เรื่อง มหาชาติ
หรือมหาเวสสันดรชาดก
เนื้อเรื่อง
ทั้ง 13 กัณฑ์
ผลงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้รายวิชา ท๓๑๑๐๒ ภาษาไทย ๒ เสนอครูสุชาติ พิบูลย์
วรศักดิ์ ครูประจําชาติ.
คํานํา
E - book เล่มนี้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับชาดกเรื่องมหาเวสสันดรหรือมหาชาติ จัดทําขึ้นเพื่อการ
ศึกษาเเละผู้ที่ต้องการเนื้อหาเเบบสรุป ทั้งนี้พวกเราได้ออกเเบบ E - book เล่มนี้ให้มีความ
สวยงานเเละเรียบง่ายมากขึ้นในการอ่าน รวมถึงเป็นการฝึกในการหาข้อมูลอีกด้วย เเละ
ต้องขอขอบคุณครูสุชาติ พิบูลย์วรศักดิ์ ที่ไกด์เเนวทางในการทําครั้งนี้ด้วย
สารบัญ
ผู้แต่ง ๑
ที่มาของเรื่อง ๗
ลักษณะคำประพันธ์ ๘
จุดประสงค์ในการแต่ง ๙
เนื้อเรื่องทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ๑๐
วิจารณ์ตัวละครสำคัญในเรื่องมหาเวสสันดร ๒๓
คำศัพท์และคำแปลเรื่องมหาเวสสันดรชาดก ๒๖
ฝนโบกขรพรรษ ๒๗
ทศชาติชาดก ๒๙
ชาดกทั้ง ๑๐ เรื่อง ๒๙
ข้อคิดจากเรื่อง มหาเวสสันดรชาดก ทั้ง 13 กัณฑ์ ๓๒
ผู้แต่ง
ผู้แต่งเรื่องมหาเวสสันดรชาดก คือ เจ้าพระยา พระคลัง นามเดิมว่า หน เป็นเสนาบดี
จตุสดมภ์กรมท่า เดิม เป็นหลวงสรวิชิต เคยตามเสด็จพระราชดำเนินราชการสงคราม ในสมัย
รัชกาลที่ ๑ เมื่อครั้งหลวงสรวิชิตรับราชการอยู่ที่กรุงธนบุรี มีความดีความชอบมากโดยเฉพาะ
ฝีมือในการเรียบเรียงหนังสือ รัชกาลที่ ๑ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเป็นพระยาพิพัฒโกษา ต่อมา
ตำแหน่งเจ้าพระยาพระคลังว่างลง รัชกาลที่ ๑ จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระยาพิพัฒโกษาขึ้นเป็น
เจ้าพระยา พระคลัง (หน) พระยาพิพัฒโกษามีบุตรชาย ๒ คนคนหนึ่งเป็น จินตกวีและอีกคน
หนึ่งเป็นครูพิณพาทย์ส่วนบุตรหญิง คือ เจ้าจอมมารดานิ่มเป็นเจ้าจอมมารดาสมเด็จพระเจ้า
บรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ในรัชกาลที่ ๒ เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ถึงแก่อสัญกรรม
เมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๓๔๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ หนังสือที่เจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่งที่สำคัญ
ได้แก่ มหาชาติกลอนเทศน์หรือเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมารและกัณฑ์มัทรีโดยทั้งสองกัณฑ์นี้นับ
ได้ว่าแต่งได้ดีเยี่ยม ไม่มีสำนวนของผู้ใดสู้ได้ แม้สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิต
ชิโนรสจะได้ทรงนิพนธ์ขึ้นอีกสำนวนหนึ่งในภายหลัง ก็ยังเว้นกัณฑ์ทั้งสองนี้ เพราะของเดิมดี
เยี่ยมอยู่แล้ววเรื่องย่อย
เจ้าพระยาพระคลัง
๑
ผู้แต่ง
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือ รัชกาลที่ 4 ผู้พระราชนิพนธ์ 3 กัณฑ์ คือวันประเวศน์,
จุลพน,สักบรรพ
ประวัติ เป็น พระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 4 แห่ง ราชวงศ์จักรี มีพระนามเดิมว่า "เจ้าฟ้ามงกุฎ"
พระองค์ทรงศึกษาอักษรสยามในสำนัก สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) วัดโมลีโลกยาราม
ราชวรวิหาร ตั้งแต่เมื่อครั้งยังประทับ ณ พระราชวังเดิม นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาวิชาคชกรรมกับ
เจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช รวมทั้ง ทรงฝึกการใช้อาวุธต่าง ๆ ด้วย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือ
รัชกาลที่ 4
๒
ผู้แต่ง
กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงนิพนธ์ 4 กัณฑ์ คือ ทศพร,หิมพานต์,มหาราชและนคร
ประวัติ พระนามเดิม พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าวาสุกรี เป็น สมเด็จพระสังฆราชไทย
พระองค์ที่ 7 แห่ง อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์) และเป็นพระราชวงศ์
พระองค์แรกที่ทรงได้รับสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช นอกจากนี้ยังเป็นสมเด็จ
พระสังฆราชพระองค์แรกที่ประสูติในสมัยรัตนโกสินทร์ ทรงสถิต ณ วัดพระเชตุพนวิมล
มังคลารามราชวรมหาวิหาร ในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรงสมณศักดิ์
เมื่อปี พ.ศ. 2394 ถึงปี พ.ศ. 2396 รวม 2 ปี สิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษาได้ 62 ปี 364 วัน
กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส
๓
ผู้แต่ง
พระเทพโมลี ( กลิ่น ) นิพนธ์ 1 กัณฑ์ คือ มหาพน
พระเทพโมลี มีนามเดิมว่า กลิ่น เกิดเมื่อ พ.ศ. 2283 ในสมัย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
มีเชื้อสายรามัญ ต่อมาอุปสมบท วัดตองปุ อยุธยา เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก พระเทพโมลี ครั้ง
เป็นพระกลิ่น หลบภัยข้าศึก ล่องลงมาทางใต้ ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ได้กลับมาอยู่วัดกลางนา
( วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร ) ต่อมาเมื่อทราบข่าวพระอาจารย์สุก มาสถิตวัดพลับ ( วัด
ราชสิทธารามราชวรวิหาร ) เป็นที่พระญาณสังวรเถร จึงตามมาอยู่วัดพลับ เพื่อมาศึกษา
พระกรรมฐานในสำนักพระญาณสังวรเถร (สุก) เมื่อศึกษาวำเร็จเร็จแล้วท่านได้ออกธุดงค์
สมัยต่อมาท่านได้นำเอาประสบการณ์การออกสัญจรจาริกธุดงค์ การเดินป่า มา แต่ง
วรรณกรรม มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มหาพน
พระเทพโมลี.
๔
ผู้แต่ง
สำนักวัดถนน นิพนธ์ 1 กัณฑ์ คือ ทานกัณฑ์
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ทานกัณฑ์ ไม่ปรากฎนามผู้แต่ง ด้วยเหตุที่ไม่มีหลักฐานแน่นอนว่า
ผู้แต่งเป็นใคร ทราบเพียงแต่ว่าเป็นภิกษุที่อยู่วัดถนน ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตก
ของแม่น้ำสีกุก อันเป็นเขตติดต่อระหว่าง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ จังหวัดอ่างทอง จึงใช้
ชื่อผู้แต่งกัณฑ์ทานกัณฑ์ว่า สำนักวัดถนน ผู้แต่งที่กัณฑ์ทานกัณฑ์นี้ จากสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่
ในละแวกบ้านใกล้วัดถนนพอจะทราบเค้าประวัติของท่านผู้แต่งว่า ชื่อ ทองอยู่ เกิดที่บ้านไผ่
จำศีล อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง เกิดเมื่อ พ.ศ. 2300 ในสมัยปลายแผ่นดิน
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่ออายุประมาณ 8-9 ปี ได้ไปศึกษาเล่าเรียนที่ จังหวัด
พระนครศรีอยุธยา เมื่ออายุประมาณ 10-11 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรประจวบกับกรุง
ศรีอยุธยาแตกเมื่อ พ.ศ. 2310 ประชาชนอพยพหนีภัยสงครามไปอยู่ตามชนบทและในกรุง
ศรีอยุธยาเกิดขัดสนเสบียงอาหาร สามเณรทองอยู่จึงจำเป็นต้องเดินทางกลับบ้านเกิด ที่ตำบล
ไผ่จำศีล การเดินทางในครั้งนั้นต้องเดินทางผ่านตำบลโผงเผง ที่บ้านนี้มีวัดอยู่วัดหนึ่ง เรียกว่า
“วัดถนน” สามเณรทองอยู่ได้พักที่วัดนี้ ในขณะนั้นวัดถนนเกือบจะเป็นวัดร้าง มีสามเณรรูป
หนึ่งคอยดูแลรักษา เณรรูปนี้ได้ชวนสามเณรทองอยู่มาอยู่ด้วยกัน แต่สามเณรทองอยู่ผัดว่าขอ
อุปสมบทเป็นพระภิกษุก่อน ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2321 ในแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้าตากสิน
มหาราช ท่านจึงได้อุปสมบทและมาอยู่วัดถนน และได้แต่ง มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ทาน
กัณฑ์
๕
ผู้แต่ง
สำนักวัดสังขจายนิพนธ์ 1 กัณฑ์ คือ ชูชก
สำนักวัดสังข์กระจายเป็นชื่อสำนักที่ท่านผู้แต่งบวชอยู่ วัดนี้อยู่ริมคลองบางกอก เป็นวัด
โบราณ ส่วนท่านผู้แต่งกัณฑ์ชูชกนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงนุภาพ
ทรงสันนิษฐานว่า คือ พระเทพมุณี(ด้วง) แต่ประวัติของท่านยังไม่เป็นที่แน่ชัด ในพ.ศ.
