The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บันทึกการเรียนรู้.102

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by bas212eiei, 2024-03-20 05:44:16

บันทึกการเรียนรู้.102

บันทึกการเรียนรู้.102

Keywords: บันทึกการเรียนรู้.102

สมุด มุ บันบั ทึกทึการเรีย รี นรู้ สมุด มุ บันบั ทึกทึการเรีย รี นรู้ วิจัยเเละการพัฒนานวัตกรรม เพื่อพัฒนาผู้เรียน วิจัยเเละการพัฒนานวัตกรรม เพื่อพัฒนาผู้เรียน


เสนอ อาจารย์ประจํา จํ รายวิช วิ า วิจั วิ ย จั เเละการพัฒนานวัตวั กรรม เพื่อพัฒนาผู้เรีย รี น รศ.ดร. สํา สํ ราญ กํา กํ จัด จั ภัย ภั


ชื่อ ธนกร โคตะนนท์ ชื่อเล่น บาส วัน/เดือน/ปีเกิด 02 ธันวาคม 2545 อายุ 21 ปี ที่อยู่ 01 หมู่ 02 บ้านห้วยคอม ต.เซกา อ.เซกา จ.บึงกาฬ รหัสไปรษณีย์ 38150 การศึกษา กําลังศึกษาในระดับปริญญาตรี สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 รหัสนักศึกษา 64115268102 ช่องทางการติดต่อ เฟซบุ๊ก Bas Ketboll เบอร์โทร 0951477393 Gmail [email protected]


ความรู้ รู้สึสึกต่ ต่อรายวิวิชา ตลอดในการเรียรีนการสอนรายวิชวิานี้ ผมได้รั ด้ บรัความรู้ที่ รู้ ที่ เกี่ยวกับการวิจัวิยจัอย่า ย่ งมาก จากที่ผมเป็น ป็ คนที่ไม่ค่ ม่ ค่ อยมี ความรู้ใ รู้ นการทําวิจัวิยจัทั้งทั้ ในเรื่อรื่งการจัดจัเรียรีงเอกสาร การเขียขีนวิจัวิยจัการผลิตนวัตวักรรมที่ใช้ใช้ นการเรียรีนการสอน รวมไปถึงเรื่อรื่งระเบียบีบวินัวิยนั ในการเรียรีนช่ว ช่ งเเรกๆ นั้นนั้ผมเกร็ง ร็ มากเพราะกลัวโดนอาจารย์ดุย์ดุ เเต่พอนานๆไปถึงได้รู้ ด้ ว่ รู้ า ว่ การที่อาจารย์ทํย์ ทําเเบบนี้เ นี้ป็น ป็ เพราะอาจารย์มีย์คมีวามหวังวัดีกัดี กับนักนัศึกษาทุก ทุ คน อาจารย์ต้ย์ ต้ องการให้นั ห้ กนัศึกษาเป็น ป็ คนที่มี ระเบียบีบวินัวิยนัอยู่ใยู่ นกฎระเบียบีบ ตั้งตั้ ใจเรียรีน เเละต้องการให้นั ห้ กนัศึกษาได้รั ด้ บรัความรู้ม รู้ ากที่สุด สุ รวมไปถึงเป็น ป็ บุคคลที่ มารยาททางสังสัคม สุด สุ ท้ายนี้ผ นี้ มอยากขอบคุณ คุ อาจารย์ ที่มอบความรู้ เเละประสบการณ์เณ์กี่ยวกับการเรียรีนการสอน นับนัว่า ว่ เป็น ป็ สิ่งสิ่ที่ดี มากเเละเป็น ป็ สิ่งสิ่ที่มีคมีวามสําสํคัญที่จะนํานํ ไปประยุกต์ใช้ใช้ นอนาคตทั้งทั้ ในการประกอบวิชวิาชีพชี ในอนาคตเเละการดําดํเนินนิชีวิชีตวิ ในอนาคต ขอขอบพระคุณ คุ มากครับรั


รศ.ดร.สําราญ กําจัดภัย


การปฐมนิเทศน์


เเนวคิด คิ การเรีย รี นรู้ เกี่ย กี่ วกับ กั


พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย การเรียนรู้ พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย พฤติกรรมด้านจิตพิสัย พฤติกรรมการเรียนรู้ในทรรศนะของบลูม การเรียนรู้ Leaming การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยน เเปลงพฤติกรรมค่อนข้างถาวร อัน เนื่องมาจากไเดรับประสบการณ์ ซึ่ง จะประกอบไปด้วย 4 คําสําคัญที่ เกี่ยวข้องกันได้เเก่ การเปลี่ยนเเปลง พฤติกรรม ค่อนข้างถาวร ประสบการณ์ เป็นความสามารถของบุคคลในการใช้ อวัยวะต่างๆ ของร่างกายทํางานอย่าง ประสานสัมพันธ์กัน มีขั้นตอนการเกิดขั้นไปตา มลําดับ ของ Dave ดังนี้ รับรู้เเละเลียนเเบบ ลงมือปฏิบัติเเละทําตามได้ ลดความผิดพลาด จนสามารถทําได้ถูกต้อง ปฏิบัติได้อย่างชัด เจนเเละต่อเนื่อง ปฏิบัติได้อย่างเป็นธรรมชาติ เกิดจากพลังความสามารถทาง สมอง ซึ่งไปมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเเวด ล้อมหรือสิ่งเร้า จนถึงขั้นซับซ้อน ทําให้ ต้องจําเเนกความสามารถทางสติ ปัญญาออกเป็น 6 ระยะ ได้เเก่ ความรู้ ความเข้าใจ การนําไปใช้ การวิเคราะห์ กาารสังเคราะห์ การประเมินค่า เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก ความเชื่อ เจตคติ ค่านิยม ซึ่งเป็นรากฐาน ที่ก่อเกิดบุคลิกภาพ หรือลักษณะนิสัยของ บุคคล ดังเเสดงเป็นลําดับขั้นดังนี้ ขั้นรับรุ็ ขั้นตอบสนอง ขั้นเห็นคุณค่า ขั้นจัดระบบ ค่านิยม ขั้นสร้างลักษณะนิสัยจากค่านิยม ประกอบไปด้วย 3 ด้านใหญ่ หลักๆ ได้เเก่ พฤติกรรมด้าน พุทธิพิสัย พฤติกรรมด้านจิต พิสัย พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย


สรุปองค์ความรู้ พฤติกรรมด้านจิตพิสัย เป็นพฤกรรมเยวองบความก ความเอ เจตคายม งเนรากฐานก่อเกิดบุคลิกภาพ หรือลักษณะนิสัยของคคล งเเสดงเนาบนงนบนตอบสนอง นเนณา ขั้นจัดระบบค่านิยม ขั้นสร้างลักษณะยจากายม พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย เดจากพงความสามารถทางสมอง งไปปมนบงเเวดอมหองเา จนงนบอน ทําให้ต้องจําเเนกความสามารถทางสญญาออกเน 6 ระยะ ไเเความความเาใจ การาไปใการเคราะกาารง เคราะห์ การประเมินค่า พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย เป็นความสามารถของคคลในการใอยวะางๆ ของางกายางานอางประสานมนน นตอนการ เกิดขั้นไปตามลําดับ ของ Dave ดังบเเละเยนเเบบ ลงอปเเละาตามไลดความดพลาดจนสามารถาไกอง ปไอย่างชัดเจนเเละต่อเนื่อง ปฏิบัติได้อางเนธรรมชาการเรียนรู้ การเรียนรู้ หมายถึง การเปยนเเปลงพฤกรรมอนางถาวร นเองมาจากไบ ประสบการณ์ ซึ่งจะประกอบไปด้วย 4 าาญเยวองนไเเการเปยนเเปลง พฤกรรม ค่อนข้างถาวร ประสบการณ์ เเเละมีพฤกรรมการเยนงพฤกรรมานทย พฤกรรม ด้านจิตพิสัย พฤติกรรมด้านทัักษะย


ความรู้เบื้อ บื้ งต้น เกี่ย กี่ วกับ กั งานวิจั วิ ย จั


ความหมายของการวิวิ วิ จัวิ จั จั ยจั ย เป็ป็ป็ าป็ าหมายการวิวิ วิ จัวิ จั จั ยจั ย 6 ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับการวิจัย จรรยาบรรณของนันั นั กนั กวิวิ วิ จัวิ จั จั ยจั ย ความจริริ ริ งริ งกักั กั บกั บการค้ค้ ค้ น ค้ นหาความจริริ ริ งริ ง ขั้ขั้ ขั้ นขั้ นตอนทั่ทั่ ทั่ วทั่ วไปของการวิวิ วิ จัวิ จั จั ยจั ย การจัจั จั ดจั ดประเภทการวิวิ วิ จัวิ จั จั ยจั ย การวิจัย Research การวิจัยเป็นการค้นหา ความจริง ในประเด็นที่สนใจศึกษา โดยใช้วิธีการ อย่างที่เป็นระบบ คําตอบหรือความจริงที่ค้นพบ มี ความถูกต้องเชื่อถือได้ บรรยายหรือพรรณนา บรรยายหรือพรรณา ผลได้จากการวิจัย มีสภาพปัญหาเกิดขึ้นได้ อย่างไร อธิบาย การนําผลไปใช้อธิบายปัญหาหรือ เหตุการณ์ต่างๆ ทํานาย การนําผลไปใช้เพื่อทํานายใน อนาคตจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือเเนวโน้มอย่างไร ควบคุม การนําผลที่ได้ไปใช้วางเเผนหรือ กําหนดสิ่งควบคุมต่างๆ เ เบ่งเป็น 2 ลักษณะได้เเก่ ความจริงนัยทั่วไป ความ จริงยืดหยุ่นตามบริบท สําหรับการค้นหาความจริงเเบ่งออกเป็น 3 วิธี นิรนัย อุปนัย วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ปัญหาการวิจจัย ขอบเขตการ วิจัย เอกสารเเละงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สมมติฐานการวิจัย เขียนโครงร่างการ วิจัย สร้างเครื่องมือการวิจัย เก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลการวิจัยเเละ เขียนรายงานการวิจัย เผยเเพร่ผลงาน วิจัย เเบ่งตามลักษณะของข้อมูลเเละวิธีการได้มา วิจัยเชิงปริมาณ วิจัยเชิงคุณภาพ เเบ่งตามประโยชน์การนําผลวิจัยไปใช้ วิจัยพื้นฐาน วิจัยประยุกต์ วิจัยปฏิบัติการ เเบ่งตามข้อสรุปเชิงเหตุเเละผลหรือไม่ วิจัยเชิงทดลอง วิจัยศึกษาย้อนหาสาเหตุ วิจัย เชิงสหสัมพันธ์ วิจัยเชิงสํารวจ ซื่อสัตย์มีคุณธรรมทางวิชาการ มีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ ศึกษาเเม้สิ่งนี้นจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม เคารพศักดิ์ศรีหรือ สิทธิของมนุษย์ที่ใช้เป็นตัวอย่างการวิจัย มีอิสระทางความคิด ปราศจากอคติ นําผลงานไปใช้ประโยชนืในทางที่ชอบ เคารพ ความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น มีความรับผิดชอบต่อสังคมทุก ระดับ 5. 1. 4. 2. 3. 6.


