The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องสารเสพติด รายวิชาสุขศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aurai_2525, 2022-03-20 23:03:37

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องสารเสพติด รายวิชาสุขศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องสารเสพติด รายวิชาสุขศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

1

การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เร่ืองสารเสพติด รายวิชาสขุ ศึกษา
ระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปี ท่ี 2 โดยใช้บทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน

วชั ราภรณ์ พรหมมนั
เอกรตั น์ กลุ ศิริ

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ สขุ ศึกษาและพลศึกษา
ปี การศึกษา 2564

โรงเรยี นธิดาแมพ่ ระ อาเภอเมอื ง จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี

2

การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เร่ืองสารเสพติด รายวิชาสขุ ศึกษา
ระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปี ท่ี 2 โดยใช้บทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน

วชั ราภรณ์ พรหมมนั
เอกรตั น์ กลุ ศิริ

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ สขุ ศึกษาและพลศึกษา
ปี การศึกษา 2564

โรงเรยี นธิดาแมพ่ ระ อาเภอเมอื ง จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี

3

กิตติกรรมประกาศ

การทำวิจัยในชั้นเรยี นฉบับน้ีผ้จู ัดทำต้องขอขอบพระคุณคณะผู้บริหาร คณะครูในกลุ่มสาระการ
เรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ตลอดจนคณะครูระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ที่ได้ช่วยเป็นกำลังใจ และให้
คำแนะนำในการจัดทำตลอดจนการค้นหาข้อมูลในกระบวนการและข้ันตอนต่าง ๆ ของการทำวิจยั ซึง่ ถอื เป็น
สว่ นสำคญั ของการดำเนินการจัดทำ

และขอขอบใจนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ ที่ได้ให้ความร่วมมือในการ
ดำเนนิ การทดลองและเก็บขอ้ มลู เป็นอยา่ งดี จนทำให้งานวิจยั ฉบบั นส้ี ำเร็จลลุ ว่ งลงไดด้ ้วยดี

ผจู้ ัดทำ
มนี าคม 2565

4

ชื่องานวจิ ยั การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องสารเสพติด รายวิชาสุขศึกษา ระดับชั้น
มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 โดยใช้บทเรยี นคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน

ผู้วจิ ัย นางสาววชั ราภรณ์ พรหมมนั และนายเอกรตั น์ กลุ ศริ ิ

ปีทว่ี ิจัย 2564

บทคัดย่อ
การสร้างการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องสารเสพติด รายวิชาสุขศึกษา ระดับช้ัน

มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยใช้บทเรียนโปรแกรม การ
วิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi -experimental research) แบบกลุ่มเดียว One group Pre-
test Post-test Design มีวัตถุประสงค์เพ่ือ (1) เพื่อสร้างบทเรียนโปรแกรม เรื่องสารเสพติด ของนักเรยี น
ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 ท่มี ปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เพอ่ื เปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสุข
ศกึ ษา เรือ่ งสารเสพติด ก่อนและหลงั เรยี นโดยใช้บทเรยี นโปรแกรมแบบเส้นตรงของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปี
ท่ี 2 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคร้ังนี้ คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ห้อง เรียนในภาคเรียนที่ 1-2 ปี
การศึกษา 2564 จำนวน 40 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่มใช้หน่วยการสุ่มเป็นห้องเรียน (โดยการเลือก
แบบเจาะจง)เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิดคือ (1) บทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรงเรื่องสารเสพติด
จำนวน 5 เล่ม คือ เล่มที่ 1 เร่ืองความหมายและประเภทของสารเสพติด เล่มที่ 2 เร่ืองลักษณะและ
อาการท่ัวไปของผู้ติดสารเสพติด เล่มท่ี 3 เร่ืองการป้องกันและแก้ไขปัญหาการติดสารเสพติด เล่มท่ี 4
เร่ืองความสัมพันธ์ของการใช้สารเสพติดกับการเกิดโรคและอุบัติเหตุ เล่มท่ี 5 เรื่องทักษะในการชักชวน
ผอู้ ื่นให้ลด ละ เลิก สารเสพตดิ ใช้เวลาเรียน 12 ชั่วโมง (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เร่ือง
สารเสพติด วิชาสุขศึกษา พ 22102 ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ (Multiple
Choice) 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ซ่ึงมีค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง 0.23 – 0.69 มีค่าอำนาจ
จำแนก (r) ระหว่าง 0.21 – 0.62 และ มีค่าความเชอ่ื ม่ันทั้งฉบับเท่ากับ 0.84 (3) แบบสอบถามความพึง
พอใจของนักเรียนท่ีต่อบทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรง เร่ืองสารเสพติด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2
โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมอื ง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยจัดทำเปน็ แบบสอบถามชนิดมาตรประมาณค่า 5
ระดับ จำนวน 10 ข้อ ทม่ี ีค่าอำนาจจำแนกต้ังแต่ 0.53 – 0.87 ค่าความเช่ือม่ันท้ังฉบบั เท่ากบั 0.94 สถิติท่ี
ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้ค่าที t-test
(Dependent Samples)

ผลการวิจยั พบวา่
1. บทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรงวชิ าสุขศึกษา เร่ืองสารเสพตดิ ของนกั เรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่

2 โรงเรียนธดิ าแมพ่ ระ อำเภอเมือง จงั หวัดสรุ าษฎร์ธานี มปี ระสทิ ธภิ าพเทา่ กบั 82.85/83.12ซ่งึ สูงกว่า
เกณฑ์ 80/80 ท่ีต้ังไว้

2. นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี มี
ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนหลังเรยี นดว้ ยบทเรียนโปรแกรมแบบเสน้ ตรง วชิ าสขุ ศึกษาเรอ่ื งสารเสพติด เพิ่มขึ้น
มากกวา่ ก่อนเรียนอย่างมีนยั สำคัญทางสถิตทิ รี่ ะดับ .05

5

สารบัญ

บทที่ หน้า
1 บทนำ
ความเป็นมาและความสำคญั ...…..…………………….............................................................. 1
วัตถปุ ระสงค์ ………………………………………....................................................................... 3
สมมติฐานการวิจัย .……………………................................................................................. 3
ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า..…………............................................................................ 3
ประโยชนท์ ่คี าดวา่ จะได้รับ…………………………………………………………………………………… 4
นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ....………………………………..................................................................... 4

2 เอกสารและทฤษฎที เ่ี ก่ียวข้อง
แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกบั คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน……..................................................... 6
แนวคดิ ท่ีเกีย่ วข้องกับกลุม่ สาระการเรยี นรู้สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา………………................. 10
งานวิจยั ท่เี ก่ยี วข้อง ..............................................................................……………….…..… 13

3 วธิ กี ารดำเนินการศึกษาคน้ ควา้
การสร้างบทเรยี นโปรแกรมแบบเส้นตรงวิชาสุขศกึ ษา เรื่องสารเสพติด………………......... 15
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ…..………………............................................................. 17
แบบสอบถามวดั ความพึงพอใจของนักเรยี น…………………………......................................... 18

บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู
การวิเคราะห์ข้อมูล ........................................................................................................ 19
ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล………………………......................................................................... 20

บทท่ี 5 สรปุ ผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
สรุปผลการวเิ คราะห์ข้อมลู …………………........................................................................ 21
ขอ้ เสนอแนะ ……………….…………………............................................................................. 22

บรรณานุกรม
ภาคผนวก

1

บทท่ี 1

บทนำ

ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน 2551 กำหนดวสิ ยั ทัศน์ไว้สอดคลอ้ งกับเป้าหมาย
การจัดการศึกษาดังกล่าววา่ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐานมุ่งพฒั นาผู้เรียนทุกคนซึง่ เป็นกำลัง
ของชาติให้เป็นมนุษย์ ท่ีมีความสมดุลท้ังด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรมมีจิตสํานึกในความเป็นพลเมือง
ไทย และเป็นพลโลก ยึดม่ันในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็น
ประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐานรวมท้ังเจตคติท่ีจําเป็นต่อการศึกษา ต่อการประกอบอาชีพ และ
การศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้ และ
พฒั นาตนเอง ได้เต็มตามศกั ยภาพและกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรในการมุ่งพัฒนาผ้เู รียนให้เป็นคน
ดีมีปัญญา มีความสุขมีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิด
กับผเู้ รยี น เมือ่ จบการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน โดยมขี อ้ หนึง่ กำหนดวา่ มสี ขุ ภาพกายและสุขภาพจิต ทด่ี ีมีสุขนสิ ัย
และรักการออกกำลังกาย แสดงใหเ้ ห็นว่า สุขภาพเปน็ องค์ประกอบพ้ืนฐานสำคญั ของการมีคุณภาพชีวิต
ทีด่ ีของบุคคล (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2551 : 5)

การจดั การเรียนการสอนของผวู้ ิจัยในรายวชิ าสุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ส่วนใหญ่
จากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาสุขศึกษาของครูผู้สอนใช้ครูเป็นศูนย์กลางเป็นการสอนแบบ
บรรยาย และใช้หนังสือในการสอนเท่าน้ัน นักเรียนจะเรียนจากหนังสือแล้วท่องจำและบันทึก ผู้เรียนมี
ส่วนร่วมในกิจกรรมน้อยเน่ืองจากผู้เรียนมีจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ี
สนองความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
ตำ่ จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ผู้เรียนไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียน ไม่สนใจเรียนเท่าท่ีควร ไม่มีส่ิงท่ี
ดงึ ดูดใจและกระต้นุ ความสนใจของผู้เรยี น

จากเหตุผลดังกล่าว ในการเรียนการสอนวิชาสุขศึกษาจึงมิใช่เป็นเพียงการที่ครูอธิบาย เพียง
อย่างเดียวต้องมีการนำสื่อเข้ามาใช้ประกอบการสอน ส่ือการเรียนรู้มีความสำคัญมากต่อการจัดการ
เรียนรใู้ นยุคปัจจุบันเน่ืองจากเทคโนโลยีต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนาสื่อมีความกา้ วหน้าอยา่ งรวดเร็ว
การจัดการเรียนรู้วิชาสุขศึกษาจึงมิใช่การสอนแต่เพียงเน้ือหา และใช้กระดานดำ ชอล์ก บัตรคำ แถบ
ข้อความหรือแถบประโยคเป็นสื่อ การเรียนรู้เท่าน้ัน เพราะปัจจุบันผู้สอนสามารถเลือก ออกแบบและ
พฒั นาสื่อการเรียนรู้แบบตา่ งๆที่ทนั สมัยมาใช้เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพ ในการเรียนรขู้ องผเู้ รียนได้ บทเรยี น
โปรแกรมหรือบทเรียนสำเร็จรูป (Programmed Instruction) เป็นนวัตกรรมด้านการเรียน การสอน
ชนิดหน่ึง จัดเป็นส่ือท่ีมุ่งให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองจะช้าหรือเร็วตามความสามารถของแต่ละบุคคล
โดยบางเน้ือหาเป็นหลายๆ กรอบ (Frame) แต่ละกรอบมีเน้ือหาเรียบเรียงไว้ มุ่งให้เกิดการเรียนรู้
ตามลำดับ โดยที่ผู้เรียนจะต้องตอบสนองด้วยการเขียนคำตอบหรือเลือกคำตอบ และมีส่วนเฉลย
คำตอบท่ีถูกข้างหน้าของกรอบน้ันหรือกรอบถัดไป หรืออยู่ท่ีส่วนอื่นของบทเรียนก็ได้ (อรนุช ลิมตศิริ.
2551 :137) การจัดการเรียนรโู้ ดยใช้บทเรียนโปรแกรมหรือบทเรียนสำเร็จรูปเป็นอีกรูปแบบหน่ึงที่ช่วย
กระต้นุ ให้ผู้เรยี นเกดิ ความสนใจทจ่ี ะเรียน บทเรียนโปรแกรมมีพ้นื ฐานจากการเรยี นการสอนโดยใช้หลัก
จิตวิทยา ซ่ึงแนวคิดของนักการศึกษาและนักจิตวิทยาท่ีมีส่วนเก่ียวข้องกับการสร้างบทเรียนแบบ

