The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคำที่มีตัวการันต์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aurai_2525, 2022-03-20 13:28:14

การพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคำที่มีตัวการันต์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5

การพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคำที่มีตัวการันต์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี

1

การพฒั นาทักษะการอา่ นและการเขียนคำทม่ี ตี ัวการันต์
ของนกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 5 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ ปกี ารศึกษา 2564

โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมอื ง จังหวดั สรุ าษฎรธ์ านี

กมลรัตน์ ศรเกษตรินทร์
สุนันทา ชูเจรญิ

กล่มุ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย
ปกี ารศึกษา 2564

โรงเรียนธดิ าแม่พระ อำเภอเมือง จงั หวัดสุราษฎร์ธานี

2

การพัฒนาทกั ษะการอ่านและการเขียนคำทีม่ ีตัวการันต์
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 โดยใชแ้ บบฝึกทักษะ ปกี ารศกึ ษา 2564

โรงเรยี นธิดาแมพ่ ระ อำเภอเมอื ง จังหวดั สุราษฎร์ธานี

กมลรัตน์ ศรเกษตรินทร์
สุนันทา ชเู จรญิ

กลุ่มสาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย
ปกี ารศกึ ษา 2564

โรงเรยี นธดิ าแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสรุ าษฎรธ์ านี

3

กิตติกรรมประกาศ

การทำวิจัยในช้ันเรียนฉบับน้ีผู้จัดทำต้องขอขอบพระคุณคณะผู้บริหาร คณะครูในกลุ่มสาระการ
เรียนรู้ภาษาไทย ตลอดจนคณะครู ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ท่ีได้ช่วยเป็นกำลังใจ และให้คำแนะนำใน
การจัดทำตลอดจนการค้นหาข้อมูลในกระบวนการและขั้นตอนต่าง ๆ ของการทำวิจัยซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญ
ของการดำเนนิ การจดั ทำ

และขอขอบใจนกั เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนธิดาแมพ่ ระ ท่ไี ดใ้ ห้ความรว่ มมือในการ
ดำเนินการทดลองและเก็บขอ้ มลู เปน็ อยา่ งดี จนทำให้งานวิจัยฉบบั นี้สำเรจ็ ลุล่วงลงได้ดว้ ยดี

ผู้จัดทำ
21 มนี าคม 2565

ชือ่ เร่อื ง 4
ช่อื ผู้วิจยั
การพัฒนาทกั ษะการอา่ นและการเขยี นคำทีม่ ตี ัวการันตข์ องนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5
โดยใช้แบบฝกึ ทักษะ ปกี ารศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง
จังหวดั สุราษฎร์ธานี

นางกมลรตั น์ ศรเกษตรินทร์ และ นางสุนันทา ชเู จรญิ

ปที ว่ี จิ ัย 2564

บทคัดย่อ
การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคำที่มีตัวการันต์ของ

นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 และเพื่อสร้าง และพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวการันต์ท่ีมี
ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 โดยศึกษาจากกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ภาค
เรยี นท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎรธ์ านี จำนวน 22 คน
โดยเลือกแบบเจาะจง เคร่ืองมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า คือ แบบฝึกทักษะอ่านและการเขียนคำที่มีตัว
การันต์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทดลองใช้แบบกลุ่มเดียวที่มีการวัดก่อนและหลังการ
ทดลอง สถิตทิ ใ่ี ช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล ใช้ค่าเฉล่ียและค่ารอ้ ยละ

จากผลการศึกษาพบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนคำท่ีมีตัวการันต์ ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ
82.095 /81.14 เป็นไปตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 ทต่ี ้งั ไว้ และผูเ้ รียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 5 มีผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรียนเรือ่ งคำทีม่ ีตัวการนั ต์สงู ขน้ึ คดิ เป็นร้อยละ 81.14

ผลท่ีได้จากการศกึ ษาในครง้ั ไดแ้ บบฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวการันต์ท่ีมีประสิทธิภาพ ผู้เรียนมี
ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนเร่อื งคำทม่ี ตี วั การันตส์ งู ขน้ึ

รายงานการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคำที่มีตัวการันต์โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ในครั้งน้ี ผู้วิจัยต้องการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ ใช้เป็นสื่อประกอบการจัดกิจกรรม
การเรยี นร้กู ลุ่มสาระภาษาไทย

5

สารบญั

บทท่ี 3 หนา้ 4
1 บทนำ
1
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา........................................................................ 2
วตั ถุประสงค์ของการวิจยั ................................................................................................. 2
สมมตุ ฐิ านของงานวจิ ัย................................................................................................... 2
ขอบเขตของการวจิ ยั ....................................................................................................... 2
เนอ้ื หาทีใ่ ช้ในการวจิ ยั .................................................................................................... 2
สถิตทิ ่ใี ช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ....................................................................................... 3
ประโยชน์ที่คาดวา่ จะไดร้ บั ............................................................................................. 3
นิยามศพั ท์เฉพาะ ………………………………………………………………………………………………
2 แนวคิดและทฤษฎีทีเ่ กีย่ วข้อง 5
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้
ภาษาไทยทำไมต้องเรยี นภาษาไทย ............................................................................... 12
หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน
14
พทุ ธศกั ราช 2551.............................................................................................................. 16
19
การจดั การเรยี นรูต้ ามแนวปฏิรูปการศกึ ษาทเี่ น้นผู้เรียนเปน็ สำคญั …………………….………..
21
การสร้างแบบฝึกทกั ษะ……………………………………………………………………………….………… 21
23
งานวิจัยตา่ งประเทศ……………………………………………………………………………………………… 23

3 วิธีการดำเนนิ การวจิ ัย 25
ประชากร.........................................................................................................................
เครือ่ งมือการดำเนนิ การวิจัย.............................................................................................
การเกบ็ รวบรวมข้อมูล……………………………………………………............................................
การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ...........................................................................................................

4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล.....................................................................................................

5 สรปุ ผล อภปิ รายและข้อเสนอแนะ 28
สรปุ ผลการศึกษาคน้ คว้า.................................................................................................. 29
อภปิ รายผล..................................................................................................................... 29
ขอ้ เสนอแนะ....................................................................................................................

บรรณนานุกรม
ภาคผนวก

1

บทท่ี 1

บทนำ

ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2551 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2)พ.ศ. 2551
บัญญัติตาม มาตรา 6 การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพ่ือพัฒนาคนให้ให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ ทั้งร่างกาย
จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับ
ผอู้ นื่ ไดอ้ ย่างมคี วามสุข มาตรา 22 การจดั การศึกษาต้องยึดหลักว่าผ้เู รียนทกุ คนมีความสามารถเรียนรู้
และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษา ต้องส่งเสริมให้
ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มตามศักยภาพ มาตรา 23 การจัดการศึกษา…ต้องเน้น
ความสำคัญท้ังความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ
การศึกษา(4) ความรู้ และทักษะด้านคณิตศาสตร์ และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง…
และ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2551 การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพ่ือพัฒนาคนไทย ให้
เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข เปิดโอกาส ให้สังคม มีส่วนร่วมในการ
จดั การศึกษา พัฒนาสาระ และกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอยา่ งต่อเน่ือง(สำนักงานคณะกรรมการการ
ประถมศึกษาแหง่ ชาติ 2551 : ข)

สถานศึกษาจัดกระบวนการเรียนรทู้ ่ีมุ่งเน้นการฝึกทกั ษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญ
สถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้ป้องกันและแก้ไขปัญหา จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จาก
ประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น ผสมผสานความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วน
สมดุลกัน ปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้
อำนวยความสะดวก เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบรู้ รวมท้ังสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วน
หน่ึงของกระบวนการการเรียนรู้ โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน จัดการเรียนรู้ให้
เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานท่ี จุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาคนไทยให้เป็น
มนุษย์ท่ีสมบูรณ์ เป็นคนดี มีความสุขและมีความเป็นไทย มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบ
อาชพี จึงกำหนดจุดหมายซง่ึ ถือเป็นมาตรฐานการเรยี นรู้ให้ผู้เรยี นเกิดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ข้อ 2.
มีความคดิ สร้างสรรค์ ใฝร่ ู้ ใฝเ่ รยี น รักการอา่ น รกั การเขยี น และรกั การค้นควา้

จากการสอบ LAS ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนธิดาแม่พระ จังหวัดสุราษฎร์
ธานี การประเมินด้านการอ่านคะแนนต่ำท่ีสุดจึงเป็นปัญหาด้านการอ่าน นักเรียนยังขาดการฝึกทักษะ
การอ่านสะกดคำ การท่ีจะทำให้นักเรียนอ่านคำได้น้อยโดยเฉพาะคำท่ีมีตัวการันต์ต้องได้รับการฝึกให้
เกดิ ทักษะจนสามารถอ่านคำนนั้ ได้

ผู้ศึกษาจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 พบว่าทักษะทั้งส่ีที่
จะต้องฝึกควบคู่กันไปคือ ฟัง พูด อ่านและเขียน ทักษะท่ีเป็นปัญหามากที่สุดคือ ทักษะการอ่าน
โดยเฉพาะคำท่ีนำมาฝึกทักษะการอา่ น ท่ีนักเรียนอ่านผิดมากท่ีสุดคอื คำท่สี ะกดด้วยตัวการันต์มีปัญหา
มาก ผู้วิจัยมองเห็นความสำคญั ที่จะได้รับการแก้ไข จงึ สร้างสื่อ นวัตกรรม มาฝึกทกั ษะการอ่านคำที่
มีตัวการันต์มาจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พัฒนาผู้เรียนให้เรียนภาษาไทยอย่างมีความสุขและครูได้พัฒนา
เรียนการสอนภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพยง่ิ ขน้ึ

2

วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย
1. เพื่อสร้างแบบฝกึ ทักษะการอ่านคำทม่ี ตี วั การนั ต์ ของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 5
2. เพอื่ พัฒนาทักษะการอ่านคำท่ีมีตัวการันต์ ของนกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 5

สมมุติฐานการวจิ ัย
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ที่ได้รับการฝึกทักษะการอ่านคำที่มีตัวการันต์โดยใช้แบบฝึก

ทกั ษะ มีพัฒนาการอา่ นคำทมี่ ตี วั การันต์ จากการทดสอบ หลงั เรยี นสงู ขึ้น

ขอบเขตการวิจยั
ประชากร
ประชากร ท่ีใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอ

เมือง จงั หวดั สุราษฎรธ์ านี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปกี ารศกึ ษา 2564
กลุม่ ตวั อยา่ ง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนธิดาแม่พระ

อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 22 คน ได้มาโดยการ
ทดสอบ การอ่านคำที่มีตวั การนั ต์ (ศกึ ษาจากประชากร )

เนอื้ หาทใ่ี ชใ้ นการวิจยั
เน้ือหาท่ีนำมาใช้ประกอบในการทำวิจัยในช้ันเรียนคร้ังน้ีเป็นเนื้อหา ในภาคเรียนที่ 1-2 ปี

การศกึ ษา 2564 เน่ืองจาก นกั เรียนตอ้ งมกี ารอา่ นออกเสยี งทกุ หนว่ ย

สถิติทีใ่ ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู
การหาคา่ เฉลี่ย (Mean) (ดาวเรอื ง รอดเกตุ .2554)

สถติ ิทใี่ ช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
การหาคา่ เฉล่ีย (Mean)

สูตร X =  fx
n

เมอ่ื X คือ คา่ เฉล่ยี ของคะแนน
คือ ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
 fx
คือ จำนวนนักเรียนทงั้ หมด
n

3

การหาผลต่างของคะแนนในการสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี น
สตู ร d = d

n

เมอ่ื d คอื ผลรวมของผลตา่ งของคะแนนในการสอบก่อนเรียน
และหลัง
เรียน

n คือ จำนวนคูข่ องคะแนน

ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะได้รบั
1. ได้แบบฝึกทักษะการพัฒนาการอ่านคำที่มีตัวการันต์ ที่ผ่านการพัฒนาและหาประสิทธิภาพ

จากผู้เช่ียวชาญเรียบรอ้ ยแล้ว
2. โรงเรียนมีแนวทางในการจัดทำแบบฝึกทักษะการพัฒนาการอ่านคำที่มีตัวการันต์พัฒนาชั้น

อ่นื ๆ
3. โรงเรียนสามารถนำแนวทางนี้ไปส่งเสริมให้ครคู นอื่น ๆ ได้นำไปพัฒนากลุ่มสาระอื่นๆได้ตาม

มาตรฐานวชิ าชพี

นิยามศพั ท์เฉพาะ
1. แบบฝึกทักษะ คือ สื่อการเรียนการสอนท่ีใช้ฝึกทักษะ กับผู้เรียนเพื่อให้เกิดความรู้ ความ

เขา้ ใจ รวมทงั้ เกิดความชำนาญในเรอื่ งนน้ั ๆ
2. แบบทดสอบ คือ แบบทดสอบท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น เพ่ือทดสอบนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5

ก่อนและหลังทดลองใชแ้ บบฝึกทกั ษะ
3. การอ่าน คือ เป็นกระบวนการสื่อสารระหว่างผู้อ่าน โดยการอ่านตัวอักษรหรือสัญลักษณ์

โดยใช้ความคิด ความร้สู ึก ความรู้และประสบการณ์เดิมของผู้เขียน เป็นแนวทางในการรับสารเพ่ือให้
ตรงกับการสือ่ ของผอู้ า่ น

4. ตัวการันต์ คือ พยัญชนะท่ีมีเคร่ืองหมาย “ ์ ” (ไม้ทัณฑฆาต) กำกับอยู่ข้างบน ซึ่งเป็น
พยญั ชนะสดุ ท้ายท่ีไมต่ ้องการการอ่านออกเสียง

