาญแน่ใจว่าข้อสอบขอ้ นน้ั วัดตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้
คะแนน 0 หมายถึง ผู้เชีย่ วชาญไมแ่ นใ่ จว่าข้อสอบขอ้ นั้นวัดตรงตามจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
คะแนน -1 หมายถงึ ผเู้ ชี่ยวชาญแนใ่ จวา่ ข้อสอบขอ้ นน้ั วดั ไมต่ รงตามจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้

ความคดิ เห็นของผ้เู ชี่ยวชาญ

ขอ้ ท่ี IOC แปลผล
ผู้เชี่ยวชาญคน ่ีท 1
ผู้เชี่ยวชาญคน ่ีท 2
ผู้เชี่ยวชาญคน ่ีท 3

ข้อ 1 1 0 1 0.67 ใชไ้ ด้
ขอ้ 2 1 1 1 1 ใชไ้ ด้
ข้อ 3 1 1 1 ใชไ้ ด้
1

21

ข้อ 4 1 1 1 1 ใชไ้ ด้
1 ใช้ได้
ข้อ 5 1 1 1 1 ใช้ได้
1 ใชไ้ ด้
ข้อ 6 1 1 1 1 ใช้ได้
1 ใช้ได้
ขอ้ 7 1 1 1 1 ใชไ้ ด้
1 ใชไ้ ด้
ขอ้ 8 1 1 1 1 ใชไ้ ด้
1 ใชไ้ ด้
ข้อ 9 1 1 1 0.67 ใชไ้ ด้
1 ใช้ได้
ขอ้ 10 1 1 1 1 ใช้ได้
1 ใช้ได้
ขอ้ 11 1 1 1 1 ใช้ได้
1 ใช้ได้
ข้อ 12 1 1 1 1 ใชไ้ ด้
1 ใชไ้ ด้
ข้อ 13 1 1 1 1 ใชไ้ ด้
1 ใช้ได้
ขอ้ 14 1 1 0 1 ใช้ได้
1 ใช้ได้
ขอ้ 15 1 1 1 1 ใชไ้ ด้
1 ใชไ้ ด้
ขอ้ 16 1 1 1 1 ใช้ได้
1 ใชไ้ ด้
ขอ้ 17 1 1 1 1 ใชไ้ ด้

ขอ้ 18 1 1 1

ข้อ 19 1 1 1

ข้อ 20 1 1 1

ข้อ 21 1 1 1

ข้อ 22 1 1 1

ข้อ 23 1 1 1

ข้อ 24 1 1 1

ขอ้ 25 1 1 1

ข้อ 26 1 1 1

ข้อ 27 1 1 1

ขอ้ 28 1 1 1

ขอ้ 29 1 1 1

ข้อ 30 1 1 1

22

จากผลการวิเคราะหค์ ่าดชั นีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบ พบวา่ ได้ค่าดชั นคี วามสอดคลอ้ ง
(IOC) เท่ากับ 1.00 จำนวน 28 ข้อ ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 0.67 จำนวน 2 ข้อ แสดงว่า ข้อสอบ
30 ข้อ ผ่านเกณฑ์การประเมิน

3.2 แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียน ผู้ศึกษาวิจัยได้ดำเนินการสร้างเคร่ืองมือท่ีใช้
ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ดังนี้

3.2.1 ศึกษาวิธีสร้างแบบสอบถามจากหนังสือการวิจัยเบื้องต้นของบุญชม ศรีสะอาด (2543 :
63-70) และศกึ ษาจากแบบสอบถามของคนอ่นื ๆ ท่วี จิ ยั คลา้ ยคลงึ กนั

3.2.2 นำแบบสอบถามให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้อง ความเท่ยี งตรงตามกรอบเนื้อหา
ของแต่ละข้อและครอบคลุมเน้ือหาที่กำหนด ให้ผู้เช่ียวชาญด้านการจัดการเรียนการสอนวิชา
ภาษาอังกฤษพื้นฐาน และด้านการวัดและประเมินผล รวม 3 ท่าน ตรวจสอบคุณภาพด้านความ
เท่ียงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยพิจารณาความสอดคล้องของข้อสอบกับมาตรฐานการ
เรียนรู้และตัวชี้วัด ความเหมาะสมของการใช้ภาษา เพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ซ่ึงควรมีค่า
ต้ังแต่ 0.5 ข้ึนไป โดยใช้ เกณฑก์ ารประเมิน ดังน้ี

