1
การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นและความรับผดิ ชอบตอ่ ตนเองของนกั เรยี น
ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 1 -3 วิชาสุขศึกษา เรื่อง เรารักสขุ ภาพ
ด้วยการจดั การเรยี นรู้ แบบกลุ่มร่วมมอื เทคนคิ TGT และแบบปกติ
มนตรี เปลย่ี วปลอด
ศภุ ชยั ชิตกุล
สุกานดา ชอบทำกิจ
สรุ ตั น์ สมุ าการ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา
ปีการศึกษา 2564
โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมอื ง จงั หวดั สุราษฎรธ์ านี
2
การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นและความรับผดิ ชอบตอ่ ตนเองของนกั เรยี น
ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 1 -3 วิชาสุขศึกษา เรื่อง เรารักสขุ ภาพ
ด้วยการจดั การเรยี นรู้ แบบกลุ่มร่วมมอื เทคนคิ TGT และแบบปกติ
มนตรี เปลย่ี วปลอด
ศภุ ชยั ชิตกุล
สุกานดา ชอบทำกิจ
สรุ ตั น์ สมุ าการ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา
ปีการศึกษา 2564
โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมอื ง จงั หวดั สุราษฎรธ์ านี
3
กิตตกิ รรมประกาศ
การทำวิจัยในช้ันเรียนฉบับนี้ผู้จัดทำต้องขอขอบพระคุณคณะผู้บริหาร คณะครูในกลุ่มสาระการ
เรียนรู้ ตลอดจนคณะครูระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1-3 ที่ได้ช่วยเป็นกำลังใจ และให้คำแนะนำในการจัดทำ
ตลอดจนการคน้ หาข้อมูลในกระบวนการและข้ันตอนตา่ ง ๆ ได้รบั ความรว่ มมือและความชว่ ยเหลือเปน็ อย่าง
ดีจากคุณครูผู้สอนในระดับช้ัน ทุกท่าน ขอขอบคุณท่านเจ้าของเอกสาร บทความ ทฤษฎีและงานวิจัยต่างๆ
ตลอดจนนักเรียนระดับชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 1-3 ทีใ่ ห้การสนับสนนุ ในการจัดทำวจิ ยั
ผู้จัดทำ
21 มนี าคม 2565
4
ชอ่ื เรอ่ื ง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและความรบั ผดิ ชอบต่อตนเองของนักเรยี น
ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 1-3 วชิ าสุขศกึ ษา เรอื่ ง เรารกั สขุ ภาพ ดว้ ยการจดั การเรียนรู้
ชอ่ื ผู้วจิ ัย แบบกลมุ่ รว่ มมอื เทคนิค TGT และแบบปกติ
นายมนตรี เปล่ยี วปลอด , นายศุภชัย ชติ กุล , นางสกุ านดา ชอบทำกิจ
และนายสรุ ัตน์ สมุ าการ
ปที ี่วจิ ัย 2564
บทคัดยอ่
การวิจัยก่ึงทดลองน้ีมีความมุ่งหมายเพื่อศึกษา ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนและความรับผิดชอบต่อ
ตนเองของนักเรียน หลังจากได้รับการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT เปรียบเทียบกับ การ
จัดการเรียนรูปแบบปกติ โดยมุ่งศึกษาในด้าน 1) ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรูปตามเกณฑ์
80/80 2) ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรูป 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 4)
เปรียบเทียบความรับผิดชอบต่อตนเอง กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 โรงเรียนธิดา
แม่พระ ต.ตลาด อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ภาคเรียน ท่ี 1 - 2 ปีการศึกษา 2564 ที่ได้มาโดยการเลือกแบบ
เจาะจง (Purposive Sampling) ตามความสะดวกของช้ันเรียนท่ีนักเรียนกําลังเรียน อยู่โดยมีจํานวน
นักเรียนในกลุ่มทดลองจํานวน 21 คน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT และนักเรียน
จํานวน 24 คน เป็นกลุ่มควบคุมที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ เนื้อหา ในแต่ละวิธีสอนประกอบด้วย
แผนการจัดการเรียนรู้จํานวน 16 แผน ซ่ึงแต่ละแผนของทั้งสองวิธีสอน ใช้เวลาเท่ากัน โดยมีการจัดลําดับ
เน้ือหาเหมือนกัน เนื้อหาในแผนการจัดการเรียนรู้ท้ัง 2 แบบ คือ เน้ือหาเรื่อง เรารักสุขภาพ สําหรับ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนน้ันได้มาโดยให้นักเรยี นทําแบบทดสอบ ชนิด 3 ตัวเลอื ก จํานวน 1 ฉบับ ฉบับละ 30
ข้อ ซึ่งมี ค่าอํานาจการจําแนกอยู่ระหว่าง 0.55 - 0.88 และมีค่าความเช่ือม่ันเท่ากับ 0.85 ในขณะที่ความ
รับผิดชอบต่อตนเองน้ันนักเรียนได้ทําแบบวัด ความรับผิดชอบตนเอง จํานวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูลคือ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และสถิติในการเปรียบเทียบข้อมูลคือ
Wilcoxon Mann-Whitney U Test ผลการวิจัยปรากฏดังน้ี 1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ
เทคนิค TGT และแผนการจัดการเรียนรู้ แบบปกติที่สร้างข้ึน มีประสิทธิภาพ 83.89 /96.67และ
80.21/80.97 ตามลําดับ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ต้ังไว้ 2. ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่ม
ร่วมมือเทคนิค TGT และ ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติท่ีสร้างขึ้น มีค่าเท่ากับ 0.94
และ 0.61 หรือ คิดเป็นร้อยละ 94.48 และ ร้อยละ 61.35 ตามลําดับ 3. นกั เรียนในกลุ่มทดลองที่ได,รบั การ
จัดเรียนรู,แบบกลุ่มเทคนิคร่วมมือเทคนิค TGT มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนในกลุ่มควบคุมท่ี
ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 และ4. นักเรียนในกลุ่มทดลองที่ได
,รบั การจัดเรยี นรู,แบบกลุ่มร่วมมอื เทคนคิ TGT มีความรับผิดชอบต่อตนเองสงู กว่านักเรยี นในกลุ่มควบคมุ ท่ี
ไดร้ บั การจดั การเรยี นรู้แบบปกติ
5
สารบัญ
บทที่ หนา้
1 บทนำ
ความเป็นมาและความสำคัญ...…..…………………….............................................................. 1
วตั ถุประสงค์ ………………………………………....................................................................... 3
สมมตฐิ านการวิจยั .……………………................................................................................. 3
ขอบเขตของการศกึ ษาค้นคว้า..…………............................................................................ 3
ประโยชนท์ ค่ี าดว่าจะได้รบั …………………………………………………………………………………… 4
นยิ ามศพั ท์เฉพาะ....………………………………..................................................................... 4
2 เอกสารและทฤษฎีทีเ่ กี่ยวขอ้ ง
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน…………………...................................................... 6
หลกั สตู รสถานศกึ ษากลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ขุ ศึกษาและพละศึกษา………………................. 8
ทฤษฎีรูปแบบการเรยี นร้แู บบกลมุ่ ร่วมมอื เทคนิค TGT…………...................................... 8
ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน.........................................................................……………….……. 19
ความรับผดิ ชอบตนเอง...............................................................................……………….…. 23
งานวจิ ัยท่ีเกี่ยวขอ้ ง ..............................................................................……………….…..… 26
3 วิธีการดำเนินการศกึ ษาค้นคว้า
ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ………………………………………................................................ 30
เคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ยั ……………………………................................................................. 30
การวเิ คราะห์ข้อมลู …………………….................................................................................. 33
บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
การวเิ คราะห์ข้อมลู ........................................................................................................ 35
ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล………………………......................................................................... 35
บทท่ี 5 สรปุ ผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
สรปุ ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู …………………........................................................................ 36
ขอ้ เสนอแนะ ……………….…………………............................................................................. 36
บรรณานุกรม
ภาคผนวก
1
บทท่ี 1
บทนำ
ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา
สุขภาพ เป็นภาวะของมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ทัง้ ทางรา่ งกาย ทางจติ ใจ ทางสังคม และทางสติปญั ญา
สขุ ภาพจงึ เปน็ เรอ่ื งสำคัญเกี่ยวโยงกบั ทุกมติ ิของชวี ิต ซ่งึ ทุกคนควร จะได้เรียนรู้เรอ่ื งสุขภาพ เพื่อจะไดม้ ี
ความรู้ความเขา้ ใจ ท่ีถกู ต้อง มีเจตคติ คุณธรรมและคา่ นิยมท่ีเหมาะสม รวมทั้งมีทักษะปฏบิ ัติด้านสุภาพ
จนเป็นกิจนิสัยอันส่งผลให้สังคม โดยภาพรวมมีคุณภาพ ซึ่งสอดคล้องกับคุณภาพของคนตามเป้าหมาย
ของการจัดการศึกษาท่ีระบุไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2551 ว่าการจัด
การศึกษาต้องเป็นไปเพอ่ื พัฒนาคนไทยให้เป็นมนษุ ย์ทสี่ มบูรณ์ท้ังรา่ งกายและจติ ใจสติปัญญาความรู้และ
คุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข การ
จัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียน มี
ความสำคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศกึ ษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและ เต็ม
ศักยภาพแนวทางจัดการศึกษาท้ังทางการศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม
อธั ยาศัย ต้องเน้นความสำคัญ ทั้งความรู้คุณธรรมกระบวนการเรียนรู้และบูรณาการตามความเหมาะสม
(สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พื้นฐาน, 2551 : 1)
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน 2551 กำหนดวิสัยทัศน์ไว้สอดคล้องกับเป้าหมาย
การจัดการศึกษาดังกล่าวว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐานมุ่งพฒั นาผ้เู รียนทกุ คนซึ่งเป็นกำลัง
ของชาติให้เป็นมนุษย์ ท่ีมีความสมดุลท้ังด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรมมีจิตสํานึกในความเป็นพลเมือง
ไทย และเป็นพลโลก ยึดม่ันในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็น
ประมุข มีความรู้และทักษะพ้ืนฐานรวมทั้งเจตคติที่จําเป็นต่อการศึกษา ต่อการประกอบอาชีพ และ
การศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเช่ือว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้ และ
พฒั นาตนเอง ได้เต็มตามศักยภาพและกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรในการมุ่งพัฒนาผเู้ รียนให้เปน็ คน
ดีมีปัญญา มีความสุขมีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิด
กบั ผู้เรียน เมอื่ จบการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน โดยมขี อ้ หนงึ่ กำหนดวา่ มีสขุ ภาพกายและสุขภาพจติ ท่ีดีมสี ขุ นสิ ัย
และรักการออกกำลังกาย แสดงให้เหน็ ว่า สุขภาพเป็นองค์ประกอบพ้ืนฐานสำคญั ของการมีคุณภาพชีวิต
ทดี่ ีของบคุ คล (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2551 : 5)
กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษามีเป้าหมายเพื่อดำรงและส่งเสริมสุขภาพของ
บุคคล ครอบครัวและชุมชนให้มีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในเร่ืองสุขภาพ (Health System) และ
มุง่ เนน้ ให้ ผู้เรียนมีความสามารถในการพฒั นาพฤติกรรมสุขภาพเพ่อื การมีวถิ ีชวี ิตท่ีมีความสุขโดยใหม้ ีท้ัง
ความรู้ มีเจตคติคำนิยมที่ดีมีทักษะการปฏิบัติด้านสุขภาพและสมรรถภาพเป็นกิจนิสัยรวมทั้งคุณธรรม
จริยธรรม ดังน้ันสถานศึกษาควรจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับความสามารถ ความต้องการความสนใจ
ของผู้เรียน เพื่อเพ่ิมพูนประสบการณ์ให้ผู้เรียนทุกคนตระหนักในความสำคัญ (กระทรวงศึกษาธิการ,
2551 : 1) ดังนั้น การจัดการเรียนรสู้ ุขศึกษาและพลศึกษาจะตอ้ งมุ่งปลูกฝังความรู้ ทักษะและเจตคตทิ ่ีดี
รวมท้ัง ต้องมีวนิ ัยและความรับผิดชอบในตนเอง เพอ่ื รกั ษาสขุ ภาพทีด่ ี
ปัจจุบันประเทศไทยยังคงประสบปัญหาด้านสุขภาพ โดยเฉพาะปัญหาด้านสุขภาพ ท่ีส่งผล
กระทบต่อสังคมไทยหลายด้าน เช่น ปัญหาความเสี่ยงจากการเสพ สูบ ด่ืม ปัญหาในด้านเพศสัมพันธ์
2
และความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ ปัญหาทางด้านจิตใจ ปัญหาความรุนแรงในสังคมและครอบครัว
ปัญหา ต่อมาก็คือ สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ปัญหาต่อมาก็คือ สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เป็นต้น
นอกจากน้ี ยังพบโรคที่เกิดจากความเครียด วิถีชีวิต และพฤติกรรมการบริโภค ท่ีไม่เหมาะสมมีคน
เจ็บป่วยจากทุพโภชนาการ และโรคติดต่อตา่ งๆ เช่น วณั โรค และมาลาเรยี การสูบบหุ รี่ โรคหวั ใจ ความ
ดันโลหิตสูง และเบาหวาน สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการให้ความสำคัญ และ
แก้ไขและท่ีสำคัญท่สี ุดก็คือความตระหนักของประชาชนต่อปัญหาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง
อย่างแรกจะต้องมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งจะเป็นกลุ่มเส่ียงของปัญหาสุขภาพท่ี หลากหลาย
โดยการส่งเสริมความเข้มแข็งในครอบครัว เพ่ิมบทบาทของสถานศึกษา องค์กรปกครอง ส่วนท้องถ่ิน
และชุมชนในการดูแลความเส่ียงต่างๆ (พินิจ ฟ้าอำนวยผล, 2553) ในบทบาทของ สถานศึกษามีการ
ส่งเสริมการสร้างเสริมสุขภาพท้ังในและนอกหลักสูตร โดยในหลักสูตรได้กำหนด สาระเนื้อหาเป็น
มาตรฐานจำเป็นต้องเรียนรู้สำหรับนักเรียนไว้ได้แก่ สาระที่ 1 การเจริญเติบโต และ พัฒนาการของ
มนุษย์ สาระที่ 2 ชีวิต และครอบครัว สาระท่ี 3 การเคล่ือนไหว การออกกําลังกาย การเล่นเกม กีฬา
ไทย และกีฬาสากล สาระที่ 4 การเสรมิ สร้างสุขภาพ สมรรถภาพ และการป้องโรค และสาระท่ี 5 ความ
ปลอดภัยในชีวิต ซ่ึงล้วนมีความสำคัญจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการ มีความสมบูรณ์ ของรา่ งกายและจิตใจ
โดยเฉพาะในสาระที่ 4 ท่ีได้กำหนดมาตรฐานในหลักสูตรแกนกลางว่า เห็นคุณค่า และมีทักษะในการ
สร้างเสริมสุขภาพ การดำรงสุขภาพ การป้องกันโรคและการเสริมสร้างสมรรถภาพ เพ่ือสุขภาพ เป็น
สาระสำคัญเริ่มต้นท่ีจะทำให้คนสุขภาพดี ปราศจากโรคด้วยการป้องกัน และเสริมสร้าง ร่างกายให้
แขง็ แรง มีความความพร้อมตอ่ สถานการณ์ทางสขุ ภาพ
ผูว้ ิจัยได้ทำการวิเคราะห์สภาพปัญหาและข้อมูลด้านการจัดการเรียนการสอน พบว่านักเรียน
ขาดสุขนิสัยที่ดีในการดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว การศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับการ สุขภาพ เป็น
เรือ่ งที่คำนงึ ถงึ นอ้ ยกว่าการมีอยมู่ ีกิน นกั เรยี นจึงเกิดอาการ ป่วยไข้ ไม่สบายบอ่ ยครัง้ ทำให้เสียการเรียน
ผู้ปกครอง ก็เสียเวลา เสียเงินในการรักษา เนื่องจากขาดความรู้ ความเข้าใจในการดูสุขภาพร่างกาย ใน
ฐานะครูผู้สอนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1-3 ที่ มีความเข้าใจ และตระหนักในปัญหา จึงหาแนวทางและ
วิธีการท่ีจะทำให้นักเรียนได้เรียนรู้ และ เกิดความเข้าใจในการเสริมสร้างสุขภาพ สมรรถภาพและการ
ป้องกันโรค มีความรับผิดชอบต่อตนเอง ในด้านสุขภาพ เพื่อให้นักเรียนมีสุขภาพร่างกายท่ีแข็งแรง
ผู้วิจัยมีประสบการณ์ในการจัดการเรียนรู้ มากกว่า 20 ปี พบว่านักเรียนระดับประถมศึกษาจะมีปัญหา
สำคัญอยู่ 2 ประการคือ ปัญหาด้านสุขภาพ และด้านการเรียนรู้ ซ่ึงปัญหาท้ังสองส่วนมักจะคล้อยตาม
กันคือ นักเรียนสุขภาพไมดี ร่างกายไมสมบูรณ์ ย่อมมีผลกระทบที่จิตใจ ความพรอ้ มทางด้านการเรียนรู้
จึงทำให้ผลการเรียนต่ำไปด้วย ดังน้ัน การจัดการเรียนรู้ระดับประถมศึกษาจึงจะต้องจัดให้นักเรียนได้
เรยี นรอู้ ย่างสมดลุ ทุกด้าน ดงั นน้ั เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวมาแล้วข้างต้น จึงตอ้ งมีการปรับปรุงกระบวนการ
เรยี นการสอน ใหม่โดยการใหผ้ ู้เรียนมีบทบาทสำคัญในกระบวนการจัดการเรยี นการสอนที่สอดคล้องกับ
การดำรงชีวิต เหมาะสมกับความสามารถและความสนใจของผู้เรียน มีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอ่ืน
และส่ิงแวดล้อม รอบตัว จนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง (ทิศนา แขมมณี, 2542 : 5) ซ่ึงวิธีการสอนแบบ
กลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT เป็นการจัดการเรียนรู้อีกวิธีหนึ่งที่สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะท่ีพึง
ประสงค์
จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยต่างๆ เพ่ือเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาการจัดการ
เรียนรู้ และพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ผู้วิจัยจึงได้นำแนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือมือ โดยใช้เทคนิค
TGT มาเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระสุขศึกษาและพลศึกษา เพื่อให้นักเรียนในระดับช้ัน
3
ประถมศึกษาปีที่ 1-3 โรงเรียนธิดาแม่พระ ได้มีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับการเสริมสร้างสุขภาพ
สมรรถภาพและการป้องกันโรค และมีทักษะการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน มีความรับผิดชอบต่อ
ตนเอง และสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างสมดุลทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา ตามเป้าหมายของ
หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 อีกทัง้ เปน็ การสรา้ งนวัตกรรมด้านการจดั การเรียนรู้
ท่มี ปี ระสิทธภิ าพสงู สุดตอ่ ไป
วตั ถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพ่ือพัฒนาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT วิชาสุข
ศึกษา เร่อื ง เรารักสุขภาพชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 1-3 ตามเกณฑ์ 80/80
2. เพ่ือศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT วิชาสุข
ศกึ ษา เรอ่ื ง เรารักสขุ ภาพชน้ั ประถมศึกษาศึกษาปีท่ี 1-3
3. เพอ่ื เปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้แบบกลมุ่ ร่วมมอื เทคนิค TGT และ แผนการเรียนรู้
ด้วยวธิ สี อนแบบปกติ วชิ าสขุ ศึกษา เรอื่ ง เรารักสุขภาพชัน้ ประถมศึกษาศึกษาปีที่ 1-3
4. เพ่ือเปรียบเทียบความรับผิดชอบตนเองของนักเรยี นชั้นประถมศึกษาศึกษาปที ่ี 1-3 ที่จดั การ
การเรียนรู้แบบกล่มุ รว่ มมอื เทคนิค TGT และการเรยี นรู้ด้วยวธิ สี อนแบบปกติ
สมมตุ ิฐานการวิจยั
นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT วิชาสุขศึกษา เร่ือง เรารัก
สุขภาพ ช้ันประถมศึกษาศึกษาปีท่ี 1-3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีความรับผิดชอบต่อตนเอง สูงกว่า
นักเรียนท่ไี ดร้ ับการจัดเรียนรู้ ด้วยวธิ ีสอนแบบปกติ
ขอบเขตการวจิ ยั
ประชากร
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1-3 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ ต.ตลาด อ.เมือง จ.
