ชุม ชุ ชนชาวแพ "ลุ่มเเม่น้ำ สะเเกกรัง" จังหวัดอุทัยธานี
ชุมชนชาวแพ บ้านสะแกกรัง อุทัยธานี ผู้จัผู้จัดทำ นายธนภัทภัร ทวีทวีรัพรัย์นย์วกุลกุ นายวงศกร ศิริศิธริรรม นางสาวณิชณิานันนัท์ สีแสีตง นางสาวณิชณิาภัทภัร พลภูงภูา นางสาวภัทภัรนันนัท์ ธัญธัญกิจกิ เลขที่ 5 เลขที่ 13 เลขที่ 27 เลขที่ 28 เลขที่ 35 ชั้นชั้มัธมัยมศึกศึษาปีที่ปี ที่6/2
คำ นำ การเขียน ebook ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา การใช้ เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ ว33284 การค้นคว้าและเขียน Ebook โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบถึงวิถีชีวิตของ ชุมชนชาวแพ บ้านสะแกกรัง อุทัยธานี ตลอดจนถึงการประกอบอาชีพ การต้นคว้าเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ ชุมชนชาวแพ โดยให้ข้อมูล เกี่ยวกับ ประวัติความเป็นมา ประวัติของคนเก่าแก่ วิถีชีวิต ปัญหาต่างๆ การฟื้นฟูแม่น้ำ การจัดทำ Ebook เล่มนี้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ไปด้วยดี ข้าพเจ้าขอขอบคุณเพื่อนๆที่ร่วมงานเป็นอย่างดี ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่า Ebook ฉบับนี้ที่ได้เรียบเรีบงมาจะเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจเป็นอย่างยิ่ง หากมีสิ่งใดใน Ebook ฉบับนี้จะต้องปรับปรุงข้าพเจ้าขอน้อมรับ ข้าพเจ้า ขอน้อมรับทุกข้อชี้แนะและจะนำ ไปแก้ไขหรือพัฒนาให้ถูกต้องสมบูรณ์ต่อไป คณะผู้จัดทำ 28 มกราคม 2566
สารบัญ ประวัติความเป็นมา 1 ประวัติจากคนเก่าแก่ 3 วิถีชีวิต 5 ปัญหาต่างๆ 7 การฟื้นฟูแม่น้ำ 9
ประวัติความเป็นมา
โดยเฉพาะในช่วงเช้าจะเป็นช่วงที่สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นซึ่งแสงอาทิตย์จะ สะท้อนกับแม่น้ำเกิดเป็นทัศนียภาพอันน่างดงามประทับใจ และยังสามารถใส่บาตรได้ที่ บริเวณทางเดินริมแม่น้ำใกล้กับสะพานวัดอุโบสถารามอีกด้วย ความเป็นมาของชุมชน ชาวแพบ้านสะแกกรัง อุทัยธานี แม่น้ำสะแกกรังมีที่มาจากชื่อของหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ ริมแม่น้ำและมีต้นสะแกขึ้นอยู่หนาแน่นมีต้นกำเนิดมาจาก เทือกเขาในจังหวัดกำแพงเพชรไหลผ่านนครสวรรค์ลง มายังอุทัยธานีและบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตำบลท่า ซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานีมีความยาวประมาณ 225 กิโลเมตรหล่อเลี้ยงผู้คนมานานปีโดยเฉพาะชาวเรือนแพ ที่มีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับสายน้ำนี้พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.5)เคยเสด็จมาที่ตลาดและวัดใน เมืองอุทัยธานีในปีพ.ศ.2444 โดยเรือกลไฟล่องเข้ามาใน คลองสะแกกรังทอดพระเนตรเห็นบ้านเรือนและแพหาก นับถึงปัจจุบันเป็นเวลา 120 ปี แม่น้ำสะแกกรัง (Sakae Krang River) เป็นแม่น้ำสายสำคัญในจังหวัด อุทัยธานีที่ไหลผ่านพื้นที่ในสามอำเภอ ได้แก่ อำเภอสว่างอารมณ์ อำเภอทัพทัน และอำเภอเมืองอุทัยธานีบริเวณริมแม่น้ำเป็นจุดชมทิวทัศน์ทางธรรมชาติของ ลำน้ำ และวิถีชีวิตของชาวบ้านริมแม่น้ำ