2

โปรแกรมประกอบด้วย E.I.Thorndike ผู้เริ่มต้นกฎแห่งผล (Law of Effect) ซึ่งกล่าวว่าการท่ีผู้เรียน
มคี วามพึงพอใจในการเรยี นร้อู ันเนื่องมาจากประสบการณ์ การได้กระทำ การฝกึ ฝน การได้รับ การตอบ
แทน หรือการเสริมกำลังใจ ซึ่งทำให้เกิดความพอใจแล้ว การเรียนรู้น้ันจะอยู่คงทนและกลายเป็น
พฤติกรรมท่ีถาวรได้ ดังนั้นบทเรียนโปรแกรม ซึ่งให้ผลการเรยี นร้แู ก่ผู้เรยี นทันทจี ะเป็นการเสรมิ แรงอีก
รูปแบบหน่ึงที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ (ระวิวรรณ ศรีคร้ามครัน. 2553 : 249) ลักษณะของ
บทเรียนโปรแกรม Wibur Schramm (อ้างอิงมาจากวันชัย สระบัว. 2544 : 2) ได้สรุปหลักเกณฑ์
สำหรับบทเรยี นโปรแกรมไวด้ ังน้ี (1)จดั เน้ือหาของสงิ่ เร้าใหเ้ ป็นลำดับ(2)ให้ผู้เรยี นตอบสนองในแนวทาง
ทเี่ จาะจงไว้ (3)การตอบสนองของผู้เรยี นนน้ั ให้มีการเสรมิ แรงทนั ทที นั ใด (4) ผู้เรียนได้เรยี นเพมิ่ ทีละน้อย
เป็นขั้นๆ เรียกว่า Small steps ทำให้เกิดความผิดพลาดน้อย 5) จากสิ่งท่ีผู้เรียนตอบสนองได้ถูกต้อง
มากขึ้น เป็นการนำไปสู่ความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย ดนัย ไชยโยธา (อ้างอิงมาจากถิรนันท์ จิตสุข.
2544 : 3) กล่าวถึงข้อดีของบทเรยี นโปรแกรมมีดังนี้ (1) ผู้เรียนสามารถเรียนได้ด้วยตนเอง (2) ผู้เรียน
สามารถเรียนได้ตามอัตราความสามารถของตนเองไม่จำเป็นต้องรอไปพร้อมกัน (3) ช่วยแบ่งเบาภาระ
ในการสอนข้อเท็จจริงทำให้ผู้สอนมีเวลาเตรียมบทเรียนท่ีลึกซึ้งมากยิง่ ขึ้น และมีเวลาเอาใจใส่ผู้เรียนได้
อย่างท่ัวถึง (4) การเรียนไม่จำกัดเวลาและสถานที่และอาจช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนครูได้บ้าง (5)
ส่งเสริมความรับผิดชอบของผู้เรียน

ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนวิชาสุขศึกษา เพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความสามารถใน
การแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง นำความรู้มาใช้ในการพัฒนาตนเอง ตรงกับแนวทางการจัดการ
เรียนรู้ตามมาตรา 22 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ที่กำหนดไว้ว่าการจัดการศึกษาต้องยึด
หลักว่าผู้เรียนทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
ผู้เรยี นมคี วามสุขกับการเรียนรู้ มีอิสรภาพ และศักยภาพในการคิด การตัดสินใจ และการค้นพบด้วย
ตนเอง ทำงานร่วมกับผู้อืน่ ได้ สอดคลอ้ งกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษา และบรรลตุ ามจดุ มุ่งหมายของ
หลักสูตร การจัดการเรียนการสอนในสาระท่ี 5 ความปลอดภัยในชีวิต เรื่องสารเสพติด ซ่ึงมีผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนของนักเรียนอยู่ในเกณฑ์พอใช้ สาเหตุ ที่ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ สาเหตุหนึ่งคือ
ขาดการนำเอาเทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ครูผู้สอนยัง
ยึดการสอนโดยผู้สอนเป็นผู้ให้ความรู้แต่เพียงฝ่ายเดียวการสอนเน้นการบอกเล่า บรรยาย การท่องจำ
ทำให้การเรียนวิชาสุขศึกษาขาดความน่าสนใจ นักเรียนขาดความกระตือรือร้น ไม่สนุกสนาน ไม่ดึงดูด
ความสนใจ โดยเฉพาะเน้ือหาเก่ียวกับเรื่อง สารเสพติด ดังนั้นจึงกลายเป็นปัญหาสำคัญซึ่งทำให้การ
จัดการเรียนการสอนของครูไม่สัมฤทธิ์ผลเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะเพิ่มผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนวิชาสุขศึกษา เร่ืองสารเสพติด โดยใช้บทเรียนโปรแกรมท่ีสร้างขึ้น เพราะจากการที่ได้
ศึกษาคุณสมบัติของบทเรียนโปรแกรมแล้วเห็นว่า ตรงกับแนวทางในการจัดการเรียนรู้ตามมาตรา 22
ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ท่ีกำหนดไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคน
สามารถที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด ผู้เรียนมีความสุขกับการ
เรียนรู้ มีอิสรภาพ และศักยภาพใน การคิด การตัดสินใจ และการค้นพบด้วยตนเอง บทเรียนโปรแกรม
เป็นส่ือที่สามารถสนองแนวคิดดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธภิ าพ และเพ่ิมผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนได้อกี วิธี
หนึ่งจากหลักการและเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยจึงเลือกสร้างบทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรง วิชาสุขศึกษา
เรอ่ื งสารเสพติด ของนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 2

3

วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจัย
1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง สารเสพติดรายวิชา สุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2

โรงเรยี นธดิ าแมพ่ ระ อำเภอเมือง จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี มีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80
2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระหว่างการสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย

สอนกบั การสอนด้วยวิธีปกติ
3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนรู้เรื่อง สารเสพติด รายวิชาสุขศึกษา ช้ัน

มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนธดิ าแมพ่ ระ อำเภอเมือง จงั หวัดสรุ าษฎรธ์ านี

สมมติฐานการวิจยั
หลังจากนักเรียนได้เรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับการสอนด้วยวิธีปกติ เรื่อง

สารเสพติด รายวิชา สุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์
ธานี มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรยี นและหลังเรียนแตกต่างกัน นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียน
รู้อย่ใู นระดบั มาก

ขอบเขตการศกึ ษาคน้ ควา้
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร ประชากรที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า คือ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1-2 ปี

การศึกษา 2564 โรงเรียนธดิ าแม่พระ อำเภอเมือง จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี จาก 6 หอ้ ง จำนวน 280 คน
กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังน้ี ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ภาค

เรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนธดิ าแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสรุ าษฎร์ จำนวน 40 คน โดย
เลือกกลมุ่ ตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง

ตวั แปรตา่ งๆ ที่เกี่ยวข้อง
ตัวแปรอิสระ ได้แก่ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเร่ือง เร่ือง สารเสพติด รายวิชา สุขศึกษา
ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 2
ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นของนกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 2

เนือ้ หาท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย
เน้ือหาที่ใช้ในการวิจัยเป็นเนื้อหาตรงตามหลักสูตรการจัดประสบการณ์ของเด็กในระดับชั้น

มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ซึ่งแบ่งเน้อื หาออกเป็น 6 เรอื่ ง คอื
เร่ืองที่ 1 สารเสพติด
เรื่องท่ี 2 ปญั หาและการแก้ไขปัญหาสารเสพตดิ
เรอ่ื งท่ี 3 การช่วยเหลอื ผูต้ ดิ สารเสพติด
เรอ่ื งที่ 4 การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเส่ยี งและสถานการณ์เสี่ยง
เรอ่ื งท่ี 5 ทักษะชวี ติ ในการป้องกันอนั ตรายและสถานการณท์ ่ีคับขัน
เรอ่ื งที่ 6 เคร่ืองท่ีมีแอลกอฮอล์ทสี่ ่งผลต่อสขุ ภาพและการเกิดอุบัติเหตุ

4

สถติ ทิ ีใ่ ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมลู คือ ค่าเฉลย่ี ของคะแนน
การหาคา่ เฉลี่ย (Mean) (สุมน , 2544 ) คอื ผลรวมของคะแนนท้งั หมด
สูตร X =  fx
คือ จำนวนนกั เรียนทง้ั หมด
n

เมื่อ X

 fx

n

การหาผลตา่ งของคะแนนในการสอบก่อนเรยี นและหลังเรียน (สุมน , 2544 )
สูตร d = d

n

เมื่อ d คอื ผลรวมของผลต่างของคะแนนในการสอบก่อนเรยี น
และ

หลังเรียน
n คือ จำนวนคู่ของคะแนน

ประโยชน์ทคี่ าดวา่ จะได้รบั
1. นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่อื ง สารเสพติด รายวิชาสุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2

โรงเรยี นธิดาแม่พระ อำเภอเมอื ง จงั หวัดสรุ าษฎร์ธานี มีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑม์ าตรฐาน
2. ผลการศึกษาทำให้ครูผู้สอนสามารถนำองค์ความรู้ เร่ือง สารเสพติด ไปใช้ในการวางแผน

พฒั นากระบวนการเรยี นการสอนให้มปี ระสิทธิภาพยง่ิ ข้นึ
3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเร่ืองความปลอดภัยในชีวิต สาร

เสพติดช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2

นิยามศัพทเ์ ฉพาะ
1. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเสริมทักษะ หมายถึง บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเสริม

ทักษะที่ผู้รายงานสร้างขึ้นสาหรับครูใช้ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนศึกษา
ทักษะจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเสริมทักษะเสริมทักษะก่อนที่จะเรียนทักษะในช้ันเรียนและ
หลังจากเรียนทักษะในชั้นเรียนแล้วเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากข้ึน (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา
แหง่ ชาติ,2545: 14)

2. สารเสพติดหรือยาเสพติด หมายถึง ยาหรือสารเคมีหรือวัตถุชนิดใดๆเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกาย
แล้วไม่ว่าจะโดยรับประทานดมสูบฉีดหรือวิธีใดก็ตามทำให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจ (สำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ,2545: 14)

3. การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเสริมทักษะ หมายถึง การสร้างและปรับปรุง
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเสริมทักษะให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยการนำบทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเสริมทักษะ ท่ีผู้รายงานสร้างข้ึนไปทดลองหาประสิทธิภาพตามเกณฑ์ และ
ปรบั ปรงุ แก้ไขตามเกณฑ์มาตรฐานทตี่ ั้งไว้ (สมุ น คณานติ ย์ :2544)

5

4. ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเสริมทักษะ หมายถึง คุณภาพของ
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเสริมทักษะซ่ึงวัดได้จากผลการเรียนรู้ของนักเรียนที่ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์
มาตรฐาน80/80 (สมุ น คณานติ ย์ :2544)

80 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉล่ียของนักเรียนจากการทำแบบทดสอบ
ระหว่างเรยี นจากบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ่วยสอนเสรมิ ทักษะได้ถูกต้องเฉล่ยี ร้อยละ80

80 ตัวหลัง หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนจากการทำแบบทดสอบ
หลังเรยี นจากบทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนเสรมิ ทักษะได้ถูกต้อง เฉลี่ยรอ้ ยละ 80
5. ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน หมายถึง พฤติกรรมทแี่ สดงออกถึงความสามารถในการกระทำสิ่ง
หน่ึงสงิ่ ใดได้จากการทไี่ ม่เคยกระทำหรอื กระทำได้น้อยก่อนที่จะมีการเรียนการสอนซ่ึงสามารถวดั ไดเ้ ป็น
คะแนนท่ีนักเรยี นได้รับจากแบบฝกึ หัดและแบบทดสอบท่ีสร้างข้ึนในบทเรยี นคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนเร่ือง
ความปลอดภยั ในชีวติ สารเสพติดชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 2 (สมนกึ ภัททยิ ธนี :2544 )
6. ความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึง ความรู้สึก
ของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเสริมเรื่องความปลอดภัยในชีวิต ช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โดยใช้แบบสอบถามที่ผู้รายงานสร้างข้ึน (วิเชียร สังฆพรหม ,พรพิมล เอมโกษา :
2544)

6

บทที่ 2
เอกสารและผลงานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวข้อง

ในการวิจัยการพฒั นาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น เรื่องสารเสพตดิ รายวิชาสุขศึกษา ระดับช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาหลักการศึกษา
แนวคิดทฤษฎีตลอดจนงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนโดย
ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารท่ีเกย่ี วข้องดังนี้

1. แนวคิดทฤษฎีทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
1.1 ความหมายของคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน
1.2 ประโยชนข์ องคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน

2. แนวคดิ ทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับกลมุ่ สาระการเรยี นรู้สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา
2.1 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐานพทุ ธศักราช2551
2.2 หลกั การของหลกั สูตรการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน
2.3 จดุ หมายของหลักสูตร
2.4 ความสำคญั ของกลุม่ สาระการเรียนร้สู ขุ ศกึ ษาและพลศึกษา
2.5 หลักการแนวคดิ ในการจัดการเรยี นการสอน กล่มุ สาระการเรยี นรู้สุขศกึ ษา
และพลศกึ ษา
2.6 สาระและมาตรฐาน/ตวั ชวี้ ัดการเรยี นรู้กลุม่ สาระการเรียนรู้สขุ ศึกษาและพล
ศกึ ษา

3. งานวจิ ัยที่เก่ียวข้อง
3.1 งานวิจยั ในประเทศ
3.2 งานวจิ ัยต่างประเทศ

1. แนวคิดทฤษฎที เ่ี กี่ยวขอ้ งกับคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน
1.1 ความหมายของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
เน่ืองจากคอมพิวเตอร์สามารถนำมาใช้งานในด้านการจัดการเรียนการสอนไดใ้ นหลาย

รปู แบบจึงมนี กั การศกึ ษาหลายท่านไดใ้ หค้ วามหมายของคอมพวิ เตอรไ์ วด้ ังน้ี
มหาวิทยาลัยขอนแก่น (2547:2-3) กล่าวว่าคอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI-Computer

Assisted Instruction) เป็นศัพท์เดิมท่ีเคยนิยมใช้ในสหรัฐอเมริกามีความหมายว่า การสอนโดยใช้
คอมพิวเตอร์เป็นเครือข่ายแต่ปัจจุบันใช้ว่า CBT (Computer Based Teachingหรือ Computer
Based Training)มากกว่าคำใหม่นี้ถ้าแปลตามตัว หมายถึง การสอนหรือการฝึกอบรมโดยใช้
คอมพิวเตอร์เป็นหลักนอกจากน้ีในสหรัฐอเมริกายังมีคำท่ีนิยมใช้กันอีกคำหน่ึงคือ CMI (Computer
Managed Instruction) หมายถึง การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการให้ส่วนในยุโรปมักจะใช้คา
แตกต่างจากในสหรัฐอเมริกาคำท่ีนิยามกันมากในปัจจุบัน คือ CBE (Computer Based Education)
หมายถึง การศึกษาโดยอาศัยคอมพิวเตอร์เป็นหลัก นอกจากนี้ก็มีอีก2 คำที่แพร่หลายเช่นกันคือ CAL
(Computer Accessed Learning) และ CML (Computer Managed Learning)นั้นคือเปลี่ยนตัว
สุดท้ายจากการสอน(Instruction) เป็นการเรียน(Learning)สาหรับในประเทศไทยน้ันผู้ที่เก่ียวข้องนิยม
ใช้คาว่าCAI มากกว่าCBT หรอื คำอื่นๆ ส่วนในภาษาไทยน้ันใช้แตกต่างกันไปเช่นใช้คำ ว่าบทเรียน CAI

7

ตรงตัว บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบทเรียนช่วยสอนด้วยคอมพิวเตอร์บทเรียนส ำเร็จรูปด้วย
คอมพิวเตอร์ โปรแกรมบทเรียนคอมพิวเตอร์หรืออื่นๆ และยังกล่าวถึงคำว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย
สอน (Computer -Assisted Instruction Lesson) น้ีมีกลุ่มคำท่ีมีความหมายคล้ายกันอีกมาก เช่น
Computer Assisted Education ,Computer Assisted Teaching and Learning,Computer
Administration Education ,Computer Assisted Learning, ,Computer Aided Teaching
,Computer Aided Instruction , Computer Based Instruction ซ่ึงคำดังกล่าวมีความห มาย
คล้ายกัน คือ การนำเนื้อหาวิชาและลำดับวธิ ีการสอนมาบันทึกเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์สาหรับสอนโดยให้
เครื่องคอมพิวเตอร์กับผู้เรียนโต้ตอบกันโดยไม่ต้องอาศัยบุคคลที่ 3 เข้ามาร่วมหรือ หมายถึง การนา
คอมพิวเตอร์มาชว่ ยในการเรียนการสอนในเนื้อหาวิชาต่างๆเช่น สังคมศาสตร์ วทิ ยาศาสตรค์ ณิตศาสตร์
ศิลปะศาสตร์และภาษาไทย เป็นต้น คอมพิวเตอร์เปรียบเสมือนส่ือการเรียนการสอนท่ีสามารถซ่อน
คำตอบ และค้นหาคาตอบได้ดีกว่าสื่ออ่ืนๆนั้นหมายความว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็น
บทเรียนท่ีบรรจุเน้ือหาต่างๆรวมทั้งวิธี เรียนไว้ล่วงหน้าเป็นวัสดุท่ีใช้กับเคร่ืองคอมพิวเตอร์มีทั้งระบบที่
เป็นท้ังภาพและเสียงหรือสื่อประสม (Multimedia) มีเน้ือหามากมายสาหรับการสอนเรื่องหนึ่งๆ และ
สามารถตอบคาถามให้กบั ผู้เรียนได้ทันทีสะดวกในการแก้ไขข้อผิดพลาดของการเรียนแต่ละคร้ัง และแต่
ละปัญหา นอกจากน้ันยังสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการติดต่อกันระหว่างผู้เรียนด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์
โดยผ่านทางสายโทรศัพท์ธรรมผลการเรียนสามารถบันทึกเก็บไว้และเปรียบเทียนผลกบั เกณฑ์มาตรฐาน
ได้อีก Nectec’s Web Based Learning (2007:1) กล่าวถึงคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นส่ือการสอนที่ใช้
เทคโนโลยีระดับสูง ทำให้เกิดการมีปฏิสัมพันธ์กันได้ระหว่างผู้เรียนกับเคร่ืองคอมพิวเตอร์ มี
ความสามารถในการตอบสนองต่อข้อมูลที่ผู้เรียนป้อนเข้าไปได้ทันที เป็นการช่วยเสริมแรงแก่ผู้เรียน ซ่ึง
บทเรียนจะมีตัวอักษรภาพกราฟิกภาพนิ่งภาพเคล่ือนไหวรวมทั้งเสียงประกอบ ทำให้ผู้เรียนสนุกไปกับ
การเรียนด้วยและพิจารณาอีกมุม่ หน่ึงได้ว่าบทเรยี นคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน หมายถงึ การนาคอมพิวเตอร์
มาใช้ในการเรียนการสอน การทบทวน การทำแบบฝึกหัด หรือการวัดผล นักเรียนแต่ละคนจะได้นั่งอยู่
หน้าจอไมโครคอมพิวเตอร์ เรียกโปรแกรมสำเร็จรูปท่ีจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษ สำหรับการสอนวิชานั้นๆ
ขึน้ มาบนจอภาพและแสดงผลเร่ืองราวโดยเป็นคาอธิบายรูปภาพเป็นบทเรยี นที่ผู้เรียนต้องอา่ นต้องศกึ ษา
แตล่ ะคนใช้เวลาในการเรียนต่างกันรอจนกว่าพร้อมหรอื เข้าใจดีแล้วคอ่ ยส่ังเคร่ืองคอมพวิ เตอรท์ างานต่อ
หรือศึกษาบทเรียนต่อไปคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction :CAI) เป็น
กระบวนการเรียนการสอนโดยใช้ส่ือคอมพิวเตอร์ ในการนำเสนอเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ มีลักษณะเป็น
การเรียนโดยตรง และเป็นการเรียนแบบมีปฏิสัมพันธ์(Interactive) คือสามารถโต้ตอบระหว่างผู้เรียน
กับคอมพิวเตอร์ได้จากความหมายของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่นักการศึกษาได้กล่าวไว้สรุปได้ว่า
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction) หรือ CAI หมายถึง การเรียนการสอนโดย
อาศัยส่ือเทคโนโลยีได้แก่คอมพิวเตอร์โดยผู้สอนมีการออกแบบและพัฒนาบทเรียนมีท้ังตัวหนังสือและ
ภาพกราฟิกภาพเคลื่อนไหว แบบฝึกหัด แบบทดสอบ และลำดับวิธีการสอนนำเสนอบทเรียนโดย
คอมพิวเตอร์เป็นการเรียนแบบโต้ตอบระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์พร้อมท้ังการได้รับผลป้อนกลับ
และผู้เรียนสามารถเรียนได้ด้วยตนเองถือว่าเป็นส่ือที่สามารถตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลได้
เป็นอย่างดี

8

1.2 ประโยชนข์ องคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน
นักวิชาการด้านการศึกษา ได้มีการวิจัยเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนใน

ต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ปรากฏว่าเป็นที่ยอมรับกันในวงการศึกษาคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนมคี ณุ คา่ ต่อ
การเรียนรู้หลายๆด้าน ซ่ึงมีนักการศึกษากล่าวไว้ดังนี้ ฮากิม พงษ์ยี่หล้า (2540 : 17-19) ได้สรุป
ประโยชนข์ องคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนไว้ดังน้ี

1. ประโยชน์ต่อผเู้ รยี น
1.1 ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนไปตามความสามารถของตนเอง คำนึงถึงความแตกต่าง

ระหวา่ งบุคคล
1.2 คอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถให้ผู้เรียนย้อนกลับได้ทันที มีภาพและเสียงทาให้

ผู้เรยี นเกิดความตืน่ เต้นไมเ่ บ่อื หนา่ ย
1.3 ผู้เรียนไม่สามารถแอบดูคำตอบได้ก่อน จึงเป็นการบังคับให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จริง

ก่อนจึงจะผ่านบทเรียนน้ันไปได้ ซ่ึงเป็นผลมาจากประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์และจากการ
ออกแบบโปรแกรมบทเรียน

1.4 ผู้เรียนสามารถกลับทบทวนบทเรียนทีไ่ ด้เรียนผ่านมาแลว้ ซ้ำแล้วซ้ำอกี
1.5 ช่วยลดเวลาเรียนของผู้เรยี นเมือ่ เทยี บกบั การเรยี นการสอนตามปกติ
1.6 สามารถประเมนิ ผลความก้าวหน้าของผู้เรียนได้ทันทแี ละโดยอัตโนมตั ิ
1.7 ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนไดค้ ิดโดยให้เหตุผลเนื่องจากตอ้ งคิดหาทางแกป้ ญั หาอยตู่ ลอดเวลา
1.8 ทำให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีขึ้นต่อวิชาท่ีเรียน เนื่องจากการเรียนด้วยตนเองที่อาจ
ประสบความสำเร็จหรอื ลม้ เหลวกไ็ ด้ โดยไม่รสู้ ึกอบั อาย
1.9 บทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนมีการสรา้ งโดยวิธีการระบบซ่ึงสร้างโดยให้ผเู้ รียนได้
เรยี นจากงา่ ยไปหายาก
1.10 คอมพิวเตอร์สามารถสอนมโนทัศน์หรือทักษะช้ันสูงซึ่งยากแก่การสอน โดยครู
หรือจากตำรา การจำลองสถานการณ์โดยคอมพิวเตอรจ์ ะช่วยให้ผู้เรียนเรียนได้ง่ายข้ึนและดีขึ้น
กวา่ การเรยี นจากครู
2. ประโยชน์ตอ่ ผสู้ อน
2.1 ครูใช้เวลาในการสอนน้อยลง นำเวลาท่ีเหลือไปใช้ในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้
เพมิ่ เตมิ และปรบั ปรุงการสอนใหม้ ีประสิทธิภาพย่งิ ขนึ้
2.2 ครูมเี วลาในการดแู ลผเู้ รียนแตล่ ะคนไดม้ ากขน้ึ
2.3 ครูใช้เวลาในการพัฒนาการศึกษา สร้างสรรค์ พัฒนานวัตกรรมการศึกษาส่ือการ
สอน หรือหลกั สูตรใหม้ ีประสทิ ธภิ าพและก้าวหนา้ ย่งิ ขึ้น
2.4 ชว่ ยลดเวลาในการสอนบทเรียนหน่ึงๆ เพราะผลการวิจัยส่วนมากพบว่าบทเรียนท่ี
มลี กั ษณะเป็นแบบโปรแกรม สามารถสอนเนอื้ หาไดม้ ากกวา่ การสอนแบบอน่ื ๆ โดยใช้เวลาน้อย
มาก จึงสามารถเพ่ิมเติมเนื้อหาหรือแบบฝึกหัดได้เต็มที่ตามความเหมาะสมและความต้องการ
ของผ้เู รียนหรือตามที่ผูส้ อนเห็นสมควร