สรุ าษฎรธ์ านี
กลุ่มตวั อยา่ ง
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1-3 โรงเรียนธิดาแม่พระ ต.ตลาด อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ภาค
เรียน ท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 ที่ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 45
คนโดยกำหนดเป็นกลุ่มทดลอง 1 ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT และกลุ่ม
ควบคมุ 2 ใชร้ ูปแบบการจัดการเรยี นร้วู ิธีการสอนแบบปกติ
เนือ้ หาทใ่ี ช้ในการวจิ ัย
เน้ือหาที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นเนื้อหาสาระสุขศึกษา สาระการเรียนรู้ท่ี 4 การ
เสรมิ สร้างสุขภาพ สมรรถภาพและการปอ้ งกันโรค เร่อื งเรารักสุขภาพ ประกอบด้วยเนื้อหาดังน้ี ลักษณะ
ของการมีสุขภาพดี การดูแลรักษาร่างกายและของใช้ การดูแลรักษาฟัน สุขนิสัยในการรับประทาน
อาหาร อาหารสะอาด สิ่งเสพติด ครอบครัวอบอุ่น อุบัติภัย การออกกำลงั กาย จิตใจรา่ เริง จิตสํานึกต่อ
ส่วนรวม อาหารหลัก 5 หมู่ หลักการเลือกอาหาร เคร่ืองหมายในผลิตภัณฑ์ สุขภาพและฉลากอาหาร
การส่อื สารทดี่ ี การปฏิบัตติ นเม่ืออยทู่ ี่บ้าน การปฏิบัติตนเมื่ออยใู่ นโรงเรยี น
4
สถิติที่ใชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู
สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งน้ี ผู้วิจัยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล 2 ประเภท
ไดแ้ ก่ สถติ พิ ้ืนฐาน และสถิตทิ ่ีใช้หาคณุ ภาพเครือ่ งมอื
1. ค่าเฉลย่ี จากสตู ร (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2545 : 104)
สูตร X = fx
n
เมื่อ X คือ คา่ เฉลยี่ ของคะแนน
fx คือ ผลรวมของคะแนนทงั้ หมด
n คือ จำนวนนกั เรียนทง้ั หมด
2. การคำนวณคา่ เบีย่ งเบนมาตรฐาน โดยใช้สตู ร (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2545 : 104)
S.D. = (Xi − X)2
n −1
เมื่อ S.D. คือ คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน
X คือ ค่าเฉล่ีย
Xi คอื คะแนนของนักเรยี นคนท่ี i
n คอื จำนวนนักเรยี น
ประโยชนท์ คี่ าดว่าจะไดร้ ับ
1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT วิชาสุขศึกษา เร่ือง เรารักสุขภาพช้ัน
ประถมศกึ ษาปีท่ี 1-3 ตามเกณฑ์ 80/80 มีการพัฒนาประสิทธิภาพมากขึน้
2. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT วิชาสุขศึกษา เร่ือง เรารัก
สุขภาพ ชั้นประถมศึกษาศึกษาปีที่ 1-3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดเรียนรู้
ดว้ ยวธิ สี อนแบบปกติ
3. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT วิชาสุขศึกษา เรื่อง เรารัก
สขุ ภาพ ชั้นประถมศึกษาศึกษาปีท่ี 1-3 มคี วามรับผิดชอบต่อตนเอง สูงกว่านักเรียนทไี่ ด้รับการจัดเรียนรู้
ดว้ ยวิธสี อนแบบปกติ
นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ
1. การจัดการเรียนรู้แบบรวมมือด้วยเทคนิค TGT หมายถึง การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือท่ี
แบ่ง ผู้เรยี นทมี่ ีความสามารถแตกตา่ งกันออกเป็นกลุ่มเพือ่ ทำงานร่วมกันกล่มุ ละ 3-4 คน โดยกําหนดให้
สมาชิกของกลุ่มได้แข่งขันกันในเกมการเรยี นท่ีผู้สอนจัดเตรียมไว้แล้ว ทำการทดสอบความรู้ โดยการใช้
เกมการแข่งขัน คะแนนที่ได้จากการแข่งขันของสมาชิกแต่ละคนในลักษณะการแข่งขันตัวต่อตัวกับทีม
อ่ืนนำเอามาบวกเป็นคะแนนรวมของทีมผู้สอนจะต้องใช้เทคนิคการเสริมแรง เช่น รางวัล คำชมเชยเป็น
ตน้ ดังนนั้ สมาชกิ กลุ่มจะต้องมกี ารกำหนดเป้าหมายร่วมกนั ชว่ ยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อความสำเร็จของก
ลุม มี 3 ข้ันตอน ไดแ้ ก่ ข้นั ท่ี 1 แบง่ กลุ่ม ข้ันท่ี 2 การเสนอความรู้ ข้ันท่ี 3 ทำกิจกรรม
5
2. วิธีการสอนแบบปกติ หมายถึง เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมี
คุณลักษณะหรอื จดุ ประสงค์ ตามหลักสูตรซึ่งมีขั้นตอนในการสอน 3 ขั้นตอนคอื ขน้ั นำเข้าสูบทเรยี น ข้ัน
การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน และข้นั สรุป ซงึ่ ในแต่ละข้ันตอนนั้นครูผ้สู อนอาจดำเนนิ กิจกรรมต่างๆ
กันไป ตามเนื้อหาหรือวชิ าท่ีสอนและตามสภาวะแวดลอ้ มที่แตกต่างกัน แต่ก็นำไปสูผลของหลักสูตรและ
พฒั นาใหเ้ กิดทกั ษะแกผูเ้ รยี นภายใต้ความมงุ่ หมายเดียวกนั
3. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความรู้หรือทักษะซึ่งเกิดจากการทำงานที่ประสานกัน
และต้องอาศัยความพยายามอย่างมาก ท้ังองค์ประกอบทางด้านสติปัญญา และองค์ประกอบท่ีไม่ใช่
สติปัญญาแสดงออกในรูปของความสำเรจ็ สามารถวดั ได้โดยการใช้แบบทดสอบ
4. ความรับผิดชอบตนเอง หมายถึง การปฏิบัติหนา้ ที่การงานของตนด้วยความเอาใจใส่ ความ
ขยันหม่ันเพียร อดทนต่อสู้อุปสรรค ไม่ย่อท้อ มีความละเอียดรอบคอบ ซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลา ไมละเลย
ทอดทง้ิ หรือหลีกเล่ียง พยายามปรบั ปรุงให้ดขี ึน้ รู้จกั วางแผนและปอ้ งกันความบกพร่องเสื่อมเสีย ในงาน
ท่ีตนรับผิดชอบ ใส่ใจในงานจนงานสำเรจ็ ลลุ ว่ งไปดว้ ยดี โดยใช้แบบวัดทีผ่ วู้ จิ ัยสรา้ งขึ้น
5. แบบวัดความรับผิดชอบต่อตนเอง หมายถึง แบบวัดพฤติกรรมของนักเรียนท่ีแสดงออก
ด้วยการปฏิบัติหน้าท่ีของตนเองด้วยความเอาใจใส ไม่ละเลยหลีกเลีย่ งหรือทอดท้ิงงาน มีความพยายาม
ทำงานให้บรรลุเป้าหมาย มีความละเอียดรอบคอบ ตรงต่อเวลา ยอมรับผลการกระทำของตนและ
พยายามปรับปรุงงานของตนให้ดีย่ิงข้ึน โดยไม่ต้องมีการบังคับจากบุคคลอ่ืน ซึ่งวัดได้ด้วยคะแนน จาก
แบบวัดความรับผิดชอบตนเองของนักเรียนด้านหน้าที่ ด้านร่างกาย ด้านการเรียน ด้านการทำงาน ท่ี
ผ้วู จิ ยั สร้างข้นึ ตามวิธีของลิเคิร์ท และหาคุณภาพแล้วเป็นแบบวัดความรับผิดชอบ 3 ระดบั
6. แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง เอกสารแผนการจัดกิจรรมการเรียนรู้ที่แสดงรายละเอียด
ข้ันตอนการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT และแบบปกติ เร่ืองเรารักสุขภาพ วิชาสุขศึกษา
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นแบบละ 16 แผนแผนละ 1 ช่ัวโมงรวม 16
ชัว่ โมง มีองค์ประกอบได้แก่ จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กระบวนการ ส่ือ/แหลง่ เรยี นรู้ การ
วดั ผลและ ประเมินผล
7. ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง คุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้
ด้านกระบวนการและผลลัพธต์ ามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 ดังนี้
80 ตัวแรก หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการ โดยได้จากร้อยละของคะแนนเฉลี่ย ของ
นักเรียนทุกคนท่ีได้จากการประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ ใบงาน และการทำแบบทดสอบย่อยท้าย
แผนการจดั การเรยี นรู้ โดยรวมทุกแผนได้คะแนนเฉล่ยี ไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 80
80 ตัวหลัง หมายถึง ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ โดยได้จากร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของ
นกั เรียนทุกคนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรยี น จากการจัดการเรียนรู้ แบบ
กลมุ่ รว่ มมือเทคนิค TGT และวธิ กี ารสอนแบบปกติ ได้คะแนนเฉลยี่ ไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 80
8. ดัชนีประสิทธิผล (The Effectiveness Index) หมายถึง ค่าท่ีแสดงความก้าวหน้า
ทางการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เรียน เรื่องเรารักสุขภาพ วิชาสุขศึกษา ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1-3 โดยใช้การ
จัดการเรยี นรู้แบบกลุม่ รว่ มมือเทคนิค TGT และวิธกี ารสอนแบบปกติ ซึง่ คํานวณจาก คะแนนผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนกอ่ นเรยี นและหลงั เรียน
9. นักเรียน หมายถึง นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1-3 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง
จงั หวดั สรุ าษฎร์ธานี ภาคเรยี นที่ 1-2 ปีการศึกษา 2564
6
บทท่ี 2
เอกสารและผลงานวจิ ัยทีเ่ กยี่ วขอ้ ง
การวิจัยเร่ืองการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์และความรับผิดชอบตนเอง สาระการเรียนรู้สุข
ศึกษา เรื่อง เรารักสุขภาพ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1-3 ด้วยการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT และ
วิธีการสอน แบบปกติ ในครั้งนี้ ผู้วิจัยศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพ่ือเป็นแนวทางในการ
ดําเนินการวจิ ัย ดงั น้ี
1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน 2551
2. หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา
3. ทฤษฎีรปู แบบการจัดการเรยี นรู้แบบกลุ่มรว่ มมอื เทคนิค TGT
4. การสอนแบบปกติ
5. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
6. ความรับผิดชอบตนเอง
7. งานวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วข้อง
หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน 2551
1. วสิ ัยทศั น์
หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรยี นทุกคน ซึ่งเป็นกําลังของชาติ
ให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสํานึกในความเป็นพลเมืองไทยและ
เป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมี
ความรู้ และทักษะพ้ืนฐาน รวมทั้งเจตคติที่จําเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการศึกษา
ตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรยี นเป็นสาํ คัญ บนพ้ืนฐานความเช่ือว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
ไดเ้ ต็มตามศกั ยภาพ
2. หลักการ
หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐานมีหลกั การที่สาํ คญั ดงั น้ี
2.1 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพ่ือความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐาน
การเรียนรู้เป็นเป้าหมายสําหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติและคุณธรรมบน
พืน้ ฐาน ของความเปน็ ไทยควบคู่กบั ความเป็นสากล
2.2 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา
อย่างเสมอภาคและมีคุณภาพ
2.3 เป็นหลักสตู รการศึกษาที่สนองการกระจายอํานาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด
การศึกษาใหส้ อดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถ่ิน
2.4 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลา และ
การจดั การเรยี นรู้
2.5 เป็นหลักสูตรการศกึ ษาทเี่ น้นผู้เรยี นเป็นสาํ คญั
2.6 เป็นหลักสูตรการศึกษา สําหรับการศึกษาในระบบนอกระบบและตามอัธยาศัย
ครอบคลุมทกุ กลมุ่ เปา้ หมาย สามารถเทยี บโอนผลการเรยี นรู้ และประสบการณ์
7
3. จดุ หมาย
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐานมุ่งพฒั นาผู้เรียนให้เป็นคนดีมีปัญญามีความสุข มี
ศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกําหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบ
การศึกษาขนั้ พ้ืนฐานดังนี้
3.1 มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านยิ มท่ีพึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเองมีวนิ ัยและ
ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพยี ง
3.2 มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหาการใช้เทคโนโลยี
และมที ักษะชีวิต
3.3 มสี ุขภาพกาย และสขุ ภาพจติ ทดี่ ี มสี ขุ นิสยั และรกั การออกกาํ ลงั กาย
3.4 มีความรักชาติมีจิตสํานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดม่ันในวิถีชีวิต
และ การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั ริย์ทรงเปน็ ประมุข
3.5 มีจิตสํานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา
ส่ิงแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทําประโยชน์และสร้างสิ่งท่ีดีงามในสงั คม และอยู่รว่ มกันในสังคมอย่างมี
ความสุข
4. สมรรถนะสําคัญของผู้เรยี น ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน
พน้ื ฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรยี นให้มี สมรรถนะสาํ คัญ 5 ประการ ดงั นี้
4.1 ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรม
ใน การใช้ภาษาถ่ายทอดความคิดความรู้ความเข้าใจความรู้สึกและทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปล่ียน
ข้อมูล ข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง และสังคมรวมทั้งการเจรจา
ต่อรอง เพ่ือขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล
และ ความถูกต้องตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ท่ีมีประสิทธิภาพ โดยคํานึงถึงผลกระทบท่ีมีต่อ
ตนเอง และสงั คม
4.2 ความสามารถในการคิดเป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์การคิดสังเคราะห์
การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบเพื่อนําไปสู่การสร้างองค์
ความรู้หรอื สารสนเทศเพอ่ื การตัดสนิ ใจเกย่ี วกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม
4.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค
ตา่ งๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกตอ้ งเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เขา้ ใจ
ความสัมพันธ์ และการเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้ มาใช้
ในการป้องกัน และแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจท่ีมีประสิทธิภาพโดยคํานึงถึงผลกระทบ ท่ีเกิดขึ้นต่อ
ตนเองสังคมและสิง่ แวดล้อม
4.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิตเป็นความสามารถในการนํากระบวนการต่างๆ
ไปใช้ในการดําเนินชีวิตประจําวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างตอ่ เนื่องการทาํ งาน และ การอยู่
ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคลการจัดการปัญหาและความขัดแย้ง
ตา่ งๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จัก
หลกี เลย่ี งพฤติกรรมไม่พงึ ประสงคท์ ่ีส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อน่ื
8
4.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้
เทคโนโลยี ด้านต่างๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้าน
การเรียนรู้ การสื่อสารการทํางานการแก้ปัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ ถกู ต้องเหมาะสม และมคี ณุ ธรรม
หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรู้สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา
ทําไมต้องเรียนสุขศึกษาและพลศึกษา สุขภาพหรือสุขภาวะ หมายถึง ภาวะของมนุษย์ท่ี
สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย ทางจิต ทางสังคม และทางปัญญาหรือจิตวิญญาณ สุขภาพหรือสุขภาวะจึงเป็น
เร่อื งสําคัญ เพราะเกีย่ วโยงกับ ทกุ ลิมิตของชีวติ ซงึ่ ทกุ คนควรจะได้เรยี นรู้ เรื่องสุขภาพ เพื่อจะได้มคี วามรู้
ความเข้าใจที่ถูกต้อง มีเจตคติ คุณธรรม และค่านิยมที่เหมาะสม รวมทั้งมีทักษะปฏิบัติด้านสุขภาพ จน
เป็นกิจนิสัย อันจะส่งผลให้สังคม โดยรวมมีคุณภาพ เรียนรู้อะไรในสุขศึกษาและพละศึกษา สุขศึกษา
และพละศึกษา เป็นการศึกษาด้านสุขภาพท่ีมีเป้าหมาย เพื่อการดํารงสุขภาพ การสร้างเสริมสุขภาพ
และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคล ครอบครัว และชุมชนให้ยั่งยืน สุขศึกษา มุ่งเน้นให้ผู้เรียนพัฒนา
พฤติกรรมด้านความรู้ เจตคติ คุณธรรม ค่านิยม และการปฏิบัติ เก่ียวกับสุขภาพควบคู่ไปด้วยกัน พล
ศึกษา มุ่งเน้นให้ผู้เรียนใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหว การออกกําลังกาย การเล่นเกม และกีฬา เป็น
เคร่ืองมือในการพัฒนาโดยรวมท้ังทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปัญญา รวมทั้ง สมรรถภาพ
เพอ่ื สุขภาพและกีฬา สาระท่ีเป็นกรอบเน้อื หาหรือขอบข่ายองค์ความรู้ของกลุ่มสาระการเรยี นรู้สุขศกึ ษา
และพละ ศกึ ษาประกอบด้วย
1. การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เร่ืองธรรมชาติของ การ
เจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโต ความสัมพันธ์เช่ือมโยงใน การ
ทาํ งานของระบบต่างๆ ของร่างกาย รวมถงึ วิธปี ฏิบตั ิตนเพ่ือให้เจรญิ เติบโตและมพี ฒั นาการสมวัย
2. ชีวิตและครอบครัว ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เร่ืองคุณค่าของตนเองและครอบครัว การ
ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ความรู้สึกทางเพศ การสร้างและรักษา
สัมพันธภาพกับผู้อืน่ สุขปฏิบัตทิ างเพศ และทักษะในการดําเนินชีวิต
3. การเคล่ือนไหว การออกกําลังกาย การเล่นเกม กีฬาไทย และกีฬาสากล ผู้เรียน ได้
เรยี นรู้เร่ืองการเคลอ่ื นไหวในรูปแบบต่างๆ การเข้าร่วมกิจกรรมทางกายและกีฬา ท้ังประเภทบคุ คล และ
ประเภททีมอย่างหลากหลายท้ังไทยและสากล การปฏิบัติตามกฎและกติกา ระเบียบและข้อตกลง ใน
การเขา้ ร่วมกิจกรรมทางกายและกฬี า และความมนี ้ำใจนกั กีฬา
4. การสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพ และการป้องกันโรค ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ เก่ียวกับ
หลักและวิธีการบริโภคอาหาร ผลิตภัณฑ์ และบริการสุขภาพ การสร้างเสริมสมรรถภาพ เพื่อสุขภาพ
และการป้องกันโรค ทงั้ โรคตดิ ต่อและโรคไม่ตดิ ต่อ
5. ความปลอดภัยในชีวิต ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ เรื่องการป้องกนั ตนเองจากพฤติกรรม เสย่ี ง
ต่างๆ ทั้งความเส่ียงต่อสุขภาพ อุบัติเหตุ ความรุนแรง อันตรายจากการใช้ยาและสารเสพติด รวมถึง
แนวทางในการสร้างเสริมความปลอดภยั ในชีวิต
6. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ 1 การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์
มาตรฐาน พ 1.1 เขา้ ใจธรรมชาติของการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์
สาระท่ี 2 ชีวิตและครอบครัว
9
มาตรฐาน พ 2.1 เข้าใจและเห็นคุณค่าของตนเอง ครอบครัว เพศศึกษา และ มี
ทกั ษะในการดําเนนิ ชีวิต
สาระท่ี 3 การเคล่อื นไหว การออกกาํ ลังกาย การเล่นเกม กฬี าไทย และกีฬาสากล
มาตรฐาน พ 3.1 เข้าใจ มีทักษะในการเคล่ือนไหว กิจกรรมทางกาย การเล่นเกม
และกีฬา
มาตรฐาน พ 3.2 รักการออกกําลังกาย การเล่นเกม และการเล่นกีฬา ปฏิบัติเป็น
ประจําอย่างสม่ำเสมอ มีวินัย เคารพสิทธิ กฎ กติกา มีจิตวิญญาณในการแข่งขัน และช่ืนชม ใน
สุนทรยี ภาพของการกฬี า
สาระท่ี 4 การสร้างเสริมสขุ ภาพ สมรรถภาพ และการป้องกันโรค
มาตรฐาน พ 4.1 เห็นคุณค่าและมีทักษะในการสร้างเสริมสุขภาพ การดํารงสุขภาพ
การปอ้ งกันโรค และการสร้างเสริมสมรถภาพเพอื่ สุขภาพ
สาระที่ 5 ความปลอดภยั ในชวี ติ
มาตรฐาน พ 5.1 ป้องกันและหลีกเลี่ยงปัจจัยเส่ียง พฤติกรรมเส่ียงต่อสุขภาพ
อุบตั ิเหตุ การใช้ยา สารเสพติด และความรนุ แรง
คุณภาพผู้เรยี น จบช้นั ประถมศึกษาปีที่ 3
1. มีความรู้และเข้าใจในเรื่องการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ ปัจจัยที่มีผลต่อ
การเจรญิ เตบิ โตและพฒั นาการ วธิ ีการสร้างสมั พนั ธภาพในครอบครัวและกลุ่มเพ่ือน
2. มีสุขนิสัยที่ดีในเรื่องการกิน การพักผ่อนนอนหลับ การรักษาความสะอาด อวัยวะทุก
สว่ นของร่างกาย การเล่นและการออกกําลงั กาย
3. ป้องกันตนเองจากพฤติกรรมที่อาจนําไปสู่การใช้สารเสพติด การถูกล่วงละเมิด ทาง
เพศ และรจู้ ักปฏเิ สธในเรือ่ งที่ไม.เหมาะสม
4. ควบคุมการเคล่ือนไหวของตนเองได้ตามพัฒนาการในแต่ละช่วงอายุ มีทักษะ การ
เคลื่อนไหวข้ันพ้ืนฐานและมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางกาย กิจกรรมสร้างเสริมสมรรถภาพ ทางกายเพื่อ
สขุ ภาพและเกมได้อย่างสนุกสนานและปลอดภัย
5. มีทักษะในการเลือกบริโภคอาหาร ของเล่น ของใช้ที่มีผลต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงและ
ปอ้ งกันตนเองจากอบุ ตเิ หตไุ ด้
6. ปฏิบัติตนได้อย่างถูกตอ้ งเหมาะสมเม่อื มปี ัญหาทางอารมณ์ และปญั หาสุขภาพ
7. ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ ข้อตกลง คําแนะนํา และข้ันตอนต่างๆ และ ให้ความร่วมมือ
กบั ผู้อื่นด้วยความเต็มใจจนงานประสบความสําเร็จ
8. ปฏิบตั ติ ามสทิ ธขิ องตนเองและเคารพสิทธิของผู้อน่ื ในการเล่นเป็นกลุ่ม
สรุปได้วา่ หลักสูตรการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาหมายถงึ ภาวะของมนุษย์ที่สมบูรณ์
ทั้งทางร่างกาย ทางจิต ทางสังคม และทางปัญญาหรือจิตวิญญาณ สุขภาพหรือสุขภาวะ จึงเป็นเร่ือง
สําคัญ เพราะเกีย่ วโยงกับทุกมิติของชีวติ ซ่งึ ทกุ คนควรจะได้เรยี นรู้ เร่อื งสขุ ภาพ เพือ่ จะได้มีความรู้ ความ
เขา้ ใจท่ีถูกต้อง มีเจตคติ คุณธรรม และค่านยิ มที่เหมาะสม รวมทั้งมีทักษะปฏบิ ัติด้านสุขภาพจน เป็นกิจ
นิสัย อันจะส่งผลให้สังคมโดยรวมมีคุณภาพ สุขศึกษาและพละศึกษาเป็นการศึกษาด้านสุขภาพ ท่ีมี
เป้าหมาย เพ่อื การดํารงสุขภาพ การสร้างเสรมิ สุขภาพ และการพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของบุคคล ครอบครัว
และชุมชนให้ยั่งยืน มุ่งเน้นให้ผู้เรียนพัฒนาพฤติกรรมด้านความรู้ เจตคติ คุณธรรม ค่านิยม และการ
ปฏิบัตเิ กย่ี วกบั สขุ ภาพควบคู่ไปด้วยกันส่วนพลศึกษามุ่งเน้นให้ผู้เรยี นใช้กิจกรรมการเคลอื่ นไหว การออก
10
กําลังกาย การเล่นเกม และกีฬา เป็นเคร่ืองมือในการพัฒนาโดยรวมทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์
สงั คม สตปิ ัญญา รวมทงั้ สมรรถภาพเพอื่ สขุ ภาพและกีฬา
ทฤษฎีรูปแบบการเรยี นรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT
ผู้วิจัยได้ศึกษาทฤษฎี รูปแบบการเรียนรู้แบบกลุ่มรว่ มมือ ดังน้ี รูปแบบการเรียนการสอน
ของการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ พัฒนาขึ้น โดยอาศัยหลักการ เรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือของจอห์นสัน
(Johnson and Johnson. 1974 : 213-240) ซึ่งได้ชี้ให้เห็น ว่า ผู้เรียนควรร่วมมือกันในการเรียนรู้
มากกว่า การแขง่ ขันกัน เพราะการแขง่ ขนั ก่อให้เกิดสภาพการณ์ ของการแพ้-ชนะ อันเป็นสภาพการณ์ท่ี
ดกี ว่า ท้งั ทางดา้ นจิตใจและสติปัญญา
หลักการเรียนรู้ แบบกลมุ่ รว่ มมอื 5 ประการ ประกอบด้วย
(1) การเรียนรู้ต้องอาศัยหลักการพึ่งพากัน (Positive Interdependence) โดยถือ
วา่ ทกุ คนมคี วามสําคัญเท่าเทยี มกันและจะต้องพ่ึงพาอาศัยกัน เพ่ือความสําเร็จร่วมกนั
(2) การติดต่อปฏิสัมพันธ์โดยตรง (Face to Face Promotion Interaction)
เนื่องจากการพึ่งพาอาศัยกันจะเกิดผลดีต้องมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซ่ึงกันและกันระหว่าง
นักเรยี นในการเรียนแบบ
(3) การเรียนรู้ร่วมกันต้องอาศัยทักษะทางสังคม (Social Skills) โดยเฉพาะ ทักษะ
ในการทาํ งานร่วมกัน
(4) การเรียนรู้ควรมีการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม (Group Processing) ท่ีใช้ใน
การทํางาน
(5) การเรียนรู้ร่วมกันจะต้องมีผลงานหรือผลสัมฤทธ์ิท้ังรายบุคคลและรายกลุ่ม ท่ี
สามารถตรวจสอบและวัดประเมินได้ (Individual Accountability) หากผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้แบบ
กลุ่มร่วมมอื กัน นอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทางด้านเน้อื หาสาระต่างๆ ได้กว้างข้ึนและลึกซึ้ง
ขน้ึ แล้ว ยงั สามารถช่วยพัฒนาผู้เรยี นทางด้านสงั คมและอารมณ์มากข้นึ ด้วย รวมท้งั ไดม้ ีโอกาสและฝึกฝน
พัฒนาทกั ษะกระบวนการต่างๆ ทีจ่ ําเป็นต่อการดํารงชีวิต อีกมาก (ทิศนา แขมมณ.ี 2553 : 265)
การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ (Cooperative Learning) เป็นวิธีการจัดกิจกรรมการเรียน
การสอนทเี่ น้นการจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้แก่ผู้เรียนได้เรียนรู้รว่ มกันเป็นกลุ่มเลก็ ๆ แต่ละกลุ่ม
ประกอบด้วยสมาชิกท่ีมีความรู้ความสามารถแตกต่างกันโดยที่แต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการ
เรียนรู้และในความสําเร็จของกลุ่มโดยการแลกเปล่ียนความคิดเห็น การแบ่งปันทรัพยากรการเรียนรู้
รวมท้ังการเป็นกําลังใจแก่กันและกัน คนที่เรียนเก่งจะช่วยเหลือคนที่อ่อนกว่าสมาชิกในกลุ่มไม่เพียงแต่
รับผิดชอบต่อการเรยี นของตนเองเท่านัน้ หากแต่ต้องร่วมรับผิดชอบต่อการเรยี นของเพ่ือนสมาชิก ทุกคน
ในกลุ่ม ความสําเร็จของแต่ละบุคคลคือความสําเร็จของกลุ่ม การเรียนแบบกลุ่มร่วมมือสามารถนําไปใช้
กบั การเรยี นทุกวิชาและทุกระดับช้ันและจะมีประสิทธิผลย่งิ ขึ้นกับกิจกรรมการเรยี นรู้ท่ีมุ่งพัฒนาผู้เรียน
ในด้านการแก้ปัญหา การกําหนดเป้าหมาย ในการเรียนรู้ การคิดแบบหลากหลาย การปฏิบัติภารกิจที่
ซับซ้อน การเน้นคุณธรรมจริยธรรม การเสริมสร้างประชาธิปไตยในช้ันเรียน ทักษะทางสังคม การสร้าง
นสิ ยั ความรบั ผดิ ชอบร่วมกนั และ ความรว่ มมอื ภายในกลุ่ม
ข้ันตอนการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ
1. ข้ันเตรียม กิจกรรมในข้ันเตรียมประกอบด้วย ครูแนะนําทักษะในการเรียนรู้ร่วมกัน
และจัดเป็นกลุ่มย่อยๆ ประมาณ 2-6 คน ควรแนะนําเกี่ยวกับระเบียบของกลุ่ม บทบาทและหน้าที่ของ
11
สมาชิกกลุ่มแจ้งวัตถปุ ระสงค์ของบทเรียนและการทํากิจกรรมร่วมกนั และการฝึกฝนทักษะพื้นฐานจําเป็น
สาํ หรับการทํากจิ กรรมกลุ่ม
2. ขั้นสอน ครูนําเข้าสู่บทเรียน แนะนําเน้ือหา แนะนําแหล่งข้อมูลและมอบหมายงาน
ใหน้ กั เรยี นแต่ละกลุ่ม
3. ข้ันทํากิจกรรมกลุ่ม ผู้เรียนเรียนรู้ร่วมกันในกลุ่มย่อยโดยที่แต่ละคนมีบทบาทและ
หน้าท่ี ตามที่ได้รับมอบหมาย เป็นขนั้ ที่สมาชกิ ในกลุ่มจะได้รบั ผิดชอบต่อผลงานของกลุ่มในข้ันนี้ ครูอาจ
กําหนดให้ผู้เรียนใช้เทคนิคต่างๆ เช่น แบบ JIGSAW, TGT, STAD, TAI, GT, LT, MHT, CO-OP. CO-
OPเป็นต้น ในการทํากิจกรรมแต่ละครั้งเทคนิคที่ใช้จะต้องเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการเรียน แต่ละ
เรื่องในการเรียนครั้งหนึ่งๆ อาจต้องใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือหลายๆ เทคนิคประกอบกัน เพื่อให้
เกดิ ประสิทธผิ ลในการเรยี น
4. ข้ันตรวจสอบผลงานและตรวจสอบ ในข้ันนี้เป็นการตรวจสอบว่าผู้เรียนได้ปฏิบัติ
หน้าท่ี ครบถ้วนแล้วหรือยังผลการปฏิบัติเป็นอย่างไรผลงานกลุ่มและรายบุคคลในบางกรณีผู้เรียนอาจ
ตอ้ งซอ่ ม เสริมในส่วนท่ียงั ขาดตกบกพร่อง ต่อจากนน้ั เป็นการทดสอบความรู้
5. ข้ันสรุปบทเรียนและประสิทธิผลการทํางานกลุ่ม ครูและผู้เรียนช่วยกันสรุปบทเรียน
ถ้ามีส่ิงท่ีผู้เรียนยังไม.เข้าใจครูควรอธิบายเพ่ิมเติม และผู้เรียนช่วยกันประเมินผลการทํางานกลุ่มและ
พิจารณาว่าอะไรคอื จุดเด่นของงานและอะไรคือสิ่งทีค่ วรปรบั ปรงุ (วมิ ลรตั น์ สนุ ทรโรจน์. 2551 : 54)
องค์ประกอบพื้นฐานของการเรียนโดยการร่วมมือ (ทิศนา แขมมณี. 2553 : 265) ให้
ความรู้เก่ียวกับการเรียนแบบร่วมมือไม่ได้มีความหมายเพียงว่า มีการจัดการให้ผู้เรียนเข้ากลุ่มแล้ว ให้
งานและบอกให้ผู้เรียนช่วยกันทํางานเท่านั้น การเรียนรู้จะเป็นแบบร่วมมือได้ ต้องมีองค์ประกอบ ที่
สาํ คญั ครบ 5 ประการ คอื
1. การพ่ึงพาและเก้อื กลู กัน (Positive Interdependence)
2. การปรกึ ษาหารอื กันอย่างใกล้ชดิ (Face to Face Promotion Interaction)
3. ความรับผดิ ชอบทต่ี รวจสอบได้ของสมาชกิ แต่ละคน (Individual Accountability)
4. การใช้ทักษะปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและการทํางานกลุ่มย่อย (Interdependence
and Small Group Skills)
5. การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม (Group Process) ประโยชน์ของการเรียนแบบกลุ่ม
รว่ มมอื
จันทร์เพ็ญ เช้อื พานิช (2542 : 40) ไดก้ ล่าวถงึ การเรยี นแบบร่วมมอื กันมีประโยชน์ดงั นี้
1. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้นเน่ืองจากการจัดการเรียนแบบร่วมมือกัน
เรียนรู้นักเรียนมีความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างสมาชิก เพราะทุกคนร่วมมือกันในการทํางานก่อให้เกิด การ
พัฒนาความรแู้ ละกระบวนการคดิ จงึ ส่งผลดีตอ่ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น
2. สมาชิกทุกคนมีโอกาสคิดพูดแสดงความคิดเห็นลงมือกระทําอย่างเท่าเทียมกัน ทําให้
เข้าใจต่อเนื้อหาวิชาที่เรียนอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากการแลกเปล่ียนความคิดท่ีหลากหลายต่อกันและ กันมี
การรับรู้ปัญหาและทางเลือกในการแก้ปัญหา มีส่วนส่งเสริมกระบวนการพัฒนากระบวนการคิด และ
ความเขา้ ใจทล่ี ึกซึ้งนักเรียนคนทอ่ี ธิบายให้เพอื่ นฟังกเ็ ข้าใจในเนอื้ หาสาระย่ิงข้ึน
3. ช่วยส่งเสริมให้ความช่วยเหลือกัน เช่น เด็กเก่งช่วยเหลือเด็กไม่เก่งทําให้เด็กเก่ง
ภาคภูมิใจรู้จักสละเวลาส่วนเด็กไม่เก่งเกิดความซาบซึ้งใจของเพ่ือนสมาชิกด้วยกันมีการยอมรับ ความ
12
แตกต่างระหว่างเพ่ือนในด้านต่างๆ เช่น ลักษณะนิสัยเพศความสามารถระดับของสังคมและ ลักษณะ
แตกต่างกันด้านอ่ืนๆ ของเพือ่ นซ่งึ ช่วยให้เกดิ ความเข้าใจท่ีดตี อ่ กันระหว่างเพ่ือน
4. พัฒนาทักษะความเป็นผู้นําจากการร่วมกันคิดทุกคนทําให้เกิดการระดมความคิดนํา
ขอ้ มูลที่ได้มาพิจารณาร่วมกัน เพือ่ ประเมินคําตอบที่เหมาะที่สุดเป็นการส่งเสริมให้คิดหาข้อมูลให้มาก มี
การวิเคราะห์และตัดสินใจ ซ่ึงเป็นการพัฒนาทักษะทางสังคม ทักษะการส่ือสาร ท่ีได้เรียนรู้จาก
ประสบการณจ์ รงิ ในด้านความเป็นผู้นําจากเพือ่ นภายในกลุ่ม
5. ส่งเสริมเจตคติที่ดีเนื่องจากมีทักษะทางสังคม เข้าใจกันและกัน อีกทั้งส่งเสริม ทักษะ
การสือ่ สารทักษะการทํางานกลุ่ม ส่ิงเหล่าน้ีล้วนส่งเสริมผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนให้สงู ข้ึน จึงช่วยให้มีเจต
คตทิ ่ีดมี ากกวา่ ต่างคนต่างเรียน
6. ส่งเสรมิ ให้เห็นคณุ ค่าของตนเองและมีความภาคภูมิใจในตนเองเน่ืองจากการ ให้ความ
ช่.วยเหลือเพ่ือน ทําให้แต่ละคนเกิดความภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าของตนเองนักเรียนที่อ่อน มีความ
พยายามมากขนึ้ เพือ่ ความสําเร็จของกลุ่ม
7. การเรียนรู้เป็นไปอย่างกว้างขวาง เนื่องจากการที่สมาชิกได้ปรึกษากัน ภายในกลุ่ม
ร่วมกันแก้ปัญหา มีการเสนอแนะ ซักถาม ส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ การ
เรยี นรู้จงึ เป็นไปอย่างกว้างขวาง
8. เรียนด้วยความเพลิดเพลินเนื่องจากการทํากิจกรรมร่วมกันภายในกลุ่มก่อให้เกิด
บรรยากาศแห่งความช่วยเหลือกัน มีความเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น ทําให้นักเรียนภายในกลุ่ม มีความ
เพลดิ เพลนิ ในการเรยี นร่วมกัน
9. ใช้ในการดํารงชีวิตเนื่องจากการทนี่ กั เรียนได้มีประสบการณ์การรวมกลุ่มกนั เรียน เป็น
ประโยชน์ตอ่ การอยู่รว่ มกนั ในสังคม และสามารถนําความรู้ไปเป็นแนวทางการประกอบอาชีพใน อนาคต
ตอ่ ไป
ความหมายการจดั การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมอื เทคนคิ TGT
สุวิทย์ มูลคํา (2547 : 163) ได้ให้ความหมายเอาไว้ว่า TGT เป็นการเรียนรู้แบบกลุ่ม
รว่ มมืออกี วธิ ีหนึ่งคล้ายกนั กบั เทคนคิ STAD ท่ีแบ่งผู้เรยี นท่ีมีความสามารถแตกต่างกันออกเป็นกลุ่ม เพ่ือ
ทํางานร่วมกันกลุ่มละประมาณ 4-5 คนโดยกําหนดให้สมาชิกของกลุ่มได้แข่งขันกันในเกมการเรียนที่
ผู้สอนจัดเตรียมไว้แล้วทําการทดสอบความรู้โดยการใช้เกมการแข่งขัน คะแนนที่ได้จากการแข่งขันของ
สมาชิกแต่ละคนในลักษณะการแข่งขันตัวต่อตัวกับทีมอื่น นําเอามาบวกเป็นคะแนนรวมของทีมผู้สอน
จะต้องใช้เทคนิคการเสริมแรงเช่น รางวัล คําชมเชย เป็นต้น ดังน้ันสมาชิกกลุ่มจะต้องมีการกําหนด
เป้าหมายร่วมกนั ช่วยเหลอื ซงึ่ กันและกนั เพ่ือความสาํ เร็จของกลุ่ม อาภรณ์ ใจเทย่ี ง (2546 : 121) กล่าว
ว่า TGT เป็นกิจกรรมที่สมาชิกในกลุ่มเรียนรู้ เนื้อหาสาระจากผู้สอนด้วยกันแล้วแต่ละคนแยกย้ายไป
แข่งขันทดสอบความรู้ คะแนนท่ีได้ของแต่ละคน จะนํามารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มทไ่ี ด้คะแนน
รวมสงู สดุ ไดร้ บั รางวลั
วตั ถปุ ระสงค์
สวุ ทิ ย์ มลู คาํ (2547 : 163) กล่าวเอาไว้วา่ วตั ถปุ ระสงค์ ของการจัดการเรียนรู้แบบ TGT
มี 2 ข้อคอื
1. เพอ่ื ส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นศึกษาหาความรู้ดว้ ยตนเอง
2. เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนฝึกทักษะกระบวนการทางสังคม เช่น ทักษะกระบวนการกลุ่ม
