สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
โรงเรียนวดั จันทร์นริ มิตร
วิชาสังคมศกึ ษา ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 5
เรือ่ ง ความสาคัญ และประวัตพิ ระพุทธศาสนา
ครูผู้สอน อภญิ ญา มงคลสังข์ 083-4933781
ความสาคัญ
และประวัตพิ ระพุทธศาสนา
ศาสนกิ ชน 6.2 ศาสดาของศาสนาคริสต์ 5.2 ศาสดาของศาสนาอสิ ลาม พุทธจรยิ า 3
ศาสนสถาน 6.1 ประวตั ิของศาสนาครสิ ต์ 5.1 ประวตั ขิ องศาสนาอสิ ลาม พุทธกิจ
พธิ ีกรรม
นักบวช 5. ศาสนาอสิ ลาม 3.3) พุทธกิจทีส่ าคญั
หลกั ธรรม 7. ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู 3.2) โปรดพุทธบดิ า
ศาสดา
6. ศาสนาคริสต์
4. พระไตรปิฎก 3.1) สรุปพุทธประวัติ
1.องคป์ ระกอบของศาสนา
2. ความสาคญั ของศาสนา ความสาคัญ 3. พุทธประวัติ
และประวัตพิ ระพุทธศาสนา
การพัฒนาดา้ นจิตใจ
2.1 ความหมายของศาสนา 2.2.2 พระพุทธศาสนาเป็นหลักในการพัฒนาชาตไิ ทย
2.2 ความสาคัญของพระพทุ ธศาสนา
การพัฒนาดา้ นกายภาพ และสงิ่ แวดล้อม
2.2.1 พระพทุ ธศาสนาเป็นมรดกทางวฒั นธรรม ภาวนา 4 ไตรสกิ ขา อรยิ สัจ 4
กายภาวนา
1. มรดกทางดา้ นรูปธรรม ศาสนวัตถุ สีลภาวนา ศีล ทุกข์
ศาสนสถาน สมาธิ สมุทัย
จติ ภาวนา ปัญญา
2. มรดกทางด้านจิตใจ ปัญญาภาวนา นิโรธ
มรรค
1.องคป์ ระกอบของศาสนา
1.1 ศาสดา คือ ผูส้ ัง่ สอนศาสนาดั่งเดิมหรือผูก้ อ่ ต้งั ศาสนา
1.2 หลักธรรม คือ ตวั คาสัง่ สอน
1.3 นักบวช คือ ผู้สืบตอ่ ศาสนา หรือผู้แทนเปน็ ทางการของศาสนา
1.4 พธิ ีกรรม คือ การประกอบพธิ ีต่างๆ ตามแนวปฏิบตั ิของศาสนา
1.5 ศาสนสถาน คือ สถานทีเ่ คารพทางศาสนา หรือปชู นยี วัตถุคือ ส่งิ ทีค่ วรบูชาทางศาสนา
1.6 ศาสนิกชน คือ คนที่นบั ถือศาสนา
2. ความสาคัญของศาสนา
2.1 ความหมายของศาสนา
ศาสนา หมายถึง ลัทธิความเชือ่ ถือของมนุษยเ์ กี่ยวกับการกาเนดิ และความส้ินสุดของโลก
แสดงหลักธรรมของบญุ บาป อันเปน็ ไปในฝ่ายศีลธรรมประการหน่งึ พร้อมทั้งลัทธพิ ิธี
ทีก่ ระทาตามความเหน็ หรือตามคาสั่งสอนในความเชือ่ ถือนั้น ๆ
2.2 ความสาคัญของพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาเปน็ สว่ นหนึ่งของสงั คมไทย
และเป็นรากฐานวฒั นธรรม ประเพณี วิถีชีวิต
และเปน็ หลักในการพัฒนาชาตไิ ทย ดังตอ่ ไปนี้
