The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นางสุวิภา เอกพิมพ์, 2023-03-24 00:39:58

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม

1. ทฤษฏีการเรียนรู้ของกลุ่ม เกสตัลท์ ( Gestalt Theory) 2. ทฤษฎีสนาม (Field Theory) ของ เคิร์ท เลวิน (Kurt Lewin) 3. ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory) ของทอลแมน (Tolman) 4. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory) นักจิตวิทยาคนส าคัญคือ เพียเจต์ (Piaget) และบรุเนอร์ (Bruner) 5. ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (A Theory of Meaningful VerbalLearnning) ของ ออซูเบล (Ausubel)


ความหมายของคุณลักษณะ เป็นกลุ่มที่เน้นกระบวนการทางปัญญาหรือความคิด เชื่อว่า การเรียนรู้ของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องของพฤติกรรมที่เกิดจาก กระบวนการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเพียงเท่านั้น การเรียนรู้ของมนุษย์ มีความซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้นการเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดที่เกิดจาก การสะสมข้อมูล การสร้างความหมาย และความสัมพันธ์ของข้อมูล และการดึงข้อมูลออกมาใช้ในการกระท าและการแก้ปัญหาต่างๆ การเรียนรู้เป็น กระบวนการทางสติปัญญาของมนุษย์ในการที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ตนเอง


ความหมายของคุณลักษณะ


ความหมายของคุณลักษณะ


ความหมายของคุณลักษณะ


ความหมายของคุณลักษณะ


ทฤษฎีสนาม (Field Theory) ของ เคิร์ท เลวิน (Kurt Lewin) มีความเชื่อว่า การเรียนรู้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดจากกระบวนการ รับรู้(perception) และกระบวนการคิดเพื่อการแก้ปัญหาที่ เกิดขึ้น การเรียนรู้เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับ สิ่งแวดล้อม (field or environment)


ทฤษฎีสนาม (Field Theory) ของ เคิร์ท เลวิน (Kurt Lewin) Lewin ระบุว่าสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้มี 2 ชนิด ได้แก่ 1) สิ่งแวดล้อม ทางกายภาพ (physical environment) และ 2) สิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยา (psychological environment) สิ่งแวดล้อมทั้ง 2 ประเภทดังกล่าวจะมีการ เปลี่ยนแปลงในลักษณะที่เป็นพลวัต (dynamic field)


ทฤษฎีสนาม (Field Theory) ของ เคิร์ท เลวิน (Kurt Lewin) พฤติกรรมการเรียนรู้จะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในขณะปัจจุบัน ซึ่งจะแสดงออกมาอย่าง มีเป้าหมายและมีพลัง เมื่อผู้เรียนมีความต้องการที่จะเรียนรู้ สิ่งที่อยู่ในความต้องการที่จะ เรียนรู้จะอยู่ในพื้นที่แห่งความสนใจหรือพื้นที่ของชีวิต (life space) และสิ่งที่อยู่ นอกเหนือความต้องการที่เรียนรู้มีพลังเป็นลบ การเรียนรู้จะเกิดขึ้น เมื่อผู้เรียนมีพลัง ทางบวกซึ่งมาจากการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้


หลักการจัดการศึกษา/การสอน ตามแนวคิดจากทฤษฎีสนาม 1. กระตุ้นบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน ทั้งบรรยากาศทางกายภาพ บรรยากาศทาง จิตวิทยา และบรรยากาศทางสังคม 2. แสดงพฤติกรรมการโค้ชที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนเพราะผู้สอนคือสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพล ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนมากที่สุด 3. จัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่อยู่ในความสนใจของผู้เรียนจะท าให้ประสบการณ์การเรียนรู้ เหล่านั้นเข้าไปอยู่ในความสนใจของผู้เรียน (life space) ท าให้การเรียนรู้ที่คงทนและลึกซึ้ง (deep learning) 4. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ที่เอื้อต่อการคิดและการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้ในชุมชน การเรียนรู้ในแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ เป็นต้น


ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory) ของทอลแมน (Tolman) ทฤษฎีเครื่องหมายหรือทฤษฎีความคาดหมาย (expectancy theory) พัฒนามาจากทฤษฎีการแสดงพฤติกรรมไปสู่ จุดมุ่งหมายของผู้เรียน มุ่งเน้นการเรียนรู้ที่เกิดมาจากความรู้ ความเข้าใจ Tolman ระบุว่า การเรียนรู้เกิดการใช้ เครื่องหมาย (sign) หรือความคาดหมาย เป็นเครื่องชี้น า พฤติกรรมของตนเองไปสู่การบรรลุจุดมุ่งหมายของการ เรียนรู้


ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory) ของทอลแมน (Tolman) การเรียนรู้โดยใช้เครื่องหมาย หรือ ความคาดหวัง เกิดขึ้นได้ 3 ลักษณะ ดังนี้ 1. การคาดหมายรางวัล (reward expectancy) มีสาระส าคัญคือ การเรียนรู้เกิดขึ้นจากการได้รับการ ตอบสนองรางวัลที่ตนเองคาดหมาย ซึ่งรางวัล ดังกล่าวอาจจะมีความแตกต่างกันไปในผู้เรียนแต่ละบุคคล 2. การเรียนรู้จากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมาย (place learning) มีสาระส าคัญ คือ การเรียนรู้ของผู้เรียนจะเริ่ม จากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายที่ต้องการ เป็นล าดับขั้นตอน และจะมีการปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ไปตาม สถานการณ์และเงื่อนไขต่างๆ ผู้เรียนจะเลือกแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ ในสิ่งที่เห็นว่าสามารถท าให้ประสบ ความส าเร็จได้และหากประสบปัญหาอุปสรรคผู้เรียนจะเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมที่แสดงออกให้เหมาะสมกับสถานการณ์เพื่อการบรรลุจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้ของตนเอง 3. การเรียน รู้เป็น สิ่งที่อยู่ใน ตัวผู้เรียน (latent learning) มีสาระส าคัญคือ การเรียนรู้เป็นการ เปลี่ยนแปลงของการรู้คิด (cognitive change) สังเกตหรือวัดโดยตรงไม่ได้ แต่สังเกตหรือวัดได้เมื่อผู้เรียน แสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ออกมา


ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory) ของทอลแมน (Tolman) 1.ในการเรียนรู้ต่างๆ ผู้เรียนมีการคาดหมายรางวัล (reward expectancy) หากรางวัลที่คาดว่า จะได้รับไม่ตรงตามความพอใจและความต้องการ ผู้เรียนจะพยายามแสวงหารางวัลหรือสิ่งที่ ต้องการต่อไป 2.ขณะที่ผู้เรียนจะพยายามไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการ ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ เครื่องหมาย สัญลักษณ์ สถานที่ (place learning) และสิ่งอื่นๆที่เป็นเครื่องชี้ตามไปด้วย 3.ผู้เรียนมีความสามารถที่จะปรับการเรียนรู้ของตนไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป จะไม่กระท า ซ้ าๆ ในทางที่ไม่สามารถสนองความต้องการ หรือวัตถุประสงค์ของตน 4.การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในบุคคลใดบุคคลหนึ่งนั้นบางครั้งจะไม่แสดงออกในทันที อาจจะแฝงอยู่ ในตัวผู้เรียนไปก่อนจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมหรือจ าเป็นจึงจะแสดงออก (latent learning)


หลักการจัดการศึกษา/การสอน ตามแนวคิดจากทฤษฎีเครื่องหมาย 1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีเป้าหมายในการเรียนรู้หรือความคาดหมายผลลัพธ์ของการเรียนรู้เป็นของตนเอง 2. จัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนรายบุคคล เมื่อผู้เรียนได้รับการตอบสนอง ความต้องการแล้วจะเกิดการเรียนรู้ที่ดีขึ้น 3. กระตุ้นให้ผู้เรียนใช้กระบวนการคิดเพื่อท าให้เกิดการเรียนรู้จากความเข้าใจของตนเองมากกว่าการจดจ าโดยไม่มี ความเข้าใจที่แท้จริง 4. กระตุ้นให้ผู้เรียนเป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้ของตนเอง เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตนเองต้องการ และกระตุ้น ให้ผู้เรียนวางแผนการเรียนรู้ และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง 5. จัดสิ่งเร้าให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายหรือผลลัพธ์ของการเรียนรู้ (learning outcomes)


ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory) ของเพียเจต์ (Piaget) มีความเชื่อว่า ผู้เรียนทุกคนเกิดมาพร้อมที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและ ธรรมชาติตลอดเวลาโดยการลงมือกระท า (active) การจัดระบบ(organization) และ การปรับตัว (adaptation) สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว โดยการดูดซับ (assimilation) และการปรับแต่ง (accommodation) จนเกิดความสมดุล (equip valium) เมื่อเกิดความสมดุลแล้วการเรียนรู้จึงเกิดขึ้น


ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory) ของเพียเจต์ (Piaget) การดูดซับ (assimilation) เป็นการรับรู้ข้อมูลหรือประสบการณ์ ใหม่ของบุคคล แล้วเก็บไว้ในโครงสร้างของสติปัญญา (cognitive schemas) การปรับแต่ง (accommodation) เป็นการเชื่อมโยงประสบการณ์ ใหม่ เข้ากับประสบการณ์เดิม เพื่อทาความเข้าใจประสบการณ์ใหม่ที่ได้รับ ความสมดุล (equilibration) เป็น ผ ล จ า ก ก า ร ป รับ แ ต่ง ประสบการณ์ใหม่กับประสบการณ์เดิมเข้าด้วยกันได้หรือเชื่อมโยงกันได้ ซึ่งหากมี ความสมดุลก็จะเกิดการเรียนรู้ตามมา ในทางกลับกันถ้าปรับแต่งแล้วยังไม่สมดุลก็ จะไม่เกิดการเรียนรู้


ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory) ของเพียเจต์ (Piaget) Piaget ระบุถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียน เป็น 4 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 การใช้ประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ (Sensory– Motor Operation or Reflexive) เป็นพัฒนาการทางสติปัญญาตั้งแต่แรกเกิด ถึง 2 ปี เด็กมีความสามารถด้านการแก้ปัญหาโดยไม่ต้องใช้ภาษาพูด สามารถ ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ เรียนรู้สิ่งที่เป็นรูปธรรมได้ แสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ เบื้องต้นจากการใช้ประสาทสัมผัส เช่น การดู การฟัง การสัมผัส การหยิบจับ เป็นต้น แบ่งเป็นระยะย่อยๆ อีก 6 ระยะย่อย ได้แก่


ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory) ของเพียเจต์ (Piaget) 1) ระยะการสะท้อน (reflexes) เป็นพัฒ นาการทางสติปัญญาตั้งแต่แรกเกิดถึง 1 เดือน เด็กสามารถแสดงพฤติกรรมต่างๆเพื่อตอบสนองสิ่งแวดล้อม เช่น การดู การจับ การร้อง เป็นต้น 2) ระยะ การตอบสนองความรู้สึกขั้นปฐมภูมิ (primary circular reactions) เป็นพัฒนาการทางสติปัญญาตั้งแต่ 1 เดือน ถึง 4 เดือน เด็กสามารถแสดงพฤติกรรมตอบสนองความต้องการ หรือความรู้สึก ขั้นพื้นฐานของตนเอง และจะแสดงพฤติกรรมนั้นซ้ าๆ เพื่อท าให้เกิดความพึงพอใจ


ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory) ของเพียเจต์ (Piaget) 3) ระ ย ะ กา รต อ บ ส น อ งค ว า มรู้สึกขั้นทุติยภูมิ (secondary circular reactions) เป็นพัฒนาการทางสติปัญญาตั้งแต่ 4 เดือน ถึง 8 เดือน เด็กสามารถแสดงพฤติกรรมตามจุดมุ่งหมายของตนเอง และเมื่อท าได้แล้ว ก็จะท าซ้ าๆ มีการส ารวจสภาพแวดล้อมรอบตัว ชอบหยิบจับสิ่งของเข้าปาก 4) ร ะ ย ะ ก า ร ต อ บ ส น อ ง ( coordination of reactions) เป็นพัฒนาการ ทางสติปัญญาตั้งแต่ 8 เดือน ถึง 12 เดือน เด็กสามารถแสดงพฤติกรรมตามเจตนาหรือความ มุ่งหมายของตนเอง เด็กสามารถคิดวิเคราะห์และแสดงพฤติกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเอง ได้รับรู้คุณสมบัติเฉพาะของวัตถุ เช่น ของเล่นที่กดปุ่มแล้วจะมีเสียงเกิดขึ้น เด็กจะเรียนรู้ได้ว่าถ้า กดปุ่มแล้วจะมีเสียงดังขึ้น เป็นต้น


ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory) ของเพียเจต์ (Piaget) 5) ระยะการตอบสนองตติยภูมิ (tertiary circular reactions) เป็นพัฒนาการทาง สติปัญญาตั้งแต่ 12 เดือน ถึง 18 เดือน เด็กสามารถแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้แบบลอง ผิดลองถูก การทดลองสิ่งใหม่ๆ นอกจากนี้ ยังสามารถคิดวิเคราะห์ คิดยืดหยุ่น (flexibility thinking) คิดสร้างสรรค์ ได้ดีขึ้น 6) ระยะการคิดเชิงสัญลักษณ์ขั้นต้น ( early representational thought) เป็น พัฒนาการทางสติปัญญาตั้งแต่ 18 เดือน ถึง 24 เดือน เด็กสามารถเรียนรู้สิ่งที่เป็น สัญลักษณ์ (symbol) ได้ สามารถเรียนรู้สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์แทนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น จริงได้ มีการเลียนแบบ (imitate) พฤติกรรมของบุคคลรอบข้าง


ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory) ของเพียเจต์ (Piaget) ระยะที่ 2 ขั้นเตรียมการคิด เชิง concept (Preparation or Pre - conceptual Stage) เป็นพัฒนาการทางสติปัญญาในช่วงอายุ 2 – 7 ปี เด็กมีพัฒนาการทางภาษาดีขึ้น สามารถพูดได้เป็นประโยค สร้างค าได้มากขึ้น ซึ่งการตั้งค าถาม ของเด็กมุ่งถามหาเหตุผลของสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว เข้าใจบทสนทนาเด็กสามารถเรียนรู้การใช้ สัญลักษณ์ได้ดีขึ้น การใช้ของเล่น แทนของจริง สามารถแสดงบทบาทสมมติเป็นบุคคลอื่น รวมทั้งสัตว์ชนิดต่างๆ ผ่านการเล่นของเขา เช่น เป็นนักกีฬา การเล่นเป็นปลา การเล่นเป็น ไดโนเสาร์ เป็นต้น ลักษณะเฉพาะของพัฒนาในการในช่วงนี้อีกประการหนึ่งคือ เด็กจะยึดตนเอง เป็นศูนย์กลางหรือการหลงตัวเอง (egocentrism) โดยการให้คนอื่นปฏิบัติสิ่งต่างๆ ตามความ ต้องการของตนเอง


ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory) นักจิตวิทยาคนส าคัญคือ เพียเจต์ (Piaget) ระยะที่ 3 ขั้นคิดอย่างมีเหตุผลและเป็นรูปธรรม (Concrete Operation Stage or Period of Concrete Operation) เป็นพัฒนาการทางสติปัญญาในช่วงอายุ 7 – 11 ปี เด็กมี พัฒนาการทางสติปัญญาในการใช้เหตุผล ในการตัดสินใจ การแก้ปัญหาสามารถจินตนาการภาพ ในสมอง (mental representations) เข้าใจการคงสภาพปริมาณของสสาร (conservation) ตลอดจนการคิดเชิงหาความสัมพันธ์ การเรียงล าดับ การจัดหมวดหมู่ การคิดสะท้อน (reflective thinking) การคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ อย่างไร ก็ตามเด็กยังมีข้อจากัดในการเรียนรู้สิ่งที่เป็นนามธรรมสูง นอกจากนี้ยังสามารถสร้าง ข้อสรุปแบบอุปนัย (inductive logic) โดยนาประสบการณ์ ของตนเองไปสร้างข้อสรุป ทั่วไปได้ แต่ยังไม่สามารถสร้างข้อสรุปแบบนิรนัย (deductive logic) ได้ดีมากนัก


ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory) ของเพียเจต์ (Piaget) ระยะที่ 4 ขั้นของการคิดอย่างมีเหตุผลและอย่างเป็นนามธรรม (Formal Operation Stage or Period of Formal Operation) เป็นพัฒนาการทางสติปัญญาตั้งแต่อายุ 12 ปี ขึ้นไป เด็กมีพัฒนาการทางสติปัญญาใน การเรียนรู้สิ่งที่เป็นนามธรรมได้สูง มีการคิดขั้นสูงที่ซับซ้อนมากขึ้น สามารถสร้างข้อสรุป ทั้งแบบอุปนัยและนิรนัยได้อย่างเป็นระบบ สามารถวางแผนการทางานได้อย่างเป็นระบบ การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และเป็นระบบ การวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นและผลที่จะ เกิดขึ้นตามมา (outcomes and consequences) ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานของการวางแผน ระยะยาว การตัดสินใจ บนพื้นฐานของข้อมูลเชิงประจักษ์อย่างมีเหตุผล การให้เหตุผล สนับสนุนความคิดของตนเองอย่างเป็นระบบ


