The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

4BD49196-7DC7-4148-A87D-C32C5299D1F4 (1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Peace Peerapat, 2022-07-22 12:28:46

Circulatory System

4BD49196-7DC7-4148-A87D-C32C5299D1F4 (1)

Biology

CIRCULATORY
SYSTEMOF HUMAN

circulatory

ระบบหมุนเวียนเลือดของคนเป็นระบบนําสารเข้าและออกจาก
เซลล์ เป็นการช่วยรักษาระดับอุณหภูมิ และความสมดุล ของร่างกาย

ระบบหมุนเวียนเลือดของคนประกอบด้วยหัวใจเป็นอวัยวะ
สําคัญ ทําหน้าที่สูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยมี
เส้นเลือดเป็นท่อลําเลียงเลือด ประกอบด้วยส่วนสําคัญ 3 ส่วน คือ
1 เลือด (blood) เป็นของเหลวชนิดหนึ่งในร่างกาย ประกอบด้วย นํา
เลือด เกล็ดเลือด เซลล์เม็ด เลือดแดง และเซลล์เม็ดเลือดขาว
2. เส้นเลือด (blood vessel) คือท่อที่เป็นทางให้เลือดไหลไปยังส่วน
ต่างๆ ของร่างกาย มี 3 ระบบ คือเส้นเลือดแดง เส้นเลือดดํา และ
เส้นเลือดฝอย
3. หัวใจ (heart) เป็นอวัยวะที่ทําหน้าที่สูบฉีดเลือดตลอดเวลา เพื่อให้
กระแสเลือดหมุนเวียนทั่วร่างกายต่อเนื่องกัน

หัวใจมนุษย์ แบ่งออกเป็น 4 ห้อง คือ บนซ้าย ล่างซ้าย บนขวา
และล่างขวา

หน้าที่และความสำคัญ

1. ให้อาหาร นำอาหารและสารอื่นๆ ไปเลี้ยงเซลล์
ของร่างกาย
2. หายใจ นำคาร์บอนไดออกไซด์ไปขับออกทางปอด
เพื่อแลกเปลี่ยนออกซิเจนกลับมาใช้
3. ขับถ่าย นำของเสียซึ่งเกิดจากเมแทบอลิซึม เพื่อ
ขับออกภายนอกร่างกาย
4. การคงปริมาณสารน้ำของร่างกาย ช่วยควบคุม
และ รักษาดุลของสารน้ำภายในร่างกาย
5. การควบคุมอุณหภูมิ รักษาอุณหภูมิของร่างกาย
ให้เป็นปกติ
6. ปรับระดับและป้องกัน เลือดที่ไหลเวียนช่วยนำ
สาร บางอย่าง ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของ
ร่างกายไปยังอวัยวะ ต่างๆ และนำสารบางอย่างที่
เป็นตัวช่วยป้องกันร่างกายไปยังที่ ได้รับอันตราย
ด้วย

หัวใจ เป็นอวัยวะกล้ามเนื้อซึ่งสูบเลือดทั่ว Heart
หลอดเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายโดย
การหดตัวเป็นจังหวะซ้ำ ๆ พบในสัตว์ทุกชนิดที่
มีระบบไหลเวียน ซึ่งรวมสัตว์มีกระดูกสันหลัง
ด้วย

ลิ้นหัวใจ (heart valve) มีหน้าที่ควบคุม
การไหลเวียนของเลือดภายในหัวใจ ลิ้นหัวใจที่
ผิดปกติจะไม่สามารถควบคุมกระแสเลือดให้
ไหลไปทางเดียว ไปข้างหน้าได้อย่างสะดวก

หัวใจของเราประกอบด้วย 4 ห้อง ห้องบนเรียก Atrium มีทั้งซ้ายและ
ขวา ส่วนห้องล่างเรียก Ventricle ซึ่งก็มีทั้งซ้ายและขวา ระหว่างหัวใจห้อง
ข้างบนและล่างจะมีลิ้นหัวใจกั้นอยู่

Tricuspid Valve กั้นระหว่างหัวใจห้องบนขวาและล่างขวา
Mitral Valve กั้นระหว่างหัวใจห้องบนและล่างซ้าย
Pulmonary or Pulmonic Valve กั้นระหว่างหัวใจห้องบนขวากับหลอดเลือด
ดำ
Aortic Valve กั้นระหว่างหัวใจห้องล่างซ้ายและหลอดเลือด Aorta

