The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือการบำรุงรักษาคอมพิวเตอร์ พมจ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คู่มือการบำรุงรักษาคอมพิวเตอร์ พมจ

คู่มือการบำรุงรักษาคอมพิวเตอร์ พมจ

คู่มือ การบำรุงรักษา เคร่องคอมพิวเตอร์ สำนักงานเบ้องต้น สำ นักงำนพฒันำสังคมและควำมม่ันคงของมน ุ ษยจ ์ังหวัดตาำก


คำนำ ปัจจุบันโลกก้าวเข้าสู่ยุคสังคมดิจิทัล (Digital Economy) ชีวิตประจ าวัน ของผู้คนในสังคม เริ่มได้สัมผัสกับการท าธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Business) คุ้นเคยกับการใช้ระบบสื่อสารข้อมูลเครื่องคอมพิวเตอร์และระบบสารสนเทศ (IT) ซึ่งเข้ามาอ านวยความสะดวกให้ทุกชีวิต ทุกบ้าน ทุกส านักงาน ในด้านการจัดท า เอกสาร จัดเก็บข้อมูล การบริหารข้อมูลบัญชี หรือจัดการสต็อกคลังสินค้า การใช้ควบคุม เครื่องจักร ใช้วิเคราะห์งานด้านวิทยาศาสตร์ หรือใช้ควบคุมอุปกรณ์การแพทย์ ใช้ในงาน ออกแบบและงานศิลปะรวมไปถึงใช้ในการสื่อสารและอีกมากมายที่ส่งเสริมให้มนุษย์ ได้เข้าถึงระบบจัดการในแทบทุกด้าน สู่การมีประสิทธิภาพและความทันสมัย แต่เมื่อใช้งาน เครื่องคอมพิวเตอร์ไประยะหนึ่งจะมีการเสื่อมช ารุดไปตามสภาพระยะเวลาที่ใช้งาน การดูแลและบ ารุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างเหมาะสม สม่ าเสมอเป็นสิ่งส าคัญ และจ าเป็น ซึ่งจะช่วยเพิ่มอายุการใช้งานของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ท างานได้อย่างเสถียร และประสิทธิภาพสูงขึ้น หากผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์มีความรู้เบื้องต้นในการบ ารุงรักษา เครื่องคอมพิวเตอร์จะช่วยท าให้สามารถประหยัดงบประมาณของหน่วยงานในการ ซ่อมบ ารุงหรือการเปลี่ยนอุปกรณ์ ได้อีกด้วย ส านักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดตาก จึงจัดท า “คู่มือการบ ารุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ส านักงานเบื้องต้น” เพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้งาน คอมพิวเตอร์ส านักงานมีความรู้และสามารถดูแลรักษาคอมพิวเตอร์ ให้คงประสิทธิภาพ และยึดอายุการใช้งานให้ยาวนานยิ่งขึ้น ส านักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดตาก ก


สารบัญ เรื่อง หน้า ค าน า ก สารบัญ ข บทน า: ความส าคัญของการบ ารุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ 1 ส่วนประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 การจัดการฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ 7 การป้องกันไวรัสและความปลอดภัย 9 การส ารองข้อมูลและการกู้คืน 17 การจัดการเครือข่ายและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต 18 การจัดการอุปกรณ์และอุปกรณ์เสริม 21 การบ ารุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ส าหรับผู้ใช้ทั่วไป 23 บรรณานุกรม 27 ข


บทนำ : ความสำคัญของการบำรุงรักษา เคร่องคอมพิวเตอร์ การบ ารุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์มีความส าคัญอย่างมาก เนื่องจากมีผลต่อประสิทธิภาพ และการท างานของเครื่องคอมพิวเตอร์ในระยะยาว ดังนี้ 1. ประสิทธิภาพการท างาน: การบ ารุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยให้ระบบท างาน ได้อย่างต่อเนื่องและประสิทธิภาพสูง เน้นการล้างและเช็ดความสกปรกออกจากฮาร์ดแวร์ เช่น คีย์บอร์ด และเมาส์ หรือการล้างและเช็ดฝุ่นออกจากคอมพิวเตอร์เป็นประจ า เพื่อป้องกันการสะสม ของฝุ่นและความร้อนที่อาจท าให้ระบบท างานช้าลงหรือมีปัญหาในการท างาน 2. การเพิ่มอายุการใช้งาน: การบ ารุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยเพิ่มอายุการใช้งาน ของอุปกรณ์ภายใน เช่น ฮาร์ดดิสก์ แรม และชิปเซ็ต โดยการรักษาความสมบูรณ์และประสิทธิภาพ ของอุปกรณ์เหล่านี้ จะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานหรือการเสื่อมสภาพต่าง ๆ ซึ่งอาจลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับฮาร์ดแวร์และประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์ใหม่ 3. ความปลอดภัยข้อมูล: การบ ารุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยให้ระบบมีความ ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยการติดตั้งและอัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสและซอฟต์แวร์ความปลอดภัย อื่น ๆ ช่วยป้องกันไม่ให้มีไวรัส มัลแวร์หรือโปรแกรมอันตรายเข้าสู่ระบบ ที่อาจท าให้ข้อมูลส าคัญ หรือระบบของคุณเสียหายได้ และมีการส ารองข้อมูลอย่างสม่ าเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลสูญหาย หรือเสียหายในกรณีที่เกิดความผิดพลาดหรือการคุกคามของไวรัส หรือแฮคเกอร์ 4. ความเร็วและประสิทธิภาพ: การบ ารุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยให้ระบบท างาน อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพในการท างานของผู้ใช้งาน เช่น การเคลียร์แคช และไฟล์ชั่วคราว เพื่อเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล การปรับแต่งและอัปเดตระบบปฏิบัติการ และโปรแกรมที่ใช้ช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ท างานได้เร็วและประสิทธิภาพสูง 5. ลดความเสียหายและค่าใช้จ่าย: การบ ารุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยลดความเสียหาย ที่อาจเกิดขึ้นจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูง ในการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ การบ ารุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นประจ าช่วยลดความเสียหาย ที่เกิดขึ้นและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว จากควรส าคัญข้างต้น ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์จึงควรมีความรู้เบื้องต้นในการ บ ารุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์และใส่ใจในการดูแล เพื่อรักษาประสิทธิภาพและความเร็วของระบบ แต่ยังเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นและเพิ่มอายุการใช้งานของอุปกรณ์ภายในเครื่อง คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานเอง 1


ส่วนประกอบ ของเคร่องคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ มีส่วนประกอบหลัก 2 ส่วน คือ 1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คือ เครื่องและอุปกรณ์ต่างๆ ที่สามารถจับต้องได้ เช่น จอภาพ, เมาส์, ชีพียู,พัดลมระบายความร้อน, ซีดีรอมไดร์ฟ, USB 2. ซอฟท์แวร์ (Software) คือ โปรแกรมที่สั่งให้เครื่องท างาน ส่วนมากต้องผ่านขั้นตอน การติดตั้ง (install หรือ setup) รู้จักกับอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ 1. ซีพียู (CPU : Central Processing Unit) ซีพียูเปรียบเสมือบเป็นหัวใจของเครื่องคอมพิวเตอร์ มีหน้าที่ประมวลผลการท างานทุกอย่างบนเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยปกติจะช ารุดเสียหายยาก สาเหตุที่ท าให้อายุการท างานของชีพียูสั้นมี ดังนี้ 1.1 การท า Over Clock ให้ซีพียูท างานเร็วกว่าความเร็วที่ก าหนด และเมื่อซีพียูถูกใช้งาน ตลอดเวลาจะท าให้เกิดความร้อนสูง มีผลท าให้ชีพียูเสียได้ง่าย 1.2 พัดลมระบายอากาศ (Ventilation Fan) ที่ติดอยู่กับชุดจ่ายไฟ (Power Supply) เสีย เมื่อซีพียูท างานตลอดเวลา จะท าให้ความร้อนสะสม และไม่สามารถระบายความร้อนออกไปได้ หากชีพียูเสียไม่สามารถซ่อมได้ จ าต้องเปลี่ยนตัวใหม่เท่านั้น 2. แผนวงจรหลัก (Mainboard; Motherboard) แผนวงจรหลักเป็นอุปกรณ์ที่มีชิฟ (Chip) ควบคุมการท างานของอุปกรณ์อื่นๆ บนเครื่องคอมพิวเตอร์ รวมทั้งเป็นตัวรับและจ่ายไฟให้กับ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ บนแผงวงจรหลักด้วย แผนวงจรหลักจะมีอายุใช้งานนาน อุปกรณ์ ส ารองไฟ (UPS) เป็นสิ่งจ าเป็นที่จะช่วยให้การท างานของเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นไปอย่าง ราบรื่น จากกรณีเกิดไฟตกหรือไฟกระชาก 2


