รัชกาลท่ี ๑
พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช
พ.ศ. ๒๓๒๕ - ๒๓๕๒
H.M. King Buddha Yodfa The Great (Rama I)
1782 - 1809
(อ่านต่อจากฉบบั ท่แี ลว้ ) ซ่ึงเราจะดูได้จากพระราชานุกิจในพระองค์ที่ทรงปฏิบัติ
เสมอมาเป็นนจิ สิน
พระราชกรณยี กิจใน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช
เม่ือเสด็จขึ้นครองราชย์ทรงท�ำการปรับปรุงเปล่ียนแปลง
จุฬาโลกมหาราช การปกครองท่ีสำ� คัญ ๒ ส่วน ได้แก่
ดา้ นการปกครอง ๑. การปกครองสว่ นกลาง (ราชธาน)ี
๒. การปกครองสว่ นภมู ิภาค (หวั เมือง)
สืบเนื่องมาแต่เดิมที ประเทศไทยเริ่มสถาปนา การปกครองสว่ นกลาง ประกอบด้วย
กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ก็เริ่มรับเอาวัฒนธรรม อคั รมหาเสนาบดี มี ๒ ตำ� แหน่ง คอื
ขนบธรรมเนียมประเพณีของขอมมาใช้ ดังนั้น ฐานะ สมหุ นายก เปน็ หวั หนา้ ฝ่ายพลเรอื น
ของพระมหากษัตริย์จะทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง สมหุ กลาโหม เป็นหวั หน้าฝ่ายทหาร
ในพระราชอาณาจกั ร เชน่ แผน่ ดนิ จึงไดช้ ่ือว่า “พระเจ้า เสนาบดีจตสุ ดมภ์ มี ๔ ตำ� แหน่ง คอื
แผนดิน” ทรงเป็นเจ้าของชีวิตทุกชีวิตจึงมีชื่อว่า เสนาบดกี รมเมอื ง
“เจา้ ชวี ติ ” และมพี ระราชอำ� นาจมากลน้ อาจจะมพี ระราช เสนาบดกี รมวัง
บัญชาทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปได้ตามพระราชประสงค์ เสนาบดีกรมพระคลงั
และก็โดยพระราชอ�ำนาจที่แสดงออกมาน้ันเป็นไป เสนาบดกี รมนา
ในรูปของพระราชบญั ชา (คำ� สั่ง) จงึ เทา่ กับเป็นข้อบังคับ การปกครองสว่ นภมู ภิ าค ประกอบดว้ ย
ให้กระท�ำหรือมิให้กระท�ำกิจการใด ๆ ก็ได้ โดยนัยนี้ก็ หวั เมอื งฝ่ายเหนอื มีสมุหนายกเป็นผ้ดู แู ล
คือ กฎหมาย หรือระบอบการปกครองน่ันเอง และการ หวั เมอื งฝา่ ยใต้ มสี มหุ กลาโหมเป็นผู้ดูแล
ปกครองตามระบอบน้ีก็เป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หัวเมืองช้ันเอก มีเจ้าเมืองบรรดาศักด์ิ
โดยถือเอาอาญาสิทธ์ิของพระเจ้าแผ่นดินนั้นเป็น ช้นั เจา้ พระยาเปน็ ผดู้ แู ล
หลักส�ำคัญ แต่มิใช่ว่าพระมหากษัตริย์จะทรงใช้อ�ำนาจ หัวเมืองชั้นโท มีนักกรมการเมือง เช่น
ไปตามพระราชหฤทัย หรือตามพระราชอัธยาศัย เจา้ เมืองแพ่ง และศภุ มาตราเป็นผู้ดแู ล
แต่ถ่ายเดียว ท้ังน้ี เพราะต้องทรงอยู่ภายใต้กฎข้อบังคับ หวั เมอื งประเทศราช เปน็ หวั เมอื งทอี่ ยหู่ า่ งไกล
และบทบัญญัติต่าง ๆ ซ่ึงมีมาแต่โบราณราชประเพณี ถงึ ชายแดน มีอิสระปกครองตนเอง แต่ต้องส่งเครอื่ งราช
ตามท่ีบัญญัติไว้ในพระธรรมศาสตร์ อาทิ จะต้องทรงตั้ง บรรณาการมาถวายตามก�ำหนดปกติ ๓ ปี ตอ่ ๑ คร้งั
อยใู่ นทศพธิ ราชธรรม ตอ้ งทรงประพฤตธิ รรม ๔ ประการ การปกครองภายในเมือง
