สามัคคีเภทคําฉันท์
โรงเรียนสงวนหญิง
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖
เรื่อง สามัคคีเภทคำฉันท์
จัดทำโดย
น.ส.กรรณิการ์ วงษ์หิรัญ เลขที่ ๒
น.ส.กฤติยา กลิ่นคำหอม เลขที่ ๓
น.ส.กัญญภัสส์ บุญขันธ์
เลขที่ ๔
น.ส.จิตต์ศจี สารสุวรรณ เลขที่ ๑๐
น.ส.ณัฏฐณิชา ติดรัก
เลขที่ ๑๓
น.ส.ดลนภา สวนสมบูรณ์ เลขที่ ๑๗
น.ส.ธัญชนก ระวังพันธุ์ เลขที่ ๑๘
น.ส.ปรัชญาวดี พิมพ์พันธ์ุ เลขที่ ๒๑
น.ส.วรินทร กลิ่นหอม เลขที่ ๓๑
น.ส.สินีนาฏ เอียกุล
น.ส.สุพัชชา คงสว่าง เลขที่ ๓๔
เลขที่ ๓๖
น.ส.สุวภัทร โอนอ่อน เลขที่ ๓๙
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖/๘
นำเสนอ
คุณครูชมัยพร แก้วปานกัน
ชิ้นงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน ๕
ท๓๓๑๐๑
ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕
โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบุรี
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต ๙
ก
คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทยพื้นฐาน ๕ ท๓๑๑๐๑
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โดยจัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อประกอบการเรียนการสอนเรื่อง สามัคคีเภทคำฉันท์
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา ประวัติของผู้แต่ง ความงดงามทางวรรณคดี
เพื่อวิเคราะห์คุณค่าทางด้านเนื้อหา ด้านวรรณศิลป์ และด้านสังคม ได้ศึกษาอย่างละเอียดเพื่อเป็น
ประโยชน์ในการเรียนรู้ระดับสูงขึ้น
คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เล่มนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังศึกษา
หาข้อมูลเรื่อง สามัคคีเภทคำฉันท์ หากมีข้อแนะนำหรือผิดพลาดประการใดคณะผู้จัดทำต้องขออภัยไว้ ณ
ที่นี้ด้วย
คณะผู้จัดทำ
๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๕
สารบัญ ข
เรื่อง หน้า
คำนำ ก
สารบัญ ข
ประวัติผู้แต่ง ๑
เนื้อเรื่องย่อสามัคคีเภทคำฉันท์ ๒
เนื้อเรื่องเต็มตอนที่เรียน ๔
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒๑
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๓๙
คุณค่าด้านสังคม ๔๓
บรรณานุกรม ๔๔
ภาคผนวก ๔๕
ประวัติผู้แต่ง ๑
นายชิต บุรทัต (๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๕- ๒๗ เมษายน ๒๔๘๕)
บุตรนายชู นางปริก เดิมนามสกุล "ชวางกูร" เป็นผู้มีความสามารถ
ในการแต่งคำประพันธ์ร้อยกรอง โดยเฉพาะฉันท์ เป็นกวีที่มีชื่อเสียง
ในสมัยรัชกาลที่ ๖ สมรสกับนางจั่น แต่ไม่มีบุตรธิดา
นายชิต บุรทัตเข้าศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนวัดราชบพิธ และเข้า
ศึกษาจนจบชั้นมัธยมบริบูรณ์ ที่โรงเรียนวัดสุทัศน์ เมื่ออายุได้ ๑๕ ปี
บิดาจึงให้บวชเป็นสามเณร ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยมี
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
ในเวลานั้นทรงเป็นอุปัชฌาจารย์ บวชได้ไม่นานก็ลาสิกขา
นายชิตมีความสนใจการอ่านเขียน และมีความเชี่ยวชาญในภาษาไทย มีความรู้ภาษาบาลี และยัง
ฝึกฝนภาษาอังกฤษอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ และเริ่มการประพันธ์เมื่ออายุได้ ๑๘ ปี
การประพันธ์
นายชิตกลับมาบวชสามเณรอีกครั้ง ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ในฐานะเป็นศิษย์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้เขียนงานประพันธ์ครั้งแรก โดยใช้นามปากกา "เอกชน" จนเป็นที่รู้จักกัน
ดีในเวลานั้น
ขณะบวชนั้น สามเณรชิตได้รับอาราธนาจากองค์สภานายกหอพระสมุดวชิรญาณ ให้เข้าร่วมแต่ง
ฉันท์สมโภชพระมหาเศวตฉัตร ในงานพระราชพิธีฉัตรมงคลรัชกาลที่ ๖ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔ ด้วย
ครั้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ นายชิต บุรทัต ซึ่งลาสิกขาแล้ว ได้ส่งบทประพันธ์เป็นกาพย์ปลุกใจ ลงตีพิมพ์
ในหนังสือพิมพ์สมุทสาร เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตร ก็พอพระราช