3. หน่วยความจ า หน่วยความจ าของคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 3.1 Read Only Memory : ROM เป็น หน่วยความจ าที่บริษัทผู้ผลิตได้เขียนบันทึก ไว้อย่างถาวร แม้ท าการปิดเครื่องก็จะไม่ถูกลบไปเป็นหน่วยความจ าที่คอมพิวเตอร์สามารถอ่านข้อมูลได้เพียงอย่าง เดียว ไม่สามารถบันทึกข้อมูลลงไปในหน่วยความจ าชนิดนี้ได้ ข้อดี คือ ข้อมูลจะยังคงอยู่แม้ไม่มีกระแสไฟฟ้าในเครื่องคอมพิวเตอร์ ข้อเสีย คือ ผู้ใช้ไม่สามรถเขียนข้อมูลลงในรอมได้ เพราะผู้ผลิตจะบรรจุหน่วยความจ ารอม มาโดยตรง เช่น โปรแกรมไบออส (Bios) 3.2 Random Access Memory : RAM เป็นหน่วยความจ าที่ใช้เก็บข้อมูลและโปรแกรม ที่สามารถ เปลี่ยนแปลง และเรียกใช้ได้ตลอดเวลาตราบเท่าที่เครื่องคอมพิวเตอร์ยังเปิดใช้งานอยู่ และจะถูกลบ หายไปเมื่อเครื่องปิด-หน่วยความจ าส ารอง หรือหน่วยความจ าภายนอก (Secondary Memory or External Memory) เป็นหน่วยความจ าที่มิได้ติดอยู่กับเครื่องตลอดเวลาสามารถเคลื่อนย้ายไปมาได้ มีราคาถูกสามารถเก็บข้อมูลได้มากโดยหน่วยความจ า RAM จะมีหน่วยวัดเป็น Byte ข้อดี คือ ผู้ใช้สามารถเพิ่ม RAM ได้ จะท าให้การประมวลผลรวดเร็วยิ่งขึ้น ข้อเสีย คือ RAM จะเก็บข้อมูลได้จะต้องมีไฟมาเลี้ยงวงจร ถ้าไฟดับข้อมูลจะหายหมด 4. หม้อแปลงไฟฟ้า (Power Supply) จะถูกติดตั้งอยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ด้านหลัง โดยท า หน้าที่ในการแปลงระดับแรงดันไฟฟ้าให้เหมาะสมกับที่ใช้ในแผงวงจร โดยมีหน่วยเป็น Watt ส่วนไฟฟ้า ที่ออกมาจาก Power Supply มีหน่วยเป็นโวลท์เช่น 12 โวลท์ ข้อดี คือ หากถูกไฟฟ้าดูด ช็อต จะไม่มีความรุนแรงถึงชั้นเสียชีวิต เพราะเป็นแรงดันระดับต่ า 3


5. ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) ฮาร์ดดิสก์เป็นหน่วยความจ าส ารองส าหรับบันทึกข้อมูลที่มีความจุสูง ซึ่งจะถูกติดตั้งอยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยทั่วไปฮาร์ดดิสก์มีอายุการใช้งานอย่างต่ า 3-5 ปี แต่อย่างไรก็ตาม ฮาร์ดดิสก์อาจเกิดอาการเสียได้ตลอดเวลา จึงต้องส ารองข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ อย่างสม่ าเสมอ ข้อควรระวัง คือ เมื่อเกิดไฟตก หรือ ไฟกระชาก อาจมีผลท าให้ฮาร์ดดิสก์เสียหายได้ 6. การ์ดแสดงผล (Display Card) การ์ดแสดงผลเป็น อุปกรณ์ที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์แสดงข้อมูลได้ โดยผ่าน จอคอมพิวเตอร์ การใช้งานทั่วไปจะอยู่ในช่วง 3 ปีแรก การ์ดแสดงผลมี 2 แบบ คือ แบบ Card เสียบใน slot และ แบบ VGA on board คือ ติดมากับแผงวงจร การ ใช้งานโดยทั่วไปที่ไม่เน้นงานออกแบบมัลติมีเดีย ส าหรับงานด้านกราฟฟิกสูงๆ นิยมใช้แบบ on board 7. การ์ดเสียง (Sound Card) การ์ดเสียงเป็นอุปกรณ์ที่ ท าให้คอมพิวเตอร์สามารถแสดงเสียงและบันทึกเสียงได้ สามารถติดตั้งเพิ่ม แบบเป็น Card เสียบใน slot หรือ แบบติดมากับแผงวงจร การใช้งานโดยส่วนใหญ่จะเป็น on board 8. พัดลมระบายความร้อน (Ventilation Fan) พัดลม ระบายความร้อนเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ระบายความร้อน ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยส่วนใหญ่พัดลมระบายความ ร้อนจะเสียภายในเวลา 2-3 ปี หากพัดลมความร้อนเสีย จะท าให้ซีพียูร้อนจัด จะท าให้เครื่องเกิดอาการค้าง (Hang) โดยไม่ทราบสาเหตุ และท าให้อายุการใช้งาน ของชีพียูสั้นลง จนต้องเปลี่ยนพัดลม 4


9. ซีดีรอมไดร์ฟ (CD-ROM Drive) ซีดีรอมไดร์ฟเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สื่อและบันทึกข้อมูลที่สามารถ อ่านได้ทั้งภาพและเสียง มีทั้งติดตั้งมากับเครื่องคอมพิวเตอร์ เรียกว่า CD-ROM แบบ Internal Drive และติดตั้งภายนอก เรียกว่า CD-ROM แบบ External Drive ซึ่งสามารถพกพาได้ โดยใช้ร่วมกับ แผ่นซีดีรอม โดยปกติแผ่น CD-ROM จะมี ความจุอยู่ที่ 700 MB หรือเท่ากับหนังสือประมาณ 500,000 หน้า ข้อดี คือ สามารถบันทึกข้อมูลได้มากโดยเฉพาะงานด้านมัลติมีเดีย ทั้งภาพและเสียง และที่ส าคัญ คือ ปลอดภัยจากไวรัส ข้อควรระวัง คือ 1) ไม่ควรน าแผนซีดีที่เสียแล้ว หรือมีรอยขีดข่วนมากๆ มาอ่าน เพราะจะท าให้หัวอ่านช ารุดได้ 2) การใช้น้ ายาล้างหัวอ่านผิดประเภท ก็จะท าให้ซีดีรอมไดร์ฟเสียหายได้ 3) น้ ายาล้งหัวอ่าน ห้ามน ามาเช็ดหน้าจ จะท าให้หน้าจอเสียหายได้ ถ้ามีฝุ่นหรือคราบนิ้วมือ ให้ใช้ผ้าสะอาดเช็ดก็เพียงพอแล้ว 10. ดีวีดีรอมไดร์ฟ (DVD-Rom; Digital Video Disc/Digital Versatile Disc) ดีวีดีรอมไดร์ฟเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สื่อและบันทึกข้อมูลที่สามารถอ่านได้ทั้งภาพและเสียง เช่นเดียวกับซีดีรอมไดร์ฟ โดยใช้ร่วมกับแผ่นดีวีดีรอม (DVD-Rom มีความจุข้อมูลที่ 4.7 GB หรือ 7 เท่า ของซีดีรอม DVD-Rom สามารถให้ภาพคมซัดที่กล้เคียงกับเทปต้นแบบ จากสตูดิโอ และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ท าให้ปัจจุบันมี Blue-Ray Drive ซึ่งสามารถติดตั้ง บนเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ ส่วนมากจะใช้ส าหรับดูหนังความคมชัดสูง 11. จอภาพ (Monitor) จอภาพเป็นอุปกรณ์ส่งออก (Output Device) อย่างหนึ่งที่ใช้ส าหรับ แสดงข้อมูลหรือโปรแกรมออกมาบนจอภาพ ทั้งจอภาพธรรมดา CRT (Cathode Ray Tube) จอภาพแบบแบน LCD หรือ LED ข้อควรระวัง คือ ไม่ควรวางจอไว้ใกล้บริเวณที่มีสนามแม่เหล็กมากเกินไป และไม่ควรเช็ดหน้าจอ ด้วยน้ ายาอื่นๆ ที่ไม่ใช่น้ ายาท าความสะอาดจอ มิฉะนั้น จะท าให้จอเสียหายได้ 5


12. เมาส์ (Mouse) เมาส์เป็นอุปกรณ์รับเข้า (Input Device) อย่างหนึ่งที่ใช้ส าหรับรับข้อมูล หรือค าสั่งเข้าสู่คอมพิวเตอร์แล้วท าการส่งต่อไปยังหน่วยประมวลกลาง (Processing Unit) มี 2 แบบ คือ 12.1 แบบที่ใช้ลูกกลั้ง ข้อดี คือ ลูกกลิ้งสามารถถอดท าความสะอาดเอาสิ่งสกปรกที่อยู่ ภายในเมาส์ออกได้ ข้อเสีย คือ เคลื่อนไปมาได้ช้ากว่า แบบใช้แสง 12.2 แบบใช้แสง (Laser) เมื่อเมาส์จะเคลื่อนไปมาบนแผ่นรองเมาส์ จะมีแสงตัดผ่าน และสะท้อนขึ้นมาท าให้ทราบต าแหน่งที่ลาก ฉะนั้น สิ่งที่ต้องค านึง คือ แผ่นรองเมาส์ ควรเป็น สีทึบ ไม่มีลวดลายมากเกินไป เพราะจะท าให้การสะท้อนของล าแสงไม่ดี ท าให้การเคลื่อนที่ช้า 13. แผงแป้นอักขระ (Keyboard) แผงแป้นอักขระเป็นอุปกรณ์รับเข้า (Input Device) อย่าง หนึ่งที่ใช้ส าหรับน าข้อมูลลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ มี 3 แบบ คือ 13.1 แบบใช้สายเชื่อมต่ออนุกรม (Serial Port หรือ PS2) หัวมีลักษณะกลม ข้อดี คือ ไม่จ าเป็นต้องติดตั้งไดร์ฟเวอร์ 13.2 แบบใช้สายเชื่อมต่อชนิด USB หัวมีลักษณะแบน (แบบเดียวกับอุปกรณ์ USB ทั่วไป) ข้อดี คือ สามารถน ามาเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้หลากหลาย 13.3 แบบแป้นพิมพ์ไร้สาย ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับเมาส์ เป็นชุดเดียวกัน ข้อดี คือ เคลื่อนย้ายที่สะดวกมาก ไม่ต้องมีสายระเกะระกะ ข้อเสีย คือ จ าเป็นต้องใช้แบตเตอรี่ และมีราคาสูงกว่าแบบสายเชื่อม ข้อควรระวัง คือ การป้อนข้อมูลจ านวนมากทุกวัน หรือ การเอาแผงแป้นอักขระ ไปใช้เล่นเกมส์บ่อยๆจะพบว่ามีบางปุ่มจะเสียเร็ว และอายุการใช้งานของแป้นจะสั้นลง 6


การจัดการฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ วิธีการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาฮาร์ดแวร์ การตรวจสอบและแก้ไขปัญหาฮาร์ดแวร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถท าได้ ตามขั้นตอน ต่อไปนี้ 1. ตรวจสอบการเชื่อมต่อฮาร์ดแวร์: ตรวจสอบว่าสายสัญญาณและสายเชื่อมต่อ ระหว่างฮาร์ดแวร์และเมนบอร์ดถูกเสียบติดตั้งอย่างถูกต้องและแน่นหนาแน่นพอ แต่ในบางครั้ง การเชื่อมต่ออาจไม่สมบูรณ์หรือไม่แน่นหนาแน่นพอ ซึ่งอาจส่งผลให้ฮาร์ดแวร์ไม่ท างานได้ อย่างถูกต้อง ให้ตรวจสอบว่าสายเชื่อมต่อถูกเสียบให้แน่นหนาแน่นพอและไม่มีสัญญาณผิดปกติ 2. เช็คการตรวจจับฮาร์ดแวร์: ในบางครั้งเครื่องคอมพิวเตอร์อาจไม่ตรวจพบฮาร์ดแวร์ ที่ติดตั้งอยู่ ในกรณีนี้ให้เข้าไปใน BIOS หรือ UEFI และตรวจสอบว่าฮาร์ดแวร์ถูกติดตั้งและตรวจพบ อย่างถูกต้องหรือไม่ หากไม่พบฮาร์ดแวร์ที่ต้องการ ลองตรวจสอบการเชื่อมต่อฮาร์ดแวร์อีกครั้ง และตรวจสอบการตั้งค่าใน BIOS/UEFI เพื่อให้ระบบตรวจจับฮาร์ดแวร์ได้ถูกต้อง 3. ตรวจสอบการทดสอบเบื้องต้น: ใช้โปรแกรมทดสอบเบื้องต้น เช่น Memtest86+ หรือ Crystal Disk Info เพื่อตรวจสอบการท างานของแรมและฮาร์ดไดรฟ์ว่า มีปัญหาหรือไม่ โปรแกรมเหล่านี้ จะช่วยตรวจสอบปัญหาเบื้องต้น และแสดงข้อมูลสถานะของอุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ 4. อัปเดตไดรเวอร์: หากพบปัญหาเฉพาะอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวข้อง อาจมี การอัปเดตไดรเวอร์ล่าสุดส าหรับอุปกรณ์นั้น ให้เข้าไปที่เว็บไซต์ผู้ผลิตอุปกรณ์และดาวน์โหลด และติดตั้งไดรเวอร์ล่าสุดที่มีให้ 5. ส ารวจปัญหาเฉพาะ: หากเจอปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่มีรหัส ข้อผิดพลาด (error code) ให้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับรหัสนั้นในฐานข้อมูลของผู้ผลิตหรือค้นหา ในเว็บไซต์ชุมชนของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ เพื่อหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสม 6. ให้ความส าคัญกับความระมัดระวัง: เมื่อแก้ไขปัญหาฮาร์ดแวร์ เรียนรู้และใช้ มาตรการระงับการช ารุดและป้องกัน เช่น การใช้ฮีทซิงค์ในการป้องกันผลกระทบจากความร้อน การรักษาความสะอาดของฮาร์ดแวร์ และการตรวจสอบอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเพื่อให้แน่ใจ ว่ายึดแน่นไม่ หลวม คลอนแคลน หรืออยู่ในบริเวณที่มีการสั่นสะเทือน ซึ่งอาจท าให้เกิดความเสียหายกับฮาร์ดแวร์ หากผู้ใช้งานพบว่า ปัญหายังคงอยู่ หรือไม่มีทักษะความรู้ในการแก้ไขปัญหา ฮาร์ดแวร์ ควรติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคหรือศูนย์บริการคอมพิวเตอร์เพื่อขอความช่วยเหลือ และค าแนะน าเพิ่มเติม อย่าลองแก้ไขปัญหาที่ไม่รู้จักหรือไม่มีความช านาญเอง เพราะอาจท าให้ เกิดความเสียหายเพิ่มเติมกับระบบหรืออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ได้ 7


วิธีการจัดการซอฟต์แวร์ การจัดการซอฟต์แวร์ของคอมพิวเตอร์สามารถท าได้ตามขั้นตอน ดังนี้ 1. อัปเดตซอฟต์แวร์: อัปเดตระบบปฏิบัติการและโปรแกรมต่าง ๆ ที่ใช้ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งาน การอัปเดตช่วยปรับปรุงความเสถียรภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ 2. ติดตั้งและถอนการติดตั้งโปรแกรม: ค านึงถึงความจ าเป็นของโปรแกรมที่ ผู้ใช้งานต้องการติดตั้งและตรวจสอบความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการ หากไม่ต้องการใช้งาน โปรแกรมใด ๆ แล้วให้ถอนการติดตั้งเพื่อประหยัดพื้นที่บนฮาร์ดไดรฟ์ 3. ส ารวจและล้างไวรัส: ติดตั้งและอัปเดต โปรแกรมต้านไวรัสที่เหมาะสมและสแกนเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจหาไวรัสและโปรแกรมแอดแวร์ที่เป็นอันตราย หากพบไวรัสให้ลบและก าจัดไวรัสตามค าแนะน าของ โปรแกรมต้านไวรัส 4. จัดการไฟล์ไม่จ าเป็น: ตรวจสอบและลบไฟล์ไม่จ าเป็นหรือไม่ใช้งานออกจาก เครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น ไฟล์แคช ไฟล์ชั่วคราว หรือไฟล์ดาวน์โหลดที่ไม่ได้ใช้แล้ว เพื่อ ประหยัดพื้นที่บนฮาร์ดไดรฟ์ 5. จัดการโปรแกรมเสริม: ค านึงถึงการจัดการซอฟต์แวร์เสริม เช่น การสร้าง และจัดการไดรเวอร์อุปกรณ์ การติดตั้งและอัปเดตเครื่องมือส าหรับงานเฉพาะ เช่น เครื่องมือ ส าหรับงานกราฟิกหรือการแก้ไขวีดีโอ เป็นต้น 6. ส ารวจปัญหาและแก้ไขข้อขัดข้อง: หากพบปัญหาเชิงซอฟต์แวร์ เช่น โปรแกรมท างานไม่ถูกต้อง คอมพิวเตอร์ช้าลง หรือข้อผิดพลาดขึ้น เรียนรู้วิธีการแก้ไขปัญหา โดยการค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องในฐานข้อมูลการแก้ไขปัญหาออนไลน์ หรือค้นหาค าถามที่ คล้ายกันในชุมชนออนไลน์ของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ โดยทั่วไปแล้ว การจัดการซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและ สอดคล้องกับการรักษาความปลอดภัยของระบบ นอกจากนี้ยังควรมีการส ารวจและจัดการ ซอฟต์แวร์เพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์ท างานอย่างเป็นเสถียร มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยจาก ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากภัยคุกคามภายนอก 8


การป้องกันไวรัส และความปลอดภัย วิธีการติดตั้งและอัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัส วิธีการติดตั้งและอัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสในคอมพิวเตอร์สามารถท าได้ ตามขั้นตอน ต่อไปนี้ 1. ค้นหาโปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะสม: มีหลายโปรแกรมป้องกันไวรัสที่มีอยู่บนตลาด ให้ค้นหา และเลือกโปรแกรมที่ตรงกับความต้องการและงบประมาณ ของผู้ใช้งาน เช่น Avast, AVG, McAfee, Norton, หรือ Kaspersky เป็นต้น 2. ดาวน์โหลดและติดตั้ง: เข้าสู่เว็บไซต์ของโปรแกรมป้องกันไวรัสทู้ใช้งานเลือก และดาวน์โหลดตัวติดตั้ง คลิกที่ไฟล์ติดตั้งเพื่อเริ่มต้นกระบวนการติดตั้ง ปฏิบัติตามขั้นตอนใน ขั้นตอนติดตั้งเพื่อท าการติดตั้งโปรแกรมลงในระบบของผู้ใช้งาน 3. อัปเดตโปรแกรม: เมื่อติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสเสร็จสิ้น ส าคัญที่จะอัปเดต โปรแกรมให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด เพื่อให้ได้รับการปรับปรุงความปลอดภัยและฟังก์ชันใหม่ โปรแกรมป้องกันไวรัสจะมีตัวตรวจสอบการอัปเดตอัตโนมัติ หากไม่มีให้ผู้ใช้งานตรวจสอบ ในการตั้งค่าโปรแกรมและด าเนินการอัปเดตด้วยตนเอง 4. ตั้งค่าการสแกนอัตโนมัติ: ตั้งค่าโปรแกรมป้องกันไวรัสเพื่อสแกนไฟล์ และระบบของคุณอย่างสม่ าเสมอ ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าการสแกนอัตโนมัติในเวลาที่ไม่มีการ ใช้งาน เพื่อใช้งานที่มีประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ 5. ตรวจสอบการสแกนแบบเป็นระยะเวลา: โปรแกรมป้องกันไวรัสมักจะมีตัว ตรวจสอบการสแกนแบบเป็นระยะเวลา ท าให้คุณสามารถตั้งค่าการสแกนเครื่องคอมพิวเตอร์ ของคุณให้ท างานอย่างประจ าเพื่อตรวจหาไวรัสหรืออันตรายอื่น ๆ ที่อาจเข้าสู่ระบบของคุณ 6. ความส าคัญของการอัปเดต: ระบบป้องกันไวรัสที่มีการอัปเดตตลอดเวลาจะ ท าให้เครื่องคอมพิวเตอร์มีการป้องกันที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ ควรอัปเดตโปรแกรม ป้องกันไวรัสและฐานข้อมูลการตรวจหาไวรัสให้เป็นประจ า โดยทั่วไปแล้ว การติดตั้งและอัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสเป็นขั้นตอนส าคัญในการ รักษาคอมพิวเตอร์ของคุณปลอดภัยจากไวรัสและภัยคุกคามอื่น ๆ แนะน าให้คุณตรวจสอบ และอัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสของคุณอย่างสม่ าเสมอเพื่อรักษาความปลอดภัยของระบบ ของคุณ 9


