การวจิ ัยเร่ือง การเปรยี บเทยี บคะแนนกอ่ นเรียนและหลงั เรยี นในการจดั การเรียนการ
สอนรปู แบบการทาใบงาน(On Hand)ด้วยกระบวนการจัดการเรยี นรแู้ บบสบื เสาะ(5E)
ในรายวชิ าประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 โรงเรยี นบา้ นหนองหนิ
โดย
นายธนากร ชอ่ งงาม
63B0101624
เสนอ
อาจารย์ ดร.ประภัสสร ชโลธร
รายงานวจิ ยั เลม่ นเี้ ปน็ ส่วนหน่งึ ของการศกึ ษาวิชา 101503 การปฏิบตั กิ ารสอนใน
สถานศกึ ษา 2
หลกั สตู รวิชาชพี ครู คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสมี า
ปกี ารศึกษา 2564
ก
ธนากร ช่องงาม. 2565. การเปรียบเทียบคะแนนกอ่ นเรยี นและหลงั เรียนในการจดั การเรยี นการ
สอนรูปแบบการทาใบงาน(On Hand)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ(5E)
ในรายวิชาประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหิน.
รายงานวิจัยรายวิชาการปฏบิ ัติการสอนในสถานศกึ ษา 2 หลกั สูตรวชิ าชพี ครู คณะครุศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครราชสีมา.
อาจารยท์ ปี่ รึกษา : อาจารย์ ดร.ประภัสสร ชโลธร
บทคัดยอ่
การศึกษาเรื่อง การเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลงั เรยี นในการจัดการเรียนการ
สอนรูปแบบการทาใบงาน(On Hand)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ(5E) ในรายวิชา
ประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหิน มีจุดประสงค์เพ่ือ
เปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนในการจัดการเรียนการสอนรูปแบบการทาใบงาน(On
Hand)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ(5E) ในรายวิชาประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) ช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหิน ด้วยวิธีการวิจัยแบบปริมาณ โดยเก็บรวบรวมจาก
แบบทดสอบจากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนในรายวิชาประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) ของ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหิน จานวน 15 คน โดยใช้การทดสอบด้วย
โปรแกรม SPSS พบว่า
คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหินที่เรียนใน
รายวิชาประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) โดยจัดการเรียนการสอนในรูปแบบการทาใบงาน(On Han)ด้วย
กระบวนการจัดการเรียนรู้ด้วยการสืบเสาะ(5E) มีค่าสูงกว่าคะแนนสอบก่อนเรยี น อย่างมีนัยสาคญั
ทางสถติ ทิ ี่ระดบั .01
คาสาคญั : จัดการเรียนรู้แบบสบื เสาะ, 5E
ข
กิตติกรรมประกาศ
การศึกษาเรอ่ื ง การเปรยี บเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลงั เรยี นในการจดั การเรียนการ
สอนรูปแบบการทาใบงาน(On Hand)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ(5E) ในรายวิชา
ประวัตศิ าสตร์ 5 (ส15102) ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบา้ นหนองหนิ เปน็ สว่ นหนึ่งของรายวิชา
101503 การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 2 หลักสูตรวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราช
ภัฏนครราชสมี า ปกี ารศึกษา 2564
สาหรับความสาเร็จในครั้งน้ีผู้วิจัยขอบขอบคุณพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง ตลอดจน คณะครู และ
บคุ ลากรทางการศกึ ษาด โรงเรีนบ้านหนองหนิ และ อาจารย์ ดร.ประภสั สร ชโลธร อาจารย์ท่ีปรึกษา
ทค่ี อยใหก้ าลงั ใจและการสนับสนนุ ผวู้ ิจยั ตลอดจนคอยให้คาปรึกษาในการศึษาครั้งน้ี
ขอขอบพระคุณ คุณครูเบญจพร ศรีใหญ่ ครูพี่เลี้ยง คุณครูปัญญาพนธ์ เพียรเสมอ คุณครู
นเิ ทศทวั่ ไป ที่คอยดูแลและให้คาปรึกษาในการจัดทาวิจัย ตลอดจนการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูใน
ครัง้ น้ี
และสดุ ท้าย ขอขอบใจนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ท่ีเรียนในรายวิชาประวตั ิศาสตร์ 5 (ส
15102)ทท่ี าแบบทดสอบและใหเ้ ก็บข้อมลู ในการศึกษาในคร้งั น้ี
ผวู้ ิจยั
16 กุมภาพันธ์ 2565
ค
สารบญั หนา้
ก
บทคัดย่อ ข
กติ ตกิ รรมประกาศ ค
สารบญั จ
สารบญั ตาราง 1-4
บทท่ี 1 บทนา 1
2
ทมี่ าและความสาคัญ 2
คาถามการวิจยั 3
วัตถปุ ระสงค์ 3
ขอบเขตการศกึ ษา 3
ประโยชน์ทคี่ าดวา่ จะได้รบั 5- 26
นิยามศัพทเ์ ฉพาะ 5
บทท่ี 2 แนวคดิ ทฤษฎีและงานวิจัยท่เี กีย่ วขอ้ ง 6
แนวคิดเกย่ี วกับการศึกษา 13
แนวคิดเกี่ยวกบั การจัดการเรียนรู้
แนวคิดเกย่ี วกับการจดั การเรยี นการสอนในสถาณการณ์การแพร่ระบาดของไวรสั 18
โคโรนา่ (COVID – 19)
แนวคิดเกี่ยวกับการจดั การเรยี นการสอนแบบการเรยี นการสอนทบ่ี ้านด้วยการทา 20
ใบงาน(On Hand) 23
แนวคดิ เกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรยี นรดู้ ว้ ยกระบวนการสืบเสาะ(5E) 25
งานวจิ ัยท่ีเก่ียวข้อง 27 - 29
กรอบแนวคดิ การวจิ ยั 27
บทท่ี 3 ระเบยี บวธิ ีวจิ ยั 27
พ้นื ทีเ่ ปา้ หมาย 27
หนว่ ยการวิเคราะห์ขอ้ มลู 28
ขอบเขตในการวจิ ัย 28
กลุ่มเปา้ หมาย 28
เคร่ืองมอื และเทคนิคในการรวบรวมข้อมูล
การวเิ คราะหข์ อ้ มูล
สารบัญ(ตอ่ ) ง
การนาเสนอขอ้ มลู หนา้
จรรยาบรรณการวิจยั 28
บทท่ี 4 ผลการวจิ ัย 29
ผลการทดสอบของนกั เรยี น 30 - 32
การเปรยี บเทียบคะแนนกอ่ นสอบและคะแนนหลังสอบ 30
การทดสอบสมมตุ ิฐานทางสถิติ 31
บทท่ี 5 32
สรุปผลการวิจัย 33 - 34
อภิปรายผลการวจิ ัย 33
ข้อเสนอแนะ 33
บรรณานกุ รม 34
35
สารบัญตาราง จ
ตารางที่ 4.1 ตารางแสดงผลการทาแบบทดสอบก่อนเรียนของนักเรียน หน้า
ตารางท่ี 4.2 ตารางแสดงผลการคานวณ T – test (Paired sample test) 30
31
บทท่ี 1
บทนำ
1 ท่มี ำและควำมสำคัญ
ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ ปี 2560 หมวด 4 มาตรา 50 (4) กาหนดให้
ประชาชนมีหน้าที่เข้ารับการศึกษาอบรมนารศึกษาภาคบังคับ หมวด 5 มาตรา 54 กาหนดให้รัฐ
จะต้องดาเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นระยะเวลาสิบสิงปี ตั้งแต่ก่อนการเรียนจนจบ
การศึกษาภาคบังคับอยางมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย มาตรา 54 วรรค 3 กาหนดให้รัฐต้อง
ดาเนินการให้ประชาชนได้รับการศึกษาตามความต้องการในระบบต่าง ๆ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการ
เรียนร้ตู ลอดชีวิต(สานักวิชาการ สานกั งานเลขาธกิ ารสภาผ้แู ทนราษฎร,2561)
จากบทบัญญตั ิในรัฐธรรมนูญ 2560 จะพบวา่ การศึกษาในประเทศไทยเปน็ ทั้งหน้าที่ของรัฐ
และหนา้ ทข่ี องประชาชน โดยทีร่ ฐั มีหน้าทจ่ี ัดการศึกษาใหก้ บั ประชาชน และประชาชนมหี น้าท่ีในการ
เข้ารับการศึกษา โดยจะต้องเข้ารับการศึกษาเป็นระยะเวลา 12 ปี ตั้งแต่ก่อนเรียน และเรียนจบใน
ระดับภาคบังคบั ซ่งึ รฐั บาลไทยได้จัดการศกึ ษาให้กบั เดก็ นักเรียนทุกคนตามกฎหมาย
ในชว่ งระยะเวลา 2 ปที ผี่ ่านมาประเทศไทยและประเทศอื่นท่วั โลก ได้ประสบปัญหาการแพร่
ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา(COVID - 19) ทาให้หลายประเทศได้รับผลกระทบจากการแพร่กระจาย
ของเชื้อไวรัสดังกล่าว ในหลายมิติ เนื่องจากเชื้อไวรัสดังกล่าวแพร่กระจายผ่านละอองฝอยที่มาทาง
อากาศ และเม่อื ได้รับเช้ือเข้าสรู่ ่างกายมกั จะไมแ่ สดงอาการทนั ที และเชอ้ื ไวรัสดงั กลา่ วมงุ่ ทาลายปอด
ระบบทางเดนิ หายใจ ทาใหเ้ สยี ชวี ติ ไดห้ ากไมไ่ ด้รับการรักษาอยา่ งถกู วิธ(ี BBC NEWS ไทย,2564)
ประเทศไทยพบผตู้ ิดเช้ือไวรสั โคโรนา(COVID - 19) รายแรกเปน็ หญงิ ขาวจีนท่ีเดินทางเข้ามา
เท่ยี วในประเทศในปี2563 ท่ีผ่านมา และนั้นทาใหป้ ระเทศไทยเริ่มมกี ารระบาดของเช้ือไวรัสดังกล่าว
จนส่งผลกระทบเป็นวงกวา้ ง ตั้งแต่ระบบเศรษฐกิจ การปรับตัวในการใช้ชชีวติ ระบบสาธารสุข และ
ระบบการศกึ ษาเองกไ็ ดร้ ับผลกระทบเชน่ กัน ทาใหท้ ั้งระบบธุรกิจ การศกึ ษา สาธารสุข และระบบอ่ืน
ๆ ต้องมีการปรับตัวใหม่ในการที่จะดาเนินกิจกรรมให้เป็นปกติและเป็นไปได้มากที่สุด ซึ่งระบบ
การศึกษาไทย โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ทาการปรับรูปแบบการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับ
สถานการณ์ปัจจุบัน โดยให้แต่ละโรงเรียนจัดการเรียนการสอนในรูปแบบต่าง ๆ โดยได้กาหนด
รปู แบบการเรียนการสอนออกเปน็ 5 รูปแบบ ได้แก่ ได้แก่ การจดั การเรยี นการสอนท่บี า้ นด้วยการทา
ใบงาน(On Hand) การจดั การเรยี นการสอนแบบผ่านโปรแกรม Zoom , Google Meeting หรอื การ
ไลฟ์สดผ่านสื่อสังคมออนไลน์อื่น ๆ (On line) การจัดการเรียนการสอนด้วยการเรียนรู้ทางไกลผ่าน
ดาวเทียม(On Air) การจัดการเรียนการสอนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ (On - Site) และการจัดการเรียนการ
สอนแบบการใช้ช่องทางกลุ่มไลน์ หรือ Google Classroom หรือกลุ่มทางสื่อสังคมอืน่ ๆ ที่สามารถ
ทาใหค้ รูและนกั เรยี นสามารถติดต่อส่ือสารกันได้(On School Line) โดยการจดั การเรียนการสอนท้ัง
2
5 รูปแบบทก่ี ระทรวงศกึ ษาธิการ โดยสานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานกาหนดมาน้ัน ได้
ให้โรงเรียนแต่ละโรงเรียนเลือกการจัดการเรียนการสอนตามบริบทของนักเรียนที่สามารถจัดได้ ซ่ึง
สามารถเลือกไดม้ ากกว่า 1 รูปแบบ หรือเลือกแค่รูปแบบใดรปู แบบหน่ึงก็ได้(line to day,2563)
ซึ่งโรงเรีนบ้านหนองหินนาโดยท่านผู้อานวยการโรงเรียนได้มีการประชุมและได้กาหนดให้
โรงเรียนบ้านหนองหินจัดการเรียนการสอนทั้งสิ้น 2 รูปแบบ ได้แก่ การจัดการเรียนการสอนใน
รูปแบบการเรียนการสอนทีบ่ ้านด้วยการทาใบงาน(On Hand) และการเรียนการสอนในรูปแบบการ
จดั การเรียนการสอนเปน็ กลุ่มเล็ก ๆ (On - Site) โดยรปู แบบการจัดการเรียนการสอนหลักท่ีโรงเรียน
บา้ นหนองหินใช้คอื รูปแบบการเรยี นการสอนในรปู แบบการเรียนการสอนที่บา้ นด้วยการทาใบงาน(On
Hand)
และในรายวชิ าประวัตศิ าสตร์ ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 ครผู ้สู อนได้ปฏิบตั ิการสอนตามรูปแบบ
ทโี่ รงเรียนบ้านหนองหินกาหนด โดยมกี ารจัดทาใบงานและใบความร้ตู ามเนอ้ื หารายวชิ าที่กาหนดตาม
หลักสูตรแกนกลาง และมีการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบการเรยี นการสอนที่บ้านด้วยการทาใบ
งาน(On Hand) โดยใช้วธิ กี ารจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้(5E) เข้ามาร่วมในการ
สร้างใบงานในการจดั การเรยี นการสอนดว้ ยการทาใบงาน(On Hand)
ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะทาการศึกษาเร่ือง การเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลงั
เรยี นในการจัดการเรยี นการสอนรปู แบบการทาใบงาน(On Hand)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ
สบื เสาะ(5E) ในรายวชิ าประวตั ิศาสตร์ 5 (ส15102) ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหิน ซึ่ง
มีวัตถปุ ระสงคเ์ พอ่ื เปรียบเทยี บคะแนนกอ่ นเรียนและหลังเรียนในการจดั การเรยี นการสอนรปู แบบการ
ทาใบงาน(On Hand)ดว้ ยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ(5E) ในรายวิชาประวตั ิศาสตร์ 5 (ส
15102) ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหนิ
2 คำถำมกำรวิจยั
คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหินที่เรียนใน
รายวิชาประวตั ิศาสตร์ 5 (ส15102) โดยจัดการเรียนการสอนในรูปแบบการทาใบงาน(On Han)ด้วย
กระบวนการจัดการเรยี นรู้ดว้ ยการสบื เสาะ(5E) มคี า่ สงู กว่าคะแนนสอบก่อนเรียน
3 วัตถุประสงค์
3.1. เพ่อื เปรียบเทยี บคะแนนกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี นในการจดั การเรียนการสอนรูปแบบการ
ทาใบงาน(On Hand)ดว้ ยกระบวนการจัดการเรียนร้แู บบสืบเสาะ(5E) ในรายวชิ าประวตั ศิ าสตร์ 5 (ส
15102) ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรียนบา้ นหนองหิน
3
4 ขอบเขตของกำรวจิ ัย
4.1 ด้ำนเน้อื หำ
ทาการศึกษาข้อมูลผ่านนักเรียน และผู้ปกครองนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
โรงเรียนบ้านหนองหนิ และศกึ ษาผา่ นเอกสาร งานวจิ ัยผ่านทางเว็บไซตต์ า่ ง ๆ
4.2 ดำ้ นพนื้ ท่ี
โรงเรียนบ้านหนองหิน และบ้านพกั ของนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 โรงเรียนบ้าน
หนองหนิ
4.3 ด้ำนประชำกร
นักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 5 จานวน 15 คน
5 ประโยชน์ทไ่ี ดร้ บั
5.1. ได้ทราบผลเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนในการจัดการเรียนการสอน
รูปแบบการทาใบงาน(On Hand)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ(5E) ในรายวิชา
ประวัตศิ าสตร์ 5 (ส15102) ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 5 โรงเรียนบา้ นหนองหิน
5.2. ได้ทราบความเหมาะสมของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบการทาใบงาน(On
Hand)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ(5E) ในรายวิชาประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) ช้ัน
ประถมศึกษาปที ี่ 5 โรงเรียนบา้ นหนองหิน
7 นิยำมศพั ท์เฉพำะ
7.1 กำรจัดกำรเรียนกำรสอนในสถำนกำรณ์กำรแพร่ระบำดของไวรัสโคโรน่ำ(COVID -
19) หมายถึง เป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ลดการจัดกิจกรรมที่ลดการใกล้ชิดระหว่าง
ครูผู้สอน และนักเรียน ซึ่งเป็นมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
(COVID – 19)โดยมีมาตาราการในการจัดการเรียนการสอนทั้งสิ้น 5 รูปแบบ ซึ่งได้แก่ On – Site,
On – Air, On – Demand, on – line, และ On – hand โดยเลือกตามความเหมาะสม และสามารถ
