The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุปกลางภาค(2วิชาแรก)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kwilaksnkhotrhlng, 2021-12-19 06:23:27

สรุปกลางภาค(2วิชาแรก)

สรุปกลางภาค(2วิชาแรก)

กลางภาค

ภาษา
ไทย

วรรณคดี

บทนมัสการมาตาปิตุคุณและบทนมัสการอาจาริยคุณ

ประวัติ,ที่มา : คำนมัสการคุณานุคุณที่คัดมาให้ศึกษามีเนื้อหา
แบ่งออกเป็น ๕ ตอน แต่ละตอนมีที่มาจากคาถาภาษาบาลี ดังนี้
- คำนมัสการพระพุทธคุณ - คำนมัสการมาตาปิตุคุณ
- คำนมัสการพระธรรมคุณ - คำนมัสการพระอาจริยคุณ
- คำนมัสการพระสังฆคุณ

ผู้แต่ง : พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อยอาจารยางกูร)
ลักษณะคำประพันธ์ : อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑,กาพย์ฉบัง ๑๖
คุณค่าด้านเนื้อหา :
-คำนมัสการพระคุณ มีการสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า
-คำนมัสการพระธรรมคุณ มีคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
-คำนมัสการพระสังฆคุณ ถ้าพรพุทธองค์ไม่ได้ทรงสถาปนาคณะ
สงฆ์ขึ้นหลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบย่อมสูญสิ้นไปพร้อม
กับเสด็จดับขันธ์ปรินิพาน
-คำนมัสการมาตาปิตุคุณ มารดาบิดาเป็นผู้มีพระคุณก่เราเพรา
เป็ผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเราโดยไม่หวังผลตอบแทน
-คำนมัสการอาจริยคุณ เนื่องด้วยครูอาจารย์เป็นผู้มีพระคุณแก่
เราเพราะเป็นผู้อบรมสั่งสอนและถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่เรา

คุณค่าด้านวรรณศิลป์ :
-การเลือกสรรคำเหมาะกับเนื้อเรื่อง กวีเลือกสรรถ้อยคำนำมา
ใช้ได้อย่างไพเราะเหมาะสม
-การเลือกสรรคำที่มีเสียงเสนาะ กวีใช้ความงามและเสียงเสนาะ
ในการอ่าน นอกเสียงโดยการใช้สัมผัสอักษรละสัมผัสสระ
ได้แก่ สัมผัส การเล่นคำ
-ภาพพจน์ กวีใช้การเปรียบเทียบแบบอุปมาเพื่อให้ผู้อ่านเห็น
ภาพชัดเจนขึ้น

คำศัพท์ : ในเล่มคำศัพท์

หัวใจชายหนุ่ม

แนวคิด : มุ่งเสนอให้ผู้อ่านเห็นว่า นักเรียนนอกในสมัยนั้นเป็น
ผู้นำ "แฟแช่น" อย่างสุดโต่ง เมื่อปฏิบัติไปแล้วผิดพลาดก็ค้น
พบตัวเองว่าต้องหาทางเลือกใหม่ที่เหมาะสม ทำให้ได้คิดว่า เรา
ควรรับและปรับใช้ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมที่ดีงามของไทย
ตัวละคร : นายประพันธ์ ประยูรสิริ,นายประเสริฐ สุวัฒน์,
กิมเน้ย,ลิลี่(คนรักชาวอังกฤษของประพันธ์),อุไร พรรณโสภณ,
พระยาตระเวนนคร,หลวงพิเศษผลพานิช,ศรีสมาน,พ่อแม่ของ
ประพันธ์

