The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หน่วยที่ 4 ปรสิตและศัตรูของสัตว์น้ำ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sumate962, 2023-03-28 04:08:15

หน่วยที่ 4 ปรสิตและศัตรูของสัตว์น้ำ

หน่วยที่ 4 ปรสิตและศัตรูของสัตว์น้ำ

หน่วยที่ 4 ปรสิตและศัตรูของสัตว์น้ำ คำว่า Parasite ในภาษาไทยมีหลายคำแล้วแต่นิยม เช่น พาราไซท์ , ปาราสิต , ปรสิต, พยาธิ มีต้นกำเนิดมาจากภาษากรีก para แปลว่า ข้างเคียง รวมกับ sitos แปลว่า อาหาร Parasite หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่มีเซลล์เดียวหรือหลายเซลล์ก็ได้ที่อาศัยอยู่บนสิ่งมีชีวิตอื่นและ เป็นฝ่ายได้ประโยชน์จากการอยู่ร่วมกัน มีอยู่ 2 ประเภท 1. External parasite หรือ Ectoparasite ปรสิตภายนอกอยู่ตามบริเวณ ผิวหนัง ครีบ เกล็ด ช่องปาก ซี่เหงือก ลูกนัยต์ตา 2. Internal parasite หรือ Endoparasite ปรสิตที่อาศัยอยู่ภายใน Hostอยู่ภายในระบบ ทางเดินอาหาร อวัยวะภายใน ระบบเลือดและระบบอื่น ๆ การจัดจำแนกเป็นไปได้อย่างกว้างขวางแล้วแต่จะยึดอะไรเป็นหลัก การจำแนกสามารถจำแนกได้ดังนี้ 1. โปรโตซัว (Protozoa) โปรโตซัว เป็นสัตว์เซลล์เดียว และภายในเซลล์จะมีอวัยวะต่าง ๆ สืบพันธุ์โดยการแบ่งตัว ที่ทำหน้าที่ได้ได้คล้ายกับสัตว์ชั้นสูง ได้แก่ 1.1 โรคอิ๊ค หรือ โรคจุดขาว (Ciliasis) ชื่อวิทยาศาสตร์ Ichthyophthirius multifilis. ลักษณะสำคัญ โปรโตซัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เกิดปัญหามากปลาน้ำจืด เช่น ปลาดุก ปลานิล ปลาสวยงาม หรือปลาตู้จะพบมากกว่าปลาที่เลี้ยงในธรรมชาติ รูปร่างลักษณะ รูปไข่เกือบกลม ขนาดประมาณ 50 ไมครอน – 1 มม. มีขน (cilia) รอบตัว ลักษณะเด่น คือ มีนิวเคลียสรูปเกือกม้า เมื่อเข้าเกาะตัวปลาได้แล้วมันจะพยายามฝังตัวเข้าไป ใต้ผิวหนังชั้นนอกและเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัย เมื่อมีสิ่งแปลกปลอกเข้าไปอยู่ใต้ผิวหนัง จะกระตุ้นให้ ปลาสร้างเซลล์ผิวหนังชั้นนอกมาหุ้มปาราสิต , ทำให้บริเวณนั้นกลายเป็นจุดขาว ๆ จึงมีคนนิยมเรียกว่า โรคจุดขาว วงจรชีวิต เมื่อปรสิตเจริญเต็มวัยจะหลุดออกจากตัวปลา ว่ายน้ำเป็นอิสระหรือเกาะอยู่ที่ พื้น ต่อจากนั้นก็จะสร้างเกราะหุ้มตัว เพื่อแบ่งเซลล์ขยายพันธุ์เป็นตัวอ่อนที่เรียกว่า โทไมท์ (tomite) ใน 1 เกราะ จะมี tomite 500 – 2,000 ตัว เมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสมเกราะจะแตกออก โทไมท์ จะว่ายน้ำเข้าเกาะปลาต่อไป ถ้าหากเกาะไม่ติดภายใน 48 ชั่วโมง ก็จะตาย วงจรชีวิตใช้ประมาณ 6 วัน ที่อุณหภูมิประมาณ 4-5 o C วงจรชีวิตใช้ประมาณ 10-12 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิประมาณ 26 – 27 o C อาการ การฝังตัวของอิ๊คเข้าสู่ใต้ผิวหนัง ทำให้ปลาระคายเคือง ปลาจะเอาตัวของมันถูตาม ข้าง ๆ บ่อหรือตู้กระจก หรือวัตถุอื่นๆ กระโดดจากพื้นบ่อมาเหนือผิวน้ำมีเมือกมาก บริเวณที่ถูกเกาะมี อาการบวม การป้องกันรักษา - ยังไม่มีวิธีรักษาหรือกำจัดปาราสิตที่ฝังอยู่ใต้ผิวหนัง แต่จะกำจัดโทไมท์ในน้ำหรือตัวเต็มวัยที่ ว่ายน้ำอิสระ อาจใช้สารเคมีดังนี้ 1. Formalin 150 - 200 ppm. แช่นาน 1 ชั่วโมง หรือ 25 - 50 ppm. แช่ตลอดไป 2. มาลาไทด์กรีน 1.0 - 125 ppm. แช่นาน 30 นาที 3. (1)+(2 ) 25 ppm. + 0.15 ppm. แช่ติดต่อกัน 7 วัน ที่อุณหภูมิ27– 28 o C