ต้องทรงด�ำรงอยู่ในพระราชจรรยานุวัตร ๔ ประการ หมู่บ้าน อยู่เป็นเจ้าเมือง (ผู้ร้ัง) ท�ำหน้าที่
จักรวรรดิวัตร ๑๒ ประการ ต้องทรงสร้างพละก�ำลัง เลือกผ้ใู หญ่บ้านมาดูแล
ของพระมหากษตั ราธริ าชเจ้า ๕ ประการ อย่างครบถว้ น ต�ำบล มีก�ำนันเป็นหัวหน้ามีบรรดาศักดิ์
พร้อมมูลก็โดยเหตุนี้เองพระมหากษัตริย์จึงทรงคุณธรรม เปน็ พนั
เหนือคนธรรมดา และเพื่อเป็นการป้องกันความเสื่อม แขวง มหี มนื่ แขวงเปน็ ผ้ปู กครอง
เสียพระเกียรติอันจะพึงบังเกิดขึ้นแก่พระองค์เอง พระ เมอื ง มีท่านเจา้ เมืองหรือผรู้ ้งั เป็นผปู้ กครอง
มหากษัตริย์จึงทรงใช้พระราชอ�ำนาจทั้งหลายที่มีอยู่นั้น ดูแล
ไปในทางที่ถูกที่ควร ดังน้ัน ความร่มเย็นจึงมีแก่ไพร่ฟ้า
ประชาชนท่ีพ่ึงบุญญาธิการในพระองค์อยู่เป็นเนืองนิตย์
2 นิตยสารยุทธโกษ
ปที ี่ ๑๒๐ ฉบบั ท่ี ๔ ประจ�ำเดือนกรกฎาคม - กนั ยายน ๒๕๕๕
ดา้ นการเมือง ของแม่น�้ำเจ้าพระยา เยอ้ื งกับกรุงธนบุรพี ระนครแหง่ เดมิ
มีพระราชด�ำริว่า ฝั่งตะวันออกของแม่น้�ำเจ้าพระยา
ในปี พ.ศ. ๒๓๒๗ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ มลี ักษณะภูมปิ ระเทศเปน็ ชัยภูมิดีกวา่ ฝั่งตะวนั ตก
จุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ช�ำระกฎหมายขึ้นใหม่
แล้วเขียนลงในสมุด ๓ ชุด โดยหน้าแรกของแต่ละชุด ในการทะนุบ�ำรุงประเทศได้มาจากภาษีอากร
ได้ประทับตรา ๓ ดวง อันได้แก่ ตราราชสีห์ ตราคชสีห์ ซ่ึงแบ่งออกเป็น ๔ ประการ คอื จงั กอบ อากร ส่วย และ
และตราบัวแก้ว กฎหมายน้ีเพ่ือใช้เป็นแนวทางในการ ฤชา การค้าในสมัยน้ันได้ติดต่อค้าขายกับประเทศจีน
ตดั สนิ และช�ำระคดคี วามจึงเรยี กกันภายหลังวา่ กฎหมาย สนิ ค้า คือ ข้าว ฝา้ ย และผลติ ผลตา่ ง ๆ บางลำ� ก็ขายแต่
ตราสามดวง สินค้า บางล�ำก็ขายท้ังสินค้าและเรือด้วยกัน ซ่ึงรายได้นี้
คือพระราชทรัพยท์ ่ีนำ� มาบำ� รุงประเทศ
ในรชั กาลที่ ๑ นเ้ี งนิ ใชเ้ ปน็ เงนิ พดดว้ ง หรอื เงนิ กรม
ลักษณะของกฎหมายน้ีเป็นวรรณคดีมีการเรียบ ด้านการสงั คม
เรียงถ้อยค�ำอย่างสละสลวย เกลยี้ งเกลา อา่ นง่าย เน้ือหา
ประกอบไปด้วยกฎหมายลักษณะทั่วไป กฎหมาย พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช
มณเฑยี รบาล กฎหมายลักษณะการปกครอง กฎหมายว่า ทรงห่วงใยสวสั ดภิ าพความปลอดภยั ของบรรดาพสกนกิ ร
ธรรมนญู ศาลและพจิ ารณาคดี กฎหมายเอกชน กฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กเป็นอย่างมาก ทรงได้ตรา
อาญา เปน็ ต้น พระราชก�ำหนดใหม่ให้มีความยุติธรรมในด้านการ
ฟ้องร้อง และการพิจารณาคดีความแพ่งโดยได้ทรงออก
กฎหมายตราสามดวงนี้ได้เป็นแบบฉบับใช้กัน กฎหมายหลายฉบับ เช่น กฎหมายห้ามไม่ให้ตกแต่ง
