ชีวิ ชี ตวิมัธ มั ยม High school life
ชีวิตมัธยม
ก คำนำ เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากชีวิตของฉันเอง เป็น เรื่องราวส่วนหนึ่งในชีวิตมอปลาย ที่มีส่วนทำให้ฉันเป็นตัวฉันเองใน ทุกวันนี้ และเหตุผลที่เขียนเรื่องนี้ก็คืออยากเก็บมันไว้เป็นเรื่องราวที่ เมื่อคิดถึงเมื่อไหร่ก็สามารถเปิดกลับมาอ่านได้ถึงจะมีดัดแปลงไป บ้าง แต่ก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น ในความจริงแล้วฉันอยาก เขียนเรื่องราวในพาร์ทอื่นๆด้วย แต่ด้วยความที่เวลาค่อนข้างสั้น จึง ทำให้ไม่มีเวลาในการเรียบเรียงเนื้อเรื่องมากนัก ฉันจึงหยิบส่วนที่ รู้สึกว่าสามารถนำมาเรียบเรียงและเขียนใหม่ได้ง่าย มาเขียนลงใน หนังสือเล่มนี้ ถ้าเรื่องนี้มีผู้อ่านท่านใดรู้สึกว่าไม่ตรงใจก็ขออภัยด้วย แต่อยากให้ลองเปิดใจกว้างๆ และคิดว่าชีวิตนั้นมีหลายด้านหลาย มุมมอง เป็นธรรมดาที่จะมีไม่ถูกใจ แต่ก็อยากจะให้อ่านจนจบ เพราะผู้เขียนตั้งใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆ จากผู้เขียน
ข สารบัญ คำนำ.........................................................................................- 0 - สารบัญ......................................................................................- 1 - เรื่องมันเกิดขึ้นจากตรงนี้................................................................1 แต่แล้วฉันก็ทำให้เรื่องราวมันเกิดขึ้น ..............................................5 มันเกือบจะจบแล้ว.........................................................................9 ประวัติผู้เขียน...............................................................................13
⋆——————✧◦♚◦✧——————⋆
1 บทที่ 1 เรื่องมันเกิดขึ้นจากตรงนี้ สวัสดีค่ะ ฉันเป็นนักเรียนชั้นมอสี่ ฉันสอบติดโรงเรียนชื่อดัง แห่งหนึ่ง วันนี้เป็นวันแรกของการมาโรงเรียน ตอนที่สอบติด โรงเรียนนี้ฉันตั้งใจไว้ว่าฉันจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากๆ ฉัน เป็นคนที่สนใจหลงใหลในวิชาชีววิทยามาก ฉันเคยตั้งใจว่า ฉัน จะต้องเข้าใจมันให้ถึงแก่นแท้ แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป ประมาณครึ่ง เทอม อยู่ดีๆแพสชันเหล่านั้นก็หายไป จนกระทั่งฉันได้มีโอกาสรู้จัก กับโครงการหนึ่ง ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะทำให้ฉันได้เรียนรู้วิชานี้แบบ ลึกซึ้งอีกครั้งหนึ่ง