๒๓๓๒ คราวเกิดอสุนีบาตตกต้องมุขพระที่นั่งอินทราภิเศกมหาปราสาทติดเป็นเพลิงไหม้
ขึ้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟจุฬาโลกมหาราชทรงพระแสงของ้าวเร่งข้าราชการดับ
เพลิงจนสงบ แล้วทรงปริวิตกว่าเห็นจะเป็นอัปมงคลนิมิตรแก่บ้านพระราชาคณะที่เป็น
ปราชญ์ ต่างได้ลงชื่อถวายชัยมงคล ซึ่งรายนามพระสงฆ์ที่ถวายพระพรครั้งนั้นมีพระเทพ
มุณีวัดสังข์กระจายด้วยรูปหนึ่ง นอกจากนี้ พระเทพมุณีรูปนี้ยังถวายเทศน์กัณฑ์ชูชกใน
รัชกาลที่ทั้งยังเคยถวายแก้ข้อกังหาปัญหาธรรมและพระราชปุจฉาในรัชกาลที่ ๑ อีกด้วย
นิพนธ์ในมหาเวสสันดรชาดก ๑ กัณฑ์ คือ ชูชก
สำนักวัดสังขจายนิพนธ์
๖
ที่มาของเรื่อง
มหาพระเวสสันดรชาดก เป็นเรื่องหนึ่งในนิบาตชาดก มีปรากฏอยู่ในพระสุตตันตปิฎก ขุท
ทกนิกาย มหานิบาต ในหัวข้อทศชาติชาดก ยังปรากฏการกล่าวถึงในคัมภีร์ชินมหานิทาน
พุทธจริยา และพุทธตำนาน และพบภาพสลักในสถูประยะแรก อย่าง สถูปสาญจีและภาร
หุต ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 4–5
ที่มาของมหาเวสสันดรชาดกน่าจะเป็นเรื่องเล่าหรือนิทานของชาวพื้นเมืองอินเดียมา
ก่อน พัฒนาการวรรณกรรมมหาพระเวสสันดรในระยะแรกพบว่า เวสสันดรชาดก เป็นชื่อ
ในภาษาบาลี ส่วนภาษาสันสกฤตเรียกว่า วิศวันตระอวทาน มีเนื้อเรื่องแตกต่างกันบาง
อนุภาค เช่น ไม่ปรากฏชื่อชูชกในภาษาบาลี สำหรับภาษาบาลีในพระสุตตันตปิฎก เชื่อว่า
แต่งโดยพระพุทธโฆษะเถระ ในพุทธศาสนาศรีลังกาในช่วง พุทธศตวรรษที่ 10–11
มหาเวสสันดรชาดก
๗
ลักษณะคำ
ประพันธ์
มหาเวสสันดรชาดกเป็นมหาชาติกลอนเทศน์ มีลักษณะคำ
ประพันธ์เป็นร่ายยาวที่มีคาถาบาลีนำ ร่ายยาว บทหนึ่งไม่จำกัด
จำนวนวรรค แต่ที่นิยมคือตั้งแต่ ๕ วรรคขึ้นไป และแต่ละวรรคก็
ไม่จำกัดจำนวนคำเช่นกัน แต่ไม่ควรน้อยกว่า ๕ คำ ซึ่งคำสุดท้าย
ของวรรคหน้าจะส่งสัมผัสไปวรรคหลังคำใดก้ได้ แต่เว้นคำสุดท้าย
ของวรรคอาจจบลงด้วย “คำสร้อย” (คำสร้อย เช่น ฉะนี้ ดังนี้ นั้น
เกิด นั้นแล แล้วแล ด้วยประการฉะนี้ เป็นต้น)
แผนผังร่ายยาว
๘
จุดประสงค์ในการเเต่ง
เพื่อใช้เทศน์ให้ประชาชนฟัง มหาเสสันดรชาดก แต่งขึ้นเพื่อใช้เทศน์มหาชาติ เนื่องจาก
ร่ายยาวมหาเสสันดรชาดกเป็นชาดกเรื่องใหญ่ที่สุด เป็นชาติที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ
เป็นพระเสสันดรซึ่งเป็นพระชาติสุดท้ายก่อนจะประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วเสด็จ
ออกผนวชกระทั่งได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเรื่องราวในพระชาติที่เป็นพระ
เวสสันดรได้ทรงบำเพ็ญทศบารมี ครบทั้ง ๑๐ ประการ โดนเฉพาะอย่างยิ่ง ทานบารมี ซึ่ง
ทรงบริจาคบุตรทารทาน คือ บริจาคพระชาลี พระกัณหา และพระนางมัทรี จึงเป็นชาติที่
สำคัญและยิ่งใหญ่ เรียกว่า “มหาชาติ” หรือ “มหาเสสันดรชาดก”
๙
เนื้อเรื่องทั้ง ๑๓ กัณฑ์
กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร ๑๙ พระคาถา
จำเนียรกาลมา พระนางผุสดีเทพอัปสรสิ้นบุญ จะต้องจุดติ ท้าวสักกะ พระสวามี ทรงทราบ จึงพา
พระนางไปประทับยังสวนนันทวัน ในเทวโลก เพื่อความสำราญพระทัยแล้วตรัส บอกว่า บัดนี้เธอ
สิ้นบุญจะต้องจุดติไปบังเกิดเป็นมนุษย์แล้วฉันให้พร ๑๐ ประการ เธอจึ่งเลือกตามใจชอบเถิด
พระนางผุสดี ได้ทูลขอพร ๑๐ ประการ ตามที่พอใจดังนี้
๑. ขอให้หม่อนฉันได้อยู่ในปราสาททอง ขอพระเจ้า สีวิราชพระนครสีพี
๒. ขอให้หม่อนฉันมีจักษุดำ ดุจนัยน์ตาลูกเนื้อ
๓. ขอให้หม่อนฉันมีคิ้วดำสนิท
๔. ขอให้หม่อนฉันมีนามว่า ผุสดี
๕. ขอให้หม่อนฉันมีพระโอรสที่ทรงเกียรติยศเหนือกษัตริย์ทั้งหลายและมีใจบุญ
๖. ในเวลาทรงครรภ์ ขออย่าให้ครรภ์ ขอหม่อนฉันนูนปรากฏ ดังสตรีสามัญ
๗. ขอให้หม่อนฉันมีถันงาม ในเวลาทรงครรภ์ก็อย่ารู้ดำและต่อไป ก็อย่าให้หย่อนยาน
๘. ขอให้หม่อนฉันมีเกศาดำสนิท
๙. ขอให้หม่อนฉันมีผิวงาม
๑๐. ขอให้หม่อนฉันทรงอำนาจ ปลดปล่อยนักโทษได้
๑๐
กัณฑ์ที่ ๒ หิมพานต์ ๑๓๔ พระคาถา
เมื่อพระนางผุสดีจุติจากสวรรค์มาเป็นพระราชธิดาของพระเจ้ามัทราช เมื่อเจริญวัย ๑๖
พรรษาได้รับการอภิเษกเป็นพระมเหสีของพระเจ้าสญชัย พระประมุขแห่งพระนครสีพี ต่อมา
ประสูติพระราชโอรสทรงพระนามว่า “เวสสันดร” ในวันเดียวกันนั้น นางช้างฉัททันต์ได้ตกลูก
เป็นช้างเผือกขาวบริสุทธิ์ ได้ชื่อว่า “ปัจจัยนาค” ต่อมาพระเจ้าสญชัยได้ทรงมอบราชสมบัติแด่
พระเวสสันดรและให้ทรงอภิเษกกับพระนางมัทรีเป็นคู่บารมีในการบริหารบ้านเมือง พระ
เวสสันดรทรงมีพระนิสัยน้อมไปในการบำเพ็ญทาน ทรงมุ่งจะบริจาค เป็นอารมณ์ เมื่อเกิด
ภาวะฝนแล้งในแคว้นกลิงครัฐประชาชนจึงมาขอช้างปัจจัยนาค พระองค์ ก็ทรงประทานให้
อันเป็นเหตุให้ชาวเมืองสีพีไม่พอใจ ทูลขอให้พระเจ้าสญชัยเนรเทศไปสู่ ป่าหิมพานต์
๑๑
กัณฑ์ที่ ๓ ทานกัณฑ์ ๒๐๙ พระคาถา