9

3. ประโยชนต์ อ่ การเรยี นการสอน
3.1 ทำให้การเรียนการสอนเป็นมาตรฐานมากข้นึ เพราะผู้เรียนไดเ้ รยี นเหมือนกันหรือ

เท่ากันโดยไม่ต้องกังวลถึงความหงุดหงิดหรือความเบ่ือหน่ายของผู้สอน ที่ตัวเองสอนวิชาเดียว
ซ้ำๆ กนั หลายหนซง่ึ อาจทำใหค้ ุณภาพของการสอนลดลง

3.2 สามารถนำข้อมูลจากผลการเรียนของผู้เรียนมาใช้ ในการปรับปรุงการเรียนการ
สอนตามหลักสูตรเพื่อใหม้ คี วามกา้ วหน้า และเกดิ ผลดตี ่อการเรยี นรูข้ องผู้เรียนมากขึน้

3.3 การแก้ไขหรือปรับปรุงบทเรียนทำได้ง่ายโดยแก้ไขเฉพาะส่วนที่ต้องการไม่ต้อง
แก้ไขใหม่หมด

3.4 สามารถสอนหรือฝึกอบรมในลักษณะท่ีสมจริงให้กับผู้เรียนได้ เน่ืองจากเนื้อหา
บางอย่างไม่สามารถเรียนรู้จากสถานการณ์จริงได้ เช่น การฝึกหัดบินการฝึกแก้ไขสถานการณ์
เร่งดว่ นเป็นต้น

3.5 ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนครูผู้สอนได้จึงเปิดโอกาสได้หลายวิชาที่ ผู้เรียน
ต้องการโดยไมต่ ้องคำนงึ ถึงจำนวนผู้สอน หรอื ผู้เรยี นว่ามีเพียงพอท่จี ะเปิดสอนหรอื ไม่

ถนอมพร (ตันพิพัฒน์) เลาหจรัสแสง (2541: 12) กลา่ วถึง ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน
มดี งั นี้

1. คอมพิวเตอรช์ ่วยสอนเกิดจากความพยายามในการที่จะช่วยใหผ้ ู้เรยี นท่ีเรียนอ่อนสามารถใช้
เวลานอกเวลาเรียนในการฝึกฝนทักษะและเพ่ิมเติมความรู้ เพ่ือเพ่ิมเติมความรู้เพื่อที่ปรับปรุงการเรียน
ของตนให้กับผู้เรียนอื่นได้ ดังน้ัน ผู้สอนจึงสามารถนาคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไปใช้ช่วยในการสอนเสริม
หรือสอนทบทวนการสอนปกติในชั้นเรียนได้โดยท่ผี ู้สอนไมจ่ ำเป็นตอ้ งเสียเวลาในการสอนซ้ำกับผูเ้ รียนท่ี
ตามไมท่ ันหรอื จดั การสอนเพ่มิ เตมิ

2. ผู้เรียนก็สามารถนำคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไปใช้ในการเรยี นด้วยตนเองในเวลาและสถานท่ีซ่ึง
ผู้เรียนสะดวกเช่นแทนทจ่ี ะต้องเดนิ ทางมายงั ชน้ั เรียนปกติผูเ้ รยี นก็สามารถเรียนด้วยตนเองจากท่บี ้านได้
นอกจากนั้น ยงั สามารถเรยี นในเวลาใดกไ็ ด้ท่ตี ้องการเปน็ ตน้

3. ข้อได้เปรียบที่สำคัญของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็คือ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนท่ีได้รับการ
ออกแบบมาอย่างดีถูกต้องตามหลักของการออกแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนั้นสามารถท่ีจะจูงใจผู้เรียน
ให้เกิดความกระตือรือร้นที่จะเรียนและสนุกสนานกับการเรียนตามแนวคิดของการเรียนรู้ ในปัจจุบัน
ท่ีวา่ “Learning is Fun” ซ่งึ หมายถงึ การเรยี นรู้เป็นเร่ืองสนุก

NECTEC’S Web Based Learning (2007 : 5) กล่าวถึงบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมี
ประโยชนต์ อ่ การเรยี นการสอนดังนี้

1. สรา้ งแรงจูงใจในการเรยี นรู้
2. ดึงดูดความสนใจโดยใช้เทคนิคการนำเสนอด้วยกราฟิก ภาพเคล่ือนไหว แสง สี เสียง
สวยงามและเหมอื นจรงิ
3. ชว่ ยใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ การเรียนรแู้ ละสามารถเขา้ ใจเนื้อหาไดเ้ ร็วดว้ ยวธิ ีท่ีงา่ ยๆ
4. ผู้เรียนมีการโต้ตอบปฏิสัมพันธ์กับคอมพิวเตอร์และบทเรียน มีโอกาสเลือกตัดสินใจ และ
ได้รบั การเสริมแรงจากการได้รบั ข้อมูลย้อนกลบั ทันที
5. ช่วยให้ผู้เรียนมีความคงทนในการเรียนรู้สูง เพราะมีโอกาสปฏิบัติกิจกรรมด้วนตนเองซ่ึงจะ
เรียนร้ไู ดจ้ ากข้ันตอนทงี่ ่ายไปหายากตามลำดบั

10

6. ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามความสนใจ และความสามารถของตนเองบทเรียนมีความ
ยืดหยนุ่ สามารถเรยี นซ้ำไดต้ ามทตี่ ้องการ

7. ส่งเสริมใหผ้ ู้เรยี นมีความรับผิดชอบตอ่ ตนเองต้องควบคุมการเรียนดว้ ยตนเองมีการแก้ปัญหา
และฝกึ คดิ อย่างมเี หตผุ ล

8. เสรมิ ความพงึ พอใจแก่ผเู้ รยี นเกิดทัศนคติทีด่ ีตอ่ การเรยี น
9. สามารถรับรู้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้อย่างรวดเร็วเป็นการท้าทายผู้เรียนและเสริมแรงให้
อยากเรยี นต่อ
10. ให้ครูมีเวลามากขึ้นท่ีจะช่วยเหลือผู้เรียนในการเสริมความรู้หรือช่วยผู้เรียนคนอื่นที่เรียน
ก่อน
11. ประหยัดเวลา และงบประมาณในการจัดการเรียนการสอน โดยลดความจำเป็นทีจ่ ะตอ้ งใช้
ครทู ี่มปี ระสบการณ์สูง หรอื เครือ่ งมือราคาแพง เครือ่ งมืออันตราย
12. ลดช่องว่างการเรียนรู้ระหว่างโรงเรียนในเมืองและชนบท เพราะสามารถส่งบทเรียน
คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนไปยงั โรงเรยี นชนบทใหเ้ รียนร้ไู ด้ดว้ ย
จากประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ท่ีกล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า คอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถให้
ผู้เรียนเรียนรู้ได้ด้วยตนเองสามารถตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ สำหรับผู้เรียนเป็นการฝึก
เสริมทักษะในรายวิชาท่ียังเรียนอ่อน และกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากเรียนไม่เบ่ือหน่ายในวิชาที่เรียนและใช้
เวลานอกจากการเรยี นในชั้นปกติได้ โดยไมจ่ ำกัดเวลาและชว่ ยลดปัญหาการขาดแคลนครูผสู้ อน และนำ
ผลการเรียนของนักเรียนมาปรับปรงุ การเรียนการสอนใหด้ ยี ง่ิ ข้นึ

2. แนวคิดทเี่ ก่ียวขอ้ งกับกลุม่ สาระการเรียนรู้สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา
2.1 หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานพุทธศักราช2551
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช2551 ได้กำหนดหลักการไว้

ดังน้ี(กระทรวงศึกษาธกิ าร,2551 : 4-5)
1. เป็นหลกั สตู รการศึกษาเพื่อเป็นเอกภาพของชาติมีจุดมุ่งหมายและมาตรฐานการเรยี นรู้ เป็น

เป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐานของความ
เป็นไทยควบคูก่ บั ความเป็นสากล

2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพ่ือปวงชน ท่ีประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอ
ภาคและมีคณุ ภาพ

3. เป็นหลักสูตรการศึกษาท่ีสนองการกระจายอำนาจ ให้สงั คมมสี ่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้
สอดคลอ้ งกบั สภาพและความตอ้ งการของท้องถน่ิ

4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัดการ
เรียนรู้

5. เปน็ หลกั สูตรการศึกษาที่เนน้ ผูเ้ รียนเปน็ สำคัญ
6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัยครอบคลุม
ทกุ กลมุ่ เปา้ หมายสามารถเทียบโอนผลการเรยี นรู้และประสบการณ์
2.2 จดุ หมายของหลกั สตู รหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพ้ืนฐานมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดีมีปัญญามีความสุขมีศักยภาพในการศึกษาต่อ
และประกอบอาชพี จึงกำหนด เป็นจดุ หมายเพ่อื ใหเ้ กิดกับผูเ้ รยี นเมอ่ื จบการศึกษาข้ันพน้ื ฐานดงั นี้

11

1. มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมท่ีพึงประสงค์เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย และปฏิบัติตน
ตามหลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนา หรอื ศาสนาที่ตนนบั ถอื ยึดหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง

2. มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการส่ือสาร การคิด การแก้ปัญหาการใช้
เทคโนโลยแี ละมีทักษะชีวิต

3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจติ ที่ดมี สี ขุ นสิ ยั และรักการออกกำลงั กาย
4. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการ
ปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมุข
5. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมมี
จติ สาธารณะท่ีมุง่ ทำประโยชน์และสร้างสิ่งทีด่ งี ามในสังคมและอย่รู ว่ มกันในสังคมอยา่ งมีความสุข
2.3 ความสำคัญของกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ุขศกึ ษาและพลศึกษา
สาระการเรียนรู้ศึกษาและพลศึกษา (กระทรวงศึกษาธิการ 2551: 155-156) กล่าวถึงสุขภาพ
หรือสุขภาวะ หมายถงึ ภาวะของมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ท้ังทางกายทางจิตทางสังคม และทางปัญญา หรือจิต
วิญญาณ สุขภาพ หรือสุขภาวะจึงเป็นเรื่องสำคัญเพราะเก่ียวโยงกับทุกมิติของชีวิต ซึ่งทุกคนควรจะได้
เรียนรู้เรื่องสุขภาพ เพื่อจะได้มีความรู้ ความเข้าใจท่ีถูกต้องมีเจตคติคุณธรรมและค่านิยมท่ีเหมาะสม
รวมท้ังมีทักษะปฏิบัติด้านสุขภาพจนเป็นกิจนิสัยอันจะส่งผลให้สังคมโดยรวมมีคุณภาพ สุขศึกษาและ
พลศึกษาเป็นการศึกษาด้านสุขภาพที่มีเป้าหมาย เพ่ือการดำรงสุขภาพ การสร้างเสริมสุขภาพและการ
พฒั นาคุณภาพชีวิตของบุคคลครอบครวั ชุมชนให้ยั่งยืน สุขศึกษามุ่งเน้นให้ผู้เรียนพัฒนาพฤติกรรมด้าน
ความรู้เจตคติคุณธรรมค่านิยมและการปฏิบตั ิเกย่ี วกับสุขภาพควบคู่ไปด้วยกันพลศึกษา มุ่งเน้นใหผ้ ู้เรียน
ใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหวการออกกาลังกายการเล่นเกมและกีฬาเป็นเครอื่ งมือในการพัฒนาโดยรวมทั้ง
ด้านรา่ งกายจติ ใจอารมณส์ งั คมสติปัญญา รวมทั้งสมรรถภาพเพื่อสขุ ภาพและกีฬา
สรุปความสำคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา คุณภาพของประชากรใน
ประเทศเป็นตัวบ่งชี้สำคัญ เป็นอย่างยิ่งว่าประเทศใดเจริญก้าวหน้ามากน้อยเพียงใด ปัจจุบันประเทศ
ไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาของสังคมโลก และการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีสง่ ผลให้
การดำเนินชวี ิตและสุขภาพของประชาชนเจ็บป่ายดว้ ยโรคที่เกิดจากปจั จัยทางส่ิงแวดลอ้ มและพฤติกรรม
เช่นความเครียดและโรคท่ีเกิดจากการขาดการออกกำลังกายหากประชาชนในประเทศยังไม่ได้
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง สุขศึกษาและพลศึกษาจึงเป็นสาระการเรียนรู้ที่สำคัญในการพัฒนา
ประชากรโดยมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อดำรงสุขภาพที่ดีอันเป็นรากฐานสำคัญยิ่งต่อ
การดาเนินชีวิตท่ีสมดุลท้ังทางด้านร่างกายจิตใจอารมณ์สังคมและจิตวิญญาณซ่ึงเป็นองค์ประกอบของ
การมสี ภาพวะทางสขุ ภาพทส่ี มบรู ณ์
2.4 หลักการแนวคิดในการจดั การเรียนการสอนกลมุ่ สาระการเรยี นรู้สขุ ศึกษาและพลศึกษา
สาระท่ีเป็นกรอบเนื้อหาหรือขอบข่ายองค์ความรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึ กษาและพล
ศกึ ษาประกอบดว้ ย (กระทรวงศกึ ษาธิการ 2551: 164-165)
1. การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ ผู้เรียนจะเรียนรู้เรื่องธรรมชาติของการ
เจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ปัจจัยท่ีมีผลต่อการเจริญเติบโตความสัมพันธ์เช่ือมโยงในการทา
งานของระบบตา่ งๆ ของรา่ งกายรวมถึงวิธีปฏิบตั ิตนเพอื่ ใหเ้ จรญิ เติบโตและมพี ฒั นาการท่ีสมวัย
2. ชีวติ และครอบครัวผู้เรียนจะได้เรยี นร้เู ร่ืองคณุ ค่าของตนเองและครอบครัวการปรับตวั ต่อการ
เปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จติ ใจ อารมณ์ ความรู้สึกทางเพศ การสร้างและรักษาสมั พันธภาพกับผู้อื่น สุข
ปฏบิ ตั ทิ างเพศ และทกั ษะในการดำเนนิ ชีวิต