ข้อคิด :๑. พฤติกรรมของนายประพันธ์เป็นพฤติกรรมที่เลียน
แบบพฤติกรรมของปุถุชนที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทั้งความถูกต้อง
และผิดพลาด เปรียบเสมือนกับมนุษย์ที่สามารถผิดพลาดได้
ตลอดเวลา แต่อย่าลืมนำความผิดพลาดนั้นมาใช้ในการแก้ไข
ตนเอง ๒. อย่าหลงวัฒนธรรมตะวันตกจนลืมจิตสำนึกแห่ง
ความเป็นไทย ควรเก็บสิ่งที่ดีมาปฏิบัติ แล้วเก็บสิ่งที่ไม่ดีไว้เป็น
อุทาหรณ์ ๓. การแต่งงานของหนุ่มสาวที่มาจากการชอบพอกัน
แค่เพียงเปลือกนอก ขาดการรู้จักและเข้าใจกันอย่างแท้จริงย่อม
ไม่ยั่งยืน ๔. การใช้เสรีภาพในทางที่ผิดโดยปล่อยเนื้อปล่อยตัว
จนกระทั่งพลาดพลั้งชิงสุกก่อนห่ามจะต้องประสบชะตากรรมอัน
เลวร้าย ดังแม่อุไร ๕. คนเราควรดำเนินชีวิตในทางยุติธรรม ดัง
เช่นประพันธ์
คำศัพท์ : ในเล่มคำศัพท์

หลักภาษา

การอ่านเพื่อพัฒนาตน

เพื่อพัฒนาความรู้: เราอาจหาความรู้เรื่องต่างๆ เช่น เหตุการณ์ที่
เกิดขึ้นในชีวิตประจําวัน เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพอนามัย วิทยาการ
ใหม่ๆ เรื่องที่ช่วยให้เราปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม และอื่นๆ
ได้จากหนังสือหลายประเภท ทั้งหนังสือเล่ม หนังสือพิมพ์
วารสาร นิตยสาร เอกสาร และสิ่งพิมพ์อื่นๆ
เพื่อพํฒนาอารมณ์ : วิธีการพัฒนาตนในด้านอารมณ์ หมายถึง
การเปลี่ยนแปลงปรับปรุงความรู้สึกจากความหยาบกระด้างให้
ประณีตสุขุมขึ้น ให้สามารถควบคุมอารมณ์รุนแรงได้ และมีความ
รู้สึกไวต่อสิ่งที่มากระทบ ทั้งในด้านที่พึงพอใจและไม่พึงพอใจ

การอ่านเพื่อพัฒนาตนในด้านอารมณ์เกิดจากการรับสารหลาย
ชนิดเรามักจะเลือกอ่านหนังสือที่ให้ความเพลิดเพลิน เช่น
นวนิยาย เรื่องสั้น นิทานคำกลอน บทกวีต่างๆ
เพื่อพํฒนาคุณธรรม : คุณธรรมเป็นเรื่องกำกับจิตใจของมนุษย์
ให้ประพฤติปฏิบัติในด้านดีงาม

คุณธรรมประกอบด้วยความรู้ความคิดและอารมณ์อันช่วย
ขัดเกลาจิตใจให้ประณีตยิ่งขึ้น

งานเขียนที่ช่วยพัฒนาด้านคุณธรรมให้แก่ผู้อ่านมีอยู่มาก เช่น
งานเขียนเกี่ยวกับธรรมะ ศิลปะ คตินิยม สุภาษิต เป็นต้น