4

บทที่ 2
เอกสารและผลงานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วข้อง

เอกสารและผลงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับการจัดกิจกรรม การพัฒนากระบวนการเรียนรู้สาระ
ภาษาไทย โดยสร้างแบบทดสอบวัดความรู้ความสามารถก่อนเรียน-หลังเรียนและสร้างแบบฝึกทักษะ
การเขียนคำที่มีตัวการันต์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัย ได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่
เก่ียวข้อง ตามหวั ข้อตอ่ ไปน้ี

1. หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551
2. แนวทางการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนร้ภู าษาไทย
3. การจัดการเรียนรตู้ ามแนวปฏิรปู การศึกษาท่ีเนน้ ผู้เรียนเป็นสำคญั
4. การสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะ
5. งานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะ
1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยทำไม
ตอ้ งเรยี นภาษาไทย
วสิ ยั ทศั น์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซ่ึงเป็นกำลังของชาติให้เป็น
มนุษย์ที่มีความสมดุลท้ังด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพล
โลก ยึดม่ันในการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และ
ทักษะพ้ืนฐาน รวมท้ังเจตคติท่ีจำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดย
มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพ้ืนฐานความเช่ือว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตาม
ศักยภาพ

สมรรถนะของผเู้ รียน
หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน มงุ่ พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน การเรียนรู้

ซ่ึงการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดนั้น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5
ประการ ดังน้ี

1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้
ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพ่ือแลกเปลี่ยนข้อมูล
ข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมท้ังการเจรจาต่อรอง
เพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและ
ความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารท่ีมีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบท่ีมีต่อตนเอง
และสังคม

5

2. ความสามารถในการคดิ เป็นความสามารถในการวิเคราะห์ การคดิ สงั เคราะห์ การคิดอยา่ ง
สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพ่ือนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ
สารสนเทศเพือ่ การตดั สินใจเกยี่ วกับตนเองและสังคมได้อยา่ งเหมาะสม

3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ท่ี
เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ
ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้
ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบท่ีเกิดขึ้นต่อ
ตนเอง สังคมและสิ่งแวดลอ้ ม

4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ิต เปน็ ความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใชใ้ น
การดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรยี นรู้อย่างต่อเนอื่ ง การทำงาน และการอยู่รว่ มกัน
ใน สั งค ม ด้ ว ย ก ารส ร้างเส ริม ค วาม สั ม พั น ธ์อั น ดี ระห ว่างบุ ค ค ล ก ารจัด ก ารปั ญ ห าแล ะ
ความขัดแย้งต่าง ๆอย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปล่ียนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม
และการรู้จกั หลีกเลย่ี งพฤตกิ รรมไมพ่ งึ ประสงค์ทีส่ ง่ ผลกระทบตอ่ ตนเองและผู้อื่น

5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เปน็ ความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยี
ด้านตา่ ง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่ือการพฒั นาตนเองและสังคมในด้านการเรยี นรู้
การสอื่ สาร การทำงาน การแกป้ ัญหาอย่างสรา้ งสรรค์ ถกู ตอ้ งเหมาะสมและมคี ุณธรรม

คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรยี นให้มีคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ เพอื่ ให้
สามารถอยู่ร่วมกบั ผู้อืน่ ในสงั คมไดอ้ ยา่ งมีความสขุ ในฐานะเปน็ พลเมืองไทยและพลโลกดังนี้
1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
2. ซ่อื สตั ย์สจุ ริต
3. มวี ินยั
4. ใฝเ่ รยี นรู้
5. อย่อู ยา่ งพอเพยี ง
6. มงุ่ มน่ั ในการทำงาน
7. รักความเป็นไทย
8. มีจติ สาธารณะ

6

สาระการเรยี นรู้สาระกรยี นรู้
สาระ สาระการเรียนรู้ ประกอบด้วย องค์ความรู้ ทักษะหรือกระบวนการเรียนรู้ และคุณลักษณะ
อนั พึงประสงค์ซ่ึงกำหนดให้ผู้เรียนทุกคนในระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐานจำเป็นต้องเรียนรู้ โดยแบ่งเป็น 8
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ดังนี้

ภาษาไทย : ความรู้ ทักษะ คณิตศาสตร์ : การนำความรู้ วิทยาศาสตร์ : การนำความรู้
แ ล ะ วั ฒ น ธ ร ร ม ก า ร ใช้ ภ า ษ า ทักษะและกระบวนการทาง แ ล ะ ก ร ะ บ ว น ก า ร ท า ง วิ ท ย า -
เพ่ือการส่ือสาร ความช่ืนชม ค ณิ ต ศ าส ต ร์ไป ใช้ ใน ก าร ศ าส ต ร์ ไป ใช้ ใน ก ารศึ ก ษ า
การเห็นคุณค่าภูมิปัญญาไทย แกป้ ัญหา การดำเนนิ ชีวิต ค้นคว้าหาความรู้และแก้ปัญหา
และภูมิใจในภาษาประจำชาติ และศกึ ษาต่อ การมเี หตุมีผล อย่างเป็นระบบ การคิดอย่าง
มี เจ ต ค ติ ท่ี ดี ต่ อ ค ณิ ต ศ า ส ต ร์ เปน็ เหตเุ ป็นผล คิดวิเคราะห์
พัฒนาการคิดอย่างเป็นระบบ คิดสร้างสรรค์ และจิตวิทยา-
และสร้างสรรค์ ศาสตร์

ภาษาต่างประเทศ : ความรู้ องคค์ วามรู้ ทกั ษะสำคัญ สงั คมศกึ ษา ศาสนา และ
ทักษะ เจตคติ และวัฒนธรรม และคุณลักษณะ วฒั นธรรม : การอย่รู ่วมกัน
การใช้ภาษาต่างประเทศในการ ในสงั คมไทยและสังคมโลกอย่าง
สอ่ื สาร การแสวงหาความรู้และ ในหลักสูตรแกนกลาง สันติสุข การเป็นพลเมืองดี
การประกอบอาชีพ การศึกษาขัน้ พื้นฐาน ศรทั ธาในหลกั ธรรมของศาสนา
การเห็นคณุ ค่าของทรัพยากร
และส่งิ แวดลอ้ ม ความรักชาติ
และภมู ิใจในความเป็นไทย

การงานอาชีพและเทคโนโลยี : ศิลปะ : ความร้แู ละทกั ษะ สขุ ศึกษาและพลศึกษา : ความรู้
ความรู้ ทกั ษะ และเจตคติใน ในการคิดริเร่ิม จินตนาการ ทักษะและเจตคติในการสรา้ งเสรมิ
การทำงาน การจดั การ การ ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ง า น ศิ ล ป ะ สุขภาพพลานามัยของตนเอง
ดำรงชีวติ การประกอบอาชีพ สุนทรียภาพ และการเห็น และผู้อ่ืน การป้องกนั และปฏิบัติ
และการใชเ้ ทคโนโลยี คุณค่าทางศลิ ปะ ต่อสิ่งตา่ ง ๆ ที่มผี ลตอ่ สุขภาพ
อย่างถูกวิธแี ละทักษะในการ
ดำเนินชวี ิต

7

การจดั การเรยี นรู้
พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ.2545
มาตรา 22 กำหนดแนวทางในการจัดการศึกษาไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมี
ความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด ฉะน้ันครูผู้สอนและผู้จัดการ
ศึกษาจะต้องเปล่ียนแปลงบทบาทจากการเป็นผู้ชี้นำผู้ถ่ายทอดความรู้ ไปเป็นผู้ช่วยเหลือ ส่งเสริม และ
สนับสนุนผู้เรียน ในการแสวงหาความรู้จากส่ือและแหล่งเรียนรู้ต่างๆ และให้ข้อมูลท่ีถูกต้องแก่ผู้เรียน
เพ่ือนำข้อมลู เหลา่ นน้ั ไปใชส้ รา้ งสรรคค์ วามรขู้ องตน
การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากจะมุ่งปลูกฝัง ด้าน
ปัญญา พัฒนาความคิดของผู้เรียนให้มีความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีวิจารณญาณแล้ว
ยังมุ่งพัฒนาความสามารถทางอารมณ์โดยการปลูกฝังให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของตนเอง เข้าใจตนเองเห็น
อกเหน็ ใจผ้อู ่ืน สามารถแกป้ ัญหาขอ้ ขัดแยง้ ทางอารมณ์ได้อยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม
การเรียนรู้ในสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ มีกระบวนการและวิธีการท่ีหลากหลาย ผู้สอนต้อง
คำนึงถึงพัฒนาการทางด้านร่างกาย และสติปัญญา วิธีการเรียนรู้ ความสนใจ และความสามารถของ
ผู้เรียนเป็นระยะๆ อย่างต่อเน่ือง ดังน้ัน การจัดการเรียนรู้ในแต่ละช่วงชั้นควรใช้รูปแบบวิธีการที่
หลากหลาย เน้นการจดั การเรยี นการสอนตามสภาพจริง การเรียนรู้แบบบูรณาการใช้การวิจัยเปน็ ส่วน
หนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ การเรียนรู้คู่คุณธรรมทั้งต้องพยายามนำกระบวนการการจัดการ
กระบวนการอนุรักษ์และพัฒนาส่ิงแวดล้อม กระบวนการคิดและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไป
สอดแทรกในการเรียนรู้ในลักษณะองค์รวม การบูรณาการเป็นการกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ร่วมกัน
ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยนำกระบวนการเรียนรู้จากกลุ่มสาระเดียวกันหรือต่างกลุ่มสาระการเรียนรู้มา
บรู ณาการในการจัดการเรียนการสอน ซง่ึ จัดได้หลายลักษณะ เช่น การบูรณาการการสอนแบบผู้สอน
คนเดียว การบูรณาการแบบคู่ขนาน การบูรณาการแบบสหวิทยาการ และการบูรณาการการเรียนรู้
แบบโครงงาน

2. หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พทุ ธศกั ราช 2551

1.2.1 สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานกำหนดสาระและมาตรฐานการ

เรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรยี นรู้ ภาษาไทยจำนวน 5 สาระและ 5 มาตรฐาน ดังนี้
สาระท่ี 1 การอา่ น
มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาใน

การดำเนินชวี ติ และมีนสิ ยั รักการอา่ น

8

สาระที่ 2 การเขยี น
มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนส่ือสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราว

ในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้า
อยา่ งมีประสิทธภิ าพ
สาระท่ี 3 การฟัง การดู และการพูด
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณ ญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด
ความรูส้ กึ ในโอกาสตา่ ง ๆ อยา่ งมีวจิ ารณญาณ และสร้างสรรค์
สาระที่ 4 หลกั การใชภ้ าษาไทย
มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษาและพลัง
ของภาษา ภูมปิ ญั ญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเ้ ปน็ สมบตั ิของชาติ
สาระท่ี 5 วรรณคดแี ละวรรณกรรม
มาตรฐาน ท 5.1 เขา้ ใจและแสดงความคิดเห็น วจิ ารณ์วรรณคดี และวรรณกรรมไทยอย่างเห็น
คณุ ค่าและนำมาประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตจริง
คณุ ภาพผู้เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

จบช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 3
 อ่านออกเสียงคำ คำคล้องจอง ข้อความ เร่ืองส้ัน ๆ และบทร้อยกรองง่าย ๆ ได้ถูกต้อง
คล่องแคล่ว เข้าใจความหมายของคำและข้อความท่ีอ่าน ตั้งคำถามเชิงเหตุผล ลำดับเหตุการณ์
คาดคะเนเหตุการณ์ สรุปความรู้ข้อคิดจากเร่ืองท่ีอ่าน ปฏิบัติตามคำส่ัง คำอธิบายจากเร่ืองท่ีอ่านได้
เข้าใจความหมายของขอ้ มลู จากแผนภาพ แผนที่และแผนภูมิ อ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอ และมีมารยาท
ในการอ่าน
 มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด เขียนบรรยาย บันทึกประจำวัน
เขียนจดหมายลาครู เขียนเร่ืองเก่ียวกับประสบการณ์ เขียนเร่ืองตามจินตนาการ และมีมารยาทใน
การเขียน
 เล่ารายละเอียดและบอกสาระสำคัญ ต้ังคำถาม ตอบคำถาม รวมท้ังพูดแสดง
ความคิดความรู้สึกเก่ียวกับเรื่องที่ฟังและดู พูดสื่อสาร เล่าประสบการณ์ และพูดแนะนำ หรือพูด
เชิญชวนใหผ้ ู้อืน่ ปฏิบัติตาม และมมี ารยาทในการฟงั ดู และพูด
 สะกดคำและเข้าใจความหมายของคำ ความแตกต่างของคำและพยางค์ หน้าที่ของคำใน
ประโยค มีทักษะการใช้พจนานุกรมในการค้นหาความหมายของคำ แต่งประโยคง่าย ๆ แต่ง
คำคล้องจอง แตง่ คำขวัญ และเลอื กใชภ้ าษาไทยมาตรฐานและภาษาถิ่นได้เหมาะสมกบั กาลเทศะ
 เข้าใจและสรุปข้อคิดที่ได้จากการอ่านวรรณคดีและวรรณกรรม เพื่อนำไปใช้ในชีวิต-
ประจำวันแสดงความคิดเห็นจากวรรณคดี วรรณกรรมที่อ่าน รู้จักเพลงพื้นบ้าน เพลงกล่อมเด็ก
ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของท้องถ่ิน ร้องบทร้องเล่นสำหรับเด็กในท้องถิ่น ท่องจำบทอาขยานและบทร้อยกรอง
ทีม่ คี ณุ คา่ ตามความสนใจได้