เมื่อพระนางผุสดี ทรงทราบว่า พระเวสสันดรโอรส ถูกประชาชนกล่าวโทษว่าพระราชทาน
ช้างปัจจัยนาคเป็นทาน และถูกลงโทษให้เนรเทศจากพระนครสีพีก็พระทัย รีบเสด็จมา
พบพระเวสสันดรและนางมัทรีปรับทุกข์กันอยู่ก็ทรงพระกันแสง โศกาอาดูร แล้วเสด็จเข้าเฝ้า
พระเจ้ากรุงสัญชัยทูลขอประทานอภัยโทษก็ไม่สำเร็จด้วยท้าวเธอตรัสว่า ให้เนรเทศ ตามกฎ
ของธรรมศาสตร์ราชประเพณี รุ่งขึ้นได้เวลา พระเวสสันดรก็ทรงบริจาคสัตสดกมหาทาน คือ
การให้ครั้งใหญ่ โดยกำหนดไว้สิ่งละ ๗๐๐ คือ ๑.ช้าง ๗๐๐ เชือก ๒.ม้า ๗๐๐ ตัว ๓.โคนม
๗๐๐ ตัว ๔.รถ ๗๐๐ คัน ๕.นารี ๗๐๐ คน ๖.ทาสชาย ๗๐๐ คน ๗.ทาสหญิง ๗๐๐ คน
๘.สรรพวัตถาภรณ์ต่างๆ อย่างละ ๗๐๐ ๙.ที่สุดแม้สุราบาน ก็ได้ประทานแก่นักเลงสุรา
เสร็จแล้วก็ทรงพานางมัทรี ไปทูลลาพระชนก และพระชนนีเพื่อออกไปบำเพ็ญพรตอยู่เขา
วงกต พระเจ้าสัญชัยขอให้พระนางมัทรี พระชาลี และนางกัณหาอยู่ พระนางมัทรีไม่ยอมอยู่
ทั้งไม่ยอมให้ลูกอยู่ด้วยเป็นอันถูกเนรเทศด้วยทั้งหมด รุ่งขึ้นพระเวสสันดร พระนางมัทรี
พร้อมด้วยพระโอรสทั้งสองก็เสด็จ ทรงม้าพระที่นั่งเสด็จออกจากนคร บ่ายพระพักตร์เข้าสู่
ไพร ก่อนที่จะละพระนครไป ทรงหันกลับมามองพระนครด้วยความอาลัย แล้วก็เสด็จประเวศ
ยังไม่ทันพ้นเขตชานพระนคร ก็ทรงประทานม้าและรถแก่พราหมณ์ที่วิ่งตามมาทูลขอ และ
ต่างองค์ก็ทรงอุ้มพระโอรสดำเนินเข้าไป โดยตั้งพระทัยไปเขาวงกต
๑๒
กัณฑ์ที่ ๔ วันประเวศน์ ๕๗ พระคาถา
เมื่อพระเวสสันดร พระนางมัทรี พระกัณหา และพระชาลี ๔ ชีวิต เสด็จ พระดำเนินสู่ป่าวนา
สณฑ์ ความทราบถึงพระเจ้าเจตราษฎร์กษัตริย์แห่งมาตุลนคร จึงทูลอ้อนวอนให้ทรงเป็น
กษัตริย์ครองมาตุลนคร แต่พระเวสสันดรก็ทรงปฏิเสธ พระเจ้าเจตราษฎร์จึงได้ทรงพรรณนา
หนทางไปสู่ป่าหิมพานต์ว่าคดเคี้ยวเลี้ยวลดประการใด โดยทรงให้พรานเจตบุตรเป็นผู้กำหนด
จุดรักษาประตูป่า เพื่อระวังรักษามีให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน ครั้งนั้นพระอินทร์ทรงมีเทวบัญชาให้
พระวิษณุกรรมเทพบุตรเนรมิตศาลาให้ ๒ หลัง พระเวสสันดร พระนางมัทรี พระกัณหา และ
พระชาลี ได้ทรงผนวชเป็นพระดาบส โดยมีอาศรมศาลา ๒ แห่งนี้เป็นที่ทรงอาศัย
๑๓
กัณฑ์ที่ ๕ ชูชก ๗๙ พระคาถา
กล่าวถึงชูชกผู้เข็ญใจ อาศัยอยู่ในบ้านทุนวิฏฐ์ต่อเนื่องเมืองกลิงคะรวบรวมเงิน ที่เที่ยว
ขอทานมาได้ ๑๐๐ กษาปณ์ แล้วได้นำไปฝากไว้กับเพื่อนพราหมณ์ผู้หนึ่งเป็น เวลานาน ต่อ
มาพราหมณ์ผู้นั้นจนลงจึงใช้จ่ายเงินของชูชกจนหมด เมื่อชูชกมาทวงคืน จึงไม่มีเงินให้ จึงยก
อมิตตดาลูกสาวให้เป็นภรรยา อมิตตดาได้ทำหน้าที่เป็นภรรยาที่ดีจนเป็น ที่เลื่องลือไปทั้งหมู
บ้าน ก่อให้เกิดสถานการณ์วุ่นวายไปทุกครอบคัว คือพวกสามีต่างได้ ช่องตำหนิภรรยของตน
ว่าสู้อมิตตดาไม่ได้ จึงทำให้ผู้เป็นภรรยาทั้งหลายเกลียดชังอมิตตดา ส่วนอมิตตดาเห็นว่าชูชก
หลงใหลในความสาวของตน จึงออกอุบายให้เฒ่าชูชก ไปขอพระกัณหาชาลีมาเป็นข้ารับใช้ ชู
ชกจึงออกเดินทางไปถึงวนสถานที่พรานเจตบุตรรักษา แล้วหลอกพรานว่าตนคือพระราช
สาส์นของพระเจ้าสญชัยมาเชิญพระเวสสันดรเสด็จกลับ พระนคร พรานเจตบุตรหลงเชื่อจึง
เลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดี
๑๔
กัณฑ์ที่ ๖ จุลพน ๓๕ พระคาถา
เจตบุตรพรานนายด่านประตูป่าฟังคารมชูชก หลงเชื่อพอใจ เลื่อมใสนับถือ ยำเกรง ถึงกับเสีย
สละอาหาร ต้อนรับเลี้ยงดูชูชกเต็มที่ แล้วก็พาชูชกไปยังต้นทางชี้บอกให้ชูชกกำหนดหมาย
ภูเขา และป่าไม้กับพรรณาความงามนานาพฤกษชาติสร้างความยินดีให้มีกำลังใจหายสะดุ้ง
หวาดกลัวภัยในป่า ทั้งบอกระยะทางที่จะไปพบอาศรมฤาษีซึ่งเป็นดุจสถานีที่พักในการเดิน
ทางคราวนี้และจะได้รับความปราณีจากอจุตดาบสบอกทางให้ต่อไป จนถึงอาศรมของพระ
เวสสันดร
๑๕
กัณฑ์ที่ ๗ มหาพน ๘๐ พระคาถา
ครั้นชูชกเดินทางไปตามคำแนะนำของเจตบุตรก็พบว่าท่านอจุตฤาษีที่อาศรมไต่ถามทุกข์สุขตาม
ธรรมเนียมของผู้แรกพบและเมื่อได้รับการปฏิสันถารเป็นอย่างดีของอจุตฤาษีเป็นที่พอใจแล้ว ก็
เริ่มถามที่อยู่ของพระเวสสันดรโดยขอให้ช่วยบอกที่อยู่พร้อมทางที่จะไปด้วย อจุตฤาษีไม่พอใจ
ตัดพ้อตามอารมณ์ว่าชูชกจะมาขอชาลีกัณหาพระโอรสไปเป็นทาสหรือไม่ก็ขอพระนางมัทรีไม่ใช่มา
ดีเป็นคนมาร้ายไม่น่าคบค้าทีเดียว ชูชกแก้ตัวว่าท่านอาจารย์เข้าใจผิดแต่ผมไม่โกรธดอกคนอย่าง
ผมหรือจะมาเที่ยวขอให้เสื่อมเสียพงษ์พราหมณ์ ผมมาเพื่อเยี่ยมท่านจริงๆได้เห็นท่านเป็นกุศลได้
สมาคมกับท่านเป็นความสุขตั้งแต่ท่านจากเมืองมายังไม่เลยพบปะเลยกรุณณาแนะนำให้ได้พบ
ท่านสักหน่อยเถอะไอชูชกเอาความดีเข้าต่อเช่นนี้ อจุตฤาษีก็ใจอ่อนหลงเชื่อว่าเป็นจริงจึงให้ชูชก
ค้างอยู่ที่อาศรมคืนหนึ่ง ครั้นรุ่งเช้าจัดให้ชูชกบริโภคผลไม้ เผือกมัน แล้วก็พาไปต้นทางบอกทางไป