หฤทัยเป็นอย่างมาก โปรดฯ ให้เจ้าหน้าที่ของภาพถ่ายเจ้าของบทประพันธ์นั้นด้วย
เนื้อเรื่องย่อสามัคคีเภทคำฉันท์ ๒
ในกาลโบราณมีกษัตริย์องค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงครอบครองแคว้น
มคธ มีราชคฤห์เป็นเมืองหลวง พระองค์ทรงมีอำมาตย์ที่สนิทคนหนึ่งชื่อว่า วัสสการพราหมณ์ เป็นผู้
ฉลาดและรอบรู้ศิลปศาสตร์และเป็นที่ปรึกษาราชการทั่วไป พระเจ้าอชาตศัตรูมีพระราชประสงค์จะ
ปราบแคว้นวัชชีอันมีพวกกษัตริย์ลิจฉวีปกครอง แต่พระองค์ยังลังเลพระทัยเมื่อได้ทรงทราบว่ากษัตริย์
ลิจฉวีทุก ๆ พระองค์ล้วนแต่ทรงตั้งมั่นอยู่ในธรรมที่เรียกว่า “อปริหานิยธรรม ๗” คือธรรมอันเป็นไป
เพื่อเหตุแห่งความเจริญฝ่ายเดียว มีทั้งหมด ๗ ประการ
ดังนั้นพระองค์จึงปรึกษาโดยเฉพาะกับวัสสการพราหมณ์ว่าควรจะกระทำอย่างไรจึงจะหา
อุบายทำลายเหตุแห่งความพร้อมเพรียงของพวกกษัตริย์ลิจฉวีได้ เมื่อได้ตกลงนัดแนะกับวัสสการพรา
หมณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันหนึ่งพระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จออกว่าราชการ จึงดำรัสเป็นเชิงหารือกับพวก
อำมาตย์ในเรื่องจะยกทัพไปรบกับแคว้นวัชชี มีวัสสการพราหมณ์เพียงผู้เดียวที่กราบทูลเป็นเชิงทักท้วง
และขอให้พระองค์ทรงยับยั้งรอไว้ก่อนเพื่อเห็นแก่มิตรภาพและความสงบ ทั้งทำนายว่าถ้ารบก็จะพ่าย
แพ้ด้วย
พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทรงฟังวัสสการพราหมณ์กราบทูลเป็นถ้อยคำหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเช่น
นั้น ก็ทรงแสร้งแสดงพระอาการพิโรธ และมีพระราชโองการสั่งเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ฝ่ายนครบาลพร้อม
ด้วยราชบุรุษ ให้นำตัววัสสการพราหมณ์ไปลงโทษตามคำพิพากษาในบทพระอัยการ คือ เฆี่ยน โกน
ผม ประจาน แล้วขับไล่ไปเสียไม่ให้อยู่ในพระราชอาณาเขต
วัสสการพราหมณ์ยอมทนรับราชอาญาด้วยทุกขเวทนาแสนสาหัสถึงแก่สลบ เมื่อถูก
เนรเทศออกจากแคว้นมคธก็เดินทางมุ่งตรงไปเมืองเวสาลีอันเป็นเมืองหลวงของแคว้นวัชชีและเที่ยวผูก
ไมตรีกับบรรดาชาวเมือง จนข่าวนี้ทราบไปถึงกษัตริย์ลิจฉวี จึงได้ตีกลองสำคัญขึ้นเป็นสัญญาณ เชิญ
กษัตริย์ทั้งปวงมาชุมนุมปรึกษาราชการ เมื่อกษัตริย์ลิจฉวีประชุมกันแล้วก็ได้ตกลงกันว่าควรให้
พราหมณ์ผู้นั้นเข้ามาเพื่อจะได้เห็นท่าทางและฟังความดูก่อนว่าจะจริงเท็จอย่างไร
๓
ภายหลังที่วัสสการพราหมณ์ได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ลิจฉวีและกราบทูลข้อความต่าง ๆ ด้วยความฉลาดลึกซึ้ง
ประกอบกับมีรอยถูกโบยฟกช้ำให้เห็น กษัตริย์ลิจฉวีทุกพระองค์ต่างก็ทรงหมดความฉงนสนเท่ห์ว่าจะ
เป็นกลอุบาย จึงทรงตั้งให้เป็นครูสอนศิลปวิทยาแก่บรรดาราชกุมารและกระทำราชการในตำแหน่ง
อำมาตย์ผู้พิจารณาพิพากษาอรรถคดีอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
วัสสการพราหมณ์ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเต็มใจและเอาใจใส่ จนเป็นที่ไว้ใจในหมู่กษัตริย์ลิจฉวี
เมื่อวัสสการพราหมณ์คาดคะเนว่าพวกกษัตริย์ลิจฉวีวางใจตนจนหมดความสงสัย วัสสการพราหมณ์จึง
ได้ดำเนินอุบายเพื่อทำลายความพร้อมเพรียงเป็นอันเดียวกันของกษัตริย์ลิจฉวี โดยการแต่งอุบายลับ
ชวนให้ฉงนสนเท่ห์ต่าง ๆ ขึ้น เป็นเครื่องยั่วยุราชกุมารทั้งหลายผู้เป็นศิษย์ให้แตกร้าวกัน และวัสสกา
รพราหมณ์คอยส่งเสริมเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทให้บังเกิดขึ้นในหมู่ราชกุมารอยู่เนืองนิตย์ จนกระทั่ง
ที่สุดราชกุมารทุกพระองค์ก็แตกความสามัคคีกันเป็นเหตุให้วิวาทกันขึ้น ครั้นแล้วต่างองค์ก็นำความนั้น
ขึ้นกราบทูลชนกของตนตามเรื่องที่เป็นมา เมื่อเป็นเช่นนั้นความแตกร้าวก็ลามไปถึงบรรดาชนกผู้ซึ่งเชื่อ
ถ้อยคำโอรสของตนโดยปราศจากการไตร่ตรอง
จนกระทั่งเวลาล่วงไปสามปี สามัคคีธรรมในระหว่างพวกกษัตริย์ลิจฉวีก็ถูกทำลายสิ้น
วัสสการพราหมณ์เห็นว่ากษัตริย์ลิจฉวีทุกองค์แตกสามัคคีกันแล้ว ก็ให้คนลอบนำความไปกราบทูล