การสแกนและลบไฟล์อันตราย เมื่อต้องการสแกนและลบไฟล์อันตรายที่คาดว่าอาจมีบนคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งาน สามารถท าตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส: เริ่มต้นโดยเปิดโปรแกรมป้องกันไวรัสที่คุณติดตั้ง บนคอมพิวเตอร์ เช่น Windows Defender (ส าหรับ Windows) หรือโปรแกรมป้องกันไวรัส อื่น ๆ ที่มีในเครื่องคอมพิวเตอร์ 2. เลือกสแกนไฟล์: ในโปรแกรมป้องกันไวรัสผู้ใช้งานสามารถเลือกสแกนไดรฟ์ หรือโฟลเดอร์ที่ต้องการตรวจสอบ หรือจะสแกนทั้งระบบคอมพิวเตอร์ได้เช่นกัน คลิกที่ ตัวเลือกที่เกี่ยวข้องในโปรแกรมเพื่อเริ่มต้นการสแกน 3. รอสแกนเสร็จสิ้น: โปรแกรมจะเริ่มต้นสแกนไฟล์ที่ผู้ใช้งานเลือก รอให้ กระบวนการสแกนเสร็จสิ้น ขึ้นอยู่กับขนาดของไดรฟ์หรือโฟลเดอร์ที่เลือก อาจใช้เวลาสักระยะ 4. ตรวจสอบผลลัพธ์: เมื่อการสแกนเสร็จสิ้น โปรแกรมจะแสดงผลลัพธ์ว่าพบ ไฟล์อันตรายหรือไม่ ผู้ใช้งานสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับไฟล์ที่ตรวจพบได้ ในรายงานหรือประวัติการสแกนของโปรแกรม 5. ลบไฟล์อันตราย: หากโปรแกรมป้องกันไวรัสตรวจพบไฟล์อันตราย ผู้ใช้งานสามารถด าเนินการลบไฟล์เหล่านั้นได้ผ่านโปรแกรม ในบางกรณี โปรแกรม ป้องกันไวรัสอาจจะลบไฟล์อัตโนมัติหรือผู้ใช้งานอาจต้องด าเนินการลบไฟล์ด้วยตนเอง ตามค าแนะน าในโปรแกรม หมายเหตุ: การลบไฟล์อันตรายอาจมีผลกระทบต่อระบบหรือโปรแกรมอื่น ๆ บนคอมพิวเตอร์ ก่อนลบไฟล์ ผู้ใช้งานควรท าความเข้าใจและพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการลบไฟล์นั้น เคล็ดลับในการการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล 1. ใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่ง: สร้างรหัสผ่านที่มีความยากต่อการเดาโดยผสมผสาน ตัวเลข ตัวอักษร (พิมพ์ใหญ่และเล็ก) และสัญลักษณ์พิเศษ อีกทั้งควรเปลี่ยนรหัสผ่านอย่าง สม่ าเสมอและไม่ใช้รหัสผ่านเดิมในหลายๆ เว็บไซต์หรือบัญชี 2. อัปเดตระบบปฏิบัติการและโปรแกรม: อัปเดตระบบปฏิบัติการของผู้ใช้งานและ โปรแกรมที่ใช้งานบนคอมพิวเตอร์ เนื่องจากมีการปรับปรุงเพื่อรักษาความปลอดภัยและแก้ไข ช่องโหว่ที่อาจถูกใช้ในการเข้าถึงข้อมูล 3. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส: ติดตั้งและใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เชื่อถือได้เพื่อ ป้องกันการติดไวรัสและโปรแกรมอันตรายอื่น ๆ อัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสเป็นประจ าเพื่อ ปรับปรุงความปลอดภัยล่าสุด 10


4. การส ารองข้อมูล (Backup): การคัดลอกข้อมูล เช่น ไฟล์, ฐานข้อมูล, ระบบ คอมพิวเตอร์, ระบบคอมพิวเตอร์เสมือน (Computer Virtualization) ไปยังสถานที่เก็บอื่นๆ หรือบริการเก็บข้อมูลออนไลน์ เพื่อการเก็บรักษาในกรณีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น คอมพิวเตอร์เสีย ถูกแฮ็กเกอร์ เกิดภัยพิบัติ เป็นต้น 5. เปิดใช้งานการกู้คืนข้อมูล (Data Recovery): คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานอาจ เกิดข้อผิดพลาดหรือสูญเสียข้อมูลได้ ในกรณีเช่นนี้ การมีโปรแกรมกู้คืนข้อมูลที่เปิดใช้งาน จะช่วยกู้คืนข้อมูลที่สูญหายหรือลบโดยไม่ได้ตั้งใจ 6. ระมัดระวังกับการเชื่อมต่อเครือข่าย: รักษาความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์ โดยไม่ให้เชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ไม่น่าเชื่อถือ อย่าเปิดใช้งานการเชื่อมต่อเครือข่ายสาธารณะ ที่ไม่ได้รับความปลอดภัย เพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีและการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่เหมาะสม 7. ใช้การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption): ส าหรับข้อมูลที่ส าคัญและเป็นความลับ ผู้ใช้งานสามารถใช้การเข้ารหัสข้อมูลเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยไม่ได้รับ อนุญาต 8. ระมัดระวังกับอีเมลและเว็บไซต์: ระมัดระวังกับอีเมลที่ไม่น่าเชื่อถือและ หลีกเลี่ยงการเปิดไฟล์หรือคลิกลิงก์ที่ไม่รู้จัก รวมทั้งอย่าเข้าสู่เว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือหรือที่ไม่มี การเข้ารหัสเมื่อส่งข้อมูล 9. ปิดใช้งานแชร์ไฟล์: หากผู้ใช้งานไม่จ าเป็นต้องแชร์ไฟล์หรือโฟลเดอร์บนเครื่อง คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งาน ควรปิดใช้งานฟีเจอร์แชร์เพื่อลดความเสี่ยงในการเข้าถึงข้อมูลจากบุคคลอื่น 10. ศึกษาและอัปเดตความรู้: ความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์เปลี่ยนแปลงอยู่ เสมอ คุณควรศึกษาและอัปเดตความรู้เกี่ยวกับเทคนิคและมาตรการใหม่ ๆ เพื่อปกป้อง คอมพิวเตอร์และข้อมูลของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ 11. ระมัดระวังการดาวน์โหลด: เมื่อดาวน์โหลดไฟล์หรือโปรแกรมจากอินเทอร์เน็ต ตรวจสอบและให้แน่ใจว่ามาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และอย่าติดตั้งโปรแกรมที่ไม่รู้จักหรือมาจาก แหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ 12. ใช้และปรับใช้การตั้งค่าไฟร์วอลล์: คอนฟิกให้ไฟร์วอลล์หรือโฟร์มแวร์รักษา ความปลอดภัยหรือโปรแกรมป้องกันไวรัสของคุณท างานอย่างมีประสิทธิภาพและเปิดใช้งาน การป้องกันที่มีอยู่ในไฟร์วอลล์ เหล่านี้เป็นเคล็ดลับที่ส าคัญในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ของผู้ใช้งาน ซึ่งควรปฏิบัติตามและปรับใช้ให้สอดคล้องกับความเหมาะสมและความต้องการที่ ส าคัญอย่าลืมท าความสะอาดคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ เสมอเพื่อรักษาสภาพที่ดีและ ปลอดภัยของระบบอีกด้วย 11


การดูแลและบ ารุงรักษาระบบขั้นพื้นฐาน 1. Disk cleanup Disk Cleanup คือ หนึ่งในโปรแกรม ส าหรับใช้บ ารุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ ใช้ในการท าความสะอาด Hard disk โดยลบไฟล์ต่างๆ ที่ไม่จ าเป็นออก เช่น ไฟล์ Temporary รวมไปถึง ไฟล์อินเตอร์เน็ตต่างๆที่เก็บไว้ใน Cache ของ browser เพื่อให้ Hard disk ของ เครื่องคอมพิวเตอร์มีเนื้อที่เหลือในการใช้งานเพิ่มมากขึ้น ท างานได้เร็วมากขึ้น เนื่องจากมีพื้นที่เหลือว่างส าหรับการจัดการข้อมูลต่างๆ ควรท า Disk Cleanup กับเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นประจ า ประมาณ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ วิธีการเรียกใช้งานโปรแกรม Disk Cleanup คลิ๊กปุม Start Menu จากหน้าจอ 2. เลือก All Program 3. เลือก Accessories 4. เลือก System Tools 5. เลือก Disk Cleanup 6. เลือกไดร์ฟที่ต้องการ Disk Cleanup 7. คลิกเครื่องหมายถูกในไฟล์ โดยสามารถเลือกได้ทั้งหมด โดยที่ไม่มีปัญหา ใดๆต่อ การท างานของเครื่องสามารถสังเกตได้ด้วยว่า ที่คุณเลือกไป สามารถคืนพื้นที่กับ Hard disk ได้เท่าไรที่ข้างล่างของโปรแกรม 8. คลิก OK โปรแกรมจะถามว่า คุณแน่ใจหรือไม่ ที่จะลบไฟล์เหล่านี้ ให้คุณตอบ Yes จากนั้นโปรแกรมจะท าการลบไฟล์ต่างๆ เหล่านั้นต่อไป 12


2. Check disc Check Disk คือ การตรวจสอบความผิดปกติของฮาร์ดดิสก์ วิธีการเรียกใช้งานโปรแกรม Check Disk 1. เปิด My Computer กด Right-Click ที่ Drive ที่ต้องการตรวจสอบ เช่น C:\ เลือกเมนู "Properties..." 2. คลิกที่ Tools จะปรากฎหน้าจอตามรูป ในส่วนของ Error-checking ให้ท่านคลิกที่ "Check now..." 3. ท าเครื่องหมายถูกที่ " Scan for and attempt recovery of bad sectors" จากนั้น คลิก Start เพื่อเริ่มการตรวจสอบและแก้ไข" หลังจากตรวจสอบแล้ว หากพบข้อผิดพลาดใดก็ ตามก็จะถูกแก้ไขให้อัตโนมัติ หมายเหตุ ขณะที่ท าการ Scan Disk ไม่ควรเปิดโปรแกรมใด ๆ 3. Defragment Defragment คือ การจัดข้อมูล ต่างๆ ที่บันทึก ลงไปใน ฮาร์ดดิสก์ ให้เป็นระเบียบ เนื่องจาก เมื่อมีการติดตั้งโปรแกรม Save หรือ Delete ข้อมูลใหม่ๆ ลงไป ข้อมูลเหล่านี้ จะถูกจัดเก็บ อย่างกระจัดกระจายในฮาร์ดดิสก์ ซึ่งท าให้การท างานของเครื่องช้าลง เนื่องจากการอ่านข้อมูล ต้องกระโดดข้ามไป-มา ในแต่ละส่วนของดิสก์ที่แยกกระจายกัน เพียงเพื่ออ่านข้อมูลที่ต้องการ ไฟล์เดียว การใช้ โปรแกรม Defragmenterจะช่วยให้ข้อมูลเหล่านี้ เป็นระเบียบด้วยการจัดเอาข้อมูล ของโปรแกรม และไฟล์ต่างๆให้อยู่รวมกัน อย่างเป็นหมวดหมู่ อันส่งผลให้ฮาร์ตดิสก์ เรียกหา ข้อมูลได้รวดเร็ว แก้ปัญหาเครื่องโหลดเข้าโปรแกรมนานหรือเครื่องช้าได้ การท า Disk Defragment นี้ ควรท า อย่างน้อย เตือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้ ฮาร์ดดิสก์ ของคุณ มีระเบียบ อยู่ตลอด รวมทั้ง หากคุณ ได้มีการติดตั้ง โปรแกรม ใหม่ๆ ลงไป ก็ควร ท าการDefragment ด้วย 13