15 วิธีป้องกันดีที่สุด 1. ก่อนนำมาเลี้ยง ควรขังดูก่อนประมาณ 7 วัน ว่าติดเชื้อ Ich หรือไม่ 2. ก่อนย้ายปลาจากตู้เมื่อเกิดโรคขึ้น ควรใส่ formalin 100 – 150 ppm. ทำลายปาราสิตก่อนแล้วจึงถ่ายน้ำทิ้ง 1.2 โรคจุดเหลือง ชื่อวิทยาศาสตร์ Oodinium sp. รูปร่างลักษณะ รูปร่างกลมหรือรีเล็กน้อย ขนาด 100 - 150 ไมครอน มีอวัยวะคล้ายแส้ 2 เส้น ปกติมองไม่เห็นต้องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูง ๆ ลักษณะที่เด่นเฉพาะ คือ มีเม็ด คลอโรพลาสต์ สีน้ำตาลปนเหลือง จึงเห็นว่าภายในลำตัวดูเหมือนมีฟองสบู่เล็ก ๆ จำนวนมากอัดกันอยู่ สืบพันธุ์โดยการแบ่งตัว ชอบเกาะตามบริเวณที่ไม่มีเกล็ด ตามโคนครีบ และพบว่าฝังใต้ผิวหนังด้วย บริเวณที่ปรสิตเกาะจะมีสีขุ่น หรือเหลืองปนน้ำตาล เป็นหย่อมๆ จึงเรียกว่า “โรคจุดเหลือง” สามารถทำ ให้ปลาวัยอ่อนตายภายใน 1-2 สัปดาห์ การป้องกันรักษาเช่นเดียวกับ Ich 1. formalin 25-50 ppm. แช่ตลอด 2. มาลาไทด์กรีน 1.0 - 1.25 ppm. แช่ 30 นาที นาน 7 วัน 1.3 กระสวยสองหาง ชื่อวิทยาศาสตร์ Henneguya sp. รูปร่างลักษณะ ลำตัวเรียวยาวคล้ายกระสวย ส่วนหัวมีหนวด คล้าย flagella 2 เส้นขดเป็น เกลียวคล้ายกระเปาะ 2 กระเปาะ ยืดหดได้ ตรงกลางลำตัวมีถุงของเหลว ส่วยท้ายมี 2 หาง บริเวณที่พบ ซี่เหงือก และผิวหนัง ในปลาน้ำจืดที่เลี้ยงทั่วไป ปรสิตว่ายน้ำเข้าเกาะกับตัวปลา โดยพยายามจะฝังใต้ผิวหนัง และเหงือก เพื่อการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ต่อไป การป้องกันรักษา เช่นเดียวกับ Ich หรือการป้องกัน เมื่อจับปลาขึ้นหมดให้ใส่ formalin เข้มข้น 250 ppm. แช่ 1 วัน แล้วล้างบ่อ ตากบ่อทิ้งไว้ 1.4 เห็บระฆัง ชื่อวิทยาศาสตร์ Trichodina sp. ลักษณะที่สำคัญ รูปร่างคล้ายระฆัง หรือถ้วยคว่ำ มีขนรอบตัว มีนิวเคลียสรูปเกือกม้า มีอวัยวะยึดเกาะคล้ายตะขอ ซึ่งปลายนอกคล้ายใบมีด ตรงกลางนูน เรียงซ้อนเป็นวง ช่วยให้เกาะปลาได้ แน่นขึ้น ส่วนขนรอบตัวใช้เคลื่อนที่ พบทั่วไป ปลาที่เลี้ยงในตู้กระจกและในบ่อ ชอบเกาะตามซี่เหงือก ผิวหนัง จนเกิดเป็นแผล ปลาจะขับเมือกออกมามากกว่าปกติ ถ้าเกาะกับปลามีเกล็ดจะทำให้เกล็ดหลุด ครีบขาดกร่อน เหงือก บวม และขาดกร่อน แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว และทำให้ปลาตายในระยะเวลานั้น ปาราสิตชนิดนี้กิน เมือกและผิวหนังเป็นอาหาร การรักษา 1. Formalin 150 - 200 ppm. แช่นาน 1 ชั่วโมง หรือ 25 - 50 ppm. แช่ตลอดไป 2. มาลาไคด์กรีน 1.0 - 125 ppm. แช่นาน 30 นาที 1.5 อิพิสไตลิส ชื่อวิทยาศาสตร์ Epistylis sp. ลักษณะที่สำคัญ มีอยู่เป็นกลุ่มคล้ายดอกไม้ ดอกลำโพง มีขนรอบปาก นิวเคลียส รูปตัวเอส (S) เกาะตามผิวหนัง เหงือกของปลาน้ำจืด กุ้งน้ำจืด ทำให้เกล็ดปลาเปื่อย หลุดได้ง่าย โคนครีบกร่อน ผิวหนังมีรอยตกเลือด ลักษณะต่างจากพวกอื่น คือ ก้านไม่มีแกนตรงกลาง ไม่ยืดหดพร้อมกันทั้งช่อ การกำจัด ใช้เกลือ 0.5 - 1.0 %