พระเจ้าอชาตศัตรู
พระเจ้าอชาตศัตรูก็กรีธาทัพสู่เมืองเวสาลี พวกชาวเมืองเวสาลีตกใจกลัวภัยอันเกิดแต่ข้าศึก
มุขมนตรีจึงได้ตีกลองสำคัญขึ้นเป็นอาณัติสัญญาณให้ยกทัพมาต่อสู้ แต่เหล่ากษัตริย์ลิจฉวีก็หาไปเข้า
ร่วมประชุมไม่ ต่างองค์ทรงเพิกเฉยเสีย แม้แต่ประตูเมืองทุกทิศก็ไม่มีใครสั่งให้ปิด พระเจ้าอชาตศัตรู
จึงได้แคว้นวัชชีโดยง่าย ไม่ต้องเปลืองแรงรี้พลเพราะการรบเลย เมื่อจัดการบ้านเมืองราบคาบแล้ว
พระเจ้าอชาตศัตรูก็ยกกองทัพเสด็จกลับกรุงราชคฤห์ดังเดิม
๔
เนื้อเรื่องเต็มตอนที่เรียน
ถอดความได้ว่า พราหมณ์ผู้ฉลาดคาดคะเนว่ากษัตริย์ลิจฉวีวางใจคลายความ หวาดระแวงเป็นโอกาส
เหมาะที่จะเริ่มดำเนินการตามกลอุบายทา ลายความสามัคคี
ถอดความได้ว่า วันหนึ่งเมื่อถึงโอกาสที่จะสอนวิชา กุมารลิจฉวกเสด็จมาโดยพร้อมเพรียงกันทันใด
วัสสการพราหมณ์ก็มาถึงและแกล้งเชิญพระกุมารพระองค์ทสนิทสนมเข้าไปพบใน ห้องส่วนตัว
แล้วก็ทูลถามเรื่องทไม่ใช่ความลับแต่ประการใด
ถอดความได้ว่า ดังเช่นถามว่า ชาวนาจูงโคมาคู่หนึ่งเพื่อเทียมไถใช่หรือไม่ พระกุมารลิจฉวีก็รับสั่งเห็น
ด้วยว่าชาวนาก็คงจะกระทำดังคำของพระอาจารย์ ถามเพียงเท่านั้นพราหมณ์ก็ เชิญให้เสด็จกลับออกไป
๕
ถอดความได้ว่า คร้ันถึงเวลาเลิกเรียนเหล่าโอรสลิจฉวีก็พากันมาซักไซ้พระกุมารว่าพระอาจารย์เรียก
เข้าไปข้างใน ได้ไต่ถามอะไรบ้าง ขอให้บอกมาตามความจริง พระกุมารพระองค์น้ันก็เล่าเรื่องราวที่
พระอาจารย์เรียกไปถาม
ถอดความได้ว่า แต่เหล่ากุมารสงสัยไม่เชื่อคา พูดของพระสหาย ต่างองค์ก็วจารณ์ว่าพระอาจารย์จะพูด
เรื่องเหลวไหลไร้สาระเช่นนี้เป็นไปไม่ได้และหากว่าจะพูดจริงเหตุใดจะต้องเรียกเข้า ไปถามข้างในห้อง
ถามข้างนอกห้องก็ได้
ถอดความได้ว่า สงสัยว่าท่านอาจารย์กับพระกุมารต้องมความลับอย่างแน่นอน แล้วก็มาพูด โกหก
ไม่กล้าบอกตามความเป็นจริง แกล้งพูดไปต่างๆ นานา
๖
ถอดความได้ว่า กุมารลิจฉวีทั้งหลายเห็นสอดคล้องกันก็เกิดความโกรธเคือง การทะเลาะวิวาทก็เกิด
ขึ้นเพราะความขุ่นเคืองใจ ความสัมพันธ์อันดีที่เคยมีมาตลอดก็ถูกทำลายย่อยยับลง
ถอดความได้ว่า เวลาผ่านไปตามลำดับเมื่อถึงคราวที่จะสอนวิชาก็จะเชิญพระกุมารพระองค์หนึ่ง
พระกุมารก็ตามพราหมณ์เข้าไปในห้องเฉพาะพราหมณ์จึงถามเนื้อ ความแปลกๆว่า ขออภัยช่วยตอบด้วย
ถอดความได้ว่า อย่าหาว่าตำหนิหรือลบหลู่ครูขอถามว่าวันนี้พระกุมารเสวยพระกระยาหารอะไร รสชาติ
ดีหรือไม่พอพระทัยมากหรือไม่พระกุมารก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระกระยาหารที่เสวย
หลังจากนั้นก็สนทนาเรื่องทั่วไป แล้วก็เสด็จกลับออกมายังห้องเรียน
๗
ถอดความได้ว่า เมื่อเสร็จสิ้นการสอนราชกุมารลิจฉวีทั้งหมดก็มาถามเรื่องราวที่มีมาว่าท่านอาจารย์ได้พูดเรื่องอะไร
พระกุมารก็ตอบตามความจริง แต่เหล่ากุมารต่างไม่เชื่อ เพราะคิดแล้วไม่สมเหตุสมผล
ถอดความได้ว่า ต่างขุ่นเคืองใจด้วยเรื่องไร้สาระเช่นเดียวกับพระกุมารพระองค์ก่อน
และเกิดความแตกแยกไม่คบกันอย่างกลมเกลียวเหมือนเดิม
ถอดความได้ว่า พราหมณ์เจตนาหาเหตุยุแหย่ซ้ำเติมอยู่เสมอๆ แต่ละครั้ง แต่ละวัน นานนานครั้ง
เห็นโอกาสเหมาะก็จะเชิญพระกุมารเสด็จไปโดยไม่มีสารประโยชน์อันใด แล้วก็แกล้งทูลถาม
๘
ถอดความได้ว่า บางครั้งก็พูดว่า นี่แนะข้าพระองค์ได้ยินข่าวเล่าลือกันทั่วไป เขานินทาพระกุมารว่า
พระองค์แสนจะยากจนและขัดสน จะเป็นเช่นน้ันแน่หรือ พิเคราะห์แล้วไม่น่าเชื่อ ณ ที่นี้ได้มีผู้ใด
ขอให้ทรงเล่ามาเถิด
ถอดความได้ว่า บางครั้งก็พูดวาข้าพระองค์ขอทูลถามพระกุมาร เพราะได้ยินเขาเล่าลือกันทั่วไป
เยาะเย้ยดูหมิ่นท่านว่าท่านนี้มีร่างกายผิดประหลาดต่าง ๆ นานาจะเป็นจริงหรือไม่ใจไม่อยากเชื่อเลย
เพราะไม่เห็น ถ้าหากมีสิ่งใดที่ลำบากยากแค้นก็ตรัสมาเถิด
ถอดความได้ว่า พระกุมารได้ทรงฟังเรื่องที่พระอาจารย์ถามก็ตรัสถามกลับว่า สงสัยเหลือเกินเรื่องไม่
สมควรเช่นนี้ท่านอาจารย์จะถามทำไม แล้วก็ซักไซ้ว่าใครเป็นผู้มาบอกกับอาจารย์พราหมณ์ก็ตอบว่า