เลอื กจัดการเรียนการสอนผสมผสานรูปแบบกันได้
7.2 กำรจัดกำรเรียนกำรสอนในรูปแบบ On Hand หมายถึง รูปแบบการเรียนการสอนท่ี
ให้ครเู ป็นผเู้ ตรยี มเอกสารตา่ ง ๆ ทเ่ี ก่ยี วข้องกบั เน้อื หา และนาส่งเอกสารเหลา่ นน้ั ใหก้ ับนักเรียน ซง่ึ ครู
เป็นผู้กาหนดวัน เวลา สถานที่ ในการรับ – ส่งเอกสาร โดยนักเรียนจะทาการเรียนการสอนและ
การศึกษาเนื้อหาตามเอกสารใบงานท่ีครูกาหนดให้ภายใต้การดูแลของผู้ปกครอง ในการตดิ ตามผลครู
4
จะต้องตดิ ต่อประสานงานรว่ มกับผู้ปกครอง ทัง้ น้ยี ังรว่ มกันแก้ไขปัญหาตา่ ง ๆ ทเ่ี กิดขึน้ และการวัดผล
ประเมินผลนักเรียนให้ครูร่วมกับผู้ปกครองประเมินผลร่วมกันโดยสร้างเครื่องมือในการประเมินผล
ขึ้นมาตามบรบิ ทของนกั เรยี นแตล่ ะคน
7.3 นักเรียน หมายถงึ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรียนบา้ นหนองหิน
7.5 กำรจัดกำรเรียนร้ใู นรปู แบบกำรทำใบงำน(On Hand)ดว้ ยกระบวนกำรจดั กำรเรียนรู้
แบบสบื เสำะ(5E) หมายถึง การจัดการเรียนร้ดู ้วยวิธีการทาใบงาน(On Hand) โดยใบงานออกแบให้
สอดรบั กบั รูปแบบการจดั การเรยี นรู้ด้วยกระบวนการการจัดการเรียนรแู้ บบสืบเสาะ(5E)
บทที่ 2
แนวคดิ ทฤษฎีและงานวิจยั ท่เี กี่ยวขอ้ ง
ในการศึกษาเรื่อง การเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนในการจัดการเรียนการ
สอนรูปแบบการทาใบงาน(On Hand)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ(5E) ในรายวิชา
ประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหิน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพ่ือ
เปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนในการจัดการเรียนการสอนรูปแบบการทาใบงาน( On
Hand)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ(5E) ในรายวิชาประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) ชั้น
ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหนิ ผ้วู ิจัยเลือกวธิ กี ารศึกษาด้วยวิธกี ารวิจยั เชิงปริมาณ และได้
ทาการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และเอกสารงานวิจัยที่เก่ียวขอ้ ง ซึ่งจะได้นาแนวคดิ ทฤษฎี และเอกสาร
งานวจิ ยั ดังกล่าวพฒั นาเปน็ กรอบแนวคดิ โดยจะแยกเนอื้ หาอธิบายไว้ ดังนี้
2.1 แนวคดิ เก่ียวกบั การศึกษา
2.2 แนวคิดเก่ยี วกบั การจัดการเรยี นรู้
2.3 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนในสถาณการณ์การแพร่ระบาดของ
ไวรัสโคโรน่า(COVID – 19)
2.4 แนวคิดเกี่ยวกบั การจดั การเรยี นการสอนแบบการเรียนการสอนท่ีบ้านด้วยการ
ทาใบงาน(On Hand)
2.5 แนวคิดเกีย่ วกบั กระบวนการจดั การเรียนรู้ด้วยกระบวนการสบื เสาะ(5E)
2.6 งานวิจัยท่เี ก่ียวข้อง
2.7 กรอบแนวคิดการวจิ ยั
2.1 แนวคิดเก่ยี วกับการศึกษา
ประเทศไทยปกครองด้วยระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมขุ
โดยมีรฐั ธรรมนูญเปน็ กฎหมายในการปกครองสงู สดุ ซ่ึงรฐั ธรรมนญู ได้กาหนดใหป้ ระชาชนขตอ้ งเขา้ รบั
การอบรมหรือการศกึ ษาเป็นระยะเวลาทง้ั ส้นิ 12 ปี ตง้ั แต่กอ่ นเรยี น และเรียนจบในภาคบงั คบั โดยรัฐ
จะต้องจัดการศึกษาให้กับประชาชนอย่างเท่าเทียม(สานักวิชาการ สานักงานเลขาธิการสภา
ผแู้ ทนราษฎร,2561)
พระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542 ได้อธบิ ายความหมายของการศกึ ษาไวว้ ่า เป็น
กระบวนการเรยี นรูเ้ พ่อื ความเจรญิ งอกงามของบุคคล และสังคมโดยการถา่ ยทอดความรู้ การฝึก การ
สืบสานทางวัฒนธรรม การสรา้ งสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิด
จากการจัดสภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้ และปัจจัยเกื้อหนุนใหบ้ ุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนือ่ งตลอด
ชีวิต(กลุ่มงานกฎหมายและคดี สานักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 4,2542)
6
การถา่ ยทอดความรู้ทกั ษะและทัศนคติของคนรุ่นก่อนใหก้ ับอนุชนรุ่นหลังของสังคม
เพราะอนุชนรุ่นหลังคงไมอ่ าจเตบิ โตไปสู่ความเปน็ ผใู้ หญถ่ า้ ไมไ่ ด้ดูดซบั ความเชอื่ เกย่ี วกบั โลกทศั น์ และ
ทักษะในการดารงชีวิตและแกป้ ญั หาของผู้ใหญก่ อ่ นท่ีการศกึ ษาจะกลายมาเป็นกระบวนการสาคัญท่ี
(มานิรจุ น์,2557)
การศึกษา หรือในภาษาอังกฤษใช้คาว่า education มีรากศัพท์มาจากภาษาลติน
โดยมีความหมายเป็น 3 ประเดน็ ดว้ ยกนั ประการแรกหมายถึงการเลี้ยงดู เดก็ ๆ เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่
ตามวัตถุประสงค์ของผ้ทู เี่ ลี้ยงดู ประการท่ีสองคอื เป็นการดึงหรอื นา สงิ่ ทอี่ ย่ใู นตวั ของผเู้ รยี นออกมาให้
ปรากฏ หรือที่เราเรียกว่าเป็นการดึงศักยภาพของผู้เรียนออกมาน่ันเอง และประการสุดท้ายคือ เป็น
การสอนหรอื ฝึกอบรมนกั เรยี น(เสาวมลมาศ เทพสง่ ,ม.ป.ป.)
จากความหมายทัง้ ทางกฎหมายและนักวิชาการและผู้มีความรูไ้ ด้ให้ความหมายของ
การศึกษาไว้นั้นผู้วิจัยสามารถสรุปได้หายมิติ ในทางกฎหมาย การศึกษาเป็นหน้าที่ของรัฐและ
ประชาชนที่จะต้องเข้ารับการศึกษาตามที่รัฐจัดให้หรือสามารถจัดหาวามรู้ได้ ในมิติทางปรัชญา
การศึกษาเป็นการเรยี นรจู้ ากการอบรมสงั สอนจากครู อาจารย์ หรอื ผทู้ ีม่ คี วามรู้ความสามารถด้านน้ัน
จนสามารถทาใหบ้ ุคคลใดบคุ คลหนงึ่ นาความรทู้ ่ไี ด้ไปใช้อยา่ งเกดิ ประโยชนต์ ่อสังคมได้
2.2 แนวคิดเกี่ยวกบั การจัดการเรยี นรู้
2.2.1 ความหายของการจดั การเรยี นรู้
การจัดการเรียนรู้ถือเป็นเรื่องที่สาคัญ ซึ่งมีนักการศึกษา นักวิชาการด้าน
การศึกษาได้ให้ความหมายเกี่ยวกับการจัดการศึกษาไว้อย่างน่าสนใจ โดยผู้วิจัยจะได้ทาการเขียน
อธบิ ายไว้ดงั น้ี
พระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ 2542 ได้อธบิ ายถงึ การจัดการเรียนรู้ไว้
ว่า จะต้องเป็นระบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มุ่งหวังให้ผู้เรียนมีความรู้
ความสามารถในการเรียนรู้ และพฒั นาตนเองได้ พรอ้ มท้งั จะต้องจดั การศกึ ษาทมี่ ุง่ ปลกู ฝัง และสร้าง
ลักษณะที่พึงประสงค์ให้กับผู้เรียน โดยจะต้องมีการจัดกระบวนการการเรียนรู้ที่มีเนื้อหาสาระและ
กจิ กรรมทส่ี อดคล้องกันความสนใจ ความถนัด และความแตกต่างระหว่างบคุ คล กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นได้มี
ทักษะในกระบวนการคิดวเิ คราะห์ การจดั การ การเผชิญสถานการณ์ และความสามารถในการประยุค
ใช้องค์ความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ ซึ่งสิ่งที่กล่าวมานั้นเรา
เรียกว่าการจัดประสบการณ์ให้เหมาะสมกับผู้เรียน โดยได้รับกการสนับสนุนจากผู้สอน และผู้สอน
จะตอ้ งจัดบรรยากาศ สภาพแวดลอ้ ม สอ่ื การเรียนรแู้ ละคอยอานวยความสะดวกตา่ ง ๆ ให้กับผู้เรียน
และผ้สู อนจะต้องเรยี นรู้ประสบการณืไปพร้อม ๆ กบั ผเู้ รียน โดยการเรียนรูข้ องผ้เู รยี นจะต้องสามารถ
เรียนรู้ได้ตลอดเวลา ทุกสถานที่ โดยได้รับการส่งเสริมกระบวนการการเรียนรู้จากท้ังภาครัฐ เอกชน
7
ภาคประชาชน ซึ่งจะต้องมีการประเมินผลการเรียนรู้ที่หลากหลาย และเหมาะสมกับตัวผู้เรียนมาก
ที่สดุ (สานกั คณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาต,ิ ม.ป.ป.)
ฮู และ ดนั แคน (Hough and Duncan, 1970 : 144 อา้ งถงึ ใน กลัญญู เพ
ชราภรณ์,ม.ป.ป.) ได้อธิบายถึงความหมายของการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า “เป็นกิจกรรมที่บุคคลได้ใช้
ความรู้ของตนเองอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสนับสนุนให้ผู้อื่นเกิดการเรียนรู้และมีความผาสุก โดย
ประกอบด้วย 4 ประเด็นสาคญั ได้แก่ หลักสตู ร การจดั การเรียนรู้ การวัดผล และการประเมินผลการ
จัดการเรยี นร”ู้
ฮิลล์(Hills, 1982 :266 อ้างถึงใน สานักงานส่งเสริมวิชาการและงาน
ทะเบียน มหาวทิ ยาลัยราชภฏั วไลอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ ,2557) ไดก้ ล่าวไวว้ ่า “การจัดการ
เรียนรู้คอื กระบวนการให้การศึกษาแก่ผูเ้ รียน ซง่ึ ตอ้ งอาศยั ปฏสิ มั พนั ธ์ของผู้เรียนและผ้สู อน”
ปรัชญา เวสารัชช์ (2545) ไดก้ ล่าวไว้วา่ “เปน็ กระบวนการอยา่ งเป็นระบบ
โดยมีเป้าหมายชัดเจน คือการพัฒนาคุภาพมนุษย์ทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกาย จิตใจ
สติปัญญา คุณธรรม ค่านิยม ความคิด การประพฤติปฏบิ ัติ ฯลฯ โดยคาดหวังว่า คนที่มีคุณภาพนี้จะ
ทาให้สังคมมีความมน่ั คง สงบสขุ เจรญิ กา้ วหนา้ ทันโลก แข่งขนั กบั สังคมอนื่ ในเวทรี ะหว่างประเทศได้
คนในสังคมมีความสุข มีความสามารถในการประกอบอาชีพการงานอย่างมีประสิทธิภาพ และอยู่
ร่วมกันได้อย่างสมานฉันท์ ซึ่งมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการศึกษาในสถานศึกษา นอก
สถานศึกษา ตามอัธยาศัย ย่อมขึ้นอยู่กับความเหมาะสมสาหรบั กลุ่มเปา้ หมายแต่ละกลุ่มแตกต่างกัน
ดังนั้นการจัดกรศึกษาจึงจาเป็นต้องดาเนินไปอย่างต่อเนื่อง ย่อมมีบุคคลและหน่วยงานทีร่ ับผิดชอบ
เข้าร่วมดาเนินการ มีรูปแบบ ขั้นตอน กติกาและวิธกี าดาเนินการ มีทรัพยากรตา่ ง ๆ สนับสนุน และ
ตอ้ งมีกระบวนการกระประเมินผลการจัดการศึกษาทเ่ี ทีย่ งตรงและเชอื่ ถือได”้
วิทยา พัฒนเมธาดา(2560) ได้อธิบายถึงความหมายของการจัดการเรยี นรู้
ไว้ว่า “การเรียนรู้นั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างถาวรของบุคคล อันเป็นผลมาจาก
ประสบการณ์ในอดีต ทั้งจากการฝึกฝน การปฏิสัมพันธ์กับประสบการณ์รอบตัวและมปี ริมาณองค์
ความรทู้ เี่ พิ่มมากขึน้ ”
จะเหน็ ได้ว่าความหมายของการจัดการเรียนรมู้ ีทงั้ มิตทิ างกฎหมายและจาก
นกั วชิ าการการศึกษา นักการศึกษา ซึง่ ได้ให้ความหมายไวน้ ่าสนใจโดยสรปุ ได้ว่า เปน็ กระบวนการท่ีรฐั
หรือผู้ทีม่ ีสว่ นเกี่ยวข้องจะต้องจัดการศกึ ษาเพอื่ ให้กับนกั เรียนหรอื ประชาชนเกิดการเรียนรู้อย่างเป็น
ระบบ โดยจะต้องเน้นไปทต่ี วั ผู้เรยี น ทง้ั เนอ้ื หาสาระ การวัดผลและประเมนิ ผล จะตอ้ งสอดคล้องและ
คานึงถึงประสบการณ์ของผู้เรียน ทั้งนี้รัฐหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องส่งเสริม สร้างเสริ ม
ประสบการณ์ความรู้ต่าง ๆ ให้กับผู้เรียน ผ่านการจัดบรรยากาศ จัดสรรสถานที่ ตลอดจนจัดสรร
8
งบประมาณเพือ่ สนบั สนนุ ให้ผู้เรยี นบรรลเุ ปา้ หมายตามท่ีนกั เรยี นหรอื ผู้เรียน สงั คม ตอ้ งการ โดยการ
จดั การศึกษาจะต้องมกี ารวางเปา้ หมายไว้ชดั เจน
2.2.2 ความสาคัญของการจดั การเรยี นรู้
สานักงานส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลอลง
กรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ (2557) ได้อธิบายถึงความสาคัญของการจัดการเรียนรู้ไว้ ว่า “เป็น
เครื่องมือในการส่งเสริมให้นักเรียนรักการเรยี น ตั้งใจเรียน และเกิดการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้
ผเู้ รียนสามารถไปสู่จุดม่งุ หมายของผู้เรียนได้ โดยจดุ มุ่งหมายน้ันคือ ความสาเร็จในชีวิต ซึ่งผู้เรียนจะ
เดินทางไปถึงนั้นก็จะขึ้นอยู่กับการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน หากครูผู้สอนเลือกใช้วิธีการจัดการ
เรียนรทู้ ่ีเหมาะสมกบั ผ้เู รยี นก็จะทาใหเ้ กิดผลดีต่อผเู้ รยี น กลา่ วคอื ผเู้ รียนมคี วามร้คู วามสามารถในการ
และมีความชานาญในรายวชิ าน้ัน ๆ ผูเ้ รยี นเกิดทักษะในการทากจิ กรรมหรอื การเรยี น เกิดทัศนคติที่ดี
ต่อการเรียน สามารถนาความรู้ที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และสามารถนาความรู้ที่ได้ไปต่อยอดท้ัง
ทางด้านการเรียนและการใช้ชีวิต
กลัญญู เพชราภรณ์ (ม.ป.ป.) ไดก้ ลา่ วถึงความสาคญั ของการจัดการเรีนรู้ไว้
ว่า “เป็นเครื่องมือที่จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาตนเองในทุก ๆ ด้านไปสู่
ความสาเรจ็ ในชีวติ ทง่ั นี้ผเู้ รนี จะประสบความสาเร็จหรือไม่เพียงใดขน้ึ อยกู่ บั กระบวนการจัดการเรยี นรู้
ของผู้สอนเป็นสาคญั หากผสู้ อนเลือกใชว้ ิธกี ารจัดการเรยี นรู้ทมี่ ปี ระสิทธภิ าพและเหมาะสมกับผู้เรียน
ยอ่ มส่งผลใหผ้ เู้ รยี นสามารถนาความรแู้ ละประสบการณ์ทไ่ี ดไ้ ปปรับใช้ในการดาเนินชวิ ตปิ ระจาวนั ได้
จากที่ได้กล่าวมาแลว้ พอสรุปได้ว่า ความสาคัญของการจัดการเรียนรู้ ได้ว่า
มีความสาคัญกับท้ังตัวนกั เรียนหรือผู้เรียนเพราะจะทาให้ผู้เรียนเกิดทักษะ มีความรูค้ วามสามารถ มี
ทัศนคติที่ดี และมีความชานาญในวิชานัน้ ๆ เพื่อนาไปใช้ในการทางานและการดาเนินชีวิต ตลอดจน
ส่งผลดีตอ่ ครูผู้สอน เพราะการจดั การเรียนรู้เป็นกระบวนการ ซ่งึ จะสามารถช่วยใหค้ รูจดั กิจกรรมและ
ประสบการณใ์ หก้ บั นกั เรยี นไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
2.2.3 ลักษณะของการจดั การเรยี นรทู้ ่ีดี
วราภรณ์ ศรีวิโรจน์ (ม.ป.ป.) ได้อธิบายถึงลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่ดี
จะต้องมีลกั ษณะคอื การจดั การเรยี นรูจ้ ะต้องเปน็ กระบวนการการปฏิสมั พนั ธ์ ระหว่างผสู้ อน หรือครู
และผู้เรยี น ซ่ึงการจัดการเรียนรู้นนั้ จะต้องเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียน 3 ดา้ น ไดแ้ ก่ พุทธิพิสัย
(Cognitive Domain) ทักษะพิสัย(Psychomotor Domain) และจติ พสิ ัย (Affective Domain) และ
ผู้สอนตอ้ งใช้ทง้ั วิชาการท่เี ป็นศาสตร์ และใช้ทกั ษะ/เทคนนิคเปน็ ศิลป์
9
ครูเชียงรายดอทคอม (2562) ได้อธิบายถึงลักษณะการจัดการเรียนรู้ท่ดี ไี ว้
เป็นประเด็นต่าง ๆ ไว้ว่า ประเด็นด้านการเตรียมตัว ครูจะต้องวิเคราะห์หลักสูตร จุดมุ่งหมายและ
วัตถุประสงค์ของหลกั สูตรหรือบทเรียน มกี ารเตรยี มเน้อื หา ส่อื ประกอบการเรียนการสอน และแบบ