9

จบช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6
 อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้อง อธิบาย
ความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัยของคำ ประโยค ข้อความ สำนวนโวหารจากเร่ืองท่ีอ่าน
เข้าใจคำแนะนำ คำอธิบายในคู่มือต่าง ๆ แยกแยะข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริง จับใจความสำคัญของเร่ือง
ทอี่ า่ นและนำความรคู้ วามคดิ จากเรอ่ื งที่อ่านไปตัดสินใจแก้ปัญหาในการดำเนนิ ชีวติ มีมารยาทและมนี สิ ัย
รกั การอา่ น และเห็นคณุ คา่ ส่ิงทอี่ ่าน
 มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัดและครึ่งบรรทัด เขียนสะกดคำ
แต่งประโยคและเขียนข้อความ ตลอดจนเขียนส่ือสารโดยใช้ถ้อยคำชัดเจนเหมาะสม ใช้แผนภาพ
โครงเรื่องและแผนภาพความคิดเพ่ือพัฒนางานเขียน เขียนเรียงความ ย่อความ จดหมายส่วนตัว กรอก
แบบรายการต่าง ๆ เขียนแสดงความรู้สึกและความคิดเห็น เขียนเร่ืองตามจินตนาการ
อยา่ งสรา้ งสรรค์ และมมี ารยาทในการเขยี น
 พูดแสดงความรู้ ความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังและดู เล่าเรื่องย่อหรือสรุปจากเรื่องท่ีฟังและดู ต้ัง
คำถาม ตอบคำถามจากเรื่องที่ฟังและดู รวมทั้งประเมินความน่าเช่ือถือจากการฟังและดูโฆษณาอย่างมี
เหตุผล พดู ตามลำดับขน้ั ตอนเรอื่ งตา่ ง ๆ อย่างชดั เจน พดู รายงานหรือประเด็นค้นคว้าจาก การฟงั การดู
การสนทนา และพดู โน้มนา้ วได้อยา่ งมีเหตุผล รวมทง้ั มมี ารยาทในการฟัง ดู และพูด
 สะกดคำและเข้าใจความหมายของคำ สำนวน คำพังเพยและสุภาษิต รู้และเข้าใจชนิดและ
หน้าที่ของคำในประโยค ชนิดของประโยค คำภาษาถ่ินและคำภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ใชค้ ำราชา
ศัพท์และคำสุภาพได้อย่างเหมาะสม แต่งประโยค แต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนสี่ กลอนสุภาพ และ
กาพยย์ านี 11
 เข้าใจและเห็นคุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรมท่ีอ่าน เล่านิทานพ้ืนบ้าน ร้องเพลงพ้ืนบ้าน
ของท้องถ่ินนำขอ้ คิดเห็นจากเรื่องทีอ่ า่ นไปประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ิตจริง และทอ่ งจำบทอาขยานตามทีก่ ำหนดได้

จบช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3
 อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้อง เข้าใจความหมาย

โดยตรงและความหมายโดยนัย จับใจความสำคัญและรายละเอียดของสิ่งท่ีอ่าน แสดงความคิดเห็นและ
ข้อโต้แย้งเกย่ี วกับเร่ืองท่อี ่าน และเขียนกรอบแนวคดิ ผังความคิด ย่อความ เขยี นรายงานจากสิ่งท่ีอา่ นได้
วิเคราะห์ วิจารณ์ อย่างมีเหตุผล ลำดับความอย่างมีข้ันตอนและความเป็นไปได้ของเร่ืองท่ีอ่าน รวมท้ัง
ประเมนิ ความถกู ต้องของข้อมลู ท่ใี ช้สนับสนนุ จากเรื่องที่อ่าน

 เขียนส่ือสารด้วยลายมือที่อ่านง่ายชัดเจน ใช้ถ้อยคำได้ถูกต้องเหมาะสมตามระดับภาษา
เขียนคำขวัญ คำคม คำอวยพรในโอกาสต่าง ๆ โฆษณา คติพจน์ สุนทรพจน์ ชีวประวัติ อัตชีวประวัติ
และประสบการณ์ต่าง ๆ เขียนย่อความ จดหมายกิจธุระ แบบกรอกสมัครงาน เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์
และแสดงความรคู้ วามคดิ หรอื โต้แยง้ อย่างมเี หตผุ ล เขียนรายงานการศึกษาค้นควา้ และเขยี นโครงงาน

 พูดแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินสิ่งท่ีได้จากการฟังและดู นำข้อคิดไป
ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ มี

10

ศิลปะในการพูด พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และพูดโน้มน้าวอย่างมีเหตุผล
น่าเชอ่ื ถอื มีมารยาทในการฟัง ดู และพูด

 เข้าใจและใช้คำราชาศัพท์ คำบาลีสันสกฤต คำภาษาถ่ิน คำภาษาต่างประเทศ คำทับศัพท์
และศัพทบ์ ัญญัติในภาษาไทย วิเคราะห์ความแตกตา่ งในภาษาพดู ภาษาเขยี น โครงสร้างของประโยครวม
ประโยคซ้อน ลักษณะภาษาที่เป็นทางการ ก่ึงทางการและไม่เป็นทางการ แต่งบทร้อยกรองประเภทกลอน
สภุ าพ กาพย์ และโคลงสส่ี ภุ าพ

 สรุปเน้อื หาวรรณคดีและวรรณกรรมท่ีอ่าน วิเคราะห์ตวั ละครสำคัญวิถชี ีวิตไทย และคุณค่า
ท่ีได้รับจากวรรณคดี วรรณกรรมและบทอาขยานพร้อมท้ังสรุปความรู้ ข้อคิดเพ่ือนำไปประยุกต์ใช้ ใน
ชีวติ จริง

1.2.2 ความสำคัญของภาษาไทย
กรมวิชาการ (2544) กล่าวถึง ความสำคัญของภาษาไทยไว้ว่า ภาษาไทยเป็น

เอกลักษณ์ของชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ เป็นเครื่องมือในการ
ติดต่อสื่อสาร ทำให้ส่ือท่ีแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวฒั นธรรม ประเพณี และสุนทรยี ภาพโดย
บันทึกเป็นวรรณคดีอันล้ำค่า ควรแก่การเรียนรู้ เพื่ออนุรักษ์ให้สืบสานคงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป
ภาษาไทยจึงมีความสำคัญ จำเป็นที่คนไทยทุกคนจะต้องศึกษาจนเกดิ ทักษะเพ่ือให้ติดต่อระหว่างชนใน
ชาติ ในทน่ี ยี้ ังได้ประมวลความสำคัญของภาษาไทยไว้ ดังน้ี

1.2.2.1 ภาษาไทยเป็นเคร่ืองมือในการติดต่อสื่อสาร เมื่อคนเรามีความคิด
มีความรู้สึก มีอารมณ์ มีความต้องการ จึงมีความต้องการท่ีจะถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก เราก็จะ
ใช้ภาษาในการส่ือความหมายไปสู่คนอื่นได้โดยการพูด การเขียน รวมท้ังใช้ภาษาทำความเข้าใจ
เรื่องราวด้านความคดิ ความรสู้ ึก ความตอ้ งการ กบั ผู้อื่นได้ดว้ ยการฟงั การอ่าน และการดู

1.2.2.2 ภาษาเป็นเคร่ืองมือในการเรียนรู้ ความรู้และประสบการณ์อันมี
คุณค่าของบรรพบุรุษได้บันทึกและบอกเล่าต่อ ๆ กันมา คนรุ่นหลังสามารถแสวงหาความรู้เหล่าน้ันได้
โดยการฟัง การอ่านและการดู จากบุคคล จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ภาษาจะช่วยพัฒนาสติปัญญา
กระบวนการคิด การวิเคราะห์ การวิจารณ์ จนเกิดเป็นความรู้ใหม่ ภาษายังเป็นเคร่ืองมือในการรับ
และถ่ายทอดวัฒนธรรม ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรมท่ีพึงประสงค์จากคนรุ่นก่อน และจากสังคม
เพอื่ ปลูกฝงั และหล่อหลอมใหเ้ ป็นผมู้ คี ณุ ลกั ษณะที่เหมาะสมตามทส่ี ังคมคาดหวงั

1.2.2.3 เปน็ เคร่ืองมือเสริมสร้างความเข้าใจอนั ดีต่อกัน การอยู่รว่ มกันเป็น
สังคมที่มีสันติสุขน้ัน สมาชิกมีความเข้าใจอันดีต่อกัน การใช้ภาษาส่ือความหมายให้ชัดเจนย่อมจะ
ก่อให้เกิดความเข้าใจท่ีดีต่อกัน เกิดความร่วมมือของคนในสังคมไม่สร้างปัญหา และความแตกแยกใน
สงั คม และอย่รู ว่ มกนั อยา่ งสันติสุข

1.2.2.4 ภาษาไทยเป็นเคร่ืองมือสร้างเอกภาพของชาติ สังคมจะเป็นปึกแผ่น
มัน่ คงเจรญิ คนในสังคมจะต้องมีความผูกพันตอ่ กันเป็นพวกพ้องเดียวกนั เพราะคนไทยมีภาษาไทยเป็น

11

ภาษากลางยึดเหนี่ยวผูกพันให้เป็นเช้ือชาติเดียวกัน เกิดความเป็นเอกภาพของชาติ เป็นพลังทำให้เกิด
ความปรองดอง และร่วมมือกันที่จะพัฒนาชาตไิ ทยใหเ้ จรญิ กา้ วหนา้ มน่ั คงตอ่ ไป

1.2.2.5 ภาษาไทยเป็นเคร่ืองมือช่วยจรรโลงใจ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ท่ี
ต้องการได้รับความจรรโลงใจในชีวิตอยู่เสมอ เช่น วัยเด็กก็ต้องการเสียงเห่กล่อม เม่ือโตข้ึนฟัง
เสยี งเพลง ฟังนทิ าน นยิ าย บทกวี บันเทิงคดี คำอวยพร สุภาษิต ฯลฯ ซึ่งผู้ประพันธ์ได้สรรถ้อยคำ
อันประณีต ไพเราะ และมขี อ้ คดิ ลึกซง้ึ เปน็ ภาษาเรียงร้อยใหเ้ กิดความจรรโลงใจแกผ่ อู้ ่าน และผ้ฟู งั

การสอนภาษาไทยในปัจจุบันเปล่ียนแนวคิดไปจากเดิม ไม่เน้นการอ่าน
ออกเสยี งได้เพียงอยา่ งเดยี ว แตจ่ ะเน้นการสอนภาษาเพ่ือการสื่อสารกับผอู้ ่ืนอย่างมีประสทิ ธภิ าพ และ
ใชภ้ าษาในการแก้ปัญหาในการดำรงชีวิตและปญั หาของสงั คม เน้นการสอนภาษาในฐานะเครื่องมือของ
การเรียนร้เู พื่อให้ผู้เรียนสามารถแสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง สามารถนำความร้มู าใช้ในการพัฒนาตนเอง
นอกจากนั้นยังต้องสอนภาษา เพ่ือพัฒนาความคิด ผู้เรียนท่ีมีความคิดจะต้องมีประสบการณ์ และ
ประมวลคำมากพอทจี่ ะสร้างความคดิ ให้ลึกซง้ึ

2.3.1 หลกั การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรกู้ ลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
การวัดและประเมินผลกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พทุ ธศกั ราช 2544 โดยท่วั ไปจะดำเนินการเช่นเดียวกับกลมุ่ สาระอืน่ ๆ ดังนี้
1. ประเมินและตัดสนิ ผลการเรียนรู้เป็นรายกลมุ่ กล่มุ สาระการเรียนร้/ู รายวชิ าท่เี พิม่ เตมิ
2. ประเมินโดยยดึ ผลการเรียนรูท้ ีค่ าดหวังของกลุ่มสาระการเรยี นร้ภู าษาไทย
3. ประเมนิ ด้วยวธิ ีการที่หลากหลาย เน้นการประเมนิ ตามสภาพจรงิ
4. ต้องมกี ารประเมินผลการเรียนรู้ที่คาดหวงั ทุกขอ้
5. การผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ กล่มุ สาระการเรียนรู้ต้องมผี ลการประเมินผล

การเรียนรทู้ ค่ี าดหวงั ผา่ นเกณฑข์ ้ันต่ำทกุ ขอ้
6. จัดซอ่ มเสรมิ ผ้เู รียนทไ่ี ม่ผา่ นเกณฑป์ ระเมิน และประเมินหลงั การซ่อมเสริม
7. ผเู้ รียนตอ้ งเรียนซำ้ ในกลมุ่ สาระการเรยี นรูท้ ่ที ำการซ่อมเสรมิ และไม่ผา่ นเกณฑ์การประเมิน
2.3.2 หลกั การประเมนิ ผลการเรียนรู้
การประเมินผลการเรยี นภาษาไทยมีเปา้ หมายสำคัญเพ่ือนำผลการประเมิน
ไปพัฒนาผเู้ รียนให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ หรือผลการเรียนรูท้ ่คี าดหวงั ท่ีกำหนดไว้ โดยนำผลการ
ประเมินไปปรับปรุง แก้ไข ส่งเสริมการเรียนรู้ และพัฒนาผู้เรยี น นำไปปรับปรุงแก้ไขการจดั กระบวนการ
เรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน รวมทั้งนำผลไปใช้ในการพิจารณาตัดสินความสำเร็จของผู้เรียน
การดำเนินการวัดและประเมินผลดังกล่าว สถานศึกษาต้องดำเนินการท้ังในระดับช้ันเรียนและในระดับ
สถานศกึ ษา การทจ่ี ะดำเนินการวดั และประเมนิ ผลภาษาไทยใหม้ ปี ระสิทธิภาพ
ได้ขอ้ มลู ท่มี ีคณุ ภาพไปใช้ตามวตั ถุประสงค์ของการประเมิน มหี ลกั การท่สี ำคัญดังน้ี

12

(1) การประเมนิ ผลท่มี ปี ระสิทธิภาพตอ้ งสง่ เสริมการเรยี นรขู้ องผเู้ รียน
ภาษาไทยเปน็ วิชาทกั ษะ ดังนนั้ การจัดกจิ กรรมการเรียนร้จู งึ เนน้ การพัฒนา ทกั ษะตาม