นวัตกรรมการ เรียนการสอน ความหมายของนวัต วั กรรม การเรีย รี นการสอน นวัต วั กรรมประเภทเเนวคิดคิทฤษฎีที่ ฎี ที่ เกี่ย กี่ วข้อ ข้ งกับ กั การเรีย รี นรู้หรู้ รือ รื จัด จั การเรีย รี นรู้ นวัต วั กรรมประเภทเทคนิคนิการเสอน นวัต วั กรรมประเภทรูป รู เเบบการ เรีย รี นการสอน วิธีวิสธี อน เเละเทคนิคนิ การสอน ประเภทนวัต วั กรรมการเรีย รี นการสอน เเนวการสร้า ร้ งนวัต วั กรรมการเรีย รี น การสอน กํา กํ หนดจุดจุประสงค์ขค์องการ พัฒพันาผู้เผู้รีย รี น เลือ ลื กเเนวคิดคิเทคนิคนิวิธีวิก ธี ารสอน รูปรูเเบบการเรีย รี นการสอน ออก เเบบกิจกิกรรมการเรีย รี นการสอนตาม เเบบวิธีวิที่ ธี เ ที่ ลือ ลื ก จัดจัทํา ทํ เเผนการจัดจัการเรีย รี นรู้ เป็น ป็ สิ่งสิ่ที่ส ที่ ร้า ร้ งขึ้น ขึ้ มาเพื่อ พื่ ช่ว ช่ ย เเก้ไก้ ขปัญปัหาการเรีย รี นการสอน อาจจะเป็น ป็ สิ่งสิ่ ใหม่ที่ ม่ ส ที่ ร้า ร้ งขึ้น ขึ้ มา หรือ รื เป็น ป็ สิ่งสิ่ที่มี ที่ อ มี ยู่เยู่ เล้ว ล้ เเต่นํ ต่ า นํ มา ประยุกยุต์ต่ต์อ ต่ ยอดใช้ง ช้ านต่อ ต่ นวัตวักรรมประเภทสื่อ สื่ หรือ รื สิ่งสิ่ ประดิษดิฐ์ เช่น ช่ หนังนัสือ สื อ่า อ่ นเพิ่มพิ่เติมติบทเรีย รี นสํา สํ เร็ จรูปรูใบความรู้ ชุดชุฝึก ฝึ ทักทัษะ หนังนัสือ สื อิเอิล็ก ล็ ทรอนิกนิส์ เอกสารประกอบการ เรีย รี นการสอน เ เเนวคิดคิหรือ รื ทฤษฎ๊กี่ ฎ๊ ย กี่ วข้อ ข้ งกับกัการ เรีย รี นรู้ เป็น ป็ เเนวคิดคิความเชื่อ ชื่ มุมมุมอง ของนักนัวิชวิการ หรือ รื นักนัทฤษฎี เกี่ย กี่ วกับกั กระบวนการเรีย รี นรู้ขรู้องผู้เผู้รีย รี น รวมถึง ถึ เเนวปฏิบัฏิติบัขติองผู้สผู้ อน เช่น ช่ ทฤษฏีก ฏี ารสร้า ร้ งความรู้ด้รู้ ว ด้ ย ตนเอง ทฤษฎีก ฎี ารเรีย รี นรู้เรู้เบบร่ว ร่ มมือ มื เเนวคิดคิการจัดจัการเรีย รี นรู้เรู้เบบมีส่ มี ว ส่ น ร่ว ร่ ม เเนวคิดคิการจัดจัการเนรีย รี นรู็บรู็ นเว็บ ว็ เทคนิคนิการสอน หมายถึง ถึ กลวิธีวิต่ธีาต่งๆ ที่ใที่ ช้เช้ในการ สอน ให้มีห้คุมีณคุภาพประสิทสิธิภธิาพเพิ่มพิ่ขึ้น ขึ้ เช่นช่เทคนิคนิการใช้ผัช้งผักราฟิกฟิเทคนิคนิการใช้คํช้า คํ ถาม หรือรืการตั้งตั้คํา คํ ถาม เทคนิคนิการใช้กช้ารเสริมริเเรงทางบวก สภาพหรือ รื ลักลัษณะของการจัดจัการเรีย รี น การสอนที่จั ที่ ดจัขึ้น ขึ้ อย่า ย่ งเป็น ป็ ระบบระเบีย บี บ ตามหลักลั ปรัชรัญา เนนวคิดคิทฤษฎี หรือ รื ความเชื่อ ชื่ ต่า ต่ งๆ ซึ่ง ซึ่ มีก มี ระบวนการจัดจัการ เรีย รี นการสอนเป็น ป็ ขั้นขั้ตอนอย่า ย่ งชัดชัเจน โดย อาศัยศัเทคนิคนิการสอนหรือ รื วิธีวิก ธี ารสอนต่า ต่ งๆ เข้า ข้ไปช่ว ช่ ยให้ก ห้ ารเรีย รี นกสารสอนนั้นนั้เป็น ป็ ไป อย่า ย่ งยึด ยึ ถือ ถื อาทิเทิช่น ช่ วิธีวิก ธี ารสอนโดยใช้ก ช้ ารสาธิตธิวิธีวิ ธี การสอนโดยใช้เ ช้ กม


สรุปองค์ความรู้ นวัตกรรมการเรียนการสอน หมายง งใหๆ สางนมาเอวยแญหาเยวบการเยนการสอนหอฒนาใเยนเด การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ มี 3 ประเภทดังต่อไปนี้ 1. นวัตกรรมประเภทอ หองประษ2. นตกรรมประเภทแนวดหอทฤษเยวองบการเยนหรือการจัดการเรียนรู้ 3. นวัตกรรมประเภทปแบบการเยนการสอน สอน และเทคคการสอน ซึ่งมีเเนวทางในการสร้างนวัตกรรมงอไปหนดดประสงของการฒนาเยน เอกแนวดเทคคสอนปแบบการเยน การสอน ออกแบบจกรรมการเยนการสอนตามแบบเอก ดแผนการดการเยนการวิจัย Research การวิจัยเนการนหาความจง ในประเนสนใจกษา โดยใการอางเนระบบ าตอบหอความจงค้นพบ มีความถูกต้องเชื่อถือได้ ความจริงกับการค้นหาความจง เเงเน 2 กษณะไเเความจงยวไป ความจงดหนตามบบท าหบการนหาความ จริงเเบ่งออกเป็น 3 วิธี นิรนัย อุปย การทางทยาศาสตขั้นตอนทั่วไปของการวิจัย ปัญหาการจย ขอบเขตการย เอกสารเเละงานยเยวอง สมมฐานการย เยนโครงาง การย สางเคองอการย เบอล เคราะอล สปผลการยเเละเยนรายงานการย เผยเเพผลงานย เาหมายการยบรรยายหอพรรณนา บรรยายหอพรรณาผลไจากการย สภาพญหาเดนไอางไร อบาย การาผล ไปใอบายญหาหอเหการางๆ านาย การาผลไปใเอานายในอนาคตจะอะไรเดนหอเเนวโมอางไร ควบม กา ราผลไไปใวางเเผนหอาหนดงควบมางๆ


จรรยาบรรณของนักวิจัย อตณธรรมทางชาการ ความบดชอบองกษาเเงนจะตหอ ไม่มีชีวิตก็ตาม เคารพศักดิ์ศรีหอทของมษใเนวอางการย สระทางความดปราศจากอคนําผลงานไปใช้ประโยชนืในทางชอบ เคารพความดเนทางชาการของน ความบดชอบองคมกระบ การจัดประเภทการวิจัย เเงตามกษณะของอลเเละการไมา ยเงปมาณ ยเงณภาพ เเบ่งตามประโยชน์การนําผลวิยไปใยนฐาน ยประกยปการ เเงตามอสปเงเหเเละผลหอ ไยเงทดลอง ยกษาอนหาสาเหยเงสหมนยเงารวจ สรุปองค์ความรู้


ตัวเเปร เเละประเภทของตัวเเปร


เเบ่ง บ่ ตามความเป็น ป็ เหตุผ ตุ ลต่อ ต่ กัน ตัตัวตั วตัเเปร เเละประเภทตัว ตั เเปร ะประเภทตัว ตั เเปร เเบ่ง บ่ ตามประเภทการวิจัวิย จั เเบ่ง บ่ ตามประเภทการวิจัวิย จั ตัว ตั เเปร เเบ่ง บ่ ตามลัก ลั ษณะข้อ ข้ มูล มู เเบ่ง บ่ ตามการวิจัวิย จั เชิงชิทํา ทํ นาย คุณลักษณะของสิ่งต่างๆ ที่สามารถเเปร เปลี่ยนค่าได้สองค่าขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นค่าที่อยู่ ในรูปเเบบของปริมาณ หรือ คุณภาพ เช่น เพศ ของมนุษย์ เเปลได้ ชาย หญิง ตัวเเปรเชิงปริมาณ เป็นตัวเลขสามา รถนํามา บวก ลบ คูณ หาร กันได้ ตัว เเปรเชิงปริมาณยังสามารถเเบ่งออกได้ เป็นสองชนิด ได้เเก่ ตัวเเปรต่อเนื่อง ตัว เเปรไม่ต่อเนื่อง ตัวเเปรเชิงคุณภาพ ตัวเเปรที่มีค่า ต่างๆ เเต่ค่าเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในจํานวน ตัวเลข ตัวเเปรอิสระ เป็นตัวเเปรที่เกิดขึ้นก่อน เเละถือว่าเป็นเหตุ หรือมีอิทธิพลของตัวเเปร ตาม ตัวเเปรตาม เป็นตัสวเเปรที่เกิดมาจาก ผล อันเนื่องได้รับอิทธิพลจากตัว เเปรอิสระ ตัวเเปรจัดกระทํา เป็นตัวเเปรอิสระอย่าง หนึ่ง ทีี่ผู้วิจัยนํามาจัดกระทํากับการทดลอง ตัวเเปรตาม เป็นตัวเเปรซึ่งเป็นผลอัน เนื่องมาจากการจัดกระทําของตัวเเปรจัดกระทํา ตัวเเปรเเทรกซ้อน เป็นตัวเเปรที่คาดว่าจะ มีผลต่อตัวเเปรตาม จึงได้ควบคุมไว้ไม่ให้ส่ง ผลต่อตัวเเปรตาม ตัวเเปรสอดเเทรก เป็นตัวเเปรที่มีผลต่อ ตัวเเปรตามเเต่ผู้วิจัยไม่สามารถควบคุมไว้ได้ อาจจะรู้ล่วงหน้า หรือไม่รู้ล่วงหน้า หรือเกิดจาก เหตุสุดวิสัย ตัวเเปรกลาง เป็นตัวเเปรไม่จัดกระทําเห มือนตัวเเปรจัดกระทํา เเละไม่ได้ควบคุมเหมือ นตัวเเปรเเทรกซ้อน เเต่สนใจที่จะดึงเข้ามา ศึกษาร่วม ตัวเเปรเกณฑ์ เป็นตัวเเปรที่ผู้วิจัยสนใจ ศึกษาว่ามีค่าเพิ่มขึ้น หรือลดลง ขึ้นอยู่กับตัว เเปร หรือปัจจัยใดบ้าง ตัวเเปรทํานายหรือตัวเเปรพยากรณ์ เป็น ตัวเเปรที่ผู้วิจัยสนใจนํามาพยากรณ์ความผัน เเปร ของตัวเเปรเกณฑ์