อาศรมพระเวสสันดรอย่างละเอียดถี่ถ้วนพรรณนาถึงภูเขา ป่าไม้ ฝูงสัตว์ต่างๆ ด้วยเป็นป่าใหญ่
สมกับที่เรียกว่า ป่ามหาชน ชูชกกำหนดจดจำของอจุตฤาษีจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็นมัสการลาไป
๑๖
กัณฑ์ที่ ๘ กัณฑ์กุมาร ๑๐๑ พระคาถา
เมื่อชูชกผู้ผจญความลำบากมาถึงอาศรม จึงได้เดินทางไปขอสองกุมารจากพระเวสสันดร
ขณะที่พระนางมัทรีเข้าป่าหาผลไม้เด้วยความห่วงใย เนื่องจากฝันเป็นลางบอกให้รู้ล่วงหน้า
ว่าจะพลัดพรากจากพระโอรส พระนางได้เฝ้าทูลถามพระเวชสันดรขอให้ทรงแก้ฝัน พระเวช
สันดรก็ไม่ทรงแก้ตรัสบ่ายเบียงว่ามาตกระกำลำบากหลับนอนไม่ผาสุกเหมือนอยู่วัง ก็ฝันไป
ตามสภาพยากไร้ พระนางหาแน้พระทัยเชื่อไม่ จึงสั่งเสียกุมารทั้งสองให้ระวังเนื้อระวังตัว ดัง
นั้นเมื่อสองกุมารได้ยินกลัวจะถูกชูชกเอาตัวจึงพากันเดินลงไปซ่อนตัวอยู่ในสระบัว พระ
เวสสันดรรู้เข้าจึงเดินตามรอยเท้าไปเรียกสองกุมารขึ้นมาจา สระให้มาเป็นสำเภาทองพา
พระองค์ไปสู่นิพพาน แล้วพระองค์ทรงยก สองกุมารให้ชูชก บันดาลให้บังเกิดความมหัศจรรย์
บนแผ่นดิน ชูชกผูกแขนสองกุมาแล้วเฆี่ยนตีต่อหน้าพระเวสสันดรจนพระองค์ เกิดบันดาล
โทสะเกือบระงับดับไว้มิได้
๑๗
กัณฑ์ที่ ๙ มัทรี มี ๙๐ พระคาถา
กล่าวถึงพระนางมัทรีรีบย้อนกลับเคหา ก็เกิดพายุใหญ่ จนมืดครึ้มไปทั่วทั้งป่า ท้องฟ้าสีแดง
ปานเลือดละเลง ทั้งแปดทิศปรากฎมืดมนไปหมดอย่างไม่เคยมี พระนางทรงห่วงหน้าพะวง
หลัง เกรงจะมีภัยแต่พระเวสสันดร กัณหาและชาลีพระนางมัทรีรีบยกหาบใส่บ่ารีบเดินทาง
พอถึงช่องแคบระหว่างเขาคีรีเป็นตรอกน้อยรอยวิถีทางที่เฉพาะจะต้องเสด็จผ่านก็พบกับสอง
เสือสามสัตว์มานอนสกัดหน้า เทวดาสามองค์แปลงร่างเป็นราชสีห์ เสือเหลือง เสือโคร่งสกัด
ทางนางไว้เพื่อมิให้พระนางมัทรีติดตามกัณหา ชาลีได้ทัน แต่ถึงกระนั้น เมื่อยามทุกข์เข้าบีบ
คั้น ความรักลูก ความห่วงพระภัสดา พระนางจึงก้มกราบวิงวอนขอหนทางต่อพญาสัตว์ทั้ง
สาม เมื่อได้หนทางแล้ว พระนางก็รีบเสด็จกลับอาศรม เมื่อมาถึงอาศรมไม่เห็นพระกัณหาชาลี
จึงทูลอ้อนวอนถามพระเวสสันดร แต่พระเวสสันดรไม่ทรงตอบเพราะเห็นว่า พระนางกำลัง
เหนื่อยมาพอทราบว่าพระลูกรักพลัดพรากจากไปเกรงว่าจะเป็นอันตรายที่เกิดขึ้นจากความ
โศกเศร้า พระนางมัทรีออกตามหากัณหาชาลีตลอดคืนยันรุ่งจนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่าง
ที่สุดจนสลบไป พระเวสสันดรจึงยกพระเศียรนางขึ้นวาง บนตักแล้วเอาน้ำารดพระอุระ เมื่อ
พระนางฟื้นคืนมาจึงตรัสบอกความจริงและขอให้พระนางอนุโมทนาสาธุการในปุตตทานครั้งนี้
ด้วย
๑๘
กัณฑ์ที่ ๑๐ กัณฑ์สักกบรรพ ๔๓ พระคาถา
กล่าวถึงท้าวสักกเทวราช คือ พระอินทร์ เกรงว่าถ้ามีใครมาขอ พระนางมัทรี พระเวสสันดรก็
จะประทานให้อีก จึงจำแลงกายเป็นพราหมณ์ มาขอไว้ก่อน เมื่อพระเวสสันดรยกให้แล้ว
พราหมณ์จึงขอฝากไว้ก่อนพระนางมัทรีก็อนุโมทนาจัดว่าเป็นทานบารมีอันยิ่งใหญ่เป็นเหตุให้
เกิดปฐพีสั่นไหว ไปทั่วท้าวสักกเทวราชจึงสำแดงกายให้ปรากฏและให้พระเวสสันดรขอพร ได้
๘ ประการดังนี้ ๑. ขอให้พระบิดามีเมตตา ๒. ขอให้ปล่อยนักโทษ ๓. ขอให้อนุเคราะห์คน
ยากจน ๔. ขออย่าให้รู้อำนาจสตรี ๕.ให้พระโอรสมีอายุยืน ๖.ขอให้ฝนแก้วประการตกลงใน
เมืองสีพี ๗.ขอให้สมบัติในท้องพระคลังอย่ารู้หมดสิ้น ๘.เมื่อทิวงคตแล้ว ขอให้ไปเกิดใน
สวรรค์ชั้นดุสิต ท้าวสักกะเทวราช ก็ตัดประสิทธิ์ประสาทให้สมมโนรถและตรัสว่า ในไม่ช้าพระ
ชนกก็จะเสด็จออกมารับพระองค์คืนเข้าไปครองราชย์สมบัติอย่าทรงวิตกอาดูรพระทัย
อุตส่าห์บำเพ็ญเนกขัมมบารมีตามทางพุทธทางกูงสืบไปเถิดแล้วเสด็จกลับเทวโลก
๑๙
กัณฑ์ที่ ๑๑ มหาราช ๖๙ พระคาถา
กล่าวถึงชูชกพาสองกุมารเดินทางมาถึงป่าใหญ่ ค่ำลงที่ไหนก็ผูกสองกุมารไว้ที่โคนต้นไม้
ตัวแกปีนขึ้นต้นไม้ผูกเปลนอน เพื่อให้พ้นภัยจากสัตว์ร้าย เทพธิดา ๒ องค์ มีความสงสารสอง
กุมารมากจึงแปลงร่างกายคล้ายพระเวสสันดรและพระนางมัทรีมาคอยดูแลพระกุมารทั้งสอง
เมื่อเดินทางมาถึงทางแยกสองแพร่งที่จะไปนครกลิงคะและนครสีพี เทพเจ้าก็ดลใจให้ชูชก
เดินหลงเข้าไปในนครสีพีและพาสองกุมาไปถึงหน้า พระที่นั่งโดยมิได้มีใครทักท้วง พระเจ้าสญ
ชัยโปรดให้ชูชกและสองกุมารเข้าเฝ้า แล้วโปรดให้เบิก พระราชทรัพย์ไถ่ถอนพระกัณหาชาลี
ตามพิกัดค่าที่พระเวสสันดรกำหนดไว้ พระราชทานสมโภสรับขวัญและเตรียมการไปรับพระ
เวสสันดร ขณะเดียวกันพระเจ้ากรุงกลิงคะโปรดให้พราหมณ์ ๘ คน นำช้างปัจจัยนาคมา
ถวายคืน ฝ่ายชูชกบริโภคอาหารเกินขนาดไฟธาตุกำเริบท้องแตก ถึงแก่ความตาย
๒๐
กัณฑ์ที่ ๑๒ ฉกษัตริย์ ๓๖ พระคาถา
กล่าวถึงพระเจ้าสญชัย ให้พระชาลีทรงช้างปัจจัยนาค นำกองทัพมา
รับพระเวสสันดร เมื่อหกกษัตริย์ได้พบกันก็บังเกิดความรู้สึกทั้งดีพระทัย
และเศร้าโศกอย่างรุนแรง ทรงกรรแสงสุดจะประมาณจนสลบไปบรรดา
