The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระอัสสชิเถระ22222

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by FUCK P9D, 2020-11-02 22:52:38

พระอัสสชิเถระ22222

พระอัสสชิเถระ22222

พระอัสสชิเถระ

พระอัสสชิ หรอื พระอัสสชเิ ถระ เปน็ พระภกิ ษสุ าวกของพระพุทธเจา้ เป็นหนึ่งในปญั จวคั คีย์ และพระอสีติ
มหาสาวก

พระอัสสชิ เมื่อได้ตรัสรูธ้ รรมแล้ว มีบทบาทสาคัญในการช่วยเผยแพร่พระพทุ ธศาสนาในช่วงตน้ พทุ ธกาล ด้วย
ความเปน็ ผู้มมี ารยาทน่าเลอ่ื มใสของท่าน ทาให้ท่านเป็นภิกษุรูปแรกท่ีทาให้อปุ ติสสมาณพ ซึ่งต่อมาคือพระสารี
บุตร เลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนา ทา่ นเปน็ ผ้กู ลา่ วคาถาสาคัญยง่ิ คาถาหนึง่ ในพระพุทธศาสนาคอื พระคาถา เย
ธมฺมา เหตุปฺปภวา ... พระคาถานี้ไดร้ ับการยกย่องว่าเปน็ พระคาถาสาคัญบทหน่งึ ในพระพทุ ธศาสนา เพราะ
กล่าวถงึ ความเป็นเหตผุ ลและจุดมุ่งหมายในพระพุทธศาสนาไวใ้ นคาถาเดียว ทา่ นดารงอายพุ อสมควรแกก่ าลก็

ดบั ขันธปรนิ ิพพาน

ชาติกาเนดิ

• พระอสั สชิะ เกิดในตระกลู พราหมณ์ในกรุงกบลิ พสั ดุ์ เดิมชือ่ “อัสสชพิ ราหมณ์”

การศึกษา

เมื่อเจริญเติบโตขนึ้ ท่านได้ศึกษาศลิ ปะวทิ ยาจนจบไตรเพทในสานักพราหมณแ์ หง่ เมืองกบิลพสั ดุ์

สาเหตุท่อี อกบวช

เนอื่ งดว้ ยพราหมณผ์ ้เู ปน็ บดิ าของทา่ น เคยเป็นพราหมณ์ 1 ใน 8 คนทไ่ี ดร้ บั นมิ นต์เขา้ รบั ภัตตาหารใน
พระราชวังกรุงกบลิ พสั ดใ์ุ นวันขนานพระนามเจา้ ชายสทิ ธัตถะ และได้ทานายว่าเจ้าชายสิทธตั ถะหากออก
ผนวชจะไดบ้ รรลุธรรมเป็นพระอรหันตสัมมาสมั พุทธเจา้ บิดาของท่านจงึ ต้งั ใจวา่ หากเจา้ ชายออกผนวชตน
จะออกบวชตาม แต่ดว้ ยบิดาของทา่ นมอี ายุมากแล้ว และเกรงวา่ ตนอาจจะอย่ไู ม่ถึงวนั ทีเ่ จา้ ชายบรรลุเป็น
พระอรหนั ต์ ท่านจึงสั่งเสยี ใหล้ กู ชายคอื อสั สชิพราหมณอ์ อกบวชหากเจา้ ชายออกผนวชตามคาทานาย โดย
เมอื่ เจ้าชายออกบวชทา่ นไดต้ ามโกณฑญั ญพราหมณ์และบุตรพราหมณ์ 108 จานวน 3 คนออกบวชด้วย

ความสาคัญในพระพุทธศาสนา

• ท่านก็ถือว่าเป็นผ้มู สี ่วนสาคญั ในการช่วยพระพุทธเจา้ เผยแพร่พระพทุ ธศาสนาในช่วงต้นพุทธกาล เป็น
พระสงฆก์ ลมุ่ แรกท่พี ระพุทธเจา้ ทรงส่งออกไปประกาศพระพทุ ธศาสนา ท่านเปน็ ผมู้ ีกิรยิ ามารยาทน่า
เล่ือมใสมาก จนทาให้อปุ ตสิ สะมาณพ บุตรแห่งนายบ้านนาลนั ทาเกดิ ความเล่อื มใสและยอมตนบวชใน
พระพทุ ธศาสนา ท่านเป็นผู้กล่าวพระคาถาสาคัญในพระพุทธศาสนาคือพระคาถาทร่ี ู้จักกนั ดวี า่ คอื พระ
คาถา "เย ธมมฺ า" พระคาถานี้ไดร้ บั การยกย่องว่าเปน็ พระคาถาสาคัญบทหน่งึ ในพระพทุ ธศาสนา เพราะ
กลา่ วถึงความเป็นเหตุผลและจดุ มงุ่ หมายในพระพุทธศาสนาไวใ้ นคาถาเดยี ว คาถาน้ไี ดร้ บั การยอมรับมาก
โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในสมยั ทวารวดี พระคาถาจานวน 4 บาทนีไ้ ดถ้ กู นามาจารกึ ลงและบรรจุไวใ้ นพระเจดีย์
ในฐานะองคแ์ ทนแห่งพระพุทธศาสนา[1] พระคาถาของท่านมดี งั น้ี

