แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การเคลื่อนที่ของเสียง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง พลังงานเสียง เวลา 8 ชั่วโมง เวลา 2 ชั่วโมง 1. สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง กับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 3. ตัวชี้วัด ว 2.3 ป.5/1 การได้ยินเสียงต้องอาศัยตัวกลาง โดยอาจเป็นของแข็ง ของเหลว หรืออากาศ เสียงจะ ส่งผ่านตัวกลางมายังหู 4. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การได้ยินเสียงต้องอาศัยตัวกลาง โดยอาจเป็นของแข็ง ของเหลว หรืออากาศ เสียงจะส่งผ่านตัวกลาง มายังหูจึงทำให้ได้ยินเสียง 5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) อธิบายการได้ยินเสียงผ่านตัวกลางจากหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ (K) 2) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์: การสังเกต ทักษะการทดลอง (P) 3) รับผิดชอบและมุ่งมั่นในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย (A) 6. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1) มีวินัย 2) ใฝ่เรียนรู้ 3) มุ่งมั่นในการทำงาน 7. สมรรถนะที่สำคัญ 1) ความสามารถในการคิด 1.1) ทักษะการสำรวจค้นหา 1.2) ทักษะการเชื่อมโยง 2) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ทักษะกระบวนการคิด การคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ
9. เนื้อหาสาระ เสียง เป็นพลังงานรูปหนึ่งที่มีลักษณะเป็นคลื่นกลที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ เมื่อวัตถุเกิด การสั่นสะเทือน จะทำให้เกิดการอัดตัว และขยายตัวของคลื่นเสียง และถูกส่งผ่านตัวกลางที่เป็นสสารอยู่ใน สถานะ ก๊าซ ของเหลว ของแข็ง (คลื่นเสียงจะไม่ผ่านสุญญากาศ) ไปยังหู ทำให้ได้ยินเสียงเกิดขึ้น เสียงเกิดขึ้น เมื่อวัตถุหรือแหล่งกำเนิดเสียง มีการสั่นสะเทือน ส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของโมเลกุลของ อากาศที่อยู่โดยรอบกล่าวคือโมเลกุลของอากาศเหล่านั้นจะเคลื่อนที่จากตำแหน่งแหล่งกำเนิดเสียงไปชนกับ โมเลกุลของอากาศที่อยู่ถัดออกไป จะเกิดการถ่ายโอนโมเมนตัมจากโมเลกุลที่มีการเคลื่อนที่ไปให้กับโมเลกุล ของอากาศ ที่อยู่ในสภาวะปกติ จากนั้นโมเลกุลที่ชนกันจะแยกออกจากกันโดยโมเลกุลของอากาศที่เคลื่อนที่มา ชนจะถูกดึงกลับไปยังตำแหน่งเดิมด้วยแรงปฎิกิริยา และโมเลกุลที่ได้รับการถ่ายโอนพลังงาน ก็จะเคลื่อนที่ ต่อไปและไปชนกับโมเลกุลของอากาศที่อยู่ถัดไป เป็นดังนี้ไปเรื่อยๆ จนเคลื่อนที่ไปถึงหู เกิดการได้ยินขึ้น การเคลื่อนที่ของเสียง การเดินทางของเสียง ต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ เสียงมาถึงหูของเราโดยมีอากาศเป็นตัวกลาง แหล่งกำเนิดเสียงจะทำให้อากาศรอบๆสั่นสะเทือน การสั่นสะเทือนจะกระจายออกไปรอบทุกทิศทาง เมื่อคลื่น เดินทางมาถึงหูของเรา เราจะรับรู้เสียงต่างๆ 10. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ • วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ Inquiry Method : 5E ชั่วโมงที่ 1 ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (20 นาที) 1) นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน ประจำหน่วย พลังงานเสียง 2) ครูแบ่งนักเรียนออกเป็น 5 แถว แถวละ 5 คน เพื่อเล่นเกม เกมกระซิบส่งสาร วิธีเล่นเกมกระซิบส่งสาร 1. แบ่งนักเรียนออกเป็น 5 แถว แถวละ 5 คน 2. คนแรกของแต่ละแถวมารับกระดาษที่เขียนข้อความที่กำหนดให้จากครูไปท่องจำ โดย กำหนดเวลาให้ท่องจำ 1 นาที แล้วส่งกระดาษข้อความคืนครู 3. คนแรกของแต่ละแถวกระซิบบอกข้อความคนที่ 2 คนที่ 2 กระซิบบอกต่อคนที่ 3 คนที่ 3 กระซิบบอกต่อคนที่ 4 และคนที่ 4 กระซิบบอกคนสุดท้าย 4. ให้คนสุดท้ายของแต่ละแถวเขียนข้อความลงในกระดาษนำส่งครู 5. ให้คนแรกของแต่ละแถวอ่านกระดาษที่เขียนข้อความที่ครูกำหนดให้ และข้อความที่เขียนโดยคน สุดท้ายของแต่ละแถวให้เพื่อน ๆ ฟัง 6. ให้เพื่อนๆ ในชั้นเรียนตัดสินว่าแถวใดที่ข้อความของคนแรกและคนสุดท้ายเขียนข้อความได้ ตรงกันหรือใกล้เคียงที่สุดซึ่งจะเป็นผู้ชนะ
3) เมื่อได้ผู้ชนะ ครูถามคำถามนักเรียนว่า “นักเรียนคิดว่าเราสามารถสร้างเสียงได้โดยวิธีใดบ้าง” (แนวคำตอบ: ตอบตามการได้ยินของนักเรียนแต่ละคน เช่น การพูด การตบมือ การเคาะ หรือการดีดนิ้ว เป็นต้น) 4) ครูถามเพื่อนำเข้าสู่บทเรียนว่า “นักเรียนคิดว่าเสียงเกิดขึ้นได้อย่างไร” ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (30 นาที) 5) ครูแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มกลุ่มละ 3-4 คน จากนั้นชี้แจงการทำการทดลองเรื่อง การได้ ยินเสียงผ่านตัวกลางของเสียง พร้อมแจกอุปกรณ์การทดลอง และดำเนินการทดลอง ดังนี้ 1. ให้นักเรียนยืนห่างกับเพื่อน 20 เซนติเมตร ให้เพื่อนเคาะส้อมเสียงและฟังเสียง 2. แนบหูบนโต๊ะเพื่อฟังและให้เพื่อนเคาะส้อมเสียงห่าง 20 เซนติเมตร 3.นำขวดพลาสติกที่ตัดก้นขวดแล้วจุ่มลงในอ่างน้ำเพื่อฟังเสียง ในน้ำ พร้อมกับให้เพื่อน เคาะส้อมเสียง และนำส้อมเสียงจุ่มน้ำห่างจากขวด 20 เซนติเมตร 4.