ตอนนั้นฉันลังเลมากว่าจะสมัครดีมั้ย แต่แล้วก็มี “โครงการรุ่นพี่สอนรุ่นน้อง” ที่ทางรุ่นพี่โรงเรียนของฉันจัดขึ้น หลังจากที่ฉันได้เข้าไปฟัง มันทำให้ฉันรู้สึกมีแพสชันในการเรียนวิชา ชีววิทยาอีกครั้งหนึ่ง แต่อีกสิ่งที่ตามมาด้วย ก็คือการอยากรู้จักกับ รุ่นพี่ที่เคยเข้าไปเข้าค่ายโครงการนั้นมาแล้ว ฉันจึงตั้งใจ และ พยายามอ่านหนังสือทุกวัน จนกระทั่งฉันสอบติดโครงการนั้น ในช่วงของการเข้าค่าย ในปีของฉันนั้นเกิดโรคระบาดขึ้น ทำให้ไม่สามารถไปเข้าค่ายในสถานที่จริงได้ จึ้งต้องเข้าค่ายแบบ ออนไลน์ ดังนั้นในทุกๆวัน ตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงห้าโมงเย็นจึงเป็น เวลาที่ฉันใช้ในการเข้าค่ายออนไลน์ หรือจริงๆเรียกอีกแบบได้ว่าการ
2 เรียนออนไลน์ แต่ว่านะมันเป็นการเรียนออนไลน์ที่เร็วมาก แบบเร็ว สุดๆที่ฉันเคยเรียนมาเลยแหละ เพราะการเข้าค่ายครั้งนั้นอาจารย์ มหาวิทยาลัยเป็นคนสอน ซึ่งท่านสอนไวมาก เรียกได้ว่าเรื่องที่เราใช้ เวลาเรียนสองอาทิตย์ในโรงเรียน ท่านสอนจบได้ภายในครึ่งวัน หรือ อย่างนานที่สุดก็คือหนึ่งวัน มันเป็นการเข้าค่ายออนไลน์ครั้งแรกใน ชีวิตของฉัน ฉันรู้สึกว่ามันสนุกมาก ฉันไม่เคยรู้สึกว่าเรียนอะไรแล้ว สนุกอย่างนี้มาก่อน แล้วเมื่อเรียนจบทุกบท ก็ถึงเวลาสอบเข้าค่าย สอง ฉันตั้งใจพยายามมาก แต่สุดท้ายแล้ว…………............................ ................................................ฉันสอบไม่ติด ตอนนั้นยอมรับเลยนะว่ารู้สึกเศร้ามาก แต่ตอนนี้พอมอง ย้อนกลับไปดู ถึงมันจะน่าเสียดายที่เราไม่ได้ไปต่อในรอบสอง แต่ มันมีเรื่องดีๆตามมาหลังจากนั้นมากมายเลยหล่ะ ไม่ว่าจะเป็นการที่ เราได้เรียนในเวลาเพียงแค่สองอาทิตย์ แต่รู้สึกเหมือนได้เรียนเรื่อง ทั้งหมดของมอปลาย(แบบละเอียดด้วยนะ)มิตรภาพต่างๆที่ตามมา การจัดการเวลาอ่านหนังสือ เทคนิค สิ่งต่างๆมากมาย เยอะแยะ เลยหล่ะ
3 1 ปีต่อมา ตอนนี้ฉันอยู่มอห้าแล้ว ฉันและพี่ๆปีที่แล้วที่เข้าค่าย ออนไลน์ด้วยกันได้ประชุมกันอีกครั้งว่า เราจะจัดโครงการ “โครงการรุ่นพี่สอนรุ่นน้อง” เหมือนปีที่แล้ว ซึ่งรุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้า โครงการของสาขาวิชาชีววิทยาได้ขอความร่วมมือทุกคนที่เข้าค่าย ในปีที่แล้วมาร่วมจัดค่ายในปีนี้ เหตุการณ์นั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เคยทำงานร่วมกับรุ่นพี่ใน โรงเรียน และก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นว่าไม่ว่าเราจะอยู่ชั้นปีที่ต่างกัน