สสรุรุ รุ ป รุ ปพุพุ พุ ท พุ ทธธปปรระะวัวั วั ติ วั ติ ติติ
คำ นำ หนังสืออิเล็กทรอินทส์(E-Book)นี้ จัดทำ ขิ้นเพื่อเผยเเพร่เรื่องวาวเกี่ยวกับ พุทธประวัติเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายเเละสะดวกต่อ การศึดษาให้เข้ากับรูปเเบบสังคมในปัจจุบัน โดยคณะผู้จัดทำ มีควมมุ่งหวังเป็น อย่างยิ่งว่าหนังสืออิเล็กทรนิกส์เรื่อง พุทนประวัตินี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ สนใจ หากมีข้อผิดพลาดประการใด คณะ ผู้นจัดทำ ต้องขอภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย คณะผู้จัดทำ 1เด็กชายนิธิศ กีรตินนท์ ม2/6 เลขที่33 2เด็กชายชนน ด้วงประภัศร์ ม2/6 เลขที่35 3เด็กชายกิตติภพ ศรวิชัย ม2/6 เลขที่38
พุทธประวัติ ศาสนา สารบัญ ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ฮินดู หน้า คำ นำ 2
พุทธประวัติ ประสูติ พระพุทธเจ้า พระนามเดิมว่า “ สิทธัตถะ “ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและ พระนางสิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้น สักกะ พระองค์ทรงถือกำ เนิดในศากยวงค์ สกุล โคตมะ พระองค์ประสูติ ในวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ( เดือนวิสาขะ ) ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ณ สวนลุมพินีวัน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกรุงกบิล พัสดุ์ แคว้นสักกะ กับกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ ( ปัจจุบันคือตำ บลรุมมินเด ประเทศเนปาล )ใน ย่อหน้าของคุณ
พระราชกุมารได้รับการทำ นายจากอสิตฤาษีหรือกาฬ เทวิลดาบส มหาฤาษีผู้บำ เพ็ญฌานอยู่ในป่าหิมพานต์ซึ่ง เป็นที่ทรงเคารพนับถือของพระเจ้าสุทโธทนะว่า “ พระ ราชกุมารนี้เป็นอัจฉริยมนุษย์ มีลักษณะมหาบุรุษครบ ถ้วน บุคคลที่มีลักษณะดังนี้ จักต้องเสด็จออกจาก พระราชวังผนวชเป็นบรรพชิตแล้วตรัสรู้เป็นพระอรหัน ตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีกิเลสในโลกเป็นแน่ “ หลังจากประสูติได้ ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้ ประชุมพระประยูรญาติ และเชิญพราหมณ์ ผู้เรียนจบ ไตรเพท จำ นวน ๑๐๘ คน เพื่อมาทำ นายพระลักษณะของ พระราชกุมาร การขนานพระนาม และทรงเจริญพระชนม์
หลังจากประสูติได้ ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้ ประชุมพระประยูรญาติ และเชิญพราหมณ์ ผู้เรียนจบ ไตรเพท จำ นวน ๑๐๘ คน เพื่อมาทำ นายพระลักษณะของ พระราชกุมาร พระประยูรญาติได้พร้อมใจกันถวายพระนามว่า “สิทธั ตถะ” มีความหมายว่า “ ผู้มีความสำ เร็จสมประสงค์ทุก สิ่งทุกอย่างที่ตนตั้งใจจะทำ ” ส่วนพราหมณ์เหล่านั้นคัด เลือกกันเองเฉพาะผู้ที่ทรงวิทยาคุณประเสริฐกว่า พราหมณ์ทั้งหมดได้ ๘ คน เพื่อทำ นายพระราชกุมาร พราหมณ์ ๗ คนแรก ต่างก็ทำ นายไว้ ๒ ประการ คือ “ ถ้าพระราชกุมารเสด็จอยู่ครองเรือนก็จักเป็นพระเจ้า จักรพรรดิผู้ทรงธรรม หรือ ถ้าเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิตจักเป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีกิเลสในโลก” ส่วนโกณฑัญญะ พราหมณ์ ผู้มีอายุน้อยกว่าทุกคน ได้ทำ นายเพียงอย่าง เดียวว่า พระราชกุมารจักเสด็จออกจากพระราชวัง ผนวชเป็นบรรพชิต แล้วตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัม พุทธเจ้าผู้ไม่มีกิเลสในโลก “ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้ ๗ วัน พระราชมารดาก็ เสด็จสวรรคต ( การเสด็จสวรรคตดังกล่าวเป็นประเพณี ของผู้ที่เป็นพระมารดาของพระพุทธเจ้า ) พระเจ้าสุทโธ ทนะทรงมอบหมายให้พระนางมหาปชาบดีโคตมีซึ่งเป็น พระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา เป็นผู้
ถวายอภิบาลเลี้ยงดู เมื่อพระสิทธัตถะทรงพระเจริญมี พระชนมายุได้ ๘ พรรษา ได้ทรงศึกษาในสำ นักอาจารย์วิ ศวามิตร ซึ่งมีเกียรติคุณแพร่ขจรไปไกลไปยังแคว้น ต่างๆ เพราะเปิดสอนศิลปวิทยาถึง ๑๘ สาขา เจ้าชาย สิทธัตถะทรงศึกษาศิลปวิทยาเหล่านี้ได้อย่างว่องไว และ เชี่ยวชาญจนหมดความสามารถของพระอาจารย์ อภิเษกสมรส ด้วยพระราชบิดามีพระราชประสงค์มั่นคงที่จะให้เจ้าชาย สิทธัตถะทรงครองเพศฆราวาสเป็นพระจักพรรดิผู้ทรง ธรรม จึงพระราชทานความสุขเกษมสำ ราญ แวดล้อม ด้วยความบันเทิงนานาประการแก่พระราชโอรสเพื่อผูก พระทัยให้มั่นคงในทางโลก เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญ พระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะมีพระราชดำ ริ ว่าพระราชโอรสสมควรจะได้อภิเษกสมรส
จึงโปรดให้สร้างปราสาทอันวิจิตรงดงามขึ้น ๓ หลัง สำ หรับให้พระราชโอรสได้ประทับอย่างเกษมสำ ราญตาม ฤดูกาลทั้ง ๓ คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว แล้วตั้ง ชื่อปราสาทนั้นว่า รมยปราสาท สุรมยปราสาท และสุภ ปราสาทตามลำ ดับ และทรงสู่ขอพระนางพิมพาหรือยโส ธรา พระราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะและพระนางอมิ ตา แห่งเทวทหะนคร ในตระกูลโกลิยวงค์ ให้อภิเษกด้วย เจ้าชายสิทธัตถะได้เสวยสุขสมบัติ จนพระชนมายุมายุได้ ๒๙ พรรษา พระนางพิมพายโสรธาจึงประสูติพระโอรส พระองค์มีพระราชหฤทัยสิเนหาในพระโอรสเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพระองค์ทรงทราบถึงการประสูติของพระโอรส พระองค์ตรัสว่า “ ราหุล ชาโต, พันธน ชาต , บ่วงเกิด แล้ว , เครื่องจองจำ เกิดแล้ว “
ออกบรรพชา เจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นผู้มีพระบารมีอันบริบูรณ์ ถึงแม้พระองค์จะทรงพรั่งพร้อมด้วยสุขสมบัติมหาศาล ก็มิได้พอพระทัยในชีวิตคฤหัสถ์ พระองค์ยังทรงมี พระทัยฝักใฝ่ใคร่ครวญถึงสัจธรรมที่จะเป็นเครื่อง นำ ทางซึ่งความพ้นทุกข์อยู่เสมอ พระองค์ได้เคยสด็จ ประพาสอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเทวทูตทั้ง ๔ คือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และบรรพชิต พระองค์จึงสังเวชพระทัย ในชีวิต และพอพระทัยในเพศบรรพิต มีพระทัยแน่วแน่ที่ จทรงออกผนวช เพื่อแสวงหาโมกขธรรมอัน