วัดผลและประเมินผลที่สอดคล้องกับวัตถปุ ระสงค์ของหลักสูตรหรือบทเรียน ทั้งยังจะต้องจัดเตรียม
กระบวนการเรยี นการสอน การจัดหอ้ งเรียน การเตรยี มความรู้ ใช้ตาราประกอบการเรียน มีทักษะใน
การสอนแบบต่างๆ ใหเ้ หมาะสมกับเนอื้ หา ผู้สอนจะต้องประพฤติตวั ให้เป็นแบบอยา่ งท่ดี ี มกี ารวางตัว
ท่ีเหมาะสม มีความมั่นใจ มีความกระตอื รอื ร้น และเตรยี มพรอ้ มในการสอนมาเป็นอยา่ งดี นอกจากนี้
ยังจะตอ้ งเตรยี มความพร้อมให้กับตวั นกั เรียน และสภาพแวดล้อม ประเดน็ ดา้ นการจัดการเรียนรู้ ครู
จะต้องยึดผู้เรียนเป็นสาคัญ คานึงถึงความแตกต่างของผู้เรียน ทั้งในด้าน วัยวุฒิ ประสบการณ์เดิม
และความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลเป็นหลัก ขณะทส่ี อนครูจะตอ้ งสรา้ งบรรยากาศและเวลาใหเ้ หมาะแก่
การเรียนรู้ ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและอารมณ์ของผู้เรียน มุ่งให้ผู้เรียนได้รับความรู้ ความสามารถ
ทักษะและทัศนคติที่พร้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดี มีการใช้สื่อเพื่อเป็นสิ่งจูงใจในการสอน
ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มกี ารเรียนรู้ด้วยการกระทาให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีและจาได้นาน
ส่งเสริมให้ผู้เรยี นเรยี นดว้ ยการทางานเป็นกลุ่ม ได้แสดงความคิดเหน็ ยอมรับความคดิ เห็นซึง่ กนั และ
กัน สอบถามหรือแสดงความคิดเห็นของตนเองตอ่ ครูผูส้ อนได้ และยังจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นได้
คิดค้นหาสาเหตุ เหตุผล ความเป็นไปของสิ่งที่เรียน มีส่วนร่วมในการวางแผน การดาเนินกิจกรรม
และการประเมินผลการเรยี นการสอน นอกจากนี้ครยู งั จะต้องมีวิธีการสอนท่หี ลากหลาย ไม่ยึดวิธีการ
สอนวิธีใดวธิ ีหน่งึ เป็นหลัก โดยกาหนดวิธกี ารสอนที่สอดคล้องกับเน้ือหาและจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ มี
กิจกรรมการสอนที่หลากหลาย เพื่อเร้าความสนใจ ผู้เรียนสนุกสนาน และตอบสนองตรงกับความ
ตอ้ งการของผ้เู รยี น ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กระตุ้นให้นกั เรียนใช้ความคิดวิเคราะห์อยู่เสมอ
เช่น ฝึกใช้การสังเกต การซักถาม การทุดสอบ การแสดงความคิดเรื่องต่างๆ การค้นหาสาเหตุ การ
เปรียบเทยี บ และความสมั พันธ์ของสิ่งต่างๆ เปน็ ตน้ เสริมสรา้ งคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และคณุ ลักษณะที่
พึงประสงค์แก่ผู้เรียน ตอ้ งมีการประเมนิ ผลตลอดเวลา โดยใชว้ ิธกี ารตา่ งๆ เชน่ การสังเกต การซกั ถาม
การทดสอบ เปน็ ต้น เพอื่ ประเมินวา่ ผู้เรียนบรรลุตามวัตถปุ ระสงค์
สานักงานส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลอลงกรณ์ ใน
พระบรมราชูปถัมภ์ (2557) ได้อธิบายไว้ว่า ผู้สอนจะต้องมที ักษะในการจัดการเรยี นรู้ มีความเข้าใจ
ในระบบการจัดการเรียนรู้ มีความเข้าใจในเนื้อหาวิชาที่เกี่ยวข้อง และมีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้
จิตวิทยาการจัดการการเรียนรู้ด้วย และจะต้องสามารถสร้างประสบการณ์ให้กับผู้เรียนจนสามารถ
เปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมของผู้เรียนได้
10
2.2.4 องคป์ ระกอบของการจัดการเรยี นรู้
การจัดการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ก็ย่อมต้องมีองค์ประกอบที่จะทาให้เกิดข้ึน
เพราะการจัดการเรียนรู้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากขาดองค์ประกอบเหล่านี้ไปอาจจะส่งผลเสียต่อการ
จดั การเรยี นรใู้ หก้ ับนักเรียนได้ โดยในหัวข้อน้ีผู้วิจยั จะได้เสนอนเน้ือหาเก่ียวกับองค์ประกอบของการ
จัดการเรยี นรู้ตามทัศนะของนักวิชาการการศกึ ษา หรอื นกั การศึกษา ดงั เน้ือหาต่อไปนี้
องค์ประกอบในการจัดการเรียนรูน้ อกจากจะตอ้ งมคี รูผู้สอน และนักเรยี น
แลว้ ก็ยงั จะตอ้ งมีเนอ้ื หารายวิชาตา่ ง ๆ สื่อหรอื แลง่ เรียนรู้ ถึงจะสามารถจดั การเรยี นรูไ้ ด้ นอกจกนี้ยัง
จะตอ้ งจัดภาพแวดล้อมใหเ้ หมาะสมและกระต้นุ การเรียนรู้ของนักเรีนด้วย เราไมส่ ามารถท่ีจะปฏิเสธ
ได้เลยว่าสภาพแวดล้อมจะส่งผลต่อการจัดการเรียนรู้ เพราะถ้าสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการจัดการ
เรียนรู้แล้วก็จะส่งให้เด็กมีความอยากที่จะเรียนรู้แลละใส่ใจเพิ่มมากขึ้น โดยทั้งหมดมีหน้าที่และ
ความสาคญั แตกตา่ งกันดงั น้ี
2.2.4.1. ครูผู้สอน เปน็ ผทู้ ่ีมคี วามสาคญั ในการจัดการเรียนรู้ เพราะจะเป็น
ผู้ที่แปลงมาตรฐานการเรียนรู้ และสาระการเรยี นรู้ต่าง ๆ ออกมาเป็นเนื้อหาทีผ่ ู้เรียนจะต้องใช้เรียน
ตลอดทงั้ ยังเป็นผู้ที่จะผลติ สื่อการเรียนการสอน สรา้ งแหลง่ เรียนรู้ และจดั สภาพแวดล้อมให้เอ้ือตต่อ
การเรียนรู้ของผู้เรียน ทาให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่ครบถ้วนเท่าที่ผู้สอนจะสามารถ
กระทาได้
2.2.4.2. ผู้เรียน นักเรียน หรือนักศึกษา เป็นองค์ประกอบที่สาคัญอีก
ประการหนึ่งในการจัดการการเรียนรู้ เพราะผู้เรยี นเป็นผู้รับสาร สาระ หรือความรู้จากครผู ู้สอน ส่ือ
ประกอบการสอน หรือเนือ้ หารายสิชา หรือสภาพแวดลอ้ มท่ีจัดข้นึ โดยความทา้ ทายของครูผู้สอนคือ
ผ้เู รยี น เพราะผู้เรยี นแต่ละคนจะมีความแตกตา่ งกนั ในหลายมิติ ท้ังบรบิ ททผ่ี เู้ รียนอยูอ่ าศยั สติปัญญา
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ทักษะในการทางาน ความสามารถในการเข้าสงั คม ฯลฯ ซึง่ จุดน้ีทา
ให้ผู้สอนจะต้องเข้าใจผู้เรียนและต้องสามารถจัดการตรงนี้ให้ได้เพื่อที่จะให้ผู้เรียนสามารถพัฒนา
ตนเองได้อยา่ งเตม็ ทแ่ี ละเหมาะสม
2.2.4.3. เนื้อหารายวิชา สิ่งนี้ถือเป็นองค์ประกอบที่สาคัญในระดับหนึ่ง
เช่นกันเนื่องจากเนือ้ หารายวิชาจะเป็นองค์ความรู้ที่นักเรียนจะได้โดยส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ทฤษฎี ซ่ึง
ครผู ้สู อนจะตอ้ งจัดการกบั เน้ือหารายวิชาใหเ้ หมาะสมกบั ระยะเวลาในการสอน และนอกจากนีจ้ ะต้อง
จัดการเนื้อหารายวิชาให้เหมาะสมกับวัย หรือระดับชั้นของนักเรียนด้วย อีกประการหนึ่ง ถึงแม้
นักเรยี นจะมอี ายุหรือวัยในระดับเดยี วกัน และเรียนอยู่ในระดบั ชัน้ เดยี วกัน แตส่ ติปญั ญาของนักเรียน
อาจจะไม่เท่ากนั ตรงนค้ี รผู สู้ อนก็จะต้องปรบั ความยากง่ายของเน้อื หาเพือ่ เออ้ื ประโยชนใ์ นการเรียนรู้
ของนักเรียนให้ได้เท่ากันเท่าที่จะสามารถจัดการได้ ซึ่งถือว่ามีความท้าทายในระดับหนึ่งสาหรับการ
จัดการการเรยี นรู้
11
2.2.4.4. สื่อหรือแหล่งเรียนรู้ เป็นอุปกรณ์เสริมในการที่จะช่วยให้ครู
สามารถถ่ายทอดความรู้ต่าง ๆ ให้กับนักเรียนได้ ซึ่งสื่อเหล่านี้จะสามารถอยู่กับผู้เรียนได้นาน และ
สามารถนากลับมาศึกษาใหมาได้เสมอ
2.2.4.5. สภาพแวดล้อมและบรรยากาศการเรียนรู้ เป็นสิ่งอานวยความ
สะดวกในการจัดการเรยี นรู้ทางออ้ มแตม่ ีความสาคัญเพราะถ้าบรรยากาศเอ้ือตอ่ การเรียนรูจ้ ะทาให้
นกั เรียน หรอื ผเู้ รียน ครจู ะต้องจดั บรรยากาศหรือสภาพแวดล้อมให้เข้ากับเน้ือหา ความรู้ตา่ ง ๆ และ
จะต้องคานึกถึงระดับชชั้นของนักเรียนด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อจะให้สามารถดึงดูดนักเรียน ให้สนใจทั้งใน
เนื้อหาสาระทีค่ รูเตรยี มไว้ และสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้อกี ด้วย (องค์ประกอบการจดั การเรียนรู้
,2551)
2.2.5 หลักการพืน้ ฐานในการจัดการเรยี นรู้
ในการจัดการเรียนรู้ครูผู้สอนจะต้องมีทั้งศาสตร์ และศิลป์ในการจัดการ
เรียนแู้ ลว้ ครุผสู้ อนเองจาเปน็ จะต้องเข้าในหลักการในการจัดการเรียนรดู้ ว้ ยเพื่อท่ีจะเสรมิ ให้ครูผู้สอน
สามารถจดั การการเรยี นรูไ้ ดง้ ่ายข้นึ และครอบคลมุ ทุกมมิติไดง้ ่ายขึน้ โดย วิทยา พฒั นเมธาดา(2560)
ไดอ้ ธบิ ายถึงหลกั การในการจดั การเรยี นรไู้ วอ้ ยา่ งน่าสนใจ ดงั ทีผ่ ู้วิจยั จะได้อธบิ ายดังเนื้ออหาต่อไปนี้
2.2.5.1 หลักการรู้จักผู้เรียน การรู้จักผู้เรียนหรือนักเรียนนที่นี้ไม่ได้
หมายความแค่เพียงการจาชื่อของนักเรียนได้เท่านั้น แต่เป็นการเข้าใจในตัวของผู้เรียนทังด้าน
สติปัญญา ทักษะต่างๆ ที่ผู้เรียนมี ครูจาเป็นจะต้องวิเคราะห์ผู้เรียนหรือนักเรียนของตนเองว่ามี
ศักยภาพเป็นอย่างไร มีความสามารถและความถนัดด้านใดมากน้อยเพียงใด โดยปกติเราจเป็น
ความสามารถของนกั เรยี นออกเปน็ 3 กลมุ่ ไดแ้ ก่
- กลมุ่ ที่มีสตปิ ัญญาคอ่ นข้างออ่ น/เรียนรู้ชา้ เปน็ กลุ่มท่ีจะเรียนรู้
ได้ดีก็ต่อเมื่อได้รับการช่วยเหลือจากครูผู้สอน ซึ่งครูผู้สอนจะต้องสอนนักเรียนหรือผู้เรียนแบบค่อย
เปน็ คอ่ ยไป คดิ เป็นระดบั ข้ัน จงึ จะสามารถประสบความสาเร็จได้ โดยเป้าหมายในการเรียนรู้ของเด็ก
กลุ่มน้ีคือ สามารถช่วยเหลอื ตนเองได้โดยไม่เป็นภาระของผูอ้ ืน่
- กลุ่มสติปัญญาปานกลาง เป็นกลุ่มที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วย
ตนเอง แต่ในบางครั้งก็มีความจาเป็นจะต้องได้รับคาชี้แนะจากครูที่มีความรู้มากกว่า(ครูผู้สอน
ผู้ปกครอง หรือเพือ่ นที่มคี วามรูม้ ากกวา่ ) ถึงจะประสบความสาเร็จได้ เด้กกลุ่มน้ีจะมีความสมารถใน
การประยุกตใ์ ช้องค์ความรู้ให้เกิดประโยชน์ได้ดีกวา่ กลุม่ สติปัญญาค่อนข้างอ่อน และมีความต้องารที่
จะเรยี นรูม้ ากกว่า
- กลุ่มสติปัญญาสูง เป็นกลุ่มที่มีความต้องการของทั้งครูผู้สอน
และสังคมมากทสี่ ดุ เพราะกลมุ่ นจ้ี ะมีความก้าวหน้าในการเรียนรทู้ ง้ั ทางด้านวิชาการและวิชาชีพ กลุ่ม
12
นี้สามารถเรยี นรู้ไดด้ ้วยตนเอง สามารถตอ่ ยอดความรู้ท่ีเรียนรู้กับครูผู้สอนได้ด้วยตนเอง และต้องการ
ความอิสระในการเรียนรู้ ใชค้ วามคดิ รเิ ริ่ม คดิ สรา้ งสรรค์ จนิ ตนาการ ฉะน้นั จึงตอ้ งการโอกาสและการ
ใหค้ วามสะดวกในการเรียนรู้อยา่ งหลากหลายรูปแบบไมม่ ขี ีดจากัด กลุ่มนีม้ ีเป้าหมายการเรียนที่ทาให้
เกิดประโยชน์กับตนเองแล้วยังเพื่อผู้อื่นประเทศชาติตลอดจนสิ่งแวดล้อม ใช้องค์ความรู้เพื่อสร้าง
มูลคา่ เพ่มิ เปน็ ความหวังของทุกสังคม
2.2.5.2 หลกั การวางแผนและเตรียมจัดการเรียนรู้ ครผู ูส้ อนต้องมีความรู้
ความสามารถในการวางแผนการจัดการเรียนรู้และวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย ให้เหมาะสมกับกลุ่ม
ผู้เรียนแต่ละศักยภาพ ทั้งนี้กระบวนการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่เหมาะสมสอดคล้องต่อการ
เรียนรู้ของแตล่ ะกลุ่มผเู้ รยี น เปน็ ปัจจัยสาคญั ตอ่ การเลอื กวธิ ีการจดั การเรียนรูด้ ้วย
2.2.5.3 หลักการใช้จิตวิทยาการเรียนรู้ การจะจัดการเรียนรู้อย่างไรกับ
กลุ่มผู้เรียนใด ครูผู้สอนต้องมีพืน้ ฐานความรู้ทางดา้ นจิตวิทยาการเรียนรู้ จิตวิทยาพัฒนาการ ทฤษฎี
สมอง จติ วิทยาแนะแนวและการให้คาปรกึ ษา เพ่อื ประกอบการตดั สนิ้ ใจในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ตา่ งๆได้อยา่ งเหมาะสม
2.2.5.4 หลักการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การที่ครูผู้สอนจะเลือก
รูปแบบการวัดและประเมินผลการเรียนรู้รูปแบบใด ต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการวัดและ
ประเมนิ ผลว่ามวี ตั ถุประสงค์อยา่ งไร เชน่
-ต้องการวัดองค์ความรู้และทักษะปฏิบัตเิ บ้อื งตน้ ว่ามีเทา่ ใด ควรใช้
รปู แบบการวดั (Test)
-ต้องการรู้ว่าผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้มากน้อยแค่ไหนจากการเรียนรู้
ด้วยตนเอง ใชก้ ารประเมิน(Assessment) เทียบกบั เกณฑ์ทกี าหนด
-ต้องการทราบว่าผู้เรียนได้พัฒนาองค์ความรู้ใหม่ด้วยความคิด
ริเร่มิ สรา้ งสรรคจ์ นเกดิ ประโยชนด์ ้วยการประเมนิ แบบมสี ่วนรว่ มจากการยอมรับ ช่นื ชมและใหร้ างวัล
2.2.6 รปู แบบการจดั การเรยี นรู้
ในการจัดการเรียนรู้มีรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย ครูผู้สอนจะต้อง
เลือกรูปแบบการสอนที่เหมาะสมกับทั้งเนื้อหา และระดับชั่วงวัยของนักเรียน โดยโดย วิทยา พัฒน
เมธาดา(2560) ได้อธิบายถึงรูปแบบในการจัดการเรียนรู้ไว้อย่างน่าสนใจ โดยได้จัดรูปแบบในการ
จดั การเรียนร้ไู ว้ 3 รปู แบบตามวิธกี ารจดั การเรยี นร้ไู ดด้ ังน้ี
2.2.6.1 การถ่ายทอดความรู้ (Transmission Approach) เป็นการ
จัดการเรียนการสอนที่ใช้กันมานานเป้าหมายเพื่อสืบทอดความรู้ อารยะธรรม วัฒนธรรมประเพณี
ทกั ษะฝมี อื เพ่ือให้คงอยู่ตอ่ ไป ประกอบกับตอ้ งการกาลังคนในระบบอุตสาหกรรมจงึ เน้นความเก่ง คน
13
เก่ง การถ่ายทอดใชร้ ปู แบบวิธีสอน (Teaching) การฝึกฝน (train) การกล่อมเกลาให้เกิดศรทั ธาและ
เชื่อฟัง(Tame) ครูจะเป็นศูนย์กลางการจัดการเรยี นรู้ (Teacher Centered Development) สานัก
ไหน โรงเรียนไหน หรือครูคนไหนเก่ง นักเรียนจะหลั่งไหลไปเรียน เกิดการแข่งขันการเข้าเรียนใน
โรงเรียนดัง เป็นคา่ นยิ มของสังคมมานาน
2.2.6.2 การสร้างองค์ความรู้ (Trans formational Approach) หรือ
(Constructionist) เป็นการจัดการเรียนรูท้ ี่คาดหวังว่าจะยกระดับศักยภาพของประชาชนให้พึ่งพา
ตนเองได้หลังจากที่พึ่งพาผู้อื่นโดยเฉพาะเจ้าของกิจการ รัฐบาล ฯลฯ มานานจนเกิดปัญหาความ
เหลื่อมล้าและความยากจน การว่างงาน เกิดปัญหาสุขภาพ ฯลฯ โดยพยายามจะให้ผู้เรียนลดการ
เรียนรู้ที่ตอ้ งพงึ พาครู โรงเรียน หรือสถาบันไปสูก่ ารพึ่งพาตนเองในการแสวงหาความรู้ โดยเน้นการ
เรียนรู้ผ่าน สื่อ (Media) นวัตกรรม(Innovation)และเทคโนโลยี ( Technology)การเรียนรู้จะเน้น
การเรียนรู้ด้วยตัวผู้เรยี นเอง ภายใต้การอานวยความสะดวกของครูผ่านสื่อและนวัตกรรมแต่อานาจ
การจัดการยังเป็นอานาจของครแู ต่เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นมีบทบาทและส่วนรว่ มมากขึน้