16 1.6 พยาธิปากแตร ชื่อวิทยาศาสตร์ Glossatella sp. ลักษณะสำคัญ คล้าย epistylis แต่เป็นเซลล์เดี่ยวมีขนเป็นรากกลางปากอีกชั้นหนึ่ง มี นิวเคลียสรูปกลมรี ด้านตรงข้ามปากเปลี่ยนไปเป็นอวัยวะสำหรับเกาะ การกำจัด ใช้เกลือ 0.5 - 1.0 % 1.7 ไซฟิเดีย ชื่อวิทยาศาสตร์ Scyphidia sp. ลักษณะที่สำคัญ มีรูปร่างหลายแบบ บางชนิดคล้ายทรงกระบอก หรือแก้วเหล้าเชมเปญพบ ตามผิวตัว เหงือก ครีบของปลาน้ำจืดและน้ำเค็ม โดยเฉพาะลูกปลาที่เลี้ยงกันหนาแน่น เช่น ลูก ปลาตะเพียน ปลาไน ทำให้ปลาหางกุด เกล็ดหลุด มองคล้ายถูกน้ำร้อนลวกบริเวณที่แผล (furuncle) การกำจัด 1. แช่ฟอร์มาลีน 25 ppm ตลอดไป 2. แช่น้ำเกลือ 1.5 % นาน 1 ชั่วโมง 1.8 ซูโอแทมเนียม ชื่อวิทยาศาสตร์ Zoothamnium sp. ลักษณะสำคัญ อยู่ในกลุ่มมีก้านอันเดียวโยงเชื่อมแต่ละเซลล์ ทำความเสียหาย ให้กับฟาร์มกุ้ง ทะเล Penaeus sp. อัตราการตายสูง พบบริเวณเหงือก ลำตัว และcarapace อาการของโรค กล้ามเนื้อท้องซีดขาว และหลังหักงอผิดปกติเล็กน้อย การป้องกัน 1. formalin 25 ppm. แช่กุ้ง 24 ชั่วโมง ในน้ำไหล 75 ppm. นาน 6 - 8 ชั่วโมง ในน้ำนิ่ง 2. Platyhelminthes (หนอนตัวแบน = Flatworm) Flatworm มีลักษณะเด่นดังนี้ มีรูปร่างแบนจากบนลงล่าง ลำตัว 2 ข้างเท่ากันไม่มี ช่องว่างในตัว ไม่มีทวารหนัก ส่วนมากมี 2 เพศในตัวเดียว ตัวอย่างปรสิตในกลุ่ม ได้แก่ 2.1 ปลิงใส (Monogenea) ลักษณะเด่น มีรูปร่างคล้ายปลิง ลำตัวใส ขนาด 1-5 มม. ส่วนมากเป็น External parasite ในปลา ส่วนหัวแยกเป็นแฉก ส่วนท้ายมีตะขอ (hook) ขนาดใหญ่ตรงกลาง1 คู่ และรอบๆ มีอวัยวะที่ เป็นตะขอเล็ก (hooklet) 14 - 16 อัน ไว้สำหรับเกาะ host ปลิงใสที่พบมีอยู่ 2 ชนิด คือ 1. ชนิด Gyrodactylus sp. ตัวนี้พบมาก - มีลักษณะเด่น คือ ส่วนหัวมี 2 แฉก และมีตะขอขนาดเล็กจำนวน 16 อัน 2. ชนิด Dactylogyrus sp. - มีลักษณะเด่น คือ ส่วนหัวมี 4 แฉก และมีตะขอขนาดเล็กจำนวน 14 อัน บริเวณที่พบ เกาะอยู่บริเวณซี่เหงือก ผิวหนัง ครีบ ของปลาน้ำจืด ปกติแล้วปรสิตชนิดนี้ ไม่ทำอันตรายปลาถึงตาย แต่พบบ่อยมาก การกำจัด ใช้ไดลอกซ์ (Dylox) มีชื่อการค้าว่า Dipterex เข้มข้น 0.25 – 0.50 ppm. ตลอดไปจนกว่าจะหาย หรือ จุ่ม 1 % 2-3 นาที