• เย ธมมฺ า เหตุปปฺ ภวา เตส เหตุ ตถาคโต
• เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอว วาที มหาสมโณ
• "ธรรมเหลา่ ใด เกิดแตเ่ หตุ พระตถาคต กลา่ วเหตุแห่งธรรมเหลา่ น้นั และความดับของธรรมเหล่านน้ั พระ

มหาสมณะมวี าทะอยา่ งนี้"

กำเนิดปัญจวคั คยี ์

• อกี ๒๙ ปตี ่อมา เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ ทรงเหน็ โทษในกาม เหน็ อานิสงส์ในการออกจากกาม ในวันท่พี ระราหุลกมุ าร
ประสตู ิ จึงไดเ้ สดจ็ ออกทรงผนวช ในครงั้ นนั้ พราหมณ์ ๗ คน ไดส้ ิ้นชวี ิตไปตามกรรมแล้ว ส่วนโกณฑญั ญมาณพ
ซง่ึ อายนุ ้อยกว่าเขาท้ังหมด เม่อื ท่านทราบว่า พระมหาบรุ ุษทรงผนวชแลว้ จงึ เขา้ ไปหาพวกบุตรพราหมณ์ของ
พราหมณท์ ้งั ๗ และชักชวนใหอ้ อกบวชตามเสดจ็ แตก่ ม็ ีบุตรพราหมณ์เพยี ง ๔ คนเทา่ นัน้ ทเ่ี หน็ ดดี ้วย บุตร
พราหมณท์ ั้ง ๔ คน เหลา่ น้ี คือ ทา่ นภทั ทิยะ ท่านวปั ปะ ทา่ นมหานาม และทา่ นอัสสชิ และทา่ นโกณฑญั ญ
พราหมณจ์ ึงได้บวช

• เมอื่ บวชแล้วบรรพชิตท้ัง ๕ นี้อันมที ่านโกณฑัญญะเปน็ หวั หนา้ จึงไดม้ ีชอื่ ว่า พระปญั จวคั คยี ์เถระ ก็ได้เที่ยว
บิณฑบาตในคามนคิ มและราชธานี และได้เดินทางไปอุปฎั ฐากพระโพธสิ ัตว์ ตลอด ๖ ปีท่พี ระโพธิสัตวท์ รงเร่ิม
กระทาทกุ รกิริยา ด้วยหวงั วา่ พระสมณโคดมจักบรรลธุ รรมใด กจ็ กั บอกธรรมนัน้ แก่เราท้ังหลาย ครนั้ พระ
โพธิสัตวท์ รงพจิ ารณาเหน็ ว่าการบาเพ็ญทุกรกิรยิ ามิใช่หนทางไปสอู่ รยิ ธรรม จงึ ทรงกลับมาเสวยพระกระยา
เช่นเดิม หมู่ปญั จวคั คยี ค์ ดิ วา่ พระมหาสัตวท์ รงละความเพยี รเสียแล้ว จงึ หมดความเลื่อมใส เกดิ ความเบอ่ื หน่าย พา
กนั ละพระองคเ์ สีย ไปอยู่ปา่ อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมอื งพาราณสี

• ครนั้ เม่อื พระโพธสิ ัตว์ ทรงกลับมาเสวยพระกระยาหารดังปกติ ล่วงมาถึงวนั วสิ าขบรุ ณมี ทรงเสวยโภชนะอยา่ งดี
ทีน่ างสุชาดาถวาย ทรงลอยถาดทองไปใหท้ วนกระแสแม่น้าตามท่ที รงอธษิ ฐาน จงึ ตกลงพระทยั ทีจ่ ะปฏบิ ตั ธิ รรม
เพื่อบรรลพุ ระมหาอมตธรรมให้ได้ในวันนน้ั จึงทรงประทับใตร้ ม่ มหาโพธิ บา่ ยพระพกั ตร์ไปสดู่ า้ นตะวนั ออก
นงั่ ขัดสมาธิ อธิษฐานความเพยี ร ทรงกาจดั มารและพลมารและบรรลุธรรมเปน็ ลาดับ จนกระทั่ง ทรงตรัสรู้เปน็
พระบรมศาสดาสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในปัจฉิมยามแห่งราตรีน้ันเอง