พระกุมารพระองค์โน้นตรัสบอกเมื่ออยู่กันเพียงสองต่อสอง
๙
ถอดความได้ว่า กุมารพระองค์น้ันไม่ทันได้ไตร่ตรอง ก็ทรงเชื่อในคำพูดของอาจารย์ด้วยความ
วู่วามก็กริ้วพระกุมารที่ยุพระอาจารย์ใส่ความตน จึงตัดพ้อต่อว่ากันขึ้นเกิดความโกรธเคืองทะเลาะวิวาท
กันอยู่เสมอ
ถอดความได้ว่า ฝ่ายพระกุมารที่พราหมณ์ไม่เคยเรียกเข้าไปหาก็ไม่พอพระทัยพระกุมารที่พราหมณ์
เชิญไปพบ พระกุมารลิจฉวีหมางใจและเหินห่างกันต่างองค์ทะนงว่าพระบดา ของตนมีอำนาจล้นเหลือ
จึงมีใจกำเริบไม่เกรงกลัวกัน
ถอดความได้ว่า ในขณะนั้นวัสสการพราหมณ์ก็คอยยุลูกศิษย์แต่งกลอุบายให้เกิดความแคลงใจ
พระโอรสกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายไตร่ตรองในอาการน่าสงสัยก็เข้าใจว่าเป็นจริงดังถ้อยคำที่อาจารย์ปั้น
เรื่องขึ้น ไม่มีเหลือเลยสักพระองค์เดียวที่จะมีความรักใคร่กลมเกลียว ต่างขาดความสัมพันธ์เกิด
ความเดือดร้อนใจ
๑๐
ถอดความได้ว่า แต่ละองค์นำเรื่องไม่ดีทีเกิดขึ้นไปทูลพระบิดาของตน ความแตกแยกก็ค่อยๆ ลุกลามไปสู้พระบิดา
เนื่องจากความหลงเชื่อโอรสของตน ปราศจากการใคร่ครวญเกิดความผิดพ้อง หมองใจกันขึ้นฝ่ายวัสสการพราหมณ์ครั้น
เห็นโอกาสเหมาะสมก็คอยยุแหย่อย่างง่ายดาย ทำกลอุบาย ต่างๆ พูดยุยงตามกลอุบายตลอดเวลา เวลาผ่านไป
ประมาณ ๓ ปี ความร่วมมือกันระหว่างกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายและความสามัคคีถูกทำ ลายลงสิ้น
ถอดความได้ว่า ความร่วมมือกันระหว่างกษตัริย์ลิจฉีวทั้งหลายและความสามัคคีถูกทำลายลงสิ้น
ความเป็นมิตรแตกแยก ความเสื่อม ความหายนะก็บังเกิดขึ้นกษตัริย์ต่างองค์ ระแวงแคลงใจ มีความขุ่น
เคืองใจซึ่งกันและกัน
พราหมณ์ผู้เป็นครูสังเกตเห็นดังนั้นก็รู้ว่าเหล่ากษัตริย์ลิจฉวีกำลังจะประสบความพินาศจึงยินดีมากที่
ภารกิจประสบผลสำเร็จสมดังใจหลังจากเริ่มต้นด้วยความบากบั่นและความอดทนของตนจึงให้ลองตี
กลองนัดประชุมกษัตริย์ทวีเชิญทุกพระองค์เสด็จมายังที่ประชุม
๑๑
ฝ่ายกษัตริย์วัชชีทั้งหลายทรงสดับเสียงกลองดังกึกก้องทุกพระองค์ไม่ทรงเป็นธุระในการเสด็จไปต่างองค์
รับสั่งว่าจะเรียกประชุมด้วยเหตุใดเราไม่ได้เป็นใหญ่ใจก็ขลาดไม่กล้าหาญผู้ใดเป็นใหญ่มีความกล้าหาญ
ไม่มีผู้ใดเปรียบได้พอใจจะเสด็จไปร่วมประชุมเชิญเขาเถิด
จะปรึกษาหารือกันประการใดก็ช่างเถิดจะเรียกเราไปประชุมมองไม่เห็นประโยชน์ประการใดเลยรับสั่ง
ให้พ้นตัวไปและทุกพระองค์ก็ทรงเพิกเฉยไม่เสด็จไป
เข้าร่วมการประชุมเหมือนเคย
เมื่อพิจารณาเห็นช่องทางที่จะได้ชัยชนะอย่างง่ายดายพราหมณ์ผู้รอบรู้พระเวทก็ลอบส่งข่าวให้คนสนิท
เดินทางกลับไปยังบ้านเมืองกราบทูลกษัตริย์แห่งแคว้นมคธอันยิ่งใหญ่ในสาสน์แจ้งว่ากษัตริย์วัชชี
ทุกพระองค์
๑๒
ขณะนี้เกิดความแตกแยกแบ่งพรรคแบ่งพวกไม่สามัคคีกันเหมือนแต่เดิมจะหาโอกาสอันเหมาะสมครั้งใด
เหมือนดังครั้งนี้คงจะไม่มีอีกแล้วขอทูลเชิญพระองค์ยกกองทัพอันยิ่งใหญ่มาทำสงครามโดยเร็วเถิด
ข่าวศึกแพร่ไปจนรู้ถึงชาวเมืองเวสาลีแทบทุกคนในเมืองต่างตกใจและหวาดกลัวกันไปทั่วหน้าตาตื่นหน้าซีด
ไม่มีสีเลือดตัวสั่นพากันหนีตายวุ่นวายพากันอพยพครอบครัวหนีภัยทิ้งบ้านเรือน ไปซุ่มซ่อนตัวเสียในป่า
ไม่สามารถห้ามปรามชาวบ้านได้หัวหน้าราษฎรและนายด่านตำบลต่างๆปรึกษากันคิดจะยับยั้งไม่ให้
กองทัพมคธข้ามมาได้จึงตีกลองป่าวร้องแจ้งข่าวข้าศึกเข้ารุกรานเพื่อให้เหล่ากษัตริย์แห่งวัชชีเสด็จมา
ประชุมหาหนทางป้องกันประการใด
๑๓
ไม่มีกษัตริย์ลิจฉวีแม้แต่พระองค์เดียวคิดจะเสด็จไปแต่ละพระองค์ทรงดำรัสว่าจะเรียกประชุมด้วยเหตุใด
ผู้ใดเป็นใหญ่ผู้ใดกล้าหาญเห็นดีประการใดก็เชิญเถิดจะปรึกษาหารืออย่างไรก็ตาม แต่ใจตัวของเรานั้น
ไม่ได้มีอำนาจยิ่งใหญ่จิตใจก็ขี้ขลาดไม่องอาจกล้าหาญ
แต่ละพระองค์ต่างแสดงอาการเพิกเฉยปราศจากความสามัคคีปรองดองในจิตใจกษัตริย์ลิจฉวีแห่งวัชชี
ไม่เสด็จมาประชุมกันแม้แต่พระองค์เดียว
จอมกษัตริย์แห่งแคว้นมคธหยุดทัพตรงหน้าเมืองเวสาลีพระองค์ทรงสังเกตวิเคราะห์เหตุการณ์ทางเมือง