เสวกามาตย์ก็สลบลงหมด ครั้งนั้นแผ่นดินสั่นไหวและท้าวสหัสนัยเทวน
ราชบันดาลฝนโบกขรพรรษตกลงมาประพรมชุบชีพให้ชื่นบานฟื้นคืนลม
ปฤดีทุกคน
๒๑
กัณฑ์ที่ ๑๓ นครกัณฑ์ ๔๘ พระคาถา
กล่าวถึงพระเวสสันดรได้รับค าทูลเชิญให้ลาผนวช (สึก) เพื่อรับราช
สมบัติและให้ทางพิธีราชาภิเษกในบริเวณพระอาศรมแล้วจึงทรงช้างปัจจัย
นาคเดินทางกลับนครสีพีบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ที่เคยได้อาศัยร่มบารมี
คุ้มครองป้องกันอันตรายภัยพิบัติต่างพากันเศร้าโศกเสียใจ เมื่อพระ
เวสสันดรกลับมาครองพระนครก็มีห่าฝนสัตตรัตนมาศตกไปทั่วพระนคร
ให้เป็นทานแก่ชนทั้งหลายพระเวสสันดรครองนครสีพีจนพระชนมายุ
๑๒๐ พรรษา ก็สวรรคตไปบังเกิดในดุสิตเทวโลก
๒๒
วิจารณ์ตัวละครสำคัญในเรื่องมหาเวสสันดร
พระเวสสันดร : มีนิสัยที่เป็นคนสงบใจเย็นไม่เลืออดร้อนมีสติตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ชอบ
นั้งสมาธิมีจิตใจงดงามเปี่ยมด้วยเมตตา
พระนางมัทรี : เป็นแบบฉบับของนางในวรรณคดีที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบตัิต่างๆ ทั้งการ
เป็นแม่ที่ประเสรี่ฐของลูกและการเป็นภรรยาที่ด่ี ของสามีคือมีความอ่อนน้อมนอบน้อมและ
อดทน เป็นภรรยาแม่แบบผู้มีลักษณะเป็นกัลยาณมิตรของสามีสนับสนุนเป้าหมายชีวิตอัน
ประเสริฐที่พระสวามีได้ตั้งไว้เป็นแบบ อย่างของภรรยาตามทัศนะของคนตะวันออก เช่น
ปฏิบัติดูแลเรื่องข้าวปลาอาหาร และมีคุณธรรมสำคัญคือซื่อตรงจงรักและหนักแน่นต่อสามี
พระกัณหา : พระกัณหาเป็นผู้หนึ่งที่ทำให้พระเวสสันดรได้บำเพ็ญบุตรทานบารมีซึ่งเป็นทาน
อันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ ทั้งหลายไม่สามารถทำได้นอกจากมหาบรุษผู้ทรงห้วงพระโพธัญาณ
เท่านั้น
พระชาลี : พระชาลีทรงมี สถานะเป็นพระโอรสของพระเวสสันดรทรงมความกตัญญู เป็นเลิศ
ทรงยอมเป็นบุตรทาน ให้พระบิดาทรงบริจาคแก่ชูชกเพื่อให้พระบิดาได้สำเร็จพระโพธิญาณ
ค้นพบทางหลุดพ้นจากสังสารวัฏและเมื่อ อำมาตยกล่าวดูแคลนพระบิดาก็ทรงแก้ต่างแทน
พระบิดาให้ อำมาตย ้ เหล่านั้นได้เห็นกระจ่างถึงความจริงในตัว พระบิดา
แสดงให้เห็นถึงความกตัญญูรู้คุณบุพการีของพระชาลีทีไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่นบิดามารดาของ
ตนในทางที่ไม่เป็นจริง เป็นผู้ที่สามารถประพฤติตนได้เหมาะสมในสถานการณ์ต่างๆ รู้จักเด็ก
รู้จักผู้ใหญ่ และรู้จัก กาลรู้ว่าเวลาไหนควรปฏิบัติตนอย่างไรเป็นต้น
๒๓
พระนางผสุดี : เป็นตัวละครสำคัญอยู่ในวรรณคดี เรื่องร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก เดิมเป็น
พระราชธิดาของพระเจ้าพันธุมราชชื่อสุธัมมา ต่อมาได้ บังเกิดเป็นอัครมเหสี ของสมเด็จพระ
อมรินทราธิราชชื่อผสุดี เมื่อจุติจากสวรรคได้ ถือกำเนิดเป็นพระราชธิดาของพระเจ้ามัททราช
ครั้นเจริญวัยก็ได้อภิเษกสมรสเป็นอัครมเหสีของ พระเจ้ากรุงสญชัย และเป็นพระมารดาของ
พระเวสสันดร พระนางผุสดีธิดากษัตริย์มัททราชมเหสีของพระเจ้ากรุงสญชัยแห่งกรุงสีพี
ราษฎร์และทรงเป็น พระมารดาของพระเวสสันดรเมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระราชธิดาของ
พระเจ้าพันธุมราช แห่งพันธุมดีนคร ทรงได้รับพระราชทานแก่นจันทน์แดงจากพระราชบิดา
จึงได้นำไปใส่ผอบทอง และถวายแด่พระวิปัสสิสัมมา สัมพุทธเจ้าพร้อมทั้งอธิษฐานว่าขอให้ ได้
เป็นพุทธมารดาในอนาคต ด้วยกุศลผลบุญนี้ทำให้พระนางได้ไปบังเกิด บนสวรรค์เป้นพระม
เหส ี ของพระอินทร์ และไดร้บพระราชทานพร ๑๐ ประการจากพระอินทรอีกด้วย
พร ๑๐ ประการ ประกอบด้วย
๑. ขอให้พระนางเกิดในกรุงมัททราช แคว้นสีพี
๒. ขอให้พระนางมีดวงเนตรคมงามขำและดำขลับดั่งตาลูก เนื้อทราย
๓. ขอให้พระนางมีคิ้วคมขำดั่งสร้อยคอนกยูง
๔. ขอให้พระนางได้นาม "ผุสดี" ดังเดิมเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความหลัง
๕. ขอให้พระนางมีพระโอรสเกียรติยศขจรไกลทั่วไปในชมพูทวีป
๖. ยามทรงครรภ์ขอให้พระนางมีพระครรภ์งามไม่พองนูนดั่งสตรีสามัญชนทั่วไป
๗. ขอให้พระนางมีพระถันทั้งคู่เปล่งปลั่งงดงามดั่งบัวหลวงตูมไม่หย่อนยานคล้อยลง
๘. ขอให้เส้นพระเกศาของพระนางดำขลับตลอดชาติ
๙. ขอให้ผิวพรรณของพระนางละเอียดบริสุทธิ์ปราศจากราคี ดุจทองคำธรรมชาติ
๑๐. ขอให้พระนางได้มีอำนาจปลดปล่อยนักโทษที่ต้องอาญาประหารเพราะความประมาท
๒๔
พระเจ้ากรุงสญชัย : ทรงเนรเทศพระเวสสันดรออกจากเมืองพร้อมด้วยพระนางมัทรีพระ
ชาลีและพระกัณหาเมื่อชาวเมืองมาร้องทุกข์ว่าพระโอรสทรงกระทำผิด แม้พระมเหสีจะ
ทูลขอร้องประการใดก็มิได้คืนคำทั้งที่ทรงอาลัยรักในพระโอรสแต่ก็ ทรงหักพระทัยได้เพื่อ
ประโยชน์สุขของบ้านเมือง และยังได้ ทรงไถ่ตัวพระชาลีและพระกัณหาคืนจากชูชกด้วย
พระเจ้ากรุงสุญชยแม้จะเป็นพระมหากษัตริย์แต่เมื่อทรงทราบว่าพระองค์เป็นผู้ผิดก็หาได้