2.2.1 พระพุทธศาสนาเปน็ มรดกทางวัฒนธรรม
พระพุทธศาสนากอ่ ให้เกดิ มรดกทางวัฒนธรรม ประเพณี
และการดาเนินชีวติ แก่สงั คมไทยอยา่ งกว้างขวางในหลาย
รูปแบบ สามารถจาแนกได้ 2 ประเภท ดังนี้
1. มรดกทางด้านรปู ธรรม
พระพุทธศาสนา มีส่วนต่อการสร้างสรรคง์ านอันเป็นเอกลักษณใ์ นสังคมไทย
จนกลายเปน็ มรดกทางวัฒนธรรม ไดแ้ ก่
ศาสนวัตถุ เปน็ สิ่งทีส่ ร้างขน้ึ เกีย่ วขอ้ งกับพระพุทธศาสนาหรือแทน
องคส์ มเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา้ เช่น พระพุทธรูป รอยพระพุทธบาท
ศาสนสถาน เป็นสง่ิ ทส่ี ร้างขนึ้ เพือ่ ใช้ประกอบพิธีกรรม
หรือการเคารพบชู า เช่น วัด โบสถ์ วิหาร เจดยี ์ หอไตร
ศาสนสถานจึงเปน็ แหล่งรวมสถาปัตยกรรม
2. มรดกทางด้านจิตใจ
หลักธรรมคาสอนในทางพระพุทธศาสนากอ่ ให้เกดิ เปน็
มรดกทางความประพฤติ กลายเปน็ วถิ ีไทย มรรยาทไทย
และลักษณะนิสยั ของคนไทย ที่แสดงออกผา่ นความเอื้ออาทร
การเกือ้ กูลซงึ่ กันและกัน การรูจ้ กั ใหอ้ ภยั ความกตัญญูกตเวที
ความสามัคคี ความมีสัมมาคารวะ
จนกลายเปน็ เอกลักษณ์ สง่ ผลให้สังคมไทยเป็นสังคมที่สงบสุข
สรุปความสาคัญของศาสนา 1. ชว่ ยใหม้ นุษย์อยู่รว่ มกันอย่างสันตสิ ุข
2. ชว่ ยให้บุคคลมีหลกั ในการดาเนนิ ชีวิตที่ดี
3. ชว่ ยให้บุคคลรูจ้ ักเหตุผลผดิ ชอบ ชั่วดี ด้วยตนเอง
4. ชว่ ยให้บุคคลมีชีวิตท่รี าบรื่นและสงบสุข
5.ช่วยใหม้ นุษยม์ ีอิสระสามารถควบคุมตนเองได้
2.2.2 พระพุทธศาสนาเปน็ หลักในการพัฒนาชาติไทย
การพัฒนาดา้ นกายภาพ และส่ิงแวดล้อม
หลักธรรมทีเ่ ป็นแนวทางการพัฒนาด้านกายภาพและสงิ่ แวดล้อม มีหลายหลักธรรม ดงั นี้
ภาวนา 4 กายภาวนา
สีลภาวนา
จติ ภาวนา
ปัญญาภาวนา
ไตรสิกขา ศลี
อรยิ สัจ 4 สมาธิ
ปัญญา ทกุ ข์
สมทุ ยั
นโิ รธ
มรรค
ภาวนา 4
ภาวนา 4 เป็นหลักธรรมเพื่ออบรมให้พัฒนาขน้ึ 4 ประการ คือ
กายภาวนา คือ การฝึกอบรมกายให้ปฏิบตั ติ อ่ สง่ิ ต่าง ๆ ในทางท่ดี ี ไมใ่ ห้เกดิ โทษ เชน่
ทงิ้ ขยะลงในถังขยะ ไมท่ ้งิ ลงในแหล่งนา้ เพราะจะทาใหแ้ หล่งน้าเน่าเสีย สตั ว์นา้ ตาย
สีลภาวนา คือ การฝึกอบรมศีลให้อย่ใู นระเบยี บวนิ ัย เชน่ ปฏิบัตติ ามกฎหมาย ไม่สรา้ งปัญหาหรอื กอ่
ความเดือดร้อนให้สังคม
จิตภาวนา คือ การฝึกอบรมจติ ใหเ้ จริญงอกงามด้วยคุณธรรม เช่น เสียสละเพอ่ื ประโยชน์สว่ นรวม
