แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง วิธีการและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง วิทยาศาสตร์น่ารู้ เวลา 4 ชั่วโมง เวลา 2 ชั่วโมง 1. วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ 3. ตัวชี้วัด วิธีการทางวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 4. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คือ กระบวนการที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการค้นคว้าหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย วิธีการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งมี 5 ขั้นตอน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แบ่งเป็นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพพื้นฐาน 8 ทักษะและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้น บูรณาการ 6 ทักษะ และจิตวิทยาศาสตร์ กระบวนการเหล่านี้มุ่งฝึกให้นักเรียนเป็นคนคิดเป็น ทำเป็น และ แก้ปัญหาเป็น เสริมสร้างความรู้ด้วยตนเอง นอกจากนี้การทำโครงงานวิทยาศาสตร์ จะเป็นการฝึกทักษะต่าง ๆ ดังกล่าว ให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีและประสบความสำเร็จในอนาคต 5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) อธิบายวิธีการและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้ (K) 2) ทดลองใช้วิธีการและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหาต่างๆ ได้ (P) 3) รับผิดชอบและมุ่งมั่นในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย (A) 6. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1) มีวินัย 2) ใฝ่เรียนรู้ 3) มุ่งมั่นในการทำงาน 7. สมรรถนะที่สำคัญ 1) ความสามารถในการคิด 1.1) ทักษะการสำรวจค้นหา 1.2) ทักษะการเชื่อมโยง 1.3) ทักษะการสรุปอ้างอิง 2) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
8. ทักษะกระบวนการคิด การคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ 9. เนื้อหาสาระ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ คือ เป็นวิธีที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์หรือ ค้นหาคำตอบของปัญหาที่สงสัยอย่างมีระบบ รวมทั้งแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ เป็นกระบวนการที่เป็นแบบแผนมี ขั้นตอนที่สามารถปฏิบัติตามได้ โดยขั้นตอนวิธีการทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การระบุปัญหา เป็นการตั้งปัญหาหรือข้อสงสัยที่เกิดจากการสังเกต โดยการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวสัมผัส เพื่อค้นหาข้อมูล และบันทึกข้อมูลที่ได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งการกำหนด ปัญหาต้องมีความชัดเจนและสัมพันธ์กับความรู้ ซึ่งต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ 2. การตั้งสมมติฐาน การคาดคะเนคำตอบของคำถามหรือปัญหาที่สงสัยก่อนจะทำการทดลองโดย อาศัยการสังเกต การสำรวจหรืออาศัยความรู้และประสบการณ์เดิมเป็นพื้นฐานในการคาดคะเนคำตอบ 3. การรวบรวมข้อมูลหรือการตรวจสอบสมมติฐาน เป็นการค้นหาคำตอบโดยวิธีการต่างๆ เช่น สำรวจ สังเกต ทดลอง สร้างแบบจำลอง หรือวิธีการอื่นๆ ประกอบกัน เพื่อให้ได้ข้อมูลแล้วบันทึกผลไว้ 4. การวิเคราะห์ข้อมูล การนำข้อมูลที่ได้จากการสังเกต ศึกษาค้นคว้า ทดลอง หรือการรวบรวม ข้อมูลและข้อเท็จจริงมาวิเคราะห์ผล แปลความหมายหรืออธิบายข้อเท็จจริงที่มีอยู่เพื่อนำไปสู่การสรุปผล 5. การสรุปผลข้อมูล เป็นขั้นตอนสุดท้ายของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเกิดจากการนำเอาข้อมูลหรือ ข้อเท็จจริงที่ได้จากการทดลองมาวิเคราะห์ผลและหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเพื่อนำมา อธิบาย