วิธีการเรียกใช้งานโปรแกรม Defragment 1. ดับเบิ้ลคลิกที่ My Computer คลิกขวาไตร์ฟที่ต้องการท า Defragment เลือก Properties 2. คลิกที่แท็บ Tools จากนั้นคลิกที่ Defragment Now 3. คลิกที่ Defragment 4. จากนั้นให้รอ เครื่องจะท าการ Defragment ซึ่งอาจจะใช้เวลานาน 5. เมื่อเครื่อง Defragment เสร็จเครื่องจะแจ้งให้ทราบถ้าต้องการดูรายละเอียดต่าง ๆ ของการ Defragment ให้คลิกที่ View Report ถ้าไม่ต้องการก็ให้คลิกที่ Close หมายเหตุ • การท า Defragment ให้ท าการ Disk Cleanup และ Scan Disk ก่อน • ขณะที่ก าลังท าการ Defrag หากต้องการยกเลิกการท างาน จะต้องกดที่ Stop เท่านั้น ห้ามปิดเครื่องหรือกดปุ่ม Reset เป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นข้อมูลในฮาร์ดดิสก์อาจจะสูญหายได้ วิธี Reset ล้างเครื่องคอมพิวเตอร์ 1.Backup ไฟล์ที่อยู่ในไดรฟ์C รวมถึงไฟล์ที่อยู่หน้า Desktop ก่อน (แบ็คอัพใส่ไดรฟ์D หรือ External HDD ก็ได้) 2. ไปที่ปุ่ม Start -> Setting -> Update & Security จากนั้นแถบด้านซ้ายเลือก Recovery -> Get started -> Remove everything 3. โปรแกรมก็จะถามว่าจะ reinstall แบบไหน ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ - Cloud download โหลดใหม่จาก Microsoft ใช้เน็ต data ประมาณ 4GB (ต้องใช้เน็ต) - Local reinstall ลงวินโดว์เวอร์ชั่นเดิมที่ใช้อยู่ปัจจุบัน (ไม่ต้องใช้เน็ต) 4. จากนั้นก็กด Next รอสักพักแล้วกด Reset ปล่อยให้เครื่องรันไปเรื่อยๆ จนเสร็จ ซึ่งจะ ใช้เวลารีเซ็ตนี้ประมาณ 10 นาทีด้วยกันแล้วแต่ความแรงของเครื่อง รอจนครบ 100% จากเครื่องก็จะท าการ reinstall Windows อีกรอบ ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีเช่นกัน 5. หลังจากเครื่อง reinstall เสร็จแล้วก็ท าการเซ็ตตั้งค่า Windows ปกติได้เลย 14


โปรแกรมป้องกันสปายแวร์หรือมัลแวร์และไวรัส Windows Security Windows Security จะช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์ของคุณจากป็อปอัพ อาการเครื่อง ท างานช้า และไวรัสหรือสปายแวร์ที่คุกคามระบบความปลอดภัย มัลแวร์อาจมีอยู่ใน คอมพิวเตอร์ โดยที่เราไม่ทราบ มัลแวร์อาจติดตั้งตัวเองจากอีเมล เมื่อมีการเชื่อมต่อกับ อินเทอร์เน็ต หรือเมื่อติดตั้งโปรแกรมบางอย่างโดยใช้แฟลชไดรฟ์USB,ซีดี, ดีวีดี หรือสื่อที่ถอด ออกได้อื่นๆ เอกสารนี้อธิบายวิธีสแกนและลบซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตรายโดยใช้ Windows Security Windows Security จะช่วยป้องกันไม่ให้คอมพิวเตอร์ติดมัลแวร์ด้วยวิธีการ 2 อย่าง คือ • ระบบป้องกันแบบเรียลไทม์: Windows Security จะแจ้งให้ทราบเมื่อตรวจ พบมัลแวร์ที่อาจส่งผลใด ๆ ต่อคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังจะแจ้งให้ทราบเมื่อมีการ ปรับเปลี่ยนค่าที่ส าคัญโดยแอพพลิเคชั่นด้วย • ตัวเลือกในการสแกน: Windows Security สแกนหามัลแวร์ที่อาจติดตั้งอยู่ใน คอมพิวเตอร์ โดยสามารถลบ (หรือกักกันไว้ชั่วคราว) ภัยคุกคามที่พบในระหว่างการสแกน หมายเหตุ: ขั้นตอนและหน้าจอของ Windows Security อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเวอร์ชัน ของ Windows 10 วิธีเรียกใช้งาน Windows Security 1. เข้า ปุ่ม Search แล้วพิมพ์ค าว่า Windows Security 2. เครื่องเปิด Windows Security มีหัวข้อเมนูให้เลือก 8 หัวข้อ ได้แก่ - Home (หน้าหลักแสดงภาพรวมของโปรแกรม) - Virus & threat protection (การป้องกันไวรัสและภัยคุกคาม) - Account protection (การป้องกันบัญชี) - Firewall & network protection (การป้องกันเครือข่าย) - App & browser control (การควบคุมแอปและเบราว์เซอร์) - Device security (การควบคุมความปลอดภัยของอุปกรณ์) - Device performance & health (ประสิทธิภาพและความสมบูรณ์ของอุปกรณ์) - Family options (ตัวเลือกส าหรับ) เมนูที่ส าคัญและจ าเป็นต้องเรียนรู้ ประกอบด้วย Virus & threat protection (การป้องกันไวรัสและภัยคุกคาม) ใช้ส าหรับการตั้งค่าการ ป้องกันมัลแวร์หรือไวรัส โดยจะท าการค้นหาและหยุดมัลแวร์ต่างๆ ที่ก าลังติดตั้งหรือใช้งาน บนเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถคลิกเลือก Quick scan (สแกนแบบเร็ว), Scan options (ตัวเลือก การสแกน) จากนั้นเลือกประเภทการสแกนที่ต้องการเรียกใช้ 15


App & browser control (การควบคุมแอปและเบราว์เซอร์) ใช้ส าหรับตั้งค่า แอปพลิเคชัน และเบราว์เซอร์ เพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่พึ่งประสงค์ โดยเฉพาะในส่วนของเบราว์เซอร์ เพราะเป็น ประตูหลักในการดึงไวรัสมายังคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานส่วนใหญ่ สามารถคลิกเลือก -Reputation-based protection เพื่อตั้งค่าการป้องกันไฟล์หรือเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงไม่ดี ไว้ใจ ไม่ได้ หรือไม่น่าเชื่อถือ ป้องกันเว็บไซต์หรือการดาวน์โหลดส าหรับ Microsoft Edge -Isolated browsing การเปิดใช้งาน Microsoft Defender Application Guard ให้กับ Microsoft Edge เพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันสิ่งไม่พึ่งประสงค์ดียิ่งขึ้น การแก้ไขปัญหาแฟลชไดร์ฟ แฟลชไดร์ฟไม่สามารถมองเห็นไฟล์ด้านในได้ ทั้งๆที่ข้อมูลยังมีอยู่ สามารถแก้ไขปัญหา เบื้องต้นได้ ดังนี้ 1. กดปุ่ม windows ด้านล่างซ้ายมือ ,ในช่อง search พิมพ์ “ cmd ” เพื่อเปิดกล่อง คอมมานด์ 2. พิมพ์ชื่อไดร์ฟแล้วตามด้วย : เช่น (F:, G:). 3. พิมพ์ค าสั่ง attrib *.* -s -h -a -r /s /d (เสร็จแล้วกด enter) 4. รอค าสั่งท างาน 5. กลับไปดูที่ แฟลชไดร์ฟ จะมี โฟลเดอร์ เพิ่มขึ้นมาอีก 2 โฟลเดอร์ ให้เลือก(ดับเบิ้ลคลิก) ไปที่โฟลเดอร์ที่ไม่มีชื่อ 6. จะพบข้อมูลที่ถูกซ่อนไว้ในนั้น 7. ให้รีบท าการ Backup ข้อมูล แล้วท า format ไดร์ทิ้ง 16