อักษร

การอ่านคำที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤต : ๑.สระ
-คําที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤต ถ้าไม่มีรูปสระกำกับ เดิมออก
เสียงเป็นเสียงสระอะ เมื่อไทยนำมาใช้ มักออกเสียงพยัญชนะ
ตัวท้ายเป็นเสียงของตัวสะกด และออกเสียงสระเป็น โอะ เช่น
กมล เดิมออกเสียง กะ-มะ-ละ ไทยนำมาใช้ออกเสียง
กะ-มล
-ถ้ามีรูปสระกำกับ เมื่อไทยนำมาใช้จะออกเสียงพยัญชนะตัว
สุดท้ายเป็นเสียงของตัวสะกดและออกเสียงสระตามเดิม เช่น
วิวิธ เดิมออกเสียง วิ-วิ-ทะ ไทยนำมาใช้ออกเสียง วิ-วิด
-คําบาลีสันสกฤตที่มีพยัญชนะต้นมีกี่ตัว ร ตามมา ไทยมัก
ออกเสียงให้มีสระ ออ ผสมอยู่ด้วย เช่น
กรกฎ ออกเสียง กอ-ระ-กด
-อนึ่ง คำที่มีพยัญชนะต้นเป็น บ แม้ไม่มี ร ตามมา ไทยก็ออก
เสียงให้มีสระ ออ ประสงค์อยู่ด้วย เช่น บวร ออกเสียง บอ-วอน
-ถ้าพยางค์หลังของคำที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤตมีสระ อิ อุ
กำกับ ไทยใช้พยัญชนะต้นของพยางค์หลังเป็นตัวสะกด และ
ตัดเสียงสระหรือไม่ออกเสียงสระซึ่งอยู่ท้ายพยางค์ เช่น
เกตุ ออกเสียง เกด

๒.พยัญชนะ
-อักษร ฑ นั้น ในภาษาบาลีสันสกฤตออกเสียงคล้ายเสียง ด
ในภาษาไทย เมื่อไทยยืมคำภาษาบาลีสันสกฤตที่มีพยัญชนะ
จะอ่านออกเสียงเป็น ๒ แบบ คือ ออกเสียง (ด) คล้ายเสียงใน
ภาษาเดิม หรือออกเสียงเป็น (ท) ตามแบบไทย
คำต่อไปนี้ ฑ ออกเสียง (ด) เช่น
บัณฑิต บัณเฑาะว์ บัณฑุ
คำต่อไปนี้ ฑ ออกเสียง (ท) เช่น
กุณฑล กุณฑี กุณโฑ จัณฑาล อัณฑะ ขัณฑสีมา
-ถ้าพยัญชนะต้นของคำเป็น ทร ไทยจะออกเสียงบางคำเป็น
อักษรควบแท้ (ทร) แต่ออกเสียงบางคําเป็นอักษรควบไม่แท้ (ซ)
พยัญชนะที่มีเสียงควบกล้ำก็อาจเป็นปัญหาในการอ่านออก
เสียง คําสันสกฤตบางคำที่พยัญชนะต้นมีเสียงควบกล้ำ ไทย
ออกเสียงควบอย่างเขาไม่ได้ แต่ก็รักษารูปเดิมไว้
-กรณีตรงกันข้ามกับพยัญชนะที่มีเสียงควบกล้ำคือกรณีที่มี ร
หรือ ล ตามพยัญชนะอื่นจะออกเสียงแยกพยางค์ไม่ออกเสียง
ควบกล้ำ
-ยกเว้นคำบางคำที่ออกเสียงอย่างอักษรควบ เช่น ปรามาส
ปรากฏ ปราณ ปริศนา

๓. วรรณยุกต์
-คําที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤตมักไม่มีรูปวรรณยุกต์กำกับเรา
ออกเสียงวรรณยุกต์คำเหล่านี้ทำนองเดียวกับคำไทยทั้งหลายที่
ไม่มีวรรณยุกต์กำกับคือออกเสียงวรรณยุกต์โดยพิจารณาส่วน
ประกอบอื่นๆของพยางค์อันได้แก่พยัญชนะต้น สระ และตัว
สะกด เช่น
คำไทย กัน คัน คำยืม กัณฑ์ ครรภ์ วรรณยุกต์ สามัญ
-คำยืมจากภาษาบาลีสันสกฤตที่มีพยัญชนะเรียงกัน ๒ ตัว
ไทยก็มักอ่านแบบอักษรนำ คือให้พยัญชนะตัวหน้าเป็นตัว
กำหนดเสียงวรรณยุกต์ เช่น กนก ออกเสียง กะ-หนก
-บางคำออกเสียงได้ทั้งแบบอักษรนำและไม่ใช่อักษรนำ เช่น
สมรรถภาพ ออกเสียง สะ-หมัด-ถะ-พาบ หรือ
สะ-มัด-ถะ- พาบ
แต่ก็มีบางคำที่ไม่ได้ออกเสียงอย่างอักษรนำ เช่น ประเทศราช
ออกเสียง ประ-เทด-สะ-ราด
-คําที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤตต่อไปนี้ พยางค์หน้ามีรูปสระ
กำกับ แต่ก็ยังนิยมอ่านแบบอักษรนำ เช่น ดิลก ออกเสียง
ดิ-หลก