และตรวจสอบว่าตรงกับสมมติฐานที่ตั้งขึ้นไว้หรือไม่จากนั้นนำข้อมูลที่ได้ไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวันหรือตั้งเป็นกฏเกณฑ์เพื่อใช้ในการศึกษาต่อไป กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถและความชำนาญในการค้นหาคำตอบและการแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ที่แสดงถึงการมีกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล ทำให้ผู้เรียนมี ความเข้าใจในความรู้ทางวิทยาศาสตร์และมีผลต่อการพัฒนาการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์มีทั้งสิ้น 14 ทักษะ โดยจัดแบ่งออกเป็น 2 ขั้น ได้แก่ 1. ทักษะพื้นฐาน หรือทักษะเบื้องต้น (Basic Science Process Skill) ประกอบด้วย 8 ทักษะ ดังนี้ 1.1 ทักษะการสังเกต (Observation) 1.2 ทักษะการวัด (Measurement) 1.3 ทักษะการใช้จำนวน (Using numbers) 1.4 ทักษะการจำแนกประเภท (Classification) 1.5 ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา (Space/space Relationship and Space/Time Relationship) 1.6 ทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล (Organizing data and communication)
1.7 ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) 1.8 ทักษะการพยากรณ์ (Prediction) 2. ทักษะขั้นบูรณาการ หรือ ทักษะเชิงซ้อน (Intergrated Science Process Skill) ประกอบด้วย ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 6 ทักษะ ดังนี้ 2.1 ทักษะการกำหนดและควบคุมตัวแปร (Identifying and controlling variables) 2.2 ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป (Interpretting data and conclusion) 2.3 ทักษะการทดลอง (Experimenting) 2.4 ทักษะการกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining operationally) 2.5 ทักษะการตั้งสมมุติฐาน (Formulating hypothesis) 2.6 ทักษะการสร้างแบบจำลอง 10. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ • วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ Inquiry Method : 5E ชั่วโมงที่ 1 ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (10 นาที) 1) ครูให้นักเรียนดูภาพนักวิทยาศาสตร์แล้วถามนักเรียนว่า “นักเรียนรู้จักนักวิทยาศาสตร์คน ใดบ้าง” (แนวคำตอบ : นักเรียนตอบตามความคิดของตนเอง) 2) ครูถามนักเรียนต่อว่า “นักเรียนคิดว่านักวิทยาศาสตร์ที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง” (แนวคำตอบ : นักเรียนตอบตามความคิดของตนเอง เช่น เป็นผู้ที่ช่างสังเกต ช่างสงสัย มีทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ สามารถตั้งคำถามเพื่อนำไปสู่วิธีการหาคำตอบอย่างเป็นระบบขั้นตอน) ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (30 นาที) 3) ครูใช้คำถามกระตุ้นความคิดของนักเรียน “วิธีการหาคำตอบอย่างเป็นระบบขั้นตอนของ นักวิทยาศาสตร์มีอะไรบ้าง” (แนวคำตอบ : นักเรียนตอบตามความคิดของตนเอง) จากนั้นครูแจ้งกับนักเรียน ว่าวันนี้เราจะมาฝึกเป็นนักวิทยาศาสตร์กัน 4) ครูชี้แจงการทำกิจกรรม “ความลับของมดแดง” โดยให้นักเรียนอ่านสถานการณ์ที่ครู กำหนดให้และแสดงการหาคำตอบโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ดังนี้ - ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน - นักเรียนอ่านสถานการณ์ที่ครูกำหนดให้ ต่อไปนี้ แพรว สังเกตว่า เมื่อมีเศษขนมหรือของกินตกบนพื้นที่แพรวนั่งมักจะมีมดแดงพากัน มากินเศษอาหารเหล่านั้นเสมอ แพรวจึงเกิดความสงสัยว่า มดแดงชอบกินของหวานหรือไม่ แพรวจึงใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อค้นหาคำตอบในสิ่งที่สงสัย
ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้(10 นาที) 5) ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนนำเสนอกิจกรรม “ความลับของมดแดง” โดยใช้วิธีการ ทางวิทยาศาสตร์ทั้ง 5 ขั้นตอน 6) ครูและนักเรียร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ทั้ง 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1. การระบุปัญหา 2. การตั้งสมมติฐาน 3. การรวบรวมข้อมูลหรือการตรวจสอบสมมติฐาน 4. การวิเคราะห์ ข้อมูล และ 5. การสรุปผลข้อมูล ซึ่งเป็นวิธีการที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์หรือ ค้นหาคำตอบของปัญหาที่สงสัยอย่างมีระบบ รวมทั้งแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ เป็นกระบวนการที่เป็นแบบแผน ชั่วโมงที่ 2 ขั้นที่ 4 ขยายความเข้าใจ (30 นาที) 7) ครูถามนักเรียนว่า “นักเรียนต้องใช้ทักษะใดบ้างในการค้นหาคำตอบจากกิจกรรม ความลับของมด” (แนวคำตอบ : นักเรียนตอบเกี่ยวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เช่น ทักษะการ สังเกต การทดลอง การตั้งสมมติฐาน การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป เป็นต้น) 8) ครูอธิบายให้นักเรียนเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างวิธีการทางวิทยาศาสตร์และ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ว่าต้องใช้ควบคู่กัน หากนักเรียนต้องการหาคำตอบและแก้ปัญหาต่างๆ ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ นักเรียนจำเป็นต้องมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีความ เข้าใจในความรู้ทางวิทยาศาสตร์และมีผลต่อการพัฒนาการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี 9) ครูอธิบายซึ่งกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มีทั้งสิ้น 14 ทักษะ โดยจัดแบ่งออกเป็น 2 ขั้น ได้แก่ 1. ทักษะพื้นฐาน หรือทักษะเบื้องต้น (Basic Science Process Skill) ประกอบด้วย 8 ทักษะ ดังนี้ ทักษะการสังเกต ทักษะการวัด ทักษะการใช้จำนวน ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการหาความสัมพันธ์ ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา ทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล ทักษะการลงความเห็น จากข้อมูล และทักษะการพยากรณ์ 2. ทักษะขั้นบูรณาการ หรือ ทักษะเชิงซ้อน (Intergrated Science Process Skill) ประกอบด้วยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 6 ทักษะ ดังนี้ทักษะการกำหนดและควบคุม ตัวแปร ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ทักษะการทดลอง ทักษะการกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ ทักษะการตั้งสมมุติฐาน และทักษะการสร้างแบบจำลอง ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (20 นาที) 10) นักเรียนทำใบงานเรื่อง วิธีการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ จิตวิทยาศาสตร์ 11) ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับวิธีการกละทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และยกตัวอย่างการนำความรู้เรื่องนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
11. สื่อการเรียนรู้ 1) สื่อการเรียนรู้ 1.1) หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ป.5 1.2) ใบกิจกรรมเรื่อง ความลับของมด 1.3) ใบงาน เรื่อง วิธีการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ 2) แหล่งการเรียนรู้ 2.1) ห้องเรียน 2.2) ห้องสมุด 12. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ที่ วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 ตรวจใบงาน ใบงาน ร้อยละ 60 ถือว่าผ่านเกณฑ์ 2 สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ในกิจกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ 3 สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการทำงาน แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