ความดันโลหิต

ความดันโลหิต คือ ค่าความดันภายในหลอดเลือดแดง ซึ่งเกิดจากการ
บีบตัวของหัวใจ ส่งผ่านหลอดเลือดเพื่อนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของ
ร่างกาย มีสองค่าคือ คือค่าความดันตัวบน เป็นค่าความดันขณะที่หัวใจบีบ
ตัว และค่าความดันตัวล่าง เป็นค่าความดันขณะที่หัวใจคลายตัว

•ปัจจัยที่ส่งผลต่อความดันโลหิต

1) อายุ
2)ความอ้วน
ความผอม
3)เพศ
4)อารมณ์
5)การบาดเจ็บ
6)กรรมพันธุ์

ความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูง
หมายถึง กลุ่มโรคที่มีพยาธิสภาพและอาการอันเป็นผลเนื่องจากระดับความ
ดันเลือด ที่สูงเกินปกติ จนไปทำลายผนังหลอดเลือดและอวัยวะปลายทางใน
รูปแบบต่าง ๆ

Blood vessel หลอดเลือดแดง (Artery)

หลอดเลือดแดง (Artery) หมายถึง หลอด
เลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจ ซึ่งจะเป็น
เลือดที่มีปริมาณออกซิเจนสูงเป็นเลือดที่มี
สีแดงสด ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย
(ยกเว้นหลอดเลือดที่ไปสู่ปอดชื่อ
pulmonary artery ซึ่งจะนำเลือดดำจาก
หัวใจที่มีคาร์บอนไดออกไซด์สูงไปฟอกที่
ปอด)

หลอดเลือดดำ (Vein)

หมายถึง หลอดเลือดที่นำเลือดที่มีของเสีย และ
คาร์บอนไดออกไซด์ (เลือดดำ) ที่ร่างกายใช้แล้วจากส่วน
ต่าง ๆ ของร่างกายกลับเข้าสู่หัวใจห้องบนขวา (Right
atrium) เพื่อนำกลับไปฟอกที่ปอด (ยกเว้นหลอดเลือดดำ
ปอดที่ชื่อ Pulmonary vein ซึ่งจะนำเลือดแดงที่ผ่านการ
ฟอกจากปอดแล้วนำกลับเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้าย) ภายใน
หลอดเลือดดำจะมีความดันต่ำ ถ้าหลอดเลือดดำฉีกขาด
เลือดที่ไหลออกมาจะไหลริน ๆ คงที่ และสม่ำเสมอ ห้าม
เลือดหยุดได้ง่ายกว่าหลอดเลือดแดงฉีกขาด

หลอดเลือดฝอย (Capillary)

หมายถึง หลอดเลือดที่เชื่อมต่อระหว่างหลอดเลือดแดง
ขนาดเล็ก ไปยังหลอดเลือดดำขนาดเล็ก โดยจะแทรกอยู่
ในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ผิวหนัง กล้ามเนื้อ
สมอง และอวัยวะอื่น ๆ ยกเว้นเส้นผม และเล็บจะไม่มี
หลอดเลือดฝอย

ECG

Electrocardiogram หรือที่เราพูดกันสั้น ๆ หรือ
ได้ยินคุ้นหูกันว่า ECG or EKG เป็นวิธีการตรวจทาง
หัวใจที่มีต้นกำเนิดมายาวนานที่สุด สามารถตรวจได้
ง่ายที่สุดและรวดเร็วที่สุด ด้วยขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก และ
สามารถให้คำตอบเบื้องต้นรวมถึงให้การวินิจฉัยแก่ผู้
มารับการตรวจ ECG เป็นเหมือนปราการด่านแรก
สำหรับผู้ป่วยที่สงสัยว่าจะเป็นโรคหัวใจและเป็นตัวชี้นำ
ในการนำไปสู่การตรวจทางหัวใจให้เหมาะสมกับโรค
หรือภาวะที่เราสงสัยได้อย่างถูกต้อง

ขั้นตอนการตรวจเริ่มต้นจากการให้ผู้รับการตรวจ
นอนลงบนเตียงที่ได้จัดเตรียมไว้ในห้องตรวจที่ปิดอย่าง
มิดชิด จากนั้นเจ้าหน้าที่ จะทำการป้ายเจลปริมาณเล็ก
น้อยลงบนบริเวณหน้าอก ข้อมือและข้อเท้าทั้ง 2 ข้าง
หลังจากนั้นจะทำการติดแผ่น Electrode ที่บริเวณ
หน้าอก 6 จุด และที่ข้อมือและข้อเท้าทั้ง 2 ข้างอย่างละ
จุด หลังจากนั้นเครื่องจะทำการประมวลผลและแสดง
ผลออกมาเป็นกราฟไฟฟ้าหัวใจเพื่อให้แพทย์ได้อ่านผล
โดยใช้เวลาในการตรวจทั้งสิ้นประมาณไม่เกิน 5 นาที