12

3. การเคล่ือนไหว การออกกำลังกาย การเล่นเกมกีฬาไทยและกีฬาสากล ผู้เรียนจะได้เรียนรู้
เร่ืองการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ การเข้าร่วมกิจกรรมทางกายและกีฬาท้ังประเภทบุคคลและ
ประเภททีมอย่างหลากหลาย ทั้งไทยและสากล การปฏบิ ัติตามกฎกติการะเบียบข้อตกลงในการเข้าร่วม
กิจกรรมทางบวกและกีฬา และความมีน้ำใจนักกีฬา

4. การสร้างเสริมสุขภาพสมรรถภาพและการป้องกันโรค ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับหลักและ
วิธีการเลือกบริโภคอาหารผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพ การสร้างเสริมสมรรถภาพเพ่ือสุขภาพและการ
ป้องกนั โรคทง้ั โรคตดิ ต่อและโรคไม่ติดตอ่

5. ความปลอดภัยในชีวิตผู้เรียนจะได้เรียนรู้เร่ืองการป้องกันตนเองจากพฤติกรรมเส่ียงต่างๆทั้ง
ความเสี่ยงต่อสุขภาพอบุ ัตเิ หตคุ วามรนุ แรง อันตรายจากการใช้ยาและสารเสพติด รวมถงึ แนวทางในการ
สร้างเสริมความปลอดภัยในชีวติ

ในการเรียนรู้สุขศึกษาผู้เรียนจะได้รับการกระตุ้นและจูงใจให้กำหนดเป้าหมายที่เป็นจริงและมี
คณุ ค่าในการพัฒนารูปแบบของวิถีชีวิตท่ีมีสุขภาพดีพัฒนาทักษะการเขา้ ร่วมกิจกรรมทางสังคมรู้จักการ
สร้างความรับผิดชอบและสัมพันธภาพท่ีดีกับคนอื่นทั้งท่ีสถานศึกษาท่ีบ้านและในชุมชนท่ีตนเองอาศัย
และชุมชนอ่ืนๆ ท่ีแตกต่างกันออกไป หลักการและแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนสุขศึกษา (เอม
อัชฌา วัฒนบรุ านนท์ 2548: 75-76) ได้กล่าวไวด้ งั น้ี

1. มีการกำหนดจุดมุ่งหมายในการจัดการเรียนรู้ทางสุขศึกษาให้ชัดเจน ควรให้ผู้เรียนมีความรู้
ทัศนคติ และการปฏิบตั ทิ ถ่ี ูกตอ้ ง เพ่อื ให้มพี ฤตกิ รรมทางสุขภาพที่ดี

2. ควรคำนึงถึงธรรมชาติของผู้เรียน ความสนใจ ความต้องการและปัญหาของผู้เรียนเป็น
สำคัญ

3. การจัดการเรียนรู้ทางสุขศึกษาควรให้มีความสัมพันธ์กับประสบการณ์ในชีวิตจริงของผู้เรียน
มขี อ้ มลู ทางสขุ ภาพทีท่ นั สมัย สามารถนำมาใช้ในชีวติ จริงได้

4. ควรจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการหรือผสมผสาน ท้ังในส่วนเน้ือหาและกระบวนการ วิธีการ
ซ่งึ มลี กั ษณะท่ีเปล่ยี นแปลงได้ (Dynamic) อนั จะทาให้ผู้เรียนเกดิ การเรยี นรทู้ ี่คงทนอย่ไู ด้นาน

5. การจัดการเรียนร้คู วรเน้นการพัฒนาการความคิดรวมท้งั การสรา้ งบรรยากาศที่เป็นมิตร และ
มีสมั พนั ธภาพท่ดี ีในห้องเรียน

6. การจัดการเรียนรู้ควรให้เป็นกระบวนการที่ตอ่ เนอื่ งและสมั พันธก์ ัน
7. ควรจดั ให้ผูเ้ รียนมีสว่ นร่วมในบทเรียนหรอื ทำงานรว่ มกนั เพอ่ื ใหเ้ กิดการเรียนร้ทู ี่ดี
8. ควรเน้นสขุ ภาพในทางบวกหรือเน้นสงิ่ ทค่ี วรปฏิบตั ิ
9. ไม่ควรลงโทษผูเ้ รยี นโดยใหป้ ฏบิ ตั ใิ นสิ่งท่ผี ดิ สุขลักษณะ
10. ควรให้ผู้เรยี นรู้จกั สรุปหลักเกณฑ์และสามารถนำหลักเกณฑ์เหล่าน้ันไปใช้กับประสบการณ์
ใหมใ่ นด้านต่างๆ ของชวี ิตประจำวัน
11. ผู้สอนควรเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องการดูแลสุขภาพ ดังน้ันการจัดการเรียนรู้สุขศึกษาและ
พลศึกษาจึงควรจัดให้เหมาะสมกับระดับความสามารถความต้องการและความสนใจของผู้เรียน การจัด
กจิ กรรมการเรียนการสอนและกิจกรรมพัฒนาผูเ้ รียนควรให้สอดคลอ้ งกับลกั ษณะของวัฒนธรรมท้องถ่ิน
วัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมสากล โดยได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากบ้านชุมชนและท้องถ่ินไป
พร้อมกันคุณภาพผู้เรียนเมื่อจบการเรียนกลุ่มสาระการเรียน รู้สุขศึกษาและพลศึกษาในแต่ละช่วงชั้น
ผเู้ รยี นจะมีคุณภาพตามท่ีหลกั สตู รกำหนด ในท่ีนี้จะกล่าวถงึ เฉพาะคุณภาพผูเ้ รียนเมอื่ จบช่วงช้นั ที่3เป็น

13

ช่วงช้ันที่ผู้วิจัยดำเนินการทดลองดังนี้คุณภาพผู้เรียนจบช่วงช้ันที่ 3 (ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1-3)(
กระทรวงศึกษาธกิ าร 2551: 169)

1. สามารถดูแลสุขภาพสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคหลีกเลี่ยงปัจจัยเส่ียงและพฤติกรรมเสี่ยง
ต่อสุขภาพอุบัติเหตุการใช้ยาสารเสพติดและความรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการวางแผนอย่าง
เป็นระบบ

2. แสดงออกถึงความรักความเอื้ออาทรความเข้าใจในอิทธิพลของครอบครัวเพ่ือนสังคมและ
วฒั นธรรมทีม่ ีตอ่ พฤตกิ รรมทางเพศการดำเนนิ ชวี ิตและวิถีชวี ติ ท่ีมีสุขภาพดี

3. ออกกาลังกายเล่นกีฬาเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการ กิจกรรมสร้างเสริมสมรรถภาพเพ่ือ
สุขภาพโดยนำหลักการของทกั ษะกลไกมาใชไ้ ด้อย่างถูกต้อง สม่ำเสมอด้วยความช่นื ชม และสนกุ สนาน

4. แสดงความรับผิดชอบให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามกฎกติกา สิทธิหลักความปลอดภัยใน
การเขา้ ร่วมกิจกรรมทางกาย และเล่นกฬี าจนประสบความสำเรจ็ ตามเป้าหมายของตนเองและทมี

5. แสดงออกถึงการมีมารยาทในการดู การเล่นและการแข่งขันด้วยความมีน้าใจนักกีฬาและนe
ไปปฏิบตั ใิ นทุกโอกาสจนเป็นบุคลกิ ภาพทด่ี ี

6. วิเคราะห์และประเมินสุขภาพส่วนบุคคลเพื่อกำหนดกลวิธีลดความเส่ียงสร้างเสริมสุขภาพ
ดำรงสุขภาพการป้องกันโรคและการจัดการกบั อารมณ์และความเครียดให้ถูกต้องและเหมาะสม

7. ใชก้ ระบวนการทางประชาสงั คม สร้างเสริมให้ชมุ ชนเข้มแข็งปลอดภัยและมีวิถีชีวติ ทีด่ ี

3. งานวจิ ัยท่ีเก่ียวขอ้ ง
3.1 งานวจิ ยั ในประเทศ
ยุพินสุวรรณโสภา(2543) ได้ผลิตบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ืองสัตว์กลุ่มสร้างเสริม

ประสบการณ์ชีวิตสำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่5 ผลการศึกษาพบว่า ควรมีเสียงบรรยาย
ประกอบในกรอบคำช้ีแจงและกรอบจุดประสงค์ รวมไปถึงคำแนะนา เพราะนักเรียนไม่ให้ความสนใจ
เน้อื หาในบทเรยี นคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน มีมากเกนิ ไปควรมีการแบง่ เน้ือหา และในการทดลองใชส้ ่ือ ควร
คำนึงถงึ เวลาทีท่ ำการทดลอง ไมค่ วรทดลองในเวลาใกล้เท่ียงหรือเลกิ เรียนเพราะเด็กขาดสมาธิซึ่งทำใหม้ ี
ผลต่อการทดลอง

จารุชากะ ภูทิน(2544) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนในการเรียนรู้เรื่องตัว
เราวิชากลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี5 ท่ีเรียนโดยใช้บทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนผลการศึกษาพบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าค่าเฉล่ีย
ของคะแนนการทดสอบก่อนเรียน เพราะบทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนเป็นสอ่ื การเรียนการสอนท่ีได้รับ
การสร้างขึ้นอย่างมีระบบมีความแปลกใหม่สาหรับนักเรียน นักเรียนได้มีการโต้ตอบกับบทเรียนทำให้ไม่
รู้สึกเบื่อหน่ายและให้ข้อแนะนำเร่ืองของการออกแบบปุ่มต่างๆ ควรให้อยู่ในตำแหน่งคงที่การให้ผล
ป้อนกลับควรบอกให้ผู้เรียนทราบว่าตอบผิดหรือถูก และผลป้อนกลับท่ีค่อนข้างจะมีประสิทธิผลคือผล
ป้อนกลับที่เป็นเรขภาพหรือภาพเน้ือหาในบทเรียนท่ีนาเสนอเป็นคำอ่านในแต่ละกรอบไม่ควรมีมาก
จนเกินไปและในการเสนอเน้ือหาที่ยาก และซับซอ้ นให้เน้นส่วนของขอ้ ความซึ่งอาจเป็นการตีกรอบหรือ
การกระพรบิ ทรง

สุดาโสภา จารีย์ (2544) ได้ผลิตบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ืองอินเตอร์เน็ตเบื้องต้น
สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่1 พบว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบการสอนท่ีผลิตข้ึนมี
ประสิทธิภาพซ่ึงเห็นได้จากคะแนนทดสอบหลังเรียนและได้ให้ข้อเสนอแนะเรื่องการออกแบ บบทเรียน