รุ่นพี่ก็แบ่งงานให้ฉันเท่ากับรุ่นพี่ปีอื่นๆ ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่ไม่พอใจนะ แต่ดีใจมากๆต่างหาก มันทำให้เห็นว่าเค้ายอมรับในตัวเราที่เป็นรุ่น น้องให้เข้ามาช่วยงานได้ เราได้แบ่งหัวข้อกันที่จะสอนรุ่นน้อง แต่แล้วเมื่อถึงคิววัน สอนของฉัน เกิดการผิดพลาดทางเทคนิกนิดหน่อย (แต่เป็นนิด หน่อยที่ไม่สามารถแก้ไขเองได้ ทำให้ต้องเรียกรุ่นพี่ที่ไม่มีคิวสอนวัน นั้นมาช่วย) เหตุการณ์นั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นจริงๆ ที่ทำให้ฉันได้รู้จัก กับคำว่าปลื้มรุ่นพี่ เหตุการณ์ในวันนั้นฉันยังจำได้ไม่ลืม ตอนนั้นฉัน รู้สึกตื่นไมค์มากตอนจับไมค์ ทำให้พูดรัว พูดเร็ว แล้วอาจจะทำให้ คนที่มาเข้าเรียนเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แล้วด้วยความที่พูดรัว ทำให้
4 ใช้เวลาไปเพียงนิดเดียวจากการสอนครั้งนั้น แต่รุ่นพี่คนนั้น “พี่เป” เป็นคนที่เข้ามาช่วยฉันมาทำให้ทุกอย่างดีขึ้น พี่เขาเข้ามาถือไมค์ แล้วพูดสิ่งต่างๆ ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการละลายพฤติกรรมของ คนในห้อง แล้วก็พาเล่นเกมที่ทำให้คนในห้องได้รู้จักกัน ไม่ว่าจะ เป็นน้อง หรือเพื่อนที่อยู่ในห้อง ทุกคนดูทีความสุข มีเสียงหัวเราะ พี่เข้ามาทำให้บรรยากาศดีขึ้นแบบสุดๆ ไปเลย จากวันนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกว่าพี่คนนี้เก่งจัง อยากเป็นให้ได้ เหมือนเขา อยากรู้ว่าเขามีความคิดเกี่ยวกับการทำงานตรงนี้ยังไง แล้วตอนที่ช่วยฉันทำไมถึงเลือกใช้วิธีนั้น ตอนนั้นความคิดในหัวฉัน มันเต็มไปหมด แต่รวมๆก็คือ ชื่นชมพี่เขามากๆ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราฉันเป็นเหมือนเด็กคนหนึ่งที่แทบไม่มีโอกาสได้คุยกับรุ่นี่เลยถ้า ไม่ใช่ในสาขาตัวเอง เอาจริงๆสาขาตัวเองยังน้อยเลย แล้วกับพี่เปห ล่ะ ที่อยู่คนละสาขา ความเป็นไปได้แทบเป็นศูนย์ ก็เลยได้แต่ปล่อย ไป...............................
5 บทที่ 2 แต่แล้วฉันก็ทำให้เรื่องราวมันเกิดขึ้น ตอนนั้นมีเหตุการณ์หนึ่งที่ฉันรู้สึกว่าฉันอยากเข้าร่วม แต่ ด้วยความที่คนละชั้นปีพี่ๆจึงไม่ได้เอาชื่อใส่ ฉันจึงรวบรวมความกล้า ทักรุ่นพี่ที่สนิทไป แต่รุ่นพี่เขาบอกฉันว่า ให้ทักไปหาคนที่ชื่อเป เพราะว่าพี่เปเป็นคนจัดการเรื่องนี้ ตอนนั้นฉันรู้สึกดีใจมากๆที่มี เรื่องให้ติดต่อกันพี่เป เพราะตั้งแต่วันนั้นที่ฉันรู้สึกชื่อชมพี่เขา ฉันก็ ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอพี่เขาอีกเลย ด้วยความที่ห้องเรียนเราคนละ ชั้น แล้วกิจกรรมของระดับชั้นฉันก็เยอะมาก จึงทำให้ไม่ค่อยมีเวลา เดินเล่น เอาล่ะกลับมาที่เรื่องเดิม ฉันทักพี่เปไป ตอนแรกพี่เขาก็ถาม เหตุผลเยอะเลย แต่สุดท้ายก็ยอมให้ฉันเข้าร่วมกิจกรรมนั้น หลังจากนั้นบางวันก็มีเรื่องให้คุยกันซึ่งในช่วงแรกๆเป็น เรื่องธุระต่างๆ แต่หลังๆก็เริ่มมีการบ่นว่าวันนี้หงุดหงิด หรือเหนื่อย กับอะไรมา พวกเราเป็นเหมือนที่ระบายความในใจของกันและกัน ด้วยความที่อยู่คนละชั้นปีด้วยมั้งก้เลยทำให้รู้สึกสบายใจตอนที่เล่า ให้กันฟัง หลังจากนั้นประมาณเดือนสองเดือน ฉันก็เริ่มถามงานที่ไม่ เข้าใจกับพี่เขา เอาจริงๆตอนนั้นแค่ต้องการคนช่วย เรื่องที่ปลื้มพี่เขา ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะรู้สึกเหมือนบรรลุเป้าหมายตั้งแต่ได้คุยกัน ละ กลับมาก่อนๆ อย่าพึ่งนอกเรื่อง ตอนนั้นพี่เขาตั้งใจช่วยฉันอย่าง
6 เต้มที่มากๆฉันรับรู้ได้ เขาถึงกับสละเวลาตอนเย็นที่เขาจะได้พัก หรือไปเล่นกับเพื่อนมาสอนฉัน แบบนั้งตั้งใจสอนราวกับพี่เขากำลัง สอนพิเศษฉัน อารมณ์นั้นเลย แล้วหลังจากนั้นตอนมีกิจกรรมต่างๆในโรงเรียนเราก็มันจะ อยู่ด้วยกัน ไปเล่นด้วยกัน แล้วมันจะมีกิจกรรมนึงที่ทำให้ฉัน ประทับใจมากๆเลยก็คือ กีฬาสี ปีนั้นฉันเป็นเชียร์ลีด ทำให้ต้องเต้น กลางแดดร้อนๆ หรือที่เรียกกันว่าแดดจ้านั่นแหละ และด้วยนิสัย ส่วนตัวฉันเป็นคนที่ไม่ชอบแดด และความร้องทั้งคู่อยู่แล้ว วันนั้นจึง ทำให้ฉันรู้สึกไม่ดี ทั้งร่างกายและอารมณ์ แต่แล้วสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึก อารมณ์ดีขึ้นมาก็คือ การที่พี่เปทักข้อความมาถามว่า“เช้าได้ซื้อข้าว ไว้กินรึยัง” “ถ้ายัง จะซื้อไว้ให้” ตอนนั้นฉันตอบไปว่ายังไม่ได้ซื้อ แล้วก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะพี่เขาคงจะถามๆไปงั้น แต่พอหลังจาก เดินขบวนเสร็จก็มีเพื่อนมาบอกว่า พี่เปฝากข้าวไว้ให้นะ พอได้รู้ เท่านั้นแหละ อยู่ดีๆอารมณ์ที่มันเหมือนสีเทาก็กลายเป็นสีขาวเลย มันเป็นความรู้สึกที่หลังจากที่เราทำอะไรมาเหนื่อยๆแล้วมีของกินที่ มีคนเตรียมไว้ให้แล้ว ความรู้สึกนั้นมันดีสุดๆไปเลยนะ หลังจากเหตุการณ์ณืนั้นฉันก็เอะใจ เอ้ะ แปลกๆ พี่เค้าชอบ เรารึเปล่านะ แต่ก็ไม่ได้ถามไป จนหลายๆอย่าง หลายๆเหตุการณ์ที่ เพี่เขาแสดงออกมา ทั้งหมดนั้นมันทำให้ฉันเริ่มแน่ใจ แต่ก็ยังไม่ถาม