การสะกดคำ: ในการสื่อสารด้วยการเขียน การสะกดคำให้ถูก
ต้องเป็นเรื่องจำเป็นมาก ทั้งนี้เพราะคำในภาษาไทยจำนวนมาก
แม้จะมีเสียงเหมือนกัน ค่าความหมายต่างกัน ก็จะสะกดต่างกัน
เช่นคำต่อไปนี้ ประพาส ประพาด ประภาษประภาส พุทธ พุธ
พุด ภุช
ข้อสังเกต
๑. พยัญชนะต้นเสียงเดียวกัน อาจใช้รูปพยัญชนะต่างกัน เช่น
พุธ ภุช
๒. พยัญชนะท้ายเสียงเดียวกันอาจใช้รูปพยัญชนะต่างกัน เช่น
ประพาส ประพาต
๓. พยัญชนะท้ายอาจมีรูปสระกำกับอยู่ด้วยในบางคำ แต่บางคำ
ก็ไม่มี เช่น เกตุ เกศ
๔. พยัญชนะท้ายอาจมีพยัญชนะตามมาโดยไม่ออกเสียงใน
บางคำ แต่บางคำก็ไม่มีพยัญชนะตามมา เช่น พุทธ พุธ
๕. ตัวการันต์อาจมีในบางคำ แต่บางคำก็ไม่มี เช่น พัน พันธ์
๖. ตัวการันต์อาจมีสระอยู่ด้วยหรือไม่มีก็ได้ เช่น พันธ์ พันธุ์
๗. ตัวการันต์มีได้ต่างๆ เช่น สรรค์ ศัลย์ สรรพ์
๘. สระเสียงเดียวกัน อ่านเขียนต่างกัน เช่น พรรณ พัน
๙. วรรณยุกต์เสียงเดียวกัน อาจใช้เครื่องหมายวรรณยุกต์ต่าง
กัน เช่น หน้า น่า

การสื่อสารเพื่อกิจธุระ

กิจธุระ หมายถึง การงานที่ประกอบเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนิน
ชีวิต อาจไม่เกี่ยวกับการขาดทุนหรือได้กำไร
ธุรกิจ หมายถึง กิจที่เกี่ยวกับการค้า เกี่ยวกับการลงทุน การได้
กำไรการขาดทุน
การรับสารและการส่งสารเกี่ยวกับกิจธุระให้ได้ผลดังประสงค์ ผู้
ส่งสารจำเป็นต้องปฏิบัติดังนี
๑. มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวของกิจธุระที่ส่งอย่างชัดเจน
๒. ส่งสารได้ตรงประเด็น
๓. ลำดับเรื่องราวของกิจธุระให้เข้าใจง่าย
๔. ให้รายละเอียดเพียงพอ
๕. ใช้ภาษาที่เหมาะสมกับเพศ วัย พื้นฐาน ประสบการณ์ และ
ความพร้อมของผู้รับสาร
๖. มีความตั้งใจ สนใจ และพยายามเข้าใจสารที่ได้รับ
๗. พยายามทบทวนให้เข้าใจตรงกันระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร
ความรู้ความเข้าใจของผู้ส่งสารสำคัญอย่างไร
ถ้าผู้ส่งสารไม่มีความรู้ ก็จะส่งสารได้ไม่ชัดเจน ให้รายละเอียด
ได้ไม่เพียงพอ หรือแสดงความไม่แน่ใจทำให้ผู้ฟังไม่เชื่อถือ
การส่งสารให้ตรงประเด็นจำเป็นอย่างไร
ผู้ส่งสารควรกล่าวแต่ประเด็นสำคัญเท่านั้นไม่ควรแทรกเรื่องอื่นๆ
ที่ไม่จำเป็น เพราะจะทำให้ผู้รับสารสับสน