บันทึกผลการสังเกตลงในตาราง และสรุปผลการทดลอง 6) นักเรียนทำการทดลอง บันทึกผลและสรุปผลการทดลองลงในใบบันทึกผลการทดลอง ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้(10 นาที) 7) ครูสุ่มนักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลการทดลองและร่วมกันสรุปผลการทดลอง เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางของเสียงว่าตัวกลางของเสียงคือวัตถุหรือสิ่งต่างๆ ที่เสียงสามารถเดิน ทางผ่านได้มี 3 ประเภท ได้แก่ ของแข็ง ของเหลวและอากาศ ชั่วโมงที่ 2 ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้(15 นาที) 8) ครูทบทวนความรู้เกี่ยวกับการได้ยินเสียงผ่านตัวกลางของเสียงที่ได้จากการทำการทดลอง ในชั่วโมงที่แล้ว 9) ครูถามนักเรียนเพื่อตรวจสอบความเข้าใจเพิ่มเติม ดังนี้ 1. เสียงเกิดได้อย่างไร (แนวคำตอบ: เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ) 2. แหล่งกำเนิดเสียงในชีวิตประจำวันที่นักเรียนรู้จัก มีอะไรบ้าง (แนวคำตอบ: วัตถุหรือ สิ่งของต่างๆ ที่เกิดการสั่นสะเทือนแล้วสามารถทำให้เกิดเสียงได้ เช่น เสียงจากเครื่องดนตรี ลำโพงหรือเสียง จากธรรมชาติเช่น ลม เสียงนก เป็นต้น) ข้อความที่กำหนดให้คนแรกของแต่ละแถวอ่าน เพื่อกระซิบส่งสาร แถวที่ 1 บ้านนายขวัญอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขงใกล้ๆกับร้านขายลาบ แถวที่ 2 ตำรวจจับตายโจรหลายศพที่แอบแฝงอยู่แขวงเมืองกาญจน์ แถวที่ 3 เสียงฟ้าร้องเกิดจากรามสูรขว้างขวานไปรังควานเมขลา แถวที่ 4 เรือลอยเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางสายฝนทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน แถวที่ 5 ไฟกำลังไหม้ลาม เขาจึงคว้าขันตักน้ำสาดไฟที่ไหม้ข้างฝา
ขั้นที่ 4 ขยายความเข้าใจ (30 นาที) 10) ครูขยายความรู้เรื่อง ในบริเวณที่ไม่มีอากาศ (สุญญากาศ) เช่น ในอวกาศ เราจะไม่ได้ยิน เสียงใดๆ เกิดขึ้นเลย เพราะไม่มีอากาศเป็นตัวกลางที่ทำให้เสียงเดินทางมาถึงหูของเราได้ 11) ครูให้นักเรียนแบ่งเป็น 2 ทีม โดยคละความสามารถกัน จากนั้นครูให้นักเรียนแต่ละทีม แยกประเภทของแหล่งกำเนิดเสียง โดยครูจะมีบัตรคำชื่อของวัตถุหรือสิ่งของต้นกำเนิดเสียงให้นักเรียนจำนวน 20 ชื่อ ให้นักเรียน ให้เวลานักเรียน 10 นาทีในหารแยกประเภทของแหล่งกำเนิดเสียง 12) ครูถามนักเรียนเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดเสียงว่า “นักเรียนคิดว่าแหล่งกำเนิดเสียง มีกี่ประเภท” (แนวคำตอบ: แหล่งกำเนิดเสียงมี 2 ประเภท ได้แก่ แหล่งกำเนิดเสียงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเช่น เสียงลม เสียง ฝน เสียงสัตว์ต่างๆ และแหล่งกำเนิดเสียงที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น เสียงจากลำโพง เครื่องดนตรี เป็นต้น) 13) ครูและนักเรียนร่วมกับอภิปรายและแยกประเภทแหล่งกำเนิดเสียงที่ครูกำหนดให้ ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (15 นาที) 14) นักเรียนทำใบบันทึกผลการทดลอง เรื่อง การได้ยินเสียงผ่านตัวกลางของเสียง ใบงาน เรื่อง การได้ยินเสียง (1) 11. สื่อการเรียนรู้ 1) สื่อการเรียนรู้ 1.1) หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ป.5 1.2) ใบงาน เรื่อง การได้ยินเสียงผ่านตัวกลางของเสียง/ ใบงาน เรื่อง การได้ยินเสียง (1) / ใบงาน เรื่อง การได้ยินเสียง (2) 1.3) PowerPoint สรุปความรู้วิทยาศาสตร์ ป.5 1.4) แบบทดสอบก่อนเรียน ประจำหน่วย พลังงานเสียง 2) แหล่งการเรียนรู้ 2.1) ห้องเรียน 2.2) ห้องสมุด
12. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ที่ วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 ตรวจใบบันทึกผลการทดลอง ใบบันทึกผลการทดลอง ร้อยละ 60 ถือว่าผ่านเกณฑ์ 2 สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ในกิจกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ 3 สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการทำงาน แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
บันทึกหลังจากการจัดการเรียนการสอน 1. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………..… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… …………………………………………………………………………………………………………………………...……………………..……… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 2. ปัญหาและอุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………..…… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 3. แนวทางแก้ไข/ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………….. ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การได้ยินเสียง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง พลังงานเสียง เวลา 8 ชั่วโมง เวลา 1 ชั่วโมง 1. สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง กับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 3. ตัวชี้วัด ว 2.3 ป.5/1 การได้ยินเสียงต้องอาศัยตัวกลาง โดยอาจเป็นของแข็ง ของเหลว หรืออากาศ เสียงจะ ส่งผ่านตัวกลางมายังหู 4. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การได้ยินเสียงต้องอาศัยตัวกลาง โดยอาจเป็นของแข็ง ของเหลว หรืออากาศ เสียงจะส่งผ่านตัวกลาง มายังหูจึงทำให้ได้ยินเสียง 5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) อธิบายเกี่ยวกับองคืประกอบของการได้ยินเสียงได้ (K) 2) ใช้ทักษะการสังเกตในกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม (P) 3) รับผิดชอบและมุ่งมั่นในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย (A) 6. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1) มีวินัย 2) ใฝ่เรียนรู้ 3) มุ่งมั่นในการทำงาน 7. สมรรถนะที่สำคัญ 1) ความสามารถในการคิด 1.1) ทักษะการสำรวจค้นหา 1.2) ทักษะการเชื่อมโยง 2) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ทักษะกระบวนการคิด การคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ
9. เนื้อหาสาระ เสียง เป็นพลังงานรูปหนึ่งที่มีลักษณะเป็นคลื่นกลที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ เมื่อวัตถุเกิด การสั่นสะเทือน จะทำให้เกิดการอัดตัว และขยายตัวของคลื่นเสียง และถูกส่งผ่านตัวกลางที่เป็นสสารอยู่ใน สถานะ ก๊าซ ของเหลว ของแข็ง (คลื่นเสียงจะไม่ผ่านสุญญากาศ) ไปยังหู ทำให้ได้ยินเสียงเกิดขึ้น เสียงเกิดขึ้น เมื่อวัตถุหรือแหล่งกำเนิดเสียง มีการสั่นสะเทือน ส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของโมเลกุลของ อากาศที่อยู่โดยรอบกล่าวคือโมเลกุลของอากาศเหล่านั้นจะเคลื่อนที่จากตำแหน่งแหล่งกำเนิดเสียงไปชนกับ โมเลกุลของอากาศที่อยู่ถัดออกไป จะเกิดการถ่ายโอนโมเมนตัมจากโมเลกุลที่มีการเคลื่อนที่ไปให้กับโมเลกุล ของอากาศ ที่อยู่ในสภาวะปกติ จากนั้นโมเลกุลที่ชนกันจะแยกออกจากกันโดยโมเลกุลของอากาศที่เคลื่อนที่มา ชนจะถูกดึงกลับไปยังตำแหน่งเดิมด้วยแรงปฎิกิริยา และโมเลกุลที่ได้รับการถ่ายโอนพลังงาน ก็จะเคลื่อนที่ ต่อไปและไปชนกับโมเลกุลของอากาศที่อยู่ถัดไป เป็นดังนี้ไปเรื่อยๆ จนเคลื่อนที่ไปถึงหู เกิดการได้ยินขึ้น การเคลื่อนที่ของเสียง ต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ เสียงมาถึงหูของเราโดยมีอากาศเป็น ตัวกลาง แหล่งกำเนิดเสียงจะทำให้อากาศรอบๆสั่นสะเทือน การสั่นสะเทือนจะกระจายออกไปรอบทุกทิศทาง เมื่อคลื่นเดินทางมาถึงหู หูจะทำหน้าที่ในการคลื่นสั่นสะเทือนไปยังอวัยวะส่วนต่างๆไปหู เพื่อส่งไปยังประสาท ส่วนการได้ยินเสียงทำให้สามารถรับรู้เสียงต่างๆ ได้ โดยองค์ประกอบของการได้ยินเสียงมี 3 อย่าง ได้แก่ 1.แหล่งกำเนิดเสียง 2.ตัวกลางของเสียงและ 3. อวัยวะรับเสียง (หู) 10. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ • วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ Inquiry Method : 5E ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (5 นาที) 1) ครูทบทวนความรู้เกี่ยวกับการเกิดเสียงและการได้ยินเสียงผ่านตัวกลางของเสียง 2) จากนั้นครูให้นักเรียนใช้มือจับที่คอตนเองแล้วพูดคุยกับเพื่อน โดยที่ให้สังเกตบริเวณคอ เวลาพูด จากนั้นใช้มือปิดปากและลองพูด สังเกตบริเวณมือในขณะที่พูด 3) ครูคำถามเพื่อนำเข้าสู่บทเรียนว่า 1. ทำไมบริเวณคอและบริเวณมือของเราถึงสั่นในขณะที่เราพูด (แนวคำตอบ: ตอบตาม การได้ยินของนักเรียนแต่ละคน) 2. เราได้ยินเสียงที่แหล่งกำเนิดต่างๆ ได้อย่าง (แนวคำตอบ: ตอบตามการได้ยินของ นักเรียนแต่ละคน) ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (30 นาที) 4) ครูทำการเปิดวิดีโอการสั่นของเส้นเสียงในลำคอ อ้างอิงจาก https://www.youtube.com/watch?time_continue=103&v=-XGds2GAvGQ
ให้นักเรียนชมเพื่อให้นักเรียนสังเกตลักษณะที่เกิดขึ้นในลำคอในขณะที่นักเรียนพูด 5) ครูสุ่มถามนักเรียนว่าเกิดอะไรขึ้นในบริเวณลำคอของเรา (แนวคำตอบ: ในขณะที่เราพูดจะ เกิดการสั่นของเส้นเสียงในลำคอของเรา) 6) ครูทำการอธิบายเพิ่มเติมว่า “ส่วนที่สั่นในคอนั้นคือกล่องเสียง เป็นกลุ่มกล้ามเนื้อและเยื่อ บางๆที่ขยับไปมาบังคับให้ลมที่ออกมาจากปอดสั่นสะเทือนเป็นคลื่นเวลาเราพูดหรือออกเสียงต่างๆ ส่วนที่สั่น มากๆคือเส้นเสียง (Vocal cords) ซึ่งเป็นแผ่นเยื่อบางๆที่สั่นเป็นร้อยๆครั้งต่อวินาที อากาศที่ผ่านกล่องเสียงจะ ออกมาจะเป็นคลื่นลอยไปตามอากาศตามปากและจมูก ออกไปสู่ภายนอกเป็นเสียงให้คนอื่นได้ยิน” 7) ครูให้นักเรียนศึกษาภาพส่วนประกอบของหู อ้างอิงจาก http://119.46.166.126/self_all/selfaccess11/m5/biology5_1/lesson4/content1.php 8) ครูอธิบายภาพประกอบว่า หูของเราแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ หูชั้นนอก หูชั้นกลางและ หูชั้นใน มีใบหูช่วยในการรับคลื่นเสียงเพื่อให้เสียงเข้าสู่รูหู ไปที่เยื่อแก้วหูที่จะเกิดการสั่นสะเทือนเมื่อได้รับเสียง จากนั้นเข้าสู่หูชั้นกลางที่มีกระดูกค้อน กระดูกทั่งและกระดูกโกลนซึ่งเป็นส่วนที่คอยรับการสั่นสะเทือนมาจาก เยื่อแก้วหู เมื่อได้รับเสียงแล้วจะส่งการสั่นสะเทือนไปสู่ส่วนนอกสุดของหูชั้นในตือคอเคลียเพื่อส่งไปยัง เส้นประสาทในการรับฟัง ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้(10 นาที) 9) ครูถามนักเรียนเพื่อนำมาสู่ข้อสรุปเกี่ยวกับการเดินทางผ่านตัวกลางของเสียง ดังนี้ 1. การที่ผู้ฟังได้ยินเสียงต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง (แนวคำตอบ: แหล่งกำเนิดเสียง ตัวกลางของเสียงและอวัยวะรับเสียงหรือหู) 2. นักเรียนคิดว่าผนังห้องที่ทำด้วยปูนกับผนังห้องที่ทำด้วยไม้ เสียงสามารถเดินทางผ่าน สิ่งใดได้ดีกว่ากัน เพราะอะไร (แนวคำตอบ: เสียงเดินทางผ่านไม้ได้ดีกว่า เพราะมีความแข็งน้อยกว่าปูน)
3. อวัยวะใดของหูที่เกิดการสั่นสะเทือนเมื่อได้ยินเสียง (เยื่อแก้วหู กระดูกค้อน กระดูก ทั่งและกระดูกโคลนและมีคอเคลีย คอยรับการสั่นสะเทือนเพื่อส่งไปยังเส้นประสาทในการรับฟัง) ขั้นที่ 4 ขยายความเข้าใจ (5 นาที) 10) ครูขยายความเข้าใจเรื่ององค์ประกอบของการได้ยินเสียง โดยการนำหลักการของการลด เสียงดังรบกวนโดยการสร้างห้องเก็บเสียง ความหมายของห้องเก็บเสียงก็คือห้องที่ไม่ยอมให้เสียงทะลุผ่านผนัง ห้องออกไป ทำให้ผู้รับเสียงที่อยู่ภายนอกห้องไม่ได้ยินเสียงจากแหล่งกำเนิดเสียงหรือกิจกรรมการทำงานใดๆที่ เกิดขึ้นภายในห้องนั่นเอง นิยมใช้กับ ห้องโฮมเธียเตอร์ ห้องอัดเสียงเป็นต้น ปัจจุบันการสร้างห้องเด็บเสียงทำ ได้หลายแบบทั้งแบบกั้นผนังห้อง 2 ชั้นและการใช้แผ่นซับเสียง โดยมีมีเสียงรบกวนและไม่ก่อความเดือดร้อน รำคาญให้แก่บุคคลที่อยู่ด้านนอกห้อง ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (10 นาที) 11) นักเรียนทำใบงาน เรื่อง การได้ยินเสียง (2) 11. สื่อการเรียนรู้ 1) สื่อการเรียนรู้ 1.1) หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ป.5 1.2) ใบงาน เรื่อง การได้ยินเสียง (2) 1.3) PowerPoint สรุปความรู้วิทยาศาสตร์ ป.5 2) แหล่งการเรียนรู้ 2.1) ห้องเรียน 2.2) ห้องสมุด
12. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ที่ วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 ตรวจใบบันทึกผลการทดลอง ใบบันทึกผลการทดลอง ร้อยละ 60 ถือว่าผ่านเกณฑ์ 2 สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ในกิจกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ 3 สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการทำงาน แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
บันทึกหลังจากการจัดการเรียนการสอน 1. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………..… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… …………………………………………………………………………………………………………………………...……………………..……… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 2. ปัญหาและอุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………..…… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 3. แนวทางแก้ไข/ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………….. ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง ลักษณะของเสียง (เสียงสูง – เสียงต่ำ) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง พลังงานเสียง เวลา 8 ชั่วโมง เวลา 2 ชั่วโมง 1. สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง กับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 3. ตัวชี้วัด ว 2.3 ป.5/2 ระบุตัวแปร ทดลอง และอธิบายลักษณะและการเกิดเสียงสูง เสียงต่ำ 4. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด เสียงที่ได้ยินมีระดับสูงต่ำของเสียงต่างกันขึ้นกับความถี่ของการสั่นของแหล่งกำเนิดเสียง โดยเมื่อ แหล่งกำเนิดเสียงสั่นด้วยความถี่ต่ำจะเกิดเสียงต่ำแต่ถ้าสั่นด้วยความถี่สูงจะเกิดเสียงสูง 5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) อธิบายลักษณะและการเกิดเสียงสูง เสียงต่ำได้ (K) 2) ระบุตัวแปรการทดลองเกี่ยวกับการเกิดเสียงสูง เสียงต่ำได้(P) 3) รับผิดชอบและมุ่งมั่นในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย (A) 6. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1) มีวินัย 2) ใฝ่เรียนรู้ 3) มุ่งมั่นในการทำงาน 7. สมรรถนะที่สำคัญ 1) ความสามารถในการคิด 1.1) ทักษะการสำรวจค้นหา 1.2) ทักษะการเชื่อมโยง 2) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ทักษะกระบวนการคิด การคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ 9. เนื้อหาสาระ การสั่นสะเทือนของแหล่งกำเนิดเสียงทำให้เกิดเสียง โดยจำนวนรอบในการสั่นของแหล่งกำเนิดเสียง ในหนึ่งวินาที เรียกว่า ความถี่ของเสียง มีหน่วยเป็น ครั้งต่อวินาที เรียกว่า เฮิรตซ์ (Hz) เสียงที่อยู่รอบๆ ตัวเรา
นั้นมีความแตกต่างกันแสดงว่าเสียงเหล่านั้นมีความถี่และมีปริมาณพลังงานในการสั่นของแหล่งกำเนิดเสียงที่ แตกต่างกันด้วย จึงทำให้เกิดเสียงหลายลักษณะ เช่น เสียงสูง เสียงต่ำ เสียงดัง เสียงค่อย 1. เสียงสูง – เสียงต่ำ เป็นสมบัติประการหนึ่งของเสียงที่มีความสัมพันธ์กับแหล่งกำเนิดเสียง เรียกว่า ระดับเสียง จะขึ้นอยู่กับความถี่ในการสั่นสะเทือนของวัตถุที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียง 10. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ • วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ Inquiry Method : 5E ชั่วโมงที่ 1 ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (15 นาที) 1) ครูทบทวนเกี่ยวกับองค์ประกอบของการเกิดเสียง ได้แก่ แหล่งกำเนิดเสียง ตัวกลางของ เสียงและอวัยวะรับเสียง 2)ครูนำไม้บรรทัดพลาสติก 2 อัน มาวางบนโต๊ะ โดยให้ยื่นออกมาจากขอบโต๊ะประมาณ 10 เซนตเมตร ใช้มือกดปลายไม้บรรทัดที่ยื่นออกมาแล้วปล่อย จากนั้นนำไม้บรรทัดพลาสติกอีกอัน มาวางบนโต๊ะ โดยให้ยื่นออกมาจากขอบโต๊ะประมาณ 20 เซนตเมตร ใช้มือกดปลายไม้บรรทัดที่ยื่นออกมาแล้วปล่อย โดยใช้ แรงเท่าครั้งแรกแล้วปล่อย สังเกตการณ์สั่นของไม้บรรทัดและระดับเสียงที่ได้ยินจากไม่บรรทัดทั้ง 2 ครั้ง 3) นักเรียนร่วมกันอภิปรายผลการทดลอง โดยครูถามนักเรียนว่า “เสียงที่นักเรียนได้ยินมี ลักษณะอย่างไร” (แนวคำตอบ: มีลักษณะเป็นเสียงสูง – เสียงต่ำ) 4) ครูถามนักเรียนว่า “นอกจากเสียงสูง – เสียงต่ำ ลักษณะของเสียงมีอะไรอีกบ้าง” (แนว คำตอบ: เสียงดัง – เสียงค่อย) 5) ครูถามเพื่อเข้าสู่บทเรียนว่า “นักเรียนทราบหรือไม่ว่าเสียงสูง – เสียงต่ำ เสียงดังและเสียง ค่อย มีลักษณะอย่างไร” ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (45 นาที) 6) แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน เพื่อทำกิจกรรมเรื่อง เสียงสูง - เสียงต่ำ 7) ครูแจกอุปกรณ์ให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม ดังนี้ ช้อน 1 คัน น้ำเปล่า 2 ลิตร ขวดแก้วที่มีขนาด เท่ากัน 3 ใบ 8) เตรียมการทดลอง โดย ขวดใบที่ 1 ไม่ใส่น้ำ ขวดใบที่ 2 ใส่น้ำครึ่งขวดและขวดใบที่ 3 ใส่ น้ำเต็มขวด แล้ววางเรียงลำดับกัน จากนั้นให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกแบบการทดลองโดยให้ระบุ ตัวแปรต้น ตัวแปรตามตัวแปรควบคุม สมมติฐานการทดลอง 9) ทำการทดลองโดยใช้ด้ามช้อนเคาะขวดน้ำทั้ง 3 ใบ ด้วยแรงที่เท่ากัน สังเกตผลที่เกิดขึ้น บันทึกผล สรุปและอภิปรายผลการทดลองที่เกิดขึ้นร่วมกัน โดยใช้คำถามต่อไปนี้ 1. น้ำในขวดไหนที่มีเสียงสูงสุดและต่ำที่สุด (แนวคำตอบ: ขวดใบที่ 1 มีเสียงสูงสุด ส่วน ขวดใบที่ 3 มีเสียงต่ำสุด)