2.2.6.3 การพัฒนาองค์ความรู้ใหม่สู่ปัญญาภิวฒั น์ด้วยการแลกเปลี่ยน
เรียนรู้ที่หลากหลาย (Transactional Approach) ผลการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
และดิจิตอลทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์และวิถีชีวิตในศตวรรษที่ 21 เป็นอย่างยิ่งและ
รวดเร็ว ศักยภาพของประชาชนต้องได้รับการพัฒนาทักษะและวถิ ีการดาเนนิ ชีวิตใหม่ ในสังคมแห่ง
ชีวะคุณธรรม (Bio-Ethic) การศกึ ษาถงึ เวลาต้องปรบั เปลี่ยน มมุ มอง วธิ คี ิด รูปแบบการให้การศึกษา
แนวใหม่ ท่เี ปิดโอกาสให้ผ้เู รยี นได้พัฒนาศกั ยภาพของตนส่ขู ดี จากดั ของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะผู้เรยี น
ทม่ี ีศกั ยภาพสูงเพ่ือเป็นทีพ่ ึ่งของสงั คมให้มีโอกาสเรียนรเู้ ต็มศักยภาพ โดยรปู แบบที่พัฒนาเน้นการใช้
นวตั กรรมและเทคโนโลยีสสู่ งั คม 4.0
2.3 แนวคิดเกี่ยวกบั การจัดการเรียนการสอนในสถาณการณ์การแพรร่ ะบาดของไวรัสโค
โรน่า(COVID – 19)
จากการแพรร่ ะบาดของเชอื้ ไวรัสโคโรน่า(COVID - 19)ซ่งึ ระบบการศกึ ษาของไทยเองก็ได้รับ
ผลกระทบในการจดั การเรียนการสอนทาใหก้ ระทรวงศึกษาธกิ ารได้ออกมาแกไ้ ขปญั หาดงั กล่าวเพื่อลด
การแพร่ระบาดของเช้าไวรัส และลดความเสี่ยงการติดเชื้อทั้งจากครู และเด็กนักเรียนด้วย ภูษิมา
ภิญโญสินวัฒน์(2563) ได้เสนอแนวทางในการจัดการเรยี นการสอนในสถาณการ์การแพร่ระบาดของ
เชอื้ ไวรสั โคโรนา่ ไวรสั (COVID - 19) ไว้อย่างนา่ สนใจทั้งสนิ้ 5 ประเดน็ ด้วยกนั โดยผ้วู ิจัยจะได้อธิบาย
ไว้ในเนือ้ หาตอ่ ไปน้ี
14
1. กระชับหลักสูตร ปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์โควิด-19 และส่ือสารให้
ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนทราบ โดย ภูษิมา ภิญโญสินวัฒน์ ได้อธิบายไว้ว่า “ตัวหลักสูตรมีการบรรจุ
เนอ้ื หาในการเรยี นการสอนที่ครูจะตอ้ งนาไปใชใ้ นการสอนนักเรียนแต่ละรับชน้ั นน้ั มจี านวนมาก ทาให้
เวลาเรียนของนักเรียนต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร และไม่เอื้อให้นักเรียนมีส่วนร่วม (Active
Learning) เท่าทค่ี วร และหากยังใช้หลกั สตู รเดิมในการเรยี นการสอนภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ครู
จะต้องใช้เวลาสอนมากขึ้นเพื่อสอนให้ครบถ้วน การปรับหลักสูตรให้กระชับควบคู่ไปกับจัดลาดับ
ความสาคัญ รวมทั้งผ่อนคลายตัวชี้วัดเรื่องโครงสร้างเวลาเรียนจะสามารถช่วยลดความกดดัน โดย
ยังคงคุณภาพขั้นต่าไว้ได้ ตัวอย่างของ มลรัฐ Alberta ประเทศแคนาดา ได้กระชับหลักสูตรโดยเน้น
เน้ือหาจาเปน็ ตามมาตรฐานของแต่ละชว่ งวยั เพือ่ ให้ครูสามารถนาไปวางแผนการสอนและใช้เวลาได้
อย่างเหมาะสม รวมทง้ั ออกค่มู ือหลักสูตรฉบับยอ่ สาหรับผู้ปกครอง เพื่อสือ่ สารให้เข้าใจถึงหลักสูตรที่
เปลย่ี นแปลงไปW
2. เพิ่มความยืดหยุ่นของโครงสร้างเวลาเรียนและความหลากหลายของรปู แบบ
การเรียนรู้ ความยืดหยุ่นในการใช้เวลาและการเลือกรปู แบบการเรียนจะทาให้ครูสามารถออกแบบ
หน่วยการเรียนรู้ที่เหมาะสมและส่งเสริมการเรียนรู้รายบุคคล (personalized learning) ได้ ดัง
ตัวอย่างของมลรัฐ Alberta ประเทศแคนาดา ซึ่งมีแนวทางสนับสนุนให้ครูจัดการเรียนรู้ด้วยแบบ
ผสมผสาน (blended learning) โดยแนะนาการกาหนดจานวนช่ัวโมงการเรียนร้รู ูปแบบต่างๆ ไดแ้ ก่
- ชว่ั โมงเรียนร้ผู ่านจอสาหรบั เดก็ แต่ละช่วงวัย โดยคานึงถึงพัฒนาการด้าน
ร่างกาย (ปัญหาดา้ นสายตา) และพัฒนาการด้านสังคม (ปฏสิ ัมพันธก์ ับผู้อืน่ )
- ชว่ั โมงการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองที่บ้านจากการทาใบงาน ช้นิ งาน ค้นคว้าด้วย
ตวั เอง และ
- ชวั่ โมงทีค่ รแู ละนักเรยี นทากิจกรรมเรียนรรู้ ่วมกนั
3. ออกแบบหนว่ ยการเรียนรู้ และสอนอย่างมีแผนที่เหมาะสม ในสถานการณ์ท่ี
เปล่ียนไป ครจู ะตอ้ งเตรียมความพรอ้ มกอ่ นการสอนแบบใหม่ วธิ ีการหนึง่ คอื การออกแบบหน่วยการ
เรียนรู้ ซึ่งจะนาไปสู่การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะหลังการระบาดของโควิดสิ้นสุดลง ทั้งนี้ควร
เริ่มต้นโดยการจดั กลุ่มตัวชี้วัดใหเ้ ป็นหน่วยการเรยี นรู้ ซึ่งจะทาให้แผนการเรียนรู้มีความยืดหยุ่นตาม
สถานการณ์การระบาด เช่น ครูสามารถออกแบบหน่วยการเรียนรู้หน่วยละ 2 สัปดาห์ เพื่อให้
สอดคลอ้ งกับระยะเวลาการประเมนิ สถานการณ์การระบาด ทง้ั น้ี หากครูสามารถออกแบบหน่วยการ
เรียนรแู้ ต่ละหนว่ ยใหร้ อ้ ยเรียงกนั อย่างเปน็ ระบบท้ังเทอมหรือท้ังปี กจ็ ะชว่ ยใหน้ กั เรียนสามารถพัฒนา
ตนเองตามศักยภาพได้ดีย่ิงขึ้น และได้พฒั นาทกั ษะการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ซ่ึงเป็นทกั ษะจาเป็นสาหรับ
การดารงชวี ิตในอนาคต
15
4. ยกระดับการประเมินเพื่อการพัฒนา (formative assessment) เพื่อไม่ให้
เด็กเสียโอกาสพัฒนาความรู้และทักษะ เมื่อนักเรยี นไปโรงเรยี นตามปกติไม่ได้ ครูกับนักเรียนกจ็ ะมี
ปฏิสัมพันธ์ต่อกันลดลง ทาให้ครูไม่สามารถติดตามพัฒนาการของนักเรียนได้เต็มที่ อาจทาให้ไม่
สามารถรู้ปัญหาของนกั เรียนได้ทนั เวลา โดยเฉพาะความรู้ด้านภาษาและการคานวณ ซง่ึ อาจจะส่งผล
เสียต่อการเรียนรู้ระยะยาว การประเมินเพื่อพัฒนาจึงไมส่ ามารถลดหรือละทิ้งไปได้ท้ังการประเมนิ
เพื่อการเรียนรู้ (assessment for learning) ของเด็ก เพื่อให้ครูทราบถึงกระบวนการเรยี นรู้ของเดก็
โดยจะสามารถให้ feedback กบั เด็กและปรับแผนการเรียนรู้ไดต้ รงตามสถานการณ์ และการประเมิน
ซึ่งทาให้เกิดการเรียนรู้ (assessment as learning) ของเด็ก โดยครูเปิดโอกาสให้เด็กย้อนคิดถึง
กระบวนการเรยี นของตนเอง กระบวนการน้จี ะทาใหเ้ ดก็ มคี วามรับผิดชอบและเป็นเจา้ ของการเรียนรู้
ของตนเองมากขึ้น รวมถึงเมื่อเด็กเข้าใจตนเองก็จะเป็นโอกาสที่จะวางแผนการเรียนรู้ของตนเอง
รว่ มกับผู้ปกครองและครไู ด้
การประเมินเพื่อพัฒนาทั้ง 2 ลักษณะจึงต้องอาศัยการทางานร่วมกันระหว่างเด็ก
ผู้ปกครองและครูมากขึ้น วิธีหนึ่งที่ทาได้คือ การประเมินเพื่อพัฒนาอย่างไม่เป็นทางการรายบุคคล
(personalized check-ins) เพื่อติดตามการเรียนรู้ สุขภาพกายและสุขภาพจิตของนักเรียน โดยให้
ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ในกรณีของเด็กโต อาจจะเพิ่มการประเมินตนเองและการประเมนิ
เพื่อน (self & peer assessment) เข้าไปด้วย ซึ่งจะมีประโยชน์ในการช่วยฝึกทักษะการสะท้อนคดิ
ใหเ้ ดก็ ได้อีกทางหน่ึงดว้ ย
การประเมินเพือ่ พัฒนาจะประสบความสาเร็จกต็ ่อเมื่อมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
คอื (1) มีการเสริมศกั ยภาพครูในการใช้และออกแบบเครือ่ งมือประเมนิ (2) มีการใหเ้ อกชน และภาค
ประชาสังคม ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการประเมนิ เข้ามารว่ มพฒั นาเครื่องมือการประเมนิ ใหม่ๆ และ
(3) มกี ารเปิดเวที (platform) การแลกเปลยี่ นเรียนรู้ระหว่างครูกบั ผูเ้ ชย่ี วชาญ
5. การประเมินเพื่อรับผิดรับชอบ (assessment for accountability) ยังคง
ควรไว้ แต่ควรใหน้ ้าหนกั การประเมนิ โอกาสทางการเรียนของเดก็ มากกวา่ การวัดความรู้ด้วยคะแนน
สอบ สถานการณ์โรคระบาดในปัจจุบันทาให้ต้องใช้รูปแบบการเรยี นการสอนที่หลากหลาย ดังนน้ั
คณุ ภาพการศกึ ษาท่เี ดก็ จะไดร้ บั ในแต่ละพ้นื ที่จะไม่เหมือนกัน จึงไม่สามารถใช้คะแนนวัดความรู้หรือ
ทักษะแบบเดียวกันเพื่อให้เกิดความรับผิดรับชอบได้ มิฉะนั้นก็อาจสง่ ผลให้เกิดความเหลื่อมล้ามาก
ขึ้น กระทรวงศึกษาธิการจึงควรปรับเกณฑ์ข้อสอบวัดความรู้ (test-based) มาสู่การให้น้าหนักกับ
ตัวชี้วัดที่ไม่ใช่ด้านวิชาการ (non-academic measure) มากขึ้น เช่น อัตราการเข้าเรียน
(attendance rate) หรอื อตั ราการออกกลางคัน (drop-out rate) เป็นต้น โดยการเก็บข้อมูลตวั ชี้วัด
เหล่าน้ที สี่ ามารถใชเ้ ทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อลดภาระครู เชน่ ใช้ระบบ Google Classroom บันทึก
16
การใช้งาน ซึ่งจะช่วยทาให้เขตพื้นที่สามารถติดตามและให้การสนับสนุนโรงเรียนได้ตรงกับความ
ต้องการมากขน้ึ ด้วย
นอกจากนี้ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(2564) ได้กาหนดแนวทางในการ
จัดการเรียนการสอนให้กับโรงเรียนภายใต้สังกัด สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธิการนาไปปฏิบัติ โดยได้กาหนดแนวทางในการจัดการเรียนการสอนในช่วง
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID - 19) โดยแบ่งโรงเรียนในสักัดอกอ
เปน็ สามจังหวดั ที่ต้ัง ตามมติของศนู ยบ์ รหิ ารสถานการณแ์ พร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรสั โคโรน่า 2019
(ศบค.) โดยโรงเรียนสีแดงเข้มต้องจัดการเรียนการสอนเพียง 4 รูปแบบ ได้แก่ On – Air, On –
Demand, on – line, และ On – hand อยา่ งเด็ดขาด ซ่ึงในรูปแบบ On – Hand จะต้องสง่ ผา่ นทาง
ไปรษณยี เ์ ท่านนั้ ไม่อนญุ าตใหน้ กั เรียนมารับใบงานที่โรงเรยี นโดยเดด็ ขาด และในโรงเรยี นสีแดง และ
สีส้ม สามารถเลือกจัดการเรียนการสอนใน 5 รูปแบบ ซึ่งได้แก่ On – Site, On – Air, On –
Demand, on – line, และ On – hand โดยเลือกตามความเหมาะสม และสามารถเลือกจัดการเรยี น
การสอนผสมผสานรูปแบบกันได้ หากต้องการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ On – Site โรงเรียน
จะต้องทาการประเมนิ ให้ผ่านเง่ือนไขการอนุญาตดาเนนิ งานฯ โดยโรงเรียนต้องประเมินความพร้อม
ผ่านระบบ Thai Stop Covid Pius (TSC+) ใน 6 มติ ิ จานวน 44 ข้อ และจะต้องขอความเห็นชอบต่อ
คณะกรรมการโรคติดตอ่ จังหวัดเพอ่ื ขอใช้พ้ืนทขี่ องโรงเรียนสาหรับจัดการเรียนการสอน
และสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้อธิบายรูปแบบบการจัดการเรียนการ
สอนท้ัง 5 รูปแบบเพิ่มเติมดงั นี้
รูปแบบที่ 1 On – site : การจดั การเรียการสอนแบบปกติที่โรงเรยี น หมายถงึ การจัดการ
เรยี นการสอนแบบปกติทโี่ รงเรียน โดยโรงเรยี นตอ้ งปฏิบัติตามาตรการที่ศนู ย์บรหิ ารสถานการณ์แพร่
ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) หรือตามที่กระทรวงสาธารณสุขกาหนด อย่าง
เครง่ ครดั และมเี งือ่ นไขข้อใดขอ้ หนง่ึ
- นกั เรยี นไม่มีอุปกรณ์สาหรับการเรยี นการสอนทางไกล หรือมอี ปุ กรณไ์ ม่เพยี งพอ
- นักเรียนไม่มีผูป้ กครองดแู ลในขณะเรยี นทางไกลอยทู่ ี่บ้าน
- นกั เรียนที่ไมม่ ีอปุ กรณ์สาหรับเรยี นทางไกลตามข้อที่ 1 และไม่มีผู้ปกครองดูแล
ข้อที่ 2
- โรงเรียนอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโณนา 2019
(COVID - 19)
- โรงเรยี นขนาดเล็ก หรอื โรงเรียนขนาดกลาง ทีส่ ามารถจัดการเรียนการสอนตาม
มาตรการเวน้ ระยะหา่ งทาสังคม (Social Distancing) ท่ีศูนย์บรหิ ารสถานการณ์
แพร่ระบาดของโรคตดิ เชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) หรอื กระทรวงสาธารณสุข
17
หรือศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
จงั หวดั กาหนดอย่างเครง่ ครัด
รูปแบบที่ 2 On – Air : การจัดการเรียนการสอนผ่านระบบโทรทัศน์เรียนด้วยตนเอง
กากับด้วยเวลาที่เผยแพร่ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนผ่านระบบโทรทัศน์ ใช้สัญญาณ
ดาวเทียม KU – Band (จานทึบ) ระบบเคเบิ้ลทีวี (Cable TV) ระบบ Application TV และระบบ
IPTV ซึ่งเป็นช่องทางในการเผยแพรก่ ารเรียนรู้ DLTV ของมูลนธิ กิ ารศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ใน
พระบรมราชปู ถัมภ์ ในระดบั อนบุ าลถึงชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3
รูปแบบที่ 3 On – Demand : การจัดการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง
การจัดการเรียนการสอนสาหรับนักเรียนที่สามารถเรียนรู้ผ่านเว็บไซต์ DLTV (ww.dltv.ac.th),
Youtube (DLTV 1 Channel – DLTY 12 Channels), Application DLTV, DLIT(www.dlit.ac.th),
ติวฟรี.com, Application DLIT, OBEC Content Center บนเว็ปไซต์ / Smart Phone / Tablet
หรือระบบทโี่ รงเรยี นจดั ขน้ึ
รูปแบบที่ 4 On – Line : การจัดการเรียนการสอนแบบถ่ายทอดสดเรียนกับครู
ถ่ายทอดสด นักเรียนสามารถถาม - ตอนได้ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนผ่านเครือข่าย
อินเทอรเ์ น็ต ในลกั ษณะการส่ือสารทองทาง ซ่งึ เปน็ การจดั กจิ กรรมการเรยี นร้แู บบถา่ ยทอดสด (LIVE)
ระหวา่ งครูและนกั เรยี น ทั้งนี้ นกั เรียนจะตอ้ งมีความพร้อมดา้ นอปุ กรณ์และเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ต โดย
ใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น Google Meet, Microsoft Teams, Zoom Meeting, Zoom Meeting,
AcuLearn, WebEx, Braincloud, Vroom, Line, Facebook เป็นตน้
รูปแบบที่ 5 On – Hand : การจัดการเรียนการสอนด้วยการนาส่งเอกสารที่บ้าน เรียน
และทาด้วยตนเอง มีผู้ปกครองช่วยดูแล หมายถึง การจัดการเรียนการสอนสาหรับนักเรียนที่ไม่มี
ความพร้อมด้านอุปกรณ์สาหรับการเรียนการสอนทางไกลในรูปแบบอื่น ๆ โดยนาหนังสือเรียน
แบบฝึกหัด ใบงา และสื่อการเรียนการสอนอื่น ๆ ไปให้นักเรียนได้เรียนรู้ที่บ้าน ภายใต้ความดู แล
ช่วยเหลือของผปู้ กครองในขณะทเี่ รยี น
นอกจากนี้สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้กาหนดช่องทางอื่น ๆ เพิ่มเติม
โดยบูรณาการกับหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการ ได้แก่ สานักงานการศึกษานอกระบบและ
การศึกษาตามอัธยาศัย ในเรื่องวทิ ยเุ พือ่ การศึกษา คลื่น 92 MHz การเรียนรู้ผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์