ทรงมีทิฐิไม่ทรงขอโทษพระชาลีซึ้งเป็น พระนัดดาตอนรับพระเวสสันดรกลับเข้าเมื่องก็ได้
ตรัสขอโทษพระเวสสันดรพระเจ้ากรุงสญชัยกลับชาติมาเกิดเป็นพระเจ้าสุทโธทนะ
ชูชก : เป็นผู้เกิดในตระกูล พราหมณ์โภวาทิกชาติซึ่งเป็นพราหมณ์พวกที่ถือตนว่ามีกำเนิดสูง
กว่าผู้อื่น มักใช้คำว่า “โภ” แปลว่า “ผู้เจริญ ” เป็นคำร้องเรียกแม้ชูชกจะเกิดในตระกูล
พราหมณ์แต่ชูชกก็ยากจนเข็ญใจยิ่ง ต้องเที่ยวขอทานเขาเลี้ยงชีพ ชูชกมี บ้านอยู่ในหมู่บช้า
นทุนนวิฐติดกับเมืองกลิงคราษฎร์มีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดประกอบด้วยบุรุษโทษ ๑๘
ประการมีข้อเท้าทั้งสองใหญ่และคด,เล็บมือและเล็บเท้าทั้งหมดคุคหงิกงอ,นมทั้งคู่หย่อนยาน
ลงไปไม่เท่ากัน,ริมฝีปากบนยาวยื่นกว่าริมฝีปากล่าง,น้ำลายไหลอยู่ตลอดเวลา,ฟันเขี้ยวงอก
ดุจเขี้ยวหมูป่า,จมูกหักและแฟบลง,ท้องป่องเป็นกระเพาะดุจหม้อน้ำ,เส้นหลังไหล่คดโง้ง
งอ,กระบอกตาลึกข้างหนึ่ง,หนวดเคราเป็นเส้นแข็งดุจเส้นลวด,ผมสีเหลืองดังใบลานแห้ง,ตาม
ร่างกายมีเส้นเอ็นขึ้นทั่วไปเห็นได้ชัดเจน,มีจุด ไฝ ฝ้า ปานดำด่าง ทั่วร่างกาย,มีลูกนัยน์ตา
เหลืองเหล่ เหลืองดุจแมวกราว,มีร่างกายคดโค้งทั้งเอวทั้งไหล่,มีเท้าโกง 1 ข้าง และไม่เท่า
กัน,ตามร่างกายมีขนขึ้นแข็งดุจแปลงขนหลังหมูป่า
๒๕
คำศัพท์และคำแปลของเรื่องมหาเวสสันดรชาดก
๑.ประทัับ แปลว่า อยู่ทีี่ อยู่กับที่
๒.หม่อมฉัน แปลว่า คำสรรพนามบุรุษที่ ๑ ที่เจ้านาย ใช้แทนตัวพูดกับเจ้า
นายที่มีศักดิ์เสมอกัน, คำสรรพนามที่ผู้หญิงใช้พูดกับเจ้านาย
๓.อภิเษก แปลว่า แต่งตั้งโดยการทำพิธีรดน้ำ
๔.เนรเทศ แปลว่า ขับไล่ให้ออกไปจากถิ่น, บังคับให้ออกไปจากประเทศ
หรือถิ่นที่อยู่ของตน
๕.หยามหมิ่น แปลว่า กล่าวคำหรือแสดงกิริยาไม่สุภาพและเป็นการดูถูก
๖.พระดาบส แปลว่า ผู้บำเพ็ญตบะคือการเผากิเลส, ฤษี
๗.เลื่องลือ แปลว่า รู้กันกระฉ่อนทั่วไป, โจษขานกันเซ็งแซ่
๘.การปฏิสันถาร แปลว่า การทักทายปราศรัยแขกที่มาหา, การต้อนรับ
แขก
๙.อาศรม แปลว่า ที่อยู่ของนักพรต
๑๐.หุนหันพลันแล่น แปลว่า ด่วนทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไปโดยไม่คิดให้
รอบคอบด้วยอารมณ์โกรธ
๑๑.สวรรค์ชั้นดุสิต แปลว่ส สวรรค์ชั้นที่ 4 อยู่สูงกว่ายามา แต่ต่ำกว่า
นิมมานรดี มีท้าวสันดุสิตเป็นจอมเทพ
๑๒.ฝนโบกขรพรรษ แปลว่า ฝนดุจนํ้าตกลงบนใบบัว
๒๖
ฝนโบกขรพรรษ
มีสีแดงหลั่งไหลเสียงสนั่นลั่นออกไปไกล เหมือนเสียงสายฝนธรรมดา ถ้าผู้ใดปรารถนาจะ
ให้เปียกกาย จึงจะเปียกกาย ถ้าไม่ปรารถนาแล้วแม้แต่เม็ดหนึ่งก็มิได้เปียกตัวเหมือนหยาด
น้ำตกลงในใบบัว แล้วก็กลิ้งตกลงไปมิได้ติดอยู่ให้เปียก ดังนั้น จึงได้นามขนานขานเรียก
ว่า"ฝนโบกขรพรรษ" เป็นมหัศจรรย์ครั้งนั้น พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายก็ชวนกันพิศวง ต่างองค์ก็
สนทนาว่า มิได้เคยเห็นมาแต่ก่อนกาล พระองค์จึงมีพุทธบรรหารตรัสว่า"ฝนโบกขรพรรษนี้
มิใช่จะตกในที่ชุมนุมพระประยูรญาติในครั้งนี้เท่านั้นก็หาไม่ ในอดีตสมัย เมื่อตถาคตเสวยพระ
ชาติเป็น พระเวสสันดร บรมโพธิสัตว์ฝนโบกขรพรรษก็เคยได้ตกลงในที่ชุมนุมพระประยูรญาติ
เหมือนครั้งนี้" แล้วสมเด็จพระมหามุนีจึงได้ทรงพระแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องมหาเวสสันดร
ชาดก"ตามข้อความที่ปรากฎนั้นจะเห็นว่าคุณสมบัติข้อหนึ่งของ ฝนโบกขรพรรษ นั้นเป็น
ปรากฎการฝนตกที่เม็ดน้ำฝนมีสีแดง และอนุมานว่าเป็นปรากฎการธรรมชาติที่ไม่เกิดขึ้น
บ่อย จากข้อมูลตามที่พระภิกษุสงฆ์ในสมัยนั้น สนทนากันว่าไม่เคยพบเจอกันมาก่อนใน
อดีตกาล
๒๗
ฝนโบกขรพรรษ" มีลักษณะพิเศษดังนี้
๑. น้ำฝนนี้มีสีแดงดังเท้านกพิราบ หลั่งไหลเสียงสนั่นลั่นออกไปไกล
เหมือนเสียงสายฝนธรรมดา
๒. ถ้าผู้ใดปรารถนาจะให้เปียกกายจึงจะเปียก หากมิได้ปรารถนาแม้แต่
เม็ดหนึ่งก็มิได้เปียก
๓. เมื่อถูกกายแล้วจะหล่นสู่พื้นดินเสมือนหยาดน้ำที่ตกลงสู่ใบบัวแล้วกลิ้ง
ตกลงไปฉะนั้น
๔. ไม่เจิ่งนองพื้นดิน เมื่อตกลงแล้วก็ซึมหายไปในแผ่นดินทันที
ในพุทธประวัติ ปรากฏฝนโบกขรพรรษตก 3 ครั้ง คือ
๑. เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จแสดงธรรมโปรดพระประยูรญาติ
๒. เมื่อ พระเวสสันดร พระนางมัทรี พระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดี กัณหา และชา
ลี พบกัน
๓. เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จแคว้นเวสาลีแสดงธรรมจักกัปปวัฒนสูตร
๒๘
ทศชาติชาดก
มหานิบาตชาดก ทศชาติชาดก หรือ พระเจ้าสิบชาติ เป็น ชาดก ที่สำคัญ กล่าวถึงการ
บำเพ็ญ บารมี ใน 10 ชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ ก่อนจะเสวยพระชาติมาเกิดเป็น พระโค
ตมพุทธเจ้า หรือเจ้าชายสิทธัตถะแห่งศากยวงศ์ ชาดกทั้ง 10 เรื่อง เพื่อให้จำง่าย มักนิยม