7 คือในใจมันก็ยังเผื่อไว้อยู่ว่าคงไม่ใช่หรอก พี่เขาก็ทำแบบนั้นเรื่อยๆ จนพี่ถึง2เดือนก่อนที่พี่เขาจะจบมอหก พี่เขาถึงได้ถามว่าจีบได้มั้ย ในใจฉันคือ “แล้วที่ผ่านมาที่ทำ มันไม่เรียกว่าจีบเรอะพี่ชาย” แต่ก็ ด้วยความเขินต่างๆนาๆก็ตอบว่าได้ค่ะ สั้นๆแต่ได้ใจความ หลังจาก นั้นเราใช้ช่วงเวลาทุกเย็นด้วยกันไม่ว่าจะเป็นการทำการบ้าน เดิน เล่น นั่งเล่นเกม หรือแค่นั่งพูดคุยเล่นๆก็มี ความรู้สึกตอนนั้นคือมัน เหมือนเรามีคนที่สนิทใจเพิ่มมาหนึ่งคน แล้วคนคนนั้นก็เป็นคนที่เรา เล่ารีวิวเหตุการณืในวันนี้ที่เจอให้ฟัง หรือบางที่ก็เป็นเรื่องของคนที่ เราหมั่นไส้ ไม่ชอบก็มี5555555555 ฟังแล้วอาจจะดูตลก แต่ตอนที่ เขียนแล้วนึกกลับไป มันก็เป็นหนึ่งเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นในชั้นมอ ปลายช่วงระดับชั้นมอห้านะ อ่อ ลืมเล่าว่าหลังจากที่ได้พุดคุยกับพี่เขาจนสนิทกันมา จนถึงชอบกันแล้วเนี่ย ก็ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆจากเขาเยอะนะ แล้วก้สิ่ง ที่เราอยากรู้ในตอนแรกการแก้ปัญหา ตอนนั้นตอนที่ฟังพี่เขาพูด มัน เป็นการการฟังความคิดของคนที่เรารู้สึกว่ามันค่อนข้างที่จะไกลตัว เป้นไปได้ยากที่จะคิดแบบนั้น แต่พอมีคนมานั้งอธิบายให้เราฟัง รวมถึงยกตัวอย่าง แนวความคิดนนั้นกลับเป้นสิ่งที่ง่ายไปเลย แล้วที่ ดีคือเราก้สามารถนำมาปรับใช้กับตัวเองได้ด้วยนะ มันคงเหมือนที่ ผู้ใหญ่เคยพูดว่าถ้าเราอยากเก่ง เราก็ต้องเอาตัวเข้าไปอยู่ในสังคมที่
8 เก่ง คุรแม่ของฉันพูดเสมอเลยว่า คนที่เก่งจริงๆน่ะ เค้าไม่หวง ความรุ้หรอกนะ เขามีแต่จะแบ่งปันให้คนอื่น เพราะการที่สอนคน อื่น มันก็เหมือนเป็นการทบทวนให้ตัวเขาเองด้วย และก็คงจะจริงอย่างที่เขาว่า เวลาแห่งความสุขนั้นสั้นเสมอ เมื่อเวลาสองเดือนหมดไป พี่มอหกทุกคนก็จบไปตามระเบียบ แต่ น้องมอห้าอย่างเราต้องเรียนต่ออีกสองอาทิตย์ ช่วงเวลานั้นเป็นช่วง ที่ทำให้เราได้เรียนรู้อีกเรื่องในชีวิตก็คือ ถึงแม้เราจะอยู่ไกลกัน แต่ถ้า เรารู้จักแบ่งเวลารู้ว่าเราควรทำอย่างไร ความสัมพันธ์ก็จะเหมือนเดิม หรือที่เขาเรียกว่าการรักษาความสัมพันธ์ระยะไกลนั้นแหละแต่ฉัน จะทำแบบนั้นได้ตลอดจริงๆน่ะหรอ
