คัมภีร์ฉันทศาสตร์
แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์
ครูวิลาวัณย์ นุ้ยเงิน
ผู้แต่ง : พระยาพิศณุประสาทเวช
ลักษณะคำประพันธ์ :
ตอนเปิดเรื่องใช้กาพย์ยานี ๑๑
ตอนที่อธิบายลักษณะของทับ ๘
ประการใช้คำประพันธ์แบบร่าย
เนื้อเรื่องย่อ
แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ตอนคัมภีร์ฉันทศาสตร์ เปิดเรื่อง
ด้วยบทไหว้ครู ซึ่งมีการไหว้พระรัตนตรัย ไหว้เทพเจ้าของ
พราหมณ์ ได้แก่ พระอิศวร พระพรหม ไหว้หมอชีวกโกมาร
ภัจและไหว้ครูแพทย์โดยทั่วไป จากนั้นกล่าวถึงคัมภีร์ฉันท
ศาสตร์ที่ครูเคยสั่งสอน เปรียบเสมือนแสงสว่างแก่สรรพ
สัตว์ทั้งปวง รวมถึงสิ่งที่แพทย์ควรมีและสิ่งที่ไม่ควรกระทำ
โดยทั่วไปจะมีความประมาท ความอวดดี ความริษยา ความ
โลภ ความเห็นแก่ตัว ความหลงตัว และความไม่เสมอภาคใน
การรักษาคนรวยและคนจน
เนื้อเรื่องย่อ (ต่อ)
อีกจะกล่าวเปรียบเทียบร่างกายเหมือนกับบ้านเมือง โดยให้
ความสำคัญกับดวงจิต ด้วยการเปรียบดวงจิตเป็นกษัตริย์
และเปรียบโรคภัยเป็นข้าศึก เปรียบแพทย์เป็นทหารที่มี
ความชำนาญ คอยดูแลปกป้องรักษาไม่ให้ร่างกายมีโรคภัย
อีกทั้งดวงใจก็พยายามอย่าโกรธเพื่อไม่ให้โรคภัยคุกคามเร็ว
เกินไป ความรู้ความเชี่ยวชาญในการรักษาบำบัดรักษาโรค
มีความสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อใดเกิดอาการเจ็บป่วย แพทย์
ต้องรักษาโรคให้ทันท่วงที และรักษาให้ถูกโรค เนื่องจาก
อาการเจ็บป่วยอาจลุกลามจนรักษาไม่หายและควรรอบรู้ใน
การรักษาทั้งคัมภีร์พุทธไสย์อย่างรอบด้าน เพื่อให้สามารถ
วินิจฉัยและถ่ายทอดความรู้แก่ผู้อื่ นได้
เนื้อเรื่องย่อ (ต่อ)
กล่าวถึงอาการของโรคทับ ๘ ประการ ทับ คือ อาการของ
โรคอย่างหนึ่งซึ่งเกิดแทรกซ้อนโรคหนึ่งที่เป็นอยู่ก่อน ทำให้
มีอาการรุนแรงมากขึ้นในคัมภีร์ฉันทศาสตร์กล่าวถึงทับ ๘
ประการ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดกับเด็กมีชื่อต่าง ๆ โดยระบุ
อาการ วิธีการสังเกตอาการและแนวทางการรักษาดังนี้
๑. ทับสองโทษ
อาการ : เด็กท้องขึ้น มือเท้าเย็น อุจจาระเหม็นผิดปกติ
อาเจียน ลงท้อง กระหายน้ำ ปวดหัวตัวร้อน
การรักษา : เช้า ยาตรีหอม เที่ยงวัน ยาหอมผักหนอก เย็น
ยาประสะนิลน้อย
เนื้อเรื่องย่อ (ต่อ)
๒. ทับสำรอก
อาการทับ : มีอาการสี่อย่าง อาเจียนออกมาเป็นสีเหลือง
บ้าง สีเขียวบ้าง เป็นเสมหะบ้าง เป็นเม็ดมะเขือบ้าง มีเม็ด