คะแนน +1 หมายถงึ ผู้เชี่ยวชาญแนใ่ จวา่ ข้อสอบขอ้ นนั้ วัดตรงตามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
คะแนน 0 หมายถงึ ผู้เช่ียวชาญไม่แนใ่ จว่าข้อสอบขอ้ นั้นวดั ตรงตามจดุ ประสงค์การเรียนรู้
คะแนน -1 หมายถึง ผเู้ ชยี่ วชาญแน่ใจว่าแบบสอบถามข้อนนั้ วัดไม่ตรงตามจุดประสงค์การเรยี นรู้

ความคิดเหน็ ของผูเ้ ชีย่ วชาญ

ขอ้ ที่ IOC แปลผล
ผู้เชี่ยวชาญคน ่ที 1
ผู้เ ่ีชยวชาญคนที่ 2
ผู้เ ีช่ยวชาญคน ีท่ 3

ข้อ 1 1 1 1 1 ใช้ได้
ขอ้ 2 1 1 1 1 ใช้ได้
ข้อ 3 1 1 1 1 ใชไ้ ด้
ข้อ 4 1 1 1 1 ใช้ได้
ขอ้ 5 1 1 1 1 ใชไ้ ด้
ข้อ 6 1 1 1 1 ใช้ได้
ใชไ้ ด้
ข้อ 7 1 1 1 1

23

ขอ้ 8 1 1 1 1 ใช้ได้
ข้อ 9 1 1 1 1 ใช้ได้
ขอ้ 10 1 1 1 1 ใชไ้ ด้

3.3 แบบประเมินความพึงพอใจในการเรียนการสอน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบ
Active learning สำหรบั นกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 5

ข้อ 1 ขอ้ 2 ขอ้ 3 ขอ้ 4 ขอ้ 5 ขอ้ 6 ข้อ 7 ข้อ 8 ขอ้ 9 ขอ้ total
10

คนที่ 1 5 5 5 4 4 4 4 4 5 5 4.54
คนท่ี 2 5 5 5 4 4 4 5 4 5 4 4.54
คนท่ี 3 5 4 5 5 5 5 5 5 5 5 4.92
คนที่ 4 5 5 5 5 5 5 5 5 4 5 4.85
คนท่ี 5 5 4 5 4 4 4 5 5 5 5 4.62
คนท่ี 6 5 5 5 5 4 5 4 4 4 4 4.54
คนท่ี 7 5 5 5 5 5 5 5 5 4 5 4.85
คนท่ี 8 5 5 5 5 4 5 5 4 4 5 4.54
คนที่ 9 5 5 5 4 4 5 5 5 4 5 4.62
คนท่ี 10 5 5 5 5 5 5 5 5 5 5 4.92
คนท่ี 11 5 4 5 5 4 5 5 5 5 5 4.85
คนท่ี 12 5 5 5 5 5 5 4 5 5 5 4.92
คนท่ี 13 5 5 5 4 5 4 5 5 5 4 4.77
คนที่ 14 5 5 4 4 4 5 5 5 5 5 4.77
คนที่ 15 4 5 4 4 5 4 4 5 4 4 4.31
คนท่ี 16 5 5 5 4 5 5 5 5 5 5 4.92
คนท่ี 17 4 5 5 4 5 5 5 5 5 5 4.85
คนท่ี 18 5 5 5 5 5 5 5 5 5 5 5.00
คนท่ี 19 4 5 4 4 5 4 4 5 5 5 4.54
คนท่ี 20 4 3 4 4 5 3 3 4 4 5 3.92
คนท่ี 21 5 4 5 4 5 4 5 4 5 4 4.46
คนท่ี 22 5 5 4 4 5 4 5 4 4 5 4.46
คนท่ี 23 5 4 5 5 4 5 4 5 4 5 4.62
ค่าเฉล่ยี 4.83 4.66 4.76 4.41 4.62 4.48 4.69 4.55 4.59 4.62 4.63
ค่า S.D. 0.38 0.61 0.44 0.57 0.49 0.63 0.54 0.69 0.68 0.62 0.30