กระบวนการเรียนรู้และควบคู่ไปกับการวัดและประเมินผล ครูผู้สอนต้องประเมินผลการเรียนรู้ของ
ผเู้ รียนตั้งแต่ต้นจนจบการเรียนรู้แต่ละหนว่ ยการเรียน โดยตรวจสอบความรู้เปน็ ระยะสม่ำเสมอมิใช่การ
วัดและประเมินผลหลังจบการเรียนรู้เพียงครั้งเดียว การประเมินเพื่อตรวจสอบพ้ืนฐานการประเมิน
ระหว่างเรียนต้องประเมนิ หลาย ๆ ครั้ง หลายกจิ กรรม และการประเมินเมือ่ จบบทเรียน เพอ่ื ให้ได้ข้อมูล
ของผู้เรียนทถี่ ูกต้อง ชัดเจน แสดงถงึ กา้ วหนา้ จุดเด่น จดุ ด้อย ขอ้ บกพร่องท่ีผเู้ รียนควรได้รับการสง่ เสริม
ปรับปรุง พัฒนา และดำเนินการได้ทันท่วงที จะเป็นการประเมนิ ท่ีสามารถส่งเสรมิ การเรียนรู้แก่ผู้เรียน
ได้เป็นอย่างดี

(2) การประเมนิ ผลต้องใช้ข้อมูลจากแหลง่ ขอ้ มลู ทีห่ ลากหลาย
การประเมินท่ีนำข้อมลู จากแหลง่ ขอ้ มูลหลาย ๆ แหล่ง หรือจากการวัดหลาย ๆ ครั้ง หลาย ๆ
วิธี มาสังเคราะห์สรุป จะได้ข้อมูลท่ีสรุปได้ หรือเป็นสภาพจริงมากกว่าข้อมูลการประเมินจากแหล่ง
เดียว เช่น การประเมินการอ่านออกเสียงของผู้เรียนจากการอ่านคร้ังเดียว จากบทอ่านบทเดียว ไม่
อาจสรปุ ได้อย่างแท้จรงิ ว่า ผู้เรียนมีความสามารถในการอา่ นออกเสียงในระดับใดจะต้องประเมิน หรือ
สังเกตจากการอ่านหลายคร้ังจากการอ่านบทอ่านที่หลากหลายออกไป แล้วจึงนำมาสรุปจึงจะเช่ือได้ว่า
ผู้เรยี นมคี วามสามารถในระดบั ใด
(3) การประเมนิ ตอ้ งมีความเทีย่ งตรง เชอ่ื ถือได้ และมีความเป็นธรรมเคร่อื งมือทใ่ี ชป้ ระเมนิ ผล
การเรียนรู้มีความสำคัญที่จะทำให้ผลการเรียนรู้มีความเท่ียงตรงน่าเช่ือถือ ครูผู้สอนจึงต้องพยายามใช้
เครื่องมอื ท่ีมีคุณภาพ และใช้เครื่องมือใหถ้ ูกต้องเหมาะสม เคร่อื งมือทด่ี ีมีคณุ สมบตั ิ คือ ความเท่ียงตรง
และมคี วามเช่ือมน่ั สงู ความเท่ยี งตรงของเครือ่ งมือเป็นผลเนื่องมาจากการใช้เครื่องมือวัดผลการเรียนรู้
ที่สามารถวัดส่ิงท่ีต้องการวัดได้อย่างตรงตามสภาพจริง เช่น ต้องการทราบระดับความสามารถในการ
พูดของผู้เรยี น ต้องใช้วิธีการสังเกตการณ์พูดของผู้เรียนตามสภาพจริง หากใช้เครื่องมือประเมนิ การพูด
ของผู้เรียนโดยให้ผู้เรียนเขียนตอบความรู้เกี่ยวกับการพูด ข้อเขียนดังกล่าวไม่สามรถสะท้อน
ความสามารถในการพูดของผู้เรียนได้ครบถ้วนสมบูรณ์ เช่น การออกเสียงตามอักขรวิธี บุคลิกภาพใน
การพูด ลีลาการพูด ฯลฯ การประเมินดังกล่าวย่อมขาดประสิทธิภาพในการประเมิน ในด้านความ
เช่ือมั่น หมายถึง ความเช่ือถือได้ของผลการประเมินท่ีได้ เครื่องมือท่ีมีความเช่ือมั่นจะมีผลการประเมิน
อยู่ในระดับคงที่ ไม่ว่าจะเป็นการประเมินท่ีผู้ประเมินคนเดียวหรือ หลายคน วิธีการที่จะทำให้ผลการ
ประเมินมีความเช่ือถือได้มากขึ้น คือ การกำหนดเกณฑ์การประเมินให้ชัดเจนและเหมาะสม สำหรับ
ความเป็นธรรมเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกคนได้แสดงความสามารถได้เต็มท่ี และเท่าเทียมกัน
พร้อมทง้ั การประเมินน้ันสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ เช่น ประเมินการเขียนกลอนสุภาพ ผู้เรียน
ต้องผา่ นการเรียนรู้การเขยี นกลอนสุภาพมาแลว้ เป็นตน้

13

2.3.3 แนวปฏิบัติการวัดและประเมนิ ผลกลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
การวัดและประเมนิ ผลกลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย จัดได้เป็น 3 ระดบั คอื

1) การวัดและประเมินผลระดับชน้ั เรียน
2) การวัดและประเมนิ ผลระดับสถานศึกษา
3) การวดั และประเมนิ ผลระดบั ชาติ
1. การวัดและประเมนิ ผลระดับชัน้ เรียน
การวัดและประเมนิ ผลในระดับน้ี เปน็ การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้
ของผู้เรียนระหว่างเรียน มีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าด้านความรู้ ทักษะ กระบวนการ
ค่านยิ มอันพงึ ประสงค์จากการรว่ มกจิ กรรมการเรียนการสอน หรือกิจกรรมพฒั นาผู้เรียนกิจกรรมต่าง ๆ
ผลจากการประเมินในระดับนี้ ผู้เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียนกระบวนการเรียนรู้และ
ใช้ประกอบในการตัดสิผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นในด้านตา่ ง ๆ ของผู้เรียนประกอบดว้ ย
(1) การประเมินก่อนเรียน
เพือ่ ตรวจสอบขอ้ มลู สารสนเทศของผู้เรยี นสำหรบั นำไปจัดเตรยี มกิจกรรม
การเรียนการสอนให้สอดคลอ้ งกบั พ้ืนฐานและคุณลักษณะของผู้เรียน มี 2 ลักษณะ คือ

1) การประเมนิ ความพรอ้ มพน้ื ฐานของผู้เรียนเพื่อตรวจสอบ
ความรู้ทักษะความพร้อมต่าง ๆ ที่เป็นพื้นฐานของเรื่องใหม่ที่จะเรียน โดยใช้วิธีท่ีเหมาะสม และนำผล
มาใชป้ รบั ปรุง ส่งเสริม หรือเตรียมตัวผเู้ รยี นใหพ้ ร้อมทีจ่ ะเรียน
มแี นวดำเนินการดงั น้ี

1) วเิ คราะหค์ วามรู้ ทกั ษะ และพ้นื ฐานของเรื่องทจ่ี ะเรียน
2) เลือกวธิ ีการ/จัดทำเครอื่ งมือประเมินทเ่ี หมาะสม มปี ระสทิ ธภิ าพ
3) ดำเนินการประเมินความรแู้ ละทักษะของผเู้ รยี น
4) นำผลการประเมนิ ไปใชต้ ามวตั ถุประสงค์
2) การประเมนิ ความรอบรใู้ นเรอ่ื งท่จี ะประเมนิ เพ่ือตรวจสอบว่าผเู้ รียนมี
ความรู้ ทักษะในเร่ืองท่ีจะเรียนมากน้อยเพียงใดสำหรับใช้เป็นข้อมูลเบ้ืองต้น
ในการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนใหเ้ หมาะสมกับผเู้ รยี นแต่ละคน มแี นวปฏบิ ตั ิดงั น้ี
1) วิเคราะหค์ วามรู้ ทักษะของเร่ืองทีผ่ ู้เรยี นตอ้ งรหู้ รือท่ีจะสอน
2) เลือกวิธกี าร/เครื่องมอื ประเมิน
3) ประเมนิ ผู้เรียนดว้ ยวิธกี ารและเครื่องมอื ทีก่ ำหนดก่อน จัดการเรียนรู้

14

(2) การประเมินระหวา่ งเรยี น
เป็นการประเมินเพ่ือมุ่งตรวจสอบพัฒนาการของผู้เรียนว่า บรรลุผลการเรียนรู้ท่ี

คาดหวงั มากน้อยเพยี งใด เพอ่ื นำไปสู่การปรับปรงุ แกไ้ ขข้อบกพร่องของผู้เรียน การจัดการเรียนรู้รวมท้ัง
อาจนำไปใช้เป็นสว่ นหนงึ่ ของการสรุปผลการเรียนรู้ แนวทางการปฏบิ ัติในการประเมินระหว่างเรียนอาจ
ดำเนินการ ดงั น้ี

1) วางแผนการสอนและการประเมินระหว่างเรียนให้สอดคล้อง แผนการ
จัดการเรยี นรคู้ วรระบภุ าระงานทจ่ี ะทำใหผ้ ู้เรยี นบรรลผุ ลการเรียนรู้ทคี่ าดหวัง

2) เลือกวธิ ีประเมินท่ีสอดคลอ้ งกบั ภาระงาน หรอื กจิ กรรมหลักทกี่ ำหนดให้
ผเู้ รยี นปฏิบตั ิ วธิ ีการทเ่ี หมาะสมในการประเมินระหวา่ งเรียน ไดแ้ ก่ การประเมนิ จากส่ิงทผี่ เู้ รียนได้แสดง
ให้เห็นว่า มีความรู้ ทักษะ และความสามารถ มีคุตามที่จัดการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ วิธีการที่
สามารถเลือกใช้ได้ เช่น การประเมินจากการสื่อสารส่วนบุคคล โดยการสนทนาเพ่ือประเมินความรู้
การอ่านบันทึกเหตุการณ์ขอณลักษณะอันพึงประสงค์อันผลจากการเรียนรู้งผ้เู รียน การประเมินจากการ
ปฏิบัติ การประเมินจากกิจกรรมหรืองานทมี่ อบหมายให้ปฏิบตั ิ ซงึ่ จะต้องกำหนดภาระงานและเกณฑ์
ให้คะแนน (Rubrics) อย่างชัดเจน การประเมินจากสภาพจริง การประเมินโดยแฟ้มสะสมงาน เป็น
ต้น

3) กำหนดสัดสว่ นการประเมนิ ระหวา่ งเรียนกับการประเมนิ ผล ปลายภาค
เรียนหรือปลายภาค โดยควรกำหนดให้นำหลักสำคัญการประเมิน ระหว่างเรียนมากกว่าปลายปีหรือ
ปลายภาค เน่ืองจากการประเมินระหว่างเรียนสามารถ นำผลมาพัฒนา ปรับปรุง แก้ไขในการจัดการ
เรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้ทันท่วงที และต้องนำผลระหว่างเรียนไปใช้ในการตัดสินผลปลายปีด้วย ทั้งนี้จะ
เปน็ ไปตามระเบียบสถานศึกษาเปน็ ผกู้ ำหนด

4) จัดทำเอกสารบนั ทึกข้อมูลการประเมินหรือสารสนเทศ ของผู้เรยี นระหว่าง
เรียนเป็นระบบชัดเจน เพ่ือเป็นแหล่งข้อมูลในการปรับปรุง ส่งเสริมผู้เรียน และใช้เป็นหลักฐานในการ
สอ่ื สาร ตรวจสอบผลการเรียนรขู้ องผเู้ รยี น

(3) การประเมนิ สรุปผลการเรียนหลงั เรียน
การประเมินผลหลังเรียน เป็นการประเมินผู้เรียนเม่ือจบ เรื่องท่ีเรียน เพ่ือ

ตรวจสอบว่า ผู้เรียนเกิดจากการเรียนรู้ตามผลการเรียนท่ีคาดหวังหรือไม่นำไปเปรียบเทียบกับการ
ประเมินก่อนเรียน เป็นการศึกษาพัฒนาการหรือความก้าวหน้าของผู้เรียน แล้วนำมาแก้ไข ปรับปรุง
และพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแนวทางของการจัดทำวิจัยในชั้นเรียน แนวปฏิบัติในการประเมินผล
หลังเรียนอาจดำเนินการได้ดังนี้

1) วางแผนการประเมิน โดยกำหนดเป้าหมายในการตรวจสอบ วิธีการ และ
เคร่ืองมือที่จะใชใ้ ห้สอดคล้องกับแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ และ การประเมนิ กอ่ นเรยี น

15

2) ประเมินผู้เรยี นตามวัตถุประสงค์ และนำข้อมูลไปใช้ ในการปรับปรุง แก้ไข
และพฒั นาผู้เรียนให้บรรลุผลการเรยี นรทู้ ี่คาดหวงั หรือจดุ ประสงค์ของการเรยี น