บันทึกหลังจากการจัดการเรียนการสอน 1. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………..… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… …………………………………………………………………………………………………………………………...……………………..……… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 2. ปัญหาและอุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………..…… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 3. แนวทางแก้ไข/ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………….. ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูลทำได้อย่างไร กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง วิทยาศาสตร์น่ารู้ เวลา 4 ชั่วโมง เวลา 1 ชั่วโมง 1. วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ 3. ตัวชี้วัด ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้แก่ การจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล 4. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด ทักษะการจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล (Organizing and Communicating Data) เปนความ สามารถในการนําผลการสังเกต การวัด การทดลอง จากแหลงตาง ๆ มาจัดกระทําใหอยูในรูปแบบที่ มี ความหมายหรือมีความสัมพันธกันมากขึ้น จนงายตอการทําความเขาใจหรือเห็นแบบรูปของขอมูล นอกจากนี้ ยังรวมถึงความสามารถในการนําขอมูลมาจัดทําในรูปแบบตาง ๆ เชน ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร กราฟ สมการ การเขียนบรรยาย เพื่อสื่อสารใหผูอื่นเขาใจความหมายของขอมูลมากขึ้น 5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) อธิบายการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูลได้ (K) 2) ใช้ทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูลในการแก้ปัญหาต่างๆ ได้ (P) 3) รับผิดชอบและมุ่งมั่นในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย (A) 6. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1) มีวินัย 2) ใฝ่เรียนรู้ 3) มุ่งมั่นในการทำงาน 7. สมรรถนะที่สำคัญ 1) ความสามารถในการคิด 1.1) ทักษะการสำรวจค้นหา 1.2) ทักษะการเชื่อมโยง 1.3) ทักษะการสรุปอ้างอิง 2) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ทักษะกระบวนการคิด การคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ
9. เนื้อหาสาระ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คือ กระบวนการที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการค้นคว้าหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย วิธีการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งมี 5 ขั้นตอน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แบ่งเป็นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพพื้นฐาน 8 ทักษะและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้น บูรณาการ 6 ทักษะ และจิตวิทยาศาสตร์ กระบวนการเหล่านี้มุ่งฝึกให้นักเรียนเป็นคนคิดเป็น ทำเป็น และ แก้ปัญหาเป็น เสริมสร้างความรู้ด้วยตนเอง นอกจากนี้การทำโครงงานวิทยาศาสตร์ จะเป็นการฝึกทักษะต่าง ๆ ดังกล่าว ให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีและประสบความสำเร็จในอนาคต ทักษะการจัดกระทําและสื่อความหมายข้อมูล (Organizing and Communicating Data) เป็น ความสามารถในการนําผลการสังเกต การวัด การทดลอง จากแหล่งต่าง ๆ มาจัดกระทําให้อยู่ในรูปแบบที่ มีความหมายหรือมีความสัมพันธ์กันมากขึ้น จนง่ายต่อการทําความเข้าใจหรือเห็นแบบรูปของข้อมูล นอกจากนี้ ยังรวมถึงความสามารถในการนําข้อมูลมาจัดทําในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร กราฟ สมการ การเขียนบรรยาย เพื่อสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายของข้อมูลมากขึ้น 10. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ • วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ Inquiry Method : 5E ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (5 นาที) 1) ครูทบทวนความรูพื้นฐานเกี่ยวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้คำถาม ต่อไปนี้“ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มีทั้งหมดกี่ขั้นและกี่ทักษะ” (แนวคำตอบ: แบ่งออกเป็น 2 ขั้น ได้แก่ ขั้นพื้นฐาน 8 ทักษะและขั้นบูรณาการ 6 ทักษะ) 2) ครูตรวจสอบความรูเดิมเกี่ยวกับทักษะการจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูลโดยใชสถาน การณตอไปนี้ 3) ครูตรวจสอบความเข้าใจโดยใช้คำถาม ต่อไปนี้ 1. ขยะทั่วไปมีปริมาณน้อยกว่าขยะย่อยสลายได้ร้อยละเท่าใด (ร้อยละ 37) 2. นักเรียนคิดว่าจากข้อมูลนี้ นักเรียนสามารถนำมาจัดกระทำได้ อย่างไรเพื่อให้เข้าใจได้ ถูกต้องและรวดเร็วขึ้น (แนวคำตอบ: ตอบตามแนวคิดของนักเรียน) แต่ละวัน เราทำให้ เกิดขยะมูลฝอยมากมาย เช่น เศษอาหาร ถุงพลาสติก ขวดน้ำ แบตเตอรี่ หลอดไฟ ขยะแบ่งตามประเภทของขยะได 4 ประเภท ไดแก ขยะย่อยสลายได ขยะรีไซเคิล ขยะทั่วไป และขยะอันตราย หรือขยะพิษ ขยะแต่ละประเภทมีปริมาณแตกต่าง กันคือ ขยะย่อยสลายไดมีร้อยละ 46 ขยะรีไซเคิลมีร้อยละ 42 ขยะทั่วไปมีร้อยละ 9 และ ขยะอันตรายหรือขยะพิษมีร้อยละ 3
ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (30 นาที) 4) ครูชี้แจงการทำกิจกรรม “การจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูลทำได้อย่างไร” โดยให้ นักเรียนอ่านสถานการณ์ที่ครูกำหนดให้และแสดงการหาคำตอบโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ดังนี้ - ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3 - 4 คน - แจกอุปกรณ์ได้แก่ กระดาษบรูฟ ปากกาเมจิ สีไม้ ไม้บรรทัด เพื่อใช้ในการนำเสนอข้อมูล - ครูจำลองสถานการณ์ คือ ทางโรงเรียนต้องการทราบข้อมูลของไม้ยืนต้นชนิดต่างๆ ที่อยู่ บริเวณโรงเรียน - ครูมอบหมายให้นักเรียนสำรวจข้อมูลไม้ยืนต้นภายในโรงเรียน - นักเรียนจะทำอย่างไรเพื่อที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจว่ามีไม้ยืนต้นชนิดใดบ้าง อย่างละจำนวน เท่าใด และไม้ยืนต้นชนิดใดมีจำนวนมากที่สุด - โดยให้นักเรียนสำรวจและบักทึกข้อมูลที่สังเกตได้ในรูปแบบที่แต่ละกลุ่มต้องการ อย่างน้อย 2 รูปแบบ เช่น ในรูปแบบการจดบันทึก การทำตาราง การทำแผนภูมิ เป็นต้น - นำเสนอข้อมูลที่จัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูลในรูปแบบต่างๆ หน้าชั้นเรียนเพื่อให้ เพื่อเข้าใจสิ่งที่นักเรียนนำเสนอ 5) ครูให้นักเรียนเปรียบเทียบการนำข้อเสนอในรูปแบบต่างๆ เช่น ในรูปแบบการจดบันทึก การทำตาราง การทำแผนภูมิ เป็นต้น โดยครูจะให้นักเรียนแต่ละกลุ่มทำตารางเปรียบเทียบ ข้อดี ข้อเสีย ของ การนำข้อเสนอในรูปแบบ 2 รูปแบบที่แต่ละกลุ่มได้นำเสนอ ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้(10 นาที) 6) ครูและนักเรียร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับ ทักษะการจัดกระทําและสื่อความหมายข้อมูล (Organizing and Communicating Data) ว่า เป็นความสามารถในการนําผลการสังเกต การวัด การทดลอง จากแหล่งต่าง ๆ มาจัดกระทําให้อยู่ในรูปแบบที่ มีความหมายหรือมีความสัมพันธ์กันมากขึ้น จนง่ายต่อการทํา ความเข้าใจหรือเห็นแบบรูปของข้อมูล นอกจากนี้ ยังรวมถึงความสามารถในการนําข้อมูลมาจัดทําในรูปแบบ ต่าง ๆ เช่น ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร กราฟ สมการ การเขียนบรรยาย เพื่อสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจ ความหมายของข้อมูลมากขึ้น 7) ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล และ ยกตัวอย่างการนำความรู้เรื่องนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ขั้นที่ 