การสำรองข้อมูลและการกู้คืน วิธีการส ารองข้อมูลที่ส าคัญและการกู้คืนข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน การส ารองข้อมูลและการกู้คืนคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งส าคัญที่ช่วยให้สามารถป้องกัน ข้อมูลส าคัญและกู้คืนระบบเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด มีวิธีการ ดังนี้ การส ารองข้อมูล: 1. ใช้ฮาร์ดดิสพกพา (External Hard Drive): เชื่อมต่อฮาร์ดดิสพกพาภายนอก กับคอมพิวเตอร์ของคุณและส ารองข้อมูลที่ส าคัญไปยังฮาร์ดดิสพกพานั้น เก็บฮาร์ดดิสพกพา ไว้ในที่ปลอดภัยและห่างไกลจากคอมพิวเตอร์เพื่อป้องกันการสูญเสียข้อมูลจากเหตุร้ายแรง 2. ใช้บริการเก็บข้อมูลออนไลน์ (Cloud Storage): ลงทะเบียนใช้บริการเก็บข้อมูล ออนไลน์ที่ไว้วางใจและอัปโหลดข้อมูลที่ส าคัญไปยังคลาวด์เพื่อการส ารองข้อมูลที่มีความ ปลอดภัย ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลจากที่ไหนก็ได้ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต 3. ใช้ซอฟต์แวร์ส ารองข้อมูล (Backup Software): ติดตั้งและใช้ซอฟต์แวร์ส ารอง ข้อมูลที่ช่วยให้ส ารองข้อมูลอย่างรวดเร็วและง่าย โปรแกรมเหล่านี้สามารถก าหนดเวลาส ารอง ข้อมูลอัตโนมัติและเก็บข้อมูลในต าแหน่งที่เลือกได้ เช่น Acronis True Image, EaseUS Todo Backup, หรือ Macrium Reflect การกู้คืนคอมพิวเตอร์: 1. ใช้ซอฟต์แวร์กู้คืนข้อมูล (Data Recovery Software): หากผู้ใช้งานสูญเสีย ข้อมูลหรือลบไฟล์โดยไม่ได้ตั้งใจ คุณสามารถใช้ซอฟต์แวร์กู้คืนข้อมูลเพื่อลองกู้คืนข้อมูลที่สูญหาย ซอฟต์แวร์เหล่านี้สามารถสแกนและกู้คืนไฟล์ที่ลบหรือสูญหายได้ เช่น Recuva, EaseUS Data Recovery Wizard, หรือ Stellar Data Recovery 2. ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ: หากไม่สามารถกู้คืนข้อมูลด้วยตัวเอง สามารถ หาความช่วยเหลือจากบริษัทบริการกู้คืนข้อมูลที่มีความเชี่ยวชาญในการกู้คืนข้อมูล ซึ่งมีเครื่องมือ และเทคโนโลยีที่ใช้ในการกู้คืนข้อมูลที่ซับซ้อนและล้ าสมัยมากกว่าซอฟต์แวร์ทั่วไป หลังจากที่ส ารองข้อมูลและกู้คืนคอมพิวเตอร์ส าเร็จ ควรตรวจสอบและทดสอบ ข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลถูกส ารองอย่างถูกต้องและคอมพิวเตอร์ท างานได้อย่างปกติ 17


การจัดการเครือข่าย และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต การตรวจสอบและแก้ไขปัญหาการเชื่อมต่อเครือข่าย การตรวจสอบและแก้ไขปัญหาการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสามารถท าได้ โดยด าเนินขั้นตอนต่อไปนี้ 1. ตรวจสอบการเชื่อมต่อภายนอก : - ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสายเคเบิลเครือข่าย ตัวต่อต่างๆ ถูกเสียบและเชื่อมต่อ อย่างแน่นหนา ทั้งที่อุปกรณ์เน็ตเวิร์คและเครื่องคอมพิวเตอร์ - ตรวจสอบว่าอุปกรณ์เครือข่าย เช่น สวิตช์หรือโมเด็มเสียบปลั๊กอย่างถูกต้อง มีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเสมอ และท างานอย่างเหมาะสม 2. ตรวจสอบการตั้งค่า IP: - ตรวจสอบว่าอุปกรณ์เครือข่ายได้รับการก าหนดที่อยู่ IP อย่างถูกต้อง โดย สามารถใช้ค าสั่ง “ipconfig” (ส าหรับ Windows) หรือ “ifconfig” (ส าหรับ macOS/Linux) บนเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบที่อยู่ IP และช่องทางเริ่มต้น (default gateway) - ตรวจสอบว่าไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างที่อยู่ IP ในเครือข่าย 3. ทดสอบการเชื่อมต่อ: - ใช้ค าสั่ง “ping” เพื่อทดสอบการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์หรืออุปกรณ์ที่อื่น ๆ ในเครือข่าย โดยใช้ที่อยู่ IP หรือชื่อโฮสต์ เช่น “ping google.com” หรือ “ping 8.8.8.8” ถ้าค าสั่ง “ping” มีการตอบสนองกลับมา แสดงว่าการเชื่อมต่อท างานได้ - ตรวจสอบการเชื่อมต่ออื่น ๆ เช่นการเชื่อมต่อ VPN, การใช้งานโปรแกรม Firewall หรืออุปกรณ์เน็ตเวิร์คอื่น ๆ ที่อาจมีผล ต่อการเชื่อมต่อ 4. ตรวจสอบการก าหนด DNS: - ตรวจสอบว่าการก าหนด DNS ถูกต้อง หากใช้ DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol) ในการก าหนดค่า IP แนะน าให้ตรวจสอบว่าระบบ DHCP server มีการก าหนด DNS ให้ถูกต้อง - สามารถลองเปลี่ยน DNS server เป็น public DNS server เช่น 8.8.8.8 (Google Public DNS) หรือ 1.1.1.1 (Cloudflare DNS) เพื่อดูว่าปัญหาเกี่ยวกับการก าหนด DNS 18


5. ตรวจสอบการตั้งค่า Firewall: - firewall ถือได้ว่าเป็นระบบความปลอดภัยด่านแรกของคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะ ท าหน้าที่ในการดูแลการเข้าถึงจากระบบภายนอก เช่น อินเทอร์เน็ต เครือข่ายส านักงาน ไป จนถึงตัวคอมพิวเตอร์เอง - ควรตั้งค่า firewall โดยให้ตั้งค่าไว้ที่ on อยู่ตลอดเวลา จะช่วยให้คอมพิวเตอร์ ของเราสามารถป้องกันทั้งไวรัสและโปรแกรมอันตรายต่าง ๆ ได้ โดยเข้าไปที่เมนู start เข้าไปที่ช่อง ค้นหา (Search) แล้วพิมพ์ค าว่า firewall ลงไป จากนั้นโปรแกรม windows defender firewall จะขึ้นมาและที่แถบเมนูทางซ้ายจะมีค าว่า turn windows defender firewall on or off สามารถ เลือกเปิดหรือปิด firewall และเลือกเปิดได้ทั้งแบบ private network setting และแบบ public network setting ซึ่งขอแนะน าว่าตั้งค่าแบบเปิดและเลือกเป็น public จะเหมาะสมกับการใช้งาน และรูปแบบการเชื่อมต่อในปัจจุบันมากกว่า 6. ตรวจสอบอุปกรณ์เน็ตเวิร์ค: - ตรวจสอบสายเคเบิลและพอร์ตเน็ตเวิร์คว่ามีความเสียหายหรือข้อผิดพลาด - ตรวจสอบการก าหนดค่า VLAN (Virtual Local Area Network) หากใช้ งานในเครือข่ายที่มีการก าหนดค่า VLAN ต้องตรวจสอบว่าอุปกรณ์เครือข่ายต่าง ๆ ได้รับการ ก าหนดค่า VLAN อย่างถูกต้อง 7. รีสตาร์ทอุปกรณ์เครือข่าย: - ลองรีสตาร์ทอุปกรณ์เครือข่าย เช่น เร้าเตอร์, สวิตช์ เพื่อรีเซ็ตการเชื่อมต่อ และการก าหนดค่า หากท าขั้นตอนดังกล่าวแล้วยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเชื่อมต่อเครือข่าย อินเตอร์เน็ตได้ แนะน าให้ติดต่อผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตหรือผู้ดูแลระบบเครือข่ายเพื่อขอความ ช่วยเหลือเพิ่มเติม ซึ่งอาจต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายละเอียดของปัญหาเพื่อให้สามารถ ช่วยแก้ไขได้อย่างถูกต้อง การป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาตและการรักษาความเร็วและประสิทธิภาพของเครือข่าย 1. ใช้การรักษาความปลอดภัยทางเครือข่าย: - ติดตั้งและอัปเดตซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัย อื่น ๆ บนเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เครือข่าย - ปรับแต่งการตั้งค่าระบบป้องกันการบุกรุก (Intrusion Prevention System) หรือการตั้งค่ากฎการเข้าถึง (Access Control Lists) บนอุปกรณ์เครือข่ายเพื่อป้องกัน การเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต 2. ใช้การตรวจจับการบุกรุกแบบพร็อกซี (Intrusion Detection System, IDS) และระบบตรวจจับการบุกรุกแบบพร็อกซี (Intrusion Prevention System, IPS): - ติดตั้งและก าหนดค่า IDS/IPS เพื่อตรวจจับและป้องกันการบุกรุกในเครือข่าย ระบบ จะตรวจจับพฤติกรรมผู้ใช้งานและการเข้าถึงเครือข่ายที่ไม่ปกติและท างานเพื่อป้องกัน ไวรัสและการบุกรุก 19


3. ใช้การตั้งค่าการเข้าถึง (Access Control): - ก าหนดการเข้าถึงและสิทธิ์ใช้งานให้กับผู้ใช้งานในเครือข่าย โดยให้มีการ ก าหนดระดับการเข้าถึงตามความจ าเป็นและหลักปฏิบัติทางความปลอดภัย 4. ใช้การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption): - ใช้การเข้ารหัสข้อมูลเพื่อป้องกันการอ่านและรับรู้ข้อมูลที่ถูกในเครือข่าย ใช้โปรโตคอลที่มีการเข้ารหัสเช่น SSL/TLS ในการส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย 5. ปรับแต่งการตั้งค่าเครือข่าย: - ควรปรับแต่งการตั้งค่าเครือข่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ อาทิเช่น การใช้งาน คุณลักษณะ Quality of Service (QoS) เพื่อก าหนดล าดับและการจัดสิทธิ์ใช้งานแบนด์วิดธ์ที่ เหมาะสมให้กับแอปพลิเคชันหรือบริการที่มีความส าคัญสูง 6. อัพเกรดอุปกรณ์เครือข่าย: - หากมีปัญหาเรื่องความเร็วและประสิทธิภาพของเครือข่าย อาจพิจารณาอัพเกรด อุปกรณ์เครือข่าย เช่น เปลี่ยนเราเตอร์หรือสวิตช์ใหม่ที่มีความสามารถเน็ตเวิร์คที่เร็วขึ้น 7. ด าเนินการเพิ่มความปลอดภัยของรหัสผ่าน: - ใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่งและทางเลือกที่ปลอดภัย เปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจ า อย่างน้อยหลายเดือนหรือตามนโยบายความปลอดภัยขององค์กร 8. ซ่อมแซมปัญหาเครือข่ายทันที: - หากพบปัญหาเครือข่าย เช่น ความไม่เสถียรของการเชื่อมต่อหรือประสิทธิภาพ ที่ลดลง ควรตรวจสอบและแก้ไขปัญหาทันทีเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเป็นช่องทางให้กับผู้ไม่ประสงค์ดี 9. อบรมและส่งเสริมความรู้การใช้งานที่ปลอดภัย: - อบรมและส่งเสริมวิธีการใช้งานที่ปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานในเครือข่าย เช่น การใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่ง การไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และการตรวจสอบแนวทางความ ปลอดภัยเบื้องต้น การปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับ อนุญาตและรักษาความเร็วและประสิทธิภาพของเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 20