9 บทที่ 3 มันเกือบจะจบแล้ว หลังจากที่ฉันสอบเสร็จ ก็ถึงเวลาเตรียมตัวขึ้นมอหก ตอน นั้นฉันมีเป้าหมายแน่วแน่แล้วว่าอยากเข้าคณะอะไร แล้วก็บวกกันที่ เห็นพี่เปสำเร็จตามเป้าหมายของตัวเอง(เข้าคณะที่ตัวเองต้องการ ได้) ฉันจึงมีไฟเพิ่มขึ้นมากๆ ในการเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบ แต่ มันก็มาพร้อมกับการสับสน และกดดัน ในตอนนั้นฉันรู้สึกสับสนใน ตัวเอง แล้วก็กดดันตัวเอง เหมือนหลายๆอย่างมันเทเข้ามาพร้อมกัน ตอนนั้นฉันรู้สึกว่า ฉันควรจะตัดเรื่องที่ไม่จำเป็นที่สุดไปก่อน ใช่ค่ะ ฉันอยากตัดการคุยกับพี่เป เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกว่าเปลืองเวลา มาก แล้วก็เวลาที่คุยหรือเล่นกับพี่เขา ถ้าฉันนำมันมาอ่านหนังสือ น่าจะมีประโยชน์กว่า ฉันจึงตัดสินใจขอเลิกคุยกับพี่เขาไป ตอนนั้น คุยกับหลายรอบมากๆ แต่ก็จบที่การเลิกคุย หลังจากการตัดสินใจ ครั้งนั้นทำให้ฉันรู้อีกอย่างว่า การตัดอะไรออกไป บางครั้งมันก็ไม่ได้ ทำให้เราสบายใจเสมอไป แต่ก็นะตดสินใจไปแล้ว แล้วยิ่งกับ ความรู้สึกคน เรายิ่งไม่ควรที่จะตัดสินใจกลับไปมา แล้วด้วยวิธีของ ฉันเองความที่ไม่อยากนึกถึงเรื่องนั้น ฉันจึงตัดสินใจ อ่านหนังสือทุก ครั้งที่คิดถึงเรื่องนั้น มันดูแปลกมาเลยใช่ไหมล่ะ แต่ฉันทำแบบนั้น จริงๆ มันเหมือนเป็นการทำโทษตัวเองน่ะ5555 แต่หลังจาดนั้นไม่
10 นาน ฉันก็ดีขึ้นที่แปลว่าไม่คิดถึงเรื่องนั้นแล้ว แต่การอ่านหนังสือฉัน ยังคงไว้นะ เรียกว่าคงไว้เป็นกิจวัตรประจำวันดีกว่า พอถึงเวลาเปิดเรียนมอหก มีกิจกรรมต่างๆเข้ามาอยู่ดีๆไฟ ในการอ่านหนังสือมันก็หายไป ด้วยความที่เทอมแรกกิจกรรมยัง เยอะอยู่ ฉันก็จะชอบบอกกับตัวเองว่า เดี๋ยวอ่านคืนนี้แหละ แต่พอ เอาเข้าจริงๆมันเหนื่อยแบบสุดๆ เรียกได้ว่าหลับคาหนังสือกันเลย แต่เดียว แต่พอทุกวัน ทุกวันเข้า ก็เหมือนเดิมไม่มีอะไรคืบหน้า ไม่มี การอ่านหนังสือเพิ่ม คอร์สที่ซื้อมายังเหลือเท่าเดิม มันเป็นเทอม แรกที่ตอนมองกลับมาฉันรู้สึกว่า ทำไมเราใช้เวลาได้ไร้ค่าขนาดนี้นะ ก็เลยกลับมาอ่านแต่ไม่เยอะเท่าเดิมเพราะอยู่โรงเรียน มันยังมีงาน อย่างอื่นให้ทำอยู่ แล้วก็กลับไปหมดไฟเหมือนเดิม เป็นแบบนี้อยู่ สองสามรอบจนกระทั่งเทอมสอง ใกล้ช่วงสอบทีแกท ทีแพท มันทำ ให้ฉันตระหนักกับตัวเองว่า จริงๆสักทีเถอะ อ่านหนังสือจริงๆสักที เลิกเล่นได้แล้ว แล้วหลังจากนั้นช่วงสองอาทิตย์ก่อนสอบที่ฉันอยู่ บ้าน ฉันอ่านแบบเหมือนเกมมาราธอน ไม่พักเลยถ้าไม่ไหวจริงๆ เป็นได้อยู่อาทิตย์นึงร่างกาบก็บอกว่า พักเถอะ พักบ้างนะเดี๋ยวจะ ไม่ไหวเอา มันทำให้เรากลับมาจัดตารางวางแผนเหมือนเดิม แล้วก็ ทำตามตารางที่วางไว้ไปเรื่อยๆ จนถึงวันสอบ และได้พบว่า เห้ย! มันดีนะ ดีกว่าตอนมาราธอนมากๆ แล้วหลังจากนั้นฉันก็ต้องกลับไป