ทักษะการเปน็ ผู้นาํ และฝึกความรับผิดชอบ
13
องค์ประกอบสําคัญ
สุวิทย์ มูลคํา (2547 : 164-165) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค TGT มี
องคป์ ระกอบสาํ คญั ดังน้ี
1. การเสนอเนื้อหา เป็นการนําเสนอเนื้อหาหรือบทเรียนใหม่รูปแบบการนําเสนออาจจะ
เป็น การบรรยายอภิปรายกรณีศึกษาหรืออาจจะมีสื่อการเรียนอื่นๆ ประกอบด้วย ก็ได้เทคนิค TGT จะ
แตกต่างจากเทคนิคอ่ืนๆ ตรงท่ีผู้สอนต้องเน้นให้ผู้เรียนทราบว่า ผู้เรียนให้ความสนใจมากในเนื้อหา
สาระเพราะจะช่วยให้ทีมประสบความสําเร็จในการแข่งขัน วิธนี ี้เหมาะสมกับการเรียนรู่ในวิชาพื้นฐานท่ี
สามารถถามตอบท่มี คี ําตอบแน่นอนตายตวั
2. การจัดทีม เป็นการจัดทีมผู้เรียนโดยให้คละกันท้ังเพศและความสามารถ ทีมมีหน้าท่ี
ใน การเตรียมตัวสมาชิกให้พร้อมเพื่อการเล่นเกมหลังจากจบช่ัวโมงการเรียนรู้แต่ละทีมจะนัดสมาชิก
ศกึ ษา เน้ือหาโดยมีแบบฝึกหัดช่วย โดยทั่วไปผู้เรยี นจะผลัดกันถามคําถามในแบบฝึกหัดจนกว่าจะเข้าใจ
เนื้อหา ท้งั หมดจดุ เน้นในทีมคือ ทาํ ให้ดีท่ีสุดเพอ่ื ทีม จะช่วยเหลือให้กําลงั ใจเพื่อนร่วมทมี ให้มากที่สุด
3. เกม เป็นเกมตอบคําถามง่ายๆ เกี่ยวกับเนื้อหาสาระท่ีผู้เรียนได้ศึกษาเรียนรู้ใน การ
เล่นเกมผเู้ รียนที่เป็นตัวแทนจากทมี แต่ละทีมจะมาเป็นผู้แขง่ ขนั
4. การแข่งขนั การจัดการแข่งขันอาจจดั ขึ้นปลายสัปดาห์หรือท้ายบทเรียนก็ได้ซ่ึงจะเป็น
คําถาม เกี่ยวกับเน้ือหาที่เรียนมาแล้ว และผ่านการเตรียมความพร้อมจากกลุ่มมาแล้ว การจัดโต๊ะแขง่ ขัน
จะมีหลายโต๊ะ แต่ละโต๊ะจะมีตัวแทนของทีมแต่ละทีมมาร่วมแข่งขันทุกโต๊ะการแข่งขันควรเร่ิม
ดําเนินการ พร้อมกันแข่งขันเสร็จแล้วจัดลําดับผลการแข่งขันแต่ละโต๊ะนําไปเปรียบเทียบหาค่าคะแนน
โบนสั ตัวอย่าง การจัดคา่ คะแนนโบนัส เช่น ถา้ ผู้รว่ มแข่งขันมโี ต๊ะละ 5 คน อาจใหค้ ะแนนโบนสั
5. การยอมรับความสําเร็จของทีม มีการนําคะแนนโบนัสของสมาชิกแต่ละคนมารวมกัน
เป็นคะแนนของทีม และหาค่าเฉลี่ยทีมที่มีคะแนนสูงสุดจะได้รับการยอมรับให้เป็นทีมชนะเลิศกับ
รองลงมาควรมี การประกาศผล และเผยแพร่สู่สาธารณะรวมท้งั การมอบรางวลั ยกย่องชมเชย เป็นต้น
สมศักดิ์ ภู่ วิภาดาวรรธน์ (2544 : 4-6) กล่าวว่าองค์ประกอบของTGT แบ่งเป็น 5 ตอน
คือ
1. การสอนในชั้นเรยี น (Class Presentation)
2. ทีม (Teams)
3. เกมส์ (Games)
4. การแข่งขัน (Tournaments)
5. การออกจดหมายขา่ ว(Newsletters)
4. การเตรียมการ
1. เอกสารและวัสดุประกอบและเพ่ิมชุดบัตรตัวเลขสําหรับให้นักเรียนสุ่มจับเพ่ือหาข้อ
คาํ ถามท่จี ะตอ้ งตอบกล่าว คอื TGT จะตอ้ งมเี อกสารประกอบดังนีค้ ือ
1.1 บตั รเนือ้ หาสําหรบั กลุ่มยอ่ ย
1.2 บัตรกิจกรรม
1.3 บัตรเฉลยกจิ กรรม
1.4 ชุดคําถามสาํ หรับการแข่งขัน
1.5 บตั รเฉลยสาํ หรับชุดถาม
14
1.6 ชดุ บัตรตวั เลข
2. การจัดนักเรยี นเข้ากลมุ่ ยอ่ ย
3. การจดั นกั เรียนเขา้ โต๊ะเกม
สนอง อินละคร (2544 : 119-121) กล่าวว่าการจัดการเรียนรู้แบบ TGT มีข้ันตอน การ
ดาํ เนนิ การดงั นี้
1. แบ่งกลุ่มนักเรียนคละความสามารถกลุ่มละ 4-6 คน แต่ละกลุ่มประกอบด้วย
นักเรยี นเกง่ 1 คน ปานกลาง 2-4 คน ออ่ น 1 คน แล้วเลือกประธานและเลขานกุ ารของกลุ่ม
2. ครูนําเสนอเน้ือหาใหม่แล้วให้นักเรียนแต่ละกลุ่มทําแบบฝึกหัดหรือใบงานหรือ
บัตร กจิ กรรมร่วมกัน หรอื ครใู ห้นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษา ฝึกฝน ทาํ ความเข้าใจเนอื้ หาใหม่จากใบความรู้
เอกสารประกอบการสอนหนงั สือแบบเรยี นหรือส่ือการเรียนการสอนต่างๆ ร่วมกันหรือครูให้นักเรียน แต่
ละกลุ่มศึกษา ฝึกฝน ทําความเข้าใจเน้ือหาใหม่จากใบความรู้ เอกสารประกอบการสอนหนังสือ
แบบเรียนหรอื สอ่ื การสอนอนื่ ๆ และทําแบบฝึกหดั หรอื ใบงานหรือบตั รกิจกรรมร่วมกนั
3. แตล่ ะกลุ่มเตรยี มตัวตอบปัญหา
4. ดําเนินการตอบปัญหาซึง่ อาจสามารถดําเนินการได้ 2 วิธดี ังน้ี
4.1 ตอบปัญหาพรอ้ มกันทุกคน
4.2 ตอบปัญหาเป็นรอบๆ
5. รวมคะแนนของแต่ละกลุ่ม หรอื เฉลย่ี คะแนนเป็นของกลุ่มหรอื ของแต่ละคนในกลุ่ม
6. สร้างกาํ ลงั ใจอาจทําได้ดังนี้
6.1 ให้รางวัลกลุ่มท่ีได้คะแนนรวม หรือคะแนนเฉลี่ยสูงสุดกลุ่มรองอันดับ 1 และ 2
นอกนั้นเป็นรางวัลชมเชยหรอื
6.2 ให้เกียรติบัตรหรือประกาศเกียรติคุณ กลุ่มท่ีได้คะแนนรวมหรือคะแนนเฉลี่ย
สงู สดุ รองอันดบั 1 และ 2 นอกนน้ั เป็นรางวัลชมเชยหรอื
6.3 ให้คะแนนโบนัสกลุ่มท่ีได้คะแนนรวมหรือคะแนนเฉลี่ยสูงสุดให้ 5 คะแนน กลุ่ม
รองอันดับ 1 ให้ 3 คะแนนกลุ่มรองอันดับ 2 ให้ 1 คะแนนแต่ละกลุ่มเก็บคะแนนโบนัสไว้ เพื่อรับรางวัล
ตอ่ ไป
วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2545 : 178) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบ
TGT ไว้ดงั น้ี
1. ครูนําเสนอบทเรียนหรือความรู้ใหม่แก่ผู้เรียน โดยอาจจะนําเสนอด้วยสื่อการเรียน
การสอนทน่ี า่ สนใจหรอื ใช้การอภปิ รายทงั้ ห้องเรียน โดยครเู ป็นผู้ดําเนนิ การ
2. แบ.งกลุ่มนักเรียนโดยจัดให้คละความสามารถและเพศ แต่ละกลุ่มประกอบด้วย
สมาชิก 4-5 คน (เรียกกลุ่มน้ี ว่า Study GroupหรือHome Group) กลุ่มเหล่านี้จะศึกษาทบทวน
เนื้อหาข้อความรู้ที่ครนู ําเสนอสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถสูงกว่าจะช่วยเหลือสมาชิกที่มีความสามารถ
ดอ้ ยกว่าเพอ่ื เตรียมกลุ่มสําหรับแขง่ ขันในช่วงทา้ ยสปั ดาห์ หรือทา้ ยบทเรยี น
3. จัดการแข่งขันโดยจัดโต๊ะแข่งขันและทีมแข่งขัน (Tournament Teams) ที่มีตัวแทน
ของแต่ละกลุ่ม (ตามข้อ 2) ที่มีความสามารถใกล้เคียงมาร่วมแข่งขันกันตามรูปแบบและกติกา ท่ีกําหนด
ขอ้ คาํ ถามที่ใช้ในการแข่งขันจะเป็นคําถามเกี่ยวกับเน้ือหาที่เรียนมาแล้วและมีการฝึกฝน เตรียมพร้อมใน
กลมุ่ มาแล้วควรให้ทุกโต๊ะแข่งขันเริ่มแขง่ ขนั พร้อมกัน
15
4. ให้ค่าคะแนนการแข่งขันโดยให้จัดลําดับคะแนนผลการแข่งขันในแต่ละโต๊ะแล้ว ผู้เล่น
จะกลับเขา้ กลมุ่ เดิม (Study Group) ของตน
5. นําคะแนนจากการแข่งขันของแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนของทีม ทีมที่ได้คะแนน
รวมหรือค่าเฉล่ยี สงู สดุ จะได้รับรางวลั
ข้อดีและข้อจํากัด
สุวิทย์ มูลคํา (2547 : 168) กล่าวว่าข้อดีและข้อจํากัดของการจัดการเรียนรู้ แบบTGT
มีดังน้ี
1.1 ข้อดี
1.1.1 ผู้เรียนมีความเอาใจใส่รับผิดชอบตวั เองและกลุ่มรว่ มกับสมาชิกอนื่
1.1.2 ส่งเสริมใหผ้ ู้เรยี นทมี่ คี วามสามารถต่างกนั ไดเ้ รยี นรู้รว่ มกนั
1.1.3 ส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นผลดั เปล่ยี นกันเป็นผู้นํา 1
1.1.4 ส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนได้ฝึกและเรยี นรู้ทกั ษะทางสังคมโดยตรง
1.1.5 ผู้เรยี นมีความต่นื เต้นสนุกสนานกบั การเรยี นรู้
1.2 ข้อจาํ กดั
1.2.1 ถ้าผู้เรียนขาดความเอาใจใส่และความรับผิดชอบจะส่งผลให้ผลงานกลุ่ม และ
การเรียนรู้ไมป่ ระสบความสาํ เรจ็
1.2.2 เป็นวิธกี ารท่ีผู้สอนจะต้องเตรียมการ ดูแลเอาใจใส่ในกระบวนการเรียนรู้ ของ
ผู้เรยี นอย่างใกล้ชิดจึงจะได้ผลดี
1.2.3 ผู้สอนมีภาระงานมากขน้ึ
สรปุ ได้วา่ การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT หมายถึง การเรียนรู้ แบบกลุ่ม
รว่ มมือท่ีแบ่งผู้เรียนท่ีมีความสามารถแตกต่างกันออกเป็นกลุ่ม เพื่อทํางานร่วมกันกลุ่มละ ประมาณ 4-6
คน โดยกําหนดให้สมาชิกของกลุ่มได้แข่งขันกันในเกมการเรียนที่ผู้สอนจัดเตรียมไว้แล้ว ทําการทดสอบ
ความรู้ โดยการใช้เกมการแข่งขันคะแนนทไ่ี ด้จากการแข่งขันของสมาชิกแต่ละคนใน ลกั ษณะการแข่งขัน
ตัวต่อตัวกับทีมอ่ืน นําเอามาบวกเป็นคะแนนรวมของทีมผู้สอนจะต้องใช้เทคนิคการ เสริมแรง เช่น
รางวัล คําชมเชย เป็นต้น ดังนั้นสมาชิกกลุ่มจะต้องมีการกําหนดเป้าหมายร่วมกัน ช่วยเหลือซ่ึงกันและ
กันเพ่ือความสําเร็จของกลุ่มในการวิจัยครั้งน้ีใช้ข้ันตอนการจัดการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT
ของวัฒนพร ระงับทุกข์ เพราะมีข้ันตอนที่เหมาะสมกับบริบทภายใน โรงเรียนและกลุ่มตัวอย่าง ซ่ึง
ประกอบด้วย ครูนําเสนอบทเรียนหรือความรู้ใหม่แก่ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม นักเรียนจัดการแข่งขันโดยจัดโต๊ะ
แข่งขันและทีมแข่งขัน ให้ค่าคะแนนการแข่งขันและ นําคะแนน จากการแข่งขันของแต่ละคนมารวมกัน
เป็นคะแนนของทมี
การสอนแบบปกติ
หลักการและแนวคิดเก่ียวกับวิธีสอนแบบปกติการสอนแบบปกติ เป็นการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอนให้ผู้เรยี นบรรลจุ ดุ ประสงค์ตามจดุ มงุ่ หมายของหลักสตู ร
วรี พนั ธ์ สิทธพิ งศ์ (2540 : 228) ไดก้ ล่าวว่า การสอนตามปกติมลี กั ษณะดังนี้
1. การเรียนการสอนยึดตามหลกั สตู ร โดยใช้เน้ือหาเปน็ หลกั
2. กําหนดเวลาเรยี นแน่ชดั ใช้เวลาเรียนพร้อมๆ กนั ทง้ั กลุ่ม
3. เน้นการตอบสนองความต้องการของกลุ่ม
16
4. ใช้ตําราแบบฝึกหัด เป็นอปุ กรณใ์ นการสอนเป็นสาํ คัญ
5. จาํ กดั ขอบเขตการเรยี นรู้
6. สอนโดยใช้วิธีบรรยาย หรอื สาธติ เป็นหลัก
7. กําหนดจดุ ประสงค์การเรยี นรู้แบบกว้างๆ
8. เกณฑก์ ารวัดข้นึ อยกู่ บั บุคคล
9. การประเมินผลการเรียนรู้จะแยกออกจากการสอน และจะเกิดขึ้นตลอดเวลาในช่วง
ของการทดสอบ
10. ยดึ ถอื คะแนนการสอบเป็นหลกั
ภัสพล เหง่าโคกงาม (2548 : 8) ได้ให้ความหมายของขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียน
การสอนปกติ ว่า ข้ันตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนปกติหมายถึงการสอนที่ให้นักเรียนปฏิบัติ
กิจกรรมตามแนวปฏิบัติการสอนของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.)
กระทรวงศึกษาธิการ ตามข้นั ตอนย่อย 4 ข้นั ตอนคือ การนําเข้าสู่บทเรียน การอภปิ รายก่อนการทดลอง
การดําเนินการทดลอง และการอภิปรายหลังการทดลอง
ชัชวาล รัตนสวนจิก (2550 : 8) ได้ให้ความหมายว่า การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ที่เป็นไปตามขั้นตอนของสถาบันส่ งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.)
กระทรวงศกึ ษาธิการจัดทาํ ขนึ้ ซ่ึงมีขนั้ ตอนดงั น้ี
1. ขั้นทบทวนเน้ือหาเดิม เป็นขั้นตอนเตรียมความพร"อมของนักเรียนเพื่อเช่ือมความรู้
เดมิ ท่ผี เู้ รยี นมีมากอ่ น
2. ข้ันสอนเน้ือหาใหม่ ข้ันน้ีจะเลือกใช้วิธีสอนให้สอดคล้องกับเน้ือหาแต่ละเร่ืองตามที่
กลา่ วมาแล้ว โดยมีการจัดลําดับการเรียนรู้ ดงั น้ี
2.1 ขน้ั ใช้ของจริง เป็นข้นั ทีใ่ ช้ประสบการณท์ ี่ใช้ของจริงเป็นเครื่องมือในการเรยี นรู้
2.2 ขั้นใช้รูปภาพ เป็นขน้ั ใช้รปู ภาพหรอื ของจาํ ลองแทนของจรงิ ทีใ่ ช้สอนไปแล้ว
2.3 ข้ันใช้สัญลักษณ์ เป็นข้ันตอนต่อเนื่องจากขั้นใช้ของจริงและใช้รูปภาพแล้วใช้
สัญลกั ษณแ์ ทนของจรงิ และรปู ภาพ
3. ขน้ั สรุปนาํ ไปสู่วธิ ีลัด
4. ขน้ั ฝึกทกั ษะ เป็นการคิดคาํ นวณ ฝึกทกั ษะจากบทเรียนและบัตรงานท่สี ัมพันธ์
5. ข้นั นําความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาํ วนั และใช้ในวิชาอ่นื ทเ่ี กี่ยวข้อง
6. ข้นั ประเมนิ ผล
วัฒนา โคตรสมบัติ (2549 : 6) ได้ให้ความหมายว่า วิธีสอนแบบปกติ หมายถึง การสอน
ท่สี ถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) กระทรวงศกึ ษาธิการกําหนด ขึ้น โดยใช้
รปู แบบการสอนสบื เสาะความรู้ ซ่งึ มขี ั้นตอนในการจัดกจิ กรรมดังนี้ ขน้ั สร้างความสนใจ ข้ันสํารวจค้นหา
ขนั้ อภิปรายและลงข้อสรุป ขน้ั ขยายความรู้และขัน้ ประเมนิ ผล
สุกัญญา กตัญญู (2542 : 55) ได้กล่าวถึง ข้ันตอนของการสอนตามปกติไว้ว่า มี 3
ข้นั ตอน คือ
1. ข้ันนําเข้าสู่บทเรียน เป็นการเตรียมผู้เรียนให้พร้อมท่ีจะเรียนโดยครูกระตุ้นให้
นักเรียนเกดิ ความสนใจด้วยกจิ กรรมตา่ งๆ เช่น การทายปัญหาซักถามทบทวนบทเรยี นทผ่ี ่านมา
2. ข้ันสอน เป็นการดําเนินกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ด้วย
วิธีการต่างๆ เช่น ครูเสนอบทเรียนใหม่ด้วยการซักถามแล้วให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาในบทเรียนหรือ
17
หนังสือเสริมบทเรียนหลังจากนั้นร่วมกันอภิปรายกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ในแผนการจัดการเรียนรู้
เช่นดาํ เนินการทดลองการอภิปรายการเสนอผลการทดลองเป็นต้น
3. ข้ันสรุปและประเมินผล เป็นการสรุปเนื้อหาสาระและความคิดรวบยอดของบทเรียน
โดยครูเลือกใช้กจิ กรรมการสรุปในลักษณะต่างๆ เช่น ให้นักเรียนรายงานผลการทดลองหน้าชั้นครู และ
นัก เรียน ร่ว ม กัน อภิ ป รายผล การท ดลอ งร่ ว มกั น การสังเกต และการต อบ คําถาม การให่ นั กเรียน ทํ า
แบบฝึกหัดซง่ึ เปน็ การตรวจสอบพฤติกรรมท่กี าํ หนดไว้ในจุดประสงค์ของการเรียนการสอนในแต่ละครั้ง
สรุ ศักดิ์ หลาบมาลา (2551 : 22) ให้ความหมายว่า การจดั การเรยี นรู้แบบปกติหรอื การ
สอนแบบปกติ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนท่ีดําเนิน ไปตามกิจกรรมเสนอแนะในคู่มือการสอน
ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งการสอนนี้ ใช้วิธีบรรยาย อธิบาย ซักถาม ให้ผู้เรียน ทํา
แบบฝึกหัด หรือทํากิจกรรมอ่ืนๆ ตามความเหมาะสมการดําเนินการสอนแต่ละคาบใช้วิธีหลายๆ อย่าง
ควบค.ู กันไป โดยพิจารณาให้สอดคล้องกบั จุดประสงค์และเนื้อหา
กระทรวงศึกษาหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544 ได้อธิบาย
สว่ นประกอบในการสอนตามปกติไว้ดังนี้
1. คาํ แนะนาํ ในการใช้หลกั สูตรและหนังสอื แบบเรียน
2. จุดประสงค์การใช้หลักสูตรสถานศึกษาเพ่ือให้ครูเลือกเนื้อหาในการเรียนการสอนได้
โดยสะดวก และชี้แจง คล่ีคลายปัญหาในการจัดการเรียนการสอนให้เข้าใจแจ่มชัดและเลือกใช้
กระบวนการเรยี นการสอนให้ถูกต้อง
3. เน้ือหาสาระและมาตรฐานในการเรียนรู้ของหลักสูตรสถานศึกษาประกอบด้วยคํา นํา
หลักการ จุดมุ่งหมาย โครงสร้างหลักสูตรและคําชี้แจงในเรื่องการทําเคร่ืองมือในแต่ละบท มีโครงสร้าง
คอื ประกอบด้วยวิสยั ทัศน์ คุณภาพของผู้เรียน สาระการเรียนรู้มาตรฐานการเรยี นรู้ กระบวนการเรียนรู้
การวดั ประเมินผล แหล่งการเรยี นรู้ ประกอบด้วยความรู้ท่คี าดหวงั ซึ่งจะใช้วัด ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น
4. วิธีใช้หลักสูตรสถานศึกษา มีไว้ สําหรับใช้ประกอบการสอน ซ่ึงจะช่วยให้ครูใช้ได้
สะดวกยิ่งขึ้นสําหรับการสอนตามปกติน้ันผู้สอนจะต้องยึดหลักสูตรสถานศึกษาของตนเองเป็นสําคัญ
เน่ืองจากหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544 สถานศึกษาสามารถจัดการเรียนรู้ได้ตาม
ความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโดยยึดหลักสูตรแกนกลางเป็นแบบอย่าง
ขน้ั ตอนการสอนแบบปกติ
กระทรวงศึกษาธิการ (2552 : ก – ข) ได้ช้ีแจงการใช้คู่มือครู ประกอบการเรียนการสอน
แบบปกตไิ ว้ดังนี้
1. ครูผู้สอนควรอ่านทําความเข้าใจ พอสังเขปเน้ือความในตอนต้นของคู่มือครูก่อนที่จะ
ทําความเข้าใจในรายละเอียดที่กล่าวไว้ในหนังสือเรียน เพราะใจความในข้อสังเขปของคู่มือครูไม่ได้จัด
เรียงลําดับไว้ตามย่อหน้าเหมือนใจความในหนังสือเรยี นบางตอน ใจความในหนังสอื เรยี นมีแยกเป็นข้อๆ
อย่างละเอียด แต่เน้อื ความในข้อสังเขปในคู.มอื ครอู าจจะรวมข้อย่อยๆ 2 – 3 ข้อ เป็นข้อสังเขปเดียว ครู
จงึ ควรอ่านข้อสังเขปให้ตลอดเสียก่อน ทั้งนี้ เพือ่ ให้เกิดความเข้าใจในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน
เป็นสําคญั
2. แผนการสอนแต่ละบท มักมีคําช้ีแจงถึงเน้ือหาสําคัญของบทเรียนแต่ละบทเรียน ใน
หนังสือเรียนอาจมีตัวอย่างเพ่ิมเติม จากท่ีมีไว้แล้วในหนังสือเรียนน้ัน บางบท ถ้าเห็นว่าเน้ือหาใจความ
ชัดเจนอยู่แล้ว ก็ไม่มีตัวอย่างเพ่ิมเติมมาอีก ตามปกติแผนการสอน จะมีข้อเสนอแนะกิจกรรมการเรียน
การสอนประจําบท แต่ข้อเสนอแนะไม่ใช้ข้อกําหนดให้ครู กระทําแน่นอนเลยทีเดียว ดังน้ันเมื่อครูอ่าน
18
ข้อเสนอแนะแล้วถ้าครูคิดวิธีจัดกิจกรรมการเรียน การสอนของตนเองหรือปรับปรุงดัดแปลงกิจกรรม
การเรียนการสอน ให้เหมาะสมกับสภาพ ในโรงเรียน หรอื ท้องถ่นิ ก็เป็นการสมควรอย่างยงิ่
3. บางบทมีความรู้เพ่ิมเติมจากหนังสือเรียน ท้ังนี้ก็เพราะมุ่งหวังท่ีจะให้เป็นแนวทางให้
ครูใช้ประโยชน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสมกับสภาพนักเรียนท่ีแตกต่างกัน