เป็นทางดับทุกข์ถาวรพ้นจากวัฏสงสารไม่กลับมา เวียนว่ายตายเกิดอีก พระองค์จึงตัดสินพระทัย เสด็จออกทรงผนวช โดยพระองค์ทรงม้ากัณฐกะ พร้อมด้วยนายฉันนะ มุ่งสู่แม่น้ำ อโนมานที แคว้น มัลละ รวมระยะทาง ๓๐ โยชน์ (ประมาณ ๔๘๐ กิโลเมตร ) เสด็จข้ามฝั่งแม่น้ำ อโนมานทีแล้วทรง อธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต และทรงมอบหมายให้ นายฉันนะนำ เครื่องอาภรณ์และม้ากัณฐกะกลับ นครกบิลพัสดุ์
เข้าศึกษาในสำ นักดาบส ภายหลังที่ทรงผนวชแล้ว พระองค์ ได้ประทับอยู่ ณ อนุปิยอัมพวัน แคว้น มัลละเป็นเวลา ๗ วัน จากนั้นจึงเสด็จไป ยังกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ พระเจ้า พิมพิสารได้เสด็จมาเฝ้าพระองค์ ณ เงื้อมเขาปัณฑวะ ได้ทรงเห็นพระจริยา วัตรอันงดงามของพระองค์ก็ทรง เลื่อมใส
และทรงทราบว่าพระสมณสิทธัตถะทรงเห็นโทษในกาม เห็นทางออกบวชว่าเป็นทางอันเกษม จะจาริกไปเพื่อ บำ เพ็ญเพียร และทรงยินดีในการบำ เพ็ญเพียรนั้น พระ เจ้าพิมพิสารได้ตรัสว่า “ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน และเมื่อได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ขอได้โปรดเสด็จมายัง แคว้นของกระหม่อมฉันเป็นแห่งแรก “ซึ่งพระองค์ก็ทรง ถวายปฏิญญาแด่พระเจ้าพิมพิสาร
การแสวงหาธรรมระยะแรกหลังจากทรงผนวชแล้ว สมณสิทธัตถะได้ทรงศึกษาในสำ นักอาฬารดาบส กาลาม โคตร และอุทกดาบส รามบุตร ณ กรุงราชคฤห์ แคว้น มคธ พระองค์ได้ทรงประพฤติพรหมจรรย์ในสำ นักขอ งอาฬารดาบส กาลามโคตร ทรงได้สมาบัติคือ ทุติยฌาน ตติยฌาน อากาสานัญจายตนฌาน วิญญานัญจายตน ฌาน และอากิญจัญญายตนฌาน ส่วนการประพฤติ พรหมจรรย์ในสำ นักอุทกดาบส รามบุตร นั้นทรงได้ สมาบัติ ๘ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน สำ หรับ ฌานที่ ๑ คือปฐมฌานนั้น พระองค์ทรงได้ขณะกำ ลัง ประทับขัดสมาธิเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐานอยู่ใต้ต้น หว้า เนื่องในพระราชพิธีวัปปมงคล ( แรกนาขวัญ ) เมื่อ ครั้งทรงพระเยาว์ เมื่อสำ เร็จการศึกษาจากทั้งสองสำ นักนี้แล้วพระองค์ ทรงทราบว่ามิใช่หนทางพ้นจากทุกข์ บรรลุพระ โพธิญาณ ตามที่ทรงมุ่งหวัง พระองค์จึงทรงลาอาจารย์ ทั้งสอง เสด็จไปใกล้บริเวณแม่น้ำ เนรัญชรา ที่ตำ บลอุรุ เวลาเสนานิคม กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
บำ เพ็ญทุกรกิริยา “ ทุกร “ หมายถึง สิ่งที่ทำ ได้ยาก “ ทุกรกิริยา” หมายถึงการกระทำ กิจที่ทำ ได้ยาก ได้แก่การบำ เพ็ญ เพียรเพื่อบรรลุธรรมวิเศษ” เมื่อพระองค์ทรงหันมาศึกษาค้นคว้าด้วยพระ ปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแทนการศึกษาเล่าเรียน ในสำ นักอาจารย์ ณ ทิวเขาดงคสิริ ใกล้ลุ่มแม่น้ำ เนรัญ ชรานั้น พระองค์ได้ทรงบำ เพ็ญทุกรกิริยา คือการ บำ เพ็ญอย่างยิ่งยวดในลักษณะต่างๆเช่น การอดพระ กระยาหาร การทรมานพระวรกายโดยการกลั้นพระ อัสสาสะ พระปัสสาสะ ( ลมหายใจ ) การกดพระทนต์ การ กดพระตาลุ ( เพดาน) ด้วยพระชิวหา (ลิ้น) เป็นต้น พระ มหาบุรุษได้ทรงทรงบำ เพ็ญทุกรกิริยาเป็นเวลาถึง ๖ ปี