ข้อข้ มูล มู เเละประเภทของข้อ ข้ มูลมู ข้อมูลอัน อั ตรภาค ข้อมูลที่มี ลัก ลั ษณะเป็นเชิง ชิ ปริม ริ าณ สามารถวัด วั ค่าได้เป็นตัว ตั เลขที่มีคุ มี คุ ณ สมบัติ บั สํ ติ สํ าคัญ คั 2 ประการ คือ คื เรีย รี งลําดับ ดั ความมมากไปหาน้อย เเละช่วงห่าง หรือ รื ความเเตกต่างระหว่างตัว ตั เลขเเต่ ละค่าเท่ากัน กั ข้อมูล คือ คื ข้อเท็จ ท็ จริง ริ เกี่ยวกับ กั บรายละเอีย อี ดสิ่งต่างๆ ที่เก็บ ก็ รวบรวมจากการนับ นั การวัด วั ด้วย เเบบทดสอบหรือ รื เเบบสอบถาม ที่ สามารถนํามาวิเ วิ คราะห์เพื่อ พื่ หาคํา ตอบในสิ่งที่ผู้วิจั วิ ย จั ต้องการศึกษา เเบ่งตามลัก ลั ษณะข้อมูลทั่วไป เเบ่งได้ 2 ประเภท ข้อมูลเชิง ชิ ปริม ริ าณ เป็นข้อมูลที่วัด วั ค่าออกมา เป็นตัว ตั เลขได้ว่ามีค่ มี ค่ ามากน้อยเพีย พี งใด เเบ่งเป็น 2 เเบบ คือ คื ข้อมูลเเบบต่อเนื่อง ข้อมูลเเบบไม่ต่อ เนื่อง ข้อมูลเชิง ชิ คุณภาพ เป็นข้อมูลที่ไม่สาามารถ ระบุได้ว่ามากหรือ รื น้อย มัก มั จะอยู่ในรูปของ ข้อความ เเบ่งตามระดับ ดั ของการวัด วั เป็น 4 ประะเภท ข้อมูลระดับ ดั นามบัญ บั ญัติ ญั ติ ลัก ลั ษณะเป็นข้อมูล จัด จั ประเภท คน สัต สั ว์ สิ่งของ เหตุการณ์หรือ รื เรื่อ รื่ ง ราวต่างๆ ออกเป็นกลุ่มหรือ รื พวก โดยเเต่ละกลุ่ม เเต่ละพวกมีค มี วามเท่าเทีย ที มกัน กั ข้อมูลเรีย รี งอัน อั ดับ ดั ข้อมูลที่มีลั มี ก ลั ษณะเป็นการ จัด จั ประเภท เเละจัด จั อัน อั ดับ ดั หรือ รื ตําเเหน่ง ของสิ่ง ต่างๆ ให้เป็นกลุ่ม หรือ รื พวกเเบบลดหลั่นกัน กั เป็น ขั้น ขั้ ๆ อย่างมีทิ มี ทิ ศทาง ข้อมูลระดับ ดั อัต อั ราส่วน ข้อมูลที่มี ลัก ลั ษณะเป็นเชิง ชิ ปริม ริ าณสามารถวัด วั ค่า เป็นตัว ตั เลข ที่มีคุ มี คุ ณสมบัติ บั สํ ติ สํ าคัญ คั ครบ 3 ประการ คือ คื เรีย รี งลําดับ ดั ความมากไป น้อยได้ ช่วงห่างหรือ รื ความเเตกต่าง ระหว่างตัว ตั เลขเเต่ละค่าเท่ากัน กั มีจุ มี จุ ด เริ่ม ริ่ ต้น ต้ จากศูนย์ที่เเท้จริง ริ


ตัวเเปร คือ คุณลักษณะของงางๆ สามารถเเปรเปยนาไสองานไป ไาจะเนาอในปเเบบของ ปริมาณ หรือ คุณภาพ เช่น เพศของมษเเปลไชาย หง เเบ่งตามประเภทการวิจัย วเเปรดกระา เนวเเปรสระอางหง ยามาดกระาบการทดลอง ตัวเเปรตาม เป็นตัวเเปรซึ่งเป็นผลนเองมาจากการดกระาของวเเปรดกระา วเเปรเเทรกอน เนวเเปรคาดว่าจะมีผลต่อตัวเเปรตาม งไควบมไไใงผลอวเเปรตาม วเเปรสอดเเทรก เนวเเปรผลอว เเปรตามเเต่ผู้วิจัยไม่สามารถควบมไไอาจจะวงหา หอไวงหา หอเดจากเหดย ตัวเเปรกลาง เป็นตัวเเปรไจัดกระาเหอนวเเปรดกระา เเละไไควบมเหอนวเเปรเเทรกอน เเสนใจจะงเามากษาวม เเบ่งตามลักษณะข้อมูล วเเปรเงปมาณ เนวเลขสามารถามา บวก ลบ ณ หาร นไวเเปรเง ปริมาณยังสามารถเเบ่งออกได้เนสองชด ไเเวเเปรอเอง วเเปรไอเอง วเเปรเงณภาพ วเเปรมีค่าต่างๆ เเต่ค่าเหล่านั้นไม่ได้อในานวนวเลข


สรุปองค์ความรู้ เเบ่งตามการวิจัยเชิงทํานาย วเเปรเกณเนวเเปรยสนใจกษาาาเมน หอลดลง นอบว เเปร หรือปัจจัยใดบ้าง ตัวเเปรานายหอวเเปรพยากรเนวเเปรยสนใจามาพยากรความนเเปร ของ ตัวเเปรเกณฑ์ เเบ่งตามความเป็นเหตุต่อน วเเปรสระ เนวเเปรเดนอน เเละอาเนเหหอทพลของว เเปรตาม ตัวเเปรตาม เป็นตัสวเเปรเดมาจากผล นเองไบทพลจากวเเปรสระ เเบ่งตามระดับของการวัดเน 4 ประะเภท อลระบนามญกษณะเนอลดประเภท คน ตสิ่งของ เหตุการณ์หรือเรื่องราวางๆ ออกเนกมหอพวก โดยเเละกมเเละพวกความเาเยมน อลเยง อันดับ ข้อมูลที่มีลักษณะเป็นการดประเภท เเละดนบ หอาเเหง ของงางๆ ใเนกม หอพวกเเบบลด หลั่นกันเป็นขั้นๆ อย่างมีทิศทาง ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวบบรายละเยดงางๆ เบรวบรวมจากการบ การดวยเเบบทดสอบหอเเบบ สอบถาม ที่สามารถนํามาวิเคราะเอหาาตอบในงยองการกษา


สรุปองค์ความรู้ เเบ่งตามลักษณะข้อมูลทั่วไป เเงไ2 ประเภท อลเงปมาณ เนอลดาออกมาเนวเลขไาา มากน้อยเพียงใด เเบ่งเป็น 2 เเบบ อ อลเเบบอเอง อลเเบบไอเองอลเงณภาพ เนอลไสาามารถระบุได้ว่ามากหรือน้อย กจะอในปของอความ ข้อมูลอันตรภาค ข้อมูลที่กษณะเนเงปมาณ สามารถดาไเนวเลขณสมาญ 2 ประการ อ เรียงลําดับความมมากไปหาน้อย เเละวงางหอความเเตกางระหางวเลขเเละาเาน ข้อมูลระดับอัตราส่วน ข้อลกษณะเนเงปมาณสามารถดาเนวเลข ณสมาญครบ 3 ประการ คือ เรียงลําดับความมากไปอยไวงางหอความเเตกางระหางวเลขเเละาเาน ดเมนจาก ศูนย์ที่เเท้จริง


การจัด จั ทําโครงร่า ร่ งการวิจั วิ ย จั เพื่อ พื่ พัฒ พั นา นวัต วั กรรมการเรีย รี นการสอน


กิจกรรมที่ 5 กําหนดความสําคัญของการวิจัย กิจกรรมที่ 6 ตั้งสมมติฐานของการวิจัย การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมัลติมีเดีย วิชา ฟิสิกส์ เรื่อง โมเมนตัม สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 5 การพัฒนาชุดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง อัต ราส่วนเเละร้อยละโดยใช้รูปเเบบการสอนเเบบร่วมมือเทคนิค STAD สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยตั้งคําถามให้สอดคล้องกับคําถามของการวิจัย มีตัวอย่่างดังต่อไปนี้ เพื่อพัฒนาประสิทธิผล (ตามด้วยชื่อวิจัย) ตาม เกณฑ์ 80/80 1. เพื่อหาประสิทธิผล (ตามด้วยชื่อวิจัย) ตามเกณฑ์ ดัชนีประสิทธิผลตั้งเเต่ร้อยละ 50 2. กิจกรรมที่ 2 เลือกเเบบเเผนการทดลองใช้นวัตกรรม กิจกรรมที่ 1 ตัวอย่างการตั้งชื่อเรื่อง กิจกรรมที่ 3 กําหนดคําถามของการวิจัย กิจกรรมที่ 4 กําหนดจุดมุ่งหมายของการวิจัย ตัวอย่างคําถามการวิจัย ชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้เเหล่งการเรียนรู้ในชุมชน สําหรับนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนังผักเเว่น มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 หรือไม่ อย่างไร 1. ชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้เเหล่งการเรียนรู้ในชุมชน สําหรับนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนังผักเเว่น มีประสิทธิผลตามเกณฑ์ดัชนีประสิทธิผลตั้งเเต่ร้อยละ 50 หรือ ไม่ อย่างไร 2. ตัวอย่างการตั้งความสัาคัญของการวิจัย ได้ (ตามด้วยชื่อวิจัย) ที่มีประสิทธิภาพเเละ ประสิทธิผล สามารถนําไปจัดการเรียนการสอนเพื่อ พัฒนา (ประโยชน์ที่จะได้รับของวิจัย) ของ นักเรียน 1. เป็นเเนวทางสําหรับครูผู้สอน หรือนักวิจัย ที่สนใจ พัฒนา (ตามด้วยชื่อนวัตกรรม) เพื่อพัฒฒนา 2. ความรู้ ทักษะ เเละคุณลักษณะต่างๆ ของผู้เรียน เป็นข้อความที่เขียนขึ้นเพื่อเเสดงคําตอบของปัญหาการวิจัยที่ผู้วิจัยคาดคะเนไว้ล่วงหน้าอย่างมีเหตุผล ซึ่งในการ เขียนสมมติฐานทางการวิจัยสามารถเขียนได้อย่างใดอย่างหนึ่งใน 2 เเบบ คือ เเบบไม่มีทิศทาง เป็นการเขียนที่ไม่ระบุทิศทางของความสัมพันธ์ของตัวเเปรหรือทิศทางของความเเตกต่าง เพียงเเต่ระบุว่ามีความสัมพัยธ์กันหรือเเตกต่างกันเท่านั้น 1. เป็นการเขียนโดยระบุทิศทางของความสัมพันธ์ของตัวเเปรว่าสัมพันธ์ในทางใด หรือถ้าเป็นการเปรียบเทียบก็ สามารถระบุทิศทางของความเเตกต่างได้มากกว่าหรือน้อยกว่า 2. โดยทั่วไป การวิจัยในลักษณะนี้ จะนิยมตรวจสอบประเด็นต่างๆ ดังนี้ 1. ประสิทธิภาพของนวัตกรรม 2. ประสิทธิผลของนวัตกรรม 3. ผลการใช้นวัตกรรมที่เกิดกับตัวเเปรตามต่างๆ 4. ความพึงพอใจ/ความคิดเห็นที่มีต่อการใช้นวัตกรรม


