The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือขอต้อนรับสู่การเขียนโปรแกรม เสร็จ(9)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Moon Moon, 2024-02-12 09:17:14

หนังสือขอต้อนรับสู่การเขียนโปรแกรม เสร็จ(9)

หนังสือขอต้อนรับสู่การเขียนโปรแกรม เสร็จ(9)

4.การใช้งานค่าเริ่มต้นของพารามิเตอร์ (Default Parameter Values):สามารถกำหนดค่าเริ่มต้นให้กับพารามิเตอร์ได้ 5.การใช้งานคีย์เวิร์ดอาร์กิวเมนต์ (Keyword Arguments): สามารถใช้ชื่อพารามิเตอร์เมื่อเรียกใช้ฟังก์ชันได้ 6.การรีเทิร์นค่า (Return Values): ใช้ return เพื่อส่งค่ากลับจากฟังก์ชัน 7.ฟังก์ชันแบบไม่มีการรีเทิร์น (Void Functions): ถ้าไม่มีคำสั่ง return, ฟังก์ชันจะส่งค่า None กลับ การสร้างและใช้งานฟังก์ชันช่วยให้โค้ดมีโครงสร้างที่เรียบร้อย, ลดการ ทำซ้ำของโค้ด, และทำให้โปรแกรมง่ายต่อการเข้าใจและบำรุงรักษา ฟังก์ชันเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพและ ยืดหยุ่น


การแบ่งโปรแกรมเป็นส่วนๆ การแบ่งโปรแกรมเป็นส่วนๆ (Code Organization) เป็นการจัด ระเบียบโค้ดของคุณในลักษณะที่มีความเป็นระเบียบและง่ายต่อ การบำรุงรักษา. นี่คือบางแนวทางที่มักถูกนำมาใช้ 1.โครงสร้างไฟล์: แบ่งโปรแกรมเป็นไฟล์ย่อยๆ โดยให้แต่ละไฟล์มีหน้าที่หนึ่งๆ เพื่อ ทำให้โค้ดมีระเบียบ..ไฟล์หลัก (main file) ที่เริ่มต้นทำงาน สามารถ import ไฟล์ย่อยเพื่อให้โค้ดทำงาน. 2.ฟังก์ชันและคลาส: แยกโค้ดออกเป็นฟังก์ชันหรือคลาสตามหน้าที่ของแต่ละส่วน. การใช้ฟังก์ชันช่วยให้โค้ดมีความยืดหยุ่นและน่าเข้าใจมากขึ้น.


3.คอมเมนต์และเอกสาร: เพิ่มคอมเมนต์ที่ช่วยในการอธิบายโค้ด. สร้างเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัตถุประสงค์, การใช้งาน, และอื่นๆ 4.โครงสร้างของโปรแกรม: ใช้โครงสร้างเชิงลำดับ, เงื่อนไข, วงวน, และฟังก์ชันเพื่อแบ่ง โปรแกรมเป็นส่วนๆ. จัดโค้ดให้มีโครงสร้างที่เป็นระเบียบ. 5.ทดสอบและการบำรุงรักษา: เขียนรหัสทดสอบเพื่อทดสอบฟังก์ชันแต่ละอัน. ประสานงานในทีมเพื่อตรวจสอบโค้ดและแก้ไขข้อผิดพลาด.


6.นามสกุลไฟล์และโครงสร้างโฟลเดอร์: ใช้นามสกุลไฟล์ที่เหมาะสม (เช่น .py สำหรับ Python). แบ่งโค้ดเป็นโฟลเดอร์ตามหัวข้อหรือฟังก์ชัน. 7.การนำเข้าและการสืบทอด: ใช้การนำเข้า (import) เพื่อนำเข้าโมดูลหรือไลบรารีที่จำเป็น. ใช้การสืบทอด (inheritance) เพื่อนำเข้าคุณสมบัติของคลาสมา ใช้. 8.การใช้ Version Control: ใช้ระบบควบคุมเวอร์ชันเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงในโค้ด. Git เป็นตัวเลือกที่ดีในการบริหารโค้ด