เพื่อการศึกษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (ETV) ชอ่ ง Youtube รายวิชาบังคบั และสดุ ยอด 108 อาชีพ ใน
ส่วนของสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนได้นาครูวิทยากรมืออาชีพ จัดทาบทเรียน
ออนไลน์ โดยใชช้ ่องทาง OBEC Channel
โดยสรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนในสถาณการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า
(COVID – 19) เป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ลดการจัดกิจกรรมที่ลดการใกล้ชิดระหว่าง
18
ครูผู้สอน และนักเรียน ซึ่งเป็นมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
(COVID – 19)โดยมีมาตาราการในการจัดการเรียนการสอนทั้งสิ้น 5 รูปแบบ ซึ่งได้แก่ On – Site,
On – Air, On – Demand, on – line, และ On – hand โดยเลอื กตามความเหมาะสม และสามารถ
เลือกจดั การเรียนการสอนผสมผสานรปู แบบกนั ได้
ซง่ึ จากแนวทางท่ีคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ ารทไี่ ด้กาหนดมานั้น
เป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่หลายโรงเรยี นนาไปปฏบิ ัติตาม เช่นเดียวกันกบั โรงเรียนบ้าน
หนองหินทีไ่ ด้ทาเอานโยบาย แนวทางในการจัดการเรียนการสอที่ได้กาหนดมาจดั การเรยี นการสอน
โดยใชว้ ิธีการเรยี นการสอนแบบ On – Hand เป็นหลัก และใชว้ ิธีการจัดการเรียนการสอนแบบ On –
site ตามสถานการณท์ เี่ หมาะสม
2.4 แนวคดิ เกยี่ วกับการจัดการเรียนการสอนแบบการจัดการเรียนการสอนด้วยการนาส่ง
เอกสารทบี่ ้าน (On Hand)
ในประเดน็ นีผ้ ู้วจิ ยั จจะไดก้ ลา่ วถึงรายละเอียดเก่ียวกับแนวคิดทฤษฎีเกีย่ วกับการจัดการเรียน
การสอนแบบการจัดการเรยี นการสอนดว้ ยการนาส่งเอกสารที่บ้าน (On Hand) ซง่ึ จะได้กล่าวถึงคาม
หมายในการจัดการเรียนการสอนแบบการจัดการเรียนการสอนด้วยการนาส่งเอกสารที่บ้าน (On
Hand) ว่าเป็นอย่างไร มีความสาคัญอย่างไร และจะได้กล่าวเพิ่มเติมถึงปัญหาและแนวทางในการ
แกไ้ ขปญั หา โดยมรี ายะเอียดทจี่ ะกลา่ วตอ่ ไปนี้
2.4.1 ความหมายของการจัดการเรียนการสอนแบบการจัดการเรียนการสอน
ด้วยการนาสง่ เอกสารที่บา้ น (On Hand)
การจัดการเรียนการสอนในรูปแบบของการจัดการเรียนการสอนด้วยการนาส่ง
เอกสารที่บ้านเป็นหนึ่งในห้ารูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กาหนดขึ้นมาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชอื้
ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19)ในปจั จบุ นั
โดยสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(2564)ได้อธิบายรูปแบบการ
จัดการเรียนการสอนแบบการจัดการเรียนการสอนด้วยการนาส่งเอกสารที่บ้านไว้ว่า เป็นการจัดการ
เรยี นการสอนโดยการนาเอาหนงั สือ เอกสารประกอบการเรียนการสอน แบบฝึกหกั ใบงาน ใบความรู้
หรือเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหสาสาระในการเรียนการสอนในรายวิชานั้น ๆ ให้นักเรียน
กลับไปเรียนรู้ที่บ้านและทาแบบฝึกหัดหรือภาระงานตามที่ครูได้กาหนดไว้ให้ เพื่อเป็นการวัดผล
นักเรียนว่าสามารถผ่านเรื่องหรือเนื้อหาสาระทีเ่ รียนหรือไม่ โดยนักเรียนจะต้องทาและเรียนภายใต้
การดูแลของผู้ปกครอง ซึ่งวิธีการเรยี นในรูปแบบน้ี สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐานได้
19
อธิบายเพ่ิมเติมวา่ เหมาะกบั นักเรยี นท่ีไมม่ ีความพรอ้ มด้านอปุ กรณ์สาหรับการเรียนการสอนทางไกล
ในรูปแบบอื่น หรือมีอุปกรณ์ไม่เพียงพอสืบเนื่องมาจากในบ้านหนังนั้นอาจจะมีประชากรที่เป็น
นักเรียนมากกวา่ 1 คน และไม่สามารถจดั หาอุปกรณใ์ นการเรยี นทางไกลได้เพียงพอ
2.4.2 ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนแบบการจัดการเรียนการสอนด้วยการ
นาส่งเอกสารท่ีบา้ น (On Hand)
คณะกรรมการการศึกษาขัน้ พื้นฐาน(2564)ไมไ่ ด้กาหนดขัน้ ตอนการจดั การเรียนการ
สอนทั้ง 5 รูปแบบไว้ชัดเจนแต่ได้กาหนดบทบาท และภาระงานสาหรับครูไว้ในแต่ละรูปแบบการ
จัดการเรียนการสอน โดยในรายะละเอียดในส่วนนี้จะกล่าวถึงแค่การจัดการเรียนการสอนแบบการ
จัดการเรียนการสอนด้วยการนาส่งเอกสารที่บ้าน (On Hand) โดยมีรายละเอียดบทบาท และภาระ
งานสาหรบั ครูไวด้ ังนี้
2.4.2.1 การรบั - สง่ แฟ้มเอกสาร โดยครูจะตอ้ งสื่อสารกบั ผู้ปกครองและ
นกั เรยี น ในเรื่องวนั เวลา และสถานที่ ในการรบั - ส่ง แฟม้ เอกสารอย่างชัดเจน ในกรณีท่ีไม่สามารถ
รับ – ส่งเอกสารได้ตามที่นัดหมาย ครูอาจจะใช้ระบบขนส่งทางไปรษณีย์ หรือระบบขนส่งเอกชนใน
การอานวยความสะดวก โดยโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กาหนดให้รับ – ส่งเอกสารผ่านทางระบบขนส่งทางไปรษณีย์ หรือระบบขนส่งเอกชนเท่านั้น เพื่อลด
การสมั ผสั เช้ือและการแพรเ่ ช้อื
2.4.2.2 การใหค้ าปรกึ ษา ครูสามารถอธบิ ายข้นั ตอนการศึกษาเนื้อหาด้วย
การพูดคุยและการเขียนอธิบายให้กับนักเรยี นหรือผูป้ กครองไปพร้อมกับแฟม้ เอกสารได้
2.4.2.3 การติดตามครูประสานงาน ติดตามการทาใบงานผ่านทาง
ผปู้ กครองงด้วยระบบการส่ือสารผา่ นทางรูปแบบใดกไ็ ด้ แต่ต้องไมเ่ ปน็ รปู แบบท่ีจะเพ่ิมความเสี่ยงใน
การแพร่เช้อื
2.4.2.4 การประเมินผล ให้ครูและผู้ปกครองร่วมกันประเมนิ ผลการเรียน
ของนักเรียนร่วมกัน โดยให้สร้างเครื่องมือในการประเมินผลขึ้นมาตามบริบทของนักเรียนเป็น
รายบคุ คล
2.4.2.5 การแก้ไขปัญหา ให้ครูและผู้ปกครองร่วมกนั แกไ้ ขปัญหาด้วยกนั
ถ้าหากพบปัญหาในการจัดการเรียนการสอน
จากเนื้อหาทกี่ ลา่ วมา สรุปได้วา่ รูปแบบในการจดั การเรยี นการสอนแบบการจัดการเรียนการ
สอนด้วยการนาส่งเอกสารที่บ้าน (On Hand) เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่ให้ครูเป็นผู้เตรียม
เอกสารตา่ ง ๆ ทเ่ี ก่ียวข้องกับเน้อื หา และนาส่งเอกสารเหล่าน้นั ให้กับนกั เรยี น ซ่ึงครูเป็นผู้กาหนดวัน
เวลา สถานที่ ในการรับ – ส่งเอกสาร โดยนักเรียนจะทาการเรียนการสอนและการศกึ ษาเนือ้ หาตาม
20
เอกสารใบงานที่ครูกาหนดให้ภายใต้การดูแลของผู้ปกครอง ในการติดตามผลครูจะต้องติดต่อ
ประสานงานร่วมกบั ผู้ปกครอง ทั้งนี้ยงั ร่วมกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและการวัดผลประเมินผล
นักเรียนให้ครูร่วมกับผู้ปกครองประเมินผลร่วมกันโดยสร้างเครื่องมือในการประเมินผลขึ้นมาตาม
บริบทของนักเรยี นแตล่ ะคน
2.5 แนวคิดเกีย่ วกบั แนวคดิ เกีย่ วกบั กระบวนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะ
(5E)
2.5.1 ความหมาย
การสอนแบบสบื เสาะหาความรูเ้ ปน็ รปู แบบการจดั การเรยี นรู้ท่เี น้นทักษะการคดิ อย่างมีระบบ
โดยคานึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ซึ่งต้องมีหลักฐานสนับสนุน วิธีนี้เป็นวิธีที่นักเรียน
พิจารณาเหตุผลสามารถใช้คาถามทีถ่ ูกต้องและคล่องแคล่วสามารถสร้างและทดสอบสมมตฐิ านดว้ ย
การทดลองและตคี วามจากการทดลองดว้ ยตนเองโดยไมข่ น้ึ อยกู่ ับคาอธิบายของครูเปน็ วธิ กี ารท่ีช่วยให้
นักเรียนมรี ะบบวิธกี ารแกป้ ัญหาในทางวิทยาศาสตรด์ ้วยตนเอง เป็นการจดั การเรียนรู้ท่เี นน้ ผู้เรยี นเป็น
ศูนย์กลาง สร้างมโนทัศน์ด้วยตนเอง และเป็นการพัฒนาความสามารถด้านต่างๆ ของนักเรียน เช่น
ความสามารถทางวธิ กี าร ทกั ษะทางสงั คม ความคิดสร้างสรรค์ ซงึ่ ตอ้ งใหอ้ ิสระและให้ผู้เรียนมีโอกาส
คดิ และเปน็ การเรียนท่เี นน้ การทดลอง เพื่อใหผ้ ู้เรยี น คน้ พบดว้ ยตนเอง(สกนธ์ชัย ชะนนู ันท์,ม.ป.ป)
2.5.2 ขน้ั ตอน
1) การสร้างความสนใจ (Engage) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนแรกของ
กระบวนการเรียนรทู้ จี่ ะนาเข้าส่บู ทเรียน จุดประสงคท์ สี่ าคญั ของขัน้ ตอนน้ี คือ ทาให้ผเู้ รยี นสนใจ ใคร่
รู้ในกจิ กรรมท่จี ะนาเข้าสบู่ ทเรียน ควรจะเชื่อมโยงประสบการณก์ ารเรยี นรเู้ ดิมกับปัจจุบนั และควรเป็น
กิจกรรมทค่ี าดวา่ กาลงั จะเกดิ ขึ้น ซง่ึ ทาใหผ้ ้เู รยี นสนใจจดจ่อที่จะศกึ ษาความคิดรวบยอด กระบวนการ
หรอื ทักษะและเริม่ คดิ เชื่อมโยงความคดิ รวบยอด กระบวนการ หรือทกั ษะกับประสบการณเ์ ดิม
2) การสารวจและค้นหา (Explore) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ทาให้ผู้เรียนมี
ประสบการณ์รว่ มกันในการสร้างและพฒั นาความคิดรวบยอดกระบวนการและทักษะโดยการให้เวลา
และโอกาสแก่ผู้เรียนในการทากิจกรรมการสารวจและค้นหาสิ่งที่ผู้เรียนต้องการเรียนรู้ตามความ
คิดเห็นผู้เรียนแต่ละคน หลังจากนั้นผู้เรียนแต่ละคนได้อภปิ รายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกีย่ วกับการ
คิดรวบยอด กระบวนการ และทักษะในระหว่างที่ผู้เรียนทากิจกรรมสารวจและค้นหา เป็นโอกาสที่
ผเู้ รียนจะได้ตรวจสอบหรอื เก็บรวบรวมขอ้ มูลเกี่ยวกับความคิดรวบยอดของผู้เรยี นท่ียังไม่ถูกต้องและ
ยงั ไม่สมบูรณ์โดยการให้ผู้เรียนอธบิ ายและยกตัวอยา่ งเกยี่ วกับความคดิ เห็นของผู้เรียน ครูควรระลึกอยู่
เสมอเกี่ยวกับความสามารถของผู้เรียนตามประเด็นปัญหาผลจากการที่ผู้เรียนมีใจจดจ่อในการทา
21
กิจกรรม ผ้เู รยี นควรจะสามารถเชอื่ มโยงการสงั เกต การจาแนกตวั แปร และคาถามเกีย่ วกับเหตุการณ์
นน้ั ได้
3) การอธิบาย (Explain) ขั้นตอนนเ้ี ป็นขน้ั ตอนท่ีให้ผู้เรียนได้พัฒนาความ
สามารถในการอธิบายความคิดรวบยอดที่ได้จากการสารวจและค้นหา ครูควรให้โอกาสแก่ผู้เรียนได้
อภิปรายแลกเปล่ียนความคดิ เหน็ กันเก่ยี วกับทักษะหรือพฤตกิ รรมการเรียนรู้ การอธิบายนั้นต้องการ
ใหผ้ เู้ รียนได้ใช้ขอ้ สรุปรว่ มกันในการเชื่อมโยงสง่ิ ทเี่ รียนรู้ ในช่วงเวลาท่ีเหมาะสมนี้ครูควรชี้แนะผู้เรียน
เกยี่ วกับการสรุปและการอธิบายรายละเอยี ด แต่อยา่ งไรก็ตามครูควรระลึกอยเู่ สมอว่ากิจกรรมเหล่านี้
ยังคงเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง นั่นคือ ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถในการอธบิ ายด้วยตัวผู้เรยี นเอง
บทบาทของครูเพียงแต่ชี้แนะผ่านทางกิจกรรม เพอ่ื ใหผ้ ้เู รียนมโี อกาสอย่างเต็มที่ในการพัฒนาความรู้
ความเข้าใจในความคิดรวบยอดให้ชัดเจน ในที่สุดผู้เรียนควรจะสามารถอธิบายความคิดรวบยอดได้
อย่างเขา้ ใจ โดยเชื่อมโยงประสบการณ์ ความร้เู ดมิ และส่ิงที่เรียนร้เู ข้าดว้ ยกัน
4) การขยายความรู้ (Elaborate) ขนั้ ตอนน้ีเป็นขนั้ ตอนทใ่ี ห้ผู้เรยี นไดย้ นื ยัน
และขยายหรือเพ่ิมเตมิ ความรคู้ วามเข้าใจในความคิดรวบยอดใหก้ ว้างขวางและลึกซ้งึ ยิ่งขน้ึ และยังเปิด
โอกาสให้ผเู้ รยี นได้ฝกึ ทักษะและปฏิบัติตามทผี่ ู้เรียนตอ้ งการในกรณีที่ผเู้ รียนไม่เข้าใจหรือยังสับสนอยู่
หรืออาจจะเข้าใจเฉพาะข้อสรุปทีไ่ ด้จากการปฏบิ ัติการสารวจและค้นหาเทา่ นั้นควรใหป้ ระสบการณ์
ใหม่ผู้เรยี นจะไดพ้ ัฒนาความร้คู วามเข้าใจในความคิดรวบยอดให้กว้างขวางและลกึ ซงึ้ ยิ่งขนึ้ เป้าหมาย
ท่ีสาคญั ของขนั้ น้ี คอื ครูควรช้แี นะให้ผเู้ รียนไดน้ าไปประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ ประจาวัน จะทาให้ผู้เรียนเกิด
ความคิดรวบยอด กระบวนการ และทกั ษะเพิม่ ข้นึ
5) การประเมินผล (Evaluate) ขั้นตอนนี้ผู้เรียนจะได้รับข้อมูลย้อนกลับ
เกี่ยวกับการอธบิ ายความรู้ความเข้าใจของตนเอง ระหว่างการเรียนการสอนในขั้นนี้ของรูปแบบการ
สอน ครูต้องกระตุ้นหรือส่งเสริมให้ผู้เรียนประเมินความรู้ความเข้าใจและความสามารถของตนเอง
และยงั เปดิ โอกาสให้ครไู ด้ประเมินความรคู้ วามเข้าใจและพัฒนาทักษะของผู้เรยี นด้วย
2.5.3 บทบาทของผู้สอน
1.การสร้างความสนใจ (Engage)ครูผู้สอนต้องสร้างความสนใจสร้างความ
อยากรู้อยากเห็นต้ังคาถามกระตุ้นให้นักเรียนคิด ดึงเอาคาตอบทีย่ ังไม่ครอบคลุมสิง่ ที่นักเรียนรู้ หรือ
ความคิดเกย่ี ว กับความคิดรวบยอด หรอื เนื้อหาสาระ
2.การสารวจและค้นหา (Explore)ครูผู้สอนจะต้องส่งเสริมให้นักเรียน
ทางานรว่ มกนั ในการสารวจตรวจสอบสงั เกตและฟงั การโต้ตอบกนั ระหวา่ งนกั เรียนกับนักเรียนซักถาม
เพอ่ื นาไปสู่การสารวจตรวจสอบของนักเรยี นให้เวลานักเรียนในการคิดข้อสงสัยตลอดจนปัญหาต่างๆ
ทาหน้าที่ใหค้ าปรึกษาแกน่ ักเรยี น
22
3.การอธบิ าย (Explain)ครูผู้สอนจะต้องสง่ เสริมใหน้ กั เรียนอธิบายความคิด
รวบยอดหรือแนวคิด หรือให้คาจากัดความด้วยคาพูดของนักเรียนเองให้นักเรียนแสดงหลักฐาน ให้
เหตุผลและอธิบายให้กระจ่าง ให้นักเรียนอธบิ าย ให้คาจากัดความและชี้บอกส่วนประกอบตา่ งๆ ใน
แผนภาพ ให้นักเรียนใช้ประสบการณ์เดิมของตนเป็นพื้นฐานในการอธิบายความคิดรวบยอดหรือ
แนวคิด
4. การขยายความรู้ (Elaborate)ครูผู้สอนจะต้องคาดหวังใหน้ ักเรียนได้ใช้
ประโยชน์จากการชี้บอกส่วนประกอบตา่ งๆ ในแผนภาพคาจากัดความและการอธิบายส่ิงที่ได้เรยี นรู้
มาแล้วส่งเสริมให้นักเรียนนาสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้หรือขยายความรู้และทักษะใน
สถานการณ์ใหม่ให้นักเรียนอธิบายอย่างหลาก หลายให้นักเรียนอ้างอิงข้อมูลที่มีอยู่พร้อมทั้งแสดง
หลักฐานและถามคาถามนักเรียนว่าได้เรียนรู้อะไรบ้าง หรือได้แนวคิดอะไร (ที่จะนากลวิธีจากการ
สารวจตรวจสอบคร้ังนี้ไปประยกุ ตใ์ ช้)
5. การประเมินผล (Evaluate) ครูผู้สอนจะต้องสังเกตนักเรียนในการนา
ความ คดิ รวบยอดและทักษะใหมไ่ ปประยกุ ต์ใช้ ประเมินความร้แู ละทักษะของนักเรยี น หาหลักฐานท่ี
แสดงว่านักเรียนได้เปล่ียนความคิด หรอื พฤติกรรมให้นักเรยี นประเมนิ ตนเองเก่ยี ว กับการเรียนรู้และ
ทักษะกระบวน การกลุ่มถามคาถามปลายเปิด เช่น ทาไมนักเรียนจึงคิดเช่นนั้น มีหลักฐานอะไร
นักเรียนเรียนรู้อะไรเกยี่ ว กบั สง่ิ นั้น และจะอธบิ ายสิ่งน้ันอยา่ งไร
2.5.4 บทบาทของผู้เรียน
1.การสร้างความสนใจ (Engage)นกั เรียนจะต้องถามคาถาม เชน่ ทาไมสิ่ง