3) ปรบั ปรงุ แกไ้ ขวิธเี รียนของผู้เรียนใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพยง่ิ ขึ้น
4) ปรับปรงุ แก้ไข และพัฒนาการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน
2) การวัดและประเมนิ ผลระดบั สถานศกึ ษา
การประเมินผลการเรียนรู้ในระดับสถานศึกษา เป็นการประเมินเพื่อ
ตรวจสอบความก้าวหน้าของผู้เรยี นเป็นรายปีและรายช่วงช้ัน สถานศึกษาจะนำข้อมูลจาการประเมินไป
ใชใ้ นการปรบั ปรงุ พัฒนาการเรยี นการสอน และพฒั นาคุณภาพของผูเ้ รียน และนำไปใช้ในการตดั สินผล
การเรียนรู้รายกลุ่มสาระ และตัดสินการเลื่อนช่วงชั้นของผู้เรียน การดำเนินการประเมินผลระดับ
สถานศึกษาในกล่มุ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย มแี นวปฏิบัตดิ ังน้ี
(1) กำหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปีของกลุ่มสาระ การเรียนรู้ตามหลัด
สูตรสถานศึกษาให้ชดั เจน
(2) กำหนดเกณฑส์ ำหรับตัดสนิ ประเมนิ การผา่ นผลการเรียนรู้ ท่ีคาดหวังเป็น
รายข้อโดยเนน้ เกณฑ์เชงิ คุณภาพ
(3) กำหนดเกณฑ์การประเมินให้ระดับผลการเรียนรู้ระดับกลุ่มสาระการ
เรยี นรูร้ ายปี
(4) ประเมินผลการเรียนรู้ระหว่างเรียน (การประเมินระดับช้ันเรียน) เพ่ือ
สะสมผลการเรยี น ส่วนหนึ่งสำหรบั ประกอบการสรุปผลประเมินผลในระดบั สถานศกึ ษา
(5) ประเมินผลการเรยี นกล่มุ สาระการเรียนรูร้ ายปเี ม่อื ส้นิ ปี
(6) ประเมินสรุปตัดสนิ ผลการเรียนรรู้ ายปี และการผ่านช่วงช้ันตามเกณฑ์ที่
กำหนด
3) การวัดและประเมนิ ผลระดับชาติ
การประเมินผลระดับชาติ เปน็ การประเมินคุณภาพ ทางการศกึ ษาใน
ระดบั ชาตขิ องผู้เรยี นทกุ คนในปีสุดท้ายของแตล่ ะชว่ งชัน้ คอื ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 3 ชั้นประถมศกึ ษา
ปีท่ี 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 และช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจะกำหนดให้มีการ
ประเมินในกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆตามความจำเป็น เป็นรายปี ข้อมูลจาการประเมินจะนำไปใช้ใน
การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน คุณภาพ การจัดการศึกษาของสถานศึกษา และคุณภาพการศึกษาใน
ระดับชาติ สำหรบั กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยเปน็ กล่มุ สาระ การเรียนรู้
ท่ีเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ มีความจำเป็นที่ผู้เรียนต้องมีความรู้ ความสามารถ และทักษะทาง
ภาษา จึงเป็น กลุ่มสาระพ้ืนฐานที่จะได้รับการประเมนิ ทุกปี สำหรบั แนวปฏิบตั ิในการประเมิน ระดับ
นี้ สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนเข้ารับการประเมินและกระตุ้นให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถในการ
ประเมนิ อย่างเต็มศกั ยภาพ เพ่อื จะได้ข้อมูลทางคณุ ภาพท่ีเปน็ จรงิ และเป็นประโยชนอ์ ย่างแท้จริง

16

2.4 การจัดการเรียนรู้ตามแนวปฏริ ปู การศึกษาทเ่ี น้นผู้เรยี นเปน็ สำคัญ
การจัดการเรียนรู้ตามแนวปฏิรูปการศึกษาท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญนักการศึกษาไทย มีแนวคิด

เกย่ี วกบั การจดั ประสบการณ์เรยี นรูท้ เ่ี นน้ ผู้เรียนเปน็ สำคญั ไวด้ งั นี้
ดร.สงบ ลักษณะ กล่าวถงึ การจัดการเรียนการสอนท่ีควรจะเป็นไว้ว่า ควรเป็นการเรียนการ

สอนท่ีนักเรียนได้รับการยอมรับนบั ถือในการเป็นเอกัตบคุ คล ได้เรียนวิธที ีเ่ หมาะสมกับความสามารถ ได้
เรียนส่ิงท่ีตนสนใจ ต้องการมีประโยชน์ ได้ปฏิบัติตามการบวนการเพ่ือการเรียนรู้ ได้รับการเอาใจใส่
ประเมิน และชว่ ยเหลอื เป็นรายบุคคล และได้รบั การพัฒนาเตม็ ศกั ยภาพ และสำเร็จตามอตั ภาพ

ดร.โกวิท ประวาลพฤกษ์ อธิบายไว้ว่า กระบวนการเรียนรู้ตามหลักสูตร หมายถึงกระบวร
การใด ๆ ที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการ เช่นกระบวนการกลุ่มทักษะกระบวนการ 9 ข้ัน
กระบวนการสร้างความตระหนกั กระบวนการสร้าง
เจตคติ ฯลฯ

การจัดการเรียนรู้ตามแนวปฏิรูปการศึกษาท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีหลักการและแนวคิด
ข้อดี แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน กิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อจัดประสบการณ์
เรยี นรทู้ ่ีเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคญั

2.4.1 หลักการและแนวคิดในการจัดประสบการณ์เรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ วัฒนาพร
ระงับทุกข์ (2541) : 50 – 52 ได้กล่าวว่า จากปรัชญาการศึกษาที่เน้นความสำคัญของผู้เรียน จนถึง
ทฤษฎีการเรยี นรู้กลุ่มหลัก ๆ และทฤษฎีการเรียนรู้ท่ีประยุกต์สู่การจัดการเรียนการสอนท่ีเสนอข้างต้น
จะเห็นได้ว่า แนวคิดการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีเน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง ได้พัฒนาอย่าง
ต่อเนอ่ื งยาวนาน และมัน่ คง จนเป็นภาพท่เี ด่นชัดในปจั จบุ นั ว่า แนวทางนีเ้ ปน็ ยุทธศาสตร์หลักท่ีจะนำพา
การจัดการศึกษาไปสู่เป้าหมาย น่ัน คือ การพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะเฉพาะที่เหมาะสมสำหรับการ
เป็นประชากรยคุ โลกาภิวัตน์

2.4.2 หลักการเรยี นรูท้ เี่ น้นผ้เู รียนเป็นศูนยก์ ลางของการเรยี น
(1) การเรียนเป็นกระบวนการท่ีควรเป็นไปอย่างมีชีวิตชีวา ดังน้ันผู้เรียนจึงควรมี

บทบาทรับผิดชอบตอ่ การเรยี นรขู้ องตน และมสี ว่ นร่วมในกิจกรรมการเรยี นการสอน
(2) การเรียนรู้เกิดข้ึนไดจ้ ากแหล่งต่าง ๆ กัน มิใชจ่ ากแหล่งใด แหลง่ หนึ่งเพียงแหล่ง

เดยี ว ประสบการณ์ความรู้สึกนกึ คดิ ของแต่ละบคุ คล ถอื ว่าเปน็ แหลง่ การเรียนรูท้ ่ีสำคญั
(3) การเรียนรู้ท่ดี ตี อ้ งเป็นการเรยี นรู้ที่เกิดจากความเข้าใจ จึงจะชว่ ยให้ผูเ้ รยี นจดจำ

และสามารถใช้การเรียนรู้นั้นให้เป็นประโยชน์ได้ การเรียนรู้ท่ีผู้เรียน เป็นผู้ค้นพบด้วยตนเองน้ัน มีส่วน
ทำให้เกิดความเขา้ ใจลึกซงึ้ และจดจำไดด้ ี

17

(4) การเรียนรู้กระบวนการเรียนรู้น้นั มีความสำคญั หากผเู้ รียนเขา้ ใจ และมีทักษะใน
เรอื่ งนแ้ี ล้ว จะสามารถใช้เปน็ เครื่องมอื ในการแสวงหาความรู้ และคำตอบต่างๆ ท่ตี นตอ้ งการ

(5) การเรียนรูท้ มี่ ีความหมายแก่ผู้เรยี น คือ การเรยี นรทู้ ีส่ ามารถนำไปใชใ้ น
ชวี ิตประจำวนั

2.4.3 ข้อดขี องการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นร้ทู ี่เนน้ ผู้เรียนเป็นสำคญั
ในการจัดประสบการณ์ หรือกิจกรรมการเรียนรู้ หากครูผู้สอนหรือ ผู้ท่ีเก่ียวข้องยึด

หลักการแนวคดิ ดังที่ไดก้ ล่าวมา การเรยี นรู้ของผเู้ รยี นจะเปน็ ไปอย่างมีประสิทธภิ าพผลเนอ่ื งจาก
(1) ผู้เรียนมีโอกาสพัฒนาศักยภาพของตน เพราะผู้เรียนแต่ละคนต่างก็มีความคิด
ความเหน็ ประสบการณ์ และความชำนาญดา้ นต่าง ๆ ติดตัวมาด้วยกันทกุ คน จะ
มากน้อยต่างกัน การที่ผู้เรียนได้มีโอกาสร่วมแสดงความรู้สึก ความคิดเห็น
แลกเปลยี่ นประสบการณ์ซึง่ กันและกันจะเป็นสง่ิ สำคญั ต่อพวกเขามาก
(2) ผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้ประสบการณ์ท่ีเรียนมาก่อนแล้ว เพราะการเรียนการสอนที่
เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางน้ัน กิจกรรมที่จัดในลักษณะปลายเปิดจะช่วยกระตุ้นให้
ผู้เรียนเป็นผู้รับผิดชอบในการเติมรายละเอียดลงไป ดังน้ัน กรอบแนวคิดอัน
เดียวกันอาจจะมีรายละเอียดแตกต่างหลากหลายวิธี เม่ือผู้คิดอยู่ต่างกลุ่มกัน ทำ
ให้คน้ พบสิ่งใหม่ ๆ ข้ึนอกี ได้
(3) ผู้เรียนให้ความสนใจในบทเรียนมากข้ึน เพราะผู้เรียนจะต้องปฏิบัติกิจกรรมที่ครู
มอบหมายและสนใจอยากจะรู้วา่ ตนจะต้องทำอะไรบ้าง เพราะไม่ร้ตู ัวล่วงหน้ามา
กอ่ น
(4) ด้านเน้ือหาวิชาหรือประสบการณ์ต่างกัน ดังนั้นในขณะร่วมทำกิจกรรมด้วยกัน
ผู้เรียนแต่ละคนจะต้องตั้งใจฟังว่าเพื่อนพูดว่าอะไร สามารถช่วยสอนหรือ
แลกเปลีย่ นความรู้กนั ได้ ในดา้ นการทำงานร่วมกนั ผ้เู รียนสามารถดึงความรตู้ ่าง ๆ
ทมี่ อี ยูม่ ารวมกันได้
(5) ผู้เรียนมีความสามัคคีกันในกลุ่ม เพราะในการทำงานรวมกลุ่มกันทุกคนจะต้อง
ช่วยกันทำเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย ดังนั้นผู้เรียนจะต้องช่วยกันทำไม่ใช่แข่งขัน
กนั

2.4.4 แนวทางการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนโดยเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคัญ
วฒั นาพร ระงบั ทกุ ข์ (2542 : 91-92) ได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนไว้

ดังนี้
กิจกรรมการเรียนการสอน คือ สภาพการเรียนท่ีกำหนดเพื่อนำผู้เรียนไปสู่เป้าหมาย

หรือจดุ ประสงค์การเรยี นการสอนที่กำหนดการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเหมาะสม

18

สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา และสภาพแวดล้อม การเรียนรู้ด้านต่าง ๆ จึง
เปน็ ความสามารถและทักษะของครูมืออาชพี ในการจดั การเรยี นการสอนทม่ี ปี ระสทิ ธิผล
2.4.5 กจิ กรรมการเรยี นการสอนทเ่ี นน้ ผู้เรยี นเป็นสำคญั
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ หรือเป็นศูนย์กลาง คือ กิจกรรมท่ีมี
ลักษณะดงั น้ี

1)ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ค้นพบและสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Construct) โดยค้นคว้าหา
ความรู้จากแหล่งตา่ ง ๆ ทำความเข้าใจ และสร้างความของสาระข้อความรู้ใหแ้ ก่ตนเอง ค้นพบข้อความรู้
ด้วยตนเอง

2)ส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนได้คิด ทำ และแสดงออก (Performance) เพ่ือแก้ปญั หาหรือสรา้ ง
ผลงาน

3) ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับเพ่ือนหรือกลุ่ม (Interaction) ได้เรียนรู้จากกัน
แลกเปล่ียนข้อมลู ความรู้ ความคิดและประสบการณแ์ ก่กันและกันให้มากที่สดุ เทา่ ทจี่ ะทำได้

4) สง่ เสรมิ ใหผ้ ้เู รยี นรูแ้ ละปฏิบัตอิ ยา่ งมีขนั้ ตอนหรือเปน็ กระบวนการ (Process)
5) สง่ เสริมใหผ้ เู้ รยี นมผี ลงานจากการปฏิบัติ (Product)
6) ส่งเสรมิ ใหผ้ ูเ้ รยี นมีสว่ นร่วมในการประเมนิ ตนเองและเพ่อื น
(Assessment)
7) ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ (Application)

2.5 การสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะ
งานวิจยั ทเี่ กยี่ วกับแบบฝึก
สุณี กฤตสัน (2542) ได้ศึกษาการสร้างแบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย กิจกรรมข้ันที่ 5 เร่ือง

ออ้ ยอมย้ิม ประกอบการสอนภาษาไทยแบบมุ่งประสบการณ์ภาษาสำหรับนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี
1 โรงเรียนห้วยราช สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอ-ห้วยราช สำนักงานการประถมศึกษา
จงั หวัดบุรีรัมย์ ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2541 จำนวนนักเรียน 25 คน ผลการทดลองพบวา่ แบบฝึก
เสริมทักษะการสอนภาษาไทยแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา มีประสิทธิภาพ 95.51/87.47 แสดงว่าแบบ
ฝึกเสรมิ ทกั ษะมีประสทิ ธภิ าพสงู กว่าเกณฑม์ าตรฐาน 80 / 80 ท่ีต้งั ไว้

ไพฑูรย์ แวววงศ์ (2542) ได้ศึกษาการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์
ประกอบการสอนภาษาไทยแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา สำหรบั นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียน
บ้านนามูล สำนักงานการประถมศึกษาอำเภอกระนวน สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดขอนแก่น
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2541 จำนวนนักเรยี น 29 คน ผลการทดลอง ปรากฏว่านักเรียนได้คะแนน
กอ่ นเรียนคดิ เป็นร้อยละ 63.10 และได้คะแนนหลังเรยี นคิดเป็นร้อยละ 88.97 แสดงว่า ชดุ ฝึกทักษะการ
เขียนเชิงสรา้ งสรรค์ ทำใหน้ กั เรยี นมีผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นสงู ข้นึ