ตอ่ มาจวบจนถงึ รชั สมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เคร่ืองประดับแก่เด็ก ๆ หากไม่มีแม่นมหรือพ่ีเลี้ยงคอย
เจ้าอยู่หัว ซ่ึงมีการปฏิรูปกฎหมายและการศาลครั้งใหญ่ ดแู ลอยใู่ กล้ ๆ ทง้ั นี้ กเ็ พอื่ ความปลอดภยั มใิ หใ้ ครมาท�ำรา้ ย
กฎหมายนจี้ งึ ถกู ยกเลกิ ไป ท�ำอันตราย ซึ่งแสดงให้ทราบว่าพระองค์ทรงมีความ
ห่วงใย และทรงมองการณ์ไกลมาตั้งแต่แรก แม้ปัจจุบัน
ดา้ นเศรษฐกิจ มีให้เห็นอยู่เสมอในความปลอดภัยของสภาพความเป็น
อย่ขู องสงั คม
เม่ือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มหาราชเสดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั แิ ลว้ ไดท้ รงพระกรณุ า ด้านการศาสนา
โปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มใหย้ า้ ยพระนครมาฝง่ั ตะวนั ออก
พระพุทธศาสนาเสื่อมทรุด เศร้าหมองมาตั้งแต่
ปลายรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อมาถึง
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้น
ครองราชสมบัติ พระองค์ให้ความส�ำคัญกับเร่ืองศาสนา
เปน็ อย่างมาก คอื
นติ ยสารยทุ ธโกษ 3
ปีที่ ๑๒๐ ฉบบั ท่ี ๔ ประจำ� เดอื นกรกฎาคม - กนั ยายน ๒๕๕๕
จึงแสดงให้เห็นถึงความด�ำรงมั่นในพระปณิธานของ
พระองค์อย่างแทจ้ ริง
การสงั คายนาพระไตรปฎิ ก ด้านการต่างประเทศ
๑. โปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายคณะสงฆ์ ในรชั กาลท่ี ๑ กลา่ วได้วา่ อาณาเขตของไทยได้แผ่
ออกใช้ในปีแรก ๒ ฉบับ และต่อมาได้ทรงตราเพ่ิมอีก ขยายออกไปอยา่ งไมเ่ คยมีครง้ั ใดเสมอเหมอื นมากอ่ นโดย
รวมทั้งสิ้น ๑๐ ฉบับ ด้วยพระองค์ทรงมีความมุ่งหมาย
เพื่อบังคับพระภิกษุสงฆ์ท่ีไม่ประพฤติอยู่ในธรรมวินัย ทิศเหนือ ตลอดเขตแดนลานนาไทยไปจน
เช่น ห้ามเทศน์ตลกคะนอง ห้ามมิให้หากินจุกจิกกับ ดนิ แดนจีน
ฆราวาส เป็นตน้
ทศิ ใต้ ตลอดแหลมมลายู
๒. โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระอารามหลวง ทิศตะวันออก ตลอดหัวเมืองลาวจนถึง
ในพระบรมมหาราชวัง ได้สร้างพระอุโบสถ พระเจดีย์ เขตแดนเขมร
วิหาร และศาลาราย รวม ๑๒ หลัง และได้พระราชทาน ทิศตะวันตก ตลอดมะริด ตะนาวศรี และ
นามว่า วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรอื วดั พระแก้วนน่ั เอง ทวาย ดนิ แดนของพมา่
นอกจากนั้น ยงั ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏสิ งั ขรณ์ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช
วดั อกี มากมาย ทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศเพ่ือนบ้านที่อยู่
ใกล้เคียง คือ เขมร ญวน มลายู จีน ลาว นอกจากน้ี
๓. ปี พ.ศ. ๒๓๓๑ การสงั คายนาพระไตรปฎิ ก ยังได้มีการติดต่อกับประเทศทางตะวันตก คือ โปรตุเกส
เมอื่ วา่ งเวน้ จากการศกึ สงคราม บา้ นเมอื งสขุ สงบ พระบาท ซ่ึงถือเป็นชาติแรกท่ีมาติดต่อกับไทยในสมัยอยุธยา