ปัญญาภาวนา คือ การฝึกอบรมปัญญาให้เขา้ ใจสงิ่ ตา่ ง ๆ ตามความเป็นจรงิ แก้ไขปัญหาที่เกิดขน้ึ ด้วย
ปัญญา เชน่ แก้ไขปัญหาที่เกดิ ขึน้ ในชีวติ โดยใชส้ ตปิ ัญญา
ไตรสิกขา
ไตรสกิ ขา หมายถงึ การศกึ ษาเรียนรู้เพือ่ ใหเ้ กิดการพัฒนาตนและสังคม ๓ ประการ ได้แก่
ศลี (สีลสกิ ขา) คือ การฝึกอบรมกายและวาจาให้เรียบรอ้ ย ฝึกให้อยู่ในระเบียบวนิ ัย
สมาธิ (จิตตสกิ ขา) คือ การฝึกอบรมจิตใจใหม้ ีความสงบ มุ่งมัน่ ในการทาความดี
ปญั ญา (ปญั ญาสกิ ขา) คือ การฝึกอบรมตนใหม้ ีปัญญา รู้และเห็นแนวทางแห่งการปฏบิ ตั ิ
ทีถ่ ูกตอ้ ง หมัน่ แสวงหาความรู้อยู่เสมอ
อรยิ สจั 4
อรยิ สัจ 4 หมายถึง ความจรงิ ที่ประเสรฐิ เข้าใจตน้ ตอของส่งิ ต่าง ๆ ดว้ ยเหตแุ ละผล ไดแ้ ก่
ทุกข์ สมุทัย นโิ รธ มรรค
ปญั หาทเ่ี กดิ สาเหตุท่ี ปญั หา หนทางวธิ ีการ
(ธรรมทีค่ วรรู้) ก่อเกิดปัญหา หรือทุกขห์ มดไป แก้ปัญหานน้ั
หรือทุกข์ (ธรรมที่ควรเจรญิ ) (ธรรมที่ควรปฏิบัติ)
(ธรรมที่ควรละ)
2.2.2 พระพุทธศาสนาเปน็ หลักในการพัฒนาชาตไิ ทย
การพัฒนาด้านจติ ใจ
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาทีใ่ ชเ้ ป็นหลักในการพัฒนาดา้ นจิตใจ ได้แก่ หลักโอวาท 3
หลักโอวาท 3 คือ โอวาท 3 เปน็ หลักธรรม
เวน้ จากการทาความชัว่ คาสอนของพระพุทธเจ้า
ทง้ั ทางกาย วาจา ใจ ทีท่ รงแสดงในวันเพญ็
การทาความดี เดือน 3 หรือวันมาฆบชู า
และการทาจิตใจ
ให้ผ่องใสบรสิ ุทธิ์
การพัฒนาด้านจิตใจ การทาความดที ้งั ทางกาย วาจาและใจ
เชน่ มีความเมตตากรุณาตอ่ ผูอ้ ื่น
การไมท่ าความชั่ว พูดจาสุภาพออ่ นนอ้ มระลึกถงึ บุญคุณ
ท้งั ทางกาย วาจาและใจ ของผูท้ ีม่ ีพระคุณตอ่ เราเสมอ
เชน่ ไม่ลักขโมย ทาจติ ใจใหผ้ อ่ งใสบริสุทธิ์
ไม่รังแกสัตว์ ไมพ่ ูดโกหก โดยการฝึกบริหารจิตและเจริญปัญญา
ไมค่ ิดร้ายต่อผู้อื่น เพือ่ ให้จติ มีสตสิ มาธิเกิดปญั ญารู้แจง้ เช่น
นัง่ สมาธิ สวดมนต์ไหวพ้ ระ
3. พุทธประวัติ
3.1) สรุปพุทธประวัติ
พระพุทธเจา้ ทรงมีพระนามเดมิ ว่า เจา้ ชายสทิ ธัตถะ เปน็ พระราชโอรส
ของพระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางสริ ิมหามายา แหง่ กรุงกบลิ พัสด์ุ
เจ้าชายสทิ ธัตถะประสูติเมือ่ วันเพ็ญข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๖ (วันวสิ าขบชู า)