การแบ่งโปรแกรมเป็นส่วนๆ ช่วยให้โค้ดมีความระเบียบและง่าย ต่อการบำรุงรักษา. นอกจากนี้, การใช้หลักการพื้นฐานของการ เขียนโปรแกรมและการออกแบบซอฟต์แวร์ที่ดียิ่งเป็นประโยชน์ใน การทำให้โปรแกรมมีประสิทธิภาพและสามารถเพิ่มความยืดหยุ่น ได้ในอนาคต


การจัดการข้อผิดพลาด การจัดการข้อผิดพลาดเป็นส่วนสำคัญของการเขียนโปรแกรมที่ ประสบความสำเร็จ. นี่คือหลายทักษะและแนวทางที่สามารถใช้ใน การจัดการข้อผิดพลาดในโปรแกรม 1.การใช้ try, except, else, และ finally: try: ใส่โค้ดที่เป็นไปได้ที่อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด. except: ใส่โค้ดที่จะทำงานเมื่อมีข้อผิดพลาด. else: ใส่โค้ดที่จะทำงานถ้าไม่มีข้อผิดพลาด. finally: ใส่โค้ดที่จะทำทุกกรณี, ไม่ว่าจะเกิดข้อผิดพลาดหรือไม่


2.การใช้ raise เพื่อเรียกใช้ข้อผิดพลาด raise สามารถใช้เพื่อเรียกใช้ข้อผิดพลาดที่กำหนดเองหรือ ข้อผิดพลาดที่มีอยู่แล้ว 3.การใช้ assert เพื่อตรวจสอบเงื่อนไข: assert ใช้เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขและเกิดข้อผิดพลาดถ้าเงื่อนไข เป็นเท็จ 4.การจัดการข้อผิดพลาดแบบแยกประเภท: แยกประเภทของข้อผิดพลาดและจัดการกับแต่ละประเภทตาม ความเหมาะสม. สามารถใช้หลายบล็อก except เพื่อจัดการกับข้อผิดพลาดที่ แตกต่างกัน


5.การใช้ Context Manager ด้วย with ใช้ with เพื่อรับประกันว่าทรัพยากร (เช่นไฟล์) จะถูกปิดทันทีเมื่อ สิ้นสุดการใช้งาน 6.การใช้ Logging เพื่อบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับข้อผิดพลาด: ใช้โมดูล logging เพื่อบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับข้อผิดพลาดและข้อมูล ที่สำคัญ การจัดการข้อผิดพลาดเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้โปรแกรมของคุณ ทำงานได้อย่างเสถียรและปลอดภัย. การใช้งานเทคนิคต่าง ๆ ที่ กล่าวถึงข้างต้นจะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับข้อผิดพลาดใน โปรแกรมของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ


การตรวจจับและแก้ไขข้อผิดพลาด การตรวจจับและแก้ไขข้อผิดพลาด (Error Handling) เป็นส่วน สำคัญในการพัฒนาโปรแกรมเพื่อให้โปรแกรมทำงานได้อย่าง เสถียรและปลอดภัย. นี่คือบางแนวทางที่ใช้ในการตรวจจับและ แก้ไขข้อผิดพลาด 1.การใช้ try, except, else, และ finally: try: ใส่โค้ดที่อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด. except: ใส่โค้ดที่จะทำงานเมื่อมีข้อผิดพลาด. else: ใส่โค้ดที่จะทำงานถ้าไม่เกิดข้อผิดพลาด. finally: ใส่โค้ดที่จะทำทุกกรณี, ไม่ว่าจะเกิดข้อผิดพลาดหรือไม่


2.การใช้ except โดยไม่ระบุประเภทข้อผิดพลาด: สามารถใช้ except โดยไม่ระบุประเภทข้อผิดพลาดเพื่อจับ ข้อผิดพลาดทุกประเภทที่เกิดขึ้น 3.การให้ข้อมูลเพิ่มเติมในข้อผิดพลาด: สามารถให้ข้อความหรือข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อเกิดข้อผิดพลาด 4.การใช้ finally เพื่อทำคำสั่งที่ต้องการให้ทำทุกกรณี: ใช้ finally เพื่อรันโค้ดที่ต้องการให้ทำทุกกรณี, ไม่ว่าจะเกิด ข้อผิดพลาดหรือไม่


5.การใช้ raise เพื่อเรียกใช้ข้อผิดพลาด: raise สามารถใช้เพื่อเรียกใช้ข้อผิดพลาดที่มีอยู่แล้วหรือที่กำหนด เอง 6.การใช้ assert เพื่อตรวจสอบเงื่อนไข: assert ใช้เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขและเกิดข้อผิดพลาดถ้าเงื่อนไข เป็นเท็จ 7.การใช้ Context Manager ด้วย with: ใช้ with เพื่อรับประกันว่าทรัพยากร (เช่นไฟล์) จะถูกปิดทันทีเมื่อ สิ้นสุดการใช้งาน


8.การใช้ Logging เพื่อบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับข้อผิดพลาด: ใช้โมดูล logging เพื่อบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับข้อผิดพลาดและข้อมูล ที่สำคัญ การจัดการข้อผิดพลาดมีความสำคัญเพราะมันช่วยให้โปรแกรม ทำงานได้อย่างเสถียรและปลอดภัย, และช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถ ติดตามและแก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้น


วิธีการทดสอบและดีบัค การทดสอบและดีบัคเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาซอฟต์แวร์. นี่คือบางแนวทางที่ใช้ในกระบวนการทดสอบและดีบัค การทดสอบ (Testing) 1.การเขียนทดสอบอัตโนมัติ (Automated Testing): ใช้เครื่องมือทดสอบอัตโนมัติเพื่อทดสอบระบบโดยอัตโนมัติ. โครงสร้างทดสอบเป็นส่วนสำคัญในการทดสอบอัตโนมัติ 2.การทดสอบหน่วย (Unit Testing): ทดสอบฟังก์ชันหรือโมดูลแต่ละส่วนของโปรแกรมโดยเรียกใช้งาน โดยเร็วและอิสระจากส่วนอื่น. ใช้โครงการทดสอบเช่น unittest (Python) หรือ JUnit (Java).


3.การทดสอบรวม (Integration Testing): ทดสอบการทำงานร่วมกันของส่วนต่าง ๆ ของระบบ. ตรวจสอบว่าส่วนต่าง ๆ ของระบบสามารถทำงานร่วมกันได้ ถูกต้องหรือไม่ 4.การทดสอบระบบ (System Testing): ทดสอบระบบทั้งหมดโดยให้ผลลัพธ์มีความเป็นไปตามความ ต้องการ. ทดสอบการทำงานของระบบในสภาพแวดล้อมจริง 5.การทดสอบประสิทธิภาพ (Performance Testing): ทดสอบประสิทธิภาพของระบบในเงื่อนไขต่าง ๆ และใน สภาพแวดล้อมที่ทำงานจริง. ตรวจสอบว่าระบบสามารถทำงานได้โดยมีประสิทธิภาพ


ดีบัค (Debugging) 1.การใช้ Logger หรือการพิมพ์ข้อมูล (Print Statements): ใส่คำสั่ง print เพื่อแสดงค่าตัวแปรหรือข้อมูลต่าง ๆ เพื่อ ตรวจสอบค่าในระหว่างการทำงาน 2.การใช้ Debugger: ใช้เครื่องมือ Debugger เพื่อทำความเข้าใจว่าโปรแกรมทำงาน อย่างไรและตรวจสอบค่าต่าง ๆ ในขณะที่โปรแกรมทำงาน 3.การใช้ Assert Statements: ใช้ assert statements เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขที่คาดหวังและเกิด ข้อผิดพลาดถ้าเงื่อนไขไม่เป็นจริง