นี้จึงเกดิ ขึน้ ฉันได้เรยี นรอู้ ะไรบ้างเกีย่ ว กับสงิ่ นแี้ สดงความสนใจ
2.การสารวจและค้นหา (Explore)นักเรียนจะได้คิดอย่างอิสระแต่อยู่ใน
ขอบเขตของกิจกรรมดาเนินการทดสอบการคาดคะเนและสมมตฐิ านคาดคะเนและตั้งสมมติฐานใหม่
พยายามหาทางเลือกในการแก้ปญั หาและอภิปรายทางเลอื กเหลา่ นน้ั กับคนอืน่ บนั ทกึ การสังเกตและ
ให้ข้อคิดเห็น ลงขอ้ สรปุ
3.การอธบิ าย (Explain)นักเรยี นจะต้องอธิบายการแกป้ ญั หาหรอื คาตอบท่ี
ซับซ้อน ฟังคาอธิบายของคนอื่นอย่างคิดวิเคราะห์ถามคาถามเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นได้อธิบาย ฟังและ
พยายามทาความเข้าใจเก่ียวกับสิ่งท่ีครอู ธิบายอา้ งอิงกิจกรรมทีไ่ ด้ปฏิบัติมาแล้วใช้ข้อมูลท่ีได้จากการ
บนั ทกึ /สงั เกตในการอธิบาย
4. การขยายความรู้ (Elaborate)นักเรียนจะต้องนาข้อแนะนาต่างๆ คา
จากัดความ คาอธิบายและทักษะไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นสถานการณ์ใหม่ท่ีคล้ายกับสถานการณเ์ ดิม ใชข้ ้อมูล
เดิมในการถามคาถาม กาหนดจุดประสงค์ในการแก้ปัญหา ตัดสินใจและออกแบบการทดลองลง
23
ข้อสรปุ อย่างสมเหตุสมผลจากหลักฐานท่ีปรากฏบนั ทึกการสงั เกตและอธิบาย ตรวจสอบความเข้าใจ
กบั เพ่อื น ๆ
5. การประเมินผล (Evaluate)นักเรียนจะต้องตอบคาถามปลายเปิดโดย
ใชก้ ารสงั เกตหลกั ฐานและคาอธบิ ายท่ียอมรับมาแล้วแสดงออกถงึ ความร้คู วามเข้าใจเกีย่ วกับความคิด
รวบยอดหรือทักษะประเมินความก้าวหนา้ ด้วยตนเองถามคาถามเพ่อื ให้มกี ารตรวจสอบต่อไป
2.6 งานวจิ ัยทเี่ กย่ี วขอ้ ง
พัชรียา ประจง และคณะ(2563) ไดท้ าการศึกษาเรื่อง ผลการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้โดย
ใชผ้ ังกราฟกิ ประกอบท่มี ตี อ่ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี
6 มวี ตั ถุประสงคเ์ พอ่ื 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาวทิ ยาศาสตร์ก่อนเรียนกับหลังเรียน
ของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 ที่ได้รับการสอนแบบสืบเสาะหาความรูโ้ ดยใช้ผังกราฟิกประกอบ
และ 2) เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตรห์ ลงั เรยี นของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปี
ที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม พบว่า (1)นักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้โดยใช้ผังกราฟิกประกอบหลัง
เรียนสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถิติทร่ี ะดับ .05 (2)นักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6 ท่ีได้รับ
การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้โดยใช้ผังกราฟิกประกอบ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
วทิ ยาศาสตรห์ ลังเรยี นผ่านเกณฑร์ อ้ ยละ 70 ของคะแนนเต็ม (อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิ .05 ค่าตาราง
T)
วนิดา พูลพันธ์ชู (2561) ได้ทาการศึกษาเรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้
ร่วมกับเทคนิคการสอนอุปมาอุปไมย เรื่อง การสลายสารอาหารระดับเซลล์ ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 4 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่อง การสลายสารอาหาร
ระดับเซลล์ ของนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับ
เทคนิคการสอนอุปมาอุปไมย 2) ศึกษาบริบทการจัดการเรียนรู้ที่ช่วยพัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์
เรื่อง การสลายสารอาหารระดับเซลล์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่า ผลการวิจัย พบว่า
การพฒั นาแนวคิดวิทยาศาสตร์ เร่ือง การสลายสารอาหารระดบั เซลล์ของนักเรียน ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี
4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการสอนอุปมาอุปไมย พบว่า ก่อน
ได้รับการจัดการเรียนรู้นักเรียนส่วนใหญ่ไม่มีแนวคิดและแนวคิดคลาดเคลื่อน ร้อยละ 94.36 แต่
หลังจากได้รับการจัดการเรียนรู้ พบว่า มีจานวนนักเรียนร้อยละ 84.36 ที่มีการพัฒนาแนวคิดทาง
วทิ ยาศาสตร์ และ การศึกษาบริบทการจัดการเรยี นรู้ท่ีชว่ ยพัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์ พบว่า การจัด
กิจกรรมที่นักเรียนไดล้ งมือปฏิบัติดว้ ยตัวเอง การได้ฝกึ คิดอุปมาอุปไมยที่เก่ียวข้องกับชวี ติ ประจาวนั
24
และการทางานเป็นกลุ่ม เป็นบริบทการจัดการเรียนรู้ที่ช่วยพัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์ที่นักเรียน
กล่าวถึงมากทสี่ ดุ
ศิริชัยชาญ ณ สงขลา (2560)ได้ทาการศึกษาเรื่อง ผลของการใช้เทคนิคการเรียนการสอน
แบบสบื เสาะหาความรู้ บูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศ รายวิชาการออกแบบระบบคอมพวิ เตอร์เพ่ือ
การศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาผลของการใช้เทคนิคการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหา
ความรู้บูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศ รายวิชาการออกแบบระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา
สาหรบั นกั ศึกษาระดบั ปรญิ ญาตรี 2) เพ่อื หาผลสมั ฤทธกิ์ ารเรยี นของผู้เรยี นในรายการออกแบบระบบ
คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา 3) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 เรียนรายวิชา
การออกแบบระบบคอมพิวเตอร์เพอ่ื การศึกษา พบว่า (1) ผลการใชเ้ ทคนิคการเรียนการสอนแบบสืบ
เสาะหาความรู้บูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศ รายวิชาการออกแบบระบบคอมพิวเตอร์เพื่อ
การศึกษา พบว่าความสามารถในการสืบเสาะหาความรู้และบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศ อยู่ใน
ระดับดี โดยวดั จากผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นคะแนนผลการเรียนเฉลยี่ อยู่ที่ร้อยละ 84.83 (2) ความพึง
พอใจของนกั ศึกษาระดบั ปริญญาตรี ท่ีมี ต่อการเรียนโดย ใชเ้ ทคนิคการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหา
ความร้บู ูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศ รายวชิ าการออกแบบระบบคอมพิวเตอรเ์ พื่อการศึกษา อยู่ใน
ระดบั ดี (µ = 4.04, σ = 0.52)
จุรีพรวงศ์แสง,ศศิธร เจียงพัฒนากิจ, และสิริมณี บรรจง(2564) ได้ทาการศึกษาเรื่อง การ
พัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2/3โรงเรียนอนุบาลสามเสน (สานักงาน
สลากกนิ แบง่ รัฐบาลอุปถมั ภ์)โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรูแ้ บบ 5E มวี ตั ถปุ ระสงค์เพื่อศึกษา
ทักษะทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2/3โรงเรยี นอนุบาลสามเสน (สานักงานสลากกนิ
แบ่งรัฐบาลอุปถัมภ์)โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ5Eและเพื่อเปรียบเทียบทักษะทาง
วิทยาศาสตร์ของนกั เรยี นชั้นอนุบาลปีท่2ี /3 โรงเรยี นอนุบาลสามเสน (สานกั งานสลากกินแบ่งรัฐบาล
อปุ ถมั ภ์)กอ่ นและหลังการจัดกิจกรรมโดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรูแ้ บบ5E พบว่า (1)นักเรียน
ชั้นอนุบาลปีที่2/3โรงเรยี นอนุบาลสามเสน (สานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลอุปถัมภ)์ มีความสามารถ
ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับดีทุกคน และ(2)ความสามารถทักษะทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน
ชั้นอนุบาลปีที2่ /3โรงเรียนอนุบาลสามเสน (สานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลอุปถัมภ์)หลังได้รบั การจัด
กิจกรรมโดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้แบบ 5E สงู ขน้ึ กว่ากอ่ นได้รับการจดั กจิ กรรมทกุ คน
ธวชั ชัย ไตรมรรค และคณะ(2562) ไดท้ าการศึกษาเรื่อง ศกึ ษาแนวทางการจัดการเรยี นร้ตู าม
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ในระดับประถมศึกษาส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
พระนครศรีอยุธยา เขต ๒ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการสืบ
เสาะหาความรู้ ในระดับประถมศึกษา สานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยธุ ยา
25
เขต ๒ เพื่อวิเคราะห์สภาพการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ของครูตามตาม
กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ และเพอ่ื เสนอแนวทางการจัดการเรียนรู้ ของครตู ามกระบวนการสืบ
เสาะหาความรู้ พบวา่ แนวทางการจัดการเรยี นรขู้ องครูตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ข้นั นาเข้า
สู่บทเรียน โดยครูจะต้องในรูปแบบที่หลากหลายเพื่อสร้างความสนใจให้กับนักเรียนมากขึ้น สร้าง
ความแปลกใหมใ่ ห้นกั เรียน ครูควรเปน็ กระตุ้นเด็กนักเรยี นให้เกิดแรงจงู ใจ ความสนใจ ใหเ้ ด็กนักเรียน
ได้เกิดการเรียนรู้ ครูควรเป็นตัวเร้าสร้างความอยากรู้อยากเห็น ตั้งค าถามกระตุน้ ให้นกั เรยี นคิด ขั้น
การสารวจและค้นหา ครูควรเปิดโอกาสให้มีแนวทางการตรวจสอบอย่างหลากหลายเทคนคิ ครูควร
ส่งเสริมให้นกั เรียนได้ท างานรว่ มกัน ระดมความคดิ เหน็ ในการแก้ปัญหาครูควรจัดกจิ กรรมท่ีนักเรียน
ได้เรียนรู้วิธีแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ครูทาหน้าที่ในการให้คาปรึกษา สังเกตการณ์ทางานของ
นักเรียนอย่างใกล้ชิด ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป ครูควรส่งเสริมให้นักเรียนได้อธิบายผลการสารวจ
ตรวจสอบด้วยคาพูดของนักเรียนเอง ส่งเสริมให้นักเรียนสรุปองค์ความรู้ที่ได้อย่างถูกต้อง
สมเหตุสมผล มีเทคนิคน าเสนอผลในรูปแบบที่หลากหลายขั้นขยายความรู้ ครูควรให้นักเรียนน า
ความรู้ที่ได้ไปประยุกตใ์ ช้ในเร่ืองอืน่ ได้หรือในชีวิตประจ าวันได้ ครูควรส่งเสริมให้นักเรยี นเชือ่ มโยง
ความรู้จากการสารวจตรวจสอบกับความรู้อื่น ๆ ด้านขั้นการประเมิน ครูควรส่งเสริมให้นักเรียน
ประเมนิ กระบวนการและผลงานดว้ ยตนเอง ครูควรมีวิธกี ารประเมนิ ทีห่ ลากหลายรปู แบบ
(https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/184276/131678)
2.7 กรอบแนวคดิ การวิจยั
จากการศึกษาแนวคิดทฤษฎแี ละงานวจิ ัยที่เกย่ี วขอ้ งข้างต้นผู้วจิ ยั ไดน้ าเอาแนวคดิ ทฤษฎีและ
งานวจิ ัยดังกล่าวมาพฒั นาเปน็ กรอบแนวคิดการวจิ ยั โดยจะไดอ้ ธบิ ายกรอบแนวคิดไวด้ ังนี้
เราจะพบว่าการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบการจัดการเรียนการสอนด้วยการนาส่ง
เอกสารที่บ้าน (On hand) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะกับนักเรียนที่ไม่มีอุปกรณ์ในการ
เรียนการสอนในรูปแบบอื่น โดยครูจะมีบทบาทและภาระงานในการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ
การจัดการเรียนการสอนด้วยการนาส่งเอกสารที่บ้าน (On hand) คือ การจัดรับ – ส่งเอกสาร ให้
คาปรกึ ษาในการเรียนและการทาใบงานแกน่ ักเรยี นและผู้ปกครอง ตดิ ตามประสานงานกับผู้ปกครอง
ในการกบั กบั ดแู ลการทากิจกรรมการเรยี นของนักเรียน ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแก้ไขปัญหาในกา
รัดการเรียนการสอน โดยครูสามารถประยุกต์ ใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ สื่อการเรียนการ
สอน เนื้อหาที่ใช้ในการสอนให้สอดคล้องกับนักเรียนของตน โดยสิ่งที่กล่าวมาผู้วิจัยเรียกโดยรวมว่า
รูปแบบการจดั การเรยี นกานสอน ซึ่งจะจัดได้ครูผู้สอนจะตอ้ งดูสภาพแวดลอ้ มหรอื บริบทของบ้านพัก
โดยทั้งสองปจั จัยจะตอ้ งมีความสอดคลอ้ งกนั เนือ่ งจากนักเรยี นจะตอ้ งทาการเรียนรู้ที่บ้าน ซึ่งท้งั สอง
ปจั จัยจะส่งผลใหเกดิ ผลกระทบและแนวทางในการแก้ไขปญั หาในการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ
การจัดการเรียนการสอนด้วยการนาส่งเอกสารที่บ้าน (On hand) โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมบริบท
26
ของที่พักอาศัยของนักเรียน ซึ่งการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ(5E) จะมีส่วนสาคัญในการช่วยให้ครู
สามารถนาพานักเรยี นไปสู่เปา้ หมายของการเรียนรู้ได้อยา่ งเตม็ ประสิทธิภาพ โดย ครูจะตอ้ งออกแบบ
ใบงานให้กับนักเรียนให้สอดคล้องกับแนวคิดการจัดการเรียนรู้แบสืบเสาะ (5E) โดยจะต้องกระตุ้น
นกั เรยี นใหม้ ีการกระหายความรู้ ออกแบบใบงานใหน้ กั เรียนได้สารวจหรอื คน้ หาในสงิ่ ท่ีต้องการรู้ จา
กนนั้นนาสงิ่ ทีไ่ ดม้ าอธยิ าบความสัมพนั ธ์ของสิ่งทีไ่ ด้จากการค้นหาว่ามีสว่ นเกย่ี วข้องกบั คาถามอย่างไร
พรอ้ มทั้งนาเอาความรู้ทไี่ ด้จากการอธิบายมาขยายผลความรู้ให้มีความลึกซ่ึงมากขึ้น และนาความรู้ท่ี
ไดม้ าประเมนิ คา่ โดยทั้งหมดทก่ี ล่าวมานั้นย่อมส่งผลซ่ึงกันและกัน ดงั แผนภาพกรอบแนวคิดดงั น้ี
กรอบแนวคดิ การวิจัย
รูปแบบการจัดการเรยี นการสอนด้วยการ คะแนนสอบหลงั เรียนของ
นาสง่ เอกสารท่บี า้ น (On hand) ดว้ ย นกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5
กระบวนการจัดการเรยี นรู้แบบสบื เสาะ โรงเรียนบ้านหนองหินทเ่ี รยี น
ในรายวิชาประวตั ศิ าสตร์ 5 (ส
(5E) 15102) โดยจัดการเรียนการ
สอนในรปู แบบการทาใบงาน
(On Han)ด้วยกระบวนการ
จัดการเรียนร้ดู ้วยการสืบเสาะ
(5E) มคี ่าสงู กวา่ คะแนนสอบ
ก่อนเรยี น
บทท่ี 3
ระเบียบวิธวี ิจัย
ในการศึกษาเรื่อง การเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนในการจัดการเรียนการ
สอนรูปแบบการทาใบงาน(On Hand)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ(5E) ในรายวิชา
ประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหิน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อ
เปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนในการจัดการเรียนการสอนรูปแบบการทาใบงาน( On
Hand)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ(5E) ในรายวิชาประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) ชั้น
ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 โรงเรยี นบ้านหนองหิน ผูว้ ิจยั เลือกวิธีการศกึ ษาด้วยวิธกี ารวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ โดยได้
กาหนดระเบยี บวิธวี ิจยั ดังน้ี
3.1 พน้ื ทีเ่ ป้าหมาย
3.2 หน่วยการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
3.3 ขอบเขตในการวิจัย
3.4 กลุม่ เปา้ หมาย
3.5 เครือ่ งมอื และเทคนคิ ในการรวบรวมข้อมลู
3.6 การวิเคราะหข์ ้อมลู
3.7 การนาเสนอขอ้ มลู
3.8 จรรยาบรรณการวจิ ยั
3.1 พ้ืนทเี่ ปา้ หมาย
ในการศึกษาวิจัยคร้ังนีผ้ ูว้ จิ ัยไดก้ าหนดพ้ืนท่ีเป้าหมาย คือ โรงเรียนบา้ นหนองหนิ หมู่ 4 บ้าน
โนนกลาง ตาบลดอนแรด อาเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษา สุรนิ ทร์ เขต 2 สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
3.2 หนว่ ยการวเิ คราะห์ข้อมลู
ในการศกึ ษาวจิ ัยในครงั้ น้ีผวู้ ิจัยเลอื กการวิเคราะห์ขอ้ มูลในระดับบุคคล โดยศึกษาข้อมูลจาก
นักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 5 ทีเ่ รยี นในรายวชิ าประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) ซง่ึ เป็นการศึกษาข้อมูล
จากนกั เรียนทง้ั หมด 15 คน
3.3 ขอบเขตในการวิจยั
ในการศึกษาคร้งั นีผ้ ูว้ ิจยั ได้กาหนดขอบเขตในการศึกษาไว้ดังน้ี
3.3.1 ขอบเขตดา้ นประชากร
28
ผู้วิจัยเลือกศึกษากับกลุ่มประชากรที่เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน
บา้ นหนองหนิ ทเ่ี รยี นในรายวิชาประวัติศาสตร์ 5 (ส15102)
3.3.2 ขอบเขตด้านเนือ้ หา
ผ้วู จิ ยั ศกึ ษาข้อมลู จากเอกสาร และข้อมูลจากแบบสอบถม และแบบประเมินการทา
ใบงานของนักเรียน ตลอดจนการทาแบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียนในรายวิชา
ประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) เรอื่ ง กระบวนการสบื คน้ ขอ้ มูลทางประวตั ศิ าสตร์
3.4 กลมุ่ เป้าหมาย
ในการศึกษาครง้ั นีม้ ุ่งศกึ ษากับนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหิน ที่เรียน
ในรายวิชาประวตั ศิ าสตร์ 5 (ส15102) จานวน 15 คน
3.5 เคร่อื งมอื และเทคนิคในการรวบรวมขอ้ มลู
ในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยเลือกใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบทสอบก่อนเรียนและ
แบบทดสอบหลังเรียน รายวิชาประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) โดยเป็นข้อชอบชุดเดียวกนั เพื่อให้ความ
ง่ายยากของข้อสอบมีความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด ซึ่งมีแบบทดสอบทั้งหมด 10 ข้อโดยเป็น
แบบทดสอบแบบปรนยั จานวน 4 ตัวเลือก โดยมีคา่ ความยากง่าย(p)อยู่ที่ 0.52 และมคี วามสามารถ
ในการจาแนก(r) อยูท่ ่ี 0.50 โดยทดสอบกับนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ซึง่ เป็นนักเรียนกล่มุ เดียวที่
เรยี นในเร่ืองดังกล่าวผ่านไปแล้ว
3.6 การวิเคราะหข์ อ้ มลู
ในการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดาเนินการกาหนดขั้นตอนในการวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยการ
ทดสอบสมมุตฐิ านทางสถิติด้วยโทรแกรม SPSS ด้วยวธิ กี ารทดสอบ T – test (Paired sample test)
เพ่อื หาความแตกตา่ งระหวา่ งคะแนนสอบก่อนเรยี นและคะแนนสอบหลงั เรียน
3.7 การนาเสนอข้อมลู
ในการศึกษาคร้ังนผ้ี ้วู จิ ัยเลือกการนาเสนอข้อมลู ในรูปแบบพรรณนาเชงิ วิเคราะห์ เพื่อให้เห็น
ประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยได้ทาการศึกษา โดยอาศัยแนวคิดทฤษฎี วรรณกรรม และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ช่วยในการอธิบายความสัมพันธ์ของข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลในภาคสนาม มาอ้างอิง
เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงกับกรอบแนวคิดที่ได้กาหนดไว้แล้วจึงประมวลข้อมูลเพื่อทาการสรุปผล
การศกึ ษา และนาเสนอการอภิปรายผลการศึกษา ข้อเสนอแนะ และนามาเขียนรายงายผลการศึกษา
ต่อไป
29
3.8 จรรยาบรรณการวจิ ยั
ในการศึกษาครั้งน้ีผู้วิจัยได้ให้ความสาคญั และตระหนักถึงสิทธิสว่ นบุคคลของกลุ่มเป้าหมาย
และประโยชน์สูงสุดในการศึกษาข้อมูลครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทเชิงลบต่อ
กลุม่ เป้าหมายโดยไมเ่ จตนา จงึ กาหนดจรรยาบรรณการวิจัยไวด้ งั นี้
1. ผู้วจิ ัยไดท้ าการขออนญุ าตลิ งพน้ื ทโ่ี ดยช้แี จงวัตถปุ ระสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคร้ังน้ีแก่
กลมุ่ เป้าหมาย และเปิดโอกาสให้ไดซ้ ักถาม เพอ่ื สร้างความเข้าใจรว่ มกันได้อย่าวถูกตอ้ ง
2. กระบวนการในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลจะไม่กระทบต่อการดาเนินชีวิตของกลุ่มเป้าหมาย
โดยจะมีการนัดเวลาล่วงหน้าในการลงพื้นที่เก็บรวบรวมข้อมูลในแต่ละครั้งโดยจะต้องมีการแจ้ง
ล่วงหนา้ เพ่อื หารอื เก่ยี วกับวันและเวลาท่สี ามารถเก็บรวบรวมข้อมลู ได้
3. ในระหว่างการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้สร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองเพื่อให้
กลุ่มเป้าหมายได้ผอ่ นคลายความเครียดและความกดดัน และเพื่อสร้างสมั พันธภาพที่ดรี ะหว่างผ้วู ิจัย
และกลมุ่ เปา้ หมาย
4. ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยจะเคารพความคิดเห็น และให้อิสระทางความคิดต่อ
กล่มุ เปา้ หมายในการแสดงความคิดเห็นโดยปราศจากอารมณ์และอคติ
5. ในการรวบรวมข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับงานวจิ ัย ผ้วู ิจัยจะตอ้ งมคี วามส่ือสัตย์ต่อข้อมูลท้ังหมด
ท่ีรวบรวมได้ และทาการในเสนอตามความเปน็ จริงอยา่ งตรงไปตรงมา ไม่บดิ เบอื นขอ้ มูลจากความเป็น
จรงิ
6. หากมีการถ่ายภาพหรือบันทกึ เสียง ผู้วจิ ยั จะขออนุญาตกลุม่ เป้าหมายกอ่ นทกุ คร้ัง
7. ผู้วิจัยได้สร้างความมั่นใจให้แก่กลุ่มเป้าหมาย เกี่ยวกับการนาข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากการ
สัมภาษณแ์ ละจากการสังเกตการณ์ จะนาไปใช้ในการศกึ ษาวจิ ยั เทา่ นั้น
บทท่ี 4
ผลการวจิ ยั
ในการศึกษาเรื่อง การเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนในการจัดการเรียนการ
สอนรูปแบบการทาใบงาน(On Hand)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ(5E) ในรายวิชา
ประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหิน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพ่ือ
เปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนในการจัดการเรียนการสอนรูปแบบการทาใบงาน( On
Hand)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ(5E) ในรายวิชาประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) ช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหนิ ผู้วิจัยเลือกวิธีการศึกษาด้วยวิธีการวจิ ัยเชิงปริมาณ และ
การทาการเก็บรวบรวมข้อมลู ท่ีเกีย่ วจ้องกบั การวิจัย พรอ้ มท้งั ทดสอบสมตุ ิฐานทางสถิตดิ ้วยโปรแกรม
SPSS ซ่ึงจะนาเสนอผลการวจิ ัยดงั นี้
4.1 ผลการทดสอบของนกั เรยี น
4.2 การเปรียบเทียบคะแนนก่อนสอบและคะแนนหลังสอบ
4.3 การทดสอบสมมุติฐานทางสถติ ิ
4.1 ผลการทาสอบของนักเรยี น
จากการตรวจแบบทดสอบของนกั เรียน พบวา่ นกั เรยี นสว่ นใหญ่ทาคะแนนสอบก่อนเรียนได้
น้อย มีนักเรียนสอบผ่านทั้งสิ้น 5 คน จาก 15 คน ซึ่งให้นักเรียนทาข้อสอบก่อนเรียนและหลังเรยี น
จานวน 10 ข้อ ใช้เวลาในการทาข้อสอบทั้งสิน้ 30 นาที โดยข้อสอบทั้ง 10 ข้อเป็นแบบทดสอบแบบ
ปรนัยจานวน 4 ตัวเลือก ซึ่งจะทาการนาข้อสอบมาสลับข้อและสลับตัวเลือกเพื่อจัดให้เป็น
แบบทดสอบ 2 ฉบับ ให้นักเรียนสอบ ประกอบไปด้วย ชุด ก. และชุด ข. เพื่อเป็นการป้องกันการ
ทุจริตข้อสอบของนักเรียน โดยคะแนนที่ได้สูงสุดอยู่ที่ 7 คะแนน และคะแนนที่ได้น้อยสุดอยู่ที่ 3
คะแนน มีค่าเฉีย่ อย่ทู ่ี 4.40 (SD.1.35) และเมือ่ จัดกจิ กรรมการเรยี นร้ไู ปแลว้ พบวา่ มนี ักเรียนสอบได้
คะแนนสูงกว่า 5 คะแนน 12 คน มีเพียง 3 คนที่สอบได้ 5 คะแนน โดยทั้งหมดมีค่าเฉลี่ยอยู่ท่ี
7.60(SD.1.59) ดังตรารางท่ี 4.1 ตารางแสดงผลการทาแบบทดสอบก่อนเรียนของนักเรยี น
ตารางท่ี 4.1 ตารางแสดงผลการทาแบบทดสอบกอ่ นเรียนของนกั เรียน
เลขท่ี คะแนนกอ่ นเรยี น คะแนนหลังเรยี น ผลต่าง
+4
14 8 +2
+2
23 5 +4
33 5
44 8
31
เลขที่ คะแนนกอ่ นเรียน คะแนนหลังเรยี น ผลตา่ ง
5 3 7 +4
6 4 8 +4
7 5 9 +4
8 6 8 +2
9 5 8 +3
10 7 10 +3
11 4 8 +4
12 4 7 +3
13 4 8 +4
14 7 10 +3
15 3 5 +2
คา่ เฉลยี่ 4.40 (SD.1.352) 7.60(SD.1.595)
4.2 การเปรยี บเทียบคะแนนก่อนสอบและคะแนนหลงั สอบ
ผวู้ จิ ัยได้ทาการเก็บรวบรวมขอ้ มูล และนาขอ้ มลู ทไี่ ดไ้ ปคานวณดว้ ยโปรแกรม SPSS ดว้ ยการ
ทดสอบด้วยวิธีการทดสอบ แบบ T – test (Paired sample test) เพื่อหาความแตกต่างระหว่าง
คะแนนสอบก่อนเรียนและคะแนนสอบหลังเรยี น ซ่ึงมรี ายละเอียดดังนี้
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนในรายวิชาประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) ปีการศึกษา
2564 ทาคะแนนก่อนเรียนได้คะแนนเฉลี่ย 4.40 (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 1.352) และเม่ือ
นักเรียนไดร้ ับการจดั การเรียนรู้ด้วยรูปแบบการทาใบงาน(On Hand) ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ
สบื เสาะ(5E) พบว่า คะแนนเฉย่ี ของนกั เรยี นเพมิ่ ขึน้ จากเดิม 4.40 เปน็ 7.60 (สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน
1.595) และเม่อื นาไปทดสอบดว้ ยวธิ ีการ T – test (Paired sample test) พบว่า ความแตกต่างของ
การทาแบบทดสอบก่อนเรียน และแบบทดสอบหลงั เรียนมคี วามแตกตา่ งกนั อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ
ทร่ี ะดบั .01 โดยมคี า่ t อย่ทู ่ี 14.379 คา่ df 14 ดงั ตารางท่ี 4.2 ตารางแสดงผลการคานวณ T – test
(Paired sample test)
ตารางที่ 4.2 ตารางแสดงผลการคานวณ T – test (Paired sample test)
กลุ่ม X̅ SD D̅ SDD̅ T df Sig
กอ่ นเรยี น 4.40 1.352 3.20 0.862 14.379 14 .00
1.595
หลงั เรยี น 7.60
32
4.3 การทดสอบสมมุติฐานทางสถิติ
ผู้วิจัยได้กาหนดสมมุติฐานของงานวิจัยคือ คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถม
ศกึ ษาปที ่ี 5 โรงเรยี นบ้านหนองหนิ ทเ่ี รยี นในรายวชิ าประวัตศิ าสตร์ 5 (ส15102) โดยจัดการเรียนการ
สอนในรูปแบบการทาใบงาน(On Han)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ด้วยการสืบเสาะ(5E) มีค่าสูง
กวา่ คะแนนสอบกอ่ นเรยี น
โดยกาหนดสมมุติฐานทางสถิติไว้ดงั นี้
H0 = คะแนนสอบหลังเรียนของนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหินท่ี
เรียนในรายวชิ าประวตั ศิ าสตร์ 5 (ส15102) โดยจัดการเรียนการสอนในรูปแบบการทำใบงาน(On
Han)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ดว้ ยการสืบเสาะ(5E) มีค่าไม่สูงกว่าคะแนนสอบก่อนเรียน :
µ1 = µ2
H1 = คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหินท่ี
เรียนในรายวิชาประวตั ศิ าสตร์ 5 (ส15102) โดยจดั การเรยี นการสอนในรูปแบบการทำใบงาน(On
Han)ด้วยกระบวนการจัดการเรยี นรู้ด้วยการสืบเสาะ(5E) มีคา่ สงู กวา่ คะแนนสอบก่อนเรียน : µ1
> µ2
สรปุ ผลการทดสอบสมมุติฐาน
ปฏเิ สธ H0 ยอมรบั H1
โดยจากการคำนวณค่าสถิติด้วยวิธี T – test (Paired sample test) และได้
สรุปในตารางที่ 4.2 น้ัน สามารถสรปุ ไดว้ ่า คะแนนสอบหลังเรียนของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี
5 โรงเรียนบ้านหนองหินที่เรียนในรายวิชาประวัตศิ าสตร์ 5 (ส15102) โดยจัดการเรียนการสอน
ในรูปแบบการทำใบงาน(On Han)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ด้วยการสืบเสาะ(5E) มีค่าสูง
กวา่ คะแนนสอบกอ่ นเรียน
บทท่ี5
สรปุ อภปิ รายผลและข้อเสนอ
ในการศึกษาเรื่อง การเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนในการจัดการเรียนการ
สอนรูปแบบการทาใบงาน(On Hand)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ(5E) ในรายวิชา
ประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหิน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพ่ือ
เปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนในการจัดการเรียนการสอนรูปแบบการทาใบงาน( On
Hand)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ(5E) ในรายวิชาประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) ช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหนิ ผู้วิจัยเลือกวิธีการศึกษาด้วยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ และ
การทาการเก็บรวบรวมข้อมูลท่เี กีย่ วจ้องกบั การวิจัย พรอ้ มทงั้ ทดสอบสมุตฐิ านทางสถิติด้วยโปรแกรม
SPSS ดังสรปุ การวจิ ัย อภิปรายผลและข้อเสนอแนะดงั ต่อไปนี้
5.1 สรปุ ผลการวจิ ยั
5.2 อภิปรายผลการวจิ ัย
5.3 ขอ้ เสนอแนะ
5.1 สรปุ ผลการวจิ ยั
5.1.1 การเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนในการจัดการเรียนการสอนรูปแบบ
การทาใบงาน(On Hand)ดว้ ยกระบวนการจัดการเรยี นรูแ้ บบสบื เสาะ(5E) ในรายวิชาประวัตศิ าสตร์ 5