1.โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Acute Myocardial
Infarction)

2. โรคกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายหนาตัวผิดปกติจากสาเหตุ
ต่าง ๆ (Left Ventricular Hypertrophy)

3.โรคของกล้ามเนื้อหัวใจชนิดต่าง ๆ (Cardiomyopathy)
4.โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (Pericarditis)
5. โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะทั้งแบบเต้นช้าผิดจังหวะ

(Bradyarrhythmias) หรือแบบเต้นเร็วผิดจังหวะ
(Tachyarrhythmias)
6.โรคของเกลือแร่ที่ผิดปกติบางชนิด เช่น ภาวะโพแทสเซียม
ในเลือดสูงหรือต่ำ ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงหรือต่ำ

Blood

เลือด เป็นของเหลว ประกอบด้วยเม็ดเลือดล่องลอยอยู่
ในน้ำเหลืองหรือพลาสมา เลือดมีสีแดงเพราะมีปริมาณเม็ด
เลือดแดงเป็นองค์ประกอบจำนวนมาก เลือดไหลเวียนอยู่ทั่ว
ร่างกายทำหน้าที่ตัวกลางติดต่อระหว่างเซลล์ของร่างกาย
ขนส่งออกซิเจนและอาหารไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและ
นำคาร์บอนไดออกไซค์ไปขับออกทางปอด และนำของเสีย
ต่างๆเพื่อขับออกทางไต นอกจากนี้เลือดยังเป็นระบบป้องกัน
ด้วยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและช่วยในการควบคุม
อุณหภูมิของร่างกายอีกด้วย

1. เม็ดเลือดแดง
เม็ดเลือดแดงมีรูปร่างคลายโดนัท เนื่องจากตรงกลางมีรอยบุ๋มแต่ไม่ทะลุตรงกลาง มี
ขนาดประมาณ 7 ไมครอน ถูกสร้างที่ไขกระดูก ซึงเป็นแกนกลางของกระดูกต่าง ๆ
ทั่วร่างกาย ภายในเม็ดเลือดแดงสารชื่อ ฮีโมโกลบิล ทำหน้าที่ในการนำออกซิเจนจาก
ปอดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และนำคาร์บอนไดออกไซค์จากส่วนต่าง ๆ ของ
ร่างกายไปขับออกที่ปอด ทำให้ในหลอดเลือดแดงที่เม็ดเลือดแดงมีระดับออกซิเจน
ปริมาณสูง เลือดจึงมีสีแดงสด ส่วนในหลอดเลือดดำที่เม็ดเลือดแดงมีปริมาณ
ออกซิเจนลดลง และมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซค์สูงกว่า เลือดจึงมีสีแดงคล้ำ

2. เม็ดเลือดขาว

เม็ดเลือดขาวมีขนาดใหญ่กว่าเซลล์เม็ดเลือดแดง จำนวนเม็ดเลือดขาวปกติประมาณ 4,000 – 10,000 เซลล์
ต่อ 1 ไมโครลิตร จำนวนเม็ดเลือดขามีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงสัมพันธ์กับภาวะการอักเสบติดเชื้อของร่างกาย
ถูกสร้างจากไขกระดูก มีหน้าที่ทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย โดยจะใช้วิธีจับกินเชื้อโรค
โดยตรง หรือผลิตาภูมิต้านทานซึ่งเป็นโปรตีนที่มีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม
- ปริมาณเม็ดเลือดขาวต่ำลง โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลด์ ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
สาเหตุที่ทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำที่พบบ่อย ได้แก่ ยา สารเคมี รังสี ไวรัส และโรคของไขกระดูก เช่น ไขกระดูก
ทำงานผิดปกติ หรือไขกระดูกติดเชื้อหรือถูกแทรกซึมจากมะเร็ง เป็นต้น
- ปริมาณเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น พบได้บ่อย ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายตอบสนองต่อภาวะอักเสบหรือติดเชื้อ
ในร่างกาย ปริมาณที่เพิ่มขึ้นมักไม่สูงมาก โดยทั่วไปมักไม่เกิน 30,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร นอกจากนี้ปริมาณ
ที่เพิ่มขึ้นอาจพบได้ในโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งพบได้ทั้งเมื่อเม็ดเลือดขาวมีระดับต่ำจนถึงสูงมากผิดปกติ
เม็ดเลือดขาวแต่ละชนิดมีลักษณะและคุณสมบัติแตกต่างกัน ทำให้ปริมาณที่เพิ่มขึ้น เป็นผลต่อการตอบสนอง
ของร่างกายต่อปัจจัยการกระตุ้นที่แตกต่างกัน