19

งานวจิ ัยต่างประเทศ
งานวจิ ัยเก่ยี วกับการสร้างแบบฝึก

ชเวนดินเกอร์ (Schwendinger.1977) ได้ศึกษาผลการเขียนสะกดคำ ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 503 คน โดยใช้แบบฝึกหัดท่ีมีรูปภาพเหมือนของจริงแบบเขียนตามคำบอก
และแบบทดสอบการเขียนสะกดคำ ผลการศึกษา พบว่า นักเรียนที่เรยี นโดยใช้แบบฝึกหัดท่มี ีรูปภาพจริง
มผี ลสมั ฤทธิ์ในการเขียนและสะกดคำสูงกว่านกั เรียนท่เี รียนโดยไม่ใชร้ ูปภาพเหมือนของจรงิ

แมคพิค ( Mcpeake. 1979 ) ได้ศึกษาผลการเรียนจากแบบฝึกอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่เริ่ม
ศึกษาจนถึงความสามารถในการอ่าน และเพศที่มีต่อความสามารถในการสะกดคำของนักเรียนช้ัน
ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 จากโรงเรียนประถมศกึ ษาท่เี มอื ง Scituate และMassachusetts จำนวน 129 คน
พบวา่ ทกุ กลมุ่ มผี ลสัมฤทธิ์ในการเขียนสะกดคำสงู ข้ึน ยกเว้นนกั เรยี นชายที่มคี วามบกพรอ่ งด้านการอ่าน
และพบว่าแบบฝึกช่วยปรับปรงุ ความสามารถในการสะกดคำของนักเรียนทุกคน แต่เวลา 12 สปั ดาห์ไม่
เพียงพอท่ีจะทำให้เกิดการถ่ายโยงการเรียนรู้ในการสะกดคำไปสู่คำใหม่ทยี่ ังไม่ได้ศึกษา และคะแนนของ
นักเรียนหญิงสูงกว่านักเรียนชายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากน้ีการอ่านยังมีความสัมพันธ์กับ
ความสามารถในการสะกดคำ

จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้แบบฝึก สรุปได้ว่า แบบฝึกเสริมทักษะ
เป็นสื่อการเรียนการสอนท่ีสำคัญสำหรับนักเรียน ช่วยให้ผู้เรียนมีพัฒนาการทางภาษาได้ดีข้ึน และแบ
ฝึกเสรมิ ทกั ษะทำให้ผเู้ รยี นเกิดความสนกุ สนานเพลดิ เพลินในการเรียนรู้อย่างแท้จรงิ

20

บทท่ี 3
วธิ ดี ำเนนิ การ

การวิจัยในครง้ั นี้มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่อื ฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำท่ีมีตัวการนั ต์ของนกั เรยี น
ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้แบบฝึกทักษะ ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง
จังหวัดสรุ าษฎรธ์ านี ผู้ศึกษาไดด้ ำเนินการตามข้นั ตอนดงั ต่อไปน้ี

1. กลุม่ เปา้ หมาย
2. เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการวิจัย
3. การสร้างและหาประสิทธภิ าพของเครื่องมือ
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล
5. การวเิ คราะหข์ ้อมูลและสถิตทิ ใ่ี ช้

1. ประชากรกลุม่ ตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังนี้ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนธิดาแม่พระ

อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 22 คน ได้มาโดยการ
ทดสอบ การอ่านคำทีม่ ตี ัวการนั ต์ (ศึกษาจากประชากร )

2. เครื่องมือทใี่ ช้ในการวจิ ัย
เครอ่ื งมอื ที่ผวู้ ิจัยใชใ้ นการวิจยั ในครั้งนี้ ประกอบด้วย
2.1 นวัตกรรม เป็นแบบฝึกทักษะฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวการันต์ จำนวน 10 แบบฝึก

ทดลองแบบกลุ่มเดยี วท่ีมกี ารทดสอบกอ่ นและหลงั การทดลองใช้แบบฝกึ ดงั ตารางที่ 1 ดงั นี้

O1 X O2

ความหมายของสัญลักษณ์
O1 หมายถึง การวัดตัวแปรตามกอ่ นการทดลอง (pretest)
X หมายถงึ การจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝกึ ทักษะการคิดวิเคราะห์
O2 หมายถึง การวดั ตวั แปรตามหลังการทดลอง
และ O2 เป็นการวดั ด้วยเคร่ืองมอื วดั อนั เดียวกัน มีมาตรวดั อันเดยี วกนั

21

2.2 เครื่องมือในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู
แบบทดสอบวัดความสามารถฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวการันต์ โดยใช้ทดสอบก่อน

การใช้แบบฝึก จำนวน 20 ข้อ และเมื่อใช้แบบฝึกทักษะเสร็จส้ินแล้วก็ใช้แบบทดสอบชุดเดิมทดสอบ
หลงั การใชแ้ บบฝกึ

2.3 แผนการจัดการเรียนรู้เร่ืองการเขียนคำท่ีมีตัวการันต์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 10
แผน ใช้เวลา 12 ชั่วโมง

3. การสร้างและหาคณุ ภาพของเครอ่ื งมือ
3.1. การพฒั นาแบบฝกึ ทกั ษะการเขยี นคำที่มตี ัวการันต์
ผ้วู จิ ยั ได้พฒั นาแบบฝกึ ทักษะการเขียนคำทมี่ ตี ัวการนั ต์ สำหรับนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี

5 ดงั น้ี
1) ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 25 51 ของกรมวิชาการ

กระทรวงศึกษาธกิ าร
2) ศึกษาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย จากแนวการจัด

สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร
3) ศึกษาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย จากแนวการจัด

สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ของกรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธิการ
4) ศึกษาสาระการเรียนรู้รายปี และผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปี ช่วงชั้นท่ี 2 (ชั้น

ประถมศึกษาปที ี่ 4-6) จากแนวการจัดสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของกรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ
5) ศึกษาวิธีการ หลักการ ทฤษฎี และเทคนิควิธีการสร้าง แบบฝึกทักษะภาษาไทย จาก

เอกสารต่างๆ และงานวิจยั ท่เี ก่ียวขอ้ ง
6) สรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะการคำท่ีมตี วั การนั ต์ สำหรบั นกั เรียนช้ันประถมศึกษาปที ่ี 5 จำนวน

10 แบบฝกึ
7) นำแบบฝึกทักษะทสี่ ร้างข้ึน เสนอผเู้ ชี่ยวชาญเพ่ือขอคำแนะนำ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข

จำนวน 3 ท่าน ซง่ึ ประกอบดว้ ย
8) นำแบบฝึกทักษะการเขียนคำท่ีมีตัวการันต์ ท่ีได้รับการพิจารณาทดลองใช้ในการจัด

กจิ กรรมเรียนการสอน เพ่ือหาประสิทธิภาพของแบบฝกึ กบั นักเรยี นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนธิดาแม่
พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2564 หลังจากทดลองใช้แล้วหา
ขอ้ บกพร่องเพอ่ื นำมาปรบั ปรุงแก้ไข

9) นำแบบฝกึ ทักษะการเขียนคำท่ีมีตวั การันต์ ท่ไี ด้รับการปรับปรุงแก้ไข นำมาทดลองสอน
จริง โดยใช้คู่กบั แผนการจัดการเรียนรู้ ใช้กับนักเรยี น สัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 1 ชัว่ โมง

22

10) หลังจากทดลองใช้แบบฝึกทักษะคู่กับแผนการจัดการเรียนรู้เสร็จส้ินแล้ว นำ
แบบทดสอบชุดเดิมกับก่อนเรียนมาทำการทดสอบหลังเรียนอีกครั้ง แล้วนำผลการทดสอบมาวิเคราะห์
เพ่ือหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 หมายถึง คะแนนของกระบวนการ
เรียนต่อคะแนนสอบหลงั เรียน

80 ตวั แรก หมายถึง คะแนนเฉลีย่ ร้อยละของประสิทธิภาพของการฝึก
80 ตวั หลงั หมายถึง คะแนนเฉลยี่ รอ้ ยละของการทดสอบหลังเรียน
3 2. การพัฒนาแผนการจดั การเรียนรู้
แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระภาษาไทยนักเรียนชั้นประถมศึกษา
ปที ี่ 5 ทีผ่ ู้ศกึ ษาสร้างข้นึ เองตามลำดบั ดงั น้ี
1) ศึกษาหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ของกรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธกิ าร
2) ศกึ ษาหลกั สตู รสถานศกึ ษา กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
3) ศึกษาแนวการจัดสาระการเรียนรู้ กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของกรมวิชาการ
กระทรวงศึกษาธกิ าร
4) ศึกษาแนวการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวปฏิรูปการศึกษา ตา ม
พระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติ
5) ศึกษาแนวการจัดการเรียนการสอนทักษะการอ่านและการเขียน จากการจัดสาระ
การเรยี นรู้ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ของกรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธิการ
6) ศึกษาแนวทางการวดั ผลและประเมนิ ผลในช้นั เรียน กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
ของสำนกั นิเทศและพฒั นามาตรฐานการศึกษา กระทรวง ศกึ ษาธกิ าร
7) ศกึ ษาหนงั สอื ประกอบการเรียนการสอนภาษาไทย ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 5
8) วิเคราะหห์ ลักสูตร และสาระมาตรฐานการเรียนรู้ และวิเคราะห์นักเรยี นรายบุคคล
9) เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ โดยยึดองค์ประกอบแผนการจัดการเรียนรู้ ของ
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน จัดกิจกรรมที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ เตรียมส่ืออุปกรณ์การ
เรียนการสอนและวิธวี ดั และประเมินผลสอดคลอ้ งกบั ผลการเรยี นรู้ทค่ี าดหวงั
10) นำแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีเขยี นเสร็จแลว้ เสนอตอ่ ผู้เช่ียวชาญชดุ เดิมใน ข้อ 1.6
(1.6.1-1.6.3) ตรวจสอบเสนอแนะในกิจกรรมและความถูกต้องตรงตามเนื้อหา แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข
ตามขอ้ เสนอแนะ
11) นำแผนการสอนที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปใช้จัดกิจกรรมสอนซ่อมเสริมควบคู่กับ
แบบฝึกทักษะ โดยเอาแบบฝึกทักษะเป็นสิ่งสรุปบทเรียนของแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ เพราะถ้า
นกั เรียนเข้าใจในการเรียน ช่วงจัดกิจกรรมแลว้ จะสามารถทำแบบฝึกทักษะได้ แล้วนำมาใช้กบั นักเรียน

23

ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปี
การศกึ ษา 2564 จำนวน 22 คน หลงั จากทดลองใช้แลว้ หาขอ้ บกพรอ่ งแลว้ นำมาปรับปรุงแก้ไข

4. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
การศึกษาในคร้ังนี้ผู้ศกึ ษาได้ดำเนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ไดด้ ำเนินการตามข้ันตอนดังนี้
4.1 ปฐมนิเทศนกั เรียนพร้อมชี้แจงวตั ถปุ ระสงค์
4.2 ทดสอบก่อนเรยี นโดยใช้แบบทดสอบก่อนและหลงั เรยี นนกั เรยี นกลมุ่ ตัวอย่าง
4.3 เร่ิมดำเนินการจัดกิจกรรการเรียนการสอนมีแบบฝึกทักษะท่ีสร้างขึ้น จำนวน 10 แบบ

ฝกึ โดยมเี กณฑ์ การผา่ นคือ ใน 20 ข้อนกั เรียนตอ้ งได้ 18 ขอ้ พร้อมประเมนิ การผ่านเกณฑ์ไปด้วย
4.4 เม่ือทดลองใช้แบบฝึกทักษะจนครบท้ัง 10 แบบฝึกแล้วทดสอบ หลังเรียน โดยใช้

แบบทดสอบกอ่ นและหลงั เรียนชุดเดมิ
4.5 เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยเครื่องมือ ทจ่ี ัดทำขน้ึ
4.6 นำขอ้ มลู ที่ได้จากการพัฒนาไปวเิ คราะหผ์ ลและทำการแปลผลข้อมลู

5. การวเิ คราะหข์ ้อมูลและสถติ ทิ ใี่ ช้
5.1 การวิเคราะห์ข้อมลู
การวิเคราะห์ข้อมูลโดยนำข้อมูลที่ได้มาหาความถี่แล้ววิเคราะห์ บรรยายเป็นความ

เรียง ประกอบตาราง โดยเปรียบเทียบความแตกต่างคะแนนเฉลี่ย ค่าร้อยละ ระหว่างการทดสอบครั้ง
แรกกับคร้ังหลังของกลุ่มตัวอย่างและเปรียบเทียบคะแนนการทำแบบฝึกทักษะกับคะแนนทดสอบหลัง
เรยี น

5.2 สถติ ทิ ่ีใช้
1)หาคา่ คะแนนเฉล่ยี

x = X/N

เม่ือ x แทน คะแนนเฉลย่ี

 X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
N แทน จำนวนนกั เรียนในกลมุ่ ตัวอยา่ ง
2). หาคา่ ร้อยละ (Percentage) ใช้สตู ร ศกั รนิ ทร์ สุวรรณโรจน์
และคณะ. (2538)
คา่ ร้อยละ = XN  100
เม่อื X แทน คะแนนทีไ่ ด้