ก็ยังมิได้ค้นพบสัจธรรมอันเป็นทางหลุดพ้นจากทุกข์ พระองค์จึงทรงเลิกการบำ เพ็ญทุกรกิริยา แล้วกลับมา เสวยพระกระยาหารเพื่อบำ รุงพระวรกายให้แข็งแรง ใน การคิดค้นวิธีใหม่ ในขณะที่พระมหาบุรุษทรงบำ เพ็ญ ทุกรกิริยานั้น ได้มีปัญจวัคคีย์ คือ พราหมณ์ทั้ง ๕ คน ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ เป็นผู้คอยปฏิบัติรับใช้ ด้วยหวังว่าพระมหาบุรุษตรัสรู้ แล้วพวกตนจะได้รับการสั่งสอนถ่ายทอดความรู้บ้าง และเมื่อพระมหาบุรุษเลิกล้มการบำ เพ็ญทุกรกิริยา ปัญจั คคีย์ก็ได้ชวนกันละทิ้งพระองค์ไปอยู่ ณ ป่าอิสิปตน มฤคทายวัน นครพาราณสี เป็นผลให้พระองค์ได้ประทับ อยู่ตามลำ พังในที่อันสงบเงียบ ปราศจากสิ่งรบกวนทั้ง ปวง พระองค์ได้ทรงตั้งพระสติดำ เนินทางสายกลาง คือ การปฏิบัติในความพอเหมาะพอควร นั่นเอง
ตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เวลารุ่งอรุณ ในวันเพ็ญเดือน ๖ ( เดือนวิสาขะ) ปีระกา ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี นางสุชาดาได้นำ ข้าวมธุปายาสเพื่อไปบวงสรวงเทวดา ครั้นเห็นพระมหาบุรุษ ประทับที่โคนต้นอชปาลนิโครธ (ต้นไทร)ด้วยอาการอันสงบ นาง คิดว่าเป็นเทวดา จึงถวายข้าวมธุปายาส แล้วพระองค์เสด็จไปสู่ท่า สุปดิษฐ์ริมฝั่งแม่น้ำ เนรัญชรา ทรงวางถาดทองคำ บรรจุข้าวมธุ ปายาสแล้วลงสรงสนานชำ ระล้างพระวรกาย แล้วทรงผ้า กาสาวพัสตร์อันเป็นธงชัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก พระองค์ หลังจากเสวยแล้วพระองค์ทรงจับถาดทองคำ ขึ้นมา อธิษฐานว่า “ ถ้าเราจักสามารถตรัสรู้ได้ในวันนี้ ก็ขอให้ถาดทองคำ ใบนี้จงลอยทวนกระแสน้ำ ไป
แต่ถ้ามิได้เป็นดังนั้นก็ขอให้ถาดทองคำ ใบนี้จงลอยไป ตามกระแสน้ำ เถิด “ แล้วทรงปล่อยถาดทองคำ ลงไปใน แม่น้ำ ถาดทองคำ ลอยตัดกระแสน้ำ ไปจนถึงกลางแม่น้ำ เนรัญชราแล้วลอยทวนกระแสน้ำ ขึ้นไปไกลถึง ๘๐ ศอก จึงจมลงตรงที่กระแสน้ำ วน ในเวลาเย็นพระองค์เสด็จ กลับมายังต้นโพธิ์ที่ประทับ คนหาบหญ้าชื่อโสตถิยะได้ ถวายหญ้าปูลาดที่ประทับ ณ ใต้ต้นโพธิ์ พระองค์ประทับ หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และทรงตั้งจิต อธิษฐานว่า “ แม้เลือดในกายของเราจะเหือดแห้งไป เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตาม ถ้ายังไม่บรรลุธรรม วิเศษแล้ว จะไม่ยอมหยุดความเพียรเป็นอันขาด
“ เมื่อทรงตั้งจิตอธิษฐานเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรง สำ รวมจิตให้สงบแน่วแน่ มีพระสติตั้งมั่น มีพระวรกาย อันสงบ มีพระหทัยแน่วแน่เป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากกิเลส ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อนโยน เหมาะแก่การงาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ทรงน้อมพระทัยไป เพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ( ญาณเป็นเหตุระลึกถึง ขันธ์ที่อาศัยในชาติปางก่อนได้ )ในปฐมยามแห่งราตรี ต่อจากนั้นทรงน้อมพระทัยไปเพื่อจูตุปาตญาณ ( ญาณ กำ หนดรู้การตาย การเกิดของสัตว์ทั้งหลาย ) ใน มัชฌิมยามแห่งราตรี