การจัดการอุปกรณ์ และอุปกรณ์เสริม วิธีการติดตั้งและการใช้งานอุปกรณ์เสริม การติดตั้งและการใช้งานจอภาพ (Monitor): 1. น าสายสัญญาณ (VGA, HDMI, DisplayPort) จากคอมพิวเตอร์ไปยังพอร์ตสัญญาณบนจอภาพ 2. เสียบสายไฟเข้ากับจอภาพและเชื่อมต่อสายไฟเข้ากับปลั๊กไฟ 3. เปิดจอภาพและปรับแต่งการตั้งค่าตามความต้องการ เช่น ความละเอียด, ความสว่าง การติดตั้งและการใช้งานปุ่มคีย์บอร์ด (Keyboard) และเมาส์ (Mouse): 1. น าปุ่มคีย์บอร์ดและเมาส์เชื่อมต่อกับพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์ 2. ระบบปฏิบัติการจะรู้จักและตรวจสอบอุปกรณ์เหล่านี้โดยอัตโนมัติ 3. รอการติดตั้งไดร์เวอร์และโปรแกรมที่จ าเป็น (หากมี) 4. หลังจากติดตั้งเสร็จสิ้น คุณสามารถใช้งานปุ่มคีย์บอร์ดและเมาส์ได้ทันที การติดตั้งและการใช้งานเครื่องพิมพ์ (Printer): 1. ตรวจสอบคู่มือการติดตั้งของเครื่องพิมพ์เพื่อดูขั้นตอนและข้อก าหนดเฉพาะ 2. ใส่แผ่นซีดีหรือดาวน์โหลดไฟล์ไดร์เวอร์จากผู้ผลิตของเครื่องพิมพ์ (หากจ าเป็น) 3. เชื่อมต่อเครื่องพิมพ์กับคอมพิวเตอร์โดยใช้สาย USB หรือเชื่อมต่อผ่านเครือข่าย (หากเครื่องพิมพ์รองรับ) 4. เปิดเครื่องพิมพ์และติดตั้งหมึกหรือกระดาษตามค าแนะน า 5. ตั้งค่าประเภทของเครื่องพิมพ์ในระบบปฏิบัติการและทดสอบการพิมพ์ การติดตั้งและการใช้งานจอโทรทัศน์: 1. ตรวจสอบว่าจอโทรทัศน์ของคุณมีพอร์ต HDMI หรืออื่นๆ ที่รองรับการเชื่อมต่อ อุปกรณ์เสริม 2. เชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมที่รองรับการเชื่อมต่อกับจอโทรทัศน์ผ่านพอร์ตที่เหมาะสม อาทิเช่น HDMI หรือ USB 3. เปิดจอโทรทัศน์และเลือกแหล่งเสียงและวิดีโอที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริม 4. ตั้งค่าคุณสมบัติและการแสดงผลบนจอโทรทัศน์ตามค าแนะน าของผู้ผลิต เช่น ความสว่าง, อัตราส่วนภาพ 21


การติดตั้งและการใช้งานอุปกรณ์เสริม Wi-Fi: 1. เลือกอุปกรณ์เสริมที่รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi เช่น สตรีมเมอร์ (Streaming Device) หรือเครื่องรับสัญญาณ Wi-Fi 2. เชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมกับที่จ่ายไฟและเชื่อมต่อกับจอโทรทัศน์ตามค าแนะน าของผู้ผลิต 3. เปิดอุปกรณ์เสริมและเข้าสู่การตั้งค่าเครือข่าย Wi-Fi ซึ่งอาจต้องเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ที่มีอยู่แล้วหรือก าหนดค่า Wi-Fi ใหม่ 4. ใส่รหัสผ่าน Wi-Fi (หากมี) หรือติดตามขั้นตอนในการเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi 5. ทดสอบการเชื่อมต่อ Wi-Fi โดยใช้แอปพลิเคชันหรือเบราว์เซอร์บนจอโทรทัศน์ เช่น การสตรีมวิดีโอหรือเปิดแอปพลิเคชันออนไลน์ โดยทั่วไปแล้ว การติดตั้งและใช้งานอุปกรณ์เสริมเหล่านี้เป็นเรื่องง่าย และการท า ความเข้าใจคู่มือและค าแนะน าจากผู้ผลิตเป็นสิ่งส าคัญเพื่อให้การติดตั้งและการใช้งานเป็นไป อย่างถูกต้องและประสบความส าเร็จ 22


การบำรุงรักษาเคร่องคอมพิวเตอร์ สำหรับผู้ใชื้ท่วไป การดูแลรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็น 3 ด้านหลักๆ คือ 1. ด้านฮาร์ดแวร์ (Hardware) หรือ อุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ภายใน และภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์ 1.1 ที่ตั้งของเครื่องคอมพิวเตอร์ • ควรวางเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ห่างจากผนังไม่น้อยกว่า 15 เซนติเมตร ไม่ควรวางมุมอับ หรือซิดก าแพง เพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก ลดความร้อนภายในเครื่อง • ควรวางเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้บนโต๊ะ จะดีกว่าวางใต้โต๊ะหรือวางกับพื้น เพราะพื้นจะมี ฝุ่นมากกว่า หรือ ระหว่างการใช้งาน ขาอาจไปกระแทกกับเครื่อง ท าให้เกิดความ เสียหายได้ง่าย • ควรวางเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ห่างจากแหล่งสนามแม่เหล็ก เพื่อป้องกันการเสียหาย ของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ • ไม่ควรวางเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ใกล้หน้าต่างที่มีแสงแดดและฝนสามารถเข้าถึงได้ เพราะจะท าให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เสียหายได้ • เครื่องจ่ายไฟส ารอง (UPS) ถ้ามีงบประมาณเพียงพอควรติดตั้งร่วมกับตัวเครื่อง คอมพิวเตอร์ ด้วยเพราะ UPS จะช่วยป้องกันและแก้ปัญหาทางไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็นไฟตก ไฟเกิน หรือไฟกระชากอันเป็นสาเหตุที่จะท าให้เกิดความเสียหายของข้อมูลและชิ้นส่วนอื่น ๆ 1.2 การบ ารุงรักษา Disk Drive ช่องอ่านดิสก์เมื่อท างานไปนาน ๆ หัวอ่านแผ่นดิสก์อาจจะเสื่อมสภาพไปได้หัวอ่านดิสก์ เกิดความสกปรกเนื่องจากมีฝุ่นละอองเข้าไปเกาะที่หัวอ่านหรือเกิดจากความสกปรกของ แผ่นดิสก์ ที่มีฝุ่น หรือคราบไขมันจากมือผลที่เกิดขึ้นท าให้การบันทึกหรืออ่านข้อมูลจากแผ่นดิสก์ไม่สามารถ ด าเนินการได้การดูแลรักษา Disk Drive ควรปฏิบัติดังนี้ • เลือกใช้แผ่นดิสก์ที่สะอาดคือไม่มีคราบฝุ่น ไขมัน หรือรอยขูดขีดใด ๆ • ใช้น้ ายาล้างหัวอ่านดิสก์ทุก ๆ เดือน • หลีกเลี่ยงการใช้แผ่นดิสก์เก่าที่เก็บไว้นาน ๆ เพราะจะท าให้หัวอ่าน Disk Drive สกปรกได้ง่ายก่อนน าแผ่นดิสก์ออกจากช่องอ่าน Disk Drive ควรจะให้ไฟสัญญาณที่ Disk Drive ดับก่อน เพื่อป้องกันหัวอ่านช ารุด 23


1.3 การบ ารุงรักษา Monitor ในส่วนของจอภาพนั้นอาจเสียหายได้เช่นภาพอาการเลื่อนไหลภาพล้ม ภาพเต้นหรือไม่มี ภาพเลยซึ่งความเสียหายดังกล่าวจะต้องให้ช่างเท่านั้นเป็นผู้แก้ไขผู้ใช้คอมพิวเตอร์ควร ระมัดระวัง โดยปฏิบัติดังนี้ • อย่าให้วัตถุหรือน้ าไปกระทบหน้าจอคอมพิวเตอร์ • ควรเปิดไฟที่จอก่อนที่สวิตช์ไฟที่ CPU เพื่อ boot เครื่อง • ไม่ควรปิดๆ เปิดๆ เครื่องติดๆกัน เมื่อปิดเครื่องแล้วทิ้งระยะไว้เล็กน้อยก่อนเปิดใหม่ • ควรปรับความสว่างของจอภาพให้เหมาะสมกับสภาพของห้องท างาน เพราะถ้าสว่าง มากเกินไปย่อมท าให้จอภาพอายุสั้นลง • อย่าเปิดฝาหลัง Monitor ซ่อมเอง เพราะจะเป็นอันตรายจากกระแสไฟฟ้าแรงสูง • เมื่อมีการเปิดจอภาพทิ้งไว้นาน ๆ ควรจะมีการเรียกโปรแกรมถนอมจอภาพ (Screen Sever) ขึ้นมาท างานเพื่อยืดอายุการใช้งานของจอภาพ 1.4 ความสะอาดภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ควรดูแลเช็ดท าความสะอาด ขจัดฝุ่นละออง เส้นผม ใยแมงมุง ที่เกาะอยู่ตามเครื่อง หรือรูระบายความร้อนออกของฝาเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้มีทางระบายความร้อนกระจาย ออกได้ดี 1.5 สิ่งผิดปกติของอุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ • ได้กลิ่นไหม้ • ตัวอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บวม มีน้ ายาไหลออกมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์ • พัดลมระบายความร้อน ยังหมุนดีอยู่หรือไม่ ถ้าหยุดหมุน ควรแจ้งเจ้าหน้าที่เปลี่ยนทันที 1.6 อื่นๆ • ไม่ควรเคลื่อนย้ายเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือถอดสายใดๆ ที่เชื่อมต่อกับเครื่องใน ขณะที่ก าลังเปิดใช้งานอยู่ • ไม่ควรน าน้ า กาแฟ หรือของเหลวอื่นๆ มาตั้งใกล้เครื่อง เพราะสิ่งเหล่านี้อาจท าให้ เครื่องได้รับความเสียหายได้ • ไม่ควรกินของคบเคี้ยวหรืออาหารใด ๆ ขณะท างานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ • อย่าใช้ผ้าเปียก ผ้าชุ่มน้ า เช็ดคอมพิวเตอร์อย่างเด็ดขาด ใช้ผ้าแห้งดีกว่า • อย่าใช้สบู่ น้ ายาท าความสะอาดใด ๆ กับคอมพิวเตอร์ เพราะจะท าให้ระบบของเครื่อง เกิดความเสียหาย • ไม่ควรฉีดสเปรย์ใด ๆ ไปที่คอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ • ไม่ควรใช้เครื่องดูดฝุ่นกับคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ประกอบอื่น ๆ • ถ้าจ าเป็นต้องท าความสะอาดเครื่องคอมพิวเตอร์ โปรดใช้อุปกรณ์ท าความสะอาด ที่คู่มือแนะน าไว้เท่านั้น • ไม่ควรเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ทันทีหลังจากปิดเครื่อง ให้รอสัก 1 นาทีจึงเปิดเครื่อง ใหม่ เพราะกระแสไฟอาจท าให้เครื่องคอมพิวเตอร์เสียหายได้ 24