หลักการจัดการศึกษา/การสอนตามแนวคิดจากทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ 1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ที่คล้ายคลึง หรือเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิม 2. กระตุ้นให้ผู้เรียนเชื่อมโยงประสบการณ์ใหม่กับประสบการณ์เดิมของผู้เรียน เพื่อให้กระบวนการ ปรับแต่งเกิดความสมดุล ท าให้เกิดการเรียนรู้ 3. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างต่อเนื่อง 4. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้การลงมือกระท าหรือปฏิบัติจริงในสิ่งที่เรียนรู้และให้มีการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ 5. หากผู้เรียนไม่สามารถเรียนรู้สาระส าคัญ (main concept) ใดผู้สอนควรปรับกิจกรรมให้ สอดคล้องกับพื้นฐานความรู้และประสบการณ์ของผู้เรียนแต่ละบุคคล เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้ กระบวนการปรับแต่งจนเกิดความสมดุล 6. ออกแบบกิจกรรมและประสบการณ์ที่สอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนในแต่ละ ช่วงวัย


ทฤษฎีการเรียนรู้ของ บรุเนอร์ (Bruner) มีความเชื่อว่า ผู้เรียนเลือกที่จะรับรู้สิ่งที่ตนเองสนใจและ การเรียนรู้เกิดจากกระบวนการค้นพบด้วยตนเอง (discovery learning)


ทฤษฎีการเรียนรู้ของ บรุเนอร์ (Bruner) ล าดับขั้นการเรียนรู้ของบุคคลแบ่งออกเป็น 3 ขั้น ดังนี้ 1. ขั้นการเรียนรู้จากการกระท า (Enactive Stage) หรือขั้น concrete stage อยู่ในช่วงอายุแรกเกิดถึง 1 ปี Bruner มีความเชื่อว่าการเรียนรู้ของบุคคลเริ่ม จากการลงมือปฏิบัติ การจับต้องสัมผัส ดังนั้นขั้นเรียนรู้จากการกระท านี้จึงเป็น ขั้นของการเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งต่าง ๆ การลงมือกระท า (action – based information) ในขั้นนี้เด็กสามารถจ าพฤติกรรมที่แสดงออก เพื่อให้เกิดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ต้องเขย่าของเล่นจึงจะเกิดเสียงดนตรี เป็นต้น


ทฤษฎีการเรียนรู้ของ บรุเนอร์ (Bruner) 2. ขั้นการเรียนรู้จากความคิด (Iconic Stage) หรือขั้น pictorial stage อยู่ในช่วงอายุ 1 – 6 ปี เป็นขั้นการเรียนรู้จากภาพแทนของจริง หรือ เหตุการณ์จริง นอกจากนี้เด็กยังสามารถเรียนรู้โดยการสร้างมโนภาพในใจได้ ( a mentalpicture in the mind)


ทฤษฎีการเรียนรู้ของ บรุเนอร์ (Bruner) 3. ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม (Symbolic Stage) หรือขั้น abstract stage อยู่ในช่วงอายุ 7 ปี ขึ้นไป เป็นขั้นการเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อน และเป็นนามธรรมได้โดยการใช้ภาษาเป็นสื่อการเรียนรู้ เด็กสามารถจดจ าสิ่งที่เรียน ในรูปของรหัส (code) หรือสัญลักษณ์ (symbol) โดยเด็กสามารถสร้างรหัส สัญลักษณ์ช่วยการเรียนรู้ของตนเองได้อย่างหลากหลายในขั้นตอนนี้ความรู้ของเด็ก จะถูกเก็บไว้ในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ภาษา สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ รูปภาพ เป็นต้น