• คร้ันเมอื่ ทรงตรัสรูแ้ ล้ว กท็ รงพจิ ารณาถงึ บุคคลที่พระองค์สมควรจะแสดงธรรมให้กอ่ น จงึ ทรงพิจารณาถึง อาฬา
รดาบสและอทุ ทกดาบส ก็ทรงทราบดว้ ยพระญาณว่าบคุ คลท้ังสองส้ินชีวิตไปแลว้ เม่อื ทรงพิจารณาต่อไปกท็ รง
เหน็ ว่า ภิกษุปญั จวัคคยี ์ผู้อปุ ฏั ฐากครั้งเม่อื ทรงต้ังความเพียร นับวา่ เปน็ ผู้มอี ปุ การะมากแก่เรา อีกทั้งโกณฑญั ญ
พราหมณ์ ก็เปน็ ผู้กระทากรรมสะสมบารมีมาถึง ๑๐๐,๐๐๐ กปั กเ็ พอ่ื ประสงคจ์ ะเป็นผ้ไู ด้ชื่อวา่ เป็นผสู้ ามารถ
บรรลธุ รรมก่อนผู้อ่นื ลาดบั น้ัน พระศาสดา จงึ เสด็จไปยงั ปา่ อิสิปตมฤคทายวนั ที่ปัญจวัคคยี ์อาศยั อยู่ เสดจ็ เขา้ ไป
หาพระปญั จวัคคยี ์

ทรงแสดงธมั มจกั กปั ปวัตตนสูตร

• สครัมนั้ มทาสรงัมพพรทุ ะธดเาจร้าิอเสยด่าง็จนมี้แาแลต้ว่ไจกงึ ลเสเขด็จ้าใพจุทวธ่าพดารเะนอินงไคปเ์ สสดู่ปจ็ า่ มอาิสเพิปอื่ ตแนสมวฤงคหทาาผยู้อวุปันฐฯากฝจ่างึยไปดัญ้ตจกวลัคงคกยีัน์ทว้ัง่า๕พรไะดสเ้ หมน็ณพโคระ
ดมนีค้ ลายความเพยี รเวียนมาเพอ่ื ความเปน็ ผู้มกั มากแลว้ เสด็จมา ณ บดั นี้ พวกเราทั้งหลายไม่พึงไหว้ ไม่พึงลกุ ขึน้
ต้อนรบั ไม่พึงรบั บาตรและจวี รของพระองค์เลย แต่วา่ ทา่ นนี้เกิดในตระกลู ใหญ่ เปน็ วรรณกษัตริย์ เราควรปลู าด
อาสนะท่ีน่งั ไว้ เพอ่ื พระองคป์ รารถนากจ็ กั ประทบั นง่ั ฯ ครัน้ พระองค์เสด็จเข้าไปถงึ แลว้ อาศยั ความเคารพทเ่ี คย
ประพฤตติ ่อพระองค์ มาบันดาลให้ลมื ขอ้ ตกลงที่ทากันนน้ั ไวจ้ นหมดสน้ิ ลุกข้นึ ต้อนรบั พระพุทธองค์ รูปหน่ึงรับ
บาตรจวี รของพระผูม้ พี ระภาค รูปหนง่ึ ปอู าสนะ รปู หน่ึงจดั หาน้าลา้ งพระบาท รูปหนึ่งจดั ตั้งตง่ั รองพระบาท รูป
หน่งึ นากระเบื้องเชด็ พระบาทเขา้ ไปถวาย ดงั ทเี่ คยทามา แตย่ ังพูดกบั พระองค์ด้วยถอ้ ยคาไม่เคารพ คอื เรียกโดย
การเอย่ พระนามโดยตรง หรอื เรยี กโดยใชค้ าแทนพระพุทธองค์วา่ อาวโุ ส ฯ

• พระพทุ ธองค์ทรงหา้ มพวกปญั จวัคคีย์ มิให้เรียกพระองคเ์ ช่นน้นั (ซงึ่ ถือวา่ เปน็ การไมเ่ คารพ ทท่ี รงหา้ มกเ็ พือ่ จะมิ
ใหเ้ กิดโทษแก่เหล่าปญั จวคั คยี ์เหลา่ นน้ั ) และทรงตรสั ตอ่ ไปวา่ ตถาคตไดบ้ รรลุธรรมเปน็ พระอรหันต์ ตรสั รูเ้ อง
โดยชอบแลว้ ทา่ นทง้ั หลายจงต้งั ใจฟงั ธรรมเถิด เราจะสงั่ สอนอมตธรรมทเี่ ราบรรลุแลว้ เพือ่ ที่เมือ่ ทา่ นทง้ั หลาย
ปฏบิ ตั ิตามท่เี ราสง่ั สอนอยู่ ไม่ชา้ กจ็ กั บรรลุถึงทสี่ ุดแหง่ พรหมจรรย์

