แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ปริมาณน้ำในแหล่งต่างๆ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 แหล่งน้ำ และลมฟ้าอากาศ เวลา 9 ชั่วโมง เวลา 2 ชั่วโมง 1. สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้ง ผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 3. ตัวชี้วัด ว 3.2 ป.5/1 เปรียบเทียบปริมาณน้ำในแต่ละแหล่ง และระบุปริมาณน้ำที่มนุษย์สามารถนำมาใช้ ประโยชน์ได้จากข้อมูลที่รวบรวมได้ 4. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด โลกมีทั้งน้ำจืดและน้ำเค็มซึ่งอยู่ในแหล่งน้ำต่าง ๆ ที่มีทั้งแหล่งน้ำผิวดิน เช่น ทะเล มหาสมุทร บึง แม่น้ำ และแหล่งน้ำใต้ดิน เช่น น้ำในดิน และน้ำบาดาล น้ำทั้งหมดของโลกแบ่งเป็นน้ำเค็ม ประมาณร้อยละ 97.5 ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรและแหล่งน้ำอื่น ๆ และที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 2.5 เป็นน้ำจืด ถ้าเรียงลำดับ ปริมาณน้ำจืดจากมากไปน้อยจะอยู่ที่ ธารน้ำแข็ง และพืดน้ำแข็ง น้ำใต้ดิน ชั้นดินเยือกแข็งคงตัวและน้ำแข็งใต้ ดิน ทะเลสาบ ความชื้นในดิน ความชื้นในบรรยากาศ บึง แม่น้ำ และน้ำในสิ่งมีชีวิต 5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) ระบุปริมาณน้ำที่มนุษย์สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จากข้อมูลที่รวบรวมได้ (K) 2) ทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล (P) 3) รับผิดชอบและมุ่งมั่นในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย (A) 6. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1) มีวินัย 2) ใฝ่เรียนรู้ 3) มุ่งมั่นในการทำงาน 7. สมรรถนะที่สำคัญ 1) ความสามารถในการคิด 1.1) ทักษะการสำรวจค้นหา 1.2) ทักษะการเชื่อมโยง 2) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
8. ทักษะกระบวนการคิด การคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ 9. เนื้อหาสาระ น้ำ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดทั้งในด้านการอุปโภค และบริโภค น้ำบนโลกปกคลุมพื้นที่ 3 ใน 4 ส่วนของพื้นผิวโลกทั้งหมดซึ่งสามารถพบแหล่งน้ำได้ทุกหนทุกแห่ง บนโลก แหล่งน้ำ หมายถึง บริเวณผิวโลกที่มีน้ำอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แหล่ง น้ำที่เรารู้จักกันทั่วไป ได้แก่ ลำธาร ลำห้วย หนอง บึง แม่น้ำ และลำคลอง ทั้งนี้แหล่งน้ำตามธรรมชาติอาจมีทั้ง แหล่งน้ำจืดและน้ำเค็มและมีคุณภาพแตกต่างกันแล้วแต่สถานที่ตามสภาพแวดล้อม โลกมีทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม ซึ่งอยู่ในแหล่งน้ำต่าง ๆ ที่มีทั้งแหล่งน้ำผิวดิน เช่น ทะเล มหาสมุทร บึง แม่น้ำ และแหล่งน้ำใต้ดิน เช่น น้ำใน ดิน และน้ำบาดาล น้ำทั้งหมดของโลกแบ่งเป็นน้ำเค็ม ประมาณร้อยละ 97.5 ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรและแหล่งน้ำ อื่น ๆ และที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 2.5 เป็นน้ำจืด ถ้าเรียงลำดับปริมาณน้ำจืดจากมากไปน้อยจะอยู่ที่ ธาร น้ำแข็ง และพืดน้ำแข็ง น้ำใต้ดิน ชั้นดินเยือกแข็งคงตัวและน้ำแข็งใต้ดิน ทะเลสาบ ความชื้นในดิน ความชื้นใน บรรยากาศ บึง แม่น้ำ และน้ำในสิ่งมีชีวิต น้ำผิวดิน เป็นแหล่งน้ำที่รู้จักและใช้ประโยชน์มากที่สุด น้ำผิวดินมีทั้งน้ำเค็มและน้ำจืด แหล่งน้ำผิวดิน ที่เป็นน้ำจืดได้แก่ ทะเลสาบน้ำจืด แม่น้ำ ลำธาร ห้วย หนอง คลอง บึง เนื่องจากภูมิประเทศของพื้นผิวโลกไม่ ราบเรียบเสมอกัน พื้นผิวของโลกแต่ละแห่งมีความแข็งแรงทนทานไม่เหมือนกัน แรงโน้มถ่วงทำให้น้ำไหลจาก ที่สูงลงที่ต่ำ น้ำมีสมบัติเป็นตัวทำละลายที่ดีจึงสามารถกัดเซาะพื้นผิวโลกให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ น้ำใต้ดิน หรือ "น้ำบาดาล" (Ground water) เป็นแหล่งน้ำจืดที่มีปริมาณมากที่สุดบนโลกของเรา น้ำ บาดาลเกิดขึ้นจากการไหลซึมของน้ำผิวดิน ที่ถูกกักเก็บหรือสะสมตัวอยู่ใต้ดิน อาจสะสมตัวอยู่ตามรอยแตก รอยแยกของชั้นหิน หรืออาจสะสมตัวอยู่ในช่องว่างระหว่างเม็ดกรวด หรือเม็ดทรายใต้ผิวดิน 10. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ • วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ Inquiry Method : 5E ชั่วโมงที่ 1 ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (20 นาที) 1) ครูดำเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบ ความพร้อม และพื้นฐานของนักเรียน 2) ครูให้นักเรียนดูวิดีโอ เกี่ยวกับการสัญจรทางน้ำ ในสมัยอดีต
อ้างอิงจาก https://www.youtube.com/watch?v=U2CPDfHNFAc 3) ครูถามคำถามนักเรียนจากวิดีโอ ดังนี้ 1. จากวิดีโอนักเรียนสังเกตอะไรเกี่ยวกับการคมนาคมทางน้ำในอดีตบ้าง (แนวคำตอบ: ในอดีตใช้เรือในการสัญจรเดินทางไปยังที่ต่างๆ) 2. นอกจากใช้น้ำในการคมนาคมแล้ว ยังใช้ประโยชน์ในแง่ใดอีก (แนวคำตอบ: ใช้ใน การค้าขายสินค้าระหว่างประเทศและยังใช้เป็นที่อยู่อาศัยเพราะจะมีคนบางกลุ่มที่จะสร้างบ้านเรือนเป็นแพ ลอยน้ำ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งถือว่าคนสมัยก่อนใช้น้ำทั้งในการอุปโภคและบริโภค) 3. ในคลิปวิดีโอ นักเรียนรู้จักแหล่งน้ำที่สำคัญอะไรบ้าง (แนวคำตอบ: แม่น้ำลพบุรี แม่น้ำ เจ้าพระยา) 4) ครูใช้คำถามเพื่อนำเข้าสู่บทเรียนว่า “นักเรียนทราบหรือไม่ว่า แหล่งน้ำที่สิ่งมีชีวิตได้ใช้ ประโยชน์นี้มาจากไหนและยังมีแหล่งน้ำอื่นๆ อีกหรือไม่บนโลกนี้” ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (40 นาที) 5) ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3 – 4 คน 6) ครูแจกอุปกรณ์ ได้แก่ กระดาษบรูฟ กลุ่มละ 1 แผ่น สีกลุ่มละ 1 กล่อง และตัวอย่างแผน ที่โลกแบบแผ่น 1 อัน 7) ครูชี้แจงกิจกรรม แหล่งน้ำบนโลก โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1. ครูให้นักเรียนวาดแผนที่โลก พร้อมระบายสีให้สวยงาม 2. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาแหล่งน้ำบนโลก โดยการตอบคำถาม ต่อไปนี้ - สัดส่วนของพื้นน้ำต่อพื้นดินของในโลกมีสัดส่วนเท่าใด - แหล่งน้ำส่วนใหญ่บนพื้นโลกมีลักษณะอย่างไร - ประชากรบนโลกใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำบนพื้นโลก อย่างไร 8) นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลงาน ครูและเพื่อนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับการทำกิจกรรม
ชั่วโมงที่ 2 ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (30 นาที) 9) ครูทบทวนเกี่ยวกับการทำกิจกรรม เรื่อง แหล่งน้ำบนโลก 10) ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม ออกเป็น 4 กลุ่ม แบบคละความสามารถเพื่อศึกษาเกี่ยวกับ แหล่งน้ำผิวดินและแหล่งน้ำใต้ดิน โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1. ครูแบ่งฐานการเรียนรู้ออกเป็น 4 ฐาน ได้แก่ ฐานที่ 1 และ 2 ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ แหล่งน้ำผิวดิน ฐานที่ 3 และ 4 ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งน้ำใต้ดิน 2. ครูให้นักเรียนกลุ่มที่ 1 – 4 เข้าประจำฐานตามหมายเลขเพื่อศึกษาข้อมูลของแหล่งน้ำ ต่างๆ บนโลก โดยกลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 ศึกษาเกี่ยวกับแหล่งน้ำผิวดิน กลุ่มที่ 3 และกลุ่มที่ 4 ศึกษาข้อมูล เกี่ยวกับแหล่งน้ำใต้ดิน โดยให้เวลาฐานละ 10 นาที 3. เมื่อหมดเวลาครูจะให้สัญญานโดยการเป่านกหวีดเพื่อให้นักเรียนเปลี่ยนฐาน โดยให้ นักเรียนแต่ละกลุ่มเข้าฐานสลับกันโดย กลุ่มที่ 1 สลับกับกลุ่มที่ 3 กลุ่มที่ 2 สลับกับกลุ่มที่ 4 11) เมื่อแต่ละกลุ่มเข้าฐานจนครบทุกฐาน ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มจัดทำแผนผังความคิดสรุป ความรู้เกี่ยวกับ แหล่งน้ำผิวดินและแหล่งน้ำใต้ดิน ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้(10 นาที) 12) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลการทำกิจกรรมโดยใช้ PowerPoint สรุปความรู้ วิทยาศาสตร์ ป.5 ดังนี้ 1. น้ำ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดทั้ง ในด้านการอุปโภคและบริโภค น้ำบนโลกปกคลุมพื้นที่ 3 ใน 4 ส่วนของพื้นผิวโลกทั้งหมดซึ่งสามารถพบแหล่ง น้ำได้ทุกหนทุกแห่งบนโลก 2. น้ำทั้งหมดของโลกแบ่งเป็นน้ำเค็ม ประมาณร้อยละ 97.5 ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรและ แหล่งน้ำอื่นๆ และที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 2.5 เป็นน้ำจืด 3. ถ้าเรียงลำดับปริมาณน้ำจืดจากมากไปน้อยจะอยู่ที่ ธารน้ำแข็ง และพืดน้ำแข็ง น้ำใต้ ดิน ชั้นดินเยือกแข็งคงตัวและน้ำแข็งใต้ดิน ทะเลสาบ ความชื้นในดิน ความชื้นในบรรยากาศ บึง แม่น้ำ และน้ำ ในสิ่งมีชีวิต 13) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสอบถามเพื่อความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับปริมาณน้ำในแหล่ง ต่างๆ บนโลก ขั้นที่ 4 ขยายความรู้(10 นาที) 14) ครูใช้คำถามเพื่อขยายความเข้าใจของนักเรียน ดังนี้ 1. นักเรียนคิดว่า น้ำมีความสำคัญต่อมนุษย์หรือไม่ อย่างไร 2. ในชีวิตประจำวันของนักเรียนตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน นักเรียนใช้น้ำทำกิจกรรมใดบ้าง
15) ครูให้นักเรียนดูวิดีโอ ทะเลน้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายเร็วกว่าที่คาด อ้างอิงจาก https://www.youtube.com/watch?v=nd0IrBPe3Cw จากนั้นครูตั้งคำถามว่า “หากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย จะส่งผลกระทบต่อระดับน้ำทะเลและ สิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างไร” (แนวคำตอบ: มีผลทำให้ระดับน้ำทะเลมีระดับสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตคือ สัตว์ที่อยู่บริเวณขั้วโลกอาจสูญพันธุ์ได้และระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงทำให้บริเวณชายฝั่งและมหาสมุทรถูกน้ำทะเล กลืนลงไป น้ำท่วมบริเวณพื้นที่ชายฝั่งได้) ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (10 นาที) 16) นักเรียนทำใบงานเรื่อง ปริมาณน้ำในแหล่งต่างๆ 11. สื่อการเรียนรู้ 1) สื่อการเรียนรู้ 1.1) หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ป.5 1.2) ใบงานเรื่อง ปริมาณน้ำในแหล่งต่างๆ 1.3) PowerPoint สรุปความรู้วิทยาศาสตร์ ป.5 1.4) แบบทดสอบก่อนเรียน ประจำหน่วยการเรียนรู้ เรื่องแหล่งน้ำ และลมฟ้าอากาศ 1.5) วิดีโอ ทะเลน้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายเร็วกว่าที่คาด 1.6) ใบความรู้เรื่อง แหล่งน้ำบนดินและแหล่งน้ำใต้ดิน 2) แหล่งการเรียนรู้ 2.1) ห้องเรียน 2.2) ห้องสมุด
12. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ที่ วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 ใบงาน ใบงาน ร้อยละ 60 ถือว่าผ่านเกณฑ์ 2 สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ในกิจกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ 3 สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการทำงาน แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
บันทึกหลังจากการจัดการเรียนการสอน 1. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………..… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… …………………………………………………………………………………………………………………………...……………………..……… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 2. ปัญหาและอุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………..…… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 3. แนวทางแก้ไข/ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………….. ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การประหยัดและอนุรักษ์น้ำ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 แหล่งน้ำ และลมฟ้าอากาศ เวลา 9 ชั่วโมง เวลา 1 ชั่วโมง 1. สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผล ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 3. ตัวชี้วัด ว 3.2 ป.5/2 ตระหนักถึงคุณค่าของน้ำโดยน้ำเสนอแนวทางการใช้น้ำอย่างประหยัดและการ อนุรักษ์น้ำ 4. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด น้ำจืดที่มนุษย์น้ำมาใช้ได้มีปริมาณน้อยมากจึงควรใช้น้ำอย่างประหยัดและร่วมกันอนุรักษ์น้ำ 5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) ตระหนักถึงคุณค่าของน้ำโดยน้ำเสนอแนวทางการใช้น้ำอย่างประหยัดและการอนุรักษ์น้ำ (K) 2) ร่วมรณรงค์และมีส่วนร่วมในการการอนุรักษ์น้ำ (P) 3) รับผิดชอบและมุ่งมั่นในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย (A) 6. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1) มีวินัย 2) ใฝ่เรียนรู้ 3) มุ่งมั่นในการทำงาน 7. สมรรถนะที่สำคัญ 1) ความสามารถในการคิด 1.1) ทักษะการสำรวจค้นหา 1.2) ทักษะการเชื่อมโยง 2) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ทักษะกระบวนการคิด การคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ
9. เนื้อหาสาระ การอนุรักษ์น้ำ หมายถึง การป้องกันปัญหาที่พึงจะเกิดขึ้นกับน้ำ และการนำมาใช้เพื่อเกิดประโยชน์ สูงสุดในการดำรงชีวิตของมนุษย์ เราจึงควรช่วยกันแก้ปัญหาการสูญเสียทรัพยากรน้ำด้วยการอนุรักษ์น้ำดังนี้ 1. การปลูกป่า โดยเฉพาะการปลูกป่าบริเวณพื้นที่ต้นน้ำ หรือบริเวณพื้นที่ภูเขา เพื่อให้ต้นไม้เป็นตัว กักเก็บน้ำตามธรรมชาติ ทั้งบนดินและใต้ดิน แล้วปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดปี รวมทั้งยังสามารถ ป้องกันปัญหาอื่นๆได้ เช่น ปัญหาการพังทลายของดิน ปัญหาการขาดแคลนน้ำ และการเกิดน้ำท่วม 2. การพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อให้มีน้ำเพียงพอจึงจำเป็นต้องทำการขุดลอกแหล่งน้ำให้กว้างและลึก ใกล้เคียงกับสภาพเดิมหรือมากกว่า ตลอดจนจัดหาแหล่งน้ำเพิ่มเติม อาจจะกระทำโดยการขุดเจาะน้ำบาดาล มาใช้ ซึ่งต้องระวังปัญหาการเกิดแผ่นดินทรุด หรือการขุดเจาะแหล่งน้ำผิงดินเพิ่มเติม 3. การสงวนน้ำไว้ใช้ เป็นการวางแผนการใช้น้ำเพื่อให้มีปริมาณน้ำที่มีคุณภาพมาใช้ประโยชน์ตลอดทั้ง ปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ด้วยวิธีการต่างๆ เช่นการทำบ่อหรือสระเก็บน้ำ การหาภาชนะขนาดใหญ่เพื่อกัก เก็บน้ำฝน (เช่น โอ่งหรือแท็งก์น้ำ) รวมทั้งการสร้างอ่างเก็บน้ำ และระบบชลประทาน 4. การใช้น้ำอย่างประหยัด เป็นการนำน้ำมาใช้ประโยชน์หลายอย่าง อย่างต่อเนื่องและเกิดประโยชน์ สูงสุด ทั้งด้านการอนุรักษ์น้ำและตัวผู้ใช้น้ำเอง กล่าวคือ สามารถลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าน้ำลงได้ ปริมาณน้ำ เสียที่จะทิ้งลงแหล่งน้ำมีปริมาณน้อยลง และป้องกันปัญหาการขาดแคลนน้ำ 5. การป้องกันการเกิดมลพิษของน้ำ ปัญหาส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในเมืองใหญ่ๆ ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ อย่างหนาแน่น หรือย่านอุตสาหกรรม การป้องกันปัญหามลพิษของน้ำสำหรับประชาชนทั่วไป สามารถช่วย ป้องกันการเกิดน้ำเน่าเสียได้ด้วยการไม่ทิ้งขยะ หรือสิ่งปฏิกูลหรือสารพิษลงสู่แหล่งน้ำ 6. การนำน้ำที่ใช้แล้วกลับไปใช้ใหม่ น้ำที่ถูกนำไปใช้แล้ว ในบางครั้งยังมีสภาพที่สามารถนำไปใช้ ประโยชน์ด้านอื่นได้ เช่น น้ำจากการล้างภาชนะอาหารสามารถนำไปใช้รดน้ำต้นไม้ หรือน้ำจากการซักผ้า สามารถนำไปถูบ้าน สุดท้ายนำไปใช้รดน้ำต้นไม้ เป็นต้น สำหรับกิจการของโรงงานอุตสาหกรรม น้ำที่เกิดจาก กระบวนการผลิตซึ่งมีอุณหภูมิสูง เมื่อปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น สามารถนำไปใช้ใหม่ได้ แม้แต่น้ำเสียเมื่อผ่านระบบ บำบัดสามารถนำไปใช้ในกิจกรรมบางอย่างของโรงงานได้ เช่น การทำความสะอาดโรงงาน อุปกรณ์เครื่องมือ บางอย่าง
10. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ • วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ Inquiry Method : 5E ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (5 นาที) 1) ครูให้นักเรียนดูวิดีโอเพลง “น้ำคือชีวิต” อ้างอิงจาก https://www.youtube.com/watch?v=778SaKgWv40 2) ครูถามนักเรียนว่า “นักเรียนคิดว่า น้ำมีความสำคัญต่อมนุษย์อย่างไร” (แนวคำตอบ: ตอบ ตามความคิดของนักเรียน) 3) ครูถามนักเรียนต่อว่า “เนื่องจากแหล่งน้ำจืดบนโลกมีปริมาณน้อย นักเรียนมีแนวทาง อย่างไรในการประหยัดและอนุรักษ์น้ำ” ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (25 นาที) 4) ครูให้นักเรียนแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3 – 4 คน โดยให้นักเรียนวิเคราะห์ประเด็น “ปัญหา เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ” ซึ่งมีประเด็น ดังนี้ 1. ปัญหาเกี่ยวกับทรพยากรน้ำในประเทศ คืออะไร 2. ปัญหาเกี่ยวกับทรพยากรน้ำในท้องถิ่นของนักเรียน คืออะไร 3. สาเหตุของปัญหาเกิดจากอะไร 4. ในฐานะที่นักเรียนเป็นเยาวชนรุ่นใหม่ในท้องถิ่น/ชุมชน นักเรียนมีแนวทางในการ ประหยัดและอนุรักษ์น้ำอย่างไร 5) ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอ “ปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ” ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้(10 นาที) 6) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายความรู้เกี่ยวกับการประหยัดและอนุรักษ์น้ำ โดยใช้คำถาม ต่อไปนี้ 1. ทรัพยากรน้ำมีความสำคัญอย่างไร (แนวคำตอบ: น้ำ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความ จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดทั้งในด้านการอุปโภคและบริโภค ประชากรไม่สามารถขาดน้ำได้ ในขณะน้ำที่ใช้ในชีวิตประจำวันมีปริมาณลดน้อยลงและเสื่อมคุณภาพลง)
2. ปัญหาทรัพยากรน้ำที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากสิ่งใด (แนวคำตอบ: ตอบตาม แนวคิดของตนเอง เช่น การเพิ่มขึ้นของประชากรมนุษย์ การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำโดยขาดการดูแล เช่น การเติบโตของโรงงานอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำจากการปล่อยน้ำเสียลงแหล่งน้ำ การใช้น้ำ อย่างฟุ่มเฟือย) 3. วิธีการประหยัดและอนุรักษ์น้ำ มีอะไรบ้าง (แนวคำตอบ: ตอบตามแนวคิดของตนเอง เช่น การปลูกป่า การพัฒนาแหล่งน้ำ การสงวนน้ำไว้ใช้ การใช้น้ำอย่างประหยัด การป้องกันการเกิดมลพิษของน้ำ และการนำน้ำที่ใช้แล้วกลับไปใช้ใหม่) ขั้นที่ 4 ขยายความรู้(10 นาที) 7) ครูให้นักเรียนดูคลิปวิดีโอ “เยาวชนคนรักษ์น้ำ” อ้างอิงจาก https://www.youtube.com/watch?v=YMlr0iB8u-4 8) ครูถามนักเรียนว่า “จากวิดีโอคลิป ทำไมเยาวชนจึงควรเป็นส่วนสำคัญในการประหยัด และอนุรักษ์น้ำ” (แนวคำตอบ: ตอบตามความคิดของนักเรียน) 9) ครูให้นักเรียนเขียนวิธีการประหยัดและอนุรักษ์น้ำ โดยแจกกระดาษโน้ต (โพสอิท) ให้ นักเรียนคนละ 1 แผ่น เมื่อเขียนเสร็จแล้วให้นักเรียนนำไปติดที่บอร์ดหน้าห้องเรียน ซึ่งจะได้วิธีการประหยัด และอนุรักษ์น้ำ ที่หลากหลายตามความคิดของนักเรียน ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (10 นาที) 10) นักเรียนทำใบงาน เรื่อง การประหยัดและอนุรักษ์น้ำ 11. สื่อการเรียนรู้ 1) สื่อการเรียนรู้ 1.1) หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ป.5 1.2) ใบงาน เรื่อง การประหยัดและอนุรักษ์น้ำ 1.3) PowerPoint สรุปความรู้วิทยาศาสตร์ ป.5 1.4) เพลง “น้ำคือชีวิต” 1.5) วิดีโอเรื่อง “เยาวชนคนรักษ์น้ำ”