ขึ้นในคอ ทำให้ไอ นอนผวา ไม่กินนม ไม่กินข้าว เดี๋ยวร้อน
เดี๋ยวหนาว แลบางคราว ร่างกายเย็นและร้อนเป็น ส่วน ๆ
ตามักช้อนขึ้นบน
การรักษา : ในหนังสือไม่ปรากฏ
๓. ทับละออง
อาการ : ทารกมีละอองซางเกิดขึ้นในคอ ไอกำเริบเป็นหมู่ ๆ
(ไอถี่ ๆ เป็นชุด ๆ) ท้องเดิน อุจจาระเป็นมูก มีกลิ่นคาวและ
เปรี้ยวซึมเซา เชื่อมมัว ตัวร้อนจัดดังเปลวไฟ
การรักษา : ในหนังสือไม่ปรากฏ
เนื้อเรื่องย่อ (ต่อ)
๔. ทับกำเดา
อาการ : มีไข้ ไอ ปวดศีรษะ ตัวร้อนดังเปลวไฟ ถอนใจใหญ่
(หายใจแรง) หายใจสั้น ปากคอแห้ง หลับ ๆ หวาดผวาเกิด
เม็ดในลำคอ ในอก ไม่กินข้าว ไม่กินนม ท้องขึ้นแข็ง
การรักษา : ให้ยาเย็นและสุขุม
๕. ทับกุมโทษ
อาการ : อุจจาระเป็นมูกเลือด มีสีดำหรือสีแดงสด ปวดเบ่ง
มากตัวร้อนมากตลอดทั้งตัว เชื่อมมัวทอดไม่สมปฤดี
หายใจขัด กระหายน้ำ
การรักษา : เช้า ให้ยาน้ำสมอไทย , ยามเที่ยง ให้ยาหอมผัก
หนอก
เนื้อเรื่องย่อ (ต่อ)
๖. ทับเชื่อมมัว
อาการ : ทารกเป็นไข้กำเดา ซึมเซาเชื่อมมัว ปวดหัว ตัวร้อน
จัด ท้องขึ้น หอบไอแห้ง ๆ
ทับมีอาการอุจจาระเป็นมูกเลือด ลงมิได้เป็นเวลา ปวดเบ่ง
เป็นกำลัง กระหายน้ำ
การรักษา : ในหนังสือไม่ปรากฏ
๗. ทับซาง
อาการ : เป็นไข้ ซางกินปอด ตับอยู่ภายใน ถ่ายออกมาคล้าย
น้ำส่าเหล้าบ้าง คล้ายน้ำไข่ เน่าบ้าง มีกลิ่นเหม็นคาว สุดท้าย
ถ่ายเป็นมูกเลือด ปวดเบ่ง หิว กระหายน้ำ อาจทำให้มีอาการ
ตับทรุด อาการหนักขึ้น ถ่ายออกมาเป็นเลือดเสลดเน่า ตัว
ร้อน ท้องขึ้น มือเท้าเย็น หายใจขัด ยากจะรักษา
การรักษา : ในหนังสือไม่ปรากฏ
เนื้อเรื่องย่อ (ต่อ)
๘. ทับช้ำใน
อาการ : ขัดยอกในกายเหตุหกล้ม อกและสีข้างกระแทก
(ตับได้รับการกระทบกระแทก) ชอกช้ำภายใน (ตับ) อยู่นาน
มา จับไข้ ตัวร้อนเป็นเวลา หน้าตาไม่มีสี( ซีด ) ให้มีอาการ
ตับทรุด อุจจาระเป็นส่าเหล้าแลไข่เน่าแล้วเป็นมูกเลือด ปวด
เบ่ง ตัวร้อนหายใจสะอื้นขัด มือเท้าเดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อน มี
โทษถึงตาย
การรักษา : ในหนังสือไม่ปรากฏ
คุณค่าด้านเนื้อหา
รูปแบบการแต่งคัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทยศาสตร์สงเคราะห์ เป็น
หนังสือที่รวบรวมความรู้จากตำราอื่นๆ เกี่ยวกับแพทยศาสตร์
ซึ่งผู้แต่งเลือกใช้คำประพันธ์ประเภท กาพย์ยานี ๑๑ เริ่มต้นด้วย
บทไหว้ครู และจรรยาบรรณของแพทย์ กับข้อควรปฏิบัติ ส่วน
เนื้อหาที่ใช้ศึกษา ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ ว่าด้วยเรื่อง