17 2.2 ปลิงแฝด (Diplozoon sp.) ลักษณะเด่น ตัวเต็มวัยคล้ายปลิงใส 2 ตัว ติดกันบริเวณตรงกลาง คล้ายตัว X ขนาด 3 - 7 มิลลิเมตร อวัยวะสำหรับเกาะมีลักษณะคล้ายเกือกม้า 2 อันชนกันข้างละ 4 คู่ บริเวณที่พบ เหงือกปลา ปลาจะมีอาการทุรนทุราย ว่ายน้ำอย่างรวดเร็วนอกจากนี้จะ สังเกตเห็นกระพุ้งแก้มกางออกมากกว่าปกติ การกำจัด เช่นเดียวกับปลิงใส 2.3 พยาธิใบไม้ (Digenea) พวกนี้เป็น endoparasite และ ต้องการ intermediate host อย่างน้อย 2 ชนิด สำหรับในปลาพบทั้งตัวอ่อนและตัวแก่แสดงว่าเป็น intermediate host และ final host ปรสิตชนิดนี้มักจะทำให้บริเวณที่เกาะเกิดเป็นแผลและมีเลือดซึมออกมาเมื่อเกาะลำไส้ ปลาทำให้เป็นแผล มีผลต่อการดูดซึมอาหารไปเลี้ยงร่างกายถ้ามีจำนวนมากอาจะกระทบกระเทือนต่อ การเจริญเติบโตของสัตว์น้ำ รูปร่างลักษณะ มีลำตัวกลมแบนรีไปส่วนหัวเล็กน้อย บางชนิดมีหนามตามลำตัวมีอวัยวะ สำหรับดูดเกาะ2 อัน อันหนึ่งอยู่ด้านหัว (oral Sucker) อีกอันหนึ่งอยู่ทางด้านท้อง (ventral sucker) มีระบบทางเดินอาหารที่สมบูรณ์ระบบสืบพันธุ์มี 2 เพศในตัวเดียวกัน พยาธิใบไม้ที่พบมีหลายชนิด Helostomatis sp. รูปร่างค่อนข้างรี มีอวัยวะดูดเกาะขนาดใหญ่บริเวณด้านท้าย Pleurogenoides sp. รูปร่างคล้ายรูปหัวใจ มีอวัยวะดูดเกาะ 2 อัน ด้านบนกับด้านหน้าท้องกลาง ลำตัว วงจรชีวิตของพยาธิใบไม้ พวกไดจิเนียมีวงจรชีวิตที่ซับซ้อนต้องการเจ้าบ้านตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นต้น 1. เจ้าบ้านระยะต้น (Intermediate host) ได้แก่ พวกหอยต่างๆ 2. เจ้าบ้านระยะสุดท้าย (Final host หรือ definite host) ได้แก่ ปลา สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และนก เป็นต้น วงจรชีวิต เริ่มจาก ออกลูกเป็นไข่ ไข่จะฟักอยู่นอกตัว host ให้ตัวอ่อนที่มีcilia อยู่รอบๆ ว่าย น้ำได้อิสระ เรียกตัวอ่อนพวกนี้ว่า miracidium จะอยู่ในน้ำช่วงเวลาจำกัด จากนั้นก็จะเข้าไปอาศัยใน Intermediate host ได้แก่พวกหอยชนิดต่างๆ ตัวอ่อนชนิดนี้มีการสืบพันธุ์แบบไม่ใช่เพศในพวกหอย และก็จะปล่อยตัวอ่อนระยะที่สอง เรียกว่ cercaria อยู่ในน้ำ บางตัวก็เข้าสู่ตัวสัตว์น้ำแล้วกลายเป็นตัวแก่ บางชนิดก็จะไปสร้างเป็น cyst ที่เรียกว่า metacercaria และฝังตัวอยู่ใน host ได้หลายปี หรือ จนกว่าจะมี host มากินไป (นก หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม) จากนั้นก็เป็นตัวแก่ 2.4 พยาธิตัวตืด (Tape worm) พยาธิตัวตืด จัดเป็นพวก Endoparasite อยู่ในการเดินทางอาหารต้องการ intermediate host มีลำตัวแบบยาว แบ่งเป็นปล้องๆ (segment) แต่ละป้องมีอวัยวะสืบพันธุ์ครบชุด ลำตัวแบ่งเป็น 3 ส่วน 1. ส่วนหัว เรียก scolex ประกอบด้วยอวัยวะสำหรับดูดเกาะ 2. ส่วนคอ ( neck) 3. ลำตัว (strobila) แบ่งเป็นปล้อง (proglottid) ปล้องที่แก่สุดจะอยู่ตรงปลายสุดและหลุด ออกมาพร้อมกับไข่ที่ผสมแล้วและปนออกมากับอุจจาระ ปล้องถัดจากส่วนหัวจะเป็นปล้องอ่อนสุด