2. ในขณะเคาะขวดแก้ว น้ำในขวดมีลักษณะอย่างไร (แนวคำตอบ: น้ำในขวดมีการ สั่นสะเทือนจากการเคาะจึงทำให้เกิดเสียง) 3. เสียงสูง – เสียงต่ำ คืออะไร (แนวคำตอบ: ระดับเสียงที่เกิดจากความเร็วในการ สั่นสะเทือนของแหล่งกำเนิดเสียง) 4. เสียงสูง – เสียงต่ำ ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง (แนวคำตอบ: การสั่นสะเทือนของแหล่งกำเนิด เสียงและความถี่ของเสียง) 10) ให้นักเรียนทำใบบันทึกผลการทดลอง เรื่อง เสียงสูง – เสียงต่ำ และใบงาน เรื่อง ลักษณะของเสียง ชั่วโมงที่ 2 ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (ต่อ) (30 นาที) 11) ครูทบทวนความรู้เรื่องเสียงสูง – เสียงต่ำ ในชั่วโมงที่แล้ว 12) ครูขอตัวแทนนักเรียน 3 คนเพื่อสาธิตกิจกรรมต่อไปนี้ 1. นำเส้นเอ็นขึงบนโต๊ะใน 2 ลักษณะ คือ ขึงแบบตึงและไม่ตึง ใช้มือดีดยางวงทั้ง 2 เส้น สังเกตผลที่เกิดขึ้น 2. นำยางวงเส้นเล็กและยางวงเส้นใหญ่มาขึงให้ตึงทั้ง 2 เส้น จากนั้นใช้มือดีดยางวงทั้ง 2 เส้น สังเกตผลที่เกิดขึ้น 3. นำเส้นเอ็นขนาดเท่ากัน 2 เส้น ที่มีความยาวแตกต่างกันมาขึงให้ตึง จากนั้นใช้มือดีด ยางวงทั้ง 2 เส้น สังเกตผลที่เกิดขึ้น 13) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายถึงกิจกรรมที่ทำ โดยครูถามนักเรียนว่า “นักเรียนคิดว่า ปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อการเกิดเสียงสูง เสียงต่ำ” (แนวคำตอบ: ขนาดของวัตถุกำเนิดเสียง ความยาวของวัตถุ กำเนิดเสียงและความตึงของวัตถุกำเนิดเสียง) ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้(10 นาที) 14) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปเกี่ยวกับลักษณะของเสียง เสียงสูง-เสียงต่ำ ดังนี้ เสียงสูง – เสียงต่ำ เป็นสมบัติประการหนึ่งของเสียงที่มีความสัมพันธ์กับแหล่งกำเนิดเสียง เรียกว่าระดับเสียง จะขึ้นอยู่กับความถี่ในการสั่นสะเทือนของวัตถุที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียง 15) ครูตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียน โดยใช้คำถามต่อไปนี้ 1. ปัจจัยที่ทำให้เกิดเสียงสูง – เสียงต่ำ มีอะไรบ้าง (แนวคำตอบ: ขนาดของวัตถุกำเนิด เสียง ความยาวของวัตถุกำเนิดเสียงและความตึงของวัตถุกำเนิดเสียง) 2. ในชีวิตประจำวัน นักเรียนพบลักษณะของเสียงที่เป็นเสียงสูง – เสียง จากที่ไหนบ้าง (แนวคำตอบ: การเล่นเครื่องเล่นดนตรีในวงดนตรีต่างๆ การร้องเพลง เป็นต้น)
ขั้นที่ 4 ขยายความรู้(10 นาที) 16) ครูอธิบายเกี่ยวกับระดับเสียงว่า ระดับเสียงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับขนาด ความยาวและความตึงของวัตถุที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียง ถ้าวัตถุที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียงที่มีขนาดเล็ก มีความยาว น้อยหรือมีความตึงมากจะสั่นสะเทือนเร็วทำให้เกิดเสียงสูง แต่ถ้าวัตถุที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียงมีขนาดใหญ่ มี ความยาวมากหรือมีความตึงน้อย (หย่อน) จะสั่นสะเทือนช้าทำให้เกิดเสียงต่ำ 17) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสอบถามเกี่ยวกับลักษณะของเสียง การเกิดเสียงสูง – เสียงต่ำ เพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจมากขึ้น ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (10 นาที) 18) นักเรียนทำใบบันทึกผลการทดลอง เรื่อง เสียงสูง – เสียงต่ำ /ใบงาน เรื่อง เสียงสูง-เสียง ต่ำ และใบงานเรื่อง ลักษณะของเสียง 11. สื่อการเรียนรู้ 1) สื่อการเรียนรู้ 1.1) หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ป.5 1.2) ใบบันทึกผลการทดลอง เรื่อง เสียงสูง – เสียงต่ำ / ใบงาน เรื่อง เสียงสูง-เสียงต่ำ และ ใบงานเรื่อง ลักษณะของเสียง 1.3) PowerPoint สรุปความรู้วิทยาศาสตร์ ป.5 2) แหล่งการเรียนรู้ 2.1) ห้องเรียน 2.2) ห้องสมุด
12. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ที่ วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 ตรวจใบบันทึกผลการทดลอง / ใบงาน ใบบันทึกผลการทดลอง /ใบงาน ร้อยละ 60 ถือว่าผ่านเกณฑ์ 2 สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ในกิจกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ 3 สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการทำงาน แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
บันทึกหลังจากการจัดการเรียนการสอน 1. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………..… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… …………………………………………………………………………………………………………………………...……………………..……… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 2. ปัญหาและอุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………..…… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 3. แนวทางแก้ไข/ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………….. ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง ลักษณะของเสียง (เสียงดัง – เสียงค่อย) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง พลังงานเสียง เวลา 8 ชั่วโมง เวลา 1 ชั่วโมง 1. สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง กับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 3. ตัวชี้วัด ว 2.3 ป.5/2 ออกแบบการทดลองและอธิบายลักษณะและการเกิดเสียงดัง เสียงค่อย 4. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด ระดับเสียงดัง เสียงค่อยที่ได้ยินขึ้นกับพลังงานการสั่นของแหล่งกำเนิดเสียง โดยเมื่อแหล่งกำเนิดเสียง สั่นด้วยพลังงานมากจะเกิดเสียงดัง แต่ถ้าแหล่งกำเนิดเสียงสั่นด้วยพลังงานน้อยจะเกิดเสียงค่อย 5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) อธิบายลักษณะและการเกิดเสียงดัง เสียงค่อยได้ (K) 2) ออกแบบการทดลองการเกิดเสียงดัง เสียงค่อยได้(P) 3) รับผิดชอบและมุ่งมั่นในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย (A) 6. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1) มีวินัย 2) ใฝ่เรียนรู้ 3) มุ่งมั่นในการทำงาน 7. สมรรถนะที่สำคัญ 1) ความสามารถในการคิด 1.1) ทักษะการสำรวจค้นหา 1.2) ทักษะการเชื่อมโยง 2) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ทักษะกระบวนการคิด การคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ
9. เนื้อหาสาระ การสั่นสะเทือนของแหล่งกำเนิดเสียงทำให้เกิดเสียง โดยจำนวนรอบในการสั่นของแหล่งกำเนิดเสียง ในหนึ่งวินาที เรียกว่า ความถี่ของเสียง มีหน่วยเป็น ครั้งต่อวินาที เรียกว่า เฮิรตซ์ (Hz) เสียงที่อยู่รอบๆ ตัวเรา นั้นมีความแตกต่างกันแสดงว่าเสียงเหล่านั้นมีความถี่และมีปริมาณพลังงานในการสั่นของแหล่งกำเนิดเสียงที่ แตกต่างกันด้วย จึงทำให้เกิดเสียงหลายลักษณะ เช่น เสียงสูง เสียงต่ำ เสียงดัง เสียงค่อย เสียงดัง – เสียงค่อย เป็นสมบัติของเสียงที่เรียกว่า ความดังของเสียง ขึ้นอยู่กับปริมาณพลังงานของ เสียงที่เดินทางมาถึงหูเรา เสียงต่างๆ ที่ได้ยินจะมีความดังของเสียงไม่เท่ากัน ซึ่งปัจจัยที่ทำให้วัตถุเกิดเสียงดัง เสียงค่อย ได้แก่ ระยะทางจากแหล่งกำเนิดเสียงและพลังงานในการสั่นสะเทือนของแหล่งกำเนิดเสียง ซึ่งใน การวัดความดังของเสียงจะใช้เครื่องมือวัดระดับความเข้มของเสียง เรียกว่า เครื่องมือวัดระดับเสียง (sound level meter) ซึ่งมีหน่วยเป็นเดซิเบล (dB) 10. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ • วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ Inquiry Method : 5E ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (5 นาที) 1) ครูทบทวนเกี่ยวกับการเกิดเสียงสูง – เสียงต่ำ 2)ครูขอตัวแทนนักเรียน 1 คน ออกมาทำกิจกรรมหน้าชั้นเรียน จากนั้นครูให้ตัวแทนนักเรียน ตะโกนใส่ลังกระดาษที่ปิดสนิทแล้วให้เพื่อนสังเกตเสียงที่ได้ยิน 3)จากนั้นครูให้ตัวแทนนักเรียนคนเดิมใช้เสียงระดับเท่าเดิมตะโกนโดยที่ไม่ต้องใส่ลังกระดาษ ให้เพื่อนสังเกตเสียงที่ได้ยิน 4) ครูถามนักเรียนว่า นักเรียนคิดว่าเสียงที่เพื่อนตะโกนทั้ง 2 ครั้ง แตกต่างกันอย่างไร (แนว คำตอบ: ครั้งแรกเสียงจะเบา ครั้งที่ 2 เสียงดัง) 5) ครูถามเพื่อเข้าสู่บทเรียนว่า “นักเรียนทราบหรือไม่ว่าเสียงดังและเสียงค่อย มีลักษณะอย่างไร” ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (20 นาที) 6) ครูแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม 4 กลุ่ม จากนั้นครูแจกอุปกรณ์ ได้แก่ กล่องกระดาษที่ปิด สนิท 1 กล่อง พร้อมไม้ตีคนละ 1 อัน 7) ให้สมาชิกในกลุ่มร่วมกันระดมความคิดเห็นและหาวิธีทำให้กล่องกระดาษเกิดเสียงดัง เสียงค่อย แล้วบันทึกลงในสมุด 8) นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรมตามวิธีที่ร่วมกันออกแบบ จากนั้นร่วมกันสังเกตเสียงที่ เกิดขึ้น แล้วบันทึกผล 9) แต่ละกลุ่มสรุปผลการทำกิจกรรม แล้วนำเสนอหน้าชั้นเรียน ให้ครูและเพื่อนอภิปราย เกี่ยวกับการออกแบบหารทดลองเสียงดัง - เสียงค่อย ร่วมกัน
ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้(10 นาที) 10) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลการทำกิจกรรมและสรุปเกี่ยวกับลักษณะของเสียงดังเสียงค่อย ดังนี้ เสียงดัง – เสียงค่อย เป็นสมบัติของเสียงที่เรียกว่า ความดังของเสียง ขึ้นอยู่กับปริมาณพลังงาน ของเสียงที่เดินทางมาถึงหูเสียงต่างๆ ที่ได้ยินจะมีความดังของเสียงไม่เท่ากัน เช่น เสียงเครื่องบินมีพลังงาน ของเสียงมากทำให้เกิดเสียงดัง เสียงการบินของยุงมีพลังงานเสียงน้อยกว่าจึงทำให้เกิดเสียงเบา ขั้นที่ 4 ขยายความรู้(20 นาที) 11) ครูพานักเรียนทำกิจกรรม โดยให้นักเรียนแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มเดิม ดังนี้ 1. กลุ่มที่ 1 ให้นักเรียนแสดงระดับเสียงดัง – เสียงค่อย โดยการใช้ระยะทางจาก แหล่งกำเนิดถึงผู้ฟัง (ให้นักเรียนคุยกับเพื่อนกลุ่มอื่นในห้องจากนั้นให้ค่อยเดินออกจากห้องไปแล้วใช้ระดับเสียง เท่าเดิมในการคุย สังเกตและอภิปรายผลที่เกิดขึ้น) 2. กลุ่มที่ 2 ให้นักเรียนแสดงระดับเสียงดัง – เสียงค่อย โดยการใช้ความแรงใน การสั่นสะเทือนของวัตถุแหล่งกำเนิดเสียง (โดยการสั่นกระดิ่งด้วยความถี่สูงเปรียบเทียบกับการสั่นด้วยความถี่ ต่ำ สังเกตและอภิปรายผลที่เกิดขึ้น) 3. กลุ่มที่ 3 ให้นักเรียนแสดงระดับเสียงดัง – เสียงค่อย โดยการใช้ชนิดของตัวกลาง (ด้วย การเคาะขวดแก้วที่มีน้ำเต็มและขวดแก้วที่มีน้ำ 1/4 ของขวด สังเกตและอภิปรายผลที่เกิดขึ้น) 4. กลุ่มที่ 4 ให้นักเรียนแสดงระดับเสียงดัง – เสียงค่อย โดยการใช้ขนาดและรูปร่างของ วัตถุ (ด้วยการเคาะกระดิ่งและระฆัง สังเกตและอภิปรายผลที่เกิดขึ้น) 12) ครูถามนักเรียนว่า “ปัจจัยที่ทำให้เกิดเสียงดัง – เสียงค่อย มีอะไรบ้าง” (แนวคำตอบ: ระยะทางจากแหล่งกำเนิดถึงผู้ฟัง ความแรงในการสั่นสะเทือนของวัตถุแหล่งกำเนิดเสียง ชนิดของตัวกลาง และขนาดและรูปร่างของวัตถุ) ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (5 นาที) 13) นักเรียนทำใบงานเรื่อง เสียงดัง-เสียงค่อย 11. สื่อการเรียนรู้ 1) สื่อการเรียนรู้ 1.1) หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ป.5 1.2) ใบงานเรื่อง เสียงดัง-เสียงค่อย 1.3) PowerPoint สรุปความรู้วิทยาศาสตร์ ป.5 2) แหล่งการเรียนรู้ 2.1) ห้องเรียน 2.2) ห้องสมุด
12. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ที่ วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 ตรวจใบงาน ใบงาน ร้อยละ 60 ถือว่าผ่านเกณฑ์ 2 สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ในกิจกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ 3 สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการทำงาน แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
บันทึกหลังจากการจัดการเรียนการสอน 1. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………..… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… …………………………………………………………………………………………………………………………...……………………..……… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 2. ปัญหาและอุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………..…… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 3. แนวทางแก้ไข/ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………….. ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง มลพิษทางเสียง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง พลังงานเสียง เวลา 8 ชั่วโมง เวลา 2 ชั่วโมง 1. สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง กับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 3. ตัวชี้วัด ว 2.3 ป.5/4 วัดระดับเสียงโดยใช้เครื่องมือวัดระดับเสียง ว 2.3 ป.5/5 ตระหนักในคุณค่าของความรู้เรื่องระดับเสียงโดยเสนอแนะแนวทางในการหลีกเลี่ยงและ ลดมลพิษทางเสียง 4. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด เสียงดังมาก ๆ เป็นอันตรายต่อการได้ยินและเสียงที่ก่อให้เกิดความรำคาญเป็นมลพิษทางเสียง เดซิเบลเป็นหน่วยที่บอกถึงความดังของเสียง ในการวัดระดับเสียง จะใช้เครื่องมือวัดระดับความเข้มเสียงที่ เรียกว่า เครื่องวัดระดับเสียง (sound level meter) ซึ่งมีหน่วยเป็นเดซิเบล (dB) 5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) ตระหนักในคุณค่าของความรู้เรื่องระดับเสียงโดยเสนอแนะแนวทางในการหลีกเลี่ยงและลดมลพิษ ทางเสียง (K) 2) วัดระดับเสียงโดยใช้เครื่องมือวัดระดับเสียงได้(P) 3) รับผิดชอบและมุ่งมั่นในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย (A) 6. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1) มีวินัย 2) ใฝ่เรียนรู้ 3) มุ่งมั่นในการทำงาน 7. สมรรถนะที่สำคัญ 1) ความสามารถในการคิด 1.1) ทักษะการสำรวจค้นหา 1.2) ทักษะการเชื่อมโยง 2) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 3) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
8. ทักษะกระบวนการคิด การคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ 9. เนื้อหาสาระ ในการวัดระดับเสียง จะใช้เครื่องมือวัดระดับความเข้มเสียงที่เรียกว่า เครื่องวัดระดับเสียง (sound level meter) ซึ่งมีหน่วยเป็นเดซิเบล (dB) โดยทั่วไปจะเป็นเครื่องมือวัดแบบถือและมีไมโครโฟนสำหรับติดกับ เครื่องเพื่อใช้วัดระดับเสียง ซึ่งจะใช้ตรวจสอบว่า เสียงที่เกิดขึ้นมีความดังเกินกว่ากฎหมายกำหนดหรือไม่ หรือ ตรวจสอบว่าความดังของเสียงที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อการได้ยินของเราหรือไม่ มลพิษทางเสียง (Noise Pollution) หมายถึง เสียงที่ก่อเกิดความรำคาญและเกินขีดความสามารถที่ โสตประสาทจะรับได้โดยที่ความสามารถในการรับฟังเสียงของมนุษย์ สามารถฟังเสียงได้ตั้งแต่ 20-20,000 เฮิรตซ์ และความถี่ของเสียงพูดอยู่ระหว่าง 500-2,000 เฮิรตซ์ ความเข้มเสียงที่ปลอดภัยต้องไม่เกิน 85 เดซิ เบล และได้ยินติดต่อกันไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง หากได้รับมลพิษทางเสียงมากจนเกินไปจะทำให้ผลกระทบจาก มลพิษทางเสียง เช่น อันตรายต่อระบบการได้ยิน เยื่อแก้วหูและประสาทรับฟังเสื่อม เกิดอาการหูอื้อชั่วคราว หรืออาจทำให้หูหนวกได้ นอกจากนี้ยังรบกวนการติดต่อสื่อสารหรือสร้างความรำคาญ เป็นต้น โดยแนวทาง การป้องกันและหลักเลี่ยงมลพิษทางเสียงทำได้หลายวิธี เช่น การปลูกต้นไม้สูงหรือสร้างกำแพงเพื่อเป็นแนวกั้น เสียง ใช้มืออุดหูทันทีเมื่อได้ยินเสียงดังมากๆ อย่างกะทันหัน ควรมีอุปกรณ์ครอบหูเพื่อป้องกันเสียงดังสำหรับผู้ ที่ทำงานอยู่ใกล้บริเวณที่มีเสียงดังประจำและลดการฟังเครื่องเสียงให้อยู่ในความดังระดับที่เหมาะสมและไม่ ควรใส่หูฟังเป็นเวลานานๆ เพราะอาจทำให้เยื่อแก้วหูเสื่อมได้ 10. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ • วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ Inquiry Method : 5E ชั่วโมงที่ 1 ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (15 นาที) 1) ครูนำลำโพงมาตั้งบนโต๊ะหน้าชั้นเรียน แล้วเปิดเพลงครั้งที่ 1 เสียงเบาและครั้งที่ 2 เสียง ดัง แล้วตั้งคำถามดังนี้ 1. เสียงที่ได้ยินครั้งแรกเป็นอย่างไร (แนวคำตอบ: เสียงเบา) 2. เสียงที่ได้ยินครั้งที่ 2 เป็นอย่างไร (แนวคำตอบ: เสียงดัง) 3. เสียงที่ได้ยินทั้ง 2 ครั้ง มีความแตกต่างกันในเรื่องใด (แนวคำตอบ: ระดับความดังของ เสียงเพลงจากลำโพง) 2)ครูถามนักเรียนเพื่อนำเข้าสู่บทเรียน ดังนี้ 1. เราสามารถรู้ระดับความดังของเสียงได้อย่างไร (แนวคำตอบ: ใช้เครื่องมือ/อุปกรณ์ใน การวัดความดังของเสียง) 2. นักเรียนคิดว่าหูของเราสามารถรับเสียงดังมากที่สุด ระดับไหน (แนวคำตอบ: ตอบตาม ความคิดของนักเรียน)