ลักษณะทับ ๘ ประการ ผู้แต่งใช้คำประพันธ์ประเภทร่ายให้ความรู้
เกี่ยวกับการรักษาโรคของแพทย์แผนไทย
สาระสำคัญของเรื่อง คือ ความสำคัญของแพทย์และคุณสมบัติที่
แพทย์พึงมี ซึ่งจะช่วยรักษาโรคได้ผลมากกว่ารู้เรื่องนาอย่างเดียว
คุณค่าด้านเนื้อหา (ต่อ)
โครงเรื่อง มีการลำดับความเริ่มต้นด้วยบทไหว้ครู เป็นการไหว้
พระรัตนตรัย ไหว้เทพเจ้าของพราหมณ์ ไหว้หมอชีวกโกมารภัจ
และไหว้ครูแพทย์โดยทั่วไป ต่อด้วยความสำคัญของแพทย์
จรรยาบรรณแพทย์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แพทย์พึงมี และตอนท้าย
กล่าวถึงทับ ๘ ประการ คือ อาการของโรคชนิดหนึ่งที่แทรกซ้อน
กับโรคอื่ น
กลวิธีการแต่ง เนื้อหาจัดเป็นตำราเฉพาะด้าน เน้นการอธิบายเป็น
ส่วนใหญ่ จึงใช้อุปมาโวหารเปรียบเทียบ เช่น
จะกล่าวถึงคัมภีร์ฉัน ทศาสตร์บรรพ์ที่ครูสอน
เสมอดวงทินกร แลดวงจันทร์กระจ่างตา
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
๑. การสรรคำ
๑.๑ การใช้ถ้อยคำที่เหมาะสมแก่เนื้อเรื่อง ทำให้เข้าใจความหมายตรงไปตรงมา เช่น
บางหมอก็กล่าวคำ มุสาซ้ำกระหน่ำความ
ยกตนว่าตนงาม ประเสริฐยิ่งในการรักษา
บางหมอก็เกียจกัน ที่พวกอันแพทย์รักษา
บ้างกล่าวเป็นมารยา เขาเจ็บน้อยว่ามากครัน
บ้างกล่าวอุบายให้ แก่คนไข้นั้นหลายพัน
หวังลาภจะเกิดพลัน ด้วยเชื่อถ้อยอาตมา
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ (ต่อ)
๑.๒ การใช้สำนวนไทย ช่วยอธิบายให้ชัดเจนมากขึ้น เช่น
เรียนรู้คัมภีร์ไสย สุขุมไว้อย่าแพร่งพราย
ควรกล่าวจึ่งขยาย อย่ายื่นแก้วให้วานร
คุณค่าด้านสังคม
๑. สะท้อนให้เห็นความเชื่อของสังคมไทย ฉันทศาสตร์มีความหมาย
ว่า ตำรา (ศาสตร์) ที่แต่งเป็นสูตร (ฉันท์) ตามอย่างตำราการ
แพทย์ในคัมภีร์อาถรรพ์เวท ตำราอาถรรพ์เวท เป็นพระเวทหนึ่งใน
ศาสนาพราหมณ์ จึงมีเรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ด้วย จึงมักพบคำ
ว่า “คัมภีร์ไสย์”ปรากฏอยู่ในคำประพันธ์ ดังตัวอย่าง
เรียนรู้ให้ชัดเจน จบจังหวัดคัมภีร์ไสย์
ตั้งต้นปฐมใน ฉันทศาสตร์ดังพรรณนา
แต่ในคัมภีร์ฉันศาสตร์ มีการประสานความเชื่อความคิดต่างๆ
ทางสังคมและทางพระพุทธศาสนาเข้าด้วยกัน เนื้อหาจึงปรากฏคำ
บาลีแสดงให้เห็นตลอด ทำให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ทาง
พระพุทธศาสนา เช่น มิจฉา (ความผิด) พิริยะ (ความเพียร) วิจิ