4.การทดสอบข้อความ (Code Reviews): ให้ผู้รีวิวตรวจสอบโค้ดเพื่อค้นหาข้อผิดพลาดที่อาจจะถูกมองข้าม 5.การตรวจสอบ Log Files: ดู Log Files เพื่อตรวจสอบข้อผิดพลาดหรือข้อมูลที่มีประโยชน์ 6.การใช้ Exception Handling:ใช้ try, except, else, และ finally เพื่อจัดการกับข้อผิดพลาด


7.การทดสอบ Edge Cases: ทดสอบข้อมูลของกรณีพิเศษหรือที่ไม่ได้คาดหวังเพื่อดูว่า โปรแกรมสามารถจัดการได้ การทดสอบและดีบัคเป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างใกล้ชิดใน ขณะที่พัฒนาซอฟต์แวร์. การใช้เทคนิคทั้งหลายเพื่อทดสอบและ ดีบัคจะช่วยให้คุณสามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพและ ปลอดภัยมากขึ้น.


การประยุกต์ใช้ การประยุกต์ใช้วิธีการทดสอบและดีบัคเป็นส่วนสำคัญในการ พัฒนาซอฟต์แวร์. นี่คือวิธีการประยุกต์ใช้ทั้งสองด้าน 1. การประยุกต์ใช้ทดสอบ (Application of Testing): 1.1 ทดสอบอัตโนมัติ (Automated Testing): สร้างทดสอบอัตโนมัติเพื่อทดสอบฟังก์ชันและส่วนต่าง ๆ ของ โปรแกรมสร้างชุดทดสอบที่ครอบคลุมทุกกรณีที่เป็นไปได้. 1.2 ทดสอบหน่วย (Unit Testing):เขียนทดสอบที่ทำการทดสอบ ฟังก์ชันหรือโมดูลแต่ละส่วนของโปรแกรม.ใช้เครื่องมือทดสอบ หน่วยเพื่อการทดสอบแบบอัตโนมัติ.


1.3 ทดสอบรวม (Integration Testing):สร้างทดสอบที่ทดสอบ การทำงานร่วมกันของส่วนต่าง ๆ ของโปรแกรมตรวจสอบการ สื่อสารและการทำงานร่วมกันของคอมโพเนนต์. 1.4 ทดสอบระบบ (System Testing):ทดสอบระบบโดยเรียกใช้ ทุกฟังก์ชันและคุณสมบัติ.สร้างทดสอบที่ทดสอบกรณีการใช้งาน ทั้งหมดของระบบ. 1.5 ทดสอบประสิทธิภาพ (Performance Testing):ทดสอบ ประสิทธิภาพของระบบในเงื่อนไขต่าง ๆตรวจสอบการตอบสนอง, การประมวลผล, และการใช้ทรัพยากร


2. การประยุกต์ใช้ดีบัค (Application of Debugging): 2.1 การใช้ Logger หรือการพิมพ์ข้อมูล (Print Statements): ใส่คำสั่ง print เพื่อแสดงข้อมูลต่าง ๆ ที่มีปัญหาหรือเพื่อทำความ เข้าใจการทำงานของโปรแกรม. 2.2 การใช้ Debugger:ใช้เครื่องมือ Debugger เพื่อวิเคราะห์การ ทำงานของโปรแกรมทีละขั้นตอนจับข้อผิดพลาดและดูค่าตัวแปร ที่มีปัญหา. 2.3 การใช้ Assert Statements:ใช้ assert statements เพื่อ ตรวจสอบเงื่อนไขที่คาดหวังและเกิดข้อผิดพลาดถ้าไม่ตรง.