18 รูปร่างลักษณะ ยาวคล้ายริบบิ้น ผิวตัวเรียบไม่มีขน มีตัวขาวหรือขุ่นใส บางชนิดสีเหลืองหรือ เทาขึ้นอยู่กับ อาหารที่กิน ตัวเต็มวัยอยู่ในทางเดินอาหาร กินอาหารโดยการดูดซึมเข้าทางผิวหนัง มี 2 เพศในตัวเดียวกัน การผสมอาจผสมในตัวเดียวกันหรือปล้องเดียวกัน ผสมข้ามคนละตัว หรือต่างปล้องก็ ได้ ชนิดที่พบบ่อย ได้แก่ Senga sp. พบในปลาชะโด ปลากระสูบ วงจรชีวิต Cestode ต้องการ host มากกว่า 1 ชนิด ปลาอาจเป็นได้ทั้ง intermediate host และ final host Cestode ทั้งหมดออกลูกเป็นไข่ (oviparous) โดยไข่จะปนออกมากับ อุจจาระของ definitive host แล้วฟักเป็นตัวอ่อนที่ว่ายน้ำได้เรียกว่า “ coracidium “ ซึ่งส่วนใหญ่จะ อาศัยอยู่พวก copepods เช่น ไรน้ำ (ถือเป็น Intermediate host) จะเข้าไปอยู่ในลำไส้ เนื้อเยื่อ ต่างๆ กลายเป็นตัวอ่อนอีกระยะที่เรียก procercoid ถ้าถูก host ที่เหมาะสม (ปลา) กินไป ก็จะ สร้าง cyst ตามอวัยวะภายในต่าง ๆ เจริญเป็นระยะ plerocercoid ซึ่งจะถูก final host ที่เหมาะสม กินเข้าไปเจริญเป็นตัวเต็มวัย ถือว่าวงจรชีวิตสมบูรณ์ 3. Acanthocephala (พยาธิหัวหนาม ;spine headed worms) 3.1 Acanthosentis sp. 3.2 Pallisentis sp. พยาธิหัวหนามเป็นปรสิตชนิด Endoparasite อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหาร รูปร่างลักษณะ ลำตัวกลมยาว รูปร่างแบ่งได้ 3 ส่วนชัดเจน คือ มีส่วนหัว คอ และลำตัว ส่วนหัว มีลักษณะเป็นงวงยืดหดได้ เรียก proboscis และมีตะขอรอบๆ ส่วนคอ มีเยื่อคลุมเป็นรูปวงแหวน ไม่มีขอแหนม ลำตัว ยาวเรียวแบบกระบอก ตอนต้นๆ ของลำตัวจะกว้างกว่าส่วนท้ายระบบ ขับถ่ายมี nephridia ไม่มีระบบทางเดินอาหาร อาหารซึมผ่านผิวหนังแลกเปลี่ยนก๊าซโดยซึมผ่าน ลำตัว ระบบสืบพันธุ์แบบแยกเพศ ตัวผู้มีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย ที่พบมี 2 ชนิด คือ 1. Acanthosentis sp. 2. Pallisentis sp. วงจรชีวิต Acanthocephala ทุกชนิดต้องการ intermediate host ทั้งนั้นได้แก่ สัตว์พวก Arthropods เป็นส่วนใหญ่ วงจรชีวิตเริ่มจาก ไข่ปนมาจากอุจจาระของ final พวก arthropods กินเข้าไปเรียกตัวอ่อนนี้ว่า “Acanther” จะไขทะลุผนังทางเดินอาหาร สร้าง cyst หุ้มตัวอ่อนตาม เนื้อเยื่อ เรียกว่า “Cystacanth” จากนั้น final host ก็มากินเข้าไปและก็กลายเป็นตัวแก่ได้ พยาธิหัวหนามบางกรณีก็ต้องการ transport host ด้วย กรณีที่ถูกต้อง host ที่ไม่เหมาะสม กินเข้าไป แล้วจึงไปสร้าง cyst ใหม่อีกใน host ตัวใหม่ จนกว่าจะถูกhost ที่เหมาะสมกันเข้าไป จึงจะกลายเป็นตัวแก่ 4. Nematoda (พยาธิเส้นด้าย = ตัวกลม ; thread worms) 4.1 Spinitectus sp. 4.2 Camallanus sp. พยาธิตัวกลมเป็นพยาธิที่เริ่มมีช่องว่างในตัว แต่เป็นช่องว่างเทียม (Pseudocoel) ลำตัวแบ่งเป็น 2 ซีกเท่ากัน มีเพศแยกกัน ปรสิตที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร ถือเป็น Endoparsite รูปร่างลักษณะ ลำตัวกลมยาว หัวท้ายแหลม บางชนิดมีหนามตามลำตัว มีปากอยู่หน้าสุด