เช่น มีประโยชน์กับโรงเรียน นักเรยี นบางกลุ่มหรือบางคนที่มีศักยภาพสูงที่จะได้ความรู้เพิ่มเติมจากการ
เรยี นก็ได้ การเสริมความรู้อย่างน้ีย่อมไม่ถือว่าจะต้องใช้ความรู้ ทีม่ ีในหนังสือเรียน หรือที่มีอยู่ในหนังสือ
คู่มือครูเท่าน้ัน ครูอาจเสริมความรู้จากแหล่งวิทยาการใดหรือด้วยกลวิธีใด หรือกิจกรรมการเรียน การ
สอนใดใหแ้ ก่นักเรียนท่ีมีศกั ยภาพสูงให้มีความรู้กว้างขวางขน้ึ ก็ได้
กุหลาบ สีหาพงศ์ (2550 : 66) ให้ความหมายว่า การจัดการเรียนรู้แบบปกติหรือ การ
สอนแบบปกติ หมายถึงกระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยยึดหลักการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามคู่มือครู
ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) กระทรวงศึกษาธิการกําหนดขึ้นเป็น
การเรียนท่ีที่ดําเนินกิจกรรมตามข้ันตอน 6 ข้ันตอน คือ ขั้นทบทวนความรู้เดิม ข้ันสอนเน้ือหาใหม่ ขั้น
สรปุ ขน้ั ฝึกทกั ษะ ข้ันนาํ ความรู้ไปใช้ และขัน้ ประเมินผล
กุหลาบ สีหาพงศ์ (2550 : 59-61) ได้กล่าวถึง รูปแบบการสอนปกติว่ารูปแบบการสอน
แบบปกติเป็นขั้นตอนการสอนวิชาสุขศึกษาของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใน
การจัดการเรียนการสอน ครสู ขุ ศึกษาควรคํานงึ ถงึ ขน้ั ตอนดงั นี้
1. ขั้นทบทวนเน้ือหาเดิม เป็นข้ันตอนเตรียมความพร้อมของนักเรียนเพ่ือเชื่อมความรู้
เดิมท่ีผู้เรียนมีมาก่อนแล้วกับความรู้ใหม่ให้เป็นเร่ืองเดียวกันอันจะทําให้นักเรียนเกิดความเข้าใจและ มี
ความคดิ รวบยอดในเร่ืองนน้ั ๆ อย่างแจม่ แจง้
2. ขั้นสอนเนื้อหาใหม่ ขั้นนี้จะเลือกใช้วิธีสอนให้สอดคล้องกับเนื้อหาแต่ละบทวิธีหนึ่ง
ตามที่กลา่ วมาไว้แล้ว โดยมกี ารจดั ลําดับขนั้ การเรยี นรู้ ดังน้ี
2.1 ข้นั ใช้ของจริง เป็นข้นั ท่ไี ด้ประสบการณท์ ใี่ ช้ของจรงิ เป็นเคร่ืองมือในการเรยี นรู้
2.2 ข้ันใช้รูปภาพ เป็นขัน้ ใช้รูปภาพหรอื ของจําลองแทนของจริงท่ีใช้สอนไปแล้ว
2.3 ข้ันใช้สัญลักษณ์ เป็นขั้นต่อเนื่องจากขั้นใช้ของจริงและใช้รูปภาพแล้วใช้
สัญลักษณแ์ ทนของจริงและรูปภาพ
3. ขั้นสรุปนําไปสู่วิธีลัด ก่อนถึงข้ันสรุปครูต้องตรวจสอบดูว่านักเรียนมีความเข้าใจ
เนื้อหาใหม่ที่สอนไปหรือไม่ ถ้ายังไม่เข้าใจก็อาจต้องเร่ิมต้ังแต่ทบทวนความรู้เป็น ต้นมา หรือจะเริ่มที่
เนื้อหาใหม่ก็แล้วแต่ความจําเป็นของแต่ละเรื่อง ถ้านักเรียนเข้าใจแล้วในกรณีที่เน้ือหาใหม่นั้นมีวิธีคิด
หลายวิธี และมีวธิ ีลดั ในการคดิ อยู่ด้วยก็ช่วยกันสรปุ หลกั เกณฑ์ ในการคิดนําเข้าสู่วิธลี ดั เพื่อนาํ ไปใช้ตอ่ ไป
ในการสรุปควรให้นักเรยี นเป็นผู้สรุปเองโดยรูเป็นผู้ซักถามนําเพือ่ ช้ีแนะ
4. ขั้นฝึกทักษะ เม่ือนักเรียนเข้าใจวิธีคิดแล้วจึงให้นักเรียนฝึกทักษะจากบทเรียนและ
บัตรงานที่สัมพันธ์ กับเรื่องน้ัน หรือใช้เกมสุขศึกษาเข้าให้นักเรียนเล่น ซึ่งก็เป็นการทําแบบฝึกหัดชนิด
หนึง่ และได้ผลดีเพราะสนกุ สนานกว่า
5. ข้นั นําความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจําวัน และใช้ในวิชาอ่ืนที่เกี่ยวข้อง ให้นักเรียน
ทาํ โจทย์ปญั หาหรอื คิดโจทย์ที่เกีย่ วข้องกับประสบการณ์ของเด็กมาทําเป็นโจทย์แบบฝึกหัด ในเรอื่ งน้ันๆ
หรือทําให้กจิ กรรมท่ีมักประสบอยู่ในชวี ติ จรงิ
6. ขั้นการประเมินผล นําโจทย์เร่ืองที่สอนมาทดสอบให้นักเรียนทํา ถ้าทําไม่ได้ต้องสอน
ซอ่ มเสริมให้ ถ้าทาํ ไดก้ ส็ อนเนือ้ หาใหม่ต่อไป
19
สรุปไดว่า การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามปกติเป็นการจัดกิจกรรมการเรียน การ
สอนเพ่อื ให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะหรอื จุดประสงค์ ตามหลักสูตรซึ่งมีขั้นตอนในการสอน 3 ขั้นตอนคือ ขั้น
นําเข้าสู่บทเรียนข้ันการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและข้ันสรุปซึ่งในแต่ละข้ันตอนน้ันครูผู้สอน อาจ
ดาํ เนินกิจกรรมต่างๆ กันไปตามเน้อื หาหรอื วิชาที่สอนและตามสภาวะแวดล้อมทีแ่ ตกต่างกัน แตก่ ็นําไปสู่
ผลของหลกั สูตรและพฒั นาให้เกิดทกั ษะแกผ่ ู้เรียนภายใต้ความมุ่งหมายเดยี วกนั
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
1. ความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น
ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีผู้ให้ความหมายไว้ดงั นี้ สุกญั ญา กตัญญู (2542
: 200) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะและความสามารถของบุคคลท่ีเกิดจาก
การเรียนการสอน เป็นการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม และประสบการณ์การเรียนรู้จากการฝึกฝนอบรม
หรือการสอน
นภาพร สมบูรณ์สุข (2546:209) ได้ให้ความหมายผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไว้ดังน้ี
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Academic Achievement) หมายถึง คุณลักษณะและความสามารถของ
บุคคล อันเกิดจากการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีเกิด
จากการ ฝึกอบรม หรือจากการสอนการวัดผลสัมฤทธ์ิจึงเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถหรือ
ความสัมฤทธิ์ผล (Level of Accomplishment) ของบุคคลว่า เรียนรู้แล้วเท่าไรมีความสามารถชนิดใด
ซ่ึงสามารถ วัดได้ 2 แบบตามจุดมุ่งหมายและลักษณะวชิ าทส่ี อนคือ
1. การวัดด้วยการปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบระดับความสามารถในการปฏิบัติหรอื ทักษะ
ของผู้เรยี นโดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถดงั กล่าวในรปู การกระทาํ จรงิ ให้ออกมาเป็น ผลงาน
เช่น วิชาศิลปศึกษา พลศึกษา การช่าง เป็นต้น การวัดแบบน้ีจึงต้องวัด โดยใช้ข้อสอบ ปฏิบัติ
(Performance Test)
2. การวัดด้านเน้ือหา เป็นการตรวจสอบความสามารถเกี่ยวกับเนื้อหาวิชา (Content)
อันเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียน รวมถึงพฤติกรรมความสามารถในด้านต่างๆ สามารถวัด ได้
โดยใช้ข้อสอบผลสมั ฤทธิ์ (Achievement Test)
ปรีญาภรณ์ รัตนะสม (2552 : 62) ได้ให้ความหมายผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นว่า หมายถึง
ความสามารถหรือพฤติกรรมของนักเรียนที่เกิดจากการเรียนรู้ซึ่งพัฒนาขึ้นหลังจากได้รับ การอบรมสั่ง
สอนและฝกึ ฝนโดยตรง
ภพ เลาหไพบูลย์ (2541 : 295) ได้ให้ความหมายผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน คือ พฤติกรรม
ทแ่ี สดงออกถึงความสามารถในการกระทําส่ิงหน่ึงสิ่งใด จากท่ีไม่เคยกระทําได้หรือกระทําได้ น้อยก่อนท่ี
จะมีการเรียนรู้ซึ่งเปน็ พฤตกิ รรมท่สี ามารถวดั ได้
รัชนีย์ ดวงประทุม (2548 : 103) ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ท่ีได้รับหรอื ทักษะท่ีพัฒนามาจากการเรียนในสถานศึกษา โดย
ปกติวดั จากคะแนนท่ีครูเป็นผู้ให้หรือจากแบบทดสอบหรืออาจรวมทั้งคะแนนท่ีครูเป็นผู้ให้และ คะแนน
ที่ไดจ้ ากแบบทดสอบ
จากความหมายดังกล่าว สรปุ ได้ว่า ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน หมายถึง ความรู้ทักษะ หรือ
พฤติกรรมซึ่งเกิดจากการทํางานที่ประสานกันและต้องอาศัยความพยายามอย่างมากทั้ง องค์ประกอบ
20
ทางด้านสติปัญญา และองค์ประกอบท่ีไม่ใช้สติปัญญา แสดงออกในรูปของความสําเร็จ สามารถวัดได้
โดยการใช้แบบทดสอบ
2. ประเภทของแบบทดสอบการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
นภาพร สมบูรณ์สุข (2546 : 70) ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี นไว้ดงั น้ี
1. แบบทดสอบท่ีครูสร้างขึ้นใช้เอง (Teacher – Made Test) ครูผู้สอนจัดสร้างขึ้น เพื่อ
วัดความก้าวหน้าของนักเรียนภายหลังจากได้มีการเรียนการสอนไประยะหน่ึงแล้ว โดยปกติ
แบบทดสอบประเภทน้ีจะใช้เฉพาะภายในกลุ่มนักเรียนที่ครูผู้ออกข้อสอบเป็นผู้สอนจะไม่นําไปใช้กับ
นักเรียนกลุ่มอื่นท้ังนี้ โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือตรวจสอบนักเรียนมีความรู้ความสามารถตามจุดมุ่งหมาย
ของการเรียนรู้มากน้อยเพียงใดและจะนําผลการสอบนี้ไปใช้ท้ังปรับปรุงซ่อมเสริมการเรียนการสอนกับ
นําไปใช้ตัดสอนผลการเรียนของนักเรียนด้วยตัวอย่างแบบทดสอบที่ครูใช้ในการสอบปลายภาคหรือ
ปลายปีหรอื เมอื่ ส้นิ สุดการเรียนการสอนในแต่ละบทแต่ละตอนน่นั เอง
2. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
เช่นเดียวกับ แบบทดสอบท่ีครูสร้างข้ึนใช้เอง แต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบการเรียนด้านต่างๆ ของ
นักเรียนทต่ี ่างกลุ่มกนั
บุญชม ศรสี ะอาด (2543 : 8 – 9) ไดแ้ บ่ง ลักษณะของแบบทดสอบ ออกเป็น 2 ประเภท
คือ
2.1 แบบทดสอบแบบองิ เกณฑ์ หมายถงึ แบบทดสอบท่ีสร้างขึ้นตามจุดประสงค์ เชิง
พฤตกิ รรมมีคะแนนจดุ ตัดหรอื คะแนนเกณฑ์ที่ใช้สาํ หรับตัดสินว่า ผู้เรียนมีความรู้ตามเกณฑ์ท่ี กาํ หนดไว้
หรือไมก่ ารวดั เพื่อให้ตรงตามจุดประสงค์ ซงึ่ เปน็ หัวใจของขอ้ สอบในการทดสอบประเภทน้ี
2.2 แบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างเพ่ือวัดให้ครอบคลุม
หลักสูตรสร้างตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร สามารถจําแนกผู้เรียนตามความเก่งอ่อนได้ การรายงานผล
การสอบอาศัยคะแนนมาตรฐานซ่งึ เป็นคะแนนทส่ี ามารถวดั ได้ท่แี สดงสถานภาพความสามารถของบุคคล
เมือ่ เปรียบเทยี บกบั บคุ คลอนื่ ทีใ่ ช้เป็นกลุ่มเปรียบเทียบ
ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2536 : 146 – 147) ได้แบ่งแบบทดสอบวัด
ผลสมั ฤทธิ์ไดเ้ ป็น 2 พวก คอื
1. แบบทดสอบของครู หมายถึง ชุดของคําถามท่ีครูเป็นผู้สร้างขึ้นซ่ึงเป็นข้อคําถาม
เกี่ยวกับความรู้ที่นักเรียนได้เรียนในห้องเรยี นว่านักเรยี นมีความรู้มากแค่ไหนบกพร่องตรงไหนจะได้สอน
ซอ่ มเสริมหรือเป็นการวัดความพร้อมทจี่ ะไดเ้ รยี นในบทเรียนใหม่ข้นึ อยู่กับความต้องการของครู
2. แบบทดสอบมาตรฐานแบบทดสอบ ประเภทน้ีสร้างขึ้นจากผู้เช่ียวชาญในแต่ละ
สาขาวิชาหรือจากครูผู้สอนวิชาน้ัน แต่ผ่านการทดลองคุณภาพหลายคร้งั จนกระท่งั มีคณุ ภาพดี จงึ สร้าง
เกณฑป์ กติของ
แบบทดสอบนั้นสามารถใช้เป็นหลักเปรียบเทียบผลเพ่ือประเมินค่าของการเรยี น การสอนในเรื่องใดๆ ก็
ได้แบบทดสอบมาตรฐานจะมีคู่มือดําเนินการสอบ บอกวิธีสอนและยัง มีมาตรฐานในด้านการแปล
คะแนนด้วยทั้งแบบทดสอบที่ครูสร้างข้ึนและแบบทดสอบมาตรฐาน มีวิธีการสร้างข้อคําถามเหมือนกัน
เป็นคําถามท่ีวัดเนื้อหาและพฤติกรรมที่สอนไปแล้ว จะเป็นพฤติกรรม ที่สามารถตั้งคําถามวัดได้ ซ่ึงควร
วดั ให้ครอบคลุมพฤตกิ รรมต่างๆ ดังนี้
2.1 ความรู้ความจํา
21
2.2 ความเขา้ ใจ
2.3 การนาํ ไปใช้
2.4 การวเิ คราะห์
2.5 การสังเคราะห์
2.6 การประเมินคา่
จากที่กล่าวมาพอสรุปประเภทของแบบทดสอบการวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนได้ คอื
1. เป็นแบบทดสอบของครูหรอื แบบทดสอบมาตรฐาน
2. เป็นแบบทดสอบแบบองิ เกณฑ์หรือแบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม
3. เป็นลักษณะการวัดด้านปฏบิ ตั หิ รอื การวดั ด้านเน้อื หา
3. องคป์ ระกอบท่ีมอี ิทธิพลต่อผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น
องคป์ ระกอบท่มี อี ทิ ธิพลต่อผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนมีผู้ที่ได้ให้คาํ อธบิ ายไว้ ดงั ตอ่ ไปนี้
มิลตันและแฮริส (Milton, Bettyl L. and Harris, Dale B. 1962) ได้ใช้ความรู้ ทาง
ชีววิทยา สังคมวิทยา จิตวิทยา และการแพทย์ศึกษา เก่ียวกับการเรียนของนักเรียน ท้ังใน และนอก
หอ้ งเรยี นสรุปผลการศึกษาว่า องคป์ ระกอบที่มีอิทธพิ ลต่อผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นมดี ังน้ี
1. องค์ประกอบทางด้านร่างกาย ได่แก่ อัตราการเจริญเติบโตของร่างกายสุขภาพ
ขอ้ บกพร่องทางกายและบุคลิกภาพท่าทาง
2. องค์ประกอบทางความรัก ได้แก่ ความสัมพันธ์ของบิดามารดาความสัมพันธ์ ๆ ของ
บิดากับลูกมารดากับลูกความสัมพันธ์ระหว่างลูกๆ ด้วยกัน และความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกใน
ครอบครัวทัง้ หมด
3. องค์ประกอบทางวัฒนธรรมและสังคม ได้แก่ ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเป็นอยู่
ของครอบครวั สภาพแวดล้อมทางบ้าน การอบรมทางบ้าน และฐานะทางบ้าน
4. องคป์ ระกอบทางการพัฒนาแห่งตน ได้แก่ สตปิ ัญญา ความสนใจ เจตคติของ นักเรียน
ตอ่ การเรยี น
5. องค์ประกอบทางการปรับตน ได้แก่ ปัญหาปรับตัวการแสดงออกทางอารมณ์ ของ
องค์ประกอบต่างๆ ท่ีมีผลต่อระดับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนโดยนําเอาครูนักเรียนและ
หลักสูตรมาเป็นองค์ประกอบสําคัญ โดยเช่ือว่าเวลาและคุณภาพของการสอนมีอิทธิพลโดยตรงต่อ
ปรมิ าณความรู้ทน่ี ักเรียนได้รับ จากอทิ ธิพลทมี่ ีผลต่อผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นดังกล่าวมาข้างตน้
พอที่จะสรุปได้ว่า ผลกระทบต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีหลายองค์ประกอบด้วยกัน แต่
ผลทเ่ี กิดขึน้ โดยตรงนัน้ ไดแ้ ก่วิธีสอนของครูและกิจกรรมการเรียนการสอนทีค่ รเู ป็นผู้จัดขึ้น
ในการกําหนดจุดประสงค์เพ่ือเขียนข้อคําถามวัดพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ที่ต้องการ ให้
เกดิ ขนึ้ กบั นกั เรียนนั้นได้มีนักวิชาการกล่าวไว้ ดงั น้ี
บลูม (สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. 2552 : 45 ; อ้างอิงมาจาก
Bloom. 1956 : 20) ได้กล่าวถึงลําดับขั้นของความรู้ใช้ในการเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ด้าน
ความรู้ความคดิ ไว้ 6 ข้ัน ดงั นี้ คือ
1. ความรู้ความจํา หมายถงึ การระลึกหรอื ท่องจําความรู้ตา่ งๆ ที่ได้เรยี นมาแล้ว โดยตรง
ในขั้นนี้รวมถึงการระลึกถึงข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆ ไปจนถึงกฎเกณฑ์ ทฤษฎีจากตํารา ดังนั้นขั้นความรู้
ความจําจึงจดั ไดว้ ่า เป็นข้ันตำ่ สุด
22
2. ความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถท่ีจะจับใจความสําคัญของเนื้อหาท่ีได้เรียน หรือ
อาจแปลความจากตัวเลข การสรุป การย่อความต่างๆ การเรียนรู้ในข้ันนี้ถือว่าเป็นขั้นที่สูงกว่า การ
ทอ่ งจําตามปกตอิ ีกขนั้ หนง่ึ
3. การนําไปใช้ หมายถึง ความสามารถท่ีจะนําความรู้ท่ีนักเรียนได้เรียนมาแล้วไป ใช้ใน
สถานการณ์ใหม่ ดังนั้น ในขั้นน้ี จึงรวมถึงความสามารถในการเอากฎมโนทัศน์หลักสําคัญวิธีการ
นําไปใช้ การเรียนรู้ในขั้นนี้ถือว่า นักเรียนจะต้องมีความเข้าใจในเนื้อหาเป็นอย่างดีเสียก่อน จึงจะนํา
ความรู้ไปใช้ได้ ดงั น้นั จึงจดั อนั ดบั ให้สูงกว่าความเขา้ ใจ
4. การวิเคราะห์ หมายถงึ ความสามารถท่ีจะแยกแยะเนื้อหาวิชาลงไปเป็น องค์ประกอบ
ย่อยๆ เหล่าน้ันเพ่ือท่ีจะได้มองเห็นหรือเข้าใจความเก่ียวโยงต่างๆ ในข้ันนี้ จึงรวมถึง การแยกแยะหา
สว่ นประกอบย่อยๆ หาความสมั พนั ธ์ระหว่างส่วนย่อยๆ เหล่าน้ันตลอดจนหลกั การ สําคญั ต่างๆ ท่เี ข้ามา
เก่ียวข้องการเรียนรู้ในข้ันน้ีถือว่าสูงกว่าการนําเอาไปใช้ และต้องเข้าใจทั้งเนื้อหา และโครงสร้างของ
บทเรียน
5. การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถที่จะนําเอาส่วนย่อยๆ มาประกอบกัน เป็นส่ิง
ใหม่การสังเคราะห์ จึงเก่ียวกับการวางแผนการออกแบบการทดลองการตั้งสมมติฐาน การแก้ปัญหาท่ี
ยากๆ การเรียนรู้ในระดับน้ีเป็นการเน้นพฤติกรรมท่ีสร้างสรรค์ในอันท่ีจะสร้างแนวคิด หรือแบบแผน
ใหมๆ่ ขนึ้ มา ดงั น้ันการสังเคราะห์ เป็นสิ่งทส่ี ูงกว่าการวเิ คราะหอ์ กี ขั้นหน่งึ
6. การประเมินค่า หมายถงึ ความสามารถทจ่ี ะตัดสนิ ใจเก่ียวกับคณุ ค่าต่างๆ ไมว่ า่ จะเป็น
คําพูด นวนิยาย บทกวี หรือรายงานการวิจัย การตดั สนิ ใจดังกล่าวจะต้องวางแผนอยู่บนเกณฑ์ที่แน่นอน
เกณฑ์ ดังกล่าวอาจจะเป็นสิ่งท่ีนักเรียนคิดข้ึนมาเองหรือนํามาจากท่ีอื่นก็ได้การเรียนรู้ ในขั้นนี้ ถือว่า
เป็นการเรียนรู้ข้ันสูงสดุ ของความรู้ความจํา
คลอพเฟอร์ (สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน. 2552 : 49 ; อ้างอิงมาจาก
Klopfer. 1971) ได้กล่าวถึง การประเมินผลการเรียนด้านสติปัญญาหรือความรู้ ความคิดในวิชา
วิทยาศาสตร์เป็น 4 พฤตกิ รรมดงั น้ี
1. ความรู้ความจํา
2. ความเขา้ ใจ
3. กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
4. การนาํ ความรู้และวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ไปใช้