สรุรุ รุรุ ปองค์ค์ ค์ค์ ความรู้รู้ รู้รู้ รู้รู้ ตัวอย่างการตั้งชื่อเรื่อง เช่น การพัฒนาบทเยนคอมวเตอวยสอนลเย ชากเอง โมเมนม าหบกเยนน มัธยมศึกษาปี่ที่ 5 การพัฒนาชุดการเยนการสอนชาคตศาสตเอง ตราวนเเละอยละโดยใปเเบบการสอนเเบบวมอเทคค STAD สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา2 การเลือกเเบบเเผนทดลองใข้นตกรรม งอไป1. ประทภาพของนตกรรม 2. ประทผลของนตกรรม 3. ผลการใช้นวัตกรรมที่เกิดกับวเเปรตามางๆ 4. ความงพอใจ/ความดเนอการในตกรร การกําหนดคําถามการวิจัย ชุดฝึกทักษะกระบวนการทางทยาศาสตโดยใเเหงการเยนในมชน าหบกเยนนประถมกษา6 โรงเยนาน หนังผักเเว่น มีประสิทธิภาพตามเกณ80/80 หอไอางไร 1. 2. ชุดฝึกทักษะกระบวนการทางทยาศาสตโดยใเเหงการเยนในมชน าหบกเยนนประถมกษา ปีที่6 โรงเรียนบ้านหนังผักเเน ประทผลตามเกณชประทผลงเเอยละ 50 หอไอางไร


กําหนดจุดมุ่งหมายของการวิจัย เพื่อพัฒนาประสิทธิผล (ตามด้วยอย) ตามเกณ80/80 เพื่อหาประสิทธิผล (ตามด้วยชื่อวิจัย) ตามเกณชประทผลงเเอยละ 50 กําหนดความสําคัญของการวิจัย ตัวอย่างการตั้งความสัาคัญของการย ได้ (ตามด้วยชอวิจัย) ที่มีประทภาพเเละประทผล สามารถาไปดการเยนการสอนเอฒนา (ประโยชจะไบ ของวิจัย) ของนักเรียน เป็นเเนวทางสําหรับครูผู้สอน หอกย สนใจฒนา (ตามวยอนตกรรม) เอฒฒนา ความกษะ เเละณกษณะางๆ ของเยน การตั้งสมมติฐานการวิจัย เป็นข้อความที่เขียนขึ้นเพื่อเเสดงคําตอบของญหาการยยคาดคะเนไวงหาอางเหผล งในการเยนสมมฐาน ทางการวิจัยสามารถเขียนได้อย่างใดอางหงใน 2 เเบบ อ เเบบไม่มีทิศทาง เป็นการเขียนไระศทางของความมนของวเเปรหอศทางของความเเตกางเยงเเระาความสัมพัยธ์กันหรือเเตกต่างนเาน เนการเยนโดยระศทางของความมนของวเเปรามนในทางใด หอาเนการเปยบเยบสามารถระศทางของความเเตกางไมากกาหออยกา


ประชากร เเละกลุ่ม ลุ่ ตัว ตั อย่า ย่ ง


ประชากร ประชากร กลุ่มตัว ตั อย่าง เเละกลุ่มตัว ตั อย่าง ในทางสถิติ ประชากร หมายถึง ทั้งหมดของทุก หน่วยของสิ่งที่เราสนใจศึกษา ซึ่งหน่วยต่างๆ อาจเป็น บุคคล องค์กร สัตว์ สิ่งของ เช่น ถ้เราต้องการศึกษา สภาพปัจจุบันความฉลาดทางด้านอารมณ์ ของ นักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ประชากร คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครทุกระดับ ทุกชั้น ปี อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยอาจกําหนดขอบเขตประชากร ได้ตามความเหมาะสม ประชากร มี 2 ประเภท (1) ประชากรที่มีจํานวนจํา กัด ทั้งนี้เพราะสามารถเเจงนับจํานวนได้ครบถ้วน เเละ (2) ประชากรที่มีจํานวนไม่จํากัด ประชากรประเภทนี้ไม่ สามารถเเจง นับจํานวนได้ครบถ้วน เนื่องจากมีมากจน นับจํานวนที่เเน่นอนไม่ได้ หรือไม่สามรถนับจํานวนได้ กลุ่มตัวอย่าง หมายถึง ส่วนหนึ่งของประชากรที่ถูกเลือก ขึ้นมาด้วยเทตนิคการเลือกกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม สําหรับใช้ ในการศึกษาเเทนประชากร เเล้วนําผลสรุปที่ได้บรรยายหรือ สรุปอ้างอิงถึงลักษณะประชากรที่ต้องการศึกษา ดังนั้นกลุ่มตัวอย่าง ต้องเป็นตัวเเทนที่ดีของประชากร จึง จะช่วยให้การสรุปอ้างอิงถึงประชากรมีความถูกต้องเเละเชื่อ ถือได้ เหตุผลของการเลือกกลุ่มตัวอย่าง คือ ประหยัดค่าใช้ จ่าย ประหยัดเวลาเเละเเรงงาน สะดวกในการปฏิบัติเเละ สามารถปฏิบัติได้จริง มีความถูกต้องเเม่นยําเชื่อถือได้จาก ประชาการทั้งหมด สามารถศึกษาข้อมูลได้กว้างขวางลึกซึ้ง เทคนิคการเลือกกลุ่มตัวอย่าง มีดังต่อไปนี้ การเลือก กลุ่มตัวอย่างโดยหลักความน่าจะเป็น การสุ่มเป็นระบบอ กา รสุ่มเเบบเเบ่งชั้น การสุ่มเเบบเเบ่งกลุ่ม การสุ่มหลายขั้นตอน เเบบตามสะดวก เเบบโควตา เเบบเจาะจง เเบบลูกโซ่ เป็นต้น


สรุปองค์ความรู้ ประชาการ ในทางสถิติ ประชากร หมายง งหมดของกหวยของงเราสนใจกษา งหวยางๆ อาจเนคคล องค์กร สัตว์ สิ่งของ เช่น ถ้เราต้องการกษาสภาพจนความฉลาดทางานอารมของกกษา มหาทยายราชฏ สกลนคร ประชากร คือ นักศึกษามหาทยายราชฏสกลนครกระบ กนอางไรตาม ยอาจาหนดขอบเขตประชากร ได้ตามความเหมาะสม ประชากร มี 2 ประเภท (1) ประชากรานวนาด งเพราะสามารถเเจงบานวนไครบวน เเละ (2) ประชากรา นวนไาด ประชากรประเภทไสามารถเเจง บานวนไครบวน เองจากมากจนบานวนเเนอนไไหอไสามรถ บานวนไกลุ่มตัวอย่าง หมายถึง ส่วนหงของประชากรกเอกนมาวยเทตคการเอกกมวอางเหมาะสม าหบใในการ ศึกษาเเทนประชากร เเล้วนําผลสรุปไบรรยายหอสปางงงกษณะประชากรองการกษา ดังนั้นกลุ่มตัวอย่าง ต้องเป็นวเเทนของประชากร งจะวยใการสปางงงประชากรความกองเเละเออไเหตุผลของการเลือกกลุ่มตัวอาง อ ประหดาใาย ประหดเวลาเเละเเรงงาน สะดวกในการปเเละสามารถปได้จริง มีความถูกต้องเเม่นยําเชื่อถือไจากประชาการงหมด สามารถกษาอลไกางขวางกง เทคคการเอกกมวอาง งอไปการเอกกมวอางโดยหกความาจะเน การมเนระบบอ การมเเบบเเง น การมเเบบเเงกม การมหลายนตอน เเบบตามสะดวก เเบบโควตา เเบบเจาะจง เเบบกโเนน


เอกสารเเละงานวิจั วิ ย จั ที่เ ที่ กี่ย กี่ วข้อ ข้ ง สารเเละงานวิจั วิ ย จั ที่เ ที่ กี่ย กี่ วข้อ ข้ ง


ประเภท หลัลั ลัลั กในการนํนํ นํนํ าเสนอ การศึกษาเอกสาร เเละงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาเอกสาร เเละงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นการศึกษาเอกสาร ทางวิชาการ เเละงานวิจัยของ นักวิจัยคนอื่นๆ ที่จัดทําขึ้น ทั้งในอดีตเเละปัจจุบัน ที่มี เนื้อหาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับชื่อ เรื่องตัวเเปรที่สนใจศึกษา เเนวคิด/ทฤษฎีต่างๆ ที่นํามา ใช้ในงานวิจัย สารสนเทศที่ได้ จากการศึกษาค้นคว้าดังกล่าว จะเป็นเเนวทางในการกํา หนดเเผนของการวิจัยที่ผู้วิจัย จะกระทําต่อไป ทําให้สามารถนิยามปัญหาที่ตนจะกระทําได้ อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น 1. ทําให้ผู้วิจัยได้ทราบข้อเท็จจริง ทฤษฎี หลัก การ เเละได้ความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงาน วิจัย 2. ทําให้สามารถตั้งสมมติฐานกับงานวิจัยได้อย่ง เหมาะสม 3. ทําให้ทราบเเนวทางในการสร้าง การหา คุณภาพเครื่องมือวิจัย 4. ทําให้สามารถกําหนดวิธีการเก็บรวบรวม ข้อมูลได้อย่างเหมาะสม 5. 6. ทําให้ทราบเเนวคิดในการเเปลความ หมายเเละสรุปอภิปรายผลของการ วิเคราะห์ข้อมูลได้ว่าสอดคล้องหรือขัด เเย้งกับผลการวิจัยของใครบ้างเเละให้ เกิดเเนวคิดในการเสนอเเนะผลการวิจัย ได้อย่างรัดกุม 7. ทําให้ผู้วิจัยได้รู้หลักในการทํางาน วิจัยโดยจากการศึกษารูปเเบบฟอร์ม การเขียนของผู้อื่นเเล้วนํามาประยุกต์ เขียนเป็นเเนวทางของตนเองได้ สอดคล้องกับงานวิจัยที่ทํา เช่น หนังสือ ตํารา รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ บทความวิชาการ สารานุกรม พจนานุกรม รายงานประจําปี คู่มือ การสืบค้น จากอินเตอร์เน็ต เเละอื่นๆ หลัการนําเสนอมีดังต่อไปนี้ นําเสนอให้สอด คล้องเเละครอบคลุมกับเรื่องของตนเอง จัดลําดับในกา รนําเสนอ เขียนเชื่อมโยงเนื้อหาต่างๆ ให้สละสลวย ลํา ดับเรื่องจากเก่าไปใหม่ ใช้ภาษาเขียนให้ถูกต้อง ควร ทบทวนสิ่งที่เขียนหลายๆ ครั้ง เพื่อความเเน่ใจ เเละ ความถูกต้องของข้อมูล การศึกษาเอกสาร เเละงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาเอกสาร เเละงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ประโยชน์น์ น์น์