วัชชีในขณะที่ข้าศึกมาประชิดเมืองดูนิ่งเฉยไม่รู้สึกเกรงกลัวหรือคิดจะทําสิ่งใดโต้ตอบระงับเหตุร้าย
๑๔
กลับอยู่อย่างสงบเงียบไม่ทำการสิ่งใดมองดูราวกับเป็นเมืองร้างปราศจากผู้คนแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย
ว่าคงจะถูกกลอุบายของวัสสการพราหมณ์จนเป็นเช่นนี้ความสามัคคีผูกพันแห่งกษัตริย์ลิจฉวี
ถูกทำลายลงและจะประสบกับภัยพิบัติ
ลูกข่างที่เด็กขว้างเล่นได้สนุกฉันใดวัสสการพราหมณ์ก็สามารถยุแหย่ให้เหล่ากษัตริย์ลิจฉวีแตกความ
สามัคคีได้ตามใจชอบและคิดที่จะสนุกฉันนั้นครั้นทรงคิดได้ดัง
นั้นจึงมีพระราชบัญชาแก่เหล่าทหารหาญ
ให้รีบสร้างแพไม้ไผ่เพื่อข้ามแม่น้ำจะเข้าเมืองของฝ่ายศัตรูพวกทหารรับราชโองการแล้วก็ปฏิบัติภารกิจที่
ได้รับในตอนเช้างานนั้นก็เสร็จทันทีจอมกษัตริย์เคลื่อนกองทัพอันมีกำลังพลมากมายลงในแพที่ติดกันนำ
กำลังข้ามแม่น้ำจนกองทัพหมดสิ้นมองดูแน่นขนัดขึ้นฝั่งเมืองเวสาลีอย่างสะดวกสบาย
๑๕
ถอดความได้ว่า ฝ่ายเมืองเวสาลีมองเห็นข้าศึกจำนวนมากข้ามแม่น้ำมาเพื่อจะทำลายล้างบ้านเมืองของ
ตน ต่างก็ตระหนกตกใจกันถ้วนหน้า ในเมืองเกิดจลาจลวุ่นวายไปทั่วเมือง
ถอดความได้ว่า ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ต่างหวาดกลัวภัย บางพวกก็พูดว่าขณะนี้ยังไม่เป็นไรหรอก
ควรจะป้องกันประตูเมืองเอาไว้ห้มั่นคง ต้านทานข้าศึกเอาไว้ก่อน รอให้ที่ประชุมเหล่ากษัตริย์มีความเห็นว่า
จะทรงทำประการใด
ถอดความได้ว่า ก็จะได้ดำเนินการตามพระบัญชาของพระองค์ เหล่าข้าราชการทั้งหลายก็ตีกลอง
สัญญาณขึ้นราวกับกลองจะพัง เสียงดังกึกก้องไปถึงพระกรรณกษัตริย์ลิจฉวี ต่างองค์ทรงเพิกเฉยราวกับ
ไม่เอาใจใส่ในเรื่องราวของผู้ใด
๑๖
ถอดความได้ว่า ต่างองค์ไม่เสด็จไปที่ประชุม แม้แต่ประตูเมืองรอบทิศทุกบานก็ไม่มีผู้ใดปิด
ถอดความได้ว่า จอมทัพแห่งแคว้นมคธกรีธาทัพเข้าเมืองเวสาลีทางประตูเมืองที่เปิดอยู่โดยไม่มีผู้คน
หรือทหารต่อสู้ประการใด ขณะนั้นวัสสการพราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์ก็ไปนำทัพของกษัตริย์แห่งมคธ
ถอดความได้ว่า เข้ามาปราบกษัตริย์ลิจฉวี อาณาจักรทั้งหมดก็ตกอยู่ในพระหัตถ์ โดยที่กองทัพไม่ต้อง
เปลืองแรงในการต่อสู้ ปราบปรามคาบแล้วเสด็จยังราชคฤห์เมืองยิ่งใหญ่ดังเดิม
๑๗
ถอดความได้ว่า เนื้อเรื่องแต่เดิมจบลงเพียงนี้ แต่ประสงค์จะแต่งสุภาษิตเพิ่มเติมให้ได้รับฟังเพื่อเป็นคติ
อันทรงคุณค่านำไปคิดไตร่ตรอง
ถอดความได้ว่า พระเจ้าชาตศัตรูได้แผ่นดินวัชชีอย่างสะดวก และกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายก็ถึงซึ่งความ
พินาศล่มจม เหตุเพราะความแตกแยกกัน ต่างก็มีความยึดมั่นในความคิดของตน ผูกโกรธซึ่งกันและกัน
ถอดความได้ว่า ต่างแยกพรรค แตกสามัคคีกัน ไม่ปรองดองกัน ขาดปัญญาที่จะพิจารณาไตร่ตรองเชื่อ
ถ้อยความของบรรดาพระโอรสอย่างง่ายดาย เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะกษัตริย์แต่ละพระองค์ทรงมากไป
ด้วยความหลง
๑๘
ถอดความได้ว่า จึงทำให้ซึ่งความฉิบหาย มีภาวะความเป็นอยู่อันทุกข์ระทม เสียทั้งแผ่นดิน เกียรติยศ
และชื่อเสียงที่เคยมีอยู่ ส่วนวัสสการพราหมณ์นั้นน่าชื่นชมอย่างยิ่งเพราะเป็นเลิศในการกระทำกลอุบาย
ถอดความได้ว่า ผู้รู้ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ได้ใคร่ครวญพิจารณากล่าวสรรเสริญว่าชอบแล้วใน
เรื่องผลแห่งความพร้อมเพรียงกัน ความสามัคคีอาจอำนวยให้ถึงซึ่งสภาพแห่งความผาสุก ณ หมู่ของตน
ไม่เสื่อมคลายตลอดไป หากหมู่ใดมีความสามัคคีร่วมชุมนุมกัน ไม่ห่างเหินกันสิ่งที่ไร้ประโยชน์จะมาสู่ได้
อย่างไร
ถอดความได้ว่า ความพร้อมเพรียงนั้นประเสริฐยิ่งนัก เพราะฉะนั้นบุคคลใดหวังที่จะได้รับ
ความเจริญแห่งตนและมีกิจธุระอันเป็นส่วนรวม ก็พึงตั้งใจเป็นหัวหน้าเอาเป็นธุระด้วยตัวของเราเอง
โดยมิเห็นประโยชน์ตนแต่ฝ่ายเดียว ควรยกประโยชน์ให้บุคคลอื่นบ้าง นึกถึงผู้อื่นบ้าง
ต้องกลมเกลียว มีความเป็นมิตรกันไว้
๑๙
ถอดความได้ว่า ต้องลดทิฐิมานะ รู้จักข่มใจ จะทำสิ่งใดก็เอื้อเฟื้อกันไม่มีความบาดหมางใจ