ณ ใตต้ น้ สาละ ระหว่างกรุงกบลิ พัสดแุ์ ละกรุงเทวทหะ เมื่อพระชนมายุได้ ๗ วัน
พระมารดาเสดจ็ สวรรคต เมือ่ เจรญิ วัยได้ทรงศึกษาวชิ าความรูต้ า่ ง ๆ จนแตกฉาน
และเมือ่ พระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา ทรงอภเิ ษกสมรสกับพระนางยโสธรา (พิมพา)
มีพระโอรส พระนามว่าเจ้าชายราหุล
3. พุทธประวัติ
3.1) สรปุ พุทธประวตั ิ (ต่อ)
วนั หนงึ่ เจ้าชายสทิ ธัตถะ ได้เสด็จประพาสอุทยาน (สวน) นอกเมือง
ได้ทอดพระเนตรเหน็ สภาพความจริงของชีวติ ที่ไมเ่ คยเหน็ มาก่อน คือ
คนแก่ คนเจบ็ คนตาย ทรงเกิดความสลดพระทัย เขา้ พระทยั ความจริง
ของชีวิตว่ามีแต่ความทุกข์ และทอดพระเนตรเห็นสมณะ (นักบวช)
ซึ่งมีกิรยิ าสงบ ทรงเกิดความเลื่อมใส
3. พุทธประวัติ
3.1) สรปุ พุทธประวตั ิ (ต่อ)
ในท่สี ุดทรงตัดสินพระทยั เสด็จออกผนวชเมื่อพระชนมายุ ๒๙ พรรษา เพือ่ แสวงหา
หนทางพ้นทุกข์ และตรสั รูธ้ รรมที่ประเสรฐิ คือ อรยิ สัจ ๔ ในวันเพญ็ ข้ึน ๑๕ คา่ เดอื น ๖
หลังจากท่แี สวงหาหนทางพ้นทุกข์นานถงึ ๖ ปี และได้ทรงประกาศหลักธรรมของพระองค์
ใหผ้ ูอ้ ืน่ ได้รู้ตาม โดยทรงแสดงธรรมโปรดปญั จวัคคียเ์ ป็นกลุม่ แรกทีอ่ สิ ปิ ตนมฤคทายวัน
(อา่ นวา่ อิ-ส-ิ ปะ-ตะ-นะ-มะรกึ -คะ-ทา-ยะ-วัน) ตอ่ จากนัน้ คาสอนของพระองค์
ก็แพร่หลายเป็นทย่ี อมรับของคนทัว่ ไป
ปรนิ พิ พาน หลังจากที่พระพุทธเจา้ ทรงเผยแผ่ พระพุทธเจา้ ตรัสรูใ้ ต้ตน้ พระศรีมหาโพธิ์
พระพุทธศาสนาเปน็ เวลาถึง 45 ปพี ระองค์ได้ ใกล้ฝัง่ แมน่ ้าเนรัญชรา
เสดจ็ ดับขันธปรนิ ิพพานขณะมีพระชนมายุได้
80 พรรษา ณ สาลวโนทยานกรุงกุสนิ าราแควน้
มัลละเมื่อวันข้ึน ๑๕ คา่ เดอื น ๖ ก่อนเริ่ม
พุทธศกั ราช 1 ปี
3.2) โปรดพุทธบดิ า
เสด็จกรุงกบิลพัสดุ์
หลังจากเจา้ ชายสทิ ธัตถะเสดจ็ ออกผนวชแลว้ พระเจา้ สุทโธทนะ
ทรงเสียพระทยั มาก เมื่อพระพุทธเจ้าและเหล่าพระสาวกประกาศพระพุทธศาสนา
ในแคว้นมคธ พระเจา้ สุทโธทนะทรงทราบขา่ ว จงึ มีพระบรมราชโองการให้อามาตย์
ชื่อกาฬุทายไี ปทูลเชญิ พระพุทธเจ้าเสด็จมายังกรุงกบลิ พัสด์ุ กาฬุทายีอามาตย์
ได้เข้าเฝา้ พระพุทธเจา้ ฟังพระธรรมเทศนาเกดิ ความเลือ่ มใสจนบรรลุธรรมและทูล
ขออุปสมบท เมือ่ ได้อุปสมบทแล้วถึงเวลาทีเ่ หมาะสมจงึ กราบทูลเชิญพระพุทธเจา้
เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์
3.2) โปรดพุทธบิดา
เสดจ็ กรุงกบลิ พัสดุ์ (ต่อ)
เมือ่ พระเจา้ สุทโธทนะทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จมาที่กรุงกบิลพัสดุ์
พระองค์จงึ ทรงจดั นิโครธารามให้เปน็ ทป่ี ระทบั เมื่อถึงเวลารุ่งเช้า
พระพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาตในกรุงกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะทรงรูส้ กึ
อับอายและเสียพระทัยที่เห็นพระราชโอรสบิณฑบาตอาหารจากชาวบ้าน
จึงทรงรีบไปหา้ ม พระพุทธเจ้าจงึ ทรงแสดงธรรมเทศนาแกพ่ ระบดิ า
จนบรรลุโสดาปัตตผิ ล จากนน้ั พระเจ้าสุทโธทนะจึงอาราธนาพระพุทธเจา้
และพระสงฆไ์ ปรบั ภัตตาหารในเมือง
3.2) โปรดพุทธบดิ า เมื่อฉันภตั ตาหารเสรจ็ แล้วพระพุทธเจา้
เสด็จกรุงกบลิ พัสดุ์ (ต่อ) ทรงแสดงธรรมโปรดพระประยุรญาติ
จนดวงตาเห็นธรรมและเกดิ ความเลื่อมใส
ยอมรับนับถือในพระพุทธศาสนา
นันทกุมารซึ่งเปน็ พระอนุชาต่างพระมารดา
ทูลขออุปสมบทเป็นพระภกิ ษุ
และได้บรรลุเป็นพระอรหนั ต์
3.2) โปรดพุทธบดิ า
เสดจ็ กรุงกบิลพัสดุ์ (ต่อ)
ในเวลาตอ่ มา วนั หนึ่งพระนางยโสธราได้ให้เจา้ ชายราหลุ ทูลขอทรัพย์
สมบัติ แตพ่ ระพุทธเจ้าทรงเห็นวา่ ทรัพย์สมบัติเปน็ ส่งิ ที่ไม่จีรงั ยัง่ ยืน
จึงทรงประทานทรัพย์ที่ประเสรฐิ กว่าให้แทน คือ หลักคาสอนทีเ่ รียกว่า
อรยิ ทรพั ย์ (ทรัพย์ทีป่ ระเสริฐ) โดยทรงให้เจา้ ชายราหุลบรรพชาเป็น
สามเณร (สามเณรราหุลจึงเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา)
3.2) โปรดพุทธบดิ า
เสด็จกรุงกบลิ พัสดุ์ (ตอ่ )
เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบข่าวก็ทรงเสียพระทัยทีไ่ มม่ ีรชั ทายาทสืบทอด
จงึ เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจา้ และทูลขอรอ้ งพระพุทธเจา้ วา่ “ถา้ จะบวชบุตรหลาน
ใคร ขอใหพ้ อ่ แม่เขาไดอ้ นุญาตกอ่ น เพราะอาจจะทาให้ผูเ้ ป็นพอ่ แม่ได้รับความ
เดือดร้อน” หลังจากนัน้ จงึ ทรงบัญญัติเป็นพระวนิ ัยไว้สืบตอ่ มาจนถงึ ปจั จุบัน
3.3) พุทธกจิ ทีส่ าคัญ
พระพุทธเจา้ ทรงบาเพญ็ ประโยชนต์ ่อมนุษยแ์ ละตอ่ สงั คมมากมาย
ภารกจิ ที่พระองค์ทรงปฏิบตั ิ คือ การเผยแผค่ าสอนให้ผูอ้ ื่นละเวน้ ความชั่ว
ทาความดีและฝึกฝนตนเองให้หมดจากกเิ ลส การบาเพ็ญประโยชนข์ อง