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงมีพระราช และต่อมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ท่ีส�ำคัญอีกประเทศหน่ึง
ด�ำรัสว่า “พระไตรปิฎกธรรม อันเป็นของพุทธบริษัท
ผิดเพี้ยนวิปลาสอยู่มากควรจะตกแต่งดัดแปลงเสียให้
ถูกต้องบริบูรณ์เป็นหลักของศาสนาต่อไป” หลังจาก
ท่ีได้ท�ำการสังคายนาพระไตรปิฎกแล้วเสร็จทรง
โปรดเกลา้ ฯ ให้สรา้ งพระไตรปิฎกขน้ึ อกี ๒ ฉบบั เรียกว่า
ฉบบั รองทรง (หรอื ฉบบั ขา้ งลาย) และฉบับทองชบุ เขียน
เปน็ อักษรขอมยอ่ ความแบบโบราณ
การบรู ณปฏสิ งั ขรณส์ รา้ งวดั ขน้ึ มาใหม่การสงั คายนา
พระไตรปฎิ กของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก
มหาราช ทำ� ใหก้ ารศาสนาในบา้ นเมอื งมคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื ง
ประชาชนต่างสนใจในพระพุทธศาสนาท�ำให้พระพุทธ
ศาสนาเป็นที่ย่ังยืนแพร่หลายสืบต่อมาตราบทุกวันนี้
4 นติ ยสารยทุ ธโกษ
ปีที่ ๑๒๐ ฉบบั ที่ ๔ ประจำ� เดอื นกรกฎาคม - กนั ยายน ๒๕๕๕
คือ อังกฤษ ซึ่งเมื่อได้มาเข้าเฝ้าฯ ก็ได้ทูลเกล้าฯ ถวาย พระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
ดาบประดับพลอย ๑ เล่ม กับปืนด้ามเงิน ๑ กระบอก ได้ทรงต้ังค่ายที่ทุ่งลาดหญ้าอยู่ติดเชิงเขาบรรทัดที่พม่า
จึงทรงตั้งให้เป็นพระยาราชกัปตันและมีสัมพันธไมตรี จะต้องเดินทัพเข้ามา กองหน้าของพม่าจึงต้องหยุด
ต้งั แตน่ ้ันมา ตง้ั คา่ ยทเ่ี ชงิ เขานัน้ และทพั ตอ่ ๆ ไปก็ชะงักอยใู่ นชอ่ งเขา
ได้รับความล�ำบากต้องอาศัยเสบียงอาหารจากแนวหลัง
ดา้ นการทหาร ทางเดียว ครั้นกองทัพไทยแต่งกองโจรออกไปดักโจมตี
ชิงเสบียงอาหาร กองทัพพม่าได้รับความขัดสนและเกิด
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ความเจ็บไข้ได้ป่วยเมอื่ รบเขา้ จรงิ ทัพพมา่ กแ็ ตกพ่ายไป
จุฬาโลกมหาราชจะมีความส�ำคัญเกิดข้ึนในประวัติ
ศาสตร์ชาติไทย และพระองค์จะเสด็จออกบัญชาการ สงครามครัง้ ที่ ๒ ศกึ ทา่ ดนิ แดง (พ.ศ. ๒๓๒๙)
ทหารด้วยพระองคเ์ องในการสงครามดงั น้ี เป็นสงครามท่ีต่อเน่ืองมาจากสงครามเก้าทัพ
ที่พม่าไม่สามารถจะเอาชนะกองทัพไทยได้จึงได้
สงครามครั้งที่ ๑ สงครามเก้าทพั (พ.ศ. ๒๓๒๘) รวบรวมพล และเข้ามาทางด่านพระเจดยี ์สามองค์ตั้งค่าย
พระเจ้าปดุงได้แต่งตั้งกองทัพมาตีเมืองไทย รายทางตลอดจนถึงต�ำบลท่าสบ ทา่ ดินแดง แต่กต็ ้องพ่าย
เป็นทัพใหญ่ถึง ๙ ทัพ จึงเรียกว่า สงครามเก้าทัพ แพ้แก่ไทยอีกครั้ง จนพม่าไม่คิดจะยกทัพมาตีเมืองหลวง
รวมไพร่พลได้ถึง ๑๔๔,๐๐๐ คน แยกย้ายเข้าโจมตี ของไทยอกี เลย
ต้ังแต่ทิศเหนือ คือเมืองล�ำปาง และหัวเมืองริมแม่น้�ำ สงครามครง้ั ที่ ๓ ที่ล�ำปาง และป่าซาง (พ.ศ.