หลักการจัดการศึกษา/การสอนตามแนวคิดจากทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรุเนอร์ 1. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ตอบสนองความต้องการและความสนใจของผู้เรียน 2. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสืบเสาะแสวงหาความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเอง 3. กระตุ้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสิ่งที่เป็นของจริงหรือการลงมือปฏิบัติจริง แล้วพัฒนาไปสู่การ เรียนรู้จากแผนภาพและการเรียนรู้จากสัญลักษณ์หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือควรให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จาก สิ่งที่เป็นรูปธรรมไปสู่นามธรรม 4. การจัดการเรียนรู้ควรใช้แผนภาพ แผนผัง ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน เช่น ใช้แผนผัง มโนทัศน์นาเสนอประเด็นส าคัญของเนื้อหาสาระหรือสรุปบทเรียน เป็นต้น 5. ส่งเสริมให้ผู้เรียนท าความเข้าใจและจดจ าสาระส าคัญ (mainconcept) ในรูปของสัญลักษณ์ ตามแนวทางของผู้เรียนแต่ละคน เช่น จ าสูตรคณิตศาสตร์ในลักษณะของบทเพลง เป็นต้น


ทฤษฎีของออซูเบล เน้นความส าคัญของการเรียนรู้อย่างมีความ เข้าใจและมีความหมาย การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนได้เรียนรวม หรือเชื่อมโยง(Subsumme) สิ่งที่เรียนรู้ใหม่หรือข้อมูลใหม่ ซึ่ง อาจจะเป็นความคิดรวบยอด(Concept) หรือความรู้ที่ได้รับใหม่ใน โครงสร้างสติปัญญากับความรู้เดิมที่อยู่ในสมองของผู้เรียนอยู่แล้ว ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย(ATheory of Meaningful VerbalLearnning) ของ ออซูเบล (Ausubel)


ทฤษฎีของออซูเบลบางครั้งเรียกว่า "Subsumption Theory" การเรียนรู้อย่างมีความหมาย นั่นคือ ผู้เรียนได้เชื่อมโยง (Subsumme) สิ่งที่จะต้องเรียนรู้ใหม่ หรือข้อมูลใหม่ กับความรู้ เดิมที่มีมาก่อนที่มีในโครงสร้างในสติปัญญาของผู้เรียนมาแล้ว ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย(ATheory of Meaningful VerbalLearnning) ของ ออซูเบล (Ausubel)


ออซูเบล ได้แบ่งการเรียนรู้ออกเป็น 4 ประเภทดังต่อไปนี้ 1. การเรียนรู้โดยการรับอย่างมีความหมาย 2. การเรียนรู้โดยการรับแบบท่องจ าโดยไม่คิดหรือแบบนกแก้วนกขุนทอง 3. การเรียนรู้โดยการค้นพบอย่างมีความหมาย 4. การเรียนรู้โดยการค้นพบแบบท่องจ าโดยไม่คิด หรือแบบนกแก้ว นกขุนทอง ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย(ATheory of Meaningful VerbalLearnning) ของ ออซูเบล (Ausubel)


ออซูเบลให้ความหมายการเรียนรู้อย่างมีความหมาย( Mearningful learning) ว่า เป็นการเรียนที่ผู้เรียนได้รับมาจากการที่ผู้สอน อธิบายสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ ให้ทราบและผู้เรียนรับฟังด้วยความเข้าใจ โดยผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งที่ เรียนรู้กับโครงสร้างพุทธิปัญญาที่ได้เก็บไว้ในความทรงจ า และจะสามารถ น ามาใช้ในอนาคต ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย(ATheory of Meaningful VerbalLearnning) ของ ออซูเบล (Ausubel)


ออซูเบลได้บ่งว่า การเรียนรู้อย่างมีความหมายขึ้นอยู่กับตัวแปร 3 อย่าง ดังต่อไปนี้ 1. สิ่ง (Materials) ที่จะต้องเรียนรู้จะต้องมีความหมาย ซึ่งหมายความว่าจะต้องเป็นสิ่งที่มี ความสัมพันธ์กับสิ่งที่เคยเรียนรู้และเก็บไว้ในโครงสร้างพุทธิปัญญา 2. ผู้เรียนจะต้องมีประสบการณ์และมีความคิดที่จะเชื่อมโยงหรือจัดกลุ่มสิ่งที่เรียนรู้ใหม่ให้สัมพันธ์ กับความรู้หรือสิ่งที่เรียนรู้เก่า 3. ความตั้งใจของผู้เรียนและการที่ผู้เรียนมีความรู้ คิดที่จะเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้ใหม่ให้มี ความสัมพันธ์กับโครงสร้างพุทธิปัญญา ที่อยู่ในความทรงจ าแล้ว ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย(ATheory of Meaningful VerbalLearnning) ของ ออซูเบล (Ausubel)