2.4 การทดสอบข้อความ (Code Reviews):ใช้การตรวจสอบโค้ด โดยผู้รีวิวเพื่อค้นหาข้อผิดพลาดที่อาจจะมองข้าม. 2.5 การตรวจสอบ Log Files:ดู Log Files เพื่อตรวจสอบ ข้อผิดพลาดหรือข้อมูลที่สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์. 2.6 การใช้ Exception Handling:ใช้ try, except, else, และ finally เพื่อจัดการกับข้อผิดพลาด การทดสอบและดีบัคคือกระบวนการที่ต้องทำอย่างใกล้ชิดใน กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์. การประยุกต์ใช้ทั้งสองด้านนี้ช่วย ให้โปรแกรมมีความเสถียรและปลอดภัย


ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในโปรเจ็คจริง 1. การทดสอบ (Testing): 1.1 ทดสอบอัตโนมัติ (Automated Testing): ใช้โครงสร้างทดสอบอัตโนมัติเช่น pytest เพื่อทดสอบฟังก์ชัน หลัก # ตัวอย่างโค ้ดทดสอบอัตโนมัติ def test_add_to_cart(): cart = ShoppingCart() product = Product("Laptop", 1000) cart.add_to_cart(product) assert cart.total == 1000


1.2 ทดสอบหน่วย (Unit Testing): ทดสอบแต่ละส่วนของโค้ดเพื่อให้มั่นใจว่าฟังก์ชันแต่ละส่วน ทำงานถูกต้อง # ตัวอย่างโค ้ดทดสอบหน่วย def test_calculate_discount(): product = Product("Mouse", 20) assert product.calculate_discount(0.1) == 18


1.3 ทดสอบรวม (Integration Testing): ทดสอบการทำงานร่วมกันของคลาสต่าง ๆ เช่นการเพิ่มสินค้าใน ตะกร้าและการคำนวณราคา. # ตัวอย่างโค ้ดทดสอบรวม def test_checkout_process(): cart = ShoppingCart() product = Product("Keyboard", 50) cart.add_to_cart(product) order = Order(cart) order.process_checkout() assert order.status == "Completed"


1.4 ทดสอบระบบ (System Testing): ทดสอบระบบในทั้งหมดโดยการทำธุรกรรมต่าง ๆ เช่นการสั่งซื้อ, การชำระเงิน, และการจัดส่ง # ตัวอย่างโค ้ดทดสอบระบบ def test_order_process(): customer = Customer("John Doe", "[email protected]") product = Product("Monitor", 200) order = customer.create_order(product, quantity=2) assert order.total_price == 400 order.process_payment("Credit Card") assert order.status == "Shipped"


2. การดีบัค (Debugging): 2.1 การใช้ Logger หรือการพิมพ์ข้อมูล (Print Statements): ใส่คำสั่ง print เพื่อตรวจสอบค่าตัวแปรหรือข้อมูลที่มีปัญหา # ต ั วอยา่งโคด้ ใส่ print statements ส าหร ั บ ดีบัค def calculate_discount(price, discount_rate): discounted_price = price * (1 - discount_rate) print(f"Discounted Price: {discounted_price}") return discounted_price


2.2 การใช้ Debugger: ใช้ Debugger เพื่อวิเคราะห์ค่าตัวแปรและสถานะของโปรแกรม ในขณะที่ทำงาน # ต ั วอยา่งโคด้ ใช้Debugger def calculate_total_price(products): total_price = 0 for product in products: total_price += product.price import pdb; pdb.set_trace() # Debugger breakpoint return total_price


2.3 การใช้ Assert Statements: ใช้ assert statements เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขที่คาดหวังและเกิด ข้อผิดพลาดถ้าไม่ตรง # ต ั วอยา่งโคด้ ใช้assert statements ส าหร ั บ ดีบัค def calculate_discount(price, discount_rate): discounted_price = price * (1 - discount_rate) assert discounted_price >= 0, "Discounted price should not be negative." return discounted_price