สรุปองค์ควาามรู้ การศึกษาเอกสารเเละงานวิจัยเยวอง เนการกษาเอกสารทางชาการ เเละงานยของกยคนนๆ ดาน ทั้งในอดีตเเละปัจจุบันที่มีเนื้อหาเกี่ยวองมนบอเองวเเปรสนใจกษาเเนวด/ทฤษางๆามาใในงานย สารสนเทศที่ได้จากการศึกษาค้นคว้างกาว จะเนเเนวทางในการาหนดเเผนของการยยจะกระาอไป ประเภท เช่น หนังสือ ตํารา รายงานการย ทยาพนบทความชาการ สารากรม พจนากรม รายงานประาอ การสืบค้นจากอินเตอร์เน็ต เเละอื่นๆ หลัการนําเสนอมีดังต่อไปนี้ าเสนอใสอดคองเเละครอบคมบเองของตนเอง ดาบในการาเสนอ เยนเอมโยง เนื้อหาต่างๆ ให้สละสลวย ลําดับเองจากเาไปใหใภาษาเยนใกอง ควรทบทวนงเยนหลายๆ คง เอความเเใจ เเละความถูกต้องของข้อมูล ประโยชน์ 1. ทําให้สามารถนิยามญหาตนจะกระาไอางดเจนงน 2.าใยไทราบอเจจง ทฤษหกการ เเละได้ความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานย 3.าใสามารถงสมมฐานบงานยไองเหมาะสม 4.าใทราบเเนวทางในการ สร้าง การหาคุณภาพเครื่องมือวิจัย 5.าใสามารถาหนดการเบรวบรวมอลไอางเหมาะสม 6.าใทราบเเนวดในการ เเปลความหมายเเละสรุปอภิปรายผลของการเคราะอลไาสอดคองหอดเเงบผลการยของใครางเเละใเดเเนวด ในการเสนอเเนะผลการวิจัยได้อย่างดม 7.าใยไหกในการางานยโดยจากการกษาปเเบบฟอมการเยนของ นเเวามาประกเยนเนเเนวทางของตนเองไสอดคองบงานยา


เครื่อ รื่ งมือ มื ที่ใที่ ช้ในการ เก็บ ก็ รวบรวมข้อมูล เครื่อ รื่ งมือ มื ที่ใที่ ช้ในการ เก็บ ก็ รวบรวมข้อมูล


เครื่รื่ รื่ องมือ มื รื่ องมือ มื ที่ที่ใช้ช้ใช้ช้ นการเก็ก็ ก็ บ ก็ บรวบรวมข้ข้อ ข้ อ ข้มูมูมู ล มู ล การสัสัง สั ง สั เกต การสังสัเกต เป็นการวัดจากการใช้ปช้ ระสาทสัมสัผัสผัการมองเห็น ห็ เเละได้ยินยิเป็นสํา สํ คัญ ในการติดตามเฝ้าดูกดูารเเสดงพฤติกรรมของ บุคบุคล กลุ่มลุ่คน ปรากฎการณ์ต่างๆ เเล้วทําการเก็บข้อ ข้ มูลนั้นนั้ๆ ดังนั้นนั้ข้อ ข้ มูลที่น่าน่เชือชืเเค่ไหน ขึ้นขึ้อยู่กัยู่ กับตัวผู้สั ผู้ งสัเกตเอง การ สังสัเกตมีห มี ลายประเภท เช่นช่การสังสัเกตโดยตรง การสังสัเกตเเบบมี สาวนร่วม การสังสัเกตเเบบไม่มีม่ส่ มี วส่นร่วม การสังสัเกตโดยอ้อ อ้ ม การสัสัม สั ม สั ภาษณ์ณ์ ณ์ณ์ การสัมสัภาษเป็นการสนทนาที่มีจุมีดจุมุ่งมุ่งหมาย ระหว่างผู้สัผู้มสัภาษณ์ กับผู้ถูผู้กถูสัมสัภาษณ์ เกี่ยวกับ เรื่องที่ต้องการศึกศึษา ซึ่งการเก็บรวบรวมข้อข้มูล โดยการสัมสัภาษณ์ สามารถใช้ไช้ด้ดีทั้งกรณีผู้ถูผู้กถู สัมสัภาษณ์รู้หรู้รือไม่รู้ม่ รู้หรู้นังนัสือสืการสัมสัภาษณ์นั้นนั้มีอมียู่ หลายประเภท เช่นช่การสัมสัภาษณ์เเบบมี โครงสร้าง การสัมสัณ์เเบบเชิงชิลึก เป็นต้น การสอบถาม การประเมิมินมิมิจากการปฏิฏิฏิบัฏิบัติ บั ติ บั ติติ การประเมินมิจากการปฏิบัติบัติเป็นกระบวนการเก็บ รวบรวมข้อข้มูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียนรู้ขรู้อง ผู้เผู้รียน ผ่าผ่นการลงมือมืปฏิบัติบัติจริงตามภาระงานที่ ได้ออกเเบบไว้ เเล้วนํา นํ ข้อข้มูลมาวิเคราะห์ให์ ห้ไห้ด้สาร สนเทศสํา สํ หรับการพัฒพันาผู้เผู้รียน หรือตัดสินสิ คุณคุภาพการเรียนรู้ โดยพฤติกรรมที่มุ่งมุ่ ประเมินมิ จะเป็นทักษะทางด้านต่างๆ เเละอาจจะประเมินมิไป ถึงลักษณะนิสันิยสัในบางงาน เเบบทดสอบ ชุดของคําถามที่ต้องการเร้าให้ผู้ ห้ผู้ส ผู้ อบได้เเสดงความรู้หรู้รือพฤติกรรมที่เป็นการบ่งบ่บอก ถึงระดับสติปัญญา ในด้านความจํา จํ ความเข้า ข้ใจ การนํา นํไปใช้ การวิเคราะห์ การสังสัเคราะห์ การประเมินมิค่า โดยประเภทของเเบบทดสอบมีดั มีดังนี้ เเบบอิงอิกลุ่มลุ่เเบบอิงอิเกณฑ์ เเบบความ เรียง เเบบถูกถูผิดผิเเบบขับขัคู่ เเบบเติมคํา เเบบเลือกตอบ เป็นต้น เเบบสอบถาม เป็นชุดข้อ ข้ คําถามที่สร้างขึ้นขึ้ใน รูปรูเเบบเอกสารทั้งในลักษณะที่กําหนดเเละไม่ไม่ด้ กําหนดคําตอบ เพื่อพื่ให้ผู้ ห้ผู้ต ผู้ อบได้อ่าอ่นเเล้วตัดสินสิใจ เลือกหรือเขีย ขี นคําตอบตามคําชี้เเจงที่ระบุไบุว้ โดย มีจุ มี ดจุมุ่งมุ่หมายที่ต้องการถามข้อ ข้ มูลเกี่ยวกับ ความ คิดเห็น ห็ ความเชื่อชื่ความพึง พึ พอใจ หรือข้อ ข้ มูลส่วส่น ตัวต่างๆ เช่นช่เพศ ระดับการศึก ศึ ษา โดยรูปรูเเบบสอบถามมีด้ มีด้ วยกันดังต่อไปนี้ เเบบสอบถามชนิดนิ ปลายเปิพด เเบบสอบถามที่ เป็นเเบบจัดจัอันอัดับ เเบบสอบถามที่เป็นเเบบ มาตรประมาณค่า


สรุรุรุ ป รุ ปองค์ค์ ค์ ค ค์ ความรู้รู้รู้รู้ การสังเกต เป็นการวัดจากการใประสาทมสการมองเน เเละไนเนาญ ในการดตามเาการเเสดงพฤกรรมของ บุคคล กลุ่มคน ปรากฎการณ์ต่างๆ เเวาการเบอลนๆ งนอลาเอเเไหน นอบวงเกตเอง การงเกตหลายประเภท เช่น การสังเกตโดยตรง การงเกตเเบบสาวนวม การงเกตเเบบไวนวม การงเกตโดยอม การสัมภาษณ์ เป็นการสนทนาดงงหมายระหางมภาษบกมภาษเยวบเององการกษา งการ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ สามารถใไงกรกมภาษหอไหงอ การมภาษนอหลายประเภท เช่น การสัมภาษณ์เเบบมีโครงสร้าง การมเเบบเงก เนน เเบบสอบถาม เป็นชุดข้อคําถามสางนในปเเบบเอกสารงในกษณะาหนดเเละไไาหนดาตอบ เอใตอบไอ่านเเล้วตัดสินใจเลือกหรือเขียนคําตอบตามาเเจงระไโดยดงหมายองการถามอลเยวบ ความดเน ความเอ ความพึงพอใจ หรือข้อมูลส่วนตัวต่างๆ เน เพศ ระบการกษา โดยปเเบบสอบถามวยนงอไปเเบบสอบถามชดปลาย เปิพด เเบบสอบถามที่เป็นเเบบจัดอันบ เเบบสอบถามเนเเบบมาตรประมาณา การประเมินจากการปฏิบัติ เนกระบวนการเบรวบรวมอลเยวบพฤกรรมการเยนของเยน านการลงอปจริงตามภาระงานที่ได้ออกเเบบไว้ เเวาอลมาเคราะใไสารสนเทศาหบการฒนาเยน หอดนณภาพการเยนโดยพฤติกรรมที่มุ่งประเมิน จะเป็นทักษะทางานางๆ เเละอาจจะประเนไปงกษณะยในบางงาน


สรุปองค์ความรู้ เเบบทดสอบ ชุดของคําถามที่องการเาใสอบไเเสดงความรู้หรือพฤติกรรมที่เป็นการงบอกงระบสปัญญา ในด้านความจํา ความเข้าใจ การาไปใการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเนา โดยประเภท ของเเบบทดสอบมีดังนี้ เเบบอิงกลุ่ม เเบบงเกณเเบบ ความเยง เเบบกด เเบบบเเบบเมา เเบบเอก ตอบ เนน