ต่อจากนั้นทรงน้อมพระทัยไปเพื่ออาสวักขยญาณ ( ญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวกิเลสทั้ง หลาย) คือทรงรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้อา สวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินี ปฏิปทา เมื่อทรงรู้เห็นอย่างนี้ จิตของพระองค์ก็ทรง หลุดพ้นจากกามสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุด พ้นแล้วพระองค์ก็ทรงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ทรงรู้ชัดว่าชาติ สิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำ กิจที่ควรทำ เสร็จแล้ว ไม่มีกิจ
อื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อ ไป นั่นคือพระองค์ทรงบรรลุ วิชชาที่ ๓ คือ อาสวักขยญาณ ในปัจฉิมยาม แห่งราตรีนั้นเอง ซึ่งก็คือการตรัสรู้พระสัพ พัญญุตญาณ เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า จากการที่ พระองค์ทรงบำ เพ็ญพระบารมี มาอย่างยิ่งยวด พระองค์ทรง ตรัสรู้ในวันเพ็ญเดือน ๖ ปีระกา ขณะพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา นับแต่วันที่สด็จออกผนวช จนถึงวันตรัสรู้ธรรม รวมเป็น เวลา ๖ ปี พระธรรมอันประเสริฐที่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น คือ อริยสัจ ๔ ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค )
ประกาศพระศาสนาครั้งแรก เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วทรงเสวยวิมุติสุข ณ บริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา ๗ สัปดาห์ ทรง รำ พึงว่า ธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้เป็นการยากสำ หรับคน ทั่วไป จึงทรงน้อมพระทัยไปในทางที่จะไม่ประกาศธรรม พระสหัมบดีพรหมทราบวาระจิตของพระองค์จึง อาราธนาให้โปรดมนุษย์ โดยเปรียบเทียบมนุษย์เหมือน ดอกบัว ๔ เหล่า และในโลกนี้ยังมีเหล่าสัตว์ผู้มีธุลีใน ดวงตาเบาบาง สัตว์เหล่านั้นจะเสื่อมเพราะไม่ได้ฟังธรรม เหล่าสัตว์ผู้ที่สามารถรู้ทั่วถึงธรรมได้ ยังมีอยู่ “ พระพุทธเจ้าจึงทรงน้อมพระทัยไปในการแสดงธรรม แล้วเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงแสดงปฐมเทศนา ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ( เดือน อาสาฬหะ) เรียกว่า ธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ในขณะที่ ทรงแสดงธรรม ท่านปัญญาโกณฑัณญะได้ธรรมจักษุ คือบรรลุพระโสดาบัน ได้ทูลขออุปสมบทในพระธรรม วินัย ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกการบวช ครั้งนี้ว่า “ เอหิภิกขุอุปสัมปทา ” พระอัญญาโกณฑัญญะ จึงเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา
ทรงปรินิพาน พระพุทธเจ้าทรงบำ เพ็ญพุทธกิจอยู่จนพระชนมายุ ๘๐ พรรษา พระองค์เสด็จจำ พรรษาสุดท้ายณ เมืองเว สาลี ในวาระนั้นพระพุทธองค์ทรงพระชราภาพมากแล้ว ทั้งยังประชวรหนักด้วย พระองค์ได้ทรงพระดำ เนินจาก เวสาลีสู่เมืองกุสินาราเพื่อเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ เมืองนั้น พระพุทธองค์ได้หันกลับไปทอดพระเนตรเมือง เวสาลีซึ่งเคยเป็นที่ประทับ นับเป็นการทอดทัศนาเมืองเว สาลีเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเสด็จต่อไปยังเมืองปาวา เสวยพระกระยาหารเป็นครั้งสุดท้ายที่บ้านนายจุนทะ บุตรนายช่างทอง พระพุทธองค์ทรงพระประชวรหนัก อย่างยิ่ง