• ไม่ควรปิดเครื่องโดยกดปุ่ม Power เพราะจะท าให้โปรแกรมหรือไฟล์ที่ก าลังท างาน เสียหายได้ วิธีที่ถูกต้อง คือ ควรใช้ค าสั่งปิด (Shutdown/Turn off) ผ่านวินโดว์ • ไม่ควรวางสิ่งของปิดกั้นช่องระบายอากาศของจอภาพและเครื่องคอมพิวเตอร์ • ควรใช้อุปกรณ์ที่ช่วยส ารองกระแสไฟฟ้าและรักษาระดับแรงดันของไฟฟ้าให้คงที่ เช่น UPS เพื่อป้องกันไฟกระซากในกรณีที่เกิดไฟฟ้าดับกะทันหัน • ควรเปิดใช้โหมดประหยัดพลังาน เพื่อถนอมอายุการใช้งานของเครื่องคอมพิวเตอร์ และประหยัดค่าไฟ เช่น เมื่อไม่ใช้เมาส์ หรือ คีย์บอร์ดระยะหนึ่งให้ปิดหน้าจอ หรือ เข้าโหมด Standby 25 2. ด้านซอร์ฟแวร์(Software) หรือ โปรแกรมที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ 2.1 การลงโปรแกรม ควรลงโปรแกรมเฉพาะที่ใช้ ไม่ควรลงโปรแกรมมาก จะท าให้เครื่องอืด หรือ เครื่องค้าง โปรแกรมที่ไม่ได้ใช้ง่ายควร Uninstall ออก 2.2 การเก็บข้อมูล ควรเก็บข้อมูล เอกสาร ไฟล์ต่างๆ แนะน าให้เก็บไว้ไดร์ฟอื่น ที่ไม่ใช่ไดร์ฟซี (Drive C) ควรดูแลให้ไดร์ฟซี (Drive C) มีพื้นที่เหลือพอส าหรับวินโดว์ท างานได้ โดยเฉพาะโปรแกรม จ าพวกเกมส์ จะกินพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์เยอะ จนท าให้วินโดว์ท างานไม่ได้ 2.3 รู้จักสังเกตโปรแกรมแปลกๆ โปรแกรมแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็นในเครื่องแต่แรก ให้ Uninstall ออก ควรอ่าน หรือ ดูให้ดี ก่อนคลิกตอบรับ ไม่ควรคลิก Next Yes OK แบบไม่ได้อ่าน หรือ อ่านไม่เข้าใจ แปลไม่ออก ให้กด Cancel ดีกว่า เพราะจะได้โปรแกรมที่ติดมาโดยที่เราไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเข้าเวปยอดฮิต อาจติดไวรัส สปายแวร์หรือโปรแกรมที่ไม่พึงประสงค์เข้ามาใน เครื่องคอมพิวเตอร์ 2.4 ติดโปรแกรมป้องกันไวรัส สปายแวร์ ควรติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส/สปายแวร์และอัพเดตฐานข้อมูลไวรัสอยู่เสมอ 2.5 การดูแลและบ ารุงรักษาระบบขั้นพื้นฐาน ควรท าให้สม่ าเสมอ จะท าให้การใช้งาน โปรแกรมไม่อืด ไม่ช้า ควรลบขยะบนฮาร์ดดิสก์ (Disk Cleanup) สม่ าเสมอ ควรตรวจสอบสภาพฮาร์ดดิสก์ (Check Disk) สม่ าเสมอ ควรจัดเรียงข้อมูลเพื่อเร่งความเร็วในการอ่านข้อมูล (Disk Defragmenter) สม่ าเสมอ ควรท าส ารองข้อมูลและไฟล์ระบบวินโดว์ (System Restore) สม่ าเสมอ


2. ด้านซอร์ฟแวร์(Software) หรือ โปรแกรมที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ 2.1 การลงโปรแกรม ควรลงโปรแกรมเฉพาะที่ใช้ ไม่ควรลงโปรแกรมมาก จะท าให้เครื่องอืด หรือเครื่องค้าง โปรแกรมที่ไม่ได้ใช้ง่ายควร Uninstall ออก 2.2 การเก็บข้อมูล ควรเก็บข้อมูล เอกสาร ไฟล์ต่างๆ แนะน าให้เก็บไว้ไดร์ฟอื่น ที่ไม่ใช่ไดร์ฟซี (Drive C) ควรดูแลให้ไดร์ฟซี (Drive C) มีพื้นที่เหลือพอส าหรับวินโดว์ท างานได้ โดยเฉพาะโปรแกรม จ าพวกเกมส์ จะกินพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์เยอะ จนท าให้วินโดว์ท างานไม่ได้ 2.3 รู้จักสังเกตโปรแกรมแปลกๆ โปรแกรมแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็นในเครื่องแต่แรก ให้ Uninstall ออก ควรอ่าน หรือ ดูให้ดี ก่อนคลิกตอบรับ ไม่ควรคลิก Next Yes OK แบบไม่ได้อ่าน หรือ อ่านไม่เข้าใจ แปลไม่ ออก ให้กด Cancel ดีกว่า เพราะจะได้โปรแกรมที่ติดมาโดยที่เราไม่รู้ตัวโดยเฉพาะเว็บไซด์ ยอดฮิต อาจติดไวรัส สปายแวร์หรือโปรแกรมที่ไม่พึงประสงค์เข้ามาในเครื่องคอมพิวเตอร์ 2.4 ติดโปรแกรมป้องกันไวรัส สปายแวร์ ควรติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส/สปายแวร์และอัพเดตฐานข้อมูลไวรัสอยู่เสมอ 2.5 การดูแลและบ ารุงรักษาระบบขั้นพื้นฐาน ควรท าให้สม่ าเสมอ จะท าให้การใช้งาน โปรแกรมไม่อืด ไม่ช้า • ควรลบขยะบนฮาร์ดดิสก์ (Disk Cleanup) สม่ าเสมอ • ควรตรวจสอบสภาพฮาร์ดดิสก์ (Check Disk) สม่ าเสมอ • ควรจัดเรียงข้อมูลเพื่อเร่งความเร็วในการอ่านข้อมูล (Disk Defragmenter) สม่ าเสมอ • ควรท าส ารองข้อมูลและไฟล์ระบบวินโดว์ (System Restore) สม่ าเสมอ 3. ด้านผู้ใช้งาน (Peopleware) หรือ ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ 3.1 อ่าน • ควรอ่านสักนิด ก่อนคลิกอะไร จะได้รู้ว่าต้องท าอะไรบ้าง หรือให้ถามจากผู้รู้ก็ยังดี 3.2 อารมณ์ • ไม่ควรเคาะคีย์บอร์ดแรงๆ กระแทกเมาส์แรงๆ หรือดับเบิ้ลคลิกเมาส์ถี่ๆ เพราะ ไม่ได้ช่วยท าให้เครื่องท างานเร็วขึ้น แต่จะท าให้ช้ามากขึ้นถึงขั้นเครื่องค้าง 3.3 ท าโดยไม่รู้ หรือ ท ามั่ว • ไม่ควรท าโดยไม่รู้หรือมั่ว โดยเฉพาะการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม เช่น ช่องเสียบใส่ไม่ เข้า ก็พยายามฝืนดันเข้าไป ก่อนใช้งานควรอ่านคู่มือก่อน • การดาว์นโหลดโปรแกรมจากเว็บไซต์ ต้องระวังให้มาก 3.4 จัดระเบียบเอกสาร • ควรจัดโฟลเดอร์และเอกสารที่ใช้งานให้เป็นระเบียบ จะช่วยประหยัดเวลาท างาน ได้เร็วยิ่งขึ้น และเครื่องท างานเบาลง 26


บรรณานุกรม ศุภิสรา เกียรติสันติสุข. (ม.ป.ป.). คู่มือดูแลรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์เบื้องต้น. สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. https://www3.rdi.ku.ac.th/ ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการสหกรณ์ที่ 9 จังหวัดเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). คู่มือดูแลรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ เบื้องต้น. ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการสหกรณ์ที่ 9 จังหวัดเชียงใหม่. https://km.cpd.go.th/ pdf-bin/pdf_0168938772.pdf/ Dude Lebowski. (14 ตุลาคม 2564). วิธี Reset ล้างเครื่องคอม ให้ลื่นเหมือนใหม่ โดยไม่ต้องใช้ Flash Drive ลง Windows. Droidsans Co., Ltd.. https://droidsans.com/resetwindows-10-how-to/ Modify. (6 พฤศจิกายน 2564). วิธีใช้งาน Windows Defender และ Windows Security. modify.in.th. https://www.modify.in.th/24793# 27


Click to View FlipBook Version