ผลประโยชน์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็แบ่งปันกันไป มากบ้างน้อยบางอย่างเป็นธรรม ควรยึดมั่นในมารยาท
และความประพฤติที่ดีงาม รักษาหมู่คณะโดยไม่มีความริษยากันอันจะตัดรอนไมตรี
ถอดความได้ว่า ดังนั้นถ้าหมู่คณะใดไม่ขาดซึ่งความสามัคคี มีความพร้อมเพรียงกันอยู่เสมอ
ไม่มีการวิวาท และระแวงกัน ก็หวังได้โดยไม่ต้องสงสัยว่า คงจะพบซึ่งความสุข ความสงบ และประกอบ
ด้วยประโยชน์มากมาย ใครเล่าจะมีใจกล้าคิดทำสงครามด้วย หวังจะทำลายล้างก็ไม่ได้ ทั้งนี้เพราะความ
พร้อมเพรียงกันนั่นเอง
ถอดความได้ว่า กล่าวไปใยกับมนุษย์ผู้ประเสริฐหรือสรรพสัตว์ที่มีชีวิต แม้แต่กิ่งไม้หายใครจะใคร่
ลองเอามามัดเป็นกำ ตั้งใจใช้กำลังหักก็ยากเต็มทน หากหมู่ใดไม่มีความสามัคคีในหมู่คณะของตน และ
กิจการอันใดที่จะต้องขวนขวายทำก็มิพร้อมเพรียงกัน
๒๐
ถอดความได้ว่า ก็อย่าได้หวังเลยความสุขความเจริญจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ความทุกข์พิบัติอันตรายและ
ความชั่วร้ายทั้งปวง ถึงแม้จะไม่ต้องการก็จะต้องได้รับเป็นแน่แท้
ถอดความได้ว่า ผู้ที่อยู่รวมกันเป็นหมู่คณะหรือสมาคม ควรคำนึงถึงความสามัคคีอยู่เป็นนิจ ถ้ายังไม่มีก็
ควรจะมีขึ้น ถ้ามีอยู่แล้วก็ควรให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปจึงจะถึงซึ่งความสุขความสบาย
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒๑
รูปแบบคำประพันธ์
สามัคคีเภทคำฉันท์” ใช้รูปแบบการประพันธ์เป็นร้อยกรอง ชนิดคำฉันท์ ซึ่งเกิดจากคำประพันธ์
ชนิด กาพย์ มี ๒ ชนิด คือ กาพย์ฉบัง ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ และเกิดจากคำประพันธ์ชนิด
“ฉันท์” ที่ใช้ถึง ๑๘ ชนิด
วิเคราะห์ตัวละคร
๑. พระเจ้าอชาตศัตรู
๑.๑ ทรงมีพระเมตตาต่อพสกนิกรของพระองค์ ดังฉันท์ที่ว่า
แว่นแคว้นมคธนครรา- ชคฤห์ฐานบูรี
สืบราชวัตวิธทวี ทศธรรมจรรยา
เลื่องหล้ามหาอุตตมลาภ คุณภาพพระเมตตา
แผ่เพียงชนกกรุณอา ทรบุตรธิดาตน
๑.๒ ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง บ้านเมืองได้รับการทำนุบำรุงจนกระทั่งมี
แสนยานุภาพ ประชาชนสุขสงบ มีมหรสพให้บันเทิง เช่น
หอรบจะรับริปุผิรอ รณท้อหทัยหมาย
มุ่งยุทธย่อมชิวมลาย และประลาตมิอาจทน
พร้อมพรั่งสะพรึบพหลรณ พยุห์พลทหารชาญ
อำมาตย์และราชบริวาร วุฒิเสวกากร
เนืองแน่นขนัดอัศวพา หนชาติกุญชร
ชาญศึกสมรรถสุรสมร ชยเพิกริปูภินท์
กลางวันอนันตคณนา นรคลาคละไลเนือง
กลางคืนมหุสสวะประเทือง ดุริยศัพทดีดสี
บรรสานผสมสรนินาท พิณพาทย์และเภรี
แซ่โสตสดับเสนาะฤดี อุระล้ำระเริงใจ
๑.๓ ทรงมีพระราชดำริจะแผ่พระบรมเดชานุภาพ โดยจะกรีธาทัพไปตีแคว้นวัชชี ดังนี้
สมัยหนึ่งจึ่งผู้ภูมิบาล ทรงจินตนาการจะแผ่อำนาจอาณา
ให้ราบปราบเพื่อเกื้อปรา- กฎไผทไพศาลรัฐจังหวัดวัชชี
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒๒
ลักษณะคำประพันธ์
แต่งเป็นบทร้อยกรอง โดยนำฉันท์ชนิดต่าง ๆ มาใช้สลับกันอย่างเหมาะสมกับ เนื้อหาแต่ละตอน
ประกอบด้วย ๑๘ ชนิด ได้แก่
๑.กมลฉันท์
๒.จิตรปทาฉันท์
๓.โตฎกฉันท์
๔.ภุชงคประยาตฉันท์
๕.มาณวกฉันท์
๖.มาลินีฉันท์
๗.วสันตดิลกฉันท์
๘.วังสัฏฐฉันท์
๙.วิชชุมมาลาฉันท์
๑๐.สัททุลวิกกีฬิตฉันท์
๑๑.สัทธราฉันท์
๑๒.สาลินีฉันท์
๑๓.อินทรวิเชียรฉันท์
๑๔.อินทรวงศ์ฉันท์
๑๕.อีทิสังฉันท์
๑๖.อุปชาติฉันท์
๑๗.อุปัฏฐิตาฉันท์
๑๘.อุเปนทรวิเชียรฉันท์
และกาพย์ ๒ ชนิด คือ กาพย์ฉบัง ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒๓
คำฉันท์
ฉันท์ เป็นลักษณ์หนึ่งของการประพันธ์ประเภทร้อยกรองในวรรณคดีไทยที่บังคับเสียงหนัก - เบา
ของพยางค์ ที่เรียกว่า ครุ - ลหุ ฉันท์ในภาษาไทยรับแบบมาจากประเทศอินเดีย ไทยเปลี่ยนแปลง
ลักษณะบางอย่างเพื่อให้สอดคล้องกับความนิยมในคำประพันธ์ไทย ตำราฉันท์ที่เป็นแบบฉบับของฉันท์
ไทยคือ คัมภีร์วุตโตภัยกำหนดครุลหุ และสัมผัสเป็นมาตรฐาน
คำครุ
เป็นคำที่ออกเสียงหนัก มีตัวสะกด สระเสียงยาว และอำ ไอ ใอ เอา
คำลหุ
เป็นคำที่ออกเสียงเบา ไม่มีตัวสะกดสระเสียงสั้น ก็ บ