ท่องโดยใช้พยางค์แรกของแต่ละชาติ คือ เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว ซึ่งเรียกว่า คาถา
หัวใจทศชาติ หรือ คาถาหัวใจพระเจ้าสิบชาติ
ชาดกทั้ง 10 เรื่อง
เตมีย์ชาดก
ชาติที่ 1 เพื่อบำเพ็ญเนกขัมมบารมี - เตมียชาดก (เต) เป็นชาติแรกในทศชาติชาดก ก่อนที่จะมา
ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านามพระโคดม ชาตินี้พระองค์ทรงบำเพ็ญเนกขัมม
บารมี หมายถึง การออกบวช
มหาชนกชาดก
ชาติที่ 2 เพื่อบำเพ็ญวิริยบารมี - มหาชนกชาดก (ชะ) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระ
ชนกกุมาร โอรสพระเจ้าอริฏฐชนก กษัตริย์เมืองมิถิลา ขณะที่เสด็จลงสำเภาไปค้าขาย เกิด
พายุใหญ่เรือแตกกลางมหาสมุทร พระมหาชนกทรงว่ายน้ำโต้คลื่นอยู่ในมหาสมุทรถึง 7 วัน
นางเมขลาเห็นจึงพูดลองใจว่าให้พระองค์ยอมตายเสียเสียตามบุญตามกรรม แต่พระองค์ก็ไม่
ทรงฟัง ยังพยายามว่ายน้ำโต้คลื่นอยู่ตามเดิมนางเมขลาเห็นเลื่อมใสในความพยายาม จึงอุ้ม
พระองค์เหาะไปส่งที่ฝั่ง พระชาตินี้พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญ วิริยบารมี
๒๙
สุวรรณสามชาดก
ชาติที่ 3 เพื่อบำเพ็ญเมตตาบารมี - สุวรรณสามชาดก (สุ) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น
พรหมฤๅษี ต้องรับภาระเลี้ยงดูบิดามารดาผู้ตาบอด วันหนึ่งกบิลยักษ์แผลงศรมาถูกได้รับ
บาดเจ็บแสนสาหัส แต่ก็ไม่ได้โกรธ กลับแสดงเมตตาจิตต่อ และเทศนาทศพิธราชธรรมให้กบิล
ยักษ์ฟัง ด้วยอำนาจแห่งเมตตาธรรมทำให้พระสุวรรณสามหายเจ็บปวดรอดชีวิตมาได้ และ
บิดามารดาก็กลับมีจักษุดี พระชาตินี้พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญ เมตตาบารมี
เนมิราชชาดก
ชาติที่ 4 เพื่อบำเพ็ญอธิษฐานบารมี - เนมิราชชาดก (เน) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระ
เนมิราช โอรสเจ้าเมืองมิถิลา โปรดการบริจาคทานและรักษาพรหมจรรย์ พระอินทร์ทรงพอ
พระทัย ถึงกับให้พระมาตุลีนำทิพยรถมารับไปเที่ยวเมืองสวรรค์ และเมืองนรก แล้วเชิญให้
ครองเมืองสวรรค์ พระเนมิราชไม่ทรงรับและเสด็จกลับบ้านเมืองของพระองค์ พอทรงชราก็
ออกผนวช พระชาตินี้พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญ อธิษฐานบารมี
มโหสถชาดก
ชาติที่ 5 เพื่อบำเพ็ญปัญญาบารมี - มโหสถชาดก (มะ) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น มโห
สถบัณฑิต ผู้เกิดมาพร้อมแท่งยาใหญ่ซึ่งสามารถรักษาได้สารพัดโรค วันหนึ่ง พระเจ้าวิเทหะ
เจ้ากรุงมิถิลาได้ทรงพระสุบินว่าจะมีบัณฑิตคนที่ 5 เกิดขึ้นจึงโปรดให้มหาอำมาตย์ออกตาม
หา จึงได้ไปพบ มโหสถกุมาร ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 7 ปี แต่บัณฑิตทั้ง 4 ของพระเจ้าวิเทหะ
ต้องการจะพิสูจน์ปัญญาของมโหสถกุมารว่าเหมาะสมจะเป็นบัณฑิตคนที่ 5 หรือไม่ โดยมโหส
ถกุมารต้องผ่านการทดสอบเชาวน์ปัญญาถึง 19 ครั้ง จึงสิ้นความคลางแคลงใจ พระเจ้าวิเท
หะจึงรับมโหสถเป็นพระราชโอรสบุญธรรม พร้อมทั้งสถาปนาให้เป็นมหาบัณฑิต พระชาตินี้
พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมี
๓๐
ภูริทัตชาดก
ชาติที่ 6 เพื่อบำเพ็ญศีลบารมี
จันทชาดก
ชาติที่ 7 เพื่อบำเพ็ญขันติบารมี
นารทชาดก
ชาติที่ 8 เพื่อบำเพ็ญอุเบกขาบารมี
วิทูรชาดก
ชาติที่ 9 เพื่อบำเพ็ญสัจจบารมี
เวสสันดรชาดก
ชาติที่ 10 เพื่อบำเพ็ญทานบารมี สำหรับชาติสุดท้าย เป็นชาติที่สำคัญ และบำเพ็ญบารมีอัน
ยิ่งใหญ่ คือ เวสสันดรชาดก หรือเรื่องพระเวสสันดร:
๓๑
ข้อคิดจากเรื่อง มหาเวสสันดรชาดก ทั้ง 13 กัณฑ์
๑. กัณฑ์ทศพร ข้อคิดประจำกัณฑ์
การทำบุญจักให้สำเร็จสมประสงค์ต้องอธิษฐานจิตตั้งเป้าหมายชีวิตที่ตนปรารถนาไว้ความ
ปรารถนาที่จะสำเร็จสมดังตั้งใจผู้นั้นต้องมีศีลบริบูรณ์ กล่าว คือ
๑.๑ ต้องกระทำความดี
๑.๒ ต้องรักษาความดีนั้นไว้
๑.๓ หมั่นเพิ่มพูนความดีให้มากยิ่งขึ้น
๒. กัณฑ์หิมพานต์ ข้อคิดประจำกัณฑ์
๒.๑ คนดีเกิดมานำพาโลกให้ร่มเย็น
๒.๒ โลกต้องการผู้เสียสละมิฉะนั้นหายนะจะบังเกิด
๒.๓ การทำดีย่อมมีอุปสรรค "มารไม่มีบารมีไม่มามารยิ่งมาบารมียิ่งแก่กล้า"
๒.๔ จุดหมายแห่งการเสียสละอยู่ที่พระโพธิญาณมิหวั่นไหวแม้จะได้รับทุกข์
๓. ทานกัณฑ์ ข้อคิดประจำกัณฑ์
๓.๑ ความรักของแม่ ความห่วงของเมีย
๓.๒ โทษทัณฑ์ของการเป็นหม้าย คือถูกประนามหยามหมิ่นอาจถึงจบชีวิตด้วยการก่อกองไฟให้
รุ่งโรจน์แล้วโดดฆ่าตัวตาย
๓.๓ เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม พึงยอมเสียสละประโยชน์สุขส่วนตัว
๓.๔ ยามบุญมีเขาก็ยกยามตกต่ำเขาก็หยาม ชีวิตมีทั้งชื่นบานและขื่นขม
๔. วนประเวศน์ ข้อคิดประจำกัณฑ์
๔.๑ ยามเห็นใจ ยามจน ยามเจ็บ ยามจากเป็นยามที่ควรจะได้รับความเหลียวแล