• เหล่าปญั จวคั คีย์กย็ ังไม่เชอื่ ไดก้ ล่าวเป็นเชิงสงสัยในจริยาของพระพุทธองค์วา่ แต่เดิมทีท่ ่านปฏิบัติ แมโ้ ดยการอด
อาหาร กระทาทกุ รกิรยิ าอยา่ งยง่ิ ยวด ถึง ๖ ปี กไ็ ม่สามารถแทงตลอดพระสพั พัญญุตญาณได้ มาบัดน้เี ม่ือทา่ น
คลายความเพียรนัน้ กลบั มาเปน็ ผูม้ ักมาก ท่านจะบรรลุธรรมใด ๆ อย่างไรได้

• พระพทุ ธองค์ทรงมพี ระดารสั วา่ ท่านไมไ่ ดเ้ ปน็ คนมกั มาก คลายความเพียร เวียนมาเพ่ือความเป็นผู้มกั มากเลย
ท่านบรรลธุ รรมเป็นพระอรหันต์ ตรัสรเู้ องโดยชอบแล้ว และทรงขอใหเ้ หล่าปญั จวัคคยี ์ตง้ั ใจฟงั ธรรมทีท่ า่ นจะ
แสดง แต่ปัญจวัคคียเ์ หลา่ น้นั ก็ยงั ได้กล่าวสงสยั ในจริยาของพระพุทธองค์อีกถึง ๒ ครั้ง

• จนในคร้งั ท่ี ๓ สมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจา้ จึงตรสั เตอื นให้เหลา่ ปญั จวัคคียท์ ง้ั หลาย นึกถงึ ถ้อยคาของพระพุทธ
องค์ในครัง้ กอ่ นว่า วาจาทท่ี ่านกลา่ วว่าท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ตรสั รู้เองโดยชอบแลว้ เชน่ นี้ ท่านได้
เคยพดู ออกมาในกาลกอ่ นหรอื ไม่ พวกภิกษุปัญจวคั คีย์จงึ ระลึกข้ึนได้วา่ พระวาจาเช่นนี้ พระองค์ไม่เคยไดต้ รสั มา
กอ่ นเลย จึงพากนั ต้งั ใจฟังพระธรรมเทศนา ท่ีพระองค์จะตรัสเทศนาส่ังสอนสืบไป

• ครนั้ แลว้ พระผมู้ พี ระภาคจึงไดต้ รัสแสดง พระปฐมเทศนาประกาศพระสมั โพธิญาณ ช่ือวา่ ธมั มจกั กปั ปวตั ตน
สูตร แกพ่ ระปญั จวัคคีย์ ครน้ั เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสพระธรรมเทศนาจบ ดวงตาเหน็ ธรรม ปราศจากธุลี
ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ทา่ นพระโกณฑญั ญะวา่ ส่ิงใดส่งิ หนึง่ มคี วามเกิดข้ึนเป็นธรรมดา ส่งิ น้นั ทงั้ มวล มี
ความดบั เปน็ ธรรมดา ได้บรรลเุ ปน็ พระโสดาบนั ในวนั อาสาฬหปรุ ณมี เพ็ญกลางเดอื น ๘ น่นั เอง

• ลาดบั นน้ั พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบดว้ ยพระญาณว่า ท่านโกณฑัญญะ ไดบ้ รรลุธรรมเป็นพระโสดาบนั แล้ว จงึ
ไดท้ รงเปล่งพระอทุ านว่า โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ, โกณฑัญญะไดร้ ู้แล้วหนอ (อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ,
อญญฺ าสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ) เพราะเหตุนั้น คาว่า อญั ญาโกณฑัญญะนี้ จึงได้เป็นชือ่ ของท่านตัง้ แตน่ ั้นมา

บั้นปลำยชวี ิต

• ในคัมภีรท์ างพระพทุ ธศาสนาไมร่ ะบวุ า่ ทา่ นดับขันธปรนิ พิ พานเม่ือใดและที่ใด แตท่ ่านคงดารงขนั ธอ์ ย่พู อสมควร
แก่กาลจึงปรนิ ิพพาน


Click to View FlipBook Version