14

คอมพิวเตอร์ช่วยสอนว่าควรคำนึงถึงระดับช้ันของผู้เรียนและความยากง่ายของเน้ือหาการใช้ตัวการ์ตูน
เปน็ ตัวนำเสนอน้นั ควรมกี ารกำหนดโทนเสียงอตั ราความเร็วและลลี าของเสยี งให้แตกต่างกนั ตามลกั ษณะ
ของตัวการ์ตูน และควรใช้ภาพเคล่ือนไหวท่ีใช้หน่วยความจำน้อยเช่น Gif Annimation ในเรื่องการ
แสดงผลป้อนกลับภาพท่ีใช้ควรมีความหลากหลายและมีเสียงดนตรีประกอบเพ่ือสร้างความสนใจให้
ผูเ้ รียนเกิดความสนุกสนาน

3.2 งานวิจัยตา่ งประเทศ
Benerji (1987: 33-A) ได้ทำการศึกษาค้นคว้าผลจากการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ภาษาโลโก
ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาจากรัฐแคลิฟอเนียร์ จำนวน 51 คนใช้เน้ือหา
คณิตศาสตร์ MPS (Mathematic Problem Solving) ท่ีออกแบบใหฝ้ ึกการปัญหาอย่างเข้มขน้ มีใบงาน
ประกอบการสอน และเน้นให้สืบเสาะหาความรู้ด้วยตนเอง ใช้เวลาทดลอง 20 สัปดาห์ ผลจาก
การศึกษาพบว่า ความสามารถในการแกป้ ญั หาหลังเรียนสูงกวา่ กอ่ นเรียนอย่างมนี ัยสำคัญทางสถติ ิCain
(1987: 2806-A) ได้ศึกษาผลของการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
และความอดทนในการเรียน เมื่อเปรียบเทียบกบั การสอนโดยกลุม่ ตวั อย่างเป็นนักเรยี นเกรด 4,5 และ 6
จำนวน 200 คนแบ่งเป็นกลุ่มทดลองที่มีเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ จำนวน 102 คนและกลุ่ม
ควบคุมที่เรียนโดยใช้วิธีสอนปกติ จำนวน 98 คนในวิธีการอ่านและคณิตศาสตร์ผลการวิจัยพบว่า
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนในการเรียนร้ทู ั้งสองกลมุ่ ไมแ่ ตกต่างกัน
Lee (1991: 1197-A) ได้ศึกษาผลการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนภาษาโลโกของ
นักเรียนในวิทยาลัยกลุ่มตัวอย่างมี 3 กลุ่มกลุ่มที่1 โปรแกรมคอมพิวเตอร์ภาษาโลโกสำเร็จรูป กลุ่มที่2
ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์โลโกแบบฝึกหัดทักษะกระบวนการแก้ปัญหาโดยมีครูคอยช่วยเหลือผล
การศึกษาพบว่าทักษะการคิดและทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนกลุ่มท่ี 3 สูงกว่าอีก 2 กลุ่มอย่างมี
นัยสำคัญ

15

บทท่ี 3

วิธีการดำเนินการศกึ ษาค้นคว้า

ผู้วิจยั ได้กําหนดขัน้ ตอนในการดําเนนิ การศึกษาวจิ ัยตามลําดับดังน้ี
เคร่ืองมอื ที่ใช้ในการวจิ ยั ในครงั้ น้ี ประกอบด้วย

1. บทเรียนโปรแกรมแบบเสน้ ตรง เร่ือง สารเสพตดิ จำนวน 5 เลม่ คือ
เลม่ ท่ี 1 เรื่องความหมายและประเภทของสารเสพติด
เลม่ ท่ี 2 เรื่องลักษณะและอาการท่วั ไปของผ้ตู ิดสารเสพติด
เล่มท่ี 3 เรอ่ื งการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตดิ สารเสพตดิ
เล่มที่ 4 เรื่องความสัมพนั ธ์ของการใชส้ ารเสพตดิ กบั การเกิดโรคและอุบัติเหตุ
เลม่ ท่ี 5 เรื่องทักษะการชกั ชวนผู้อน่ื ใหล้ ด ละ เลิก สารเสพติด

2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ืองสารเสพติด วิชาสุขศึกษา พ 22102 ช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 2 เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอ (MultipleChoice)4ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ เวลาที่
ใช้สอบ 40 นาที

3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรยี นที่มีต่อบทเรยี นโปรแกรมวิชาสุขศึกษาเร่ืองสารเสพ
ติดของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โดยจัดทำเป็นแบบสอบถามชนิดมาตรประมาณค่า 5 ระดับ
จำนวน 10 ขอ้ ซึง่ ผ้วู จิ ยั สรา้ งขึน้

การสรา้ งบทเรียนโปรแกรมแบบเสน้ ตรงวิชาสุขศกึ ษา เรื่องสารเสพตดิ
1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 คู่มือครู

แบบเรยี นและเอกสารท่ีเกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรยี นรสู้ ขุ ศึกษา ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 2 ตามหลัก
สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (กระทรวงศึกษาธิการ 2551 :164 - 181) และ
ศึกษาการจัดทำหน่วยการเรียนรู้ตามหลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
ชัน้ มัธยมศึกษาตอนตน้ ระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2

2. ศึกษารายละเอยี ดเก่ียวกับหลักการและวิธีการสรา้ งบทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรง
จากหนังสือเส้นทางครูสู่การเล่ือนวิทยฐานะ ของเสถียร เดิมศรีภูมิ (2550 : 88 - 89) หนังสือ
นวัตกรรมการสอนท่ียึดผู้เรียนเป็นสำคัญของสาโรช โศภีรักษ์ (2546 : 126 - 127) หนังสือ 20 วิธี
จัดการเรียนรู้ของสุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ (2553:38 - 39) เพ่ือเป็นแนวทางในการบทเรียน
โปรแกรมแบบเส้นตรง

3. ศึกษารายละเอียด เลอื กเนื้อหาท่ีจะนำมาสร้างบทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรงจาก
คำอธิบายรายวิชา หนังสือเรียนวิชาสุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โดยเลือกเอาสาระท่ี 5 ความ
ปลอดภัยในชีวิต มาตรฐาน พ 5.1 ป้องกันและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง พฤติกรรมเส่ียงต่อสุขภาพ
อุบัติเหตุ การใช้ยา สารเสพติด และความรุนแรง ซึ่งมีรายละเอียดเน้ือหา คือ เร่ืองสารเสพติด
ประกอบดว้ ย 5 เรื่องคือ (1) ความหมายและประเภทของสารเสพติด (2) ลักษณะและอาการทว่ั ไปของ
ผู้ติดสารเสพติด (3) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการติดสารเสพติด (4) ความสัมพันธ์ของการใช้สาร
เสพติดกบั การเกดิ โรคและอุบัตเิ หตุ (5) ทักษะการชักชวนผอู้ ่นื ให้ลด ละ เลิก สารเสพติด

16

4. นำเน้ือหาที่เลือกทั้ง 5 เรื่องมาแบ่งออกเป็นหัวเร่ืองเพื่อสร้างบทเรียนโปรแกรม
แบบเส้นตรง จำนวน 5 เล่ม ใชเ้ วลาสอน 12 ช่วั โมง สปั ดาห์ละ 2 ช่ัวโมง

5. กำหนดจดุ ประสงค์การเรียนร้ขู องแต่ละเนื้อหาทจ่ี ะสอน
6. สรา้ งบทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรงวิชาสุขศกึ ษา เร่ือง สารเสพติด จำนวน 5 เล่ม
คอื เล่มท่ี 1 เรือ่ งความหมายและประเภทของสารเสพติดเล่มท่ี 2 เร่ืองลักษณะและอาการทั่วไปของผู้ติด
สารเสพติดเล่มที่ 3 เรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหาการติดสารเสพติด เล่มที่ 4 เร่ืองความสัมพันธข์ อง
การใช้สารเสพติดกับการเกิดโรคและอุบัติเหตุ เล่มที่ 5 เร่ืองทักษะการชักชวนผู้อื่นให้ลด ละ เลิก สาร
เสพตดิ และสรา้ งคู่มอื การเรียนการสอนโดยใชบ้ ทเรยี นโปรแกรมสำหรบั ผสู้ อนและผูเ้ รยี น
7. นำบทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรงวิชาสุขศึกษา เรื่องสารเสพติด พร้อมท้ังแบบ
ประเมินบทเรียนโปรแกรม ท่ีผู้ศึกษาสร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านเพ่ือประเมินคุณภาพของ
บทเรียนโปรแกรม เก่ียวกับความถูกต้องของเน้ือหาสาระ ความเหมาะสมของกิจกรรม และการวัดผล
ประเมินผล โดยใช้แบบประเมินแบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ คือ เหมาะสมมาก
ท่สี ุด เหมาะสมมาก เหมาะสมปานกลาง เหมาะสมนอ้ ย
8. นำคะแนนที่ได้จากการประเมินของผู้เช่ียวชาญ 3 ท่าน มาหาค่าเฉลี่ย และนำมา
เทยี บกับเกณฑท์ ่ีตงั้ ไว้ของบญุ ชม ศรีสะอาด (2545 : 162 ) คา่ เฉล่ยี ตงั้ แต่ 3.50 ขนึ้ ไป
9. นำบทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรงวิชาสุขศึกษา เร่ือง สารเสพติดไปทดลองใช้กับ
นักเรียน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ท่ีไม่ใช่กลุ่ม
ตวั อย่าง โดยมีขน้ั ตอนในการปรับปรุงและหาประสิทธิภาพดงั น้ี
ขั้นที่ 1 ทดลองกับผู้เรียนแบบหน่ึงต่อหน่ึง (One To One Testing) กับนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ท่ีกำลังเรียนในปีการศึกษา
2562 โดยทดลองกับผู้เรียนจำนวน 3 คน คอื นักเรยี นอ่อน ปานกลาง เกง่ โดยครอู ธบิ าย ถงึ ราย
ละเอยี ด ลักษณะการใช้ ขัน้ ตอน การดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยบทเรียนโปรแกรมวิชาสุข
ศึกษา เร่ือง สารเสพติด แลว้ สอบถามความคิดเห็นผู้เรียน เพื่อหาข้อบกพร่อง
ขั้นท่ี 2 ทดลองกลุ่มเล็ก (Small Group Testing) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2
โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ท่ีกำลังเรียนในปีการศึกษา 2562 โดยทดลอง
กับผู้เรียน 9 คน โดยคละผู้เรียนที่เรียนอ่อน ปานกลาง และเก่ง อย่างละ 3 คน โดยผู้ศึกษาคอยสังเกต
พฤติกรรมของผเู้ รียนอย่างใกลช้ ดิ เพอ่ื ดคู วามถูกตอ้ งเหมาะสมของเนอ้ื หา เวลา และการใชภ้ าษา โดย
มีการจดบันทึกข้อบกพร่องรวมท้ังข้อสงสัยต่างๆ ของผู้เรียน ผลการทดลองพบว่า ผู้เรียนกลุ่มอ่อนใช้
เวลาเรียนมากกว่านักเรียนกลุ่มเก่งและปานกลาง ผู้ศึกษาค้นคว้าต้องใช้กิจกรรมเสริมให้กับนักเรียน
กลุ่มเก่งและปานกลาง เพื่อไม่ให้นักเรียนท่ีศึกษาเสร็จก่อนส่งเสียงรบกวนกลุ่มอ่อนท่ียังศึกษาไม่จบ
แลว้ ได้ปัญหาและข้อบกพร่องของบทเรยี นโปรแกรมวชิ าสขุ ศึกษา เรือ่ งสารเสพติดนำมาปรบั ปรุงแก้ไข
ข้ันท่ี 3 การทดสอบภาคสนาม (Field Testing) โดยการนำบทเรียนโปรแกรมวิชา สุข
ศึกษา เรื่องสารเสพติด ไปทดลองภาคสนามกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 ห้อง 2/3
จำนวน 40 คน ซ่ึงได้โดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive selection) ในปีการศึกษา 2562 โดยใช้
เกณฑม์ าตรฐาน 80/80

17

แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ
1. ศึกษาวธิ ีการสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นแบบองิ เกณฑ์การเขียนข้อสอบ

การหาค่าอำนาจจำแนก ค่าความเช่อื มัน่ ค่าความเทย่ี งตรง และการวัดผลการศึกษาจากหนังสือการ
วจิ ยั เบอื้ งตน้ และหนังสือการวดั ผลการศึกษา บุญชม ศรสี ะอาด (2545 : 53 - 56) ; สมนึก ภทั ทยิ ธนี
(2546 : 193 - 231)

2. ศึกษาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 (หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนร่องคำ
2553 : 31 - 52)