กิจจา (ความลังเล) อุทธัจ(ความฟุ้งซ่าน) วิหิงษา (เบียดเบียน) อ
โนตัปปัง (ความไม่สะดุ้งกลัวต่อบาป) อธิกรณ์ (โทษ)
คุณค่าด้านสังคม (ต่อ)
๒. สะท้อนให้เห็นคุณค่าเรื่องแพทย์แผนไทย ถ้าพิจารณาในส่วนที่
กล่าวถึงทับ ๘ ประการ จะเป็นได้ว่าแพทย์แผนไทยเป็นวิธีการรักษา
โรคอีกวิธีหนึ่ง เป็นแพทย์ทางเลือกที่มีความจำเป็นในการรักษาโรค
เราจะคิดว่าเป็นเรื่องที่ล้าสมัยไม่ได้ เพราะเวชกรรมแผนโบราณเป็น
ที่ยอมรับเชื่อถือมาช้านาน ก่อนที่จะรับเอาวิทยาการแพทย์แผนใหม่
มาจากชาติตะวันตกมาใช้ ซึ่งปัจจุบันการค้นคว้าวิจัยทางแพทย์ จะ
กลับมาให้ความสนใจในการรักษาด้วยยาสมุนไพรตามแบบโบราณ
โดยถือว่าเป็นทางเลือกทางหนึ่งในการรักษาโรคในปัจจุบัน
๓. ให้ข้อคิดสำหรับการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน สามารถนำ
ข้อคิดที่ได้จากการศึกษาคัมภีร์ฉันทศาสตร์ไปใช้ได้ทุกสาขาอาชีพ
เพราะไม่ว่าจะเป็นบุคคลในอาชีพใด ถ้าไม่มีความประมาท ความ
อวดดี ความริษยา ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความหลงตัวเอง
และการมีศีลธรรมประจำใจ ย่อมได้รับการยกย่องจากบุคคลต่างๆ
โดยเฉพาะในวิชาชีพแพทย์ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย
ของชีวิตคน ต้องเป็นผู้ที่รอบรู้จริง ตั้งแต่การวินิจฉัยสมติฐานโรค
การใช้ยา และความรับผิดชอบต่อผู้ป่วย ให้ปฏิบัติด้วยความ
รอบคอบไม่ประมาท โดยมีคำสอนในทางพระพุทธศาสนาเป็น
แนวทางในการชี้นำ
คุณค่าด้านสังคม (ต่อ)
๔. ให้ความรู้เรื่องศัพท์ทางการแพทย์แผนโบราณ เช่น คำว่า
“ธาตุพิการ”ธาตุทั้งสี่ (ดิน น้ำ ลม และไฟ) ในร่างกายไม่ปกติ ทำให้
เกิดโรคต่างๆ ขึ้นตามกองธาตุเหล่านั้น คำว่า “กำเดา” หมายถึง
อาการไข้อย่างหนึ่งเกิดจากหวัดเรียกว่า “ไข้กำเดา” อาการของ
โรคจะมีเลือดไหลออกทางจมูก เรียกว่าเลือดกำเดา คำว่า
“ปวดมวน” หมายถึงการปั่ นป่วนในท้อง
จะเห็นได้ว่า ข้อบกพร่องของแพทย์มีทั้งแง่ของความประมาท
ความอวดดี ความริษยา ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความหลงตัว
เอง ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากบรรดาแพทย์ที่เล็งเห็นข้อบกพร่อง
ต่างๆ เหล่านี้ย่อมช่วยให้คนไทยหายไข้ได้เร็วขึ้น ไม่สิ้นเปลืองค่าใช้
จ่าย และที่สำคัญคือคนจนได้รับความสนใจจากแพทย์ ส่วนของ
แพทย์ด้วยกันนั้น มีการเตือนสติไม่ให้แพทย์สูงอายุหลงตัวเองจน
ลืมไปว่าคนหนุ่มก็มีความสามารถเหมือนกัน