24

จากผลการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของแบบทดสอบ พบว่า ได้ค่าเฉลี่ย ( ̅x )
เทา่ กับ 4.63 ค่าสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.30 แปลผลวา่ อย่ใู นระดับมากทสี่ ุด

4. วธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
ผู้วิจัยได้เก็บรวมรวมข้อมูลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วย

กระบวนการ Active Learning วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเลาขวัญ
ราษฎร์บำรงุ ดังน้ี

4.1 ชี้แจงเก่ียวกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้กิจกรรมท่ีจะใช้ในการจัดการ
เรยี นรู้ พรอ้ มแจ้งวัตถุประสงค์

4.2 ให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน
4.3 สอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active Learning ในการดำเนินการวิจัย
คร้ังน้ี ผู้วิจัยได้ดำเนินการโดยแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ประมาณ4-6 คน และให้ผู้เรียนในกลุ่มพูดคุย
แลกเปล่ียนข้อมูล ความคิดเห็น และประสบการณ์ในประเด็นที่กำหนด และสรุปผลการอภิปรายออกมาเป็น
ขอ้ สรุปของกลุม่
4.4 ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและเพ่ิมเติมส่วนที่เป็นประเด็นสำคัญพร้อม
ร่วมกนั สรุปสาระสำคญั ในการเรียนรู้รว่ มกัน
4.5 นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน
4.6 ให้นักเรียนตอบแบบสอบถามความพึงพอใจจากการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ
Active Learning ในการจดั การเรียนการสอน วชิ าภาษาอังกฤษพืน้ ฐาน

5. การวเิ คราะห์ขอ้ มูล
ผู้วจิ ัยได้จัดกระทำและวเิ คราะหข์ ้อมูล ท่ีได้จากการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ดังนี้
5.1 การจัดกระทำข้อมูล
5.1.1 นำแบบแบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรียนมารวบรวมเพ่ือสรุปผล
5.1.2 นำแบบสอบถามท่ีคืนมาทั้งหมด มาแยกกลุ่มตัวอย่างท่ีตอบแบบสอบถามการศึกษา

ความพึงพอใจของนกั เรียนทม่ี ีต่อการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอน
5.1.3 นำแบบสอบถามตรวจสอบความสมบูรณ์ของการตอบ หากปรากฏว่าข้อมูลส่วนหน่ึง

ส่วนใดไมค่ รบ จงใจตอบข้อหนึ่งขอ้ ใด หรือตอบอย่างไม่ตัง้ ใจ ถือว่าข้อมูลน้ันไม่สมบูรณ์ ให้คัดออก
5.2 การวิเคราะหข์ ้อมูล

25

5.2.1 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน นำมาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน
เรียนและหลังเรยี น โดยนำแบบทดสอบมาตรวจนบั คะแนนหาคา่ รอ้ ยละ (%) และค่าเฉล่ยี ( X )

5.2.2 แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียน นำมาใช้โปรแกรมสำเร็จรูปวิเคราะห์ข้อมูลหา
คา่ เฉลย่ี เลขคณิต ( X ) หาส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ( S.D.) มาแปลความหมาย (บุญชมศรีสะอาด. 2545 : 103)
ดังน้ี

คา่ เฉลยี่ 4.51 - 5.00 หมายถึง ระดบั ความคดิ เห็นมากที่สดุ
คา่ เฉล่ีย 3.51 - 4.50 หมายถึง ระดบั ความคิดเห็นมาก
ค่าเฉลีย่ 2.51 - 3.50 หมายถึง ระดบั ความคิดเหน็ ปานกลาง
คา่ เฉล่ีย 1.51 - 2.50 หมายถงึ ระดับความคิดเหน็ นอ้ ย
ค่าเฉลย่ี 1.00 - 1.50 หมายถงึ ระดบั ความคิดเหน็ นอ้ ยทส่ี ดุ

6. สถิตทิ ีใ่ ชใ้ นการวิจยั
6.1 สถติ ิท่ใี ช้ในการวิจยั
1) ค่าเฉล่ียเลขคณิต (Arithmetic Mean) ของคะแนน ใช้สตู ร

x = X

n

เมอื่ x แทน คะแนนเฉล่ยี ของกลมุ่ ตัวอยา่ ง
 X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด
n แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตวั อย่างทั้งหมด

2) ค่าสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ของคะแนน ใช้สตู ร

S.D. = n  X 2 − ( X )2
n(n −1)