การลำดับความในสารสำคัญอย่างไร
บางกรณี ผู้พูดไม่ได้เพลินเล่าเรื่องอื่น แต่เล่าเรื่องไม่เป็นลำดับ
เราสลับสับสนตามแต่จะนึกได้ ทำให้ผู้รับสารฟังตามหรืออ่าน
ตามไม่เข้าใจ
รายละเอียดของสารที่จะส่งควรมากหรือน้อยเพียงไร
ผู้ส่งสารควรเขียนชี้แจงเหตุผลโดยละเอียด ไม่เช่นนั้นผู้รับอ่าน
แล้วอาจจะยังข้องใจ
ภาษาที่ใช้สื่อสารควรระมัดระวังอย่างไร
คำพูดที่ใช้ควรให้เหมาะแก่เพศ ควาย ภูมิหลัง และประสบการณ์
ของผู้รับสาร
ความสนใจและความตั้งใจของผู้รับสารควรคำนึงถึงอย่างไร
แม้ผู้ส่งสารจะพยายามส่งสารอย่างชัดเจนเพียงใด แต่ถ้าผู้รับ
สารไม่สนใจและตั้งใจรับสารย่อมจับประเด็นไม่ได้ ผู้รับสารไม่
ควรมีอคติและมีความอดทนตามสมควร
การทบทวนให้เข้าใจตรงกันจำเป็นอย่างไร
จะทำให้ผู้รับสารเข้าใจถูกต้องและไม่เข้าใจผิดแปลกไปจากสิ่งที่
ผู้ส่งสารจะสื่อ

กลางภาค

ภาษาอังกฤษ
อ่าน-เขียน

บทที่1

capitalization

ใช้กับ -ชื่อคน -ชื่อสถานที่ -ชื่อแม่น้ำ -ชื่อหนังสือ

-ชื่อทวีป -ชื่อชื่อประเทศ -ชื่อเมือง -ชื่อสัญชาติ

-เชื้อชาติ -ภาษา -ชื่อสถาบัน -ชื่อองค์กร -หน่วยงาน

-สมาคม -สมาพันธ์ -วัน,สัปดาห์,เดือน -เทศกาล

-สรรพนาม i -คำอุทาน

paragraph writing

ในย่อหน้าที่ดี ต้องมีเอกภาพ มีความเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่อง

(coherence) เชื่อมโยงเนื้อหา (cohesion)โดยมีการลำดับ

ความ เช่นตามความสำคัญ มากสู่น้อย หรือน้อยสู่มาก เรียง

ตามเวลา สถานที่ ใช้คำเชื่อมโยงความ (transitions)