3. หากเราได้รับเสียงที่ดังมากๆ เป็นประจำ จะเป็นอย่างไร (แนวคำตอบ: ตอบตาม ความคิดของนักเรียน) ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (45 นาที) 3) ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 – 5 คน เพื่อทำการศึกษาและทดลองใช้งานเครื่องวัด ระดับความดังเสียง 4) ครูเปิดวิดีโอสาธิตการใช้งานเครื่องวัดความดังเสียง ให้นักเรียนชม อ้างอิงจาก https://www.youtube.com/watch?v=gfKWpZokmTY. 5) ครูนำสาธิตวิธีใช้งานเครื่องวัดความดังเสียงพร้อมทั้งให้นักเรียนทดลองใช้งานจริง 6) จากนั้นครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มแยกไปทำการทดสอบความดังของเสียงต่างๆ ที่พบใน ชีวิตประจำวันในบริเวณโรงเรียน โดยให้สำรวจเสียงทั้งหมด 10 เสียง เพื่อใช้ทดสอบความดังโดยใช้เครื่องวัด ความดัง แบบมือถือที่ครูแจกให้ 7) นักเรียนทำใบงาน เรื่อง การวัดระดับเสียง 8) ครูสุ่มนักเรียนประมาณ 2 -3 คน ออกมานำเสนอผลการสำรวจระดับความดังเสียงพร้อม ทั้งให้เพื่อนในห้องร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับระดับความดังของเสียงที่พบในชีวิตประจำวัน ชั่วโมงที่ 2 ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (20 นาที) 9) ครูทบทวนเกี่ยวกับการวัดระดับเสียง โดยใช้คำถามต่อไปนี้ 1. เครื่องมือที่ใช้วัดระดับเสียงคืออะไร (แนวคำตอบ: เครื่องวัดระดับเสียงแบบมือถือ sound level meter) 2. หน่วยที่ใช้วัดระดับเสียงคืออะไร (แนวคำตอบ: เดซิเบล(dB)) 10) ครูนำภาพเกี่ยวกับเสียงที่เป็นอันตรายและไม่เป็นอันตรายต่อหูให้นักเรียนดู แล้วตั้งคำถาม 1. เสียงในภาพใดบ้างที่ไม่เป็นอันตรายต่อหูของเรา 2. เสียงในภาพใดบ้างที่เป็นอันตรายต่อหูของเรา
11) ครูและนักเรียนร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับอันตรายที่เกิดจากระดับความดังของเสียง โดยครู ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายของมลพิษทางเสียงและวิธีการป้องกันอันตรายจากมลภาวะทางเสียง เพื่อนำมาเสนอหน้าชั้นเรียน 12. ครูสุ่มนักเรียนมานำเสนอเกี่ยวกับมลพิษทางเสียงและวิธีป้องกัน และเปิดโอกาสให้เพื่อน ได้ซักถามข้อมูลเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้(10 นาที) 13) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการวัดระดับเสียงและมลพิษทางเสียง ดังนี้ 1. การวัดระดับเสียง จะใช้เครื่องมือวัดระดับความเข้มเสียงที่เรียกว่า เครื่องวัดระดับ เสียง (sound level meter) ซึ่งมีหน่วยเป็นเดซิเบล (dB) โดยทั่วไปจะเป็นเครื่องมือวัดแบบถือและมี ไมโครโฟนสำหรับติดกับเครื่องเพื่อใช้วัดระดับเสียง 2. มลพิษทางเสียง (Noise Pollution) หมายถึง เสียงที่ก่อเกิดความรำคาญและเกินขีด ความสามารถที่โสตประสาทจะรับได้ 3. หากได้รับมลพิษทางเสียงมากจนเกินไปจะทำให้ผลกระทบจากมลพิษทางเสียง เช่น อันตรายต่อระบบการได้ยิน เยื่อแก้วหูและประสาทรับฟังเสื่อม เกิดอาการหูอื้อชั่วคราวหรืออาจทำให้หูหนวก ได้ นอกจากนี้ยังรบกวนหรือสร้างความรำคาญได้ 4. มลภาวะของเสียงป้องกันได้โดย 1.ใช้ที่ครอบหูป้องกันเสียง 2.ลดความดังของเครื่อง เสียง หรือ 3.ใช้แนวต้นไม้หรือแนวปูนกั้นเสียง เป็นต้น ขั้นที่ 4 ขยายความรู้(5 นาที) 14) ครูขยายความรู้เกี่ยวกับ มลพิษทางเสียง โดยการอภิปรายร่วมกับนักเรียน ดังนี้ โดยทั่วไปหูของคนปกติจะสามารถรับเสียงที่มีความดังของเสียงต่ำสุด 0 เดซิเบล และสูงสุด 120 เดซิเบล ความถี่ของคลื่นเสียงตั้งแต่ 20 – 20,000 เฮิรตช์ ซึ่งระดับเสียงที่มีความปลอดภัยสำหรับมนุษยคือ ความดัง ประมาณ 75 เดซิเบล หรือน้อยกว่านั้น การรับฟังเสียงที่มีความดัง 85 เดซิเบล ขึ้นไป ติดต่อกันเกินวันละ 8 ชั่วโมง จะทำให้เยื่อแก้วหูเป็นอันตราย เกิดอาการมึนงงและอาจส่งผลต่อภาวะอื่นๆ ในร่างกายได้ ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (25 นาที) 15) ทำแบบทดสอบท้ายหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร 16) การทำใบงานเรื่อง การวัดระดับเสียงและใบงานเรื่อง พลังงานเสียง 11. สื่อการเรียนรู้ 1) สื่อการเรียนรู้ 1.1) หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ป.5 1.2) ใบงานเรื่อง การวัดระดับเสียงและใบงานเรื่อง มลพิษทางเสียง 1.3) PowerPoint สรุปความรู้วิทยาศาสตร์ ป.5 1.4) วิดีโอสาธิตการใช้งานเครื่องวัดความดังเสียง 1.5) แบบทดสอบท้ายหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง พลังงานเสียง
2) แหล่งการเรียนรู้ 2.1) ห้องเรียน 2.2) ห้องสมุด 12. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ที่ วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 ตรวจใบงาน ใบงาน ร้อยละ 60 ถือว่าผ่านเกณฑ์ 2 สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ในกิจกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ 3 สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการทำงาน แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ นักเรียนผ่านเกณฑ์ ระดับพอใช้ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............
บันทึกหลังจากการจัดการเรียนการสอน 1. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………..… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… …………………………………………………………………………………………………………………………...……………………..……… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 2. ปัญหาและอุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………..…… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… 3. แนวทางแก้ไข/ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… …………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………………………...……………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………….. ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….… ลงชื่อ............................................................. ครูผู้สอน (นาย สุพศิน นาวัลย์) ตำแหน่ง ครูโรงเรียนชุมชนศิลาเพชร .............../..................../..............