เมือ่ S.D. แทน คา่ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอย่าง
 X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด

 X 2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกกำลังสอง
n แทน จำนวนนกั เรียนในกลมุ่ ตวั อย่างทง้ั หมด

3) การวิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนเฉล่ีย ( x ) ของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังเรียน โดย
วเิ คราะหด์ ว้ ยค่าสถติ ิ t-test แบบ dependent t-test ใช้สูตร

t= D

n  D2 − ( D)2

n −1

df = n −1

26

เม่ือ t แทน ค่าทดสอบความแตกตา่ งคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลงั เรยี น
D แทน ความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียนและหลงั เรียนของนกั เรียน
แตล่ ะคน
D แทน ผลรวมความแตกต่างของคะแนนกอ่ นเรียนและหลงั เรียน
ของนกั เรียนในกลุ่มตวั อย่างทกุ คน
D2 แทน ความแตกต่างของคะแนนก่อนเรยี นและหลังเรียนของนักเรียน
แต่ละคนยกกำลังสอง
 D2 แทน ผลรวมของความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรยี นของ
นักเรียนแต่ละคนยกกำลังสอง

( D)2 แทน ผลรวมของความแตกตา่ งของคะแนนก่อนเรยี นและหลงั เรยี น
ของนักเรียนทุกคนยกกำลงั สอง

n แทน จำนวนนักเรียนในกลมุ่ ตวั อย่างทง้ั หมด
df แทน ช้นั แหง่ ความเป็นอสิ ระ (degree of freedom)
6.2 สถิติวเิ คราะห์คณุ ภาพเครอ่ื งมอื
1) คา่ ดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence: IOC) โดยใช้สตู ร
IOC =  R

n

เมอื่ IOC แทน ค่าดัชนีความสอดคลอ้ ง
n แทน จำนวนผู้เช่ยี วชาญ
R แทน ผลรวมของคะแนนจากการพจิ ารณาของผเู้ ชีย่ วชาญ

โดยกำห นดเกณ ฑ์การพิจารณ าค่าดัชนี ความสอดคล้องที่ ได้จากการคำน วณ สูตรที่จะมีค่าอยู่
ระหวา่ ง 0.00 ถึง 1.00 ดังนี้

คา่ IOC ต้ังแต่ 0.5 ขนึ้ ไป ถือวา่ เหมาะสมในการนำไปใช้
ค่า IOC ต่ำกว่า 0.5 ควรพจิ ารณาแกไ้ ขปรับปรงุ หรือตัดท้งิ

28

บทที่ 4
ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active
Learning วิชาภาษาอังกฤษพืน้ ฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเลาขวญั ราษฎรบ์ ำรุง ผู้วิจัยไดเ้ สนอผลการ
วเิ คราะห์ข้อมูลตามลำดบั ดังนี้

1. สัญลกั ษณ์ที่ใชใ้ นการเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล
2. การนำเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล
3. ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล

สญั ลกั ษณท์ ใ่ี ช้ในการเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล
% แทน คา่ รอ้ ยละ
X แทน ค่าเฉลีย่
S.D. แทน สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน

การนำเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล
ผวู้ จิ ยั ได้นำเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล ดังน้ี
1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วย

กระบวนการ Active Learning
2. วิเคราะหข์ ้อมลู ความพึงพอใจที่มีต่อการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้หลงั การใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้

ด้วยกระบวนการ Active Learning

ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active

Learning วิชาภาษาอังกฤษพืน้ ฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง ผู้วิจัยวิเคราะห์ขอ้ มูล
ไดด้ งั นี้

1. ผลการเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น กอ่ นเรียนและหลังการเรยี น ของนักเรยี นท่ีเรียนโดยใช้
รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active Learning วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
โรงเรยี นเลาขวัญราษฎรบ์ ำรุง ตามตารางท่ี 1

29

ตารางที่ 1 แสดงผลคะแนนก่อนเรียนกับหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน
เลาขวัญราษฎร์บำรุง โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active Learning วิชาภาษาอังกฤษ
พ้นื ฐาน

คะแนนทดสอบกอ่ น คะแนนทดสอบหลัง
ผลต่าง

เรียน เรียน

ท่ี ชอ่ื – นามสกุล คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ รอ้ ย
D
เตม็ เต็ม ละ