โครงสร้าง

Topic sentence Idea

1 – supporting details

– supporting details Idea

2 – supporting details มี4ย่อหน้า

– supporting details Idea

3 – supporting details

– supporting details

Sentence

ประกอบด้วย 3 ส่วน

1. ประธานในประโยค (Subject) = ผู้กระทำ

2. คำกริยา (Verbs) = การกระทำ

3. กรรม (Object) = ผู้ถูกกระทำ

โครงสร้างพื้นฐาน

1. Sentence : One Subject

S +VeVrbs
ใคร+ทำ

โครงสร้างประเภทนี้เรียกว่า กริยาไม่ต้องการกรรม

- intransitive verb เช่น

I stand. = ฉันยืน

you sit. = คุณนั่ง

He sleeps. = เขานอน

She runs. = หล่อนวิ่ง

สามารถเติมคำเข้าไปให้ชัดเจนขึ้นก็ได้

I stand here. = ฉันยืนตรงนี้

You sit there. = คุณนั่งตรงนั้น

He sleeps on the sofa. = เขานอนบนโซฟา

She runs quickly. = หล่อนวิ่งอย่างรวดเร็ว

2. Sentence : Two Subject Object

S +VeVrb+sO
ใคร+ทำ+อะไร

โครงสร้างประเภทนี้เรียกว่า กริยาต้องการกรรม

-transitive verb เช่น

I eat rice. = ฉันกินข้าว

you buys a car. = คุณซื้อรถยนต์

He likes cats. = เขาชอบแมว

She clean the room. = หล่อนทำความสะอาดห้อง

สรุป จะเติมกรรมหรือไม่เติมกรรมก็ได้

บทที่2

adjectives
คุณศัพท์ในประโยคจะวางได้ 2 แบบ
1. ใช้วางประกอบข้างหน้านาม ( attributive use ) ที่มัน
ขยาย เช่น
- She is a beautiful girl. เธอเป็นคนสวย
( beautiful ขยายนาม girl)
- These are small envelopes. พวกนี้เป็นซองเล็กๆ
( small ขยายนาม envelopes)
2. ใช้วางเป็นส่วนของกริยา ( predicative use ) โดยอยู่ตาม
หลัง verb to be เมื่อ adjective นั้นขยาย noun หรือ
pronoun ที่อยู่หน้า verb to be เช่น
- The girl is beautiful. เด็กผู้หญิงคนนั้นสวย
(beautiful เป็นคุณศัพท์ที่ตามหลัง verb to be ขยาย girl
และ the เป็นคุณศัพท์ขยาย girl)
- These envelopes are small. ซองพวกนี้มีขนาดเล็ก
( small เป็นคุณศัพท์ที่ตามหลัง verb to be ขยาย
envelopes ,these เป็น คุณศัพท์ขยาย envelopes )
- She has been sick all week. เธอป่วยมาตลอดอาทิตย์
( sick เป็น คุณศัพท์ ที่ตามหลัง verb to be ขยายสรรพนาม
she )

Comparative and Superlative
Comparative เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นความมากกว่าหรือ
น้อยกว่าของ 2 สิ่ง ไม่ว่าจะเป็นในแง่ใดก็ตาม โดยมีโครงสร้าง
ประโยคแบบง่ายๆ ในการเปรียบเทียบแบบมากกว่าคือ

S + V. to be + Comparative adj. + than + O
เช่น The elephant is bigger than the cow. (ช้างตัวใหญ่
กว่าวัว)
แต่ถ้าหากเราต้องการเปรียบเทียบในเชิงน้อยกว่า ก็ให้เติม less
ซึ่งแปลว่าน้อยกว่าไว้ด้านหน้า comparative adjective ดังนี้

S + V. to be + less + Comparative adj. + than + O
เช่น The cow is less bigger than the elephant. (ช้างตัว
ใหญ่น้อยกว่าวัว)
วิธีเปลี่ยน Adjective ให้เป็น Comparative Adjective
มีหลักการเปลี่ยนอยู่ 3 แบบด้วยกัน คือ
1. adj. + -er
ส่วนใหญ่มักใช้กับคำคุณศัพท์ที่มีความยาว 1-2 พยางค์ เช่น
bigger (ใหญ่กว่า), smaller (เล็กกว่า), calmer (ใจเย็นกว่า)
โดยวิธีนี้หากคำคุณศัพท์ลงท้ายด้วย y จะต้องตัด y ออกแล้ว
เติม -er เข้าไป อย่างเช่น dirty => dirtier (สกปรกกว่า),
easy => easier (ง่ายกว่า)