4 ขยายความเข้าใจ (5 นาที) 8) ครูขยายความเข้าใจของนักเรียน โดยใช้คำถามต่อไปนี้ 1. การจัดกระทำและสื่อความหมายของข้อมูลสามารถทำได้ในรุปแบบใดบ้าง (แนวคำตอบ: ตอบตามแนวคิดของนักเรียน เช่น การจัดกระทำในรูปแบบตาราง แผนภูมิ กราฟ เป็นต้น) 2. การจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูลมีประโยชน์ อย่างไร (แนวคำตอบ: เป็นการ นําเสนอข้อมูลที่ไม่ได้จัดให้เป็นระบบหรือข้อมูลที่ยังไม่เห็นความสัมพันธ์กัน นํามาจัดให้เป็นระบบหรือให้เห็น ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล ซึ่งจะทําให้เข้าใจได้ง่าย ชัดเจนในเวลารวดเร็ว)
ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (10 นาที) 9) นักเรียนทำใบงานเรื่อง การจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล 11. สื่อการเรียนรู้ 1) สื่อการเรียนรู้ 1.1) หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ป.5 1.2) ใบงานเรื่อง การจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล 2) แหล่งการเรียนรู้ 2.1) ห้องเรียน 2.2) ห้องสมุด 2.3) ไม้ยืนต้นบริเวณโรงเรียน 12. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ที่ วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 ตรวจใบงาน/การนำเสนอข้อมูล ใบงาน/ข้อมูลการนำเสนอไม้ยืนต้น ร้อยละ 60 ถือว่าผ่านเกณฑ์ 2 สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ในกิจกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ 3 สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการทำงาน แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
บันทึกหลังจากการจัดการเรียนการสอน 1. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………..… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… …………………………………………………………………………………………………………………………...……………………..……… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 2. ปัญหาและอุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………..…… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 3. แนวทางแก้ไข/ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………….. ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การสร้างแบบจำลองทำได้อย่างไร กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง วิทยาศาสตร์น่ารู้ เวลา 4 ชั่วโมง เวลา 1 ชั่วโมง 1. วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ 3. ตัวชี้วัด ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้แก่ การสร้างแบบจำลอง 4. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด ทักษะการสร้างแบบจําลอง (Formulating Models) ความสามารถในการสร้างและใช้สิ่งที่ทํา ขึ้นมา เพื่อเลียนแบบหรืออธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษาหรือสนใจ เช่น กราฟ สมการ แผนภูมิ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว รวมถึงความสามารถในการนําเสนอข้อมูล แนวคิด ความคิดรวบยอดเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจในรูป ของแบบจําลอง แบบต่าง ๆ 5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) อธิบายทักษะทักษะการสร้างแบบจําลองได้ (K) 2) ใช้ทักษะการสร้างแบบจําลอง ในการแก้ปัญหาต่างๆ ได้ (P) 3) รับผิดชอบและมุ่งมั่นในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย (A) 6. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1) มีวินัย 2) ใฝ่เรียนรู้ 3) มุ่งมั่นในการทำงาน 7. สมรรถนะที่สำคัญ 1) ความสามารถในการคิด 1.1) ทักษะการสำรวจค้นหา 1.2) ทักษะการเชื่อมโยง 1.3) ทักษะการสรุปอ้างอิง 2) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ทักษะกระบวนการคิด การคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ
9. เนื้อหาสาระ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คือ กระบวนการที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการค้นคว้าหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย วิธีการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งมี 5 ขั้นตอน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แบ่งเป็นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพพื้นฐาน 8 ทักษะและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้น บูรณาการ 6 ทักษะ และจิตวิทยาศาสตร์ กระบวนการเหล่านี้มุ่งฝึกให้นักเรียนเป็นคนคิดเป็น ทำเป็น และ แก้ปัญหาเป็น เสริมสร้างความรู้ด้วยตนเอง นอกจากนี้การทำโครงงานวิทยาศาสตร์ จะเป็นการฝึกทักษะต่าง ๆ ดังกล่าว ให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีและประสบความสำเร็จในอนาคต ทักษะการสร้างแบบจําลอง (Formulating Models) ความสามารถในการสร้างและใช้สิ่งที่ทําขึ้นมา เพื่อเลียนแบบหรืออธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษาหรือสนใจ เช่น กราฟ สมการ แผนภูมิ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว รวมถึงความสามารถในการนําเสนอข้อมูล แนวคิด ความคิดรวบยอดเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจในรูป ของแบบจําลอง แบบต่าง ๆ ทั้งนี้แบบจําลองไม่จําเป็นต้องเหมือนของจริงมากที่สุด เนื่องจาก แบบจําลองเป็นการเลือก เป้าหมายบางอย่างจากของจริงนั้น ๆ มาสื่อสารหรืออธิบายเท่านั้น ดังนั้นลักษณะบางอย่างของของจริง ก็ไม่ได้ แสดงให้เห็นในแบบจําลองที่สร้างขึ้น โดยที่แบบจําลองไม่จําเป็นต้องเป็นวัตถุสิ่งของที่เป็นรูปธรรม เช่น รูปปั้น แผนภาพ แบบจําลองอาจเป็นนามธรรม เช่น คําพูด สูตร หรือสมการต่าง ๆ ก็ได้ 10. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ • วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ Inquiry Method : 5E ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (5 นาที) 1) ครูให้นักเรียนดูวาดภาพจำลองการเดินทางจากบ้านของนักเรียนมาโรงเรียนลงในสมุด แล้วถามนักเรียนว่า “การวาดภาพการเดินทางจากบ้านนักเรียนมาโรงเรียน เรียนว่าอย่างไร” (แนวคำตอบ : แผนภาพการเดินทาง แผนที่การเดินลอง แบบจำลองการเดินทาง เป็นต้น) 2) ครูใช้คำถามกับนักเรียนเพื่อนำเข้าสู่บทเรียน ดังนี้ 1. นักเรียนรู้จักแบบจําลองหรือไม่ แบบจําลองมีลักษณะอย่างไรบ้าง เหตุใดจึงคิดว่าสิ่งนั้น เป็นแบบจําลอง (แนวคำตอบ: นักเรียนตอบตามแนวคิดของนักเรียน) 2. อะไรบ้างที่เป็นแบบจําลอง ยกตัวอย่าง (แนวคำตอบ: นักเรียนตอบตามแนวคิดของ นักเรียน) 3. แบบจําลองสร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ใด (แนวคำตอบ: นักเรียนตอบตามแนวคิดของ นักเรียน) ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (30 นาที) 3) ครูชี้แจ้งการทำกิจกรรม “การสร้างแบบจำลองทำได้อย่างไร” โดยให้นักเรียนศึกษา ข้อมูล/สถานการณ์ที่ครูกำหนดให้และสร้างแบบจำลอง 1. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 – 5 คน จากนั้นนักเรียนศึกษาข้อมูลจาก วิดีโอโครงสร้าง โลกแบ่งจากส่วนประกอบทางเคมี
อ้างอิงจาก https://www.youtube.com/watch?v=4sLGkLuxPhg 2. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับโครงสร้างโลกแบ่งจากส่วนประกอบทางเคมี ว่า สามารถแบ่งได้หลักๆ 3 ชั้น ประกอบด้วย ชั้นเปลือกโลก ชั้นเนื้อโลกและชั้นแก่นโลก 3. ครูแจกอุปกรณ์ ได้แก่ กระดาษบรูฟ ปากกาเคมี ฟิวเจอร์บอร์ด ดินน้ำมัน ไม้บรรทัด 4. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มวาดภาพออกแบบและระบุส่วนประกอบของแบบจำลอง โครงสร้างโลกตามที่นักเรียนได้ศึกษาข้อมูลลงในกระดาษบรูฟที่ครูแจกให้ 5. ดำเนินการสร้างแบบจำลองตามการออกแบบ 6. นำเสนอแบบจำลอง รวมทั้งรับฟังคำแนะนำ ข้อดี – ข้อด้อย จากครูและเพื่อน 7. แก้ไขแบบจำลองให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นสำหรับการส่งชิ้นงาน 4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับกิจกรรม การสร้างแบบจำลองทำได้อย่างไร ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้(5 นาที) 5) ครูและนักเรียร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับทักษะการสร้างแบบจำลอง โดยใช้คำถามต่อไปนี้ 1. แบบจําลองคืออะไร (แนวคำตอบ: สิ่งที่เราสร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนของจริงต่าง ๆ) 2. แบบจําลองมีลักษณะอย่างไรบ้าง ยกตัวอย่าง (แนวคำตอบ: แบบจําลองมีหลาย ลักษณะ เช่น แบบจําลองสองมิติ เช่น แผนภาพ แบบจําลองสามมิติ เช่น รูปปั้น สื่อเคลื่อนไหวเสมือนจริง โปรแกรมคอมพิวเตอร์) ครูให้ความรู้เพิ่มเติมว่า ถ้าแบบจําลองที่สร้างขึ้นเป็น 3 มิติ แบบจําลองนั้นมีขนาด ใหญ่กว่าหรือเล็กกว่าของจริงหรือมีขนาดเท่าของจริงก็ได้ เช่น แบบจําลองระบบสุริยะ เป็นแบบจําลองที่เล็ก กว่าของจริง แบบจําลองร่างกายมนุษย์มีขนาดเท่ากับมนุษย์ แบบจําลองแมงมุม มีขนาดใหญ่กว่าแมงมุม 3. ประโยชน์ของการสร้างแบบจำลอง คืออะไร (แนวคำตอบ: เพื่อเลียนแบบหรืออธิบาย ปรากฏการณ์ที่ศึกษาหรือสนใจหรือเพื่อการนำเสนอข้อมูลที่ง่ายต่อการเข้าใจและน่าสนใจมากขึ้น)
ขั้นที่ 4 ขยายความเข้าใจ (10 นาที) 6) ครูขยายความเข้าใจของนักเรียน โดยนำ ลูกโลก ให้นักเรียนพิจารณาและใช้คำถามต่อไปนี้ ขยายความเข้าใจของนักเรียน 1. แบบจำลองลูกโลกนี้ เหมือนของจริงอย่างไร (แนวคำตอบ: แบบจําลองเหมือนของจริง ในเรื่องเกี่ยวกับชื่อประเทศ ชื่อภูมิภาค ชื่อสถานที่ต่างๆ รวมทั้งรายละเอียดทั้งภาคพื้นทวีปและภาคพื้น มหาสมุทร) 2. แบบจำลองลูกโลกนี้ ไม่เหมือนของจริงอย่างไร (แนวคำตอบ: ไม่เหมือนในด้านขนาด พื้นที่ของแต่ละสถานที่ ขนาดของภาคพื้นทวีปและภาคพื้นมหาสมุทร รวมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับพวกภูมิ ประเทศ ภูมิศาสตร์ เป็นต้น) 3. ถ้าจะปรับปรุงแบบจำลองลูกโลกนี้ให้เหมือนของจริง ทำได้อย่างไร (แนวคำตอบ: ตอบ ตามแนวความคิดของนักเรียน) 7) นักเรียนยกตัวอย่างการสร้างแบบจำลองที่นักเรียนรู้จักในชีวิตประจำวันมาคนละ 1 ชนิด ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (10 นาที) 8) นักเรียนทำใบงานเรื่อง การสร้างแบบจำลอง 11. สื่อการเรียนรู้ 1) สื่อการเรียนรู้ 1.1) หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ป.5 1.2) ใบงานเรื่อง การสร้างแบบจำลอง 1.3) วิดีโอ โครงสร้างโลก 2) แหล่งการเรียนรู้ 2.1) ห้องเรียน 2.2) ห้องสมุด
12. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ที่ วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 ตรวจใบงาน ใบงาน ร้อยละ 60 ถือว่าผ่านเกณฑ์ 2 สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ในกิจกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ 3 สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการทำงาน แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
บันทึกหลังจากการจัดการเรียนการสอน 1. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………..… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… …………………………………………………………………………………………………………………………...……………………..……… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 2. ปัญหาและอุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………..…… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 3. แนวทางแก้ไข/ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………….. ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............