2) แหล่งการเรียนรู้ 2.1) ห้องเรียน 2.2) ห้องสมุด 12. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ที่ วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 ใบงาน ใบงาน ร้อยละ 60 ถือว่าผ่านเกณฑ์ 2 สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ในกิจกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ 3 สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการทำงาน แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
บันทึกหลังจากการจัดการเรียนการสอน 1. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………..… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… …………………………………………………………………………………………………………………………...……………………..……… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 2. ปัญหาและอุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………..…… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 3. แนวทางแก้ไข/ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………….. ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง เมฆ หมอก น้ำค้าง ฝน หิมะและลูกเห็บ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 แหล่งน้ำ และลมฟ้าอากาศ เวลา 9 ชั่วโมง เวลา 2 ชั่วโมง 1. สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผล ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 3. ตัวชี้วัด ว 3.2 ป.5/4 เปรียบเทียบกระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง และน้ำค้างแข็ง จากแบบจำลอง 4. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด ไอน้ำในอากาศจะควบแน่นเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ โดยมีละอองลอย เช่น เกลือ ฝุ่นละออง ละอองเรณู ของดอกไม้เป็นอนุภาคแกนกลาง เมื่อละอองน้ำจำนวนมากเกาะกลุ่มรวมกันลอยอยู่สูงจากพื้นดินมาก เรียกว่า เมฆ แต่ละอองน้ำที่เกาะกลุ่มรวมกันอยู่ใกล้พื้นดิน เรียกว่า หมอก ส่วนไอน้ำที่ควบแน่นเป็นละอองน้ำเกาะอยู่ บนพื้นผิววัตถุใกล้พื้นดิน เรียกว่า น้ำค้าง ถ้าอุณหภูมิใกล้พื้นดินต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง น้ำค้างก็จะกลายเป็น น้ำค้างแข็ง 5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) เปรียบเทียบกระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง และน้ำค้างแข็ง จากแบบจำลองได้ (K) 2) ทักษะการกำหนดตัวแปร การตั้งสมมติฐานและทักษะการทดลอง (P) 3) รับผิดชอบและมุ่งมั่นในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย (A) 6. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1) มีวินัย 2) ใฝ่เรียนรู้ 3) มุ่งมั่นในการทำงาน 7. สมรรถนะที่สำคัญ 1) ความสามารถในการคิด 1.1) ทักษะการสำรวจค้นหา 1.2) ทักษะการเชื่อมโยง 2) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ทักษะกระบวนการคิด การคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ
9. เนื้อหาสาระ เมฆ (Clouds) เกิดจาก การที่น้ำบนผิวโลกได้รับความร้อนจากแสงแดดจะเกิดการระเหยกลายเป็นไอ น้ำลอยตัวขึ้นไปอยู่ในอากาศ แต่บนท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปมีอากาศเย็นเมื่อไอน้ำลอยขึ้นมากระทบกับความเย็น จะมีไอน้ำบางส่วนกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำเล็กๆ จำนวนมากมายลอยอยู่ในอากาศ และรวมตัวกันเกิดเป็นเมฆ ขึ้น อากาศที่เคลื่อนที่ขึ้นหรือกระแสอากาศจะทำให้เมฆลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าได้ โดยไอน้ำเหล่านี้ได้มาจาก แหล่งน้ำทั้งหมดบนผิวโลก อาทิเช่น มหาสมุทร, แม่น้ำ, ทะเลสาบ, ห้วย, หนอง, คลอง, บึง เป็นต้น หมอก (Fog) เกิดจาก ไอน้ำในอากาศจับตัวกับฝุ่นละอองในอากาศ และกลั่นตัวเป็นหยดน้ำเล็กๆ โดย มักจะเกิดหมอกในบริเวณที่มีปริมาณไอน้ำในอากาศมาก เช่น บริเวณป่าเขาที่มีต้นไม้หนาแน่น และในบริเวณที่ มีอากาศเย็นจัดเช่นในฤดูหนาว น้ำค้าง (Dew) เกิดจาก การควบแน่นของไอน้ำของอากาศ และเกาะลงบนพื้นผิวของวัตถุ โดยที่ อุณหภูมิของอากาศซึ่งอยู่รอบๆ ลดต่ำลงกว่าจุดน้ำค้าง แต่เนื่องจากว่าพื้นผิวแต่ละชนิดมีอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ดังนั้นในบริเวณเดียวกัน ปริมาณของน้ำค้างที่ปกคลุมพื้นผิวแต่ละชนิดจึงไม่เท่ากัน เช่น ในช่วงตอนเช้ามืด อาจ มีน้ำค้างปกคลุมพื้นหญ้า, ใบหญ้า แต่ไม่มีน้ำค้างปกคลุมพื้นคอนกรีต เหตุผลอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้น้ำค้างมัก เกิดขึ้นบนใบไม้ใบหญ้าก็คือ ใบของพืชคายไอน้ำออกมา จึงทำให้อากาศบริเวณนั้นมีความชื้นสูง น้ำค้างแข็ง (Frost) เป็นปรากฏการณ์ที่ไอน้ำที่อยู่ใกล้พื้นผิว มีอุณหภูมิลดลงจนถึงจุดเยือกแข็ง คือต่ำ กว่า 0 องศาเซลเซียส ทำให้ไอน้ำหรือน้ำค้างนั้นกลายเป็นน้ำแข็งเล็ก ๆ เกาะตามยอดหญ้า ใบไม้ดอกไม้ 10. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ • วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ Inquiry Method : 5E ชั่วโมงที่ 1 ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (10 นาที) 1) ครูถามนักเรียนว่า “สภาพอากาศในแต่ละวันเหมือนหรือแตกต่างกัน อย่างไร” (แนว คำตอบ: แตกต่างกัน เพราะ สภาพอากาศรอบๆ ตัวเราในแต่ละวันเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา เช่น บางวัน ท้องฟ้าใส บางวันฟ้าครึ้มมีเมฆมากฝนตก หรือการมีหมอกและน้ำค้างช่วงเช้า อากาศร้อนช่วงกลางวัน เป็นต้น) 2) ครูให้นักเรียนดูภาพ หมอก และน้ำค้างแข็ง และตั้งคำถามเกี่ยวกับภาพ ดังนี้ 1. ภาพที่เกิดคือปรากฏการณ์ใด (แนวคำตอบ: การเกิดหมอกและน้ำค้างแข็ง) 2. จากภาพ ปรากฏการณ์ต่างๆ เกิดได้อย่างไร (แนวคำตอบ: ตอบตามแนวความคิดของนักเรียน) 3. ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศที่เกิดขึ้นแต่ละอย่างแตกต่างกันอย่างไร (แนวคำตอบ: ตอบ ตามแนวความคิดของนักเรียน) ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (50 นาที) 3) ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 – 5 คน 4) ครูชี้แจงกิจกรรมการทดลอง แบบจำลองการเกิดเมฆและหมอก โดยมีขั้นตอน ดังนี้