พระพุทธเจา้ เปน็ ภารกิจที่พระองคท์ รงบาเพ็ญตลอด ๔๕ ปี โดยทรงปฏบิ ัติ
เปน็ กจิ วัตรประจาทุกวัน ตั้งแต่เช้ามืดจนหลงั เทีย่ งคืน เรียกวา่ “พุทธกจิ ”
3.3) พุทธกิจทีส่ าคัญ
พุทธกจิ หมายถงึ กจิ วัตรท่พี ระพุทธเจา้ ทรงปฏบิ ตั ิในแตล่ ะวัน สรุปไดด้ ังนี้
เวลา พุทธกิจ
๑. เวลาเช้า เสด็จไปโปรดสัตวเ์ ป็นรายบุคคล (บณิ ฑบาตโปรดสัตว์)
๒. เวลาบา่ ย ทรงแสดงธรรมแก่ประชาชนทั่วไป
๓. เวลาค่า ทรงประทานพระโอวาทแก่พระสงฆ์สาวก
๔. เวลาเที่ยงคืน ทรงตอบปญั หาธรรมะกับเทวดา
๕. เวลาใกลร้ ุง่ ทรงตรวจดูวา่ มีผูใ้ ดที่สามารถบรรลุธรรมได้เพื่อจะเสดจ็ ไปโปรดในตอนเชา้
**พระพุทธเจา้ ทรงบาเพญ็ พุทธกิจ ๕ อยา่ งนี้เปน็ ประจาทุกวัน ยกเวน้ แตใ่ นช่วงเวลาทีเ่ สด็จเดินทาง**
พุทธจรยิ า 3
ประการที่ 1 โลกัตถจรยิ า
คือ ทรงบาเพญ็ ประโยชน์
แก่ชาวโลก
ประการที่ 2 ประการที่ 3 พุทธัตถจรยิ า
ญาตัตถจริยา คือ ทรงบาเพ็ญ คือ ทรงทาหน้าทีข่ องพระพุทธเจา้
ประโยชนแ์ ก่พระประยุรญาติ เชน่ ทรงแนะนาให้ผู้อุปสมบทและ
คฤหสั ถ์ปฏิบัติตนใหถ้ ูกตอ้ งตามหลกั คาสอน
4. พระไตรปิฎก
ไมว่ ่าพระพุทธเจา้ จะปรินพิ พานแลว้ คาวา่ “พระ” เป็นคาแสดงความเคารพยกย่อง
แตห่ ลักธรรมคาสอนของพระองค์ คาวา่ “ไตร” แปลว่า 3
หรือที่เรียกวา่ พระทายงั คง คาวา่ “ปฎิ ก” แปลได้ 2 อยา่ งคือ
ถา่ ยทอดสืบต่อกันมา แปลว่าคัมภีร์ แปลว่าตระกร้า
และถูกรวบรวมบันทึกไว้ ดงั นัน้ พระไตรปิฎกจงึ หมายถึง
เปน็ คัมภีรเ์ รยี กวา่ พระไตรปฎิ ก สงิ่ ทร่ี วบรวมคาสั่งสอนของพระพุทธเจา้
ไว้เป็นหมวดหมู่ 3 หมวดหมูค่ ล้ายกระจาด
หรือตะกรา้ อันเป็นภาชนะใสข่ อง
พระไตรปิฎก
องคป์ ระกอบของพระไตรปฎิ กแบ่งเปน็ 3 หมวด ดงั นี้
วินยั ปิฎก ว่าด้วย พระวินยั คือ พระสุตตนั ตปฎิ ก วา่ ด้วยพระสูตร พระอภิธรรมปิฎก วา่ ด้วย
คาสอนที่พระพทุ ธเจา้ ทรง คอื พระธรรมเทศนา บรรยาย พระอภิธรรมคือหลักธรรม
บัญญตั ิด้านความประพฤติ ธรรมต่างๆ ที่พระพุทธเจา้ ตรสั และคาอธบิ ายที่เปน็ หลัก
ขนบธรรมเนียมและกาดาเนิน ใหเ้ หมาะกับคนและโอกาส วชิ าไมเ่ กีย่ วกับบุคคลหรือ
กจิ กรรมตา่ งๆ ของพระภิกษุ รวมทัง้ บทประพันธ์เรือ่ งเลา่ และ เหตกุ ารณ์
เรอ่ื งราวตา่ งๆ ทเ่ี ป็นชัน้ เดิมใน
และภกิ ษุณโี ดยเนน้ ที่