3. วเิ คราะหเ์ นอ้ื หาสาระการเรยี นรูแ้ ละจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ใหส้ อดคล้องกันเพอ่ื กำหนด
จำนวนขอ้ สอบที่ต้องการจริงและส่วนทอ่ี อกไว้

4. สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง สารเสพติด ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2
เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ(Multiple Choice) 4 ตัวเลือก ตามหัวข้อสาระการเรียนรู้ ดังน้ี
ความหมายและประเภทของสารเสพตดิ ลกั ษณะและอาการท่ัวไปของผู้ตดิ สารเสพติด การป้องกันและ
แก้ไขปัญหาการติดสารเสพติด ความสัมพันธ์ของการใช้สารเสพติดกับการเกิดโรคและอบุ ัติเหตุ ทักษะ
ในการชกั ชวนผอู้ ่ืนให้ลด ละ เลกิ สารเสพติด จำนวน 60 ข้อต้องการ ใช้จรงิ 40 ข้อ

5. นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้น เสนอต่อผู้เช่ียวชาญ พร้อมแบบประเมิน เพ่ือตรวจสอบความ
สอดคลอ้ งของจดุ ประสงค์ ความเท่ยี งตรงเนอ้ื หา (Content Validity)กับจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้

6. ผเู้ ช่ียวชาญตรวจสอบความสอดคล้อง ระหว่างข้อสอบกับจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ (Index
of Item Objective Congruence : IOC) เพื่อเป็นการตรวจสอบและพิจารณาว่าแบบทดสอบแต่ละ
ขอ้ นนั้ สอดคลอ้ งกบั เน้อื หาวชิ าและจดุ มงุ่ หมายหรอื ไม่

7. นำแบบทดสอบที่ผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ข้อมูลหาค่าดัชนีความ
สอดคล้องระหวา่ งข้อสอบกับจดุ ประสงค์การเรียนรู้ โดยใช้สตู ร IOC (สมนึก ภทั ทิยธนี 2537 : 166 -
167) เพื่อหาผลรวมของคะแนนในข้อสอบแต่ละข้อของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด แล้วนำมาหาค่าเฉล่ียเพื่อดู
ค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC คัดเลือกข้อสอบท่ีมีค่า IOC ต้ังแต่ 0.50 ขึ้นไป เป็นข้อสอบท่ีอยู่ใน
เกณฑ์ความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหาท่ีใช้ได้ ผลการประเมินพบว่า ข้อสอบมีค่า IOC เท่ากับ 1.00 ทั้ง 60
ขอ้

8. นำแบบทดสอบที่ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบแล้ว จำนวน 60 ข้อมาทดลองใช้กับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นธิดาแม่พระ อำเภอเมอื ง จังหวดั สรุ าษฎร์ธานี จำนวน 36 คน ท่เี คยเรยี น
เน้ือหาผ่านมาแล้ว เพื่อหาความยากง่าย (p) และอำนาจจำแนก (r) เป็นรายข้อ ข้อสอบ ที่เหมาะสม
ตามเกณฑ์ ท่ีกำหนด คือ ค่าความยากงา่ ยที่ใช้ได้อยู่ระหวา่ ง 0.20 - 0.80 และ ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่
0.20 ข้ึนไป ผลปรากฏว่าข้อสอบมีความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง 0.23 – 0.69 และอำนาจจำแนก (r)
อยู่ระหว่าง 0.21 - 0.62 แล้วคัดเลือกข้อสอบที่มีค่าความยากง่าย และค่าอำนาจจำแนกที่เหมาะสม
ดังกลา่ วไว้ จำนวน 40 ข้อ

9. นำแบบทดสอบท่ีปรับปรุงและคัดเลือกแล้วจำนวน 40 ข้อไปทดสอบอีกคร้ังกับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วนำมาหาค่าความ
เชื่อม่ัน (reliability) ของแบบทดสอบทั้งฉบับ โดยใช้สูตร KR-20 ของ คูเดอร์ ริชาร์ดสัน(Kuder
Richardson,)ซงึ่ ไดค้ วามเช่อื มน่ั ของแบบทดสอบท้งั ฉบบั เทา่ กบั 0.84

18

10. นำขอ้ สอบท่วี เิ คราะหห์ าคุณภาพแล้วจำนวน 40 ข้อ มาจัดพมิ พเ์ ปน็ ตน้ ฉบับตรวจสอบ
ความถูกต้อง สมบรู ณ์ และทำสำเนาข้อสอบทีผ่ ่านการตรวจสอบคณุ ภาพมาแล้วเปน็ แบบทดสอบวดั
ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นก่อนเรยี นและหลังเรยี นเพ่ือนำไปใชใ้ นการศกึ ษาในคร้ังน้ี

แบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียน
การสร้างแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนท่ีเรียนด้วยบทเรียนโปรแกรมเรื่องสารเสพ

ติด ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีลำดับข้ันตอนใน
การสรา้ งดังน้ี

1. ศกึ ษาเอกสาร ตำรา และงานวิจยั ทเี่ กยี่ วกบั ความพึงพอใจของ ศุภศิริ โสมาเกตุ (2544
: 49)

2. ศึกษาวิธีการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของบุญชม ศรีสะอาด( 2545 : 66 - 74)
และกำหนดรปู แบบสอบถามจากเอกสาร ตำรา และงานวิจัยท่ีเกย่ี วข้อง

3. สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจเกย่ี วกบั บทเรียนโปรแกรมแบบเสน้ ตรงเรอื่ งสารเสพติด
ของนักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 15 ข้อ เปน็ แบบสอบถามปลายปิดแบบมาตรประมาณค่า
5 ระดับ

4. นำแบบสอบถามความพึงพอใจทผี่ ู้วจิ ยั สร้างขนึ้ เสนอตอ่ ผู้เช่ียวชาญชดุ เดมิ เพอ่ื พจิ ารณา
ตรวจสอบความถูกตอ้ ง ความเทยี่ งตรง ความเหมาะสมของข้อคำถามในแต่ละข้อ

5. ปรบั ปรงุ แก้ไขแบบสอบถามตามทีผ่ ูเ้ ชยี่ วชาญเสนอแนะ แล้วนำแบบสอบถามความพึง
พอใจไปสอบถามกบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 โรงเรยี นธดิ าแม่พระ อำเภอเมอื ง จงั หวดั สุราษฎร์
ธานี ทีไ่ มใ่ ชก่ ลุ่มตวั อยา่ ง จำนวน 15 คน แลว้ นำแบบสอบถามมาหาคุณภาพดังนี้

5.1 วิเคราะห์หาค่าอำนาจจำแนกรายข้อจากวิธีหาค่าอำนาจจำแนกแบบ Item Total
Correlation โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปช่วยการวิเคราะห์แบบสอบถามท่ีมีค่าคะแนน 5
ระดับ ชุดโปรแกรมช่วยการวิเคราะห์งานวิจัยทางการศึกษาของ ปกรณ์ ประจันบาน (2541)
คัดเลือกข้อคำถามแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีค่าอำนาจจำแนกต้ังแต่ 0.53 – 0.87 ไว้จำนวน 10
ข้อ

5.2 นำแบบสอบถามความพึงพอใจที่หาค่าอำนาจจำแนกแล้วมาหาความเชื่อมั่น โดย
วิธีสัมประสิทธ์ิแอลฟาโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปช่วยการวิเคราะห์แบบสอบถามท่ีมีค่า
คะแนน 5 ระดับ ชุดโปรแกรมช่วยการวิเคราะห์งานวิจัยทางการศึกษาของปกรณ์ ประจันบาน
(2541) ได้ค่าความเช่ือมน่ั แบบสอบถามความพงึ พอใจทั้งฉบับเท่ากบั 0.94

6. จัดพิมพ์และทำสำเนาแบบสอบถามความพึงพอใจท่ีผ่านการตรวจคุณภาพแล้วไปใช้กับ
กลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
จำนวน 40 คน

19

บทที่ 4
ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องสารเสพติด รายวิชาสุขศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษา
ปีท่ี 2 โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีประสทิ ธิภาพและประสิทธิผลเหมาะสม ผู้เรียนมีความพึง
พอใจต่อบทเรียนโปรแกรม สามารถนำไปใช้เป็นสื่อการเรียนการสอน ส่งผลดีต่อการแก้ปัญหาการ
เรยี นรู้และการพัฒนาสือ่ การเรียนการสอน ซึง่ จะทำใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ การพัฒนาครแู ละนักเรยี นต่อไป

ผลการหาประสิทธภิ าพของบทเรียนโปรแกรม วิชาสุขศึกษา เรอ่ื งสารเสพติด ของนกั เรยี นช้ัน
มธั ยมศึกษาปที ี่ 2
การทดลองครัง้ ท่ี 3 ปรากฏผลวิจยั ดงั น้ี
ตาราง 1 เปรยี บเทยี บคา่ รอ้ ยละของคะแนนเฉล่ียจากแบบฝกึ หัดระหวา่ งเรยี นและแบบทดสอบหลัง
เรยี นของกลุ่มตวั อยา่ ง จำนวน 40 คน

เลม่ N X E1 E2 ประสิทธิ
1-5 ภาพ E1 /E2

E1 40 41.42 82.85 - 82.85/83.12

E2 40 33.25 - 83.12

จากตาราง 1 พบว่า ผลการเรียนรู้ของผู้เรียนท่ีเรียนด้วยบทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรง เรื่อง
สารเสพติด จากการทำแบบทดสอบย่อยหลังเรียนทุกเล่มได้คะแนนเฉล่ีย 41.42 คะแนน จากคะแนน
เต็ม 50 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 82.85 ดังน้ัน E1ของบทเรียนโปรแกรม เรื่องสารเสพติด ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.85 และผลการเรียนรู้จากการทำแบบทดสอบวัดผล
สัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ืองสารเสพติด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 หลังเรียน ได้คะแนนเฉล่ีย
เท่ากับ 33.25 คะแนน จากคะแนนเต็ม 40 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 83.12 ดังน้ัน E2 ของคะแนน
ทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ืองสารเสพติด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 มีประสิทธิภาพ
เทา่ กบั 83.12 ดงั นน้ั บทเรยี นโปรแกรมแบบเสน้ ตรงเรือ่ งสารเสพติด ของนักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 มี
ประสทิ ธิภาพเทา่ กบั 82.85/83.12 ซ่ึงมคี า่ สูงกวา่ เกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80

ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนระหว่างก่อนเรยี นกับหลังเรียน โดยใชบ้ ทเรยี นโปรแกรม

ตาราง 2 คะแนนเฉลย่ี ผลการเรยี นรจู้ ากการทดสอบกอ่ นเรยี นกบั การทดสอบหลังเรยี นของกลุม่

ตวั อยา่ งจำนวน 40 คน

N X S.D. t

กอ่ นเรียน 40 17.71 2.29 27.12
หลังเรยี น 40 32.37 2.14

20

จากตาราง 2 พบว่าผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนด้วยบทเรยี นโปรแกรมแบบเส้นตรงเร่ืองสารเสพ
ติด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ที่เรียนโดยใช้บทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรงเร่ืองสารเสพติด
หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดบั .05

การศึกษาความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนโปรแกรมเร่ืองสารเสพตดิ

ตาราง 3 ผลการวิเคราะหร์ ะดบั ความพึงพอใจของนักเรยี นในการเรียนรู้จากสื่อบทเรียนโปรแกรมเร่ือง

สารเสพติด ของนักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2

รายการประเมนิ  S.D. ระดบั คณุ ภาพ

1. เป็นสอื่ การเรียนท่นี ่าสนใจสำหรับนกั เรยี น 4.72 0.56 มากท่สี ดุ

2. ตวั หนงั สือชัดเจน อา่ นเขา้ ใจงา่ ย 4.67 0.67 มากทีส่ ุด

3. นักเรียนได้เรยี นรู้ด้วยตนเองตามความสามารถ 4.78 0.53 มากทีส่ ดุ

4. รปู เลม่ ขนาดกะทดั รัด สวยงาม 4.67 0.58 มากที่สดุ

5. ได้ฝกึ ทักษะด้านการอา่ นและการเขยี น อยา่ งม่ันใจ 4.78 0.53 มากที่สุด

6. รสู้ กึ ภูมิใจมากเมือ่ ตอบคำถามได้ถูกตอ้ ง 4.83 0.50 มากที่สุด

7. นกั เรยี นไดท้ ราบผลคะแนนของกจิ กรรมทนั ที 4.94 0.23 มากทส่ี ดุ
8. นักเรียนพอใจที่ไดท้ ำแบบทดสอบทา้ ยบทเรียนเมือ่ ศกึ ษาจบ
แต่ละเรอื่ ง เพ่อื เปน็ การประเมนิ ผลของตนเอง 4.78 0.42 มากทีส่ ุด
4.89 0.31 มากที่สดุ
9. ไดเ้ รียนรู้ดว้ ยตนเองอย่างมคี วามสขุ 4.83 0.37 มากที่สุด
10. ความรู้ทีไ่ ด้รบั เป็นเร่ืองที่นำไปใชใ้ นชีวติ ประจำวันได้