แควใหญ่ แม่น้�ำยม ถัดมาเข้าทางด่านแม่ละเมาตี ๒๓๓๐)
หัวเมืองริมแม่น้�ำปิง ตั้งแต่เมืองตากเมืองก�ำแพงเพชร สงครามคร้ังท่ี ๔ ไทยตีเมืองทะวาย (พ.ศ.
ลงมา ทพั หลวงซง่ึ สำ� คญั ทส่ี ดุ เขา้ มาทางดา่ นเจดยี ส์ ามองค์ ๒๓๓๐)
เขา้ ตกี รงุ เทพฯ ทางใตก้ เ็ ขา้ มาทางดา่ นบอ้ งตตี้ เี มอื งราชบรุ ี สงครามครงั้ ที่ ๕ การรบท่ีเมืองทะวาย (พ.ศ.
เมอื งเพชรบรุ ลี งไปสมทบกบั ทพั บกทพั เรอื จากเมอื งมะรดิ ๒๓๓๖)
เข้าตหี ัวเมืองทางใต้ สงครามคร้งั ที่ ๖ พม่าตีเมืองเชียงใหม่ (พ.ศ.
สงครามเก้าทัพคร้ังน้ีนับว่าเป็นสงครามครั้งที่ ๒๓๔๐)
ยงิ่ ใหญท่ ส่ี ดุ ในประวตั ศิ าสตรไ์ ทยและพมา่ แตพ่ ระเจา้ ปดงุ สงครามครัง้ ที่ ๗ ขับไล่พม่าออกจากเขต
ทรงกะแผนการผิดพลาดอย่างส�ำคัญอยู่ ๒ ประการ คือ ลานนา (พ.ศ. ๒๓๔๕)
การแบ่งแยกก�ำลังกองทัพเข้ามาหลายทางจึงยากที่จะ
ก�ำหนดให้ถึงกรุงเทพฯ พร้อมกัน และการจัดหาเสบียง
อาหาร ตลอดจนการขนส่งอาหารส�ำหรับกองทัพท่ีมี
จ�ำนวนเกือบ ๑๕๐,๐๐๐ คน เป็นเร่ืองยากล�ำบากมาก
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมี
ก�ำลังทหารเพียง ๗๐,๐๐๐ คนเศษ จึงได้ทรงเปล่ียน
ยุทธวิธีต่อสู้ข้าศึกใหม่ คือแทนท่ีจะคอยต้ังรับข้าศึกอยู่ท่ี
เมืองหลวงคอยเวลาให้น้�ำเหนือท่วมข้าศึกเช่นสมัย
อยธุ ยา กลับทรงกรธี าทัพออกไปยันพมา่ ขา้ ศึกท่ีชายแดน
เมืองกาญจนบุรี และแต่งกองทัพไปสกัดข้าศึกไว้ที่
เมอื งนครสวรรค์ และเมอื งราชบรุ ี ปรากฏวา่ กองทพั สมเดจ็
นิตยสารยทุ ธโกษ 5
ปที ี่ ๑๒๐ ฉบบั ที่ ๔ ประจ�ำเดอื นกรกฎาคม - กันยายน ๒๕๕๕
พระมหากษตั รยิ ์ยอดนกั รบ เลอื่ นชน้ั เลอื่ นตำ� แหนง่ ขา้ ราชบรพิ ารในสมยั ของพระบาท
ตลอดพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ท่ีจะนำ� มาเป็น
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชน้ัน พระองค์ท่านทรง ตวั อยา่ งในท่ีน้ี คอื กฎทอ่ี อกใหแ้ ก่เหล่าขา้ ราชบรพิ ารพอ
ออกศกึ ใหญเ่ พ่ือกอบกู้อิสรภาพถึง ๑๑ ครงั้ โดยทรงเปน็ จะถอดใจความได้วา่
แมท่ พั ถงึ ๑๐ คร้งั และร่วมกบั พระเจ้ากรุงธนบุรี ๑ คร้งั
และเม่ือทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว พระองค์ยังคง “.....ขนบธรรมเนียมผู้จะเป็นพระหลวงขุนหม่ืน
ออกศึกเพื่อปกป้องอิสรภาพของชาติไทยอีก ๗ ครั้ง ผู้รักษาเมือง ผู้ร้ังกรมการย่อมมีความชอบตามคุณานุรูป
นับว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ยอดนักรบ สมควร แลกอปรด้วยวุฒิสี่ประการ คือ ชาติวุฒิ วัยวุฒิ