ประวัติจากคนเก่าแก่
ลุงทองหยด จุลมุสิทธิ์ วัย 79 ปี อาชีพหา ปลาและเลี้ยงปลาในกระชัง บอกว่า แกยึดอาชีพหาปลา ในแม่น้ำ สะแกกรังตั้งแต่รุ่นหนุ่ม เมื่อก่อนน้ำ ในแม่น้ำ ยัง ใสแจ๋ว ใช้ทั้งกินและอาบ ถ้าใช้กินก็จะตักน้ำ ใส่โอ่งเอาไว้ แล้วเอาสารส้มลงไปแกว่ง ทิ้งให้ตกตะกอนก็เป็นอันใช้ได้ ใช้น้ำ ในโอ่งมาทำ กับข้าว ถ้าจะกินก็จะเอาไปต้มก่อน แต่ ตอนนี้ใช้น้ำ ในแม่น้ำ อาบและซักผ้าเท่านั้น น้ำ กินต้องซื้อ เอา “เมื่อก่อนลุงยกยอวันนึงจะได้ปลาประมาณ 300-400 กิโลฯ ส่วนใหญ่เป็นปลาสร้อย ปลาแดง เอา มาเคล้าเกลือแล้วตากแดด บางทีก็ได้ปลาใหญ่ พวกปลา แรด ปลาสวาย ตัวนึงหนักหลายกิโลฯ แต่ตอนนี้หาปลา ยาก ได้ปลาวันละ 30-40 โลฯ เท่านั้น เพราะว่าน้ำ น้อยลง เริ่มจะเน่าเสีย มีสีดำ อีกอย่างคนหาปลาก็เยอะ ขึ้น จึงจับปลาได้น้อยลง” ประวัติจากคนเก่าแก่ ศรีวภา วิบูลย์รัตน์ อายุ 68 ปี เจ้าของแพ ‘ปลาย่าง ป้าแต๋ว อุทัยธานี’ เล่าว่า อุทัยธานีมีทั้ง แม่น้ำ เจ้าพระยาและสะแกกรังจึงมีปลานานาชนิด ที่ รู้จักกันดีก็คือ ‘ปลาแรด’ แต่ก่อนนั้นปลายังชุกชุม มี ปลาต่างๆ เช่น ปลาเทโพ ปลากด สวาย ช่อน ชะโด กราย ปลาเนื้ออ่อน ฯลฯ เมื่อจับได้มากชาวแพก็จะนำ มาแปรรูปเพื่อเก็บเอาไว้ได้กินนานๆ เช่น ทำ ปลาร้า ปลาส้ม ปลาแห้ง ปลาย่าง ปลากรอบ ปลาป่น น้ำ พริก ปลาย่าง และนำ ไปขายที่ตลาดเป็นรายได้เลี้ยง ครอบครัวมานานหลายสิบปี “ป้าเกิดอยู่ในแพนี่แหละ ส่วนปู่ย่าก็อยู่กันมานานตั้งแต่สมัย ร.5 ท่านเสด็จมาที่ อุทัยฯ ป้าทำ ปลาย่างขายมาตั้งแต่สมัยสาวๆ เอาไปขาย บนตลาดริมแม่น้ำ พอตอนหลังมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวดู แพ จึงเริ่มทำ ปลาย่างขายบนแพ ใช้วิธีรมควันแบบ โบราณตามที่เห็นพ่อแม่เคยทำ มา ” ป้าแต๋วบอก
วิถีชีวิต
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนเรือแพ ก็เหมือนกับชุมชนทั่วไป มีผู้นำ ชุมชนก็คือแพผู้ใหญ่ ซึ่งองค์ประกอบก็คล้ายคลึงกับชุมชนบนบก ส่วนอาชีพของ ขาวแพส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพประมงน้ำ จืด โดยการเลี้ยงปลากระชัง ซึ่งก็มีทั้ง ปลาสวาบ ปลาแรด ปลาเทโพ โดยเฉพาะปลาแรดที่เลี้ยงในกระชังของที่นี่ถือว่า ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อนุ่ม หวาน อร่อยกว่าที่อื่นๆ นอกจากจะเลี้ยงปลาในกระชังแล้วชาวเรือนแพก็ยังจับปลาจากในลำ น้ำ สะแกกรังหรือแหล่งน้ำ อื่นๆมาทำ เป็นปลาแห้ง ปลาเค็ม แล้วนำ ไปขายในตลาด เพื่อเป็นรายได้ให้กับครอบครัว ซึ่งส่วนหนึ่งของรายได้เหล่านั้นก็ต้องนำ ไปซื้อ ลูกบวบมาซ่อมแซมเรือนแพ เพื่อให้ยังคงลอยอยู่ได้ นอกจากนี้ในบางพื้นที่ยังมี การปลูกใบเตยไว้ขายแล้วสำ หรับบางคนก็ออกไปหางานทำ หรือรับจ้างทำ งานจาก ข้างนอกเพราะในปัจจุบันแม่น้ำ เกิดภาวะแห้งแล้งหนักทำ ให้อาชีพเลี้ยงปลาหรือ จับปลาทำ ได้ลำ บากมากขึ้น
ปัญหาต่างๆ
จากการสำ รวจข้อมูล พบปัญหา และความต้องการของชุมชนชาวแพทั้งหมด 122 ครัวเรือน รวม 8 ด้าน เช่น ปัญหา น้ำ แล้ง สิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัย การ จัดการท่องเที่ยวชุมชน คุณภาพชีวิตของผู้ สูงอายุ ผู้พิการ เด็ก ผู้ด้อยโอกาสอาชีพ รายได้ ด้านวัฒนธรรม และการสร้าง ความเข้มแข็งของชุมชน ประกอบกับน้ำ เสียจากชุมชนในเขตเทศบาล เมืองอุทัยธานีไหลทิ้งลงสู่แม่น้ำ จึงยิ่งซ้ำ เติม แม่น้ำ สะแกกรังให้วิกฤต ฝูงปลาที่เคยชุกชุม และเป็นแหล่งอาหาร สร้างรายได้ให้ชาวเรือน แพหลบลี้ไปอยู่วังน้ำ อื่น วันนี้แม่น้ำ สะแกกรังกำ ลังป่วยไข้อันเนื่องมาจาก วิกฤตน้ำ แล้ง ท้องน้ำ หดแคบลง เรือนแพหลายสิบ หลังเกยตื้นขึ้น มาอยู่ชายตลิ่งกอผักตบชวาไหลมารวมกันขวางกั้น การเดินเรือ แม่น้ำ บางช่วงเริ่มเน่าเสียเพราะปริมาณ น้ำ ลดน้อยลงทำ ให้น้ำ ไม่ไหลเวียนเกิดดินตะกอนในท้อง น้ำ
ก า ร ฟื้ น ฟูเเม่ น้ำ
การซ่อมแซมเรือนแพจำ นวน 122 หลัง เริ่มต้นในเดือนกันยายน 2563 โดย พอช.สนับสนุนงบประมาณในการซ่อมแซม เรือนแพหลังละประมาณ 40,000 บาท ส่วน ใหญ่เป็นการเปลี่ยนไม้กระดานปูพื้นแพที่ผุพัง หลังคาสังกะสี ลูกบวบไม้ไผ่ ฯล หากเกินงบ สนับสนุนเจ้าของแพจะสมทบเอง โดยมีช่าง ชุมชนและจิตอาสาจากจังหวัดต่างๆ ประมาณ 80 คนหมุนเวียนมาช่วยกัน ทำ ให้ประหยัด ค่าแรงงานได้หลังละหลายพัน-หลายหมื่นบาท เช่น บางหลังรื้อหลังคา ทำ ฝาบ้านใหม่ เพราะแพหลังเดิมผุพังทั้งหลัง ระดมช่างมาช่วยกัน 10 คน หากคิดค่าแรงขั้นต่ำ วันละ 300 บาท ช่วยกันทำ 3 วัน จะประหยัดเงินได้ไม่ต่ำ กว่า 9,000 บาท (มิถุนายน 2564) การซ่อมแพเสร็จไปแล้ว 89 หลัง อยู่ในระหว่างการดำ เนินการ 33 หลัง นอกจากนี้ยังมีแผนงานปรับภูมิทัศน์เรือนแพเพื่อ ให้ดูสวยงาม เช่น การปลูกต้นไม้ริมชายตลิ่ง (ฝั่ง วัดโบสถ์ตรงข้ามตลาดเทศบาล) การสร้างถนน เลียบแม่น้ำ และเขื่อนป้องกันตลิ่งพังทลาย การวางท่อประปาเข้าสู่ชุมชนชาวแพ โดย เทศบาลเมืองอุทัยธานี การกำ จัดผักตบชวา ขุด ลอกท้องน้ำ สร้างประตูระบายน้ำ เพื่อเติมน้ำ จาก แม่น้ำ เจ้าพระยาเข้ามาไม่ให้แม่น้ำ สะแกกรังแล้ง โดยกรมชลประทาน รวมทั้งการสนับสนุนสีทา เรือนแพ โดยมูลนิธิไทยเศรษฐ์