นอกจากตัวแปรทั้ง 3 อย่างดังกล่าว ออซูเบล กล่าวว่า การสอนจะต้องค านึงถึงวัยของนักเรียนด้วย เพราะถ้าหาก นักเรียนไม่พร้อมที่จะรับหรือรับโดยไม่เข้าใจ ก็อาจจะต้องใช้ การท่องจ าแบบนกแก้วนกขุนทอง ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย(ATheory of Meaningful VerbalLearnning) ของ ออซูเบล (Ausubel)


ออซูเบลได้แบ่งการเรียนรู้อย่างมีความหมายออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. Subordinate learning เป็นการเรียนรู้โดยการรับอย่างมีความหมาย โดยมีวิธีการ 2 ประเภท คือ 1.1 Deriveration Subsumption เป็นการเชื่อมโยงสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ใหม่กับหลักการหรือกฎเกณฑ์ที่เคยเรียนมาแล้ว โดย การได้รับข้อมูลมาเพิ่ม เช่น มีคนบอก แล้วสามารถดูดซึมเข้าไปในโครงสร้างทางสติปัญญาที่มีอยู่แล้วอย่างมีความหมาย โดยไม่ต้อง ท่องจ า 1.2 Correlative subsumption เป็นการเรียนรู้ที่มีความหมายเกิดจากการขยายความ หรือปรับโครงสร้างทางสติปัญญาที่มีมา ก่อนให้สัมพันธ์กับสิ่งที่จะเรียนรู้ใหม่ 2. Superordinate learning เป็นการเรียนรู้โดยการอนุมาน โดยการจัดกลุ่มสิ่งที่เรียนใหม่เข้ากับความคิดรวบยอดที่กว้างและ ครอบคลุมความคิดยอดของสิ่งที่เรียนใหม่ เช่น สุนัข แมว หมู เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 3. Combinatorial learning เป็นการเรียนรู้หลักการ กฎเกณฑ์ต่างๆเชิงผสม ในวิชาคณิตศาสตร์ หรือ วิทยาศาสตร์ โดยการใช้ เหตุผล หรือการสังเกต เช่นการเรียนรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างน้ าหนักกับระยะทางในการที่ท าให้เกิดความสมดุล ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย(ATheory of Meaningful VerbalLearnning) ของ ออซูเบล (Ausubel)


ออซูเบลได้เสนอแนะเกี่ยวกับ Advance organizer : เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ อย่างมีความหมายจากการสอนหรือบรรยายของครู โดยการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างความรู้ ที่มีมาก่อนกับข้อมูลใหม่ หรือความคิดรวบยอดใหม่ ที่จะต้องเรียน จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้อย่างมีความหมายที่ไม่ต้องท่องจ า หลักการทั่วไปที่น ามาใช้ คือ การจัด เรียบเรียง ข้อมูลข่าวสารที่ต้องการให้เรียนรู้ ออกเป็นหมวดหมู่ น าเสนอกรอบ หลักการกว้างๆ ก่อนที่ จะให้เรียนรู้ในเรื่องใหม่ แบ่งบทเรียนเป็นหัวข้อที่ส าคัญ และบอกให้ทราบเกี่ยวกับหัวข้อส าคัญ ที่เป็นความคิดรวบยอดใหม่ที่จะต้องเรียน ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย(ATheory of Meaningful VerbalLearnning) ของ ออซูเบล (Ausubel)


ออซูเบลถือว่า Advance Organizer มีความส าคัญมากเพราะเป็นวิธีการสร้างการเชื่อมช่องว่าง ระหว่างความรู้ที่ผู้เรียนได้รู้แล้ว(ความรู้เดิม)กับความรู้ใหม่ที่ได้รับ ที่จ าเป็นจะต้องเรียนรู้เพื่อ ผู้เรียนจะได้มีความเข้าใจเนื้อหาใหม่ได้ดีและจดจ าได้ได้ดีขึ้น ฉะนั้นผู้สอนควรจะใช้เทคนิค Advance Organizer ช่วยผู้เรียนในการเรียนรู้ทั้งประเภทการรับอย่างมีความหมายและการ ค้นพบอย่างมีความหมาย ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย(ATheory of Meaningful VerbalLearnning) ของ ออซูเบล (Ausubel)


Click to View FlipBook Version