พระพุทธศาสนาซึ่งชาดกก็อยู่
การระมัดระวังรักษาศีล
ในหมวดนี้ดว้ ย
พระไตรปฎิ กเปน็ คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
ทีม่ ีความสาคัญมาก เพราะเปน็ หลักฐานทาง
พระพุทธศาสนาทีบ่ ันทกึ คาสอนของพระพุทธเจ้า
ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ถา้ มีปัญหาหรือขอ้ สงสัย
เกีย่ วกับคาสอนของพระพุทธศาสนาสามารถหา
คาตอบทถ่ี ูกตอ้ งไดจ้ ากพระไตรปิฎกเทา่ นัน้
ดงั นั้นพระไตรปฎิ กจึงมีความสาคัญมากในการ
สืบตอ่ อายุพระพุทธศาสนามาจนถึงทุกวันนี้
ชาดกมีเร่อื งราวของพระพุทธเจ้าในอดตี ชาตกิ อ่ นทีพ่ ระองคจ์ ะมาประสูตแิ ละตรัสรู้เปน็ พระพุทธเจา้
ในชาติสุดท้ายซง่ึ เราเรยี กพระพุทธเจ้าในชาตกิ อ่ นวา่ พระโพธสิ ัตวโ์ ดยชาดกมีมากกว่า 500 เรอ่ื ง
แต่ละเร่อื งจะใหข้ ้อคดิ และคตสิ อนใจแกผ่ ู้ศกึ ษาไดน้ าไปใชเ้ ปน็ แนวทางในการดาเนนิ ชีวติ
5. ศาสนาอิสลาม
5.1 ประวัติของศาสนาอิสลาม
ศาสนาอสิ ลามเป็นศาสนาทีส่ าคัญศาสนาหน่ึงของโลก
ถือกาเนิดขนึ้ ที่นครมักกะห์ (บางแหง่ ใช้นครเมกกะ)
ประเทศซาอุดีอาระเบีย เปน็ ศาสนาทีค่ นไทยส่วนหนง่ึ นบั ถือ
โดยเฉพาะในภาคใตข้ องประเทศไทย
5.2 ศาสดาของศาสนาอิสลาม
ศาสดาของศาสนาอิสลาม คือ นบมี ุฮมั มัด
ทา่ นเกดิ ท่นี ครมักกะห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย
เมื่อ ค.ศ. ๕๗๐ เปน็ บุตรของอับดุลเลาะห์ และนางอามีนะฮ์
ทา่ นไดแ้ ต่งงานกับนางคอดยิ ะหซ์ ึง่ เป็นเจา้ ของกิจการ
คา้ ขายในนครมักกะห์
5.2 ศาสดาของศาสนาอสิ ลาม
ท่านนบมี ุฮัมมัด เป็นผูท้ ีฝ่ ักใฝใ่ นทางศาสนา
ท่านมักจะไปบาเพญ็ สมาธิที่ถ้าฮริ อฮ์
บนภูเขานูร์ ในคืนหน่ึงของเดือนรอมฎอน
กาเบรียลทูตของพระเจ้าได้นาโองการ
ของอลั เลาะห์มาประทานแก่นบีมุฮัมมัด
ทา่ นจงึ ได้นาคาสอนเหล่านีม้ าเผยแผ่
จนเกดิ เปน็ ศาสนาอิสลามขน้ึ
5.2 ศาสดาของศาสนาอสิ ลาม
โดยเรมิ่ แรก ทา่ นได้ประกาศศาสนาอยา่ งลับ ๆ
แกญ่ าตแิ ละคนใกล้ชิด เปน็ เวลา ๓ ปี
แล้วจึงเริ่มประกาศศาสนาอย่างเปดิ เผย
ท่านนบมี ุฮัมมัดเผยแผศ่ าสนาเปน็ เวลา ๒๓ ปี
และเสียชีวติ เมื่ออายุ ๖๓ ปี
6. ศาสนาครสิ ต์
6.1 ประวัตขิ องศาสนาครสิ ต์
ศาสนาครสิ ต์เป็นศาสนาทีม่ ีคนนับถือมากทีส่ ุดในโลก ถือกาเนดิ ขึน้ ที่ดินแดนปาเลสไตน์