2.1 นิวโตรฟิล (Neutrophil)
เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีปริมาณมากที่สุด พบได้ประมาณ 40–
80 % ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด มีหน้าทีตอบสนองต่อภาวะ
การอักเสบและติดเชื้อเฉียบพลัยนโดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย
ซึ่งร่างกายสามารถตอบสนองโดยการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่าง
รวดเร็วและจับกินเชื้อโรคโดยตรง นอกจากนี้นิวโทรฟิล

2.2 ลิมไฟไซท์ (Lymphocyte)
เป็นเม็ดเลือดขาวขนาดเล็ก ทำหน้าที่สร้างภูมิต้านทานต่อทั้งเชื้อ
ไวรัสและแบคทีเรีย มีปริมาณสูงขึ้นในภาวะติดเชื้อไวรัส และโรค
มะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด




2.3 โมโนไซท์ (Monocyte)
เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรคที่เข้า
สู่ร่างกาย ซึ่งมีประสิทธิภาพในการจับกินเชื้อโรคได้สูงกว่านิวโทร
ฟิลด์ มักมีปริมาณเพิ่มขึ้นตอบสนองต่อภาวะติดเชื้อไวรัส วัณโรค
หรือเชื้อรา รวมถึงโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด




2.4 อิโอซิโนฟิลด์ (eosinophil)
เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีปริมาณน้อยในกระแสเลือด ทำให้ที่ในการ
ตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ ปริมาณ
สูงขึ้นพบได้ในผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือหอบหือด แพ้ยา หรือมี
พยาธิในร่างกาย




2.5 เบโซฟิลด์ (basophil)
เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีปริมาณน้อยมากในเลือดทำหน้าที่สร้างสาร
ป้องกันมิให้เลือดแข็งตัว และรวมทั้งหลั่งสารที่ช่วยในการขยาย
ของหลอดเลือด

3. เกล็ดเลือด (platelet)
เกล็ดเลือดเป็นส่วนของเม็ดเลือด จึงมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่
ป้องกันเลือดออกจากหลอดเลือด ช่วยในการหยุดไหลของเลือดหากมีเกิดบาดแผล มีจำนวนประมาณ หนึ่ง
แสนถึงสี่แสนตัวต่อเลือดหนึ่งไมโครลิตร เกล็ดเลือดถูกสร้างจากเซลล์ในไขกระดูกเช่นกัน หากมีปริมาณลดลง
โดยเฉพาะระดับที่ลดลงมากกว่าห้าหมื่น จะทำให้เลือดออกมากและนานกว่าเลือดจะหยุดหากเกิดบาดแผล โดย
เฉพาะหากระดับเกล็ดเลือดต่ำกว่าสองหมื่น จะทำให้เลือดออกเองโดยไม่ต้องมีบาดแผลหรือการกระทบ
กระแทกใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเยื่อบุต่าง ๆ เช่น เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล หรือเลือดออกใน
อวัยวะสำคัญ ได้แก่ ทางเดินอาหาร หรือสมองได้
- เกล็ดเลือดต่ำ สามารถเกิดได้จาก ยา สารเคมี รังสี ภูมิต้านทานตนเองทำลายเกล็ดเลือด ไวรัส และม้ามที่โต
ผิดปกติ นอกจากนี้ยังพบได้ในโรคของไขกระดูกทำให้ผิดเกล็ดเลือดได้ลดลง เช่น ไขกระดูกทำงานผิดปกติ
หรือไขกระดูกฝ่อ โรคมะเร็งแทรกซึมในไขกระดูก เป็นต้น
- ภาวะเกล็ดเลือดสูง พบได้ในภาวะที่มีปัจจัยการกระตุ้นการสร้างเกล็ดเลือดให้มากขึ้น ได้แก่ การอักเสบหรือ
ติดเชื้อเรื้อรัง การมีมะเร็งในร่างกาย การเสียเลือดหรือเม็ดเลือดแดงแตกเฉียบพลัน หากภาวะเกล็ดเลือดสูง
เองโดยไม่มีปัจจัยใดมากระตุ้น มักเกิดจากโรคของไขกระดูกที่ทำให้มีการเกล็ดเลือดสูงขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
สรุป การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดเป็นการตรวจเลือดที่ทำบ่อยและอยู่ในการตรวจสุขภาพประจำปี
หากพบมีความผิดปกติในเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง จะทำให้เข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและรับการ
รักษาต่อไป