ภุชงคประยาตฉันท์
ทิชงค์ชาติฉลาดยล คะเนกลคะนึงการ
กษัตริย์ลิจฉลีวาร ระวังเหือดระแวงหาย
ปวัตน์วัญจโนบาย
เหมาะแก่การจะเสกสรร สมัครสนธิ์สโมสร
มล้างเหตุพิเฉทสาย
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒๔
มาณวกฉันท์ ๘
ล่วงลุประมาณ กาลอนุกรม
หนึ่งณนิยม ท่านทวิชงค์
เมื่อจะประสิทธิ์ วิทยะยง
เชิญวรองค์ เอกกุมาร
อุเปนทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
ทิชงค์เจาะจงเจตน์ กลห์เหตุยุยงเสริม
กระหน่ำและซ้ำเติม นฤพัทธก่อการณ์
ละครั้งระหว่างครา ทินวารนานนาน
เหมาะท่าทิชาจารย์ ธก็เชิญเสด็จไป
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒๕
สัทธราฉันท์ ๒๑
ครั้นล่วงสามปีประมาณมา สหกรณประดา
ลิจฉวีรา ชทั้งหลาย
สามัคคีธรรมทำลาย มิตรภิทนะกระจาย
ก็เป็นไป
สรรพเสื่อมหายน์
สาลินีฉันท์ ๑๑
วัชชีภูมีผอง สดับกลองกระหึมขา
ทุกไท้ไป่เอาภาร ณกิจเพื่อเสด็จไป
จะเรียกหาประชุมไย
ต่างทรงรับสั่งว่า ก็ขลาดกลัวบ่กล้าหาญ
เราใช่เป็นใหญ่ใจ
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒๖
อุปัฏฐิตาฉันท์ ๑๑
เห็นเชิงพิเคราะห์ช่อง ชนะคล่องประสบสม
พราหมณ์เวทอุดม ธก็ลอบแถลงการณ์
คมดลประเทศฐาน
ให้วัลลภชน ภิเผ้ามคธไกร
กราบทูลนฤบาล
วิชชุมมาลาฉันท์ ๘
ข่าวเศิกเอิกอึง ทราบถึงบัดดล
ในหมู่ผู้คน ชาวเวสาลี
แทบทุกถิ่นหมด ชนบทบูรี
อกสั่นขวัญหนี หวาดกลัวทั่วไป
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒๗
อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
โดยเต็มกตัญญู กตเวทิตาครัน
ใหญ่ยิ่งและยากอัน นรอื่นจะอาจทน
สละเนื้อและเลือดตน
หยั่งชอบนิยมเชื่อ ขรการณ์พะพานกาย
ยอมรับทุเรศผล ชิวแทบจะทำลาย
มนมั่นมิหวั่นไหว
ไป่เห็นกะเจ็บแสบ
มอบสัตย์สมรรถหมาย
จิตรปทาฉันท์ ๘
นาครธา นิวิสาลี
เห็นริปุมี พลมากมาย
ก็ลุพ้นหมาย
ข้ามติรชล พระนครตน
มุ่งจะทลาย
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒๘
สัททุลวิกีฬิตฉันท์ ๑๙
ไหว้คุณองค์พระสุคตอนาวรณญาณ มุนี
ยอดศาสดาจารย์ ปิฎก
อีกคุณสุนทรธรรมคัมภิรวิธี
พุทธพจน์ประชุมตรี
อีทิสังฉันท์ ๒๐
เอออุเหม่นะมึงชิช่างกระไร
ทุทาสสถุลฉะนี้ไฉน ก็มาเป็น
ศึกบ่ถึงและมึงก็ยังมิเห็น
จะน้อยจะมากจะยากจะเย็น ประการใด
อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ
ขยาดขยั้นมิทันอะไร ก็หมิ่นกู
คุณค่าด้านเนื้อหา ๒๙
วสันตคลิลกฉันท์ ๑๔
สามยอดตลอดระยะระยับ วะวะวับสลับพรรณ
ช่อฟ้าตระการกลจะหยัน จะเยาะยั่วทิฆัมพร
นภศูลประภัสสร
บราลีพิลาศศุภจรูญ ดุจกวักนภาลัย
หางหงส์ผจงพิจิตรงอน พิศสุกอร่ามใส
รอบด้านตระหง่านจตุรมุข ฑุรย์พร่างพะแพรวพราย
กาญจน์แกมมณีกนกไพ
โตฎกฉันท์ ๑๒
ประลุฤกษมุหุต ทินอุตตมไกร
รณรงควิชัย- ยะดิถีศุภยาม
หิตโกวิทพราหมณ์
ทิชพฤฒิปุโร- นิติไสยพิธี
ก็ประกอบกิจตาม
คุณค่าด้านเนื้อหา ๓๐
กมลฉันท์ ๑๒
ผิวกาลมัชฌัน ตกอันรวีสา
หสร้อนและอ่อนกา ยสกนธ์พหลหาญ
ธุระเพื่อสบายบาน
ก็มิรีบมิรัดเอื้อ สุขพอก็ต่อไป
พละปรีดิสำราญ
อินทรวงศ์ฉันท์ ๑๒
หลากเหลือจะเชื่อจิต ผิวคิดประหวั่นพะ
เมตตาและเต็มปลง มนจักประคับประคอง
หนักข้างระคางอยู่ บมิรู้จะรับจะรอง
ภายหลังก็ตั้งตรอง ตริฤเว้นระวังระแวง
คุณค่าด้านเนื้อหา ๓๑
มาลินีฉันท์ ๑๕
กษณะทวิชะรับฐา นันทร์และที่วาจกาจารย์
นิรอลสะประกอบภาร พีริโยฬารและเต็มใจ
อุปชาติฉันท์๑๑
สดับประกาศิต ระบุกิจวโรงการ
จึ่งราชสมภาร พจนารถประภาษไป
เราคิดจะใคร่ยก พยุห์พลสกลไกร
ประชุมประชิดชัย รณรัฐวัชชี
คุณค่าด้านเนื้อหา ๓๒
วังสัฎฐฉันท์ ๑๒
ประชุมกษัตริย์รา ชสภาสดับคะนึง
คเนณทุกข์รึง อุระอัดประหวัดประวิง
หิรกายน่าจะจริง
ประกอบระกำพา กลอำกระทำอุบาย
มิใช่จะแอบอิง
คุณค่าด้านเนื้อหา ๓๓
ฉากและบรรยากาศ
เรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์เป็นเรื่องที่เรารับมาจากอินเดียกวีจึงพยายามพรรณนาฉากให้
บรรยากาศของเรื่องเป็นประเทศอินเดียในสมัยพระเจ้าอชาตศัตรูแต่กวีเป็นคนไทยดังนั้นฉากจึงมีความ