วิธีตรวจสอบ คุณภาพเครื่องมอ เเละสถิติที่ใช้


ความเป็นปรนัย เป็นคุณสมบัติของเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เเสดงถึงลักษณะ 3 ประการ คือ คําถามชัดเจนอ่านเเล้วเข้าใจตรงกัน การตรวจให้คะเเนนมี ความคงที่ เเละการเเปลความหมายคะเเนนมีความชัดเจนตรงกัน เช่น การเเปลคะเเนนเเบบสอบถามได้ 1 คะเเนน หมายถึงผู้ตอบเห็นด้วยกับข้อความนั้นๆ เครื่องมือที่ใช้ในการ เก็บรวบรวมข้อมูลที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ก่อนจะตรวจสอบคุณภาพด้านอื่นๆ ต้ิองตรวจสอบความเป็นปรนัยเสียก่อน วิธีตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือเเละสถิติที่ใช้ ความเป็นปรนัย นั ความเที่ยงตรงของเครืองมือวิจัย หมายถึง ระดับคุณภาพของเครื่องมือวิจัยที่บ่งบอกว่า ข้อมูลหรือผลการวัดตัวเเปร คุณลักษณะหรือสิ่งที่ต้องการวัดด้วยเครื่อง มือนั้นๆ มีความถูกต้องหรือไม่ เพียงใด ความเที่ยงตรงเป็นสิ่งที่มีความสําคัญอย่างมากในการพิจารณาคุณภาพเครื่องมือวิจัย เเละเมื่อเปรียบเทียบกับคุณภาพเครื่องมือ ด้านอื่น ถือว่าความเที่ยงตรงมีความสําคัญมากที่สุด โดยถูกเเบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ ด้านเนื้อหา ด้านโครงสร้าง ด้านพยากร ความเที่ยงตรง ความเชื่อมั่น เป็นคุณสมบัติของวิจัยรวมทั้งฉบับ ที่สามารถวัดเรื่องราวหรือคุณลักษณะที่ต้องการวัดความคงเส้นคงวา วัดกี่ครั้งก็ได้ผลเหมือนเดิม หรือใกล้เคียงกับของเดิม ค่าความเชื่อมั่นเครื่องมือวิจัยที่มีมาตรฐานทั่วๆ ไป ควรมีค่าตั้งเเต่ 80 ขึ้นไป เเต่ถ้าเป็นเครื่องมือวิจัยที่สร้างเเละพัฒนาขึ้นเอง ควรมีค่าอย่างน้อย 0.70 ซึ่งการหาความเชื่อมั่นของเครื่องมือวิจัย สามารถทําได้หลายวิธี คือ วิธีการวัด วิธีใช้เครื่องมือวัดเเบบคู่ขนาน วิธีการตรวจสอบ ความคงเส้นคงวาภายใน ความเชื่อ ชื่ มั่น มั่ ความยากการหาความยากจะใช้เฉพาะกรณีเครื่องมือวิจัยเป็นประเภทเเบบทดสอบที่ด้านสติปัญญา โดยเฉพาะเเบบทดสอบประเภทอิงกลุ่ม ส่วนเเบ บทดสอบประเภทอิงเกณฑ์ไม่นิยมหาความยาก ความยากหรือความง่ายของข้อสอบไม่ใช่ประเด็นสําคัญ กล่าวคือ ข้อสอบที่ผู้สอบได้ทุกคน หรือทําไม่ได้เลย สักคน ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นข้อสอบที่ไม่ดี ความยากง่ายที่เหมาะสมต้องอยู่ที่ 0.20-0.80 ความยาก อํานาจจําเเนก หมายถึง คุณลักษณะของข้อสอบที่สามารถเเยกปริมาณคุณลักษณะที่ต้องการวัดที่มีอยู่ในเเต่ละบุคคล เช่น ในเเบบทดสอบ ข้อสอบ มีอํานาจจําเเนกคือ ข้อสอบที่สามารถเเยกคนเก่งออกจากคนอ่อนได้ หมายความว่า คนเก่งทําได้ถูกเเละคนอ่อนทําได้ผิด โดยค่าดัชนีของเเบบทดสอบหรือ เเบบสอบถามเป็นรายข้อ มีค่าตั้งเเต่ -1 - 1 เเต่ค่าที่เหมาะสมจะต้องมีค่าตั้งเเต่ 0.20 ขึ้นไป อํา อํ นาจจํา จํ เเนก


สรุปองค์ความรู้ ความเป็นปรนัย เป็นคุณสมบัติของเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เเสดงถึงลักษณะ 3 ประการ คือ คําถามชัดเจนอ่านเเล้วเข้าใจตรงกัน การ ตรวจให้คะเเนนมีความคงที่ เเละการเเปลความหมายคะเเนนมีความชัดเจนตรงกัน เช่น การเเปลคะเเนนเเบบสอบถามได้ 1 คะเเนน หมายถึงผู้ตอบเห็นด้วยกับ ข้อความนั้นๆ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ก่อนจะตรวจสอบคุณภาพด้านอื่นๆ ต้ิองตรวจสอบความเป็น ปรนัยเสียก่อน ความเที่ยงตรงของเครืองมือวิจัย หมายถึง ระดับคุณภาพของเครื่องมือวิจัยที่บ่งบอกว่า ข้อมูลหรือผลการวัดตัวเเปร คุณลักษณะหรือสิ่งที่ต้องการวัดด้วย เครื่องมือนั้นๆ มีความถูกต้องหรือไม่ เพียงใด ความเที่ยงตรงเป็นสิ่งที่มีความสําคัญอย่างมากในการพิจารณาคุณภาพเครื่องมือวิจัย เเละเมื่อเปรียบเทียบกับ คุณภาพเครื่องมือด้านอื่น ถือว่าความเที่ยงตรงมีความสําคัญมากที่สุด โดยถูกเเบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ ด้านเนื้อหา ด้านโครงสร้าง ด้านพยากร ความเชื่อมั่น เป็นคุณสมบัติของวิจัยรวมทั้งฉบับ ที่สามารถวัดเรื่องราวหรือคุณลักษณะที่ต้องการวัดความคงเส้นคงวา วัดกี่ครั้งก็ได้ผลเหมือนเดิม หรือ ใกล้เคียงกับของเดิม ค่าความเชื่อมั่นเครื่องมือวิจัยที่มีมาตรฐานทั่วๆ ไป ควรมีค่าตั้งเเต่ 80 ขึ้นไป เเต่ถ้าเป็นเครื่องมือวิจัยที่สร้างเเละพัฒนาขึ้นเอง ควรมีค่า อย่างน้อย 0.70 ซึ่งการหาความเชื่อมั่นของเครื่องมือวิจัย สามารถทําได้หลายวิธี คือ วิธีการวัด วิธีใช้เครื่องมือวัดเเบบคู่ขนาน วิธีการตรวจสอบความคงเส้น คงวาภายใน ความยากการหาความยากจะใช้เฉพาะกรณีเครื่องมือวิจัยเป็นประเภทเเบบทดสอบที่ด้านสติปัญญา โดยเฉพาะเเบบทดสอบประเภทอิงกลุ่ม ส่วนเเบบทด สอบประเภทอิงเกณฑ์ไม่นิยมหาความยาก ความยากหรือความง่ายของข้อสอบไม่ใช่ประเด็นสําคัญ กล่าวคือ ข้อสอบที่ผู้สอบได้ทุกคน หรือทําไม่ได้เลยสักคน ก็ ไม่ได้หมายความว่าเป็นข้อสอบที่ไม่ดี ความยากง่ายที่เหมาะสมต้องอยู่ที่ 0.20-0.80


อํา อํ นาจจํา จํ เเนก หมายถึง คุณ คุ ลักลัษณะของข้อ ข้ สอบที่ส ที่ ามารถเเยกปริมริาณ คุณ คุ ลักษณะที่ต้ ที่ อ ต้ งการวัดวัที่มี ที่ อ มี ยู่ใยู่ นเเต่ล ต่ ะบุค บุ คล เช่น ช่ ในเเบบทดสอบ ข้อ ข้ สอบ มีอํ มี า อํ นาจจํา จํ เเนกคือ คื ข้อ ข้ สอบที่ส ที่ ามารถเเยกคนเก่ง ก่ ออกจากคนอ่อ อ่ นได้ หมายความว่า ว่ คนเก่ง ก่ ทํา ทํ ได้ถู ด้ ถู กเเละคนอ่อ อ่ นทํา ทํ ได้ผิ ด้ ดผิ โดยค่า ค่ ดัชดันีข นี องเเบบทด สอบหรือ รื เเบบสอบถามเป็น ป็ รายข้อ ข้ มีค่ มี า ค่ ตั้งตั้เเต่ -1 - 1 เเต่ค่ ต่ า ค่ ที่เ ที่ หมาะสมจะต้อ ต้ ง มีค่ มี า ค่ ตั้งตั้เเต่ 0.20 ขึ้น ขึ้ ไป สรุปองค์ความรู้


สมมติติฐ ติติ านทางการวิวิจัจั วิวิ ย จัจั เเละสมมติติฐ ติติ านทางสถิถิติติถิถิ ติติ


สมติติ ติ ฐติ ฐาน ทางการวิวิ วิ จัวิ จั จั ยจั ย เเละสมมติติติฐติาน ทางสถิถิถิติถิติติติ สมมติฐานการวิจัยเเบบไม่มีทิศทาง นักเรียนชายเเละนักเรียนหญิงมีเจตคติต่อการ เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษเเตกต่างกัน การทดสอบค่าเฉลี่ยของตัวเเปรตามตัวเดียว กลุ่มตัวอย่างหนึ่งกลุ่ม เเละสองกลุ่มโดยใช้สถิติทดสอบค่า T-Test One Samples ทดสอบความเเตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ย (mean) ของประชากรกลุ่มเดียว กับค่าเกณฑ์ หรือ Norm ที่ กําหนด 1. Dependent Samples ทดสอบความเเตกต่างระหว่างค่า เฉลี่ย (Mean) ของประชากรสงอกลุ่มไม่อิสระกัน 2. Indepdent Samples ทดสอบความเเตกต่างระหว่างค่า เฉลี่ย (Mean) ของประชากรสองกลุ่มที่อิสระกัน 3. การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยประชากร 2 กลุ่มอิสระกัน เท่ากัน ใช้ T-TESTเเบบ Indepdent Samples ชนิดนิความเเปรปรวน 2 กลุ่มลุ่เท่ากัน ควมเเปรปรวนของประชากรทั้งทั้สองเท่ากันหรือรืไม่ สมมติฐานการวิจัยเเบบมิทิศทาง ผลสัมฤทธิ์ทธิ์างการเรียนของนักเรียนหลังเรียน ด้วยชุดกิจกรรมฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์สูงกว่าก่อน เรียน สมมติฐานทางสถิติ สมมติฐานทางสถิติ ผู้วิจัยกําหนดขึ้นสําหรับใช้ เพื่อการทดสอบตามกระบวนการทางสถิติ สมมติฐานทางสถิติประกอบไปด้วย สมมติฐานกลาง (H0) สมมฐานทางเลือก (H1) ซึ่ง H1 จะตั้งให้ สอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัย ไม่เท่ากัน ใช้ T-TESTเเบบ Indepdent Samples ชนิดนิความเเปรปรวน 2 กลุ่มลุ่เท่ากัน


สรุป รุ องค์ค ค์ วามรู้ สมมติฐ ติ านการวิจั วิ ย จั เเบบไม่มี ม่ มีศ ทาง เน ก เย นชายเเละก เย นหง เ จตคอ การเย นรายช าภาษาง กฤษ เเตกต่า ต่ งกัน กั สมมติฐ ติ านการวิจั วิ ย จั เเบบมีทิ มี ศ ทิ ทาง เน ผลมฤทท างการเย นของก เย นหง เย นว ยด จ กรรมก ก ษะการด วิเ วิ คราะห์สู ห์ สู งกว่า ว่ ก่อ ก่ นเรีย รี น การทดสอบค่า ค่ เฉลี่ยของตัว ตั เเปรตามว เย ว กม ว อา งหง กม เเละสองกม ดยส ท ดสอบา T-Test One Samples ทดสอบความเเตกา งระหา งา เฉย (mean) ของประชากรกม เย ว บ า เกณหอ Norm า หนด Dependent Samples ทดสอบความเเตกา งระหา งา เฉย (Mean) ของประชากรสงอกม ส ระน Indepdent Samples ทดสอบความเเตกา งระหา งา เฉย (Mean) ของประชากรสองกม ส ระน