๔.๒ ผลดีของมิตรแท้ คือ ไม่ทอดทิ้งในยามเพื่อนทุกข์ ช่วยอุ้มชูยามเพื่อนอ่อนล้า ช่วยฉุดดึงยาม
เพื่อนตกต่ำ
๔.๓ น้ำใจของคนดี หากรู้ชัดว่าปกติสุขของคนส่วนมากจะตั้งอยู่ได้ เพราะการเสียสละของตน ก็
สมัครสลัดโอกาสและโชคลาภอันจะพึงได้ ด้วยความชื่นชม
๓๒
๕. กัณฑ์ชูชก ข้อคิดประจำกัณฑ์
๕.๑ ของที่รักและหวงแหน ที่โบราณห้ามฝากผู้อื่นไว้คือ เงิน ม้า เมีย ยิ่งน้องเมียห้ามฝากเด็ด
ขาด อันตรายมาก
๕.๒ ภรรยาที่ดีย่อมไม่ย่อหย่อนต่อหน้าที่ ข้าวดำ น้ำตัก ฟืนตอหักหา น้ำร้อน น้ำชาเตรียมไว้
เสร็จ
๕.๓ ของไม่คู่ควรย่อมมีปัญหา ตำราหิโตปเทศกล่าวว่า "ความรู้เป็นพิษเพราะเหตุที่ไม่ใช้
อาหารเป็นพิษเพราะเหตุไฟธาตุไม่ย่อย เมียสาวเป็นพิษเพราะผัวแก่"
๖. กัณฑ์จุลพน ข้อคิดประจำกัณฑ์
๖.๑ มีอำนาจหากขาดปัญญาย่อมถูกหลอกได้ง่าย
๖.๒ คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด
๖.๓ ไว้ใจทาง วางใจคน จะจนใจตัว
๗. กัณฑ์มหาพน ข้อคิดประจำกัณฑ์
๗.๑ ฉลาดแต่ขาดเฉลียว มีปัญญาแต่ขาดสติก็เสียทีพลาดท่าได้
๗.๒ สงสารฉิบหาย เชื่อง่ายเป็นทุกข์
๗.๓ คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ ซื้อเสื่อให้ดูลาย
๘. กัณฑ์กุมาร ข้อคิดประจำกัณฑ์
๘.๑ ความเป็นผู้รู้จักกาลเทศะ ไม่ผลีผลามเข้าไปขอรอจนพระมัทรีเข้าป่าจึงเข้าเฝ้า เพื่อของ
สองกุมาร เป็นเหตุให้ชูชกประสบผลสำเร็จใจสิ่งที่ตนปรารถนา ดังภาษิตโบราณว่า "ช้า ๆ จะ
ได้พร้าเล่มงาม ด่วนได้สามผลามมักพลิกแพลง" ช้าเป็นการนานเป็นคุณ ผู้รู้จักโอกาส มี
มารยาท กล้าหาญ ใจเย็น เป็นสำเร็จ
๘.๒ พ่อแม่ทุกคนรักลูกเหมือนกัน แต่เป็นห่วงไม่เท่ากัน ห่วงหญิงมากกว่าห่วงชาย เพราะ
ท่านเปรียบไว้ว่า "ลูกหญิงเหมือนข้าวสาร ลูกชายเหมือนข้าวเปลือก"
๘.๓ สติ เตสัง นิวารณัง สติเป็นเครื่องป้องกันอันตรายทั้งปวงได้ ขันติ สาหสวารณา ขันติ
ป้องกันความหุนหันพลันแล่นได้ เป็นเหตุให้พระเวสสันดรไม่ประหารชูชกด้วยพระขรรค์ เมื่อ
ถูกชูชกประนาม
๘.๔ วิสัยหญิงนั้น แม้จะมากอยู่ด้วยเมตตากรุณา ชอบปลดเปลื้องทุกข์แก่ผู้อื่นก็จริงอยู่ แต่
เว้นอย่างเดียว ที่ผู้หญิงนั้นไม่มีวันจะสละสิ่งนั้น คือ "ลูก"
๓๓
๙. กัณฑ์มัทรี ข้อคิดประจำกัณฑ์
ลูกคือแก้วตาดวงใจของผู้เป็นพ่อแม่ "ลูก ดีเป็นที่ชื่นใจของพ่อแม่ ลูกแย่พ่อแม่ช้ำใจ" รักใคร
เล่าจะเท่าพ่อแม่รัก ห่วงใดเล่าจะเท่าพ่อแม่ห่วง หวงใดเล่าจะเท่าพ่อแม่หวง ให้ใครเล่าจะเท่า
พ่อแม่ให้ เพราะฉะนั้นพึงเป็นลูกแก้ว ลูกขวัญ ลูกกตัญญู ที่ชาวโลกชื่นชม พรหมก็สรรเส
ริญฯ
๑๐. กัณฑ์สักกบรรพ ข้อคิดประจำกัณฑ์
การทำดีแม้ไม่มีคนเห็น ก็เป็นความดีอยู่วันยังค่ำ ดุจทองคำแม้จะอยู่ในตู้โชว์ หรือในกำปั่นก็
เป็นทองคำอยู่นั่นเอง เข้าลักษณะว่า ความ(ของ)ดีดีเด็ดเหมือนเพชรเหมือนทอง ถึงไร้เจ้าของ
ก็เหมือนตัวยัง ถึงใส่ตู้อุด ถึงขุดหลุมฝัง ก็มีวันปลั่งอะหลั่งฉั่งชู การทำความดีแม้ไม่มีคนเห็น
แต่เทพยดาอารักษ์เบื้องบนท่านย่อมรู้
๑๑. กัณฑ์มหาราช ข้อคิดประจำกัณฑ์
คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ย่อมได้รับความปกป้องคุ้มครองภัยในที่ทุกสถาน
๑๒. กัณฑ์ฉกษัตริย์ ข้อคิดประจำกัณฑ์
๑. พรากมีวันพบ จากมีวันเจอ จากกันยามเป็นได้เห็นน้ำใจจากกันยามตายได้เห็นน้ำตา
๒. การให้อภัยเป็นเพราะได้สำนึกเป็นเหตุให้ลบรอยร้าวฉานบันดาลสันติสุขแก่ส่วนรวม
๓. สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้ผิด บรรพชิตยังรู้เผลอ ความผิดพลาดเป็นเรื่องของมนุษย์
แต่การให้อภัยเป็นวิสัยของเทวดา
๑๓. นครกัณฑ์ ข้อคิดประจำกัณฑ์
การทำความดี ย่อมได้รับผลดีตอบแทน การใช้ธรรมะในการปกครองย่อมทำให้เกิดความสงบ
ร่มเย็น
๓๔
บรรณานุกรม
ขอขอบคุณข้อมูลดีจาก
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-
6/no39/theme_4.html
http://fatinwang.blogspot.com/2017/11/blog-post_11.html
https://www.gotoknow.org/posts/422864
https://www.m-culture.go.th/lampang/ewt_news.php?
nid=2160&filename=index
https://www.si.mahidol.ac.th/th/news_images/4407/เนื้อหาเทศน์มหาชาติ.pdf
https://th.wikipedia.org/wiki/มหาชาติ
https://sites.google.com/site/kanipa031/prawati-phu-taeng
https://docs.google.com/document/preview?
hgd=1&id=1Flyeiil7vjNHFu3fcTOiTRTOpi7Qxn96gfwwvhFqEeo
https://kukr.lib.ku.ac.th/kukr_es/index.php?/BKN/search_detail/result/3757
55
จัดทําโดย
นายภัทรชัย ชินวงศ์ ม.๔/๒ เลขที่ ๑
นายณาณกร สมจารี ม.๔/๒ เลขที่ ๒
นายธนัญชัย จุ้ยเล็ก ม.๔/๒ เลขที่ ๓
นายรณกฤต อุบลเเย้ม ม.๔/๒ เลขที่ ๕
นายศุภกร สุริยะวงศ์ ม.๔/๒ เลขที่ ๗
นายวงศธร มาถาวร ม.๔/๒ เลขที่ ๑๒
นายเจษฏา แซ่แต้ ม.๔/๒ เลขที่ ๑๙
นายชวัชรเศรษฐ์ ว่องรัตน์วานิช ม.๔/๒ เลขที่ ๑๔
นายพีรภาส ศรีคำภา ม.๔/๒ เลขที่ ๒๑