19 ส่วนใหญ่ตัวผู้มีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย ตัวเมียมีปลายหางตรง ตัวผู้ปลายหางโค้ง ทางเดินอาหารแบ่งเป็น ตอนๆ แต่ไม่มีกระเพาะอาหาร ที่พบมี 2 ชนิด Spinitectus sp. , Camallanus sp. วงจรชีวิต Nematode ส่วนใหญ่ออกลูกเป็นไข่ ซึ่งไข่จะออกมากับอุจจาระของ final Host แล้วพักเป็นตัวกลายเป็น Free-Swimming larvae ตัวอ่อนระยะนี้จะถูก Intermediate host พวก arthropod กินเข้าไป ยกเว้นบางตัว ออกลูกเป็นตัวอ่อนก็จะว่ายน้ำไปอาศัยใน Intermediate host ได้เลย ใน Intermediate host ตัวอ่อนของพยาธิก็จะมีวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ บางชนิดก็เข้าไปอยู่ใน host ตัวอ่อนของพยาธิก็จะมีวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ บางชนิดก็เข้าไปอยู่ใน host ที่เหมาะสมเป็นตัวแก่ ได้เลย บางกรณีถ้าเป็นเพียง (paratenic host) ตัวอ่อนที่กันเข้าไปจะไชทะลุผนังลำไส้ไปทางเดิน อาหาร สร้าง cyst แล้วก็เปลี่ยน Intermediat host ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถูกนกหรือสัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนม แล้วจะกลายเป็นตัวแก่ 5. Crustacean ครัสตาเซียน มีลำตัวแบบ bilateral มีรยางค์ข้อ – ปล้อง ลำตัวแข็งมี chitin มี โครงสร้างแข็งภายนอก (Exoskeleton) เจริญด้วยการลอกครอบ ได้แก่ 5.1 เห็บปลา (Argulus sp.) เห็บปลา Ectoparasite (ปรสิตภายนอก) บริเวณที่พบ ปลาที่มีเกล็ดเกือบทุกชนิด ครีบ ลักษณะที่สำคัญ ลำตัวแบนจากบนลงล่าง ด้านล่างของลำตัวมีอวัยวะสำหรับเกาะ host พร้อม ทั้งมีงวง สำหรับดูดอาหาร ลำตัวแบ่งเป็นปล้องๆ เชื่อมติดกันวงจรชีวิต ออกไข่ในน้ำ แล้วฟักเป็น ตัวอ่อนว่ายน้ำไปหา host ตัวใหม่ ระยะตัวอ่อนของเห็บปลาจะมีการลอกคราบไปเรื่อยๆ จนเป็น ตัวแก่ เห็บปลาถ้าพบมากๆ จะทำให้เกิดเป็นแผลและเนื้อตาย (Necrosis) เชื้อโรคอื่นเข้าแทรกซ้อน ได้ง่าย (วงจรชีวิต 40 - 60 วัน ตั้งแต่ไข่ถึงตัวเต็มวัย) การป้องกันกำจัด ใช้ไดลอกซ์ (Dylox) มีชื่อการค้าว่า Dipterex ความเข้มข้น 0.25 - 0.75 ppm. นาน 1 วัน ทำซ้ำ 4 - 5 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 1 สัปดาห์ สามารถกำจัดตัวอ่อนได้ 5.2 หนอนสมอ (Lernae sp.) หนอนสมอจัดเป็นพวก เป็น copepod ที่สำคัญและระบาดทั่วโลก พบทั่วไปปลาน้ำจืดเกือบ ทุกชนิดบริเวณที่พบ คือ ที่โคนครีบต่าง ๆ ลำตัว ช่องปาก และรอบๆ ตา ลักษณะสำคัญ ลำตัวรูปทรงกระบอก ส่วนหัวลักษณะคล้ายสมอ จึงนิยมเรียกกันว่า หนอน สมอ ส่วนที่มีลักษณะคล้ายสมอแตกต่างตามชนิดกันออกไป หนอนสมอตัวเมียเท่านั้นเป็นปรสิต ตัวผู้จะ ว่ายน้ำอิสระมีรูปร่างคล้ายกับพวกไรน้ำโดยทั่วไป อาการ เมื่อปาราสิตผังตัวเข้าไปใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นการยากที่จะกำจัดถ้าดึงสมออกก็จะได้แผลอยู่ ทำให้แบคทีเรียเข้าสู่ตัวปลาได้ เมื่อปาราสิตเกาะปลาระคายเคืองจะเอาลำตัวไปสีข้างบ่อ ทำให้เกล็ดหลุด เป็นแผลได้ การป้องกันกำจัด เช่นเดียวกับเห็บปลา