ยุทธ ไกยวรรณ (2550 : 131) กล่าวว่า การวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา
วิทยาศาสตร์เพ่ือให้นักเรียนได้รับเนื้อหาความรู้ทางวิชาวิทยาศาสตร์ และกระบวนการแสวงหาความรู้
ทางวิทยาศาสตร์จะต้องวัดท้ังสองลักษณะและเพื่อความสะดวก ในการประเมินผล จึงได้ทําการจําแนก
พฤติกรรมในการวัดผลวิชาวิทยาศาสตร์ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา
วิทยาศาสตร์สําหรับเป็นเกณฑว์ ดั ความสามารถด้านต่างๆ 4 ด้าน คือ
1. ด้านความรู้ ความจํา หมายถึง ความสามารถในการระลึกสิ่งท่ีเคยเรียนมาแล้ว
เก่ียวกบั ขอ้ เทจ็ จริงข้อตกลงคําศัพท์ หลกั การและทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์
2. ด้านความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการอธิบายความหมายขยายความ และ
แปลความรู้โดยอาศยั ข้อเท็จจรงิ ข้อตกลงคาํ ศัพท์ หลกั การและทฤษฎที างวทิ ยาศาสตร์
23
3. ด้านการนําไปใช้ หมายถึง ความสามารถในการนําความรู้วิธีการทาง วิทยาศาสตร์ไป
ใช้ในสถานการณ์ใหมท่ แี่ ตกต่างกันออกไปหรือสถานการณ์ท่ีคล้ายคลงึ โดยเฉพาะอย่างย่ิง การนําไปใช้ใน
ชีวิตประจาํ วัน
4. ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถของบุคคลใน การ
สืบเสาะหาความรู้โดยผ่านการปฏิบัติและฝึกฝนความคิดอย่างมีระบบจนเกิดความคล่องแคล่ว ชํานาญ
สามารถเลือกใช้กิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม สําหรับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ประกอบด้วย ทักษะการสังเกต ทักษะการคํานวณ ทักษะการจําแนกประเภท ทักษะการลง ความ
คิดเห็นจากข้อมูล ทักษะการจัดกระทําส่ือความหมายข้อมูล ทักษะการกําหนด และควบคุมตัว แปร
ทักษะการต้ังสมมติฐาน ทักษะการทดลอง และทักษะการตีความหมายข้อมูล และลงข้อสรุป จาก
เอกสารข้างต้น ผู้วิจัยได้นําการจําแนกพฤติกรรมในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ทั้ง 4
ด้าน คือ ความรู้ ความจํา ความเข้าใจ การนําไปใช้ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการ
สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยพิจารณาให้ครอบคลุมผลการเรียนรู้ของหน่วย การ
เรียนรู้เรือ่ งการเปลย่ี นแปลงอณุ หภูมิของโลก
ลกั ษณะการวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน
การเรียนรู้ที่ผ่านมาเราสามารถตรวจสอบได้จากการวัดผลสัมฤทธิ์ แต่ว่าการวัดผล
สัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นมีหลายลักษณะดงั ต่อไปน้ี
ภสั พล เหง่าโคกงาม (2548 : 77) ได้แบ่งการวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนตาม จดุ มงุ่ หมาย
และลกั ษณะวิชาทส่ี อนสามารถวดั ได้ 2 แบบ คอื
1. การวัดด้านปฏบิ ัติเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถในการปฏิบัติหรือทักษะ ของ
ผู้เรยี นโดยมุ่งเน้นให้ผู้เรยี นได้แสดงความสามารถในรูปการกระทาํ จรงิ ให้เป็นผลงานการวดั แบบนี้ ต้องใช้
ขอ้ สอบภาคปฏบิ ัติ
2. การวัดด้านเนื้อหาเป็นการตรวจสอบความสามารถเก่ียวกับเนื้อหาวิชา ซึ่งเป็น
ประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียน รวมถึงพฤติกรรมความสามารถด้านต่างๆ สามารถวัดได้ โดยใช้
“ข้อสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิ”
ความรบั ผดิ ชอบตนเอง
1. ความหมายและขอบข.ายของความรบั ผดิ ชอบ
ได้มีผู้ให้ความหมายของความรับผิดชอบไว้ดังน้ี กิตติพร ปัญญาภิญโญผล (2546 : 3)
กล่าวว่า ความรับผิดชอบคือความมุ่งม่ันท่ีจะ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความผูกพัน มีความบากบ่ันพากเพียร
และละเอียดรอบคอบและยอมรับผลการกระทํา ในการปฏิบัติหน้าท่ี เพื่อบรรลุผลสําเร็จตามความมุ่ง
หมายท้ังพยายามทจี่ ะปรับปรงุ การปฏิบัติหน้าท่ีให้ ดยี ง่ิ ข้นึ
ชํานาญ นิศารัตน์ (2544 : 53) กล่าวว่า ความรับผิดชอบคือการยอมรับรู้และสํานึก ใน
การกระทําของตน ยอมรบั ผลแห่งการกระทาํ ของตนด้วยความเต็มใจ ไม่วา่ จะเป็นผลดีหรือผลร้าย ไมว่ ่า
จะกระทําผิดหรือถูกไม่ปัดความรับผิดชอบให้ผู้อ่ืนและพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ได้ผลดีย่ิงขึ้น
ความรับผิดชอบเป็นสิ่งท่ีเกื้อหนุนให้บุคคลปฏิบัติสอดคล้องกับกฎจริยธรรม และหลักเกณฑ์ของสังคม
โดยไม่ตอ้ งมีการบงั คบั ควบคมุ เข้มงวดจากคนอน่ื
วัฒนา สิงหสัมฤทธ์ิ (2547 : 5) กล่าวถึงความรับผิดชอบว่า หมายถึง การปฏิบัติ หน้าท่ี
การงานของตนด้วยความเอาใจใส่ความขยันหม่ันเพียร อดทนต่อสู้อุปสรรคไม่ย่อท้อ มีความละเอียด
24
รอบคอบซ่ือสัตย์ ตรงต่อเวลาไม่ละเลยทอดท้ิงหรือหลีกเลี่ยงพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นรู้จกั วางแผนและ
ปอ้ งกนั ความบกพร่องเสือ่ มเสยี ในวงงานทต่ี นรับผิดชอบ
สัญญา สัญญาวิวัฒน์ (2544 : 77) กล่าวว่า บุคคลท่ีมีความรับผิดชอบจะต้อง
ประกอบด้วยความขยันหม่ันเพียรความละเอียดรอบคอบความสามารถและความรอบรู้ ความเอาใจใส่
และความฝึกใฝ่แสวงหาความรู้ เพ่ิมเติมเสมอ
สาโรช บัวศรี (2542 : 129) ได้อธิบายขอบข่ายของพฤติกรรมของความรับผิดชอบ ว่า
ได้แก่การเอาใจใส่ต่อหน้าท่ีการงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อผลของงานนั้นๆ ซ่ือสัตย์ต่อหน้าที่ โดยไม่
คํานึงถึงผลประโยชน์ ส่วนตัวเคารพต่อระเบียบกฎเกณฑ์และมีวินัยในตนเองมีอารมณ์หนักแน่น เม่ือ
เผชิญกับอุปสรรค รู้จักหน้าที่และกระทําตามหน้าที่เป็นอย่างดีมีความเพียรพยายามมีความละเอียด
รอบคอบใช้ความสามารถอย่างเต็มท่ีปรับปรุงงานในหน้าท่ีให้ดีขึ้นทั้งของตนเองและสังคม ตรงต่อเวลา
และยอมรับผลการกระทาํ ของตน
อาวธุ พรหมมานอก (2543 : 69) กล่าวว่า ความรับผิดชอบเป็นลักษณะทแี่ สดง ออกมา
ด้วยการปฏิบัติหน้าที่การงานของตนด้วยความเอาใจใส่ ไม่หลีกเล่ียง มีความพากเพียร และละเอียด
รอบคอบ ตรงต่อเวลาและพยายามปรับปรุงแก้ไขให้สําเร็จลุล่วงไปด้วยดี ยอมรับผลการ กระทําของ
ตนเองดว้ ยความเตม็ ใจทั้งในด้านผลดีและผลเสยี
แคทเทิล (Cattell. 1963 : 154) ได้กล่าวถึง บุคคลท่ีมีความรับผิดชอบว่า คือ บุคคลที่
รับผิดชอบในหน้า ที่มีความบากบ่ันพากเพียร ถือศักดิ์ศรี ยึดม่ันในกฎเกณฑ์ลักษณะของผู้ท่ีมี ความ
รับผดิ ชอบน้อย คือคนท่ถี อื ความสะดวกสบายเป็นเกณฑ์ หลีกเลีย่ งขอ้ บังคบั
บราวน์ และโคห์น (Browne and Cohn.1958 : 58) กล่าวถึง ลักษณะของ ความ
รับผิดชอบว่า ได้แก่ ความไว้วางใจได้ความคิดริเริ่ม ความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคการ ทํางาน อย่างแข็งขัน
มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความปรารถนาทําให้ดีกว่าเดิมและผู้ที่มีความรับผิดชอบคือ ผู้ท่ีสามารถ
ปฏบิ ัติงานให้สําเรจ็ ลลุ ่วงไปตามเป้าหมายมีความซอื่ สตั ย์ สจุ ริตและตรงต่อเวลา
ฟลิบโบ (Flippo. 1966 : 122) ได้สรุปความหมายของความรับผิดชอบว่า เป็นความ
ผูกพันท่ีจะปฏิบัติหน้าท่ีให้สําเร็จลุล่วงไปได้ และความสําเร็จนี้เก่ียวข้องกับปัจจัย 3 ประการ คือพันธะ
ผูกพันหน้าที่การงานและวัตถุประสงค์ จากความหมายและพฤติกรรมที่แสดงออกถึง ความรับผิดชอบ
สรุปได้ว่า ทั้งผู้นําและสมาชิกต้องรับผิดชอบต่องานท่ีตนเองได้รับมอบหมายจากกลุ่ม โดยแสดงออกมา
ให้ปรากฏจน ทําให้ผู้อื่นเกิดความเช่อื ถือในตัวเขาและท่ีสําคัญ ความรบั ผิดชอบจะทํา ให้บุคคลน้ันๆ ทํา
หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้าย่ิงขึ้นความรับผิดชอบยัง หมายถึง การท่ีคนเรารู้จัก พัฒนาคนเอง มีความ
ซ่ือสัตย์และต้องตรงต่อเวลาด้วย ทั้งนี้ความรับผิดชอบเป็นภาระผูกพันที่ผู้มี ความรับผิดชอบพึงมีในตัว
และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเต็มใจใส่ใจในงานจนงานสําเร็จลุล่วงไปด้วยดี สรุปได้ว่า ความรับผิดชอบ
ตนเอง หมายถึง การปฏิบัติหน้าท่ีการงานของตนด้วย ความเอาใจใส่ความขยันหมั่นเพียร อดทน ต่อสู้
อุปสรรคไม่ย่อท้อมีความละเอียด รอบคอบ ซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลาไม่ละเลยทอดท้ิงหรือหลีกเล่ียง
พยายามปรับปรุงให้ดีขน้ึ รู้จักวางแผน และป้องกนั ความบกพร่องเสอ่ื มเสยี ในวงงานท่ีตนรับผิดชอบ ใส่
ใจในงานจนงานสาํ เร็จลุล่วงไปด้วยดี
2. ความสําคญั ของความรบั ผดิ ชอบ
ความรับผิดชอบเป็นคุณลักษณะอย่างหนึ่งของพลเมืองที่จําเป็นและแสดงให้เห็น ถึง
ความเป็นผู้มีวุฒิภาวะทางด้านอุปนิสัยซึ่งเป็นส่วนประกอบหน่ึงที่สําคัญยิ่งต่อการดํารงชีวิต ในสังคม
เพราะบุคคลแต่ละคนมบี ทบาท ท่ีจะต้องกระทํามากมายในสงั คมเช่น บทบาทพลเมืองดี บทบาทของลูก
25
บทบาทของพ่อแม่ บทบาทของครู บทบาทจองนักเรียนเป็นต้น ถ้าทกุ คนรู้จัก รับผิดชอบเป็นอย่างดยี ่อม
ทําให้สังคมสงบสุขเจริญรุ่งเรืองประเทศชาติพัฒนาก้าวหน้าไปด้วยดีดังนั้น ความรับผิดชอบ จึงเป็น
ลกั ษณะนสิ ัยทสี่ ําคัญและควรได้รบั การปลูกฝังให้มีสงู ข้ึนในคนเราเพราะหาก พลเมืองขาดคณุ สมบตั ิข้อน้ี
ก็จะทําให้เกิดความสับสนวุ่นวายหรือผลเสียหายได้เช่น พ่อแม่ไม่รับผิดชอบ ต่อการอบรมเล้ียงดูบุตร ก็
จะทําให้เด็กขาดความอบอุ่นขาดความรู้สึกผูกพันกับพ่อแม่หันไปพึ่ง ยาเสพย์ติดหรือก่อความวุ่นวาย
ใหก้ ับสังคม และถ้าหากครูไม่มีความรบั ผิดชอบต่อบทบาทของตนกจ็ ะ ทําให้เด็กและเยาวชนขาดความรู้
ขาดความสามารถในการปรับตนและการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนักเรียนท่ี ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ไม่ใส่ใจใน
การเรยี นขาดระเบียบวนิ ยั มีพฤตกิ รรมไม่เหมาะสมก็จะก่อให้เกิด ความเสียหายต่างๆ ขน้ึ ในสังคมได้
สัญญา สัญญาวิวฒั น์ (2514 : 55 – 57) กล่าวถึงปัญหาต่างๆ ของสังคมไทยเช่น ปัญหา
ความประพฤติของนักเรียนปัญหาข้าราชการไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนและความสับสน วุ่นวายต่างๆ
ในสังคมมีสาเหตุจากบุคคลกลุ่มหนึ่งขาดคุณสมบัติหน่ึงใน 5 ประการ คือ ความรู้สึก รับผิดชอบซึ่งจะ
เห็นไดว้ า่ การขาดความรับผิดชอบเป็นสาเหตุประการหนึ่งของปัญหาต่างๆ ในสังคม
จรรยา สุวรรณทัต และคณะ (2521 : 28) ได้กล่าวว่า ความรู้สึกรับผิดชอบเป็น หน้าที่ท่ี
สาํ คัญอย่างหน่ึงของพลเมืองนอกจากความมีวินัยในสงั คมความเอื้อเฟื้อและความเกรงใจ ลักษณะความ
เป็นพลเมืองดีน้ี คือ นิสัยและการกระทําซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานและกฎเกณฑ์ของ ศาสนากฎหมาย
บ้านเมืองรวมถึงลักษณะท่ีเป็นประโยชน์ ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัวเน่ืองจากความรู้สึก รับผิดชอบน้ีเป็น
ลักษณะนิสยั และเจตคติของบุคคล เป็นเครือ่ งผลักดันให้ปฏิบัติตามระเบียบเคารพสิทธิ ของผู้อนื่ ทําตาม
หน้าที่ของตนและมีความซือ่ สัตย์ สุจริต การเป็นคนท่ีมีความรับผิดชอบต่อหน้าท่ีเป็น การช่วยให้การอยู่
รวมกันในสังคมเป็นไปด้วยความราบร่ืน สงบสขุ และยังเป็นคุณธรรมที่สาํ คัญในการพัฒนาประเทศด้วย
ดังน้ันลักษณะของความเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบ จึงเป็นคุณธรรมที่สําคัญและจําเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้อง
ช่วยกันปลูกฝังให้เกิดแก่บรรดาสมาชิกทุกคนในสังคม เพ่ือความสงบสุขและ ความเจริญก้าวหน้าของ
ประเทศ
3. พฤติกรรมที่แสดงความรบั ผิดชอบ
นักเรยี นทีม่ ีความรบั ผิดชอบจะแสดงออกทางพฤติกรรมให้เหน็ ดังต่อไปนี้
(มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช. 2540 : 242)
1. มคี วามกระตอื รอื ร้นทํางานท่ีไดร้ ับมอบหมาย
2. อทุ ศิ เวลาให้แก่งาน
3. เอาใจใส่งานเพ่อื ให้งานน้ันเกิดผลดมี คี ุณภาพ
4. ศกึ ษาและทําความเข้าใจลักษณะของงานโดยละเอียด
5. มงุ่ หวงั ความสําเร็จของงานเป็นทตี่ ั้ง
6. มีอารมณห์ นักแน่นเม่อื เจอกับอปุ สรรค
7. ยอมรับความผิดจากผลการกระทําของตนเองโดยไม่กลา่ วโทษผู้อ่นื
8. ปรบั ปรงุ งานในหน้าทีใ่ ห้ดียิ่งขน้ึ ท้งั ของตนเองและของสงั คม
เกรยี งศกั ด์ิ เจริญวงศ์ศักด์ิ (2539 : 84 – 90) กล่าวถงึ ผู้ที่มคี วามรับผิดชอบว่า จะต้อง มี
ความคิดดงั น้ี
1. จะทํางานในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างดีและสุดกําลังความสามารถไม่ว่าจะเผชิญ
กับอปุ สรรคมากน้อยเพยี งใด
26
2. จะพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วลงมือตัดสินใจเป็นผู้กระทําส่ิงนั้น โดยยินดีรับผล ของ
มันไมว่ ่าจะออกมาอย่างไร
3. แมไ่ มม่ ีใครรู้ใครเห็น ไมม่ ีใครมาคอยควบคมุ ก็ยนิ ดีกระทาํ ตอ่ จนสําเรจ็
4. จะไม่ยอมทาํ สิง่ ท่เี กิดผลเสยี หายต่อผู้อื่น
5. จะพยายามทํางานตามเวลาทไี่ ด้นัดหมาย ซ่งึ วเิ คราะห์แล้วว่าเป็นไปได้
6. ยินดีรับส่วนในความผิดของตน หากพบภายหลังผิดพลาดนอกจากน้ีแล้ว ผู้ท่ีมีความ
รับผิดชอบจะต้องแสดงพฤติกรรมที่ยอมรับว่าตนเป็นผู้กระทําในส่ิงที่กระทําไปแล้วและเต็มใจ ที่จะรับ
ผลท่ีเกิดข้ึน กระทําตามหน้าท่ีอย่างสุดความสามารถโดยไม่จําเป็นต้องมีใครมาคอยควบคุมและ กระทํา
ด้วยความเต็มใจเอาใจใส่แม้ไม่มีใครเห็น เอาจริงเอาจังขยันขันแข็งไม่ท้ิงงานไปกลางครั้น แม้เป็นงานที่
ตนไม่ชอบก็จะพยายามทําจนสําเร็จตามเป้าหมาย ไม่ผัดวันประกันพรุ่งหรือท้ิงปัญหาไว้ โดยคิดว่าจะ
หมดไปเอง และที่สําคัญ คือ ไม่โทษผู้อื่นหากงานนั้นไม่สําเร็จหรือเกิดผลเสียหาย แต่แสดงความ
รบั ผดิ ชอบร่วมกับคนอน่ื และแก้ปญั หาจนสาํ เรจ็ ลลุ ่วง
แคทเทิล (Cattell. 1963 : 145) อธิบายว่าบุคคลที่มีความรับผิดชอบสูงจะต้องมี ความ
เพยี รพยายามยดึ มน่ั ในกฎเกณฑ์ ส่วนบคุ คลท่ีมีความรบั ผิดชอบตำ่ จะถือเอาความสะดวกเป็น เกณฑ์มัก
หลกี เล่ยี งกฎขอ้ บงั คบั
อาร์ค บิชอป เนลสัน (สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน. 2552 : 97 ;
อา้ งองิ จาก Ark Bechop Nelsons. n.d.) กล่าวถงึ กฎแห่งความรบั ผดิ ชอบดงั น้ี
1. ไมผ่ ัดวนั ประกนั พรุ่งในการเรม่ิ งานสําคัญต่างๆ
2. อย่าบ่นเมื่อมีงานรัดตัวหรือบอกว่าไม่มีเวลา แต่ควรใช้เวลาทั้งหมดให้เกิดประโยชน์
สูงสุด
3. อย่าแสร้งทําเป็นว่างานท่ีรับผิดชอบอยู่น้ันหนักหนาเกินความเป็นจริงและต้องทุกข์
ทรมานกบั งานน้นั แต่ควรยอมรับด้วยความยินดีและภูมใิ จต่องานทรี่ บั ผดิ ชอบ
4. ไมเ่ สาะหาคําสรรเสริญ คาํ ขอบคุณ การนบั ถือจากหัวหน้าหรอื เพอ่ื นในระดบั เดยี วกนั
5. ไมร่ ู้สึกน้อยใจเม่อื คนอ่นื ไม่สนใจ
6. ไมป่ ัดความรับผิดชอบให้คนอืน่
งานวจิ ยั ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง
1. งานวิจยั ในประเทศ
วัลลภา จติ ถวิล (2548 : 113) ได้ทาํ การศึกษาการพฒั นาแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญโดยใช้กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบมีส่วนร่วมเร่ืองความปลอดภัยในชีวติ วิชาสุขศึกษา
และพลศึกษาพื้นฐานชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 ผลการศึกษาพบว่า (1) แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีสร้าง
ข้ึนมีประสิทธิภาพ 82.73/82.17 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ท่ีต้ังไว้และมีดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.72 (2)
นักเรียน ทีเ่ รยี นด้วยแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ทีเ่ น้นผู้เรยี นเป็นสําคัญโดยใช้กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบ
มสี ่วน รว่ มมกี ารพัฒนาด้านความรู้ดา้ นความสามารถในการแก้ปัญหาด้านทักษะการปฏิบัติตนเรื่องความ
ปลอดภัยในชีวิตดีกว่าก่อนได้รับการสอนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสําคัญทาง
สถติ ิท่รี ะดบั .05
(3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ โดยใช้กิจกรรม
การเรียนรู้แบบมสี ่วนร่วมอยู่ในระดบั มาก
27
นงเยาว์ ธรรมวงศา (2549 : 106) ได้ศึกษาค้นคว้าเรื่อง การพัฒนาแผนการจัด การ
เรียนรู้แบบมีส่วนร่วม เรื่องเพศศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความรู้ดังนี้ (1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบมี
ส่วนร่วมมีประสิทธิภาพเท่ากับ 88.49/87.50 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ต้ังไว้ และมีค่าดัชนีประสิทธิผล
ของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เท่ากับ 0.7519 แสดงว่านักเรียนมีความรู้เพ่ิมข้ึนร้อยละ 75.19 (2)
นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเรื่อง เพศศึกษา
อยู่ในระดับมากท่ีสดุ
สิธิกิต์ิ จันสามารถ (2552 : 72-73) ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ
เทคนิค TGT เรื่อง สมรรถภาพทางกายกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษา และพลศึกษา ช้ัน ประถมศึกษาปี
ท่ี 2 ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT เร่ือง
สมรรถภาพทางกายช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.41/81.46 และดชั นี ประสทิ ธผิ ลมี
ค่าเท่ากับ0.6888 หรือคิดเป็น ร้อยละ 68.88 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัด กิจกรรมการ
เรยี นรู้แบบกลมุ่ รว่ มมอื เทคนคิ TGTเรอื่ งสมรรถภาพทางกายอยู่ในระดบั มาก
2.งานวจิ ยั ต่างประเทศ
สปูเลอร์ (Spuler. 1993 : 1715) ได้ศึกษาการสังเคราะห์ งานวิจัยเก่ียวกับผลการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือกันเรียนรู้ท่ีมีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนใน
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจํานวน 2 รูปแบบคือ 1) รูปแบบการเรียนรู้แบบการประสบความสําเร็จ
เป็นทีม (STAD) 2) รูปแบบการเรียนรู้แบบการแข่งขันเป็นทีม (TGT) ผลการศึกษาพบว่าการทดลองใช้
เวลามากกว่า 13 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้น นักเรียนกลุ่มท่ีเรียนรูปแบบการเรียนรู้แบบการแข่งขันเป็น
ทีม (TGT) มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์สูงกว่า นักเรียนกลุ่มท่ีเรียนรูปแบบการเรียนรู้
แบบการประสบความสําเร็จเป็นทีม (STAD) และผลการทดลองน้อยกว่า 13 สัปดาห์ นักเรียนกลุ่มที่
เรียนรูปแบบการเรียนรู้แบบการประสบความสําเร็จเป็นทีม (STAD) มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์สูงกว่านักเรียนกลุ่มท่ีเรียนรูปแบบการเรียนรู้แบบการแข่งขันเป็นทีม (TGT) และที่เรียน
รูปแบบการเรียนรู้แบบการแข่งขันเป็นทีม (TGT) มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์สูงกว่า
นกั เรียนกลุ่มท่เี รียนเป็นรายบคุ คลนักเรียนท่ีเรียนรูปแบบการเรียนรู้แบบการประสบความสาํ เร็จเป็นทีม
3. (STAD) มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ เพิ่มมากกว่ากลุ่มทเี่ รียนรู้รูปแบบการเรียนรู้ แบบ
การแข่งขันเป็นทีม (TGT) และโรงเรียนในเขตเมืองนักเรียนที่เรียนแบบการประสบความสําเร็จ เป็นทีม
(STAD) มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์สูงกว่ากลุ่มนักเรียนท่ีเรียนรูปแบบการเรียนรู้ แบบ
การแข่งขันเป็นทีม (TGT) มอร์แกน (Morgan. 1998 : 665) ไดศ้ ึกษาเก่ียวกับความรับผดิ ชอบของแต่ละ
บุคคลใน การเรียนรู้แบบร่วมมือกันเรียนรู้ท่ีมีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติต่อวิชา
คณิตศาสตร์ ของนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 3 กลุ่มตวั อย่างเป็นนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 จํานวน
3 ห้องนักเรียน แต่ละห้องถูกออกแบบให้เป็นกลุ่มที่มีความสามารถสูงหรือกลุ่มที่มีความสามารถต่ำโดย
กลุ่มท่ี 1 ใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือกันเรียนรู้พร้อมด้วยกระบวนการรับผิดชอบของแต่ละบุคคล
กลุ่มที่ 3 ใช้วิธีการสอนแบบด้ังเดิมผลการวิจัย พบว่า นักเรียนในกลุ่มท่ีสอนด้วยรูปแบบการเรียนรู้แบบ
ร่วมมือ กันเรียนรู้มีคะแนนดีกว่ากลุ่มท่ีสอนด้วยวิธีการแบบดั้งเดิม นักเรียนที่เรียนอ่อนในกลุ่มการ
เรียนรู้แบบ ร่วมมือกันเรียนรู้มีผลสัมฤทธ์ิสูงกว่านักเรียนที่เรียนอ่อนในกลุ่มแบบดั้งเดิมนักเรียนที่เรียน
แบบร่วมมือ กันเรียนรู้แต่ไม่เน้นการมีความรับผิดชอบของสมาชิกมผี ลการเรียนไม่แตกต่าง จากนักเรยี น
ในกลุ่ม แบบดั้งเดิม โดยสรุปการเรียนรู้แบบร่วมมือกันเรียนรู้และเน้นให้นักเรียนมีความรับผิดชอบมี
28
ผลสัมฤทธิ์ ในการเรยี นดีกว่า แต่กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมอื ที่ไม่เน้นความรับผิดชอบทําให้นักเรียนมีเจต
คตติ อ่ วิชา คณิตศาสตร์ ดกี ว่าทีเ่ รยี นแบบด้ังเดิม
จากการศกึ ษางานวจิ ัยท่ีเกย่ี วข้องท้ังในประเทศและต่างประเทศเกีย่ วกบั การเปรยี บเทียบ
ผลสัมฤทธิ์และความรับผิดชอบตนเอง ด้วยการเรียนรู้แบบกลุ่มกับวิธีการสอบแบบปกติสรุปได้ว่า การ
จัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT ทําให้เกิดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและความรับผิดชอบต่อ
ตนเองดีข้ึน
29
บทที่ 3
วธิ กี ารดำเนนิ การศกึ ษาค้นคว้า
ผู้วิจัยได้กาํ หนดข้ันตอนในการดําเนนิ การศึกษาวิจยั ตามลาํ ดบั ดังนี้
1. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
2. เครอ่ื งมือท่ีใช้ในการวิจยั
3. การสร้างและการหาคณุ ภาพของเครือ่ งมือท่ีใช้ในการวิจัย
4. ขน้ั ตอนดําเนนิ การวิจัย
5. รูปแบบการวิจัย
6. ระยะเวลาทใี่ ช้ในการวจิ ัย
7. การจดั ทาํ และการวเิ คราะหข์ ้อมลู
8. สถติ ิท่ใี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล
1. ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง
ประชากร
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1-3 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ ต.ตลาด อ.เมือง
จ.สุราษฎรธ์ านี
กลุ่มตัวอย่าง
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1-3 โรงเรียนธิดาแม่พระ ต.ตลาด อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ภาค
เรียน ท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 ท่ีได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 45
คนโดยกำหนดเป็นกลุ่มทดลอง 1 ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค TGT และกลุ่ม
ควบคุม 2 ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรวู้ ิธกี ารสอนแบบปกติ
ตัวแปรต่างๆ ที่เก่ยี วขอ้ ง
ตวั แปรอสิ ระ ไดแ้ ก่ การจดั การเรยี นรู้แบบกลุ่มรว่ มมือเทคนคิ TGT และวิธกี ารสอนแบบปกติ
ตวั แปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นและความรบั ผิดชอบต่อตนเอง
2. เครื่องมือทใ่ี ช้ในการศกึ ษาคน้ คว้า
เครื่องมือทใี่ ช้ในการวจิ ัยคร้ังน้มี ี 4 ชนดิ ประกอบด้วย
1. แผนการจัดการเรยี นรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT เร่ือง เรารักสุขภาพวิชาสุขศึกษา
ของนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 1-3
2. แผนการจัดการเรียนรู้วิธีการสอนแบบปกติเรื่องเรารักสุขภาพ วิชาสุขศึกษาของ
นกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 1-3
3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเร่ืองเรารักสุขภาพวิชาสุขศึกษา ชั้น
ประถมศกึ ษาปีที่ 1-3 ชนิดปรนยั เลือกตอบ 3 ตัวเลือกจํานวน 30 ข้อ
4. แบบวดั ความรับผิดชอบตนเองจํานวน 15 ข้อ
30
3. การสร้างและการหาคุณภาพของเครือ่ งมือทีใ่ ช้ในการวจิ ัย
การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือทีใ่ ช้ในการวจิ ยั
1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาสุขศึกษาเร่ืองเรารักสุขภาพ โดยการจัดการเรียนรู้ แบบ
กลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT ช้ันประถมศึกษาปีที่ 1-3 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นได้ดําเนินการสร้างตามข้ันตอน
ดงั น้ี
1.1 ศึกษาหลักสูตรวิสัยทัศน์คุณภาพผู้เรียนคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์สาระและ
มาตรฐาน การเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงช้ันกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ช้ัน
ประถมศึกษา ศึกษาปีท่ี 1-3 ตามหลักสูตรการศึกษาแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551
(กระทวงศึกษาธิการ. 2551 : 1-31)
1.2 ศึกษาคมู่ ือการจดั การเรียนรู้กลุ่มสาระสขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา
(กระทรวงศึกษาธิการ. 2551 : 1-123)
1.3 ศึกษาเอกสารและหนังสือท่ีเก่ียวข้องกับวิธีการหลักการหลักทฤษฎีและเทคนิค
การเขียนแผนการจดั การเรยี นรู้แบบกลมุ่ รว่ มมือเทคนคิ TGT และวิธีการสอนแบบปกติ
1.4 กําหนดสาระการเรียนรู้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT และ
วธิ ีการสอนแบบปกติ รวมทั้งสาระการเรียนรู้ เร่ืองเรารักสุขภาพ วิชาสุขศึกษา ช้ันประถมศึกษาปีที่ 1-3
เพอื่ สร้างแผนการจดั การเรียนรู้
1.5 วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ท่ี 4 มาตรฐาน 4.1 และตัวช้ีวัดของสาระการเรียนรู้
สุขศึ ก ษ าช้ัน ป ะถม ศึ ก ษ าปี ที่ 1-3 ต าม ห ลั ก สูต รแ กน ก ลางก ารศึ ก ษ าขั้ น พื้ น ฐ าน 2551
กระทรวงศึกษาธิการ. 2551 : 33) ประกอบการจัดทําแผนการจัดการเรียนรู้เร่ือง เรารักสุขภาพ ตาม
หลกั สูตรสถานศึกษา
1.6 เขยี นแผนการจดั การเรยี นรู้วิชาสุขศกึ ษา เร่ืองเรารักสุขภาพชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี
1-3 โดยการจดั การเรียนรู้แบบกลมุ่ รว่ มมือเทคนคิ TGT และแผนการสอบแบบปกติ
2. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน
การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่องเรารกั สุขภาพ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี
1-3 เป็นแบบทดสอบชนิดปรนัยเลือกตอบแบบ 3 ตัวเลือกจํานวน 30 ข้อซ่ึงมีข้ันตอนในการสร้าง และ
หาคุณภาพแบบตามลาํ ดับขน้ั ตอนดังนี้
2.1 ศึกษาวิธีสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากหนังสือการวิจัย
เบ้ืองต้น ของ บุญชม ศรีสะอาด (2545 : 53 - 66) และศึกษาวิธีสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน จากเอกสารเกย่ี วกบั การวัดผลการศึกษา
2.2 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ศึกษาสาระและ
มาตรฐาน การเรียนรู้กลุ่มสาระการเรยี นรู้สุขศกึ ษาและพลศึกษา
2.3 วิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างข้อสอบและตัวชี้วัด เพื่อสร้าง
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง เรารักสุขภาพ กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพล
ศึกษาช้ันประถมศึกษาปีที่ 1-3 ชนิดปรนัยเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จํานวน 53 ข้อ ต้องการใช้จริง 30 ข้อ
มีเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนคือตอบถูกให้ 1 คะแนนตอบผดิ หรือไม่ตอบให้ 0 คะแนน
2.4 นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สร้างข้ึนเสร็จ นอคณะกรรมการ
ควบคุม วิทยานิพนธ์ เพ่ือพิจารณาตรวจสอบคุณภาพและข้อบกพร'องแล้วทําการแก้ไขปรับปรุงและ
นาํ เสนอ ผู้เชยี่ วชาญ 5 ท่าน เพื่อตรวจสอบคุณภาพด้านความเท่ียงตรงใน เรื่องการเขียนข้อสอบ โดยให้
31
ผู้เช่ียวชาญประเมินความสอดคล่องระหว่างข้อสอบกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง (IOC) ซ่ึงมีเกณฑ์ การ
ประเมนิ ความสอดคล่องดงั น้ี
ให้ + 1 เม่อื แนใ่ จว่าขอ้ สอบน้ันวดั ได้ตามผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวัง
ให้ 0 เม่อื ไมแ่ นใ่ จว่าขอ้ สอบนน้ั วดั ได้ตามผลการเรยี นรู้ทคี่ าดหวัง
ให้ - 1 เมื่อแนใ่ จว่าขอ้ สอบนนั้ ไม'ไดว้ ดั ตามผลการเรยี นรู้ท่คี าดหวงั
2.5 วิเคราะห์ข้อมูลค่าดัชนีความสอดคล่องระหว่างข้อคําถามของแบบทดสอบกับ
ตัวชวี้ ัด คัดเลอื กข้อสอบท่ีมคี า่ IOC ตั้งแต่ 0.50 ข้นึ ไป เพอ่ื นาํ ไปทดลองใช้และหาคณุ ภาพของข้อสอบ
2.6 นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีได้รับการตรวจสอบความเท่ียงตรง
เชิงเนอื้ หาและแก้ไขปรับปรุง แล้วพิมพ์เป็นฉบับทดลองใช้กับนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีที่ 1-3 ซึ่งเป็น
นักเรยี นทเี่ ป็นกลุ่มทดลองใช้ แผนการจัดการเรียนทง้ั สองรปู แบบ
2.7 นําแบบทดสอบมาวิเคราะห์หา อํานาจจําแนกรายข้อ (B) ของข้อสอบ โดยใช้
วิธีการ ของเบรนแนน (Brennan) (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 96) โดยเลือกข้อสอบที่มีค่าอํานาจ
จําแนก ต้งั แต่ 0.20 – 1.00
2.8 คัดเลือกข้อสอบท่ีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) และค่าอํานาจจําแนก (B) ตาม
เกณฑ์ ให้เหลอื 30 ข้อ แล้วนาํ ไปหาคา่ ความเชื่อมัน่ ตามวิธีของ Lovett (บญุ ชม ศรีสะอาด. 2543 : 93)
2.9 นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไปใช้ทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างในการ
วิจัย ต่อไป
3. แบบวัดความรับผิดชอบต่อตนเอง การสร้างแบบวัดความรับผิดชอบต่อตนเองของช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มตี ่อการจดั การ เรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมอื เทคนิค TGT และการสอบแบบปกติ สาระ
การเรียนรู้สขุ ศกึ ษามีขั้นตอนดังน้ี
3.1 ศึกษาเอกสารท่ีเก่ียวข้องกับความรับผิดชอบต่อตนเอง และศึกษาสร้างแบบวัด
ความรับผิดชอบต่อตนเอง
3.2 สร้างแบบวัดความรับผิดชอบต่อตนเอง ตามแบบของ Likert 's Method
จํานวน 25 ข้อ ต้องการใช้จรงิ 15 ข้อ
4. ขนั้ ตอนดําเนินการวิจยั
ในการวิจัยครั้งน้ี ผู้วิจัยเป็นผู้ดําเนินการทดลองกับผู้เรียนท่ีเป็นกลุ่มตัวอย่างด้วยตนเอง
โดยดําเนนิ การวิจัยตามลาํ ดบั ข้ันต่อไปน้ี การดําเนนิ การจัดการเรียนรู้แบบกลุม่ รว่ มมือเทคนิค TGT
1. ข้ันเตรยี มผู้เรยี นกอ่ นดาํ เนนิ การทดลอง
1.1 จัดกลุ่มผู้เรียนตามความสมัครใจโดยแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อย 4 กลุ่ม กลุ่ม
ละ 5 คน แต่ละกลุ่มประกอบด้วยผู้เรียนท่ีมรี ะดับความสามารถต่างกนั ตามผลสัมฤทธ์ิทางการ เรยี นวิชา
สุขศกึ ษาคือ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนสงู 1 คนปานกลาง 3 คน และตำ่ 1 คน
1.2 ชี้แจงบทบาทของผู้เรียน แนะนําวิธีการเรียนแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT ให้
ผู้เรียนเข้าใจได้แก่ วิธีเรียนและการทํางานร่วมกันการช่วยเหลือซ่ึงกันและกันภายในกลุ่มบทบาทและ
หน้าที่ของสมาชิกในกลุ่มวิธีการแข่งขัน เพ่ือสะสมคะแนนความสามารถของกลุ่ม การคิดคะแนนโบนัส
ของกลุ่มแขง่ ขนั การคิดคะแนนความสามารถของกลุ่มและเกณฑ์ในการได้รับรางวลั
1.3 ทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน
เรื่องเรารกั สุขภาพ จาํ นวน 30 ข้อ
32
2. ข้ันดําเนินการทดลองดําเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค
TGTเร่ืองเรารักสุขภาพสาระการเรยี นรู้ สุขศึกษาชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1-3 จํานวน 16 แผน การเรียนรู้
โดยจัดให้ผู้เรียนมีการแข่งขันระหว่างกลุ่ม 20 นาที ทําแบบทดสอบย่อยท้ายแผนการจดั การเรียนรู้หลัง
เรียน 15 นาที และสังเกตพฤตกิ รรมการปฏิบตั ิงานของผู้เรยี นและบันทึกคะแนน
5. รปู แบบการวิจยั
การวิจัยคร้ังน้ีเป็นแบบกงึ่ ทดลองทศี่ ึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนและ ความ
รับผิดชอบตนเอง ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 1-3 ระหว่างการจัดเรียนรู้การจัดการเรียนรู้ แบบ
กลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT และวิธีการสอนแบบปกติ วิชาสุขศึกษาเร่ืองเรารักสุขภาพผู้วิจัยใช้ แบบ
แผนการศึกษาแบบ Two-Group Pretest-Posttest Design (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. 2538
: 248-249)
6. ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการวจิ ัย
การวจิ ัยครั้งนี้ผู้วจิ ยั ดําเนนิ การทดลองในภาคเรยี นที่ 1-2 ปีการศึกษา 2564
7. การจัดกระทําและการวเิ คราะห์ขอ้ มลู
ผู้วิจัยได้ดาํ เนนิ การจดั การทําและวเิ คราะห์ข้อมลู ดังนี้
1. การหาคุณภาพของแผนการจดั การเรยี นรู้จากผู้เชย่ี วชาญมลี กั ษณะเป็นแบบมาตร
สว่ นประมาณค่า 5 ระดับ กําหนดเกณฑ์ในการวิเคราะห์ ระดับความคิดเห็นไว้ ดงั น้ี
เหมาะสมมากท่สี ดุ กาํ หนดให้ 5 คะแนน
เหมาะสมมาก กําหนดให้ 4 คะแนน
เหมาะสมปานกลาง กาํ หนดให้ 3 คะแนน
เหมาะสมน้อย กาํ หนดให้ 2 คะแนน
เหมาะสมน้อยท่ีสุด กาํ หนดให้ 1 คะแนน
2. แปลผลคะแนนคุณภาพของแผนการจัดการเรยี นรู้โดยใช้เกณฑ์ ค่าคะแนน ดงั นี้ (บุญ
ชมศรีสะอาด. 2543)
ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง เหมาะสมมากท่สี ุด
ค่าเฉลย่ี 3.51 – 4.50 หมายถึง เหมาะสมมาก
ค่าเฉล่ีย 2.51 – 3.50 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง
ค่าเฉล่ีย 1.51 – 2.50 หมายถึง เหมาะสมน้อย
ค่าเฉลี่ย 1.00 - 1.50 หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด
3. นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน (Pretest) หลังเรียน (Post test) แบบฝึกหัด
ท้ายแผนการจัดการเรียนรู้มาตรวจให้คะแนนถ้าตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผิด ไม่ตอบ หรือตอบเกิน 1
ตวั เลือกให้ 0 คะแนน เพื่อคํานวณหาประสทิ ธภิ าพ และค่าดชั นีประสทิ ธผิ ลของแผนการจัด การเรียนรู้ที่
ผู้วจิ ยั พัฒนาข้ึน
4. ทดสอบสมมติฐานการวิจัยเพ่ือเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยใช้ U
– test (The Wilcoxon Mann – Whitney U Test)
33
5. การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิจัยครั้งนีใ้ ช้ผู้วจิ ัยใช้สถติ ิใน การวเิ คราะห์ข้อมลู 2 ประเภท ได้แก่ สถติ ิพื้นฐาน และ
สถติ ิที่ใช้หาคณุ ภาพเคร่ืองมือ
1. สถิตพิ ้นื ฐาน
ค'าเฉล่ียจากสูตร (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 104) ค่าเฉล่ียจากสูตร (บุญชม ศรี
สะอาด. 2545 : 104)
สตู ร X = fx
n
เม่ือ X คือ ค่าเฉล่ยี ของคะแนน
คอื ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
fx
คอื จำนวนนกั เรียนท้ังหมด
n
2. การคำนวณค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้สูตร (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2545 : 104)
S.D. = (Xi − X)2
n −1
เมอ่ื S.D. คือ คา่ เบีย่ งเบนมาตรฐาน
X คอื คา่ เฉลีย่
Xi คือ คะแนนของนกั เรยี นคนที่ 1
n คอื จำนวนนักเรยี น
34
บทที่ 4
ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู
การวิเคราะห์ข้อมลู ผู้วิจยั ไดเ้ สนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลาํ ดับ ดงั น้ี
1. สัญลกั ษณท์ ีใ่ ช้ ในการนาํ เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู
2. ลําดบั ข้ันตอนในการนาํ เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล
3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
สญั ลกั ษณ์ทใี่ ช้ ในการนําเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
ผู้วจิ ัยไดก้ าํ หนดสญั ลกั ษณ์ และความหมายสัญลกั ษณ์ทีใ่ ช้ในการผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ดงั น้ี
N แทน จาํ นวนนักเรียนในกลุ.มตวั อย่าง
X แทน ค่าคะแนนเฉลี่ย
S.D. แทน ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
E1 แทน ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการท่จี ัดไว้ในแผนการจัดการเรยี นรู้ คดิ
เป็นรอ้ ยละโดยใช้คะแนนพฤตกิ รรมการเรยี น และคะแนนทดสอบ
ย่อย ท้ายแผน
E2 แทน ประสิทธภิ าพผลลัพธ์จากการทาํ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการ
เรียน คิดเปน็ รอ้ ยละ
E.I. แทน ดชั นปี ระสิทธผิ ลของแผนการจดั การเรยี นรู้
U แทน สถิตทิ ดสอบทีใ่ ช ในการพจิ ารณาความมีนยั สําคญั ใน (The
Wilcoxon Mann-Whitney U Test)
ลาํ ดบั ขั้นตอนในการนําเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจยั ได้ดาํ เนินการวิเคราะห์ข้อมูลตามลาํ ดบั ข้ันตอน ดงั ต่อไปนี้
ตอนท่ี 1 การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการจัดการจัดการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค
TGTและการเรียนรู้ ด้วยวิธีสอนแบบปกติ เรื่องเรารักสุขภาพ วิชาสุขศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3
ตามเกณฑ์ 80/80
ตอนท่ี 2 การวิเคราะห์หาดัชนีประสิทธิผลของการจัดการจัดการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือ
เทคนิคTGTและการเรียนรู้ ด้วยวิธีสอนแบบปกติ เรื่องเรารักสุขภาพ วิชาสุขศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีท่ี
1-3 ตามเกณฑ์ 80/80
ตอนที่ 3 การวิเคราะห์เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ระหว่างการเรียน แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค
TGTและการเรียนรู้ ด้วยวิธีสอนแบบปกติ เรื่องเรารักสุขภาพ วิชาสุขศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3
ตามเกณฑ์ 80/80
ตอนท่ี 4 การวเิ คราะห์เพ่ือเปรียบเทยี บความรับผดิ ชอบตนเองระหว่างการเรยี น แบบกลุ่ม
รว่ มมอื เทคนคิ TGT และการเรียนรู้ด้วยวธิ สี อนแบบปกติ วชิ าสุขศึกษาเรื่องเรารักสุขภาพ ช้ัน
ประถมศึกษาศึกษาปีที่ 1-3
35
ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
ตอนที่ 1 การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการจัดการจัดการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค
TGTและการเรียนรู้ ด้วยวิธีสอนแบบปกติ เร่ืองเรารักสุขภาพ วิชาสุขศึกษา ช้ันประถมศึกษาปีที่ 1-3
ตามเกณฑ์ 80/80 ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ประสิทธิภาพด้านกระบวนการ และผลลัพธ์ของการจัดการจัดการ
เรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT การเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบปกติ จากคะแนนการประเมินการ
ปฏิบัติ กิจกรรมระหว่างเรียน ประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ และการทําแบบทดสอบย่อยท้ายแผน
รวมทั้ง คะแนนผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนหลงั เรียน
36
บทท่ี 5
สรปุ ผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั
1. เพ่ือพัฒนาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT วิชาสุข
ศกึ ษา เร่อื ง เรารักสขุ ภาพชั้นประถมศึกษาปที ่ี 1-3 ตามเกณฑ์ 80/80
2. เพ่ือศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT วิชาสุข
ศึกษา เรอื่ ง เรารักสุขภาพชัน้ ประถมศึกษาศึกษาปที ี่ 1-3
3. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT และ แผนการเรียนรู้
ด้วยวธิ ีสอนแบบปกติ วชิ าสุขศึกษา เร่อื ง เรารกั สุขภาพชัน้ ประถมศกึ ษาศกึ ษาปที ่ี 1-3
4. เพื่อเปรียบเทียบความรับผิดชอบตนเองของนักเรียนช้ันประถมศึกษาศึกษาปีที่ 1-3 ที่จัดการ
การเรียนรแู้ บบกลุม่ รว่ มมอื เทคนคิ TGT และการเรยี นรู้ดว้ ยวิธีสอนแบบปกติ
สมมตฐิ านการวิจัย
นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT วิชาสุขศึกษา เรื่อง เรารัก
สุขภาพ ช้ันประถมศึกษาศึกษาปีท่ี 1-3 มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน มีความรับผิดชอบต่อตนเอง สูงกว่า
นกั เรียนทไี่ ดร้ บั การจดั เรยี นรู้ ด้วยวธิ ีสอนแบบปกติ
เนื้อหาทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย
เน้ือหาท่ีใช้ในการศึกษาวิจัยคร้ังน้ี เป็นเน้ือหาสาระสุขศึกษา สาระการเรียนรู้ท่ี 4 การ
เสริมสร้างสุขภาพ สมรรถภาพและการป้องกนั โรค เรอ่ื งเรารักสขุ ภาพ ประกอบด้วยเน้ือหาดังนี้ ลักษณะ
ของการมีสุขภาพดี การดูแลรักษาร่างกายและของใช้ การดูแลรักษาฟัน สุขนิสัยในการรับประทาน
อาหาร อาหารสะอาด สง่ิ เสพตดิ ครอบครวั อบอนุ่ อุบัติภยั การออกกำลังกาย จติ ใจร่าเรงิ จติ สํานกึ ต่อ
สว่ นรวม อาหารหลัก 5 หมู่ หลักการเลือกอาหาร เครอ่ื งหมายในผลิตภัณฑ์ สุขภาพและฉลากอาหาร
การสอ่ื สารท่ดี ี การปฏิบัตติ นเม่ืออยู่ท่บี า้ น การปฏิบตั ิตนเมอื่ อยู่ในโรงเรียน
สรุปผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล
1. ประสทิ ธภิ าพของการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมอื เทคนคิ TGT และประสทิ ธภิ าพของ การ
เรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบปกติ วิชาสุขศึกษาเรื่องเรารักสุขภาพช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1-3 มี
ประสิทธิภาพเทา่ กับ 83.89/96.67 และ 80.21/80.97 ตามลำดบั
2. ค่าดัชนีประสิทธผิ ลของการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT และการเรียนรู้ ด้วย
วิธีการสอนแบบปกติ วิชาสุขศึกษาเรื่องเรารักสุขภาพ ชั้นประถมศึกษาศึกษาปีท่ี 1-3 มีค่าเท่ากับ
0.9448 และ 0.6135
3. ผลสัมฤทธิ์ระหว่างการเรียนแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หลัง
เรียนสูงกว่ากลมุ่ ท่ีเรียนรู้ดว้ ยวิธสี อนแบบปกติอย่าง มนี ยั สาํ คญั ทางสถิติที่ระดบั .01
4. ความรับผิดชอบตนเองระหว่างการเรียนแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT มีความรบั ผดิ ชอบ ต่อ
ตนเองมากกว่านกั เรยี นทเ่ี รียนรู้ดว้ ยวิธสี อนแบบปกตอิ ยู่ในระดับมากตามลำดบั
37
อภิปรายผล
จากการวิจัยพบประเด็นท่คี วรนํามาอภปิ รายผลดังนี้
1. การหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT และแผนการ
จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบปกติเรื่องเรารักสุขภาพช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1-3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ
83.89/96.67 และ 80.21/80.97 ตามลำดับซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ท่ีตั้งไว้หมายความว่า นักเรียนได้
คะแนนจากการประเมินพฤติกรรมการเรียนประเมินผลงานและทดสอบย่อยทั้ง 16 แผนคิดเป็นร้อยละ
83.89 และ 80.21 และคะแนนจากการทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคิดเป็น ร้อยละ 96.67 และ
80.97 ตามลำดับแสดงว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์กับผู้เรียน
โดยตรงซ่ึงสอดคล้องกับแนวคิดของสุวิทย์ มูลคํา (2547 : 163) กล่าวเอาไว้ว่า วัตถุประสงค์ร่วมมือ
เทคนิค TGT วา่ เป็นการจัดการเรยี นรู้ทีผ่ ู้เรียนมีความเอาใจใส่รับผดิ ชอบตัวเองและกลุ่มร่วมกับ สมาชิก
อ่ืนเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนที่มีความสามรถต่างกันได้เรียนรู้ร่วมกันส่งเสริมให้ผู้เรียนผลัดเปล่ียน
ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกและเรียนรู้ทักษะทางสังคมโดยตรงและผู้เรียนมีความตื่นเต้นสนุกสนานกับ การ
เรียนรู้สอดคล้องกับงานวิจัยของ วัลลภา จิตถวิล (2548 : 113) ได้ทำการศึกษาการพัฒนา แผนการจัด
กจิ กรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเรื่อง ความปลอดภัย
ในชีวิตวิชาสุขศึกษาและพลศึกษาพื้นฐานช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ผลการศึกษาพบว่า (1) แผนการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีสร้างข้ึนมีประสิทธิภาพ 82.73/82.17 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ธรรมวงศา (2549 : 106)
ได้ศึกษาค้นคว้าเร่ือง การพัฒนา แผนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเร่ืองเพศศึกษากลุ่มสาระการ
เรยี นรู้สุขศกึ ษาและพลศึกษาของ นักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความรู้ดังน้ี
(1) แผนการจดั กิจกรรมการ เรียนรู้ แบบมีส่วนร่วมมีประสทิ ธภิ าพเท่ากับ 88.49/87.50 ซ่งึ สงู กว่าเกณฑ์
80/80 ท่ีตั้งไว้ส่วนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้วิธีการสอนแบบปกติ ได้คะแนนประเมินความเหมาะสม
รวมทุกแผนได้คะแนนเฉล่ีย เท่ากับ 4.4983 แสดงว่าแผนการจัดการเรียนรู้อยู่ในเกณฑ์ และเน้ือหา
สอดคล้องกับงานวิจัยของ ณรงค์ ท่วมไธสง (2552 : 150 - 151) ศึกษาคว้า เรื่อง การเปรียบเทียบ
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ระหว่างการจัดการ
เรียนรู้แบบโครงงานและการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT กลุ่มสาระ การเรียนรู้สุขศึกษา
และพลศึกษา เร่ืองการป้องกันอันตรายจากส่ิงเสพติดผลการวิจัย พบว่า นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
กลุ่มท่ีเรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT มีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนสูงกว่า
กลุ่มที่จัดการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน และกลุ่มท่ีเรียนโดยการจัดการเรียนรู้ แบบโครงงานมีการคิด
วิเคราะห์
ขอ้ เสนอแนะ
1. ขอ้ เสนอแนะท่วั ไป
1.1 การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพล
ศึกษาควรมีเวลาให้นักเรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมในแต่ละข้ันตอนอย่างเพียงพอทั้ง ขั้นการกำหนดปัญหา
การต้งั สมมติฐานการศึกษาและการรวบรวมข้อมูลการวเิ คราะห์มาใช้ตรวจอบขอ้ มูลเพ่ือพิสูจน์
1.2 การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มรว่ มมอื เทคนิค TGT ควรให้นกั เรียนไดน้ าํ ทกั ษะ กระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ตรวจอบข้อมูลเพอ่ื พิสูจน์
38
1.3 กระบวนการกลุ่มถือว่ามีความสำคัญมากในการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม การจัดการ
เรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนคิ TGT ควรให้นกั เรียนได้เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนเอง เพื่อที่จะไดท้ ำงาน
กลมุ่ ของตนเองให้สำเรจ็ มากยง่ิ ขึ้น
1.4 ควรจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT เพ่ือให้นักเรียนได้รู้ขั้นตอนการ ทำงาน
ทุกข้ันตอนเมื่อเรียนจบหน่วยการเรียนรู้นักเรียนจะทำกิจกรรมตามความรู้ความสามารถของ ตนเองใน
เรือ่ งท่ีตนเองมคี วามสนใจทจ่ี ะศกึ ษาจริงๆ
1.5 ครูควรมีการเสริมแรงให้กับนักเรียนโดยเฉพาะนกั เรยี นท่เี รียนอ่อนและ นักเรียนกลุ่มท่ไี ม่
ยอมรับครูจะต้องให้ความสนใจและดูแลอย่างใกล้ชิดหาโอกาสยกย่องชมเชย ซึ่งจะทำให้นักเรียนกล้า
แสดงออกมายง่ิ ขนึ้
1.6 ครูต้องเตรียมส่ือการเรียนการสอนให้พร้อม ก่อนสอนทุกครั้งเช่น ใบงาน ใบความรู้ แบบ
บนั ทกึ กจิ กรรมการเรียนรู้
2. ข้อเสนอแนะสำหรบั การวิจัยคร้งั ต่อไป
2.1 การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT ควรนําไปใช้จัดกิจกรรม การเรียนรู้ใน
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้อนื่ ๆ ในระดับชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 1-3 หรือ อาจนําไปปรับใช้ตาม ความเหมาะสม
2.2 ควรนําการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TGT ไปศึกษาวิจัยร่วมกับ ตวั แปรอ่ืนๆ
เช่น ความรบั ผิดชอบตนเอง
39
บรรณานุกรม
กระทรวงศึกษาธิการ. พระราชบัญญัติการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ : พริกหวาน
กราฟฟิค, 2542.
กรมวิชาการ. การจัดสาระการเรียนรู้กล่มุ สาระการเรียนร้สู ุขศึกษาและพลศึกษา. กรุงเทพฯ :
โรงพมิ พ์ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว, 2546.
จรรยา สุวรรณทัต, ดวงเดอื น พันธมุ นาวิน และเพญ็ แข ปัจจนปจั นึก. พฤติกรรมศาสตร์เล่ม 1
พื้นฐานความเขา้ ใจทางจิตวทิ ยา. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช, 2521.
บุญชม ศรีสะอาด และคณะ. การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์คร้ังท่ี 7. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส:น,
2543.
ประภสั สร ไชยชนะใหญ.่ การรับผิดชอบต่อตนเอง. กรุงเทพฯ : ม.ป.พ., 2529.
ปรีญาภรณ์ รัตนะสม. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสุขศึกษา เร่ืองร่างกาย
ของ เราของนักเรียน ช้ันป.2 โดยใช้วิธีสอนแบบร่วมมือ รูปแบบ STAD กับแบบปกติ.วิทยานิพนธ์
กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 2552.
ฤทธกิ์ ลา้ ขุนทว.ี การพัฒนาการดําเนนิ งานเสริมสร้างความรับผิดชอบของนักเรียนโรงเรยี น
มุกดาหารอําเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม, 2551.
วิไลวรรณ หอมทอง. การพัฒนาการดําเนินงานเสริมสร้างความรับผิดชอบของนักเรียน
โรงเรียนหญ้าคาท่าหลวง อําเภอพล จังหวัดขอนแก่น. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม :
มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2551.
ศักดิ์สิทธ์ิ ฤทธิ์มหา. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ืองกีฬาวอลเลย์บอล กลุ่มสาระการ
เรียนรู้ สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 โดยการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT.
การศกึ ษาคน้ คว้าอสิ ระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2553.
40
41