ท่ียิ่งใหญ่อยา่ งแทจ้ รงิ คุณวุฒิ ปัญญาวฒุ ิ”
ส่งิ ท่ีควรทราบ พระเกยี รตคิ ุณ
พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ พุ ท ธ ย อ ด ฟ ้ า
ปทุมอุณาโลม เป็น จุฬาโลกมหาราช
พ ร ะ ร า ช ลั ญ จ ก ร ป ร ะ จ� ำ
พระองค์พระบาทสมเด็จ สรา้ งเสาหลกั เมอื ง
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เม่ือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มหาราช ที่พระบาทสมเด็จ มหาราช ได้ปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็โปรดเกล้าฯ ให้เริ่มจัดการย้ายพระนครเมืองหลวง
โปรดให้ผูกข้ึนถวายพุทธศักราช ๒๔๒๕ ในการเฉลิม มาอยู่ทางฝั่งตะวันออกของกรุงธนบุรี โดยทรงพิจารณา
พระนครครบ ๑๐๐ ปี กล่าวกนั ว่า ด้วยทรงมพี ระราชดำ� ริ เห็นว่าเมืองธนบุรีทางตะวันตกนั้นมีข้อเสียเปรียบท้ัง
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเคยมี
พระราชโองการให้ทหารไทยทุกคนใช้ตราอุณาโลม
เป็นมงคลประจ�ำตัว ดังปรากฏบนหน้าหมวกทหารไทย
ทกุ เหลา่ ทพั จนตราบเทา่ ทุกวันน้ี
หลกั ธรรมท่ีใช้ปกครองบ้านเมอื ง เสาหลักเมอื ง
เบอ้ื งหลงั คอื พระเสือ้ เมือง พระทรงเมอื ง
ไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎร์ของพระองค์ต่าง
อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ด้วยพระองค์ทรงด�ำรงตนอยู่ใน
ทศพิธราชธรรม และน�ำหลักธรรมมาใช้ในการปกครอง
บา้ นเมืองและพสกนิกร
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช
ทรงใช้หลักธรรมในการปกครองบ้านเมืองและประชาชน
ของพระองค์ให้อยู่เย็นเป็นสุข ดังมีพระราชก�ำหนด
ยกเปน็ ตัวอยา่ งพอสังเขปได้ดังน้ี
หลักธรรมที่ใช้ในการพิจารณาความดีความชอบ
6 นิตยสารยุทธโกษ
ปีท่ี ๑๒๐ ฉบับท่ี ๔ ประจ�ำเดือนกรกฎาคม - กนั ยายน ๒๕๕๕
ในเชงิ ยุทธศาสตร์ และภมู ิศาสตร์ เน่ืองจากมีแม่นำ�้ ขวาง
(แม่น้�ำเจ้าพระยา) อยู่กลางไม่สะดวกในการป้องกัน
พระนคร และล�ำเลียงก�ำลงั รบ และกอ่ นมกี ารสร้างเมือง
ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพิธีเสาหลักเมืองตามโบราณ
ราชประเพณี เมื่อวนั อาทติ ย์ เดือน ๖ ข้นึ ๑๐ ค่�ำ ปขี าล
ตรงกบั วนั ท่ี ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕
วัดพระศรีรตั นศาสดาราม พระพทุ ธมหามณรี ัตนปฏมิ ากร
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช
ได้โปรดให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามขึ้นในพระบรม วดั พระเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม
มหาราชวังด้านตะวันออกในเขตพระราชฐานชั้นนอก เห็นวัดโพธ์โิ สภาสถาพร
วัดนี้นับว่ามีความส�ำคัญสูงสุดของประเทศไทย เพราะ สงา่ งามงอนพรง้ิ ทุกสิง่ อัน
เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ โอว้ ดั โพธิ์เป็นวดั กษตั ริยส์ ร้าง
พระแก้วมรกต จึงถือว่าเป็นพระพุทธรูปคู่เมืองไทย ไม่โรยรว่ งรุ่งเรืองดงั เมืองสวรรค์
นอกจากน้ียังเป็นสถานท่ีรวบรวมศิลปวัตถุ โบราณวัตถุ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช
และปูชนียวัตถุที่ล้วนแต่ศักดิ์สิทธ์ิและงดงามประมาณ โปรดให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ใช้เวลาถึง ๑๒ ปี วัดโพธิ์
ค่ามไิ ด้ ต้ังอยู่ทางทิศใต้ของพระบรมมหาราชวัง มีอาณาเขตถึง
๕๐ ไร่ ๓๘ ตารางวา เป็นวดั ท่ีมคี วามสวยงามมาก
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช
เสด็จด�ำรงสิริราชสมบัติได้ ๒๗ พรรษา กับ ๒ เดือน
สวรรคต ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๙ แรม ๑๓ คำ่� ปมี ะเสง็
เอกศก จุลศกั ราช ๑๑๗๑ (พ.ศ. ๒๓๕๒) ขณะสวรรคต
พระชนมไ์ ด้ ๗๒ พรรษา กบั ๖ เดือน ทา่ นมีพระราชโอรส
๑๘ พระองค์ พระราชธิดา ๒๒ พระองค์ ตกพระโลหิต
๓ พระองค์ รวม ๔๓ พระองค์
พระพทุ ธมหามณีรตั นปฏิมากร
เรียกโดยสามัญว่า “พระแก้วมรกต” พระบาท
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้อัญเชิญมา
ประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ท�ำด้วยหยก
ทงั้ องค์ หนา้ ตกั กวา้ ง ๔๘.๓ เซนตเิ มตร สงู ๒๖ เซนตเิ มตร
ประดษิ ฐานอยบู่ นบษุ บกทอง มพี ระราชศรทั ธาสรา้ งเครอื่ ง
ทรงถวายเป็นพระพุทธบชู าทง้ั ๓ ฤดู
วัดพระเชตุพนวิมลมงั คลาราม
นติ ยสารยุทธโกษ 7
ปที ่ี ๑๒๐ ฉบบั ที่ ๔ ประจำ� เดือนกรกฎาคม - กนั ยายน ๒๕๕๕
เคร่อื งราชกกุธภณั ฑใ์ นพระราชพิธพี ระบรมราชาภเิ ษก
พระมหาเศวตฉตั ร
พระมหาพชิ ยั มงกฎุ และเครือ่ งราชกกุธภณั ฑ์ พานพระขนั หมาก พระมณฑปรัตนกรณั ฑ์
และพระสุพรรณศรี
8 นิตยสารยทุ ธโกษ
ปีท่ี ๑๒๐ ฉบบั ที่ ๔ ประจำ� เดือนกรกฎาคม - กันยายน ๒๕๕๕
พระแท่นมหาเศวตฉตั ร และพระท่ีนงั่ บษุ บกมาลามหาจกั รพรรดพิ ิมาน พระมหาพิชัยมงกุฎ
ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ให้สร้างในสมยั รชั กาลท่ี ๑
พดั วาลวชิ นี และพระแสห้ างจามรี ฉลองพระบาทเชงิ งอน
นติ ยสารยทุ ธโกษ 9
ปีท่ี ๑๒๐ ฉบบั ที่ ๔ ประจำ� เดือนกรกฎาคม - กนั ยายน ๒๕๕๕