2.4 การทดสอบข้อความ (Code Reviews): ให้ผู้รีวิวตรวจสอบโค้ดเพื่อค้นหาข้อผิดพลาดที่อาจจะถูกมองข้าม 2.5 การตรวจสอบ Log Files: ดู Log Files เพื่อตรวจสอบข้อผิดพลาดหรือข้อมูลที่สามารถให้ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์. การทดสอบและดีบัคเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาโปรแกรม. การประยุกต์ใช้เทคนิคต่าง ๆ ในโปรเจ็คจริงช่วยให้ทราบถึง ปัญหาและปรับปรุงโค้ดอย่างมีประสิทธิภาพ


ที่มาของแนวทางการพัฒนาเพิ่มเติม การพัฒนาซอฟต์แวร์และการเขียนโปรแกรมมีแนวทางและ หลักการหลายประการที่มีที่มาจากประสบการณ์ในวงการและ การวิจัยด้านคอมพิวเตอร์ นี่คือบางแหล่งที่มีผลต่อแนวทางการ พัฒนาซอฟต์แวร์: 1.Object-Oriented Programming (OOP): ที่มา: แนวคิด OOP ได้รับความกระตือรือร้นในช่วงกลางถึงปลา ยุค 1980s และได้รับการพัฒนาจากแนวคิดของการโปรแกรมเชิง วัตถุ (Object-Oriented Programming) และการพัฒนา ซอฟต์แวร์เชิงวัตถุ. ผลกระทบ: OOP ช่วยให้โปรแกรมมีโครงสร้างที่มีประสิทธิภาพ และสามารถนำไปใช้ในโครงการขนาดใหญ่ได้.


2.Functional Programming (FP): ที่มา: FP เกิดขึ้นในช่วงต้นยุค 1930s จากงานวิจัยทาง คณิตศาสตร์และวิทยาคอมพิวเตอร์. ผลกระทบ: FP ช่วยให้โปรแกรมมีโครงสร้างที่มีความแม่นยำและ ลดปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสถานะ 3.Design Patterns: ที่มา: แนวคิดของ Design Patterns มาจากหนังสือ "Design Patterns: Elements of Reusable Object-Oriented Software" โดย Erich Gamma, Richard Helm, Ralph Johnson, และ John Vlissides (Gang of Four). ผลกระทบ: Design Patterns ช่วยให้นักพัฒนาสามารถใช้ แนวทางและโครงสร้างที่ได้รับการทดสอบและยืนยันแล้ว.


4.Test-Driven Development (TDD): ที่มา: TDD ได้รับความสนใจมาจากการให้ความสำคัญกับการ ทดสอบและการพัฒนารหัสโปรแกรมที่ได้รับการทดสอบ. ผลกระทบ: TDD ช่วยให้นักพัฒนามีรหัสที่มีคุณภาพและการ ปรับปรุงรหัสได้รวดเร็ว 5.Agile Methodologies: ที่มา: Agile Manifesto เกิดขึ้นจากความต้องการในการพัฒนา ซอฟต์แวร์ที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวตลอดการพัฒนา. ผลกระทบ: กระบวนการ Agile ช่วยให้ทีมพัฒนาสามารถ ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว


7.DevOps Practices: ที่มา: DevOps เกิดขึ้นจากความต้องการในการรวมทีมพัฒนา และทีมดูแลระบบเข้าด้วยกันเพื่อลดระยะเวลาในการนำเสนอ และเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน. ผลกระทบ: DevOps ช่วยให้ทีมพัฒนาสามารถนำเสนอ ซอฟต์แวร์ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย การนำเอาแนวทางและหลักการต่าง ๆ ที่ได้รับการพัฒนามานี้มา ประยุกต์ใช้ในการเขียนโปรแกรมช่วยให้นักพัฒนามีกรอบการ ทำงานที่มีประสิทธิภาพและสามารถตอบสนองต่อความต้องการ ของโปรเจ็คได้ดีขึ้น


Click to View FlipBook Version