30 100 30 100

1 นาย กิตตโิ รจน์ จรไพร 10 33.33 21 70.00 11 36.67

2 นาย ณภทั ร แช่มโสภา 15 50.00 20 66.67 5 16.67

3 นาย ธนวฒั น์ จันทรา 14 46.67 16 53.33 2 6.67

4 นาย นพดล บญุ มาก 17 56.67 23 76.67 6 20.00

5 นาย นพรจุ อสมั ภนิ พงศ์ 18 60.00 28 93.33 10 33.33

6 นาย สหภพ ดอกระกำ 10 33.33 15 50.00 5 16.67

7 นางสาว กวรี ตั น์ มากเวยี ง 10 33.33 26 86.67 16 53.33

8 นางสาว กุลจิรา สามสาย 10 33.33 12 40.00 2 6.67

9 นางสาว เกณกิ า ป้นั เหนง่ 10 33.33 18 60.00 8 26.67

10 นางสาว ทิฆัมพร ผวิ แดง 10 33.33 18 60.00 8 26.67

11 นางสาว ณชั ชา ดอกระกำ 12 40.00 19 63.33 7 23.33

12 นางสาว ณฐั นันท์ บริสทุ ธ์ิ 14 46.67 18 60.00 4 13.33

13 นางสาว ธนวรรณ รื่นนสุ าร 16 53.33 26 86.67 10 33.33

14 นางสาว นติ ติยา เชอื้ นาม 10 33.33 20 66.67 10 33.33

30

15 นางสาว นิฤมล ปอ้ งกนั 12 40.00 13 43.33 1 3.33
16 นางสาว ปทมุ พร ศิลปพงษ์ 14 46.67 28 93.33 14 46.67
17 นางสาว พัสน์นันท์ ร่นื นุสาร 12 40.00 14 46.67 2 6.67
18 นางสาว พรี นุช เทพวงค์ 17 56.67 26 86.67 9 30.00
19 นางสาว ลลติ า โสมภรี ์ 18 60.00 27 90.00 9 30.00
20 นางสาว วรษิ ฐา โพธ์พิ ุม่ 15 50.00 15 50.00 0 0.00
21 นางสาว ศศิประภา จนั ทรม์ า 10 33.33 15 50.00 5 16.67
22 นางสาว อริยา พ่งึ งาม 12 40.00 14 46.67 2 6.67
23 นางสาว อาทิมา ปรางจนั ทร์ 14 46.67 21 70.00 7 23.33

จากตารางที่ 1 พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง มีผลสัมฤทธิ์

ทางการเรียนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 13.04 คิดเป็นร้อยละ 43.47 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงกว่า

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 19.69 คิดเป็นร้อยละ 65.65 ซึ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าเท่ากับ 6.65 คิดเป็นร้อยละ 22.17 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้

รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active Learning สามารถส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ

ผู้เรยี นสูงขึ้น

2. ผลการวเิ คราะห์ความพึงพอใจทมี่ ีต่อการจดั กิจกรรมการเรยี นร้หู ลังการใชร้ ปู แบบการจัดการเรียนรู้

ด้วยกระบวนการ Active Learning วชิ าภาษาอังกฤษพ้นื ฐาน ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ตามตารางที่ 2

เกณฑช์ ว่ งคะแนนเฉลีย่

4.51 - 5.00 แปลผล ระดับความพึงพอใจมากท่สี ดุ

3.51 - 4.50 แปลผล ระดับความพงึ พอใจมาก

2.51 - 3.50 แปลผล ระดับความพึงพอใจปานกลาง

1.51 - 2.50 แปลผล ระดบั ความพึงพอใจน้อย

1.00 - 1.50 แปลผล ระดบั ความพึงพอใจน้อยท่สี ดุ

ตารางที่ 4.2 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วย

กระบวนการ Active Learning วิชาภาษาองั กฤษพนื้ ฐาน (n = 23)