เป็นไทยแทรกอญุ่บ้าง เช่น การพรรณนาชมบ้านเมือง
อำพลพระมนทิรพระราช สุนิวาสน์วโรฬาร์
อัพภันตรไพจิตรและพา- หิรภาคก็พึงชม
เล่ห์เลื่อนชะลอดุสิตฐา- นมหาพิมานรมย์
มารังสฤษฏ์พิศนิยม ผิจะเทียบก็เทียมทัน
สามยอดตลอดระยะระยับ วะวะวับสลับพรรณ
ช่อฟ้าตระการกลจะหยัน จะเยาะยั่วทิฆัมพร
บราลีพิลาสศุภจรูญ นภศูลประภัสสร
หางหงส์ผจงพิจิตรงอน ดุจกวักนภาลัย
เป็นบทพรรณนาชมบ้านเมืองที่ไพเราะทั้งเสียง จังหวะลีลา พรรณนาตอนนี้จากพระที่นั่งจักรี
มหาปราสาทและพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
คุณค่าด้านเนื้อหา ๓๔
วิเคราะห์ตัวละคร
๑. พระเจ้าอชาตศัตรู
๑.๑ ทรงมีพระเมตตาต่อพสกนิกรของพระองค์ ดังฉันท์ที่ว่า
แว่นแคว้นมคธนครรา- ชคฤห์ฐานบูรี
สืบราชวัตวิธทวี ทศธรรมจรรยา
เลื่องหล้ามหาอุตตมลาภ คุณภาพพระเมตตา
แผ่เพียงชนกกรุณอา ทรบุตรธิดาตน
๑.๒ ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง บ้านเมืองได้รับการทำนุบำรุงจนกระทั่งมี
แสนยานุภาพ ประชาชนสุขสงบ มีมหรสพให้บันเทิง เช่น
หอรบจะรับริปุผิรอ รณท้อหทัยหมาย
มุ่งยุทธย่อมชิวมลาย และประลาตมิอาจทน
พร้อมพรั่งสะพรึบพหลรณ พยุห์พลทหารชาญ
อำมาตย์และราชบริวาร วุฒิเสวกากร
เนืองแน่นขนัดอัศวพา หนชาติกุญชร
ชาญศึกสมรรถสุรสมร ชยเพิกริปูภินท์
กลางวันอนันตคณนา นรคลาคละไลเนือง
กลางคืนมหุสสวะประเทือง ดุริยศัพทดีดสี
บรรสานผสมสรนินาท พิณพาทย์และเภรี
แซ่โสตสดับเสนาะฤดี อุระล้ำระเริงใจ
๑.๓ ทรงมีพระราชดำริจะแผ่พระบรมเดชานุภาพ โดยจะกรีธาทัพไปตีแคว้นวัชชี ดังนี้
สมัยหนึ่งจึ่งผู้ภูมิบาล ทรงจินตนาการจะแผ่อำนาจอาณา
ให้ราบปราบเพื่อเกื้อปรา- กฎไผทไพศาลรัฐจังหวัดวัชชี
๓๕
๑.๔ ทรงมีความรอบคอบ เมื่อทรงทราบว่าคณะกษัตริย์ลิจฉวียึดมั่นในสามัคคีธรรมจึงทรงมีพระ
ราชดำริว่า
ศึกใหญ่ใคร่จะพยายาม ร
บเร้าเอาตาม
กำลังก็หนักนักหนา
จำจักหักด้วยปัญญา รอก่อนผ่อนหา
อุบายทำลายมูลความ
และทรงปรึกษาหารือกับวัสสการพราหมณ์ ซึ่งวัสสการพราหมณ์กราบทูลถึงวิธีการและดำเนินการจน
สำเร็จ
๒. วัสสการพราหมณ์
วัสสการพราหมณ์เป็นปุโรหิตแห่งแคว้นมคธ เป็นผู้เฉลียวฉลาดและรอบรู้ศิลปศาสตร์
ดังคำประพันธ์ที่ว่า
อันอัครปุโรหิตาจารย์ พราหมณ์นามวัสสการ
ฉลาดเฉลียวเชี่ยวชิน
กลเวทโกวิทจิตจินต์ สำแดงแจ้งศิล
ปศาสตร์ก็จบสบสรรพ์
ลักษณะนิสัยของวัสสการพราหมณ์
๒.๑ รักชาติบ้านเมือง ยอมเสียสละเพื่อประเทศชาติ เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูทรงปรึกษากับวัส
สการพราหมณ์เรื่องที่จะทรงแผ่พระบรมเดชานุภาพเอาเมืองวัชชีไว้ในครอบครองและวัสสการพราหมณ์
กราบทูลกลอุบายและวิธีการนั้น วัสสการพราหมณ์จะต้องกราบทูลขัดแย้งพระราชดำริของพระเจ้าอชา
ตศัตรูทำให้ถูกลงพระราชอาญาอย่างหนัก แต่วัสสการพราหมณ์ก็ยอมรับ ทั้งนี้เพื่อจะได้ไปอาศัยอยู่ที่
แคว้นวัชชีและดำเนินอุบายทำลายความสามัคคีได้สะดวก ดังฉันท์ที่ว่า
ไป่เห็นกะเจ็บแสบ ชิวแทบจะทำลาย
มอบสัตย์สมรรถหมาย มนมั่นมิหวั่นไหว
หวังแผนเพื่อแผ่นดิน ผิถวิลสะดวกใด
เกื้อกิจสฤษฎ์ไป บมิเลี่ยงละเบี่ยงเบือน
๓๖
๒.๒ จงรักภักดีต่อพระเจ้าอชาตศัตรู ดังฉันท์ที่พรรณนาไว้ตอนวัสสการพราหมณ์ต้องโทษดังนี้
โดยเต็มกตัญญู กตเวทิตาครัน
ใหญ่ยิ่งและยากอัน นรอื่นจะอาจทน
หยั่งชอบนิยมเชื่อ สละเนื้อและเลือดตน
ยอมรับทุเรศผล ขรการณ์พะพานกาย
ไป่เห็นกะเจ็บแสบ ชิวแทบจะทำลาย
มอบสัตย์สมรรถหมาย มนมั่นมิหวั่นไหว
๒.๓ วัสสการพราหมณ์เป็นคนเฉลียวฉลาด มีไหวพริบและรอบคอบในการดำเนินกลอุบายด้วย
ความเฉียบแหลมลึกซึ้ง รู้การควรทำและไม่ควรทำ รอจังหวะและโอกาส การดำเนินงานจึงมีขั้นตอนมี
ระยะเวลา นับว่าเป็นคนมีแผนงาน ใจเย็น ดำเนินงานด้วยความรอบคอบ มีสติ เป็นคุณลักษณะที่ทำให้
วัสสการพราหมณ์ดำเนินกลอุบายจนสำเร็จผล เห็นได้ชัดเจนในขณะที่วัสสการพราหมณ์เข้าเฝ้าฯ
กษัตริย์ลิจฉวีและได้กล่าวสรรเสริญน้ำพระราชหฤทัยกษัตริย์ลิจฉวีทำให้เกิดความพอพระราชหฤทัย
เปรียบปานมหรรณพนที ทะนุที่ประทังความ
ร้อนกายกระหายอุทกยาม นรหากประสบเห็น
เอิบอิ