เฉลยี่ รวม 4.79 0.47 มากทส่ี ุด

จากตาราง 3 พบว่า ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนด้วยบทเรียนโปรแกรมแบบ
เส้นตรง เร่ืองสารเสพติด ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 ทุกข้อมีความพึงพอใจในระดับมากท่ีสุด มี
ค่าเฉลี่ย 4.79 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.47 โดยเรียงลำดับข้อที่มีค่าเฉล่ียมากไปหาน้อย คือ ข้อที่ 7
ค่าเฉล่ีย 4.94 ข้อที่ 9 คา่ เฉลีย่ 4.89 และขอ้ ท่ี 6 ,10 ค่าเฉลย่ี 4.83

21

บทท่ี 5
สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ

การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่องสารเสพติด รายวิชาสุขศึกษา ระดับชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์
ช่วยสอนปรากฏผลการศึกษา ดังนี้

1. การพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น เรื่องสารเสพติด โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 มปี ระสทิ ธิภาพเท่ากบั 82.85/83.12 ซ่งึ สงู กว่าเกณฑ์ท่ีตง้ั ไว้

2. นักเรียนท่ีเรียนด้วยบทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรง เรื่องสารเสพติดของนักเรียนชั้น
มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 มผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นเพ่มิ ขนึ้ จากกอ่ นเรียนอยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถติ ิท่รี ะดับ .05

3. นักเรียนที่เรียนด้วยโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องสารเสพติด ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีความพึงพอใจต่อบทเรียน
โปรแกรมแบบเส้นตรง โดยรายข้อและโดยรวมอย่ใู นระดบั มากท่ีสดุ

อภิปรายผล
จากผลการวิจัย เร่ือง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่องสารเสพติด รายวิชาสุขศึกษา

ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขออภิปรายผลได้
ดังตอ่ ไปนี้

ประสิทธภิ าพบทเรยี นโปรแกรม เรื่องสารเสพตดิ
จากการวิจัยการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ืองสารเสพติด รายวิชาสุขศึกษา ระดับช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่สร้างข้ึนขึ้นมีประสิทธิภาพ
เท่ากับ 82.85/83.12 หมายความว่า นักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบย่อยในบทเรียน
โปรแกรม เรอื่ งสารเสพตดิ วิชาสุขศึกษา สาระที่ 5 ความปลอดภยั ในชวี ิต ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 ทง้ั 5
เล่ม คิดเป็นร้อยละ 81.88 และนักเรียนได้คะแนนเฉล่ียจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน คิดเป็นร้อยละ 80.83 แสดงว่าบทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรงเรื่องสารเสพติดมีประสิทธิภาพสูง
กว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ต้ังไว้ ผลการศึกษาในคร้ังน้ีสอดคล้องกับ ผลการศึกษาของ ชัยยุทธ์ ทองสันต์ิ
(2554 : บทคดั ยอ่ ) ทไ่ี ด้วิจยั เรื่องการใชบ้ ทเรียนโปรแกรมเร่ืองยาและสารเสพตดิ วชิ าสุขศึกษา เร่ืองสาร
เสพติด ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนโปรแกรมเรื่องสารเสพติด ช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพ
84.98/85.06สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ต้ังไว้ สถาพร เสาวรัจ (2554 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง
การพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปเร่ืองสารเสพติด กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องสารเสพติดมีประสิทธิภาพ 90.43/88.50
สงู กวา่ เกณฑ์ 80/80 ท่ีตัง้ ไว้ การที่บทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรงเรื่องสารเสพติดที่ผู้วิจัยสร้างข้ึนน้ันมี
ประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ และสอดคล้องกับงานวิจัยดังกล่าวข้างต้นนั้น อาจเนื่องมากจากบทเรียน
โปรแกรมแบบเส้นตรงท้ัง 5 เล่มที่ผ้วู ิจัยได้สร้างขึ้นได้ผ่านกระบวนการสรา้ งตามขัน้ ตอนอย่างเปน็ ระบบ
มีการศึกษาหลักการสร้างบทเรียนโปรแกรม เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ ศึกษาหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 คู่มือการจดั การเรียนรู้วิชาสุขศึกษา และได้ผา่ นกระบวนการ
ตรวจสอบแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เช่ียวชาญ รวมทั้งผ่านการตรวจสอบและประเมินความถูกต้อง

22

ด้านการจัดรูปเล่ม การจัดภาพ การเรียงลำดับเนื้อหา การใช้ภาษา และการดำเนินเร่ืองจาก
ผู้เช่ียวชาญ ผ่านกระบวนการทดลองหลายๆ ครั้ง และนำผลการทดลองไปปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้ได้
บทเรียนโปรแกรมที่มคี วามเหมาะสม จนนำไปใช้ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการสรา้ ง
บทเรียนโปรแกรมของ สุรางค์ โค้วตระกูล (2548) ท่ีกล่าวไว้ว่าการสร้างบทเรียนโปรแกรมแบบ
เส้นตรงนั้นควรแบ่งบทเรียนแต่ละบทออกเป็นส่วนย่อย เป็นข้ันๆ (Small Steps) ซ่ึงเรียกว่า Frame
ประกอบด้วยความคิดรวบยอด (Concept) ท่ีต้องการจะให้นักเรียนเรียนรู้ที่ละอย่างเพ่ือให้แน่ใจว่า
ผู้เรียนตอบได้และจำได้การจัดกรอบ (Frame) จะต้องจัดลำดับจากง่ายไปยากซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนตอบ
ได้เป็นขนั้ ๆ โดยใชห้ ลกั Shaping ของสกินเนอร์ทุกครงั้ ทผี่ เู้ รียนให้อภปิ รายผล

ผลการเปรยี บเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นก่อนเรียนกบั หลังเรยี น
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนท่ีเรียนด้วยบทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรง
เร่ืองสารเสพติด วิชาสุขศึกษา ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 เพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติท่ีระดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ แสดงว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงข้ึนมี
ความก้าวหน้าทางการเรียนซ่ึงสอดคล้องกับผลการศึกษาค้นคว้า ของชัยยุทธ์ ทองสันต์ิ (2554 :
บทคดั ย่อ) ท่ีได้วิจัยเรอ่ื งการใช้บทเรียนโปรแกรมเร่ืองยา และสารเสพติด วิชาสุขศึกษา เรื่องสารเสพ
ติด ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนโปรแกรมเรื่องสารเสพติดชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่า ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ.01 และสถาพร เสาวรัจ
(2554 : บทคัดย่อ) ไดว้ ิจยั เรื่องการพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป เรื่องสารเสพติด กล่มุ สาระการเรียนรู้สุข
ศกึ ษาและพลศึกษา ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 ผลการวจิ ัยพบวา่ นักเรยี นที่เรียนด้วยบทเรยี นสำเรจ็ รปู เร่อื ง
สารเสพติด กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สุขศึกษาและพลศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่าง
มีนัยสำคัญทางสถติ ิที่ระดับ .01จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการพัฒนาการเรียนการสอนต่างๆ พบว่า
การใช้บทเรียนโปรแกรมท่ีสร้างข้ึนอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นส่ือในการจัดการเรียนการสอน ส่งผลให้
นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ศึกษาได้พัฒนาบทเรียนโปรแกรมมาใช้ใน
การพัฒนาการเรียนรู้ เร่ืองสารเสพติด วิชาสุขศึกษา ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 เป็นแนวทางท่ีดีและ
เหมาะสมแลว้

ขอ้ เสนอแนะ
ขอ้ เสนอแนะในการสรา้ งคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน
1. ควรศึกษาหลักสูตรและเน้ือหาท่ีใช้ให้ละเอียดรอบคอบ เพ่ือจะได้กำหนดเน้ือหาให้

เหมาะสมกบั ระดบั ช้ันความรขู้ องนักเรียน
2. ศึกษาหลักการสร้างบทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรงท่ีดี จากตำราเอกสารอย่างละเอียดถี่

ถว้ น
3. ภาพที่นำมาประกอบควรเป็นภาพที่มีสีสันสวยงาม เหมาะสมกับเน้ือหาและระดับชั้นของ

ผูเ้ รียน
4. บทเรียนโปรแกรมแต่ละเล่มไม่ควรมีจำนวนกรอบมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้นักเรียน

เกดิ ความเบื่อหน่าย

23

ขอ้ เสนอแนะในการนำไปใช้
1. ก่อนใช้บทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรงแต่ละเล่มครูผู้สอนและนักเรียน ต้องทำความเข้าใจ
เก่ียวกับวิธีการใช้ โดยเฉพาะครูผู้สอนต้องเน้นย้ำเรื่องความซ่ือสัตย์ต่อตนเองให้กับนักเรียน และดูแล
เอาใจใสอ่ ยา่ งใกล้ชดิ เพ่อื ให้เกิดการเรียนรโู้ ดยใช้บทเรียนโปรแกรมท่มี ีประสทิ ธภิ าพมากย่งิ ข้ึน
2. การใช้บทเรียนโปรแกรมติดต่อกันหลายๆ คร้ัง จะทำให้นักเรียนเกิดความเบ่ือหน่ายได้
ดังนั้นครูผู้สอนควรมีกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างอื่นแทรกก่อนการเริ่มเรียนเล่มต่อๆ ไป เช่น การ
สรุปเนื้อหาในเลม่ ท่เี รยี นผ่านมาร่วมกนั เปน็ กลมุ่
3. ก่อนการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน ครคู วรทดสอบทักษะการอ่านของนกั เรียนกอ่ นว่า
นกั เรียนสามารถใช้ทกั ษะการอ่านในการศึกษาหาความรไู้ ด้ดว้ ยตนเอง

ขอ้ เสนอแนะในการศึกษาคร้งั ต่อไป
1. ควรมีการศึกษาคน้ คว้าและพฒั นาบทเรียนโปรแกรมแบบเส้นตรงวิชาสุขศึกษาในสาระอื่นๆ
และระดบั ชั้นอื่นๆ
2. ควรศึกษาค้นคว้าเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์เก่ียวกับการจัดการเรยี นรู้ กลุ่มสาระสุขศึกษา
และพลศึกษา ด้วยบทเรียนโปรแกรม กบั วิธีการสอนหรือรูปแบบการสอนอน่ื ๆ

24

บรรณานกุ รม

กระทรวงศึกษาธิการ. การจัดสาระการเรียนร้กู ลมุ่ สาระการเรียนร้สู ุขศกึ ษาและพลศกึ ษาตาม
หลกั สูตรการศึกษาขั้นพนื้ ฐานพทุ ธศกั ราช 2544. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว, 2546.

กระทรวงศึกษาธิการ. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551.
กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกัด, 2551.

กระทรวงศึกษาธิการ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม
(ฉบบั ท่ี 2)พ.ศ. 2545. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพอ์ งคก์ ารรับส่งสินคา้ และพัสดุครภุ ัณฑ์ (ร.ส.พ.),2546.

กระทรวงศกึ ษาธิการ. ชัยยุทธ์ ทองสันต์.ิ รายงานการใชบ้ ทเรียนโปแกรมเรื่องยาและสารเสพ
ตดิ วิชาสขุ ศึกษาชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 . การวจิ ัยในช้นั เรียน, 2554.

พรสุข หุ่นนิรันดร์ และคนอื่นๆ. สุขศึกษา ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4. กรุงเทพฯ : อักษร
เจรญิ ทัศน์ , ม.ป.ป.

วันชัย สระบัว. การสร้างบทเรียนโปรแกรมวิชาภาษาไทยเรื่องการจำแนกคำใน
ภาษาไทย. การศกึ ษาอสิ ระปริญญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต, มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2543.

สชุ าดา วงศ์ใหญ่ และปรีชา ไวยโภคา. สขุ ศกึ ษา ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 4. กรงุ เทพฯ :
อกั ษรเจริญทศั น์ , ม.ป.ป.

25

26


Click to View FlipBook Version