(ประเทศอิสราเอลในปัจจบุ นั ) เป็นศาสนาที่คนไทยส่วนหนึ่งนับถือ
6.2 ศาสดาของศาสนาครสิ ต์
ศาสดาของศาสนาคริสต์ คือ พระเยซู ท่านเกดิ เมื่อวันที่ ๒๕
ธันวาคม ค.ศ. ๑ (คริสต์ศกั ราชที่ ๑ เร่มิ นบั ในปีที่พระเยซูเกดิ )
ที่เมืองเบธเลเฮม ประเทศอสิ ราเอล บดิ าเป็นชา่ งไม้ ชือ่ โจเซฟ
มารดาชือ่ มาเรีย ในวัยเด็กทา่ นเป็นเดก็ ทีม่ ี
ความเฉลียวฉลาด และมีความสนใจในเรือ่ ง
ศาสนา เมือ่ อายุ ๓๐ ปี ทา่ นได้รับศลี ล้างบาปตามลัทธิ
ของนักบุญโยฮัน หลังจากนน้ั ท่านได้ประกาศศาสนา
ใหม่ คือ ศาสนาครสิ ต์
ครสิ ตศ์ าสนกิ ชนเชือ่ วา่ พระเยซูเปน็ บตุ รของพระเจา้
ทีเ่ สด็จมายังโลกมนุษย์เพือ่ ช่วยมนุษยใ์ ห้พน้ จากบาป
พระเจา้ ของศาสนาครสิ ต์ คือ พระยะโฮวา
พระเยซูเผยแผ่หลักคาสอนเปน็ เวลา ๓ ปี
มีผู้คนเลื่อมใสศรทั ธาและนบั ถือเป็นจานวนมาก
ส่งผลให้ศาสนาเดมิ เรม่ิ เสือ่ มลง กลุ่มผูน้ าของศาสนาเดมิ จงึ คิดกาจัดพระเยซู
โดยกล่าวหาวา่ พระเยซูคดิ กอ่ กบฏ ในทีส่ ุด พระเยซูจงึ ถูกจับและถูกประหารชีวติ
โดยการตรึงบนไมก้ างเขน เมื่ออายุได้ ๓๓ ปหี ลังจากนัน้ บรรดาสาวกจึงไดร้ ว่ มมือกัน
เผยแผ่หลักคาสอนของพระเยซตู ่อไป
7. ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ประวัติของศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
เปน็ ศาสนาทีเ่ ก่าแก่ทีส่ ุด
กาเนดิ ข้ึนทีป่ ระเทศอินเดีย ในการประกอบพระราชพธิ ีต่าง ๆ
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ได้นาพธิ ีกรรมของศาสนา
อยู่คูส่ ังคมไทยมาโดยตลอด พราหมณ์-ฮินดูมาใช้ เชน่
พระราชพิธีบรมราชาภเิ ษก
พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัล
แรกนาขวัญ
7. ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
พระพรหม เป็นผู้สรา้ งโลก
พระวิษณุ เป็นผูป้ กปอ้ งโลก พระศวิ ะ เป็นผู้ทาลายและขับไลค่ วามชั่วรา้ ย
ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูแบ่งชนชั้นชาวอนิ เดีย ออกเป็น 4 วรรณะ ได้แก่
1. วรรณะพราหมณ์ 2. วรรณะกษัตรยิ ์
ครู อาจารย์ กษัตริย์ นักรบ
นักปราชญม์ ีหนา้ ที่ เปน็ ผูป้ กครองและ
สั่งสอนศาสนา ป้องกันบา้ นเมือง
3. วรรณะแพศย์ 4. วรรณะศทู ร
คนส่วนใหญใ่ นสังคม กรรมกร
คือ ผู้ประกอบพาณิช ผู้ใช้แรงงาน
ยกรรม เกษตรกรรม