N แทน คะแนนเต็ม

24

3) หาค่าประสิทธภิ าพ ใช้สตู ร ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ (2537)
สตู รท่ี 1
E1 = X / N  A  100
เมือ่ E1 แทน ประสิทธภิ าพของกระบวนการ
X แทน คะแนนรวมของแบบฝึกหดั หรืองาน
A แทน คะแนนเกบ็ ของแบบฝกึ หัด
ทกุ ชิ้นรวมกนั
N แทน จำนวนผเู้ รียน
สูตรท่ี 2
E2 = F/N  B  100
เมอื่ E2 แทน ประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธ์
F แทน คะแนนรวมของผลลัพธ์หลงั เรยี น
B แทน คะแนนเต็มของการสอบหลงั เรยี น
N แทน จำนวนผเู้ รียน

4) การพิจารณาประสทิ ธิภาพสื่อ สามารถพิจารณาได้ 3 ระดับ
สรุ ชยั สิกขาบัณฑติ (2539) ดังนี้

4.1 ระดบั สูงกว่าเกณฑ์ หมายถึง เมือ่ ประสทิ ธิภาพของส่ือสูงกวา่ เกณฑท์ ต่ี ้ังไว้
มีค่าเกิน 2.5 เปอร์เซ็นต์ ขึน้ ไป

4.2 ระดับเทา่ กบั เกณฑ์ทต่ี ้ังไว้ หมายถงึ เท่ากบั 2.5 เปอรเ์ ซ็นต์ และตำ่ กว่า
เกณฑ์ แตไ่ ม่ต่ำกว่า 2.5 เปอรเ์ ซน็ ต์ ถอื ว่ามปี ระสิทธภิ าพยอมรับได้

4.3 ระดับตำ่ กว่าเกณฑ์ หมายถึง เมื่อประสทิ ธภิ าพของสื่อต่ำกวา่ เกณฑ์ทต่ี ั้ง
ไว้ คือต่ำกวา่ 2.5 เปอรเ์ ซ็นต์ ถอื วา่ สื่อไม่มีประสทิ ธิภาพ

25

บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล

การวเิ คราะห์ข้อมูล จากการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน
ธดิ าแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสรุ าษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศกึ ษา 2564 ผู้วิศึกษา ได้เสนอผล
การวิเคราะห์ขอ้ มลู ตามลำดับ ดงั นี้

1. สัญลกั ษณ์ท่ีใชใ้ นการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู
2. การวิเคราะห์ขอ้ มูล
3. ผลการวิเคราะห์ข้อมลู

1. สัญลักษณ์ท่ใี ช้ในการนำเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล
ผู้ศกึ ษาไดก้ ำหนดความหมายของสญั ลกั ษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลของการวเิ คราะห์ข้อมูลดังนี้
N แทน จำนวนนักเรยี นกลุ่มตัวอยา่ ง

x แทน คะแนนเฉลย่ี

 X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด

2. การวเิ คราะหข์ ้อมูล
การวเิ คราะห์ข้อมูลในครัง้ นี้ ผู้ศกึ ษาไดด้ ำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ตามลำดับขัน้ ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวการันต์ ของ

นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 ตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80
ตอนท่ี 2 วิเคราะห์หาความแตกต่างระหว่างคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่ม

ตัวอยา่ ง

3. ผลการวิเคราะห์ข้อมลู
ตอนที่ 1 การหาประสิทธิภาพของการฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวการันต์ ของนักเรียนชั้น

ประถมศึกษาปีที่ 5 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ผู้รายงาน ได้ดำเนินการทดลองหาประสิทธิภาพของ
แบบฝึกทักษะ การเขียนคำที่มีตัวการันต์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลปรากฏดังตารางที่ 2
ดังน้ี

26

ตารางที่ 2 แสดงคะแนนเฉล่ียและรอ้ ยละ เพ่ือหาประสิทธิภาพของ แบบฝึกทักษะการเขียนคำ
ทีม่ ตี วั การันต์ ของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 5

แบบฝึกทักษะ คะแนนเต็ม x ร้อยละ

แบบฝึกทกั ษะชุดที่ 1 10 7.95 79.55
แบบฝึกทกั ษะชดุ ที่ 2 10 7.82 78.18
แบบฝกึ ทักษะชุดที่ 3 10 8.23 82.27
แบบฝกึ ทักษะชดุ ท่ี 4 10 8.18 81.82
แบบฝึกทกั ษะชดุ ท่ี 5 10 8.27 82.73
แบบฝกึ ทกั ษะชดุ ที่ 6 10 8.14 81.36
แบบฝกึ ทกั ษะชดุ ที่ 7 10 8.32 83.18
แบบฝึกทกั ษะชดุ ท่ี 8 10 8.23 82.27
แบบฝกึ ทกั ษะชุดท่ี 9 10 8.45 84.55
แบบฝกึ ทกั ษะชุดที่ 10 10 8.50 85.00
100 8.21 82.09
รวม

จากตารางท่ี 2 แบบฝึกทักษะการเขียนคำท่ีมีตวั การันต์ ของนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5
จำนวน 10 แบบฝกึ มีคะแนนเฉลีย่ 8.21 คิดเป็นร้อยละ 82.09 ดังนนั้ แบบฝึกทกั ษะท่ีสรา้ งขน้ึ มี
ประสทิ ธภิ าพ เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ทตี่ ้งั ไว้

ตอนที่ 2 วิเคราะห์หาความแตกต่างระหว่างคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของ
กลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดสอบก่อนเรียนและ หลังเรียน ผลวิเคราะห์ข้อมูลปรากฏดังใน
ตารางที่ 3 ดังน้ี

ตารางที่ 3 ตารางแสดงคะแนนเฉลี่ยและค่าร้อยละของคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลัง
เรียน

คะแนน คะแนนเต็ม X ร้อยละ
ก่อนเรียน 20 8.27 41.36
หลังเรียน 20 16.23 81.14

27

จากตารางท่ี 3 ตารางแสดงคะแนนเฉล่ียและค่าร้อยละของแบบทดสอบทดสอบกอ่ นเรียนและ
หลังเรียน แบบทดสอบก่อนเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 8.27 คิดเป็นร้อยละ 41.36 และแบบทดสอบหลัง
เรียน มีคะแนนเฉล่ีย 16.23 คิดเป็นร้อยละ 81.14 ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการ
เขียนคำท่ีมีตัวการันต์ ของชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 ตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 ตามเกณฑท์ ีต่ ง้ั ไว้

28

บทที่ 5
สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

การศกึ ษาในครั้งน้ีเพ่ือการพฒั นาทกั ษะการเขยี นคำท่ีมีตวั การนั ต์ โดยใช้แบบฝึกการเขียนคำที่มี
ตวั การันต์ ของนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 มีขัน้ ตอนการศึกษาและผลการศกึ ษาสรุปไดด้ ังน้ี

1. วตั ถุประสงค์ในการวิจัย
1.1. เพอ่ื สรา้ งแบบฝึกทกั ษะการเขยี นคำท่ีมีตัวการนั ต์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5
1.2. เพ่อื พฒั นาทกั ษะการเขียนคำท่ีมตี ัวการนั ต์ ของนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 5

2. สมมติฐานของการวจิ ยั
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ที่ได้รับการฝึกทักษะการเขียนคำ ที่มีตัวการันต์โดยใช้แบบฝึก

ทักษะ มีพัฒนาการเขียนคำทม่ี ตี ัวการันต์ จากการทดสอบหลงั เรยี นสงู ขึ้น

3. กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการทดลองคร้ังนี้คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนธิดาแม่พระ

อำเภอเมอื ง จังหวดั สุราษฎร์ธานี ภาคเรยี นท่ี 1-2 ปีการศกึ ษา 2564 จำนวน 22 คน

4. เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการวิจยั
เครอ่ื งมือทีผ่ ู้ศึกษาใชใ้ นคร้ังน้ี ประกอบดว้ ย
4.1 นวัตกรรมคือแบบฝึกทักษะฝึกทักษะการเขียนคำท่ีมีตัวการันต์ ของนักเรียนช้ัน

ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 การเขียนคำที่มตี วั การนั ต์ จำนวน 10 แบบฝึก
4.2 เคร่อื งมอื ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคอื แบบทดสอบวัดทักษะการเขียนคำที่มีตัวการันต์

เปน็ แบบปรนัย ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จำนวน 20 ข้อ

5. ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้รายงานทำการวิเคราะหข์ ้อมูลมีผล ดงั น้ี

5.1 แบบฝกึ ทักษะการเขยี นคำทม่ี ีตวั การันต์ ของนักเรยี น ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้วิจยั สร้าง
ข้ึนมีประสิทธภิ าพ 82.09 ซึ่งเปน็ ไปตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80

5.2 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ืองทักษะการเขียนคำที่มีตัวการันต์ ของนักเรียนช้ัน
ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 สงู ข้นึ คดิ เป็นร้อยละ 81.14 ซึ่งเปน็ ไปตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80

29

6. อภิปรายผล
รายงานผลการใชแ้ บบฝึกทกั ษะการเขียนคำทมี่ ตี ัวการนั ต์มาพัฒนาทักษะการเขียนคำที่มีตัว

การันต์ ของนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นธดิ าแม่พระ อำเภอเมือง จงั หวัดสรุ าษฎรธ์ านี ภาค
เรยี นท่ี 1-2 ปกี ารศึกษา 2564 อภิปรายผลได้ ดังน้ี

1) แบบฝึกทักษะการเขียนคำท่ีมีตัวการันต์ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ที่ผู้วิจัยสร้าง
ขึ้นมีประสิทธิภาพ เท่ากับ ร้อยละ 82.09 หมายความว่า นักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบฝึก
ทักษะท้ัง 10 แบบฝกึ คดิ เป็นร้อยละ 82.09 และนกั เรยี น ได้คะแนนเฉล่ยี จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี น เร่ืองการเขียนคำที่มีตัวการนั ต์ คิดเป็นร้อยละ 81.14 แสดงวา่ แบบฝึกทกั ษะการอ่าน
คำท่ีมีตัวการันต์ ที่ผู้รายงานสร้างข้ึนมีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ซึ่งเป็นไปตามสม
มุตติฐานท่ีตั้งไว้ สอดคล้องกับผลการศึกษาของ กาญจนาพร หอศิลาชัย ( 2545 : บทคัดย่อ )
พักตร์พิมล ภูมิกอง ( 2546 :บทคัดย่อ ) ท่ีพบว่า แบบฝึกทักษะ ที่สร้างข้ึนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์
มาตรฐาน 80/80 ท้ังน้อี าจเนื่องมาจากแบบฝึกทักษะที่ผู้รายงานสรา้ งขึ้น ไดผ้ ่านขั้นตอน กระบวนการ
สร้างอย่างมีระบบ มีการศึกษารายละเอียดเก่ียวกับการสร้างแบบฝึกจากเอกสารและงานวิจัยท่ี
เกี่ยวขอ้ ง ศึกษาหลักสูตร แผนการสอน เน้ือหา จุดประสงค์การเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้การวัดผล
และประเมินผล และผ่านการทดสอบจากผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบด้านคุณภาพและความเหมาะสมของ
แบบฝึกทักษะ แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน เพ่ือให้มีความเหมาะสมมากย่ิงขึ้น สามารถนำไปใช้ใน
การสอนไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ

7. ขอ้ เสนอแนะ
7.1 ควรพฒั นาแบบฝกึ ให้มีคุณภาพมากข้ึน
7.2 แบบฝกึ ทักษะควรผ่านการหารประสิทธภิ าพ
7.3 แบบฝึกทักษะต้องน่าสนใจ มีรูปภาพ สีสันท่ีสดใสประกอบ เพ่ือให้นักเรียนอยากสัมผัส

อยากฝกึ กิจกรรม
7.4 ครคู วรปรบั กจิ กรรมของแบบฝกึ ให้สอดคล้องกับเวลา
7.5 ครูควรพัฒนาการเรยี นการสอนโดยการทำวิจยั ทุกปี
7.6 โรงเรยี นควรมวี สั ดุหรืองบประมาณสนบั สนุนผู้วิจยั เพื่อใหข้ วัญและกำลงั ใจ

30

บรรณานุกรม

กาญจนาพร หอศิลาชัย. การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน กลุ่มทักษะภาษาไทย ช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี 5 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมแบบมงุ่ ประสบการณ์ภาษาโดยใช้หนังสือเรื่อง ปราสาท
เปืยน้อยและ เรอ่ื งหนทู ำได้. ขอนแก่น. 2545.

ขจีรัตน์ หงส์ประสงค์. การสร้างแบบฝึกการเขียนคำพ้องสำหรับนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปี
ที่ 4. ปรญิ ญานพิ นธก์ ารศึกษามหาบัณฑติ . มหาวยิ าลัยเกษตรศาสตร.์ อัดสำเนา, 2543

พรรณี ชทู ัย. จิตวทิ ยาการเรยี นการสอน. กรุงเทพ ฯ : วรวฒุ ิการพมิ พ,์ 2522.
ไพฑูรย์ แวววงศ์. การทดลองใช้แบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ประกอบการสอน
ภาษาไทยแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5. ขอนแกน่ , 2542.
วรสุดา บุญยไวโรจน์. การพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ในระดับประถมศึกษา เรื่องน่ารู้
สำหรบั ครูคณิตศาสตร์. พิมพ์ครงั้ ท่ี 2. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช, 2536.
วชิ าการ, กรม. (2556). หนังเรียนภาษาไทย ชุดพื้นฐานภาษา ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี5 เล่ม1.
กรุงเทพฯ : โรงพิมพค์ รุ สุ ภาลาดพรา้ ว.
________ . การเรียนการสอนวิชาภาษาไทย ปัญหาและแนวทางแก้ไข. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์คุรุ
สภาลาดพรา้ ว, 2539.