ในสภาวะปกติเลือดที่จะไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดในสภาพของเหลว เมื่อมีบาดแผลจะมีเลือดไหล ร่างกายจะมี
ขบวนการห้ามเลือด (Hemostasis) เพื่อให้เลือดหยุดไหล ขบวนห้ามเลือดดังกล่าวประกอบด้วย 4 ส่วนประกอบ
หลัก คือ

หลอดเลือด
เกล็ดเลือด
การสร้างลิ่มเลือด
และการสลายลิ่มเลือด
การที่เลือดเราจะดำรงสภาพเป็นของเหลวอยู่ได้และไม่มีภาวะเลือดออกง่าย จะต้องมีความสมดุลของระบบสอง
ระบบได้แก่ ขบวนการแข็งเป็นลิ่มของเลือด และขบวนการสลายลิ่มเลือด ถ้าเกิดการเสียสมดุลจะทำให้เกิดภาวะ
เลือดออกง่ายผิดปกติ หรือมีภาวะการแข็งตัวของเลือดในหลอดเลือด หรือเกิดภาวะเลือดแข็งตัวเป็นลิ่มได้ง่ายผิด
ปกติ

หน้าที่ของหลอดเลือดในการห้ามเลือด
เมื่อหลอดเลือดได้รับอันตรายเกิดรอยรั่ว หลอดเลือดจะมีการหลั่งสารเคมี
หลายชนิด เช่น prostacyclin(PGI2), Von Willebrand factor, Tissue
plasminogen activator(t-PA)ทำให้หลอดเลือดหดตัว และยังสร้างสารที่
จำเป็นในการสร้างลิ่มเลือด ส่วนเกล็ดเลือดที่มาเกาะที่ผนังหลอดเลือดจะมีการ
สร้างสารเคมีที่สำคัญคือ adrenaline, ADP, kinins, และ thromboxane ซึ่งจะ
ทำให้เกล็ดเลือดมาที่แผลและกระตุ้นกลไกการห้ามเลือดอื่นๆ
-หน้าที่ของเกล็ดเลือดในการห้ามเลือด
เมื่อหลอดเลือดมีรอยรั่วทำให้เลือดสัมผัสเนื้อเยื่อซึ่งจะมีสาร tissue factor
ทำให้เกล็ดเลือดมาเกาะที่บริเวณแผล หลังจากนั้นจะมีการหลั่งสารเคมีที่สำคัญ
ได้แก่ thromboxane A2 (TXA2) และ prostacyclin (PGI2) ซึ่งจะทำให้เกล็ด
เลือดเกาะกลุ่มกัน และกระตุ้นทำให้เกิดลิ่มเลือด
-ระบบการแข็งเป็นลิ่มของเลือด
เมื่อเกล็ดเลือดมาเกาะที่บริเวณหลอดเลือดที่ได้รับอันตรายเกิด platelet plug
ซึ่งไม่แข็งแรง เกล็ดเลือดจะหลั่งสารเคมีออกมากระตุ้นให้เกิดลิ่มเลือด โดยการ
เปลี่ยนไฟบริโนเจน Fibrinogen ให้เป็นไฟบริน Fibrin รัดรอบกลุ่มเกล็ดเลือด
platelet plug นั้นปฏิกิริยาการเกิดไฟบรินจะใช้เวลานานหลายนาทีกว่าจะ
สมบูรณ์ ในขณะที่กลไกห้ามเลือดกำลังทำงาน ขบวนการซ่อมเนื้อเยื่อก็ทำงาน
พร้อมกัน
-กลไกการสลายลิ่มเลือด
เมื่อบริเวณหลอดเลือดที่ได้รับอันตรายได้รับการแก้ไขแล้ว เนื้อเยื่อมีการซ่อม
ตัวเองแล้ว ร่างกายก็จะมีขบวนการละลายลิ่มเลือดเพื่อป้องกันมิให้เกิดลิ่มเลือด
มากไป ในขณะที่ขบวนการละลายลิ่มเลือดทำหน้าที่รักษาสมดุลของการแข็งตัว
ของเลือด เพื่อไม่ให้มีการแข็งตัวของเลือดมากเกินไป โดยทำการละลายลิ่ม
เลือดที่มีมากเกินนั้นออกไป




Click to View FlipBook Version