วิวิเ วิวิ คราะห์ห์คุคุ ห์ห์ ณ คุคุ ภาพของเเบบทดสอบ เเละเเบบสอบถามโดยใช้ช้ ช้ช้SPSS


วิเวิคราะห์คุณ คุ ภาพของเเบบทดสอบเเละเเบบสอบถามโดยใช้ SPSS สร้าร้งไฟล์ข้อข้มูลของกลุ่มลุ่ ทดลองใช้ N คน เรียรีงคะเเนนจากน้อน้ยไปหา มาก โดยใช้คํช้ คําสั่งสั่ Sort case สร้าร้งตัวใหม่ ตั้งตั้ชื่อชื่ Group โดยกำ หนดค่า (Value) ให้ 1 แทน กลุ่มลุ่ตํ่า (L) 2 แทนกลุ่มลุ่ กลาง (M) และ 3 แทนกลุ่มลุ่สูงสู (U) ตัดข้อข้มูลกลุ่มลุ่กลางออก ทั้งทั้หมด จากนั้นนั้บันบัทึกไฟล์ โดย ตั้งตั้ชื่อชื่ ไฟล์ใหม่ หรือรืใช้คำช้ คำสั่งสั่ Select case เลือกเฉพาะ Group=1 or Group=3 คัดเลือกข้อข้สอบที ทั้งทั้ค่ำ p และ r ผ่าผ่นเกณฑ์ ให้ไห้ด้จํด้าจํนวนข้อข้สอบ ตามที่วางเเผนไว้ รวมคะเเนนทั้งทั้ฉบับบัของ เเต่ละคนโดยใช้คํช้ คําสั่งสั่ Compute variabie คำ นวณหาจำ นวนคนในกลุ่มลุ่ สูงสู (Nu) และจำ นวน คนในกลุ่มลุ่ ตํ่า (Nl) โดยใช้สูช้ตสูร 27 % ของ N เช่นช่ถ้า N=50 20 % ของ N = (27/100)*(50) ≈14 คน นั่นนั่คือ Nu=Nl= 14 คีย์ข้ย์อข้มูลตัวแปร Group โดย กลุ่มลุ่ตํ่าพิมพิพ์เพ์ลข 1 กลุ่มลุ่ สูงสูพิมพิพ์เพ์ลข 2 และกลุ่มลุ่กลาง พิมพิพ์เพ์ลข 3 วิเวิคราะห์ข้ห์อข้มูล เพื่อพื่หาคํานวณ จำ นวนคนตอบถูกถูในกลุ่มลุ่ตํ่า (Rl) และจำ นวนคนตอบถูกถูใน กลุ่มลุ่สูงสู (Ru) ของข้อข้สอบแต่ละ ข้อข้ โดยใช้คำช้ คำสั่งสั่ Crosstabs วิเวิคราะห์คห์วามเชื่อชื่มั่นมั่ของ แบบทดสอบทั้งทั้ฉบับบั โดยใช้ สูตสูร KR-20 ซึ่งซึ่ในโปรแกรม เลือก alpha ให้ให้ช้ไช้ฟล์ข้อข้มูล ของกลุ่มลุ่ทดลองใช้ทีช้ ทีมีทั้มี ทั้งทั้ กลุ่มลุ่สูงสูกลาง และตํ่า 01 02 04 03 05 07 09 06 08 10


สรุรุรุ ป รุ ปองค์ค์ ค์ ค ค์ ความรู้รู้รู้รู้ การวิเ วิ คราะห์คุ ห์ ณ คุ ภาพของเเบบทดสอบเเละเเบบสอบถามดยSPSS ง อ ปสร้า ร้ งไฟล์ข้อ ข้ มูล มู ของกลุ่ม ลุ่ ทดลองN คน รวมคะเเนนทั้ง ทั้ ฉบับ บั ของเเต่ล ต่ ะคนดยา ง Compute variabie เรีย รี งคะเเนนจากน้อ น้ ยไปหามาก ดยา ง Sort case คำ นวณหาจำ นวนคนในกลุ่ม ลุ่ ง (Nu) และนวน คนนกม า (Nl) ดยตร 27 % ของ N เน า N=50 20 % ของ N = (27/100)*(50) ≈14 คน น อ Nu=Nl= 14 สา งว หง อ Group โดยหนดา (Value) 1 แทน กม า (L) 2 แทนกม กลาง (M) และ 3 แทนกม ง (U) อ ล ว แปร Group โดย กม า ม เ ลข 1 กม งม เ ลข 2 และกม กลางม เ ลข 3 ด อ ล กม กลางออกง หมด จากน น ก ฟดยง อ ฟใหหอ ง Select case เอ กเฉพาะ Group=1 or Group=3 เ คราะอ ล เอ หาา นวณนวนคนตอบก นกม า (Rl) และนวนคนตอบกนกม ง (Ru) ของอ สอบ แล ะอ ดยง Crosstabs ด เอกอ สอบง p และ r า นเกณไา นวนอ สอบตามว างเเผนเ คราะค วามเอ น ของแบบทดสอบง ฉบ ดยตร KR-20 ง นปรแกรมเอ ก alpha ใใไฟอ ล ของ กม ทดลองง กม ง กลาง และา


วิจัยในชั้นเรียน มีกมีารเก็บข้อ ข้ มูลทั้งทั้เชิงชิปริมริาณเเละเชิงชิ ตุณตุภาพ เเต่เน้น น้ คุณคุภาพมากกว่า ว่ ,การเขียขีน รายงานวิจัวิยจั ไม่เ ม่ คร่ง ร่ ครัดรั ในรูปรูเเบบเหมือมืนการ วิจัวิยจัเชิงชิวิชวิากาารทั่วทั่ ไป เพราะมีเมีป้า ป้ หมายเพื่อพื่ตี พิมพิพ์เพ์ผยเเพร่, ร่ ครูสรูามารถใช้ผ ช้ ลการวิจัวิยจัพัฒพันา ตนเเละพัฒพันางานในหน้า น้ ทีี่ได้, ด้ สามารถทําวิจัวิยจั ได้ ทุกทุวันวัทุกทุสัปสัดาห์ ไม่ไม่ ด้มุ่ ด้มุ่ง มุ่ ใ้ห้ค ห้ รูทํรูทําเพื่อพื่ขอผล งาน ความหมาย ความสําคัญ ลักษณะ กระบวการทําวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ลักษณะ การเลือกปัญหามาทําวิจัย ผลดีต่ดี ต่อผู้เผู้รียรีน เช่นช่ ปํญปํหาพฤติกรรมต่างๆได้รัด้บรั การเเก้ไขในทางที่ดีขึ้ดีขึ้นขึ้ 1. 2.ผลดีต่ดี ต่อตัวครูผู้รูทํผู้ ทําวิจัวิยจัเช่นช่พัฒพันาคุณคุภาพผู้เผู้รียรีน ผลดีต่ดี ต่อสภาพการเรียรีนการสอน ทําให้กห้ารจัดจัการ เรียรีนการสอนเป็น ป็ ระบบ 3. ผลดีต่ดี ต่อวงการวิชวิาการเเละวงการวิชวิาชีพชีครู เช่นช่ ช่วช่ยให้วห้งการวิชวิาการของการเรียรีนการสอนก้าวหน้าน้ 4. เป็น ป็ การนํานํเอาวิธีวิกธีาร เเนวทาง หรือรื กิจกรรมต่างๆ ที่ผ่าผ่นการพิจพิารณาตรวจ สอบเบื้อบื้งต้นเเล้วว่าว่เหมาะสม ไปทดลอง ปฏิบัติบั ติามเเผนที่วางไว้ มีกมีารติดตามตรวจ สอบเเละประเมินมิกระบวนการปฏิบัติบั ติงาน เเละ ผลลลัพธ์ย่ธ์อย่ยๆที่ต้องการให้เห้กิดขึ้นขึ้ ในเเต่ละ ขั้นขั้ตอนการทํางาน รวมทั้งทั้ปัญหาอุปสรรค ต่างๆ สะท้อนผลการประเมินมิที่ได้เด้ป็น ป็ ระยะ เพื่อพื่ ใช้เช้ป็น ป็ ข้อข้มูลสําสํหรับรัการวางเเผนปรับรั ปรุงรุ เเก้ไขในส่วส่นยังยัเป็น ป็ ปัญหา โดยมีเมีป้าป้หมาย เพื่อพื่เเก้ไขปัญหาหรือรืพัฒพันาผู้เผู้รียรีนในชั้นชั้เรียรีน ที่ครูนัรูกนัวิจัวิยจัรับรัผิดผิชอบ ครูเรูป็น ป็ นักนัวิจัวิยจัทั้งทั้ ในเเง่ผู้ผผู้ ลิต เเละผู้บผู้ ริโริภค,ปัญหา การวิจัวิยจัต้องเกี่ยวข้อ ข้ งกับงานครู เช่น ช่ ปัญหาด้า ด้ นการเรียรีน รู้,รู้เป้า ป้ หมายสําสํคัญการวิจัวิยจั ไม่ไม่ ด้มุ่ ด้มุ่ง มุ่ สร้า ร้ งองค์ความรู้ใรู้หม่ เเต่มุ่ง มุ่ เเก้ไขปัญหาืหรือรืพัฒพันาการเรียรีนรู้ผู้รู้เผู้รียรีนที่มี ปัญหา,กลุ่มลุ่เป้า ป้ หมายอาจเป็น ป็ รายบุคคล,สามารถดําดํเนินนิการ วิจัวิยจัควบคู่ไคู่ปกับการปฏิบัติบั ติามปกติได้ ทั้งทั้ ในเเละนอกเวลา เรียรีน,ลักษณะของการทําวิจัวิยจันิยนิมใช้ว ช้ งจรการวิจัวิยจั ปฏิบัติบั ติการ PAOR,การวิจัวิยจั ไม่ไม่ ด้เ ด้ น้น น้ การสร้า ร้ งกรอบความคิดตาม โครงสร้า ร้ งเชิงชิทฤษฎี ไม่เ ม่ คร่ง ร่ ครัดรักับการควบคุมคุตัวเเปรเ เทรกซ้อ ซ้ น เเต่อาศัยประสบการณ์ขณ์องผู้วิผู้ จัวิยจัเเละเพื่อพื่นร่ว ร่ ม งาน, ขั้นขั้ที่ 1 สําสํรวจปัญหา ขั้นขั้ที่ 2 ระบุปัญหา เเละวิเวิคราะห์สห์าเหตุ ขั้นขั้ที่ 3 ระบุเเนวทางเเก้ไขปัญหาหรือรืพัฒพันา ขั้นขั้ที่ 4 วางเเผนเเก้ไขปัญหาหรือรืพัฒพันา ขั้นขั้ที่ 5 สร้าร้งหรือรืเลือกเครื่อรื่งมือมื ในการวิจัวิยจั ขั้นขั้ที่ 6 ดําดํเนินนิเเก้ปัญหาหรือรืพัฒพันา ตรวจสอบ ขั้นขั้ที่ 7 เก็บรวบรวมข้อข้มูล เเละวิเวิคราะห์ข้ห์อข้มูล ขั้นขั้ที่ 8 สรุปรุผลการวิจัวิยจัเเละสะท้อนความคิดเห็น ห็ ขั้นขั้ที่ 9 จัดจัทํารรายงานวิจัวิยจั เป็น ป็ ปัญหาที่เร่ง ร่ ด่ว ด่ น,เป็น ป็ ปัญหาของคนส่ว ส่ น ใหญ่, ญ่ ปัญหาพฤติกรรมทางการเรียรีน,พฤติกรรมที่เป็น ป็ ปัญหา ต้องเป็น ป็ ปัญหาจริงริๆ,ปํญปํหาที่ยากจะเเก้ไขไม่ ควรนํานํมาทําวิจัวิยจั ,ปํญปํหาที่สามารถเเก้ไขได้ด้ ด้ ว ด้ ยวิธีวิ ธี ง่ายๆไม่ค ม่ วรเลือกมาทําวิจัวิยจั