20 ศัตรูของสัตว์น้ำ ศัตรูสัตว์น้ำ หมายถึง สัตว์ที่เข้าทำลายสัตว์เลี้ยงโดยตรง อาจทำลายในระยะเป็นไข่ ระยะตัว อ่อนหรือตัวเต็มวัย ศัตรูเหล่านี้ เรียกว่า ตัวห้ำ และรวมทั้งสัตว์น้ำที่ไม่ต้องการ คอยแย่งอาหาร อากาศ และแย่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำด้วย ศัตรูของสัตว์น้ำมีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ มีทั้ง สัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง และสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง ซึ่งประสิทธิภาพในการทำร้ายสัตว์น้ำจะ แตกต่างกันไปตามชนิดของศัตรู ศัตรูสัตว์น้ำเกิดขึ้นในบ่อเลี้ยงตลอดเวลา ศัตรูในแต่ละแหล่งน้ำอาจไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความ ชุกชุมและการกระจายทางภูมิศาสตร์เป็นสำคัญ ศัตรูสัตว์น้ำบางชนิดมีประสิทธิภาพในการทำลายสูงมาก ยากแก่การปราบปราม ศัตรูของสัตว์น้ำที่สำคัญ ได้แก่ 1. พวกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง 1.1 ไฮดรา (Hydra) เป็นสัตว์ชั้นต่ำอยู่ใน Phylum Cnidaria อาศัยเกาะอยู่ตามลำต้นและใบของพันธุ์ไม้น้ำ บางโอกาสเกิดเป็นจำนวนมากในบ่อเลี้ยงชนิดบ่อซิเมนต์และตู้กระจก แม้กระทั่งบ่อและภาชนะสำหรับ ฟักไข่ ซึ่งมีปะปนมากับน้ำและอาหารที่ใช้เลี้ยงปลา พบว่าไฮดราเป็นศัตรูที่สำคัญ ทำลายไข่ปลาหลาย ชนิดให้ตายเป็นจำนวนมากได้ ทั้งยังพบว่า ลูกปลาที่มีไฮดราเกาะเป็นจำนวนมากทำให้ปลาตายได้ 1.2 พลานาเรีย (Planaria) เป็นสัตว์น้ำอยู่ใน Phylum Platyhelminthes เป็นสัตว์ที่ออกหากินในเวลากลางคืน ทำลายไข่ปลาให้เสียหายครั้งละมากๆ สัตว์ชนิดนี้จะเกาะที่ไข่คล้ายปลิงดูดกินของเหลวจากไข่ พลานา เรีย 1 ตัว อาจทำลายไข่ได้ 3 – 5 ฟองต่อคืน 1.3 หอย (Molluse) เป็นสัตวอยู่ใน Phylum Mullusca สัตว์พวกนี้เป็นศัตรูทางอ้อม คือ คอยแย่งอาหารและ ออกซิเจนของสัตว์น้ำที่เลี้ยง เช่น หอยเจดีย์คอยแย่งอาหารกุ้ง เป็นต้น 1.4 สัตว์ขาข้อ ( Arthropods) พวกที่เป็นศัตรูปลาที่สำคัญ ได้แก่ ตัวอ่อนของแมลงปอ มวนกรรเชียง และปู โดยเฉพาะตัว อ่อนของแมลงปอและมวนกรรเชียง เป็นศัตรูที่ร้ายแรงทำลายทั้งไข่และลูกปลาวัยอ่อนอาจทำลายลูกปลา ขนาด 1 เซนติเมตร ได้วันละ 15 –20 ตัวต่อวัน สำหรับปูก็จัดเป็นศัตรูที่ร้ายกาจชนิดหนึ่ง ทำลาย ลูกปลาได้จำนวนมากต่อวัน ฤดูที่ปูมาขยายพันธุ์ตรงกับฤดูสืบพันธุ์วางไข่ของปลาส่วนมาก ปลาที่ชอบ หากินตามชายน้ำขอบบ่อ มักจะเป็นเหยื่อของปูเสมอ ไม่เว้นแม้แต่ลูกปลาที่ขังไว้ในกระชังหรืออวนมุ้ง 2. พวกสัตว์มีกระดูกสันหลัง 2.1 ปลา (Fishs) ปลาที่เป็นศัตรูของสัตว์น้ำมีหลายชนิด นับตั้งแต่ปลาที่กินพืชเป็นอาหาร ปลากินพืชนั้น มักกินปลาต่างขนาด ส่วนปลาที่กินเนื้อนั้นกินปลาได้หลายขนาด ซึ่งจะสัมพันธ์กับความกว้างของปาก ประมาณว่าลูกปลาจะเป็นเหยื่อของศัตรู จำนวน 5 – 10 ตัวต่อวัน