ขอ้ รายการพิจารณา ระดับความพึงพอใจ
̅ S.D. แปลผล

1 นกั เรยี นมคี วามพงึ พอใจในการจดั การเรยี นการสอน 4.83 0.38 มากท่สี ุด

แบบ Active Learning

2 นักเรียนมบี ทบาทในการเรียนการสอนมากยิ่งข้ึนกับ 4.66 0.61 31
การเรยี นการสอนแบบ Active Learning
4.76 0.44 มากทีส่ ดุ
3 ครเู ตรยี มการสอนอย่างมีข้นั ตอนเข้าใจได้ง่าย 4.62 0.49
4 เนอื้ หาการสอนสามารถนำไปประยกุ ต์ใช้ไดจ้ ริง 4.62 0.49 มากท่สี ดุ
5 ครูสอนใช้เวลาในการสอนได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ 4.48 0.63 มากทส่ี ดุ
6 ครูยกตวั อยา่ งประกอบการทำกจิ กรรมไดช้ ัดเจน มากทสี่ ดุ
4.69 0.54
สอดคลอ้ งกบั ความเข้าใจของนกั เรียน มาก
7 กจิ กรรม Active Learning สอดคล้องกับเน้ือหาที่ใช้ 4.55 0.69
มากที่สดุ
ในการเรียนการสอน 4.59 0.68
8 กจิ กรรม Active Learning สรา้ งบรรยากาศท่ีดใี น 4.62 0.62 มากทส่ี ดุ

การเรยี น 4.63 0.30 มากทส่ี ุด
9 ครูมอบหมายภาระงานให้ทำใหป้ รมิ าณทเี่ หมาะสม มากทสี่ ุด
10 กจิ กรรม Active Learning สร้างทัศนคติทีด่ ีในต่อ
มากที่สุด
เนอื้ หา

ภาพรวม

จากตารางท่ี 2 พบว่า นกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรยี นเลาขวญั ราษฎรบ์ ำรงุ มีความพึงพอใจต่อ
การจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active Learning วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก
ที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.63 เมื่อพิจารณาเปน็ รายด้านเรยี งจากมากไปหาน้อย พบว่า นักเรียนมคี วามพึงพอใจในการ
จัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.83 ครูเตรียมการสอนอย่างมี
ขั้นตอนเข้าใจได้ง่ายอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.76 และครูยกตัวอย่างประกอบการทำกิจกรรมได้
ชัดเจน สอดคลอ้ งกับความเขา้ ใจของนกั เรียน โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก มีค่าเฉลี่ย 4.48

32

บทที่ 5
สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

สรปุ ผลการวจิ ัย
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active

Learning วิชาภาษาอังกฤษพ้ืนฐาน ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 5 โรงเรยี นเลาขวญั ราษฎรบ์ ำรุง ผวู้ ิจัยไดส้ รปุ ผล ดงั นี้
1. สรุปผล
2. อภปิ รายผล
3. ข้อเสนอแนะ

สรุปผลการศกึ ษา
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active

Learning วิชาภาษาอังกฤษพ้ืนฐาน ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง สรุปผลการวิจัย พบว่า
1. ผลการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น ก่อนเรียนและหลงั การเรยี น ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้

รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active Learning วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน นักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 13.04
คิดเป็นร้อยละ 43.47 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงกว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ
19.69 คิดเป็นร้อยละ 65.65 ซึ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าเท่ากับ
6.65 คิดเป็นร้อยละ 22.17 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active
Learning สามารถส่งผลใหผ้ ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรยี นสงู ขนึ้

2. ผลการวิเคราะห์ความพงึ พอใจทม่ี ตี ่อการจดั กจิ กรรมการเรียนรูห้ ลงั การใช้รปู แบบการจดั การเรียนรู้
ด้วยกระบวนการ Active Learning วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์
บำรงุ พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจที่มตี ่อการจดั การเรียนร้ดู ว้ ยกระบวนการ Active Learning โดยภาพรวม
อยใู่ นระดบั ดีมาก มคี า่ เฉลย่ี 4.63 เมอื่ พิจารณาเป็นรายด้านเรียงจากมากไปหาน้อย พบวา่ นักเรียนมีความพึง
พอใจในการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning อยู่ในระดับมากทีส่ ุด มีค่าเฉลี่ย 4.83 ครูเตรียมการ
สอนอย่างมีขั้นตอนเข้าใจได้ง่ายอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.76 และครูยกตัวอย่างประกอบก ารทำ
กจิ กรรมได้ชดั เจน สอดคลอ้ งกับความเข้าใจของนกั เรยี น โดยภาพรวมอยูใ่ นระดับมาก มีค่าเฉลย่ี 4.48