31

ภาคผนวก

32

แบบทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรียน

เร่ือง คำท่มี ตี ัวการันต์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5

****************************************************************************

คำชแ้ี จง ขอ้ สอบมีทงั้ หมด 30 ข้อ ให้นักเรยี นเลือกขอ้ ทถี่ ูกทส่ี ดุ เพยี งข้อเดยี ว เวลา 1 ชั่วโมง

1. “ อา – ทดิ ” ข้อใดเขยี นถกู ต้อง 9. “ อา – วอน ” ข้อใดเขยี นจากคำอ่านได้ถกู ตอ้ ง

ก. อาทิตย์ ข. อาทิดย์ ก. อาวอน ข. อาวอล

ค. อาทิสย์ ง. อาทิจย์ ค. อาวรณ์ ง. อาวอนณ์

2. ขอ้ ใดใช้ตัวการันต์ไม่ถูกกต้อง 10. “ อ ม า ร ณ์ ” ข้อใดเขยี นถกู ตอ้ ง

ก. ซอ่ื สัตย์ ข. ลูกศษิ ย์ ก. อารมณ์ ข. อมารณ์

ค. อาจารย์ ง. มนษุ ร์ ค. รอมาณ์ ง. อามรณ์

3. คำว่า “อินเทอ......เนต็ ” ควรเติมการนั ต์ตวั ใด 11. ข้อใดใช้ตัวการันต์ไม่ถกู กต้อง

ก. ณ์ ข. ห์ ก. หุ่นยนต์ ข. รถยนต์

ค. ร์ ง. น์ ค. นิมนตร์ ง. ประยุกต์

4. ข้อใดเขียนคำอ่านไมถ่ กู ต้อง 12. “ ส ก ง า น ร ต์ ” ข้อใดเขยี นถูกต้อง

ก. กตี า้ ร์ เขยี นว่า กี - ตา้ ก. สรงกานต์ ข. สงกรานต์

ข. มเิ ตอร์ เขียนว่า มิ - เตอ ค. สกงานรต์ ง. สงการนต์

ค. วันเสา เขียนวา่ วนั - เสา 13. คำว่า “ขยายพัน......” ใชต้ ัวการนั ต์ตัวใด

ง. วทิ ยาศาสตร์ เขียนวา่ วดิ –ทะ –ยา -สาด ก. ณ์ ข. ห์

5. คำวา่ “อนุเคราะ.......” ใช้ตัวการันต์ตัวใด ค. ร์ ง. ธ์ุ

ก. ย์ ข. ต์ 14. ข้อใดมคี วามหมายวา่ แต่งหนงั สอื

ค. ร์ ง. ห์ ก. สัมพนั ธ์ ข. สคุ นธ์

6. ขอ้ ใดใชต้ วั การันต์ได้ถูกกตอ้ ง ค. นพิ นธ์ ง. เผา่ พนั ธ์

ก. เสนว่ ์ ข. ววิ าณ์ 15. ข้อใดใช้ตัวการนั ตไ์ ดถ้ ูกกต้อง

ค. สงั เคราะย์ ง. วิเคราะห์ ก. สุรนิ ร์ ข. ธานินทร์

7. “ราด – ชะ – สี” ข้อใดเขียนจากคำอ่านได้ถกู ต้อง ค. พระอินจน์ ง. วารนิ ทน์

ก. ราชสหี ์ ข. ราดชสหี ์ 16. “ บอ – ดนิ ” ข้อใดเขยี นจากคำอา่ นได้ถูกตอ้ ง

ค. ราสชสีห์ ง. ราตชสหี ์ ก. บดินทร์ ข. บดญิ ทร์

ค. บอดินทร์ ง. บอดญิ ทร์

33

8. “สหกรณ์” ข้อใดเขยี นคำอา่ นไดถ้ กู ตอ้ ง

ก. สะ – หะ -กอร ข. สะ – หะ - กอน

ค. สะ - หะ --กร ง. สะ –หะ – กอล

17. “ ป้อมเป็นคนจงั หวดั ..............” ควรเติมคำ

ในข้อใดจึงจะถูกต้อง

ก. สุรินทน์ ข. สุรนิ ทร์

ค. สรุ นิ ทย์ ง. สุรินทรน์

18. ข้อใดใชต้ ัวการนั ต์ไม่ถกู กตอ้ ง

ก. อโุ มงค์ ข. สวรรค์

ค. ประสงฆ์ ง. พระองค์

19. “ร้ ส ง า ร ส ร ค์” ข้อใดเขียนไดถ้ กู ต้อง

ก. รสร้านสรค์ ข. รสร้านสรค์

ค. สรรร้าสรค์ ง. สร้างสรรค์

20. “ฉันไปเที่ยวที่จังหวัด..........”ควรเติมคำในข้อใด

ก. นครสวรรค์ ข. นครสวรรต์

ค. นครสวรรณ์ ง. นครสวรรย์

34

แบบฝกึ ทักษะ
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
เรือ่ ง การอา่ นและการเขียนคำท่มี ีตวั การนั ต์ ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 5

ชุดที่ 1 คำทมี่ ตี ัว “ย์”
ชือ่ ………………………………………….. เลขท่ี……………….. ชนั้ ……………….

คำช้ีแจง ให้นักเรียนอ่านคำและเขยี นคำทม่ี ีความหมายพร้อมเติมตัวการนั ต์ ใหเ้ ป็นคำทม่ี คี วามหมาย

ตัวอย่าง ร่ืน – รม  ร่นื รมย์

1. วัน – อา – ทิด 

2. มะ – นดุ 

3. ซอ่ื - สัด 

4. เจ – ดี 

5. ลกู – สิด 

6. อา – จาน 

7. เสบ - ตดิ 

8. กะ – สดั 

9. อัด เ–กณสฑะ-ก์ าจรนั ผ่าน  คะแนน ผา่ น คะแนนทีไ่ ด้ คะแนน

10. ออม – ซสรับุป  ผา่ น ไมผ่ ่าน

35

แบบฝึกทกั ษะ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
เร่อื ง การอ่านและการเขียนคำท่ีมีตวั การันต์ ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 5

ชุดท่ี 2 คำท่มี ีตัว “ร”์

ชือ่ ………………………………………….. เลขท่ี……………….. ชนั้ ……………….

คำชแ้ี จง ใหน้ ักเรยี นอา่ นคำและเขียนคำทีม่ ีความหมายพรอ้ มเตมิ ตวั การันต์ ใหเ้ ปน็ คำทม่ี คี วามหมาย

ตัวอยา่ ง วนั – สกุ  วันศกุ ร์

1. วนั – เสา 

2. วิด - ทะ – ยา – สาด 

3. พาบ - พะ - ยน 

4. คะ - นิด – สาด 

5. คอม - พิว – เตอ้ 

6. กะ - เสด – สาด 

7. สุ - ริน 

8. พระ – อิน 

9. เวยี ง – จนั 

10. พลาดเก–ณเฑตก์ อ้ ารผา่ น คะแนน ผา่ น คะแนนท่ีได้ คะแนน

36

แบบฝึกทกั ษะ
กล่มุ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย
เรื่อง การอ่านและการเขียนคำท่ีมีตัวการนั ต์ ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 5

ชดุ ท่ี 3 คำที่มตี ัว “ห์”
ช่ือ………………………………………….. เลขที่……………….. ชน้ั ……………….

คำชแี้ จง ให้นักเรยี นนำคำอ่านทก่ี ำหนดใหเ้ ขยี นเปน็ คำพร้อมเติมตวั การันต์ ใหเ้ ป็นคำท่มี ีความหมาย

ตวั อย่าง วิ – วา  ววิ าห์
1
วิ - เคราะ 

2 สับ - ดา 

3. ราด – ชะ - สี 
4. มะ – โน - รา 
5. สง - เคราะ

6. สา - ยนั 

7. สะ - เหน่ 
8. อะ – นุ - เคราะ 
9. สัง - เคราะ 
10. วิ - รุด 

37

แบบฝึกทกั ษะ
กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย
เรื่อง การอ่านและการเขยี นคำทม่ี ีตวั การันต์ ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 5

ชดุ ที่ 4 คำที่มตี ัว “ค์”
ชอื่ ………………………………………….. เลขท่ี……………….. ชั้น……………….

คำชแี้ จง ใหน้ ักเรียนนำคำอ่านทก่ี ำหนดใหเ้ ขยี นเป็นคำพรอ้ มเตมิ ตัวการนั ต์ ใหเ้ ป็นคำท่มี ีความหมาย

ตัวอย่าง พระ – อง  พระองค์

ที่ คำอ่าน คำศัพท์

1. ประ – สง

2. นะ - คอน – สะ -หวัน

3. อุ – โมง

4. ไตร – ยาง

5. พระ - ทำ – มะ – รง

6. สร้าง – สัน

7. สะ – หวัน

8. สะ – ตาง

9. พระ – ขนั

10. เบน – จะ - รง

38

แบบฝึกทกั ษะ
กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย
เร่ือง การอา่ นและการเขยี นคำท่ีมีตัวการนั ต์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี5

ชดุ ท่ี 5 คำทมี่ ตี ัว “น์”
ชื่อ………………………………………….. เลขที่……………….. ช้นั ……………….

คำช้แี จง ให้นักเรยี นนำคำอ่านที่กำหนดใหเ้ ขยี นเป็นคำพรอ้ มเตมิ ตวั การนั ต์ ใหเ้ ป็นคำท่มี คี วามหมาย

ตวั อยา่ ง โท – ระ – ทัด  โทรทศั น์

1. ประ – โหยด 

2. พิ - สูด 

3. วิ – วดั 

4. โล - กา - พิ – วดั 

5. คอม - พวิ – เตอ้ 

6. กะ - เสด – สาด 

7. ทิว - ทดั 

8. นบ - พะ – รัด 

9. สาย – สิน 

10. ออน – ไล 

39

แบบฝกึ ทกั ษะ
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
เร่ือง การอา่ นและการเขียนคำทม่ี ีตัวการนั ต์ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5
ชุดท่ี 6 คำท่มี ตี ัว “ธ์ ,ธุ์”
ชอื่ ………………………………………….. เลขที่……………….. ชั้น……………….

คำชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นนำคำอ่านทีก่ ำหนดให้เขียนเป็นคำพร้อมเตมิ ตัวการันต์ ให้เป็นคำท่มี ีความหมาย

ตวั อยา่ ง คำ - ประ – พนั  คำประพันธ์
1. ขะ – หยาย – พนั

2. กุม – พา – พนั

3. พระ – ราด – ชะ – นิ - พน

4. สา – พนั

5. กา – ละ – สิน

6. รด – สุ – คน

7. ประ – จวบ – คี – รี – ขนั

8. นิ – พน

9. เผา่ – พนั

10. ชะ – ลา – สิน

40

แบบฝึกทกั ษะ
กลุม่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย
เรอื่ ง การอา่ นและการเขียนคำท่มี ตี ัวการันต์ ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 5

ชดุ ที่ 7 คำทีม่ ตี ัว “ต์”
ช่อื ………………………………………….. เลขท่ี……………….. ชัน้ ……………….

คำช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นนำ สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ และตวั การนั ต์ เรียงใหเ้ ป็นคำที่มคี วามหมาย

ตัวอย่าง ก ป ต์ ยุ ระ  ประยุกต์

1. กตน์ ลไิ = ………………….………………….
2. เซีนตม์ = ………………….………………….
3. มกนษสเั ต์ = ………………….………………….
4. รักนาต์ = ………………….………………….
5. วสดนมต์ = ………………….………………….
6. กีรมเยารต์ิ = ………………….………………….

7. ซเบไต์ว็ = ………………….………………….
8. รถยนต์ = ………………….………………….

41

แบบฝกึ ทักษะ
กลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย
เรอ่ื ง การอ่านและการเขียนคำทีม่ ีตวั การนั ต์ ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 5

ชุดที่ 8 คำท่ีมีตัว “ห์”
ช่ือ………………………………………….. เลขท่ี……………….. ช้ัน……………….

คำชี้แจง ให้นกั เรียนเขียนคำอา่ นคำตอ่ ไปน้ใี หถ้ ูกต้อง

ตัวอย่าง ววิ าห์  .........วิ - วา

1. สปั ดาห์  ……………………………
2. ราชสหี ์  ……………………………
3. มโนราห์  ……………………………
4. วเิ คราะห์  ……………………………
5. สงั เคราะห์  ……………………………
6. สงเคราะห์  ………………..…………
7. กรยิ านเุ คราะห์  …………………..………
8. สายัณห์  ………..…………………
9. เล่หก์ ล  ……………………………
10. อนุเคราะห์  ……………………………

42

แบบฝึกทักษะ
กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย
เรือ่ ง การอ่านและการเขียนคำท่มี ตี วั การนั ต์ ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 5

ชดุ ท่ี 9 คำท่ีมีตัว “ษ์”
ชอ่ื ………………………………………….. เลขที่……………….. ชน้ั ……………….

คำชี้แจง ให้นกั เรียนนำคำอ่านทกี่ ำหนดให้เขยี นเป็นคำพรอ้ มเติมตัวการันต์ ให้เปน็ คำที่มคี วามหมาย
ตวั อยา่ ง ยกั  ยักษ์

1. ประ – จกั 

2. วิ - พาก 

3. บนั – นา - รัก 

4. เท - พา – รัก 

5. อะ - นุ – รัก 

6. สุ - พะ – เลิก 

7. พิ - ทกั 

8. อะ - พิ – รัก 

9. ดาว – เลิก 

10. ชยั – ยะ – พรึก 

43

แบบฝกึ ทักษะ
กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย
เร่ือง การอา่ นและการเขยี นคำท่มี ตี วั การันต์ ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 5

ชุดที่ 10 คำที่มีตัวการนั ต์
ชือ่ ………………………………………….. เลขที่……………….. ชน้ั ……………….

คำช้แี จง มาช่วยกันเติมตวั การนั ตใ์ หถ้ ูกตอ้ ง

คอลมั …….. อามาต……..

ไวยากร…….. ฟิ ……..ม รามเกียร……..

ชาญณรง…….. บลั ลงั …….. อรหนั ……..

นยั ……..ตา ทศกณั …….. คฤหาส…….. อภิวนั ……..

บลั ลงั …….. ไตรยาง…….. วาทศิล……..

นิวยอ……..ก คอลมั ……..

44


Click to View FlipBook Version