21 ปลาที่จัดว่าเป็นศัตรูของปลาได้แก่ - ปลาช่อน ( Ophicephalas striatus ) - ปลากะสง ( O. lucius ) - ปลาชะโด ( O. micropeltes ) - ปลากราย ( Notopterus chitala ) - ปลาหมอไทย ( Anabas testudineus ) - ปลาไหลนา ( Fluta alba ) - ปลาบู่ทราย ( Oxyeleotris marmorata ) 2.2 สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ศัตรูที่สำคัญ คือ กบ ซึ่งสามารถกินปลาได้หลายตัวในคราวเดียวกัน พบว่ากบที่มีขนาด3 นิ้ว สามารถกินลูกปลาขนาด 3 นิ้ว ได้ถึง 3 ตัว 2.3 สัตว์เลื้อยคลาน มีหลายชนิด ที่เป็นศัตรูปลาได้แก่ - งู ได้แก่ งูกินปลา งูก้นขบ งูงวงช้าง งูสายสอ - เต่า และตะพาบน้ำ - ตัวเงินตัวทอง ซึ่งจะพบในบางท้องที่ สามารถทำลายปลาได้คราวละมาก ๆ 2.4 นก ได้แก่ นกกระยาง นกกระเต็น นกเป็ดน้ำ นกกาน้ำ 2.5 สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม - นาก ซึ่งกินปลาและกุ้งเป็นอาหาร - มนุษย์ การป้องกันกำจัดศัตรูสัตว์น้ำ เมื่อทราบถึงผลเสียหายที่เกิดจากศัตรูของสัตว์น้ำแล้ว จำเป็นต้องป้องกันและกำจัดศัตรูสัตว์น้ำที่ คอยแย่งอาหารสัตว์เลี้ยงออกให้หมดก่อนทำการเลี้ยงสัตว์น้ำ สัตว์น้ำใดไม่ต้องการก็ไม่ควรให้คงอยู่ใน ระบบนิเวศน์ภายในบ่อเลี้ยง การป้องกันกำจัดสัตรูสัตว์น้ำทำได้โดยการทำความสะอาดบ่อเลี้ยงก่อนการ เลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งมีวิธีการใช้ดังนี้ คือ 1. การใช้สารเคมี เป็นวิธีการที่สะดวก แต่อาจจะมีผลอันตรายต่อเนื่อง สารเคมีที่นิยมใช้คือ 1.1 โรติโนน (Rotinone) เป็นสารพิษที่ได้จากพืช คือ โล่ติ๊น หรือ ต้นหางไหล โรติโนนที่ บริสุทธิ์ มีคุณสมบัติเป็นผลึกสีขาว มีจุดหลอมเหลวที่ 163 องศาเซลเซียส ถูกออกซิไดซ์ ด้วยแสงได้ ง่ายไม่ละลายน้ำ ละลายในตัวทำละลายที่เป็นอินทรีย์ โล่ติ๊นไม่เป็นพิษร้ายแรงต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่ถ้าได้รับเป็นเวลานาน อาจทำให้เคืองตา ตาแดง-บวมปวด ทำให้ผิวหนังกร้านได้ โล่ติ๊น 0.2 กรัม เป็นพิษต่อคนเมื่อเข้าทางปากโดยตรง โล่ติ๊นเมื่อถูกกับปลาจะมีผลต่อเส้นเลือดฝอยที่เหงือก โดยจะทำให้ เส้นเลือดฝอยมีขนาดเล็กลง ทำให้แลกเปลี่ยนออกซิเจนได้น้อยลง จึงมีผลให้ปลาตาย วิธีการใช้โล่ติ๊น 1. ลดน้ำในบ่อให้เหลือน้อยเพื่อไม่ให้สิ้นเปลือง


22 2. คำนวณปริมาณโล่ติ๊นต่อปริมาตรน้ำในบ่อให้ถูกต้องหรือใกล้เคียงที่สุด 3. ชั่งน้ำหนักโล่ติ๊นที่ต้องการใช้ ถ้าเป็นผง เวลาใช้ต้องเติมน้ำ หรืออาจทุบต้นโล่ติ๊นมาแช่น้ำ 1 บี๊ป ทิ้งไว้ 1 คืน ให้น้ำมีสีขาว สาดทั่วบ่อ (อัตราส่วน โล่ติ๊น 1 กิโลกรัม ต่อ น้ำ 100 ตัน) 4. ภายหลังจากการใส่โล่ติ๊นแล้ว ทิ้งประมาณ 6 ชั่วโมง ศัตรูของปลาจะลอยอยู่ผิวน้ำ เก็บทิ้ง 5. หลังจากจับปลาออกหมดแล้ว ทิ้งบ่อตากแดดไว้ประมาณ 5 – 7 วัน เพื่อให้ความเป็นพิษ สลายไป 1.2 กากชา (กากเมล็ดชา) กากชา จะมีสารพิษที่มีชื่อว่า ซาโปรนิน (Sapronin) วิธีการใช้ นำกากชามาแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน นำไปสาดให้ทั่วบ่อ ในอัตราส่วน 2 กิโลกรัม ต่อ น้ำ 100 ตัน พิษของกากชาจะสลายตัว ภายใน 5 – 10 วัน เมื่อฤทธิ์ของกากชาเสื่อมไปสามารถนำน้ำในบ่อมาเลี้ยงปลาได้ตามปกติ 2. การกำจัดโดยวิธีกล มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี เช่น ใช้กับดัก ใช้เบ็ดล่อ ใช้ปืนยิง ใช้แหลน ใช้ลูกดอก ฉมวก เป็นต้น


Click to View FlipBook Version