อภปิ รายผลการวจิ ัย

33

จากผลการวิจัยการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ
Active Learning วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง มี
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 13.04 คิดเป็นร้อยละ 43.47 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูง
กว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 19.69 คิดเป็นร้อยละ 65.65 ซึ่งผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าเท่ากับ 6.65 คิดเป็นร้อยละ 22.17 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้
รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active Learning สามารถส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ
ผู้เรียนสงู ขึ้น และจากผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามความพึงพอใจท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
หลังการใช้การจดั การเรียนรู้ดว้ ยกระบวนการ Active Learning วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี
5 โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง พบว่า ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active
Learning โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.63 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงจากมากไปหาน้อย
พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning อยู่ในระดับมากที่สุด มี
ค่าเฉลี่ย 4.83 ครูเตรียมการสอนอย่างมีขั้นตอนเข้าใจได้ง่ายอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.76 และครู
ยกตัวอย่างประกอบการทำกิจกรรมได้ชัดเจน สอดคล้องกับความเข้าใจของนักเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดบั
มาก มีค่าเฉลี่ย 4.48 ซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยของเดชดนัย จุ้ยชุมและคณะ (2558) ได้ศึกษาเปรียบเทียบ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องทักษะการคิด ด้วยการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ผลการวิจัย พบว่านักเรียนมี
ความสามารถในการทำงาน ทำงานเป็นกลุ่ม การแสดงความคิดเห็น การแสดงออกเพื่อสะท้อนความคิดเห็น
รว่ มกัน คะแนนผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนหลงั เรยี น สูงกว่าก่อนเรยี น

ข้อเสนอแนะ
1. ในวิชาต่าง ๆ ควรใช้กิจกรรมการเรียนการสอนที่หลากหลายและใช้เทคนิคการสอนที่แตกต่างกัน

สื่อที่มีความทันสมัยและมีความหลากหลายเพื่อเสริมสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้และเป็นการพัฒนา
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นและมคี วามพึงพอใจของผู้เรยี นดว้ ย

2. ในการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Active Learning ครูควรจัดหาวัสดุ อุปกรณ์ให้และสื่อให้
เพียงพอต่อการจัดกจิ กรรมกล่มุ เพื่อใหก้ ารดำเนนิ การจดั กจิ กรรมไม่ติดขัด

บรรณานุกรม
กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2551). หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551.กรงุ เทพฯ:

โรงพิมพช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย
ธนนันท์ คำสาริรกั ษ์ (2563การพัฒนาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน โดยใช้รปู แบบการจดั การเรียนรดู้ ้วยกระบวนการ

Active Learning วิชาวิทยาศาสตร์พนื้ ฐาน 3 รหัส ว22101 เรือ่ ง การเคลื่อนทแี่ ละแรงของนกั เรียนชนั้
มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรยี นสฤษดิเดช
ธัชพล ทีดี (2560). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาการวิเคราะห์โครงการและการบริหารโครงการ เรื่อง
การศกึ ษาความเป็นไปได้ของโครงการ โดยวธิ กี ารจดั การเรียนรู้แบบเพ่อื นชว่ ยเพ่ือน
สาขาวชิ ารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเทพสตรี
เดชดนยั จุ้ยชุม (2558). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทักษะการคิดของนักศึกษาในรายวิชาทักษะ
การคิด (Thinking Skills) รหสั วชิ า 11-024-112 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2558 ดว้ ยการเรียนรู้แบบ
มสี ่วนรว่ ม (Active Learning) ,มหาวทิ ยาลยั นราธวิ าสราชนครินทร์.
สิทธิพร ชุลีธรรม1 ณัฐวุฒิ ช่วยเอื้อ2และดวงตา อินทรนาค3 (2563). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการจัดการ
เรียนการสอนระหว่างการใช้การเรียนการสอนแบบ Active Learning โดยใช้นวัตกรรมการสอน
Google Classroom กับการเรยี นการสอนแบบปกติ (Passive Learning) กรณศี กึ ษา การจดั การเรียน
การสอนรายวชิ าประวัติศาสตร์ไทย นกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 ,มหาวิทยาลัยตาปี.


Click to View FlipBook Version