1. ตวงน้ำร้อนลงในบีกเกอร์ 2 ใบ ใบละ 100 มิลลิลิตร 2. จุดธูปแล้วดับไฟ จ่อลงไปในบีกเกอร์ทั้ง 2 ใบ 3. ใช้กระจกนาฬิกาปิดปากบีกเกอร์ รอจนควันธูปเต็มบีกเกอร์ 4. จุ่มธูปลงไปในน้ำและเอาธูปออก สังเกตในบีกเกอร์และบันทึกผล 5. วางน้ำแข็งบนกระจกนาฬิกาของบีกเกอร์ 1 ใบ สังเกตและบักทึกผล 5) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลการทดลอง โดยครูใช้คำถามว่า “ลักษณะของเมฆและ หมอกแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร” (แนวคำตอบ: แตกต่างกัน เพราะเมฆจะลอยอยู่สูงจากพื้นดินมากและมี ลักษณะเป็นกลุ่มก้อนสีขาว ส่วนหมอกจะลอยอยู่ใกล้พื้นดินและมีลักษณะคล้ายควันสีขาว) 6) นักเรียนทำใบบันทึกผลการทดลอง เรื่อง แบบจำลองการเกิดเมฆและหมอก 7) ครูให้นักเรียนศึกษาใบงาน เรื่อง ลักษณะของเมฆชนิดต่างๆ แล้วพานักเรียนออกไปสำรวจ เมฆบริเวณโรงเรียนแล้วถามนักเรียนว่า “เมฆ บริเวณโรงเรียนเป็นเมฆชนิดใดและมีลักษณะอย่างไร” ชั่วโมงที่ 2 ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (30 นาที) 8) ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 – 5 คน (กลุ่มเดิมจากชั่วโมงที่แล้ว) 9) ครูชี้แจงกิจกรรมการทดลอง แบบจำลองการเกิดน้ำค้างและน้ำค้างแข็ง โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1. ใส่น้ำแข็งลงในแก้วใบที่ 1 จนเต็มแก้ว จากนั้นตั้งแก้วไว้สักครูแล้วสังเกตบริเวณด้าน นอกของแก้ว บันทึกผล 2. ใส่น้ำแข็งลงในแก้วใบที่ 2 จนเกือบเต็มแก้ว จากนั้นใส่เกลือ 2 – 3 ช้อนโต๊ะ คน น้ำแข็งและเกลือให้เข้ากัน ตั้งทิ้งไว้ 3 – 5 นาที สังเกตบริเวณด้านนอกของแก้ว บันทึกผล 10) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลการทดลอง โดยครูใช้คำถามว่า “กระบวนการเกิด น้ำค้างและน้ำค้างแข็งแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร” (แนวคำตอบ: แตกต่างกัน ไอน้ำที่ควบแน่นเป็นหยดน้ำ เกาะอยู่บนวัตถุที่อยู่ใกล้ๆ พื้นโลก เรียกว่า น้ำค้าง ถ้าอุณหภูมิใกล้พื้นดินต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง น้ำค้างก็จะ แข็งตัวกลายเป็นน้ำค้างแข็ง) 11) นักเรียนทำใบบันทึกผลการทดลอง เรื่อง แบบจำลองการเกิดน้ำค้างและน้ำค้างแข็ง ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้(15 นาที) 12) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลการทำกิจกรรม ดังนี้ 1. เมฆ (Clouds) เกิดจาก การที่น้ำบนผิวโลกได้รับความร้อนจากแสงแดดจะเกิดการ ระเหยกลายเป็นไอน้ำลอยตัวขึ้นไปอยู่ในอากาศ ไอน้ำเกิดการควบแน่น ลอยอยู่ในระดับสูงกลายเป็นเมฆ 2. ชนิดของเมฆตามลักษณะมีอยู่ 4 กลุ่ม ได้แก่ 2.1.เซอร์รัส เป็นเมฆชั้นสูง เป็นเส้นเรียงสวยสีขาวเหมือนปุยขนนก พบได้ในวันที่ฟ้าโปร่ง 2.2.คิวมูโลนิมบัส เป็นเมฆฝน ที่ก่อตัวในแนวตั้ง และมักมียอดเป็นรูปทั่ง
2.3.คิวมูลัส มีลักษณะเป็นก้อนกระจุกคล้ายภูเขา หากด้านล่างมีสีดำคล้ำ คาดว่าฝน จะตก พบได้ในวันที่อากาศร้อน 2.4.สตราตัส มีลักษณะเป็นชั้น ๆ แผ่นสีเทาบางๆ มักไม่ก่อให้เกิดฝน 3. หมอก (Fog) เกิดจาก การที่น้ำบนผิวโลกได้รับความร้อนจากแสงแดดจะเกิดการ ระเหยกลายเป็นไอน้ำลอยตัวขึ้นไปอยู่ในอากาศ ไอน้ำในอากาศเกิดการควบแน่นเป็นละอองน้ำเล็กๆ ลอยใน ระดับต่ำ เรียกว่า หมอก 4. น้ำค้าง (Dew) เกิดจาก ไอน้ำที่ควบแน่นเป็นหยดน้ำเกาะอยู่บนวัตถุที่อยู่ใกล้ๆ พื้น โลก และเกาะลงบนพื้นผิวของวัตถุ โดยที่อุณหภูมิของอากาศซึ่งอยู่รอบๆ ลดต่ำลงกว่าจุดน้ำค้าง 5. น้ำค้างแข็ง (Frost) เป็นปรากฏการณ์ที่ไอน้ำที่อยู่ใกล้พื้นผิว มีอุณหภูมิลดลงจนถึงจุด เยือกแข็ง คือต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ทำให้ไอน้ำหรือน้ำค้างนั้นกลายเป็นน้ำแข็งเล็ก ๆ เกาะตามยอดหญ้า ใบไม้ดอกไม้เป็นต้น 13) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสอบถามเพื่อความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้างและน้ำค้างแข็ง ขั้นที่ 4 ขยายความรู้(5 นาที) 14) ครูใช้คำถามเพื่อขยายความเข้าใจของนักเรียน ดังนี้ 1. นักเรียนคิดว่าหมอกมีผลดีหรือผลเสียกับสิ่งมีชีวิตมากกว่ากัน เพราะเหตุใด (แนว คำตอบ: นักเรียนตอบตามความคิดของนักเรียน) 2. นักเรียนคิดว่า เพราะเหตุใดในบางพื้นที่เกิดน้ำค้างและบางพื้นที่เกิดน้ำค้างแข็ง (แนว คำตอบ: เนื่องจากอุณหภูมิอากาศใกล้พื้นดินแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน ถ้าอุณหภูมิอากาศใกล้พื้นดินต่ำกว่าจุด เยือกแข็งจะทำให้น้ำค้างกลายเป็นน้ำค้างแข็งได้) ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (10 นาที) 15) นักเรียนทำใบงานเรื่อง เมฆ หมอก น้ำค้าง ฝน หิมะ และลูกเห็บ 1 และ 2 16) นักเรียนทำใบบันทึกผลการทดลอง เรื่อง แบบจำลองการเกิดเมฆและหมอกและ แบบจำลองการเกิดน้ำค้างและน้ำค้างแข็ง 11. สื่อการเรียนรู้ 1) สื่อการเรียนรู้ 1.1) หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ป.5 1.2) ใบงานเรื่อง เมฆ หมอก น้ำค้าง ฝน หิมะ และลูกเห็บ 1 และ 2 1.3) PowerPoint สรุปความรู้วิทยาศาสตร์ ป.5 1.4) ใบบันทึกผลการทดลอง เรื่อง แบบจำลองการเกิดเมฆและหมอกและแบบจำลองการ เกิดน้ำค้างและน้ำค้างแข็ง 1.5) ใบความรู้เรื่อง ลักษณะของเมฆ
2) แหล่งการเรียนรู้ 2.1) ห้องเรียน 2.2) ห้องสมุด 2.3) ท้องฟ้าบริเวณโรงเรียน 12. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ที่ วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 ตรวจใบงาน/ใบบันทึกผลการ ทดลอง ใบงาน/ใบบันทึกผลการทดลอง ร้อยละ 60 ถือว่าผ่านเกณฑ์ 2 สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ในกิจกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ 3 สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการทำงาน แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