(ส15102) ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหิน พบวา่ คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรยี นช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนบา้ นหนองหินที่เรยี นในรายวิชาประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) โดยจัดการ
เรียนการสอนในรูปแบบการทาใบงาน(On Han)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ด้วยการสืบเสาะ(5E)
มีค่าสงู กว่าคะแนนสอบกอ่ นเรยี น อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01
5.2 อภิปรายผลการวิจัย
5.2.1 การเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนในการจัดการเรียนการสอนรูปแบบ
การทาใบงาน(On Hand)ด้วยกระบวนการจัดการเรียนร้แู บบสืบเสาะ(5E) ในรายวชิ าประวตั ศิ าสตร์ 5
(ส15102) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองหิน โดยคะนนสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนบ้านหนองหินที่เรียนในรายวิชาประวัติศาสตร์ 5 (ส15102) โดยจัดการ
เรียนการสอนในรูปแบบการทาใบงาน(On Han)ด้วยกระบวนการจัดการเรยี นรู้ดว้ ยการสืบเสาะ(5E)
มคี า่ สูงกว่าคะแนนสอบกอ่ นเรียน อยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถิติที่ระดบั .01 สอดคล้องกับงานวิจัยของพัช
รียา ประจง และคณะ(2563) วนิดา พูลพันธ์ชู (2561) ศิริชัยชาญ ณ สงขลา (2560) จุรีพรวงศ์แสง
,ศศธิ ร เจียงพฒั นากจิ , และสริ มิ ณี บรรจง(2564) ธวชั ชัย ไตรมรรค และคณะ(2562)
34
5.3 ขอ้ เสนอแนะ
5.3.1 ขอ้ เสนอแนะในการทาการศกึ ษาคร้ังตอ่ ไป
เพื่อให้การศึกษามีความเหมาะสมและสมบูรณ์มากขึ้น ผู้วิจัยจะขอเสนอแนะ
แนวทางในการจัดการศกึ ษาคร้ังต่อไปโดยแยกเปน็ ประเดน็ ดังน้ี
5.3.1.1 ระยะเวลาในการทาวิจัย ควรมีมากกว่านี้ เนื่องจากการทาวิจัยในครั้งนี้มี
ระยะเวลาจากัดเพราะการวิจยั ในครัง้ นีเ้ ปน็ สว่ นหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาปฏิบัติการ
สอนในสถานศึกษา 2 (10503) ทาให้ระยะเวลามีจากดั การเก็บรวบรวมข้อมลู อาจจะมีเวลาไม่มากทา
ใหผ้ ลการศกึ ษาอาจจะมคี วามไม่เหมาะสมมากนัก
5.3.1.2 การทดสอบความยากงา่ ยของแบบทดสอบ ควรใชน้ กั เรียนในระดบั เดียวกัน
ในการทดสอบ ซึ่งในครั้งนี้ผู้วิจัยเลือกทาการทดสอบความยากง่ายของแบบทดสอบกับนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ผ่านการเรียนการสอนในรายวิชาประวตั ิศาสตร์ 5 แล้ว ซึ่งอาจจะไม่ได้มคี วาม
เหมาะสมมากเท่ากบั การทาแบบทดสอบกบั นักเรยี นในระดบั ช้ันเดยี วกนั ทเี่ รียนเนอื้ หาน้ัน ๆ มาแล้ว
35
บรรณานกุ รม
กลัญญู เพชราภรณ์. (ม.ป.ป.). บทที่ 1 ความรเู้ บื้องต้นเกีย่ วกับการจดั การเรียนร.ู้ สืบค้นเมอ่ื 1 2
กรกฎาคม 2564. จาก,
http://www.eledu.ssru.ac.th/panuwat_si/pluginfile.php/264/course/summary/
%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%201%20%E
0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%
E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD
%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81
%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1
%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B1
%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3
%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89
.pdf.
กลุม่ งานกฎหมายและคดี สานักงานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาเชยี งใหม่ เขต 4. (2542).
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม. สืบค้นเมื่อ 12
กรกฎาคม 2564. จาก,
https://cmi4.go.th/group/legal/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B
8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%
B8%8D%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%
B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0
%B9%81/.
ครเู ชยี งรายดอทคอม. (2562). ลกั ษณะการสอนทด่ี ี. สืบคน้ เมื่อ 15 กรกฎาคม 2564. จาก,
https://www.kruchiangrai.net/2019/05/28/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8
%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8
%A3%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B
9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5/.
จริ นุช จิตราทร. (ม.ป.ป.). ความเครียด. สบื คนเมื่อ29 สิงหาคม 2564.จาก,
https://med.mahidol.ac.th/ramamental/generalknowledge/general/05142014-
1901.
จรุ ีพรวงศ์แสง,ศศธิ ร เจียงพัฒนากิจ, และสิริมณี บรรจง. (2564). การพัฒนาทกั ษะทางวิทยาศาสตร์
36
ของนักเรยี นชัน้ อนบุ าลปีที่ 2/3โรงเรยี นอนุบาลสามเสน (สานกั งานสลากกินแบ่งรัฐบาล
อุปถัมภ์). วารสารสถาบันวิจัยและพฒั นา มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. 8 (2), 399 –
410. https://so03.tci-thaijo.org/index.php/rdirmu/article/view/251356/172336.
เจษฎา รัตนนิยม, สธุ ติ า น้าปะ, มณมนสั สุดสนิ , & อารยา ล.ี (2563). ผลของการจัดการเรยี นรแู้ บบ
ร่วมมือโดยใช้เทคนิคการเรียนรู้ร่วมกัน (LT) กับแผนที่ความคิดต่อผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์ต่อ
กระบวนการเปล่ียนแปลงสภาพอากาศ. วลัยลักษณ์ วารสารนวัตกรรมการเรียนรู้ , 6 (1),
37-64. https://doi.org/10.14456/jli.2020.3
ฉลวย มว่ งพรวน. (2554). การพัฒนารูปแบบการเรยี นดว้ ยตนเองดว้ ยกิจกรรมการรูค้ ิดในการอา่ น
ภาษาอังกฤษ สาหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประเภทวิชา
อุตสาหกรรม. Veridian E-Journal Silpakorn University, 4(1), 513 – 532. จาก
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Veridian-E-Journal/article/view/7609
ชญานตุ ม์ นริ มร. (2557). ความเครยี ดคืออะไร ผ่อนคลายอย่างไรดี. สืบค้นมอ่ื 29 สิงหาคม 2564.
จาก, https://www.thaihealth.or.th.
ชรินทร์ มั่งค่งั , พัชนี จันทรศ์ ิริ, พมิ พา นวลสวรรค์, มกุ ดาวรรณ สงั ขส์ ุข, & พชั ราภรณ์ อนกุ ลู . (2561).
การจัดการความรู้เพื่อการพัฒนาที่ยัง่ ยืนบนพื้นที่สูงของครูในศูนยก์ ารเรียนรู้ชาวเขาแม่
ฟ้าหลวง เชียงใหม่. วารสารมนุษยศาสตร์ , 19 (1), 208-236. ดึงข้อมูลจาก
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JHUMANS/article/view/131630
ธนพรรณ ทรพั ยธ์ นาดล. (2554.) ปัจจยั ทีม่ ีผลกระทบต่อการจดั การเรยี นการสอนบทเรียนออนไลน์
ของมหาวทิ ยาลัยราชภัฎนครราชสีมา. Veridian E-Journal Silpakorn University, 4(1),
652 – 6 6 6 . จ า ก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Veridian-E-
Journal/article/view/8552
ธวัชชยั ไตรมรรค และคณะ. (2562). ศึกษาแนวทางการจดั การเรยี นรตู้ ามกระบวนการสืบเสาะหา
ความรู้ในระดับประถมศึกษาสานักงานเขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา
เขต ๒. วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ฯ. 6 (1), 161 – 173, https://so02.tci-
thaijo.org/index.php/EDMCU/article/view/184276/131678.
ปรัชญา เวสารชั ช์. (2545). ชุดฝกึ อบรมผบู้ รหิ าร : ประมวลสาระ. สบื ค้นเมอื่ 15 กรกฎาคม 2564.
จาก, http://suthep.crru.ac.th/book6/1.pdf.
พัชรียา ประจง และคณะ. (2563). ผลการสอนแบบสบื เสาะหาความรโู้ ดยใชผ้ งั กราฟกิ ประกอบทีม่ ี
37
ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6.
วารสารวิชาการและวิจัยสังคมศาสตร์ . 15 (2), 117 – 130. https://so05.tci-
thaijo.org/index.php/JSSRA/article/view/242251/168120.
ภูษมิ า ภญิ โญสินวฒั น์. (2556). จดั การเรยี นการสอนอย่างไรในสถานการณ์โควิด-19: จากบทเรียน
ต่างประเทศสู่การจัดการเรียนรู้ของไทย. สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2564. จาก,
https://tdri.or.th/2 0 2 0 / 0 5 / examples-of-teaching-and-learning-in-covid-1 9 -
pandemic/.
มานิรจุ น.์ (2557). ทฤษฎีการศกึ ษา (EDUCATIONAL THEORY) . สืบคน้ เม่ือ 12 กรกฎาคม
2564. จาก,
https://manitrub.wordpress.com/2014/12/15/%E0%B8%97%E0%B8%A4%E0%
B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%
B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2-educational-
theory/
วนิดา พูลพันธช์ ู. (2561). ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรรู้ ว่ มกับเทคนิคการสอน
อุปมาอุปไมย เรื่อง การสลายสารอาหารระดับเซลล์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4.
วารสารวิชาการและวิจัยสังคมศาสตร์. 13 (37), 133 – 147. https://so05.tci-
thaijo.org/index.php/JSSRA/article/view/109733/96875.
วรญั ญา เดชพงษ.์ (2563). การศกึ ษาผลกระทบของการใชอ้ ินโฟกราฟกิ เป็นสอ่ื ในการเรยี นการ
สอนของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษา กรณีศึกษาโรงเรียนในเขตกรุงเทพมหานคร.
วารสารนิเทศศาสตรปริทัศน์, 24(3 กันยายน - ธันวาคม 2563), 274 – 282. จาก
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jca/issue/view/16817.
วราภรณ์ ศรีวิโรจน์. (ม.ป.ป.). เอกสารประกอบการเรยี นการสอน รายวิชา 1022230 หลักการ
จัดการเรียนรู้ (Principles of learning management) คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั
ราชภัฏเพชรบุรี. สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2564. จาก, http://edu.pbru.ac.th/e-
media/08.pdf.
วิทยา พัฒนเมธาดา. (2560). การจัดการเรียนรู้ (Learning Management). สืบคน้ เมื่อ 12
กรกฎาคม 2564 จาก, https://www.kansuksa.com/8/)
ศริ ิชยั ชาญ ณ สงขลา. (2560). ผลของการใชเ้ ทคนิคการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้
บูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศ รายวิชาการออกแบบระบบคอมพิวเตอร์เพือ่ การศกึ ษา.
วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. 12 (2), 226 – 233.
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/PNRU_JHSS/article/view/78369/82667.
38
สกนธ์ชัย ชะนูนนั ท์(ม.ป.ป.) . รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศกึ ษา. สบื ค้นเมอ่ื 12
พฤศจกิ ายน 2564 จาก,
https://phitsanulok1.go.th/userfiles/kit_pr/files/Learning%20Management%20
Model%20STEM.docx.
สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2564). แนวทางในการจดั การ
เรียนการสอนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรสั โคโณนา 2019 (COVID - 19)
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564. สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2564. จาก,
http://www.sisaketedu1.go.th/news/?p=90223
สานักคณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาต.ิ (ม.ป.ป.). แนวการจดั การศึกษาตามพระราชบญั ญัติ
การศึกษาแห่งชาติ. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2564, จาก
http://backoffice.onec.go.th/uploads/Book/6-
file.pdf?fbclid=IwAR0Mhej1T6YecRCFFQ9PRcYdHGd5zA79970AsmIgFFv7pqyZn
obfDQoLWEk.
สานักงานส่งเสริมวิชาการและงานทะเบยี น มหาวิทยาลยั ราชภัฏวไลอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์.
(2557). คู่มือการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ. สืบค้นเมื่อ 2 กรกฎาคม
2564. จ า ก , http://acad.vru.ac.th/pdf-
handbook/Hand_Teacher_57.pdf?fbclid=IwAR0lbxTMATsoeyIFUu6GURXaKu8lG
G7Wa3vojo6T5WQWCe2mKx9zwEKeofY.
สานักวชิ าการ สานกั งานเลขาธกิ ารสภาผ้แู ทนราษฎร. (2561). รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย ปี
2560. สืบค้นเม่ือ 1 กรกฎาคม 2564 จาก, https://www.parliament.go.th/library
เสาวมลมาศ เทพส่ง. (ม.ป.ป.). ปรชั ญาการศกึ ษา. สบื คน้ เมอ่ื 12 กรกฎาคม 2564. จาก,
https://saowamonmas020.home.blog/%e0%b9%81%e0%b8%99%e0%b8%a7
%e0%b8%84%e0%b8%b4%e0%b8%94-
%e0%b8%97%e0%b8%a4%e0%b8%a9%e0%b8%8e%e0%b8%b5%e0%b8%9
7%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%
a8%e0%b8%b6%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%b2/.
องคป์ ระกอบการจัดการเรียนรู.้ (2551). สืบคน้ เมือ่ 15 กรกฎาคม 2564. จาก,
http://pichaikum.blogspot.com/2008/11/blog-post.html.
BBC NEWS ไทย. (2564). โควิด-19: ทาไมโรคนจี้ งึ ตดิ ตอ่ กนั ไดง้ ่าย. สืบค้นเม่อื 12 กรกฎาคม 2564
จาก, https://www.bbc.com/thai/55557300.
Kezang, N., & ชยานวุ ตั ิ, A. (2020). การประยกุ ต์ใชว้ ิธีการสอบถามตามสถานทส่ี าหรบั นกั เรียน
39
ชาวภูฏานชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม. วลัยลักษณ์
วารสารนวัตกรรมการเรยี นรู้ , 6 (1), 1-19. https://doi.org/10.14456/jli.2020.1
line to day. (2563). การเรียนการสอนผสมผสาน 5 On คืออะไร?. สบื ค้นเม่ือ 12 กรกฎาคม
2564 จาก, https://today.line.me/th/v2/article/Nq7Y0k.
Tamang, BS, & ชยานุวัติ, A. (2020). การประยุกตใ์ ช้แนวทางการเรียนรูแ้ บบบูรณาการเนอ้ื หา
และภาษา (CLIL) สาหรับการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาภูฏาน.
วลัยลักษณ์ วารสารนวัตกรรมการเรียนรู้ , 6 (1), 21-35.
https://doi.org/10.14456/jli.2020.2