วิจัยในชั้นเรียน เเนวทางการ วิเคราะห์ข้อมูล เเนวทางการเขียน รายงานวิจัย เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนมักเป็นปัญหาของ นักเรียนบางคน บางกลุ่มเท่านั้น เช่น ปัญหาการขากเรียน บ่อยของเด็กชายเเดง การเเก้ไขปัญหาลักษณะนี้ ครูผู้สอนจะต้องทําการตรวจสอบผลการเเก้ไข ปัญหาเป็นรายบุคคล นั่นคือ เก็บรวบรวมข้อมูล เเละวิเคราะหืข้อมูลเเยกเป็นคนๆ ซึ่งจะทําให้ทราบว่า ปํญที่รับการเเก้ไขเเล้วมีการเปลี่ยนเเปลงหรือไม่ เเบบไม่เป็นทางการ เป็นรูปเเบบยืดหยุ่น นําเสนอเนื้อหาโดยสรุป สั้นๆ เหมาะสําหรับการเขียนเพียงเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน ศัาหรับการใช้ เเนวทางในการทําวิจัยในครั้งถัดไป เเบบเป็นทางการ เหทือนกันกับรูปเเบบการเขียนรายงานการวิจัยทาง วิชาการทั่วไป กล่าวคือเเบ่งออกเป็น 5 บท ซึ่งเหมาะสําหรับวิจัยที่มีลักษณะ ซับซ้อน เเละมีเจตนาที่ต้องการเผยเเพร่งานวิจัย โดยที่หัวข้อต่างๆ ยืดหยุ่นหรือปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม เเละเนื้อหา สาระอาจนําเสนอเป็นเเบบสั้นๆ เเต่ได้ใจความสมบูรณ์ เเนวทางการ วิเคราะห์ข้อมูล เเนวทางการเขียน รายงานวิจัย เเนวทางการเขียน รายงานวิจัย เเบบกึ่งทางการ เป็นการเขียนรายงานที่นําเสนอสาระสําคัญตามหัวข้อต่างๆ คล้ายกับ รูปเเบบเป็นทางการ เเต่ไม่ได้เเบ่งเนื้อหาออกเป็นบทๆ ไม่เน้นส่นนําเเละส่วน อ้างอิง ไม่เน้นเนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับเอกสารเเละงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เเนวทางการเขียน รายงานวิจัย


สรุปองค์ความรู้ ความหมาย เป็น ป็ การนํา นํ เอาวิธี วิ ก ธี าร เเนวทาง หอ จกรรมางๆ า นการจ ารณาตรวจสอบเอ งนเเวา เหมาะสม ไปทดลองปตามเเผนวาง ไว้ มีก มี ารติดตามตรวจสอบเเละประเมิน มิ กระบวนการปงาน เเละผลลพอ ยๆองการใเดน ในเเละน ตอนการางาน รวมงญ หาปสรรคางๆ สะท้อนผลการประเมิน มิ ที่ได้เป็น ป็ ระยะ เพื่อ พื่ ใเ น อ ลา หบ การวางเเผนปบ ปงเเไขในว นง เน ญ หา โดยเ า หมายเอ เเไขญ หาหอ ฒ นาเย น ในชั้น ชั้ เรีย รี นที่ครูนัก นั วิจั วิ ย จั รับ รั ผิด ผิ ชอบ ความสํา สํ คัญ ผลดีต่อผู้เผู้รีย รี น เช่น ช่ ปํญ ปํ หาพฤติกรรมางๆไบ การเเไขในทางน ผลดีต่อตัวครูผู้ทํผู้ ทํ าวิจั วิ ย จั เช่น ช่ พัฒ พั นาคุณ คุภาพเย น ผลดีต่อสภาพการเรีย รี นการสอน ทําใการด การเย นการสอนเน ระบบ ผลดีต่อวงการวิช วิ าการเเละวงการวิช วิ าพ คเน ว ยใวงการช าการของการเย นการสอนาวหา ลักษณะ ครูเป็น ป็ นัก นั วิจั วิ ย จั ทั้งในเเง่ผต เเละบโภค,ญ หาการย องเยวอ งบงานคเน ญ หาานการเย น, เา หมายา ญการย ไม่ไม่ ด้มุ่ง มุ่ สร้า ร้ งองค์ความรู้ใรู้ หม่ เเต่มุ่ง มุ่ เเก้ไขญหหอ ฒ นาการเย นเย นญ หา,กม เา หมายอาจเน รายคคล,สามารถาเน การย ควบไ ปบ การปฏิบัติ บั ติ ตามปกติได้ ทั้งในเเละนอกเวลาเย น,กษณะของการาย ย มใว งจรการย ปการ PAOR,การย ไไเน การสา งกรอบความดตาม โครงสร้า ร้ งเชิง ชิ ทฤษฎี ไม่เ ม่ คร่ง ร่ ครัด รั กับการควบม วเเปรเ เทรกซ้อ ซ้ น เเต่อาศัยประสบการณ์ข ณ์ องผู้วิผู้ วิย เเละเอ นว ม ลักษณะ มีก มี ารเก็บข้อ ข้ มูลทั้งเชิง ชิปม าณเเละเง ณ ภาพ เเเน ณ ภาพมากกา ,การเย นรายงานย ไเ คง คด ในปเเบบเหอ นการย เง ช า กาารทั่วไป เพราะมีเ มีป้าหมายเพื่อ พื่ ตีพิม พิ พ์เ พ์ ผยเเพ, คสามารถใผ ลการย ฒ นาตนเเละฒ นางานในหา ไ,สามารถาย ไก น ก ปดาไไง ครูทําเพื่อ พื่ ขอผลงาน ลักษณะ มีก มี ารเก็บข้อ ข้ มูลทั้งเชิง ชิปม าณเเละเง ณ ภาพ เเเน ณ ภาพมากกา ,การเย นรายงานย ไเ คง คด ในปเเบบเหอ นการย เง ช า กาารทั่วไป เพราะมีเ มีป้าหมายเพื่อ พื่ ตีพิม พิ พ์เ พ์ ผยเเพ, คสามารถใผ ลการย ฒ นาตนเเละฒ นางานในหา ไ,สามารถาย ไก น ก ปดาไไง ครูทําเพื่อ พื่ ขอผลงาน


สรุปองค์ความรู้ กระบวการทําวิจัวิ ย จั ปฏิบัติบั ติ การในชั้นชั้ เรียรี น ขั้นขั้ ที่ 1 สําสํ รวจปัญหา ขั้นขั้ ที่ 2 ระบุปัญหา เเละวิเวิ คราะห์สห์ าเหตุ ขั้นขั้ ที่ 3 ระบุเเนวทางเเก้ไขปัญหาหรือรื พัฒพั นา ขั้นขั้ ที่ 4 วางเเผนเเก้ไขปัญหาหรือรื พัฒพั นา ขั้นขั้ ที่ 5 สร้าร้ งหรือรื เลือกเครื่อรื่ งมือมื ในการวิจัวิ ย จั ขั้นขั้ ที่ 6 ดําดํ เนินนิ เเก้ปัญหาหรือรื พัฒพั นา ตรวจสอบ ขั้นขั้ ที่ 7 เก็บรวบรวมข้อข้ มูล เเละวิเวิ คราะห์ข้ห์ อ ข้ มูล ขั้นขั้ ที่ 8 สรุปรุผลการวิจัวิ ย จั เเละสะท้อนความคิดเห็นห็ ขั้นขั้ ที่ 9 จัดจั ทํารรายงานวิจัวิ ย จั เเนวทางการวิเวิ คราะห์ข้อข้ มูลเนื่อนื่ งจากญหาเดนในนเยนกเนญหาของ นักนั เรียรี นบางคน บางกลุ่มลุ่ เท่านั้นนั้ เช่นช่ ปัญหาการขากเยนอยของเกชายเเดง การเเไข ปัญหาลักษณะนี้ ครูผู้สผู้ อนจะต้องทําการตรวจสอบผลการเเไขญหาเนรายคคล นอ เก็บรวบรวมข้อข้ มูล เเละวิเวิ คราะหืข้อข้ มูลเเยกเนคนๆ งจะาใทราบาญบการเเไขเเล้วมีกมี ารเปลี่ยนเเปลงหรือรื ไม่ เเนวทางการเขียขี นรายงานวิจัวิ ย จั เบบไเนทางการ เนปเเบบดหนาเสนอเอหา โดยสรุปสั้นสั้ ๆ เหมาะสําสํ หรับรั การเขียขี นเพียพีงเอเบไเนหกฐาน าหบการใเเนวทางในการ ทําวิจัวิ ย จั ในครั้งรั้ ถัดไป เเบบไม่เม่ ป็นป็ ทางการ เป็นป็ รูปเเบบดหนาเสนอเอหาโดยสปนๆ เหมาะาหบการเขียขี นเพียพี งเพื่อพื่ เก็บไว้เว้ป็นป็ หลักฐาน สําหบการใเเนวทางในการาย ในคงดไป เเบบเป็นป็ ทางการ เหมือมื นกันกับรูปเเบบการเยนรายงานการย ทางชาการวไป กล่าวคือเเบ่งบ่ ออกเป็นป็ 5 บท ซึ่งซึ่ เหมาะสําหบย กษณะบอน เเละเจตนาองการ เผยเเพร่งร่ านวิจัวิ ย จั เบบกึ่งทางการ เป็นป็ การเขียขี นรายงานาเสนอสาระาญตามวอางๆ คายบป เเบบเป็นป็ทางการ เเต่ไม่ไม่ด้เเบ่งบ่เนื้อนื้หาออกเนบทๆ ไเนนาเเละวนางง ไเนเอหา สาระเยวบเอกสารเเละงานย เยวอง โดยวอางๆ ดหนหอปบเปยนไตามความเหมาะสม เเละเอหาสาระอาจาเสนอเนเเบบนๆ เเไใจความสมร


ขอบคุณครับ รั


Click to View FlipBook Version