11 เรียนอีกรอบ กลับไปทำกิจกรรม แต่รอบนี้แตกต่างตรงที่ว่าฉันตั้งใจ เรียนด้วย คือในใจ ถ้าไม่ตั้งใจมันไม่ทันแล้วไง ตั้งใจเถอะ ตอนนั้น รู้สึกว่าแข่งขันกับตัวเองสุดๆไปเลย แต่มันก็เหมือนทชมีช่วงคั่นเวลา นะ จริงๆก้ไม่กี่ชั่วดมง แต่รุ้สึกเหมือนทำให้ได้พักหายใจเติมพลังงาน คือช่วงที่ผลคะแนนอกนั่นเอง ตอนที่ผลคะแนนออก ตอนนั้นรู้สึกว่า เออมันคุ้มค่าอ่ะ กับการที่เราทุ่มเทเวลา กับความตั้งใจไปขนาดนี้ แต่แล้วความคิดฝ่ายร้าย :ก็ทุ่มเทขนาดนี้ยังได้ตั้งเท่านี้ แล้วถ้าที่ผ่าน มาทุ่มเทกว่านี้หล่ะจะได้เท่าไหน หลังจากนั้นฉันก็ตั้งใจกับตัวเองว่า ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน หรือทำกิจกรรมอะไรมา ขออ่านหนังสือแค่วันละนิด อย่างน้อยก็ ขอให้ได้อ่าน ทำเพื่อตัวเองเถอะ เพราะยังมีอีกสนามสอบรอเราอยู่ แล้วก็เหมือนบรรยากาศรอบข้างเป็นใจ หรือเพื่อนๆคุยกับตัวเอง เหมือนกันก็ไม่รู้ ทุกคนตั้งใจอ่านหนังสือกันมากๆ ตั้งใจแบบ แสดงออกเลยรอบนี้ ไม่หลบซ่อนกันแล้ว ด้วยความที่บรรยากาศ รอบๆเป้นแบบนั้น มันก็เลยทำให้ตัวฉันรู้สึกว่า เราก็ต้องตั้งใจบ้าง ไม่ใช่สู้กับเพื่อนนะ แต่มันคือการสู้กับตัวเอง เดินทางกันมาตั้งนาน จนตอนนี้ก็เหลือสนามสอบสุดท้าย ก่อนเราจะปิดหนังสือชีวิตมอปลายกันจริงๆ ฉันอยากบอกให้ตัวเอง และเพื่อนๆให้เต็มที่ที่สุด ตั้งใจอ่านหนังสือ ให้บทเรียนที่สั่งสมมาไม่
12 ว่าจะเป็นเทคนิกหรือการอ่านหนังสือ อะไรก็ตามที่สามารถนำมา ปรับใช้ได้อยากให้นำมาใช้ เพราะสอบครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่ง ในการกำหนดอนาคตของเรา ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน อาชีพ หรือ แม้แต่กระทั่งสังคมที่เราอยู่ ถึงจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันสำคัญมากจริงๆ ไม่ว่าตอนนี้จะเหลือเวลาเล่นกับเพื่อนน้อยแค่ ไหน ก็อย่าลืมว่าอนาคตของเรา มันเป็นสิ่งที่สำคัญเหมือนกันนะ : ) “........ตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงตอนนี้ก็เดินทางมาจบจะจบ มอหกแล้ว ผ่านเรื่องร่าวมามากมาย ทั้งตื่นเต้น เศร้า มีเรื่องที่ดี และไม่ดีเข้ามามากมาย มีมิตรภาพ มีเสียงหัวเราะ ท้ายสุดนี้ อยากขอบคุณทุกๆคน รวมถึงตัวเองที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต มอปลายของกันและกัน ชีวิตมอปลายมีได้ครั้งเดียว แล้วเราก้ใช้ มันได้คุ้ม และดีมากๆ ขอบคุณนะทุกคน.......”
13 ประวัติผู้เขียน ชื่อ : นางสาว อนัญญา ซึงทอง ชื่อเล่น : ขนุน วันเกิด : 2 ธันวาคม 2548 งานอดิเรก : ดูซีรีย์