2. more + adj.
วิธีนี้มักใช้กับคำคุณศัพท์ที่มีความยาว 3 พยางย์ขึ้นไป เช่น
more beautiful (สวยกว่า), more generous (มีเมตตา
มากกว่า), more difficult (ยากกว่า)
แต่ก็มีบางครั้งทีใช้กับคำคุณศัพท์ที่ยาวไม่ถึง 3 พยางค์เหมือน
กัน เช่น more honest (ซื่อสัตย์กว่า), more handsome
(หล่อเหลากว่า)
3. เปลี่ยนรูปแบบพิเศษ คำคุณศัพท์บางคำจะไม่เปลี่ยนรูป
เหมือน 2 แบบข้างต้น แต่จะเปลี่ยนรูปไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งต้อง
อาศัยวิธีการท่องจำ เช่น good => better (ดีกว่า), far =>
farther (ไกลกว่า)
Superlative เป็นการเปรียบเทียบสิ่งของตั้งแต่ 3 สิ่งขึ้นไป
หรือในหมวดหมู่เดียวกันทั้งหมด ว่าสิ่งนั้นดีหรือมากที่สุดแล้ว มี
โครงสร้างประโยคง่ายๆ คือ

S + V. to be + the + Superlative adj.
เช่น I’m the richest person in this town. (ฉันเป็นคนที่
รวยที่สุดในเมืองนี้)
และหากต้องการเปรียบเทียบในเชิงน้อยหรือแย่ที่สุด ให้เติม
least ลงไปหน้า superlative adjective แบบนี้

S + V. to be + the + least + Superlative adj.

เช่น Reading is the least interesting hobby for me.
(การอ่านหนังสือเป็นงานอดิเรกที่น่าสนใจน้อยที่สุดสำหรับฉัน)
การเปลี่ยน Adjective เป็น Superlative Adjective
ในการนำคำคุณศัพท์ (adj.) มาเปลี่ยนให้เป็นคำคุณศัพท์
เปรียบเทียบขั้นสูงสุด (superlative adj.)
ก็มีหลักการเปลี่ยนอยู่ 3 แบบเช่นกัน คือ
1. the + adj. + -est
ส่วนใหญ่มักใช้กับคำคุณศัพท์ที่มีความยาว 1-2 พยางค์
เช่น the greatest (ยิ่งใหญ่ที่สุด), the tallest (สูงที่สุด)
โดยวิธีนี้หากคำคุณศัพท์ลงท้ายด้วย y จะต้องตัด y ออกแล้ว
เติม -est เข้าไป อย่างเช่น pretty => the prettiest (น่า
รักที่สุด), lazy => the laziest (ขี้เกียจที่สุด)
2. the + most + adj.
วิธีนี้มักใช้กับคำคุณศัพท์ที่มีความยาว 3 พยางย์ขึ้นไป
เช่น the most expensive (แพงที่สุด), the most
important (สำคัญที่สุด)
แต่ก็มีบางครั้งทีใช้กับคำคุณศัพท์ที่ยาวไม่ถึง 3 พยางค์เหมือน
กัน เช่น the most honest (ซื่อสัตย์ที่สุด), the most
handsome (หล่อเหลาที่สุด) เป็นต้น

3. เปลี่ยนรูปแบบพิเศษ คำคุณศัพท์บางคำจะไม่เปลี่ยนรูป
เหมือน 2 แบบข้างต้น แต่จะเปลี่ยนรูปไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งต้อง
อาศัยวิธีการท่องจำ โดยคำไหนที่เปลี่ยนรูปแบบพิเศษในการ
เปรียบเทียบขั้นกว่า ก็จะเปลี่ยนรูปแบบพิเศษในการเปรียบ
เทียบขั้นสุดเช่นกัน เช่น good => the best (ดีที่สุด), bad
=> the worst (แย่ที่สุด) เป็นต้น


Click to View FlipBook Version