บันทึกหลังจากการจัดการเรียนการสอน 1. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………..… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… …………………………………………………………………………………………………………………………...……………………..……… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 2. ปัญหาและอุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………..…… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 3. แนวทางแก้ไข/ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………….. ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง เมฆ หมอก น้ำค้าง ฝน หิมะและลูกเห็บ 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 แหล่งน้ำ และลมฟ้าอากาศ เวลา 9 ชั่วโมง เวลา 2 ชั่วโมง 1. สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผล ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 3. ตัวชี้วัด ว 3.2 ป.5/5 เปรียบเทียบกระบวนการเกิดฝน หิมะ และลูกเห็บ จากข้อมูลที่รวบรวมได้ 4. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด ฝน หิมะ ลูกเห็บ เป็นหยาดน้ำฟ้าซึ่งเป็นน้ำที่มีสถานะต่าง ๆ ที่ตกจากฟ้าถึงพื้นดิน ฝนเกิดจากละออง น้ำในเมฆที่รวมตัวกันจนอากาศไม่สามารถพยุงไว้ได้จึงตกลงมา หิมะเกิดจากไอน้ำในอากาศระเหิดกลับเป็น ผลึกน้ำแข็ง รวมตัวกันจนมีน้ำหนักมากขึ้นจนเกินกว่าอากาศจะพยุงไว้จึงตกลงมาลูกเห็บเกิดจากหยดน้ำที่ เปลี่ยนสถานะเป็นน้ำแข็ง แล้วถูกพายุพัดวนซ้ำไปซ้ำมาในเมฆฝนฟ้าคะนองที่มีขนาดใหญ่และอยู่ในระดับสูงจน เป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ขึ้นแล้วตกลงมา 5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) เปรียบเทียบกระบวนการเกิดฝน หิมะ และลูกเห็บ จากข้อมูลที่รวบรวมได้(K) 2) ทักษะการกำหนดตัวแปร การตั้งสมมติฐานและทักษะการทดลอง (P) 3) รับผิดชอบและมุ่งมั่นในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย (A) 6. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1) มีวินัย 2) ใฝ่เรียนรู้ 3) มุ่งมั่นในการทำงาน 7. สมรรถนะที่สำคัญ 1) ความสามารถในการคิด 1.1) ทักษะการสำรวจค้นหา 1.2) ทักษะการเชื่อมโยง 2) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ทักษะกระบวนการคิด การคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ
9. เนื้อหาสาระ หยาดน้ำฟ้า (Precipitation) เป็นชื่อเรียกรวมของหยดน้ำและน้ำแข็ง ที่เกิดจาการควบแน่นของไอน้ำ แล้วตกลงมาสู่พื้น เช่น ฝน ลูกเห็บ หิมะ เป็นต้น หยาดน้ำฟ้าแตกต่างจากจากหยดน้ำหรือละอองน้ำในก้อน เมฆ (Cloud droplets) ตรงที่หยาดน้ำต้องมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากพอที่จะชนะแรงต้านอากาศ และตก สู่พื้นโลกได้โดยไม่ระเหยเป็นไอน้ำเสียก่อน ฉะนั้นกระบวนการเกิดหยาดน้ำฟ้าจึงมีความสลับซับซ้อนมากกว่า กระบวนการควบแน่นที่ทำให้เกิดเมฆ ฝน (Rain) ฝนเกิดจากละอองน้ำในเมฆที่รวมตัวกันจนอากาศไม่สามารถพยุงไว้ได้จึงตกลงมา มี ลักษณะเป็นหยดน้ำมีขนาดประมาณ 0.5 – 5 มิลลิเมตร ฝนส่วนใหญ่ตกลงมาจากเมฆนิมโบสตราตัส และเมฆ คิวมูโลนิมบัส หิมะ (Snow) หิมะเกิดจากไอน้ำในอากาศระเหิดกลับเป็นผลึกน้ำแข็ง รวมตัวกันจนมีน้ำหนักมากขึ้น จนเกินกว่าอากาศจะพยุงไว้จึงตกลงมา หิมะมีลักษณะเป็นผลึกน้ำแข็งขนาดประมาณ 1 – 20 มิลลิเมตร ซึ่ง เกิดจากไอน้ำจากน้ำเย็นยิ่งยวด ระเหิดกลับเป็นผลึกน้ำแข็งแล้วตกลงมา (เคยมีหิมะตกที่จังหวัดเชียงราย ในปี ที่อากาศหนาวเย็นมาก) ลูกเห็บ (Hail) ลูกเห็บเกิดจากหยดน้ำที่เปลี่ยนสถานะเป็นน้ำแข็งแล้วถูกพายุพัดวนซ้ำไปซ้ำมาในเมฆ ฝนฟ้าคะนองที่มีขนาดใหญ่และอยู่ในระดับสูงจนเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ขึ้นแล้วตกลงมาเป็นก้อนน้ำแข็ง ขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตร เกิดขึ้นจากกระแสในอากาศแนวดิ่งภายในเมฆคิวมูโลนิมบัส พัดให้ผลึกน้ำแข็ง สะสมตัวจนมีขนาดใหญ่และตกลงมา 10. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ • วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ Inquiry Method : 5E ชั่วโมงที่ 1 ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (15 นาที) 1) ครูทบทวนความรู้เกี่ยวกับการเกิด เมฆ หมอก น้ำค้างและน้ำค้างแข็ง 2) ครูให้นักเรียนทำกิจกรรม รุ้งกินน้ำ โดยให้นักเรียนนำน้ำฉีดเป็นฝอยไปบริเวณที่มีแสงแดด แล้วให้นักเรียนสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น (เกิดแถบสีของรุ้งกินน้ำ) 3) ครูถามนักเรียนเพื่อนำเข้าสู่บทเรียน ดังนี้ 1. นักเรียนจะสังเกตเห็นรุ้งกินน้ำ เวลาใด (แนวคำตอบ: ช่วงเวลาหลังฝนตก) 2. นักเรียนทราบไหมว่า ฝน เกิดขึ้นได้อย่างไร และนอกจากฝนยังมีปรากฏการณ์ ใดบ้างที่มีลักษณะคล้ายฝน (แนวคำตอบ: ตอบตามแนวความคิดของนักเรียน) ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (45 นาที) 4) ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 – 5 คน 5) ครูชี้แจงกิจกรรมการทดลอง การเกิดหยาดน้ำฟ้า โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1. ตัดขวดพลาสติกตามขวางเป็น 2 ส่วน
2. เทน้ำอุ่นลงในขวดพลาสติกส่วนล่าง จากนั้นหยดสีผสมอาหารลงในน้ำอุ่น 3. ใส่น้ำแข็งลงในขวดพลาสติกด้านบน นำมาวางซ้อนบนขวดพลาสติกด้านล่าง 4. ตั้งทิ้งไว้สักพัก สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและบันทึกผล 6) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลการทดลอง 7) นักเรียนทำใบบันทึกผลการทดลอง เรื่อง การเกิดหยาดน้ำฟ้า ชั่วโมงที่ 2 ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้(15 นาที) 8) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลการทำกิจกรรม โดยใช้คำถาม ดังนี้ 1. หยาดน้ำฟ้า คืออะไร (แนวคำตอบ: หยาดน้ำฟ้า (Precipitation) เป็นชื่อเรียก รวมของหยดน้ำและน้ำแข็ง ที่เกิดจาการควบแน่นของไอน้ำแล้วตกลงมาสู่พื้น เช่น ฝน ลูกเห็บ หิมะ เป็นต้น) 2. ฝน หิมะและลูกเห็บ เกิดจากอะไร (แนวคำตอบ: ฝน เกิดจากละอองน้ำในเมฆที่ รวมตัวกันจนอากาศไม่สามารถพยุงไว้ได้จึงตกลงมา/ หิมะ เกิดจากไอน้ำในอากาศระเหิดกลับเป็นผลึกน้ำแข็ง รวมตัวกันจนมีน้ำหนักมากขึ้นจนเกินกว่าอากาศจะพยุงไว้จึงตกลงมา/ ลูกเห็บ เกิดจากหยดน้ำที่เปลี่ยนสถานะ เป็นน้ำแข็งแล้วถูกพายุพัดวนซ้ำไปซ้ำมาในเมฆฝนฟ้าคะนองที่มีขนาดใหญ่และอยู่ในระดับสูงจนเป็นก้อน น้ำแข็งขนาดใหญ่ขึ้นแล้วตกลงมา) 3. ฝน หิมะและลูกเห็บ แตกต่างกันอย่างไร (แนวคำตอบ: ลักษณะการเกิดที่เกิดจาก การเปลี่ยนสถานะ เช่น ฝนเกิดจากการรวมตัวหรือการควบแน่นของละอองน้ำ หิมะ เกิดจากไอน้ำในอากาศ ระเหิดกลับ ส่วนลูกเห็บ เกิดจากหยดน้ำที่เปลี่ยนสถานะเป็นน้ำแข็ง และลักษณะของฝน ที่เป็นของเหลว หิมะ เป็นของแข็งและลูกเห็บที่เป็นของแข็งที่แข็งกว่าหิมะ) 9) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสอบถามเพื่อความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับหยาดน้ำฟ้า คือ ฝน หิมะและลูกเห็บ ขั้นที่ 4 ขยายความรู้(25 นาที) 10) ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 – 5 คน โดยเป็นกลุ่มที่ทำกิจกรรมการทดลอง จากนั้นเปิดวิดีโอเรื่อง “นักท่องเที่ยวแห่ถ่ายภาพลูกเห็บตกที่เชียงใหม่” อ้างอิงจาก https://www.youtube.com/watch?v=dez7Dxw0Lf4
11) นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดจากพายุลูกเห็บตกและวิธีป้องกัน อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากพายุลูกเห็บ ให้ได้มากที่สุด 12) นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมานำเสนอประเด็นที่แต่ละกลุ่มวิเคราะห์ จากนั้นครู และนักเรียนร่วมกันสรุปประเด็นเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจากพายุลูกเห็บตกและวิธีป้องกันอันตรายที่อาจ เกิดขึ้นจากพายุลูกเห็บ 13) ครูใช้คำถามเพื่อขยายความเข้าใจของนักเรียน (ตอบลงในสมุดวิทยาศาสตร์) ดังนี้ 1. น้ำมีประโยชน์และโทษต่อสิ่งมีชีวิต อย่างไร 2. หากประเทศไทยมีหิมะเกิดขึ้นและตกเป็นจำนวนมาก นักเรียนคิดว่าจะก่อให้เกิด ผลดีหรือผลเสีย อย่างไร (แนวคำตอบ: นักเรียนตอบตามความคิดของนักเรียน) 3. นักเรียนคิดว่าการเกิดลูกเห็บมีผลต่อสิ่งมีชีวิตอย่างไร อย่างไร (แนวคำตอบ: นักเรียนตอบตามความคิดของนักเรียน) ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (20 นาที) 14) นักเรียนทำใบงานเรื่อง เมฆ หมอก น้ำค้าง ฝน หิมะ และลูกเห็บ 1 และ 2 (ส่วนที่เหลือ จากชั่วโมงที่แล้ว) 15) นักเรียนทำแผนผังความคิด (Mind Mapping) เรื่อง เมฆ หมอก น้ำค้าง ฝน หิมะ และ ลูกเห็บ และตกแต่งให้สวยงาม 11. สื่อการเรียนรู้ 1) สื่อการเรียนรู้ 1.1) หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ป.5 1.2) ใบงานเรื่อง เมฆ หมอก น้ำค้าง ฝน หิมะ และลูกเห็บ 1 และ 2 1.3) PowerPoint สรุปความรู้วิทยาศาสตร์ ป.5 1.4) ใบบันทึกผลการทดลอง เรื่อง การเกิดหยาดน้ำฟ้า 1.5) วิดีโอเรื่อง “นักท่องเที่ยวแห่ถ่ายภาพลูกเห็บตกที่เชียงใหม่” 2) แหล่งการเรียนรู้ 2.1) ห้องเรียน 2.2) ห้องสมุด
12. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ที่ วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 ตรวจใบงาน/ใบบันทึกผลการ ทดลอง/แผนผังความคิด (Mind Mapping) ใบงาน/ใบบันทึกผลการทดลอง/ แผนผังความคิด (Mind Mapping) ร้อยละ 60 ถือว่าผ่านเกณฑ์ 2 สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ในกิจกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ 3 สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการทำงาน แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
บันทึกหลังจากการจัดการเรียนการสอน 1. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………..… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… …………………………………………………………………………………………………………………………...……………………..……… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 2. ปัญหาและอุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………..…… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 3. แนวทางแก้ไข/ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………….. ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง วัฏจักรน้ำ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 แหล่งน้ำ และลมฟ้าอากาศ เวลา 9 ชั่วโมง เวลา 2 ชั่วโมง 1. สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผล ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 3. ตัวชี้วัด ว 3.2 ป.5/3 สร้างแบบจำลองที่อธิบายการหมุนเวียนของน้ำในวัฏจักรน้ำ 4. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด วัฏจักรน้ำ เป็นการหมุนเวียนของน้ำที่มีแบบรูปซ้ำเดิม และต่อเนื่องระหว่างน้ำในบรรยากาศ น้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน โดยพฤติกรรมการดำรงชีวิตของพืชและสัตว์ส่งผลต่อวัฏจักรน้ำ 5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) อธิบายความรู้เกี่ยวกับวัฏจักรน้ำได้ (K) 2) สร้างแบบจำลองที่อธิบายการหมุนเวียนของน้ำในวัฏจักรน้ำได้ (P) 3) รับผิดชอบและมุ่งมั่นในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย (A) 6. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1) มีวินัย 2) ใฝ่เรียนรู้ 3) มุ่งมั่นในการทำงาน 7. สมรรถนะที่สำคัญ 1) ความสามารถในการคิด 1.1) ทักษะการสำรวจค้นหา 1.2) ทักษะการเชื่อมโยง 2) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ทักษะกระบวนการคิด การคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ
9. เนื้อหาสาระ วัฏจักรของน้ำ หมายถึง การหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของน้ำซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติ โดยเริ่มต้นจากน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น ทะเล มหาสมุทร แม่น้ำ ลำคลองหนอง บึง ทะเลสาบ จากการคายน้ำของพืช จากการขับถ่ายของเสียของสิ่งมีชีวิต และจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำรงชีวิตของ มนุษย์ ระเหยขึ้นไปในบรรยากาศ กระทบความเย็นควบแน่นเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ เป็นก้อนเมฆ ตกลงมาเป็น ฝนหรือลูกเห็บสู่พื้นดินไหลลงสู่แหล่งน้ำต่าง ๆ หมุนเวียนอยู่เช่นนี้เรื่อยไป ตัวการที่ทำให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำ 1. ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดการระเหยของน้ำจากแหล่งน้ำต่าง ๆ กลายเป็นไอน้ำขึ้นสู่ บรรยากาศ 2. กระแสลม ช่วยทำให้น้ำระเหยกลายเป็นไอได้เร็วขึ้น 3. มนุษย์และสัตว์ ขับถ่ายของเสียออกมาในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ และลมหายใจออกกลายเป็นไอน้ำ สู่บรรยากาศ 4. พืช รากต้นไม้เปรียบเหมือนฟองน้ำ มีความสามารถในการดูดน้ำจากดินจำนวนมากขึ้นไปเก็บไว้ใน ส่วนต่าง ๆ ทั้งยอด กิ่ง ใบ ดอก ผล และลำต้น แล้วคายน้ำสู่บรรยากาศ ไอเหล่านี้จะควบแน่นและรวมกันเป็น เมฆและตกลงมาเป็นฝนต่อไป
10. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ • วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ Inquiry Method : 5E ชั่วโมงที่ 1 ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (10 นาที) 1) ครูทบทวนความรู้เรื่อง แหล่งน้ำต่างๆบนโลก โดยใช้คำถามต่อไปนี้ 1. แหล่งน้ำต่างๆ บนโลกมีกี่แหล่งอะไรบ้าง (แนวคำตอบ: 3 แหล่ง คือ แหล่งน้ำผิวดิน แหล่งน้ำใต้ดินและแหล่งน้ำบรรยากาศ) 2. นักเรียนทราบหรือไม่ว่าปริมาณพื้นดินต่อพื้นน้ำในโลกมีสัดส่วนเท่าใด (แนวคำตอบ: ปริมาณพื้นดินต่อพื้นน้ำเท่ากับ 1 : 3 ) 2) ครูถามนักเรียนเพื่อนำเข้าสู่บทเรียนว่า “นักเรียนคิดว่า ปริมาณน้ำบนโลกใบนี้ทำไมถึงมี ปริมาณเยอะ และนักเรียนคิดว่าน้ำมีวันหมดจากโลกหรือไม่” (แนวคำตอบ: ตอบตามความคิดของนักเรียน) ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (50 นาที) 3) ครูให้นักเรียนแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 – 5 คน 4) ครูชี้แจงกิจกรรมการทดลอง วัฏจักรน้ำ ดังนี้ 1. ใส่ดินเหนียวลงในกล่องพลาสติกตรงกลางโดยปั้นให้คล้ายภูเขา 2. .ใส่ดินทรายลงกล่องทางซ้ายและใส่น้ำลงลงไปจนเกือบเต็มกล่อง 3. วางกล่องพลาสติกใบเล็กไว้บนดินเหนียวแล้วใช้ถุงพลาสติกปิดกล่องใบใหญ่ให้สนิทใช้ ยางรัดให้แน่น 4. วางน้ำแข็งใบถุงพลาสติกให้ตรงกับกล่องใบเล็ก นำไปตั้งกลางแดดจัดๆ ประมาณ 30 นาทีคอยเติมน้ำแข็งไปเรื่อยๆ จนสังเกตเห็นน้ำหยดลงในกล่องใบเล็ก 5. ทำใบบันทึกผลการทดลอง วัฏจักรน้ำ ชั่วโมงที่ 2 ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้(15 นาที) 5) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายความรู้เกี่ยวกับ วัฏจักรน้ำ ดังนี้ 1. วัฏจักรน้ำ เป็นการหมุนเวียนของน้ำที่มีรูปแบบซ้ำเดิม และต่อเนื่องระหว่างน้ำใน บรรยากาศ น้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน โดยพฤติกรรมการดำรงชีวิตของพืชและสัตว์ส่งผลต่อวัฏจักรน้ำ 2. วัฏจักรน้ำ มีกระบวนการเกิดโดยเริ่มต้นจากน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น ทะเล มหาสมุทร แม่น้ำ ลำคลองหนอง บึง ทะเลสาบจากการคายน้ำของพืช จากการขับถ่ายของเสียของสิ่งมีชีวิต และจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ระเหยขึ้นไปในบรรยากาศ กระทบความเย็นควบแน่น เป็นละอองน้ำเล็ก ๆ เป็นก้อนเมฆ ตกลงมาเป็นฝนหรือลูกเห็บสู่พื้นดินไหลลงสู่แหล่งน้ำต่าง ๆ หมุนเวียนอยู่ เช่นนี้เรื่อยไป
3. ตัวการที่ทำให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำ ได้แก่ ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้เกิด การระเหยของน้ำจากแหล่งน้ำต่าง ๆ กลายเป็นไอน้ำขึ้นสู่บรรยากาศ กระแสลม ช่วยทำให้น้ำระเหยกลายเป็น ไอได้เร็วขึ้น มนุษย์และสัตว์ ขับถ่ายของเสียออกมาในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ และลมหายใจออกกลายเป็นไอ น้ำสู่บรรยากาศ พืช รากต้นไม้เปรียบเหมือนฟองน้ำ มีความสามารถในการดูดน้ำจากดินจำนวนมากขึ้นไปเก็บ ไว้ในส่วนต่าง ๆ ทั้งยอด กิ่ง ใบ ดอก ผล และลำต้น แล้วคายน้ำสู่บรรยากาศ ไอเหล่านี้จะควบแน่นและรวมกัน เป็นเมฆและตกลงมาเป็นฝนต่อไป ขั้นที่ 4 ขยายความรู้(15 นาที) 6) ครูให้นักเรียนดูวิดีโอ เรื่อง เตือนปี 62 ภัยแล้งหนักสุดในรอบ 30 ปี เหตุเอลนีโญมาเร็ว ฝนทิ้งช่วง น้ำในเขื่อนเริ่มน้อย อ้างอิงจาก https://www.youtube.com/watch?v=8O-upDd2az 7) ครูถามคำถาม เกี่ยวกับวิดีโอ ดังนี้ 1. ภัยแล้งที่เกิดมีสาเหตุมาจากปรากฏการณ์ใด “แนวคำตอบ: ปรากฏการณ์เอลนีโญซึ่ง ทำให้ฝนไม่ตกตามฤดูกาล” 2. นักเรียนคิดว่าเพราะเหตุใด ในฤดูร้อนที่มีแสงจากดวงอาทิตย์ส่องมายังพื้นน้ำมาก น้ำ มีอุณหภูมิสูงและเกิดการระเหยสู่ชั้นบรรยากาศแต่ทำไมจึงไม่มีฝนตก “แนวคำตอบ: เป็นผลจากปรากฏการณ์ เอลนีโญทำให้ไม่มีความชื้นหรือความเย็นบนชั้นบรรยากาศทำให้ไอน้ำที่ระเหยขึ้นไปไม่สามารถรวมตัวและเกิด การควบแน่นลงจนกลั่นตัวมาเป็นหยดน้ำหรือฝนได้” 3. นักเรียนคิดว่า การตัดไม้ทำงานป่าส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำในวัฏจักรน้ำหรือไม่ “แนวคำตอบ: ส่งผลกระทบ เพราะการตัดไม้ทำงายป่าจะทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น เป็นสาเหตุของภาวะ เรือนกระจกและภาวะโลกร้อน ส่งผลในความชื้นในบรรยากาศน้อยทำให้ไอน้ำไม่สามารถรวมตัวเป็นเมฆและ กลั่นตัวเป็นฝนได้”
ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (30 นาที) 8) การทำใบงาน เรื่อง วัฏจักรน้ำ 9) การทำใบบันทึกกิจกรรม วัฏจักรน้ำ 10) นักเรียนทำแบบทดสอบท้ายหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง แหล่งน้ำ และลมฟ้าอากาศ 11. สื่อการเรียนรู้ 1) สื่อการเรียนรู้ 1.1) หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ป.5 1.2) ใบงาน เรื่อง วัฏจักรน้ำ 1.3) PowerPoint สรุปความรู้วิทยาศาสตร์ ป.5 1.4) ใบบันทึกผลการทดลอง วัฏจักรน้ำ 1.5) วิดีโอเรื่อง “เตือนปี 62 ภัยแล้งหนักสุดในรอบ 30 ปี เหตุเอลนีโญมาเร็ว ฝนทิ้งช่วง น้ำ ในเขื่อนเริ่มน้อย” 1.6) แบบทดสอบท้ายหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง แหล่งน้ำ และลมฟ้าอากาศ 2) แหล่งการเรียนรู้ 2.1) ห้องเรียน 2.2) ห้องสมุด 12. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ที่ วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 การตรวจใบงาน/ใบบันทึก กิจกรรม ใบงาน/ใบบันทึกกิจกรรม ร้อยละ 60 ถือว่าผ่านเกณฑ์ 2 สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ในกิจกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ 3 สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการทำงาน แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
บันทึกหลังจากการจัดการเรียนการสอน 1. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………..… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… …………………………………………………………………………………………………………………………...……………………..……… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 2. ปัญหาและอุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………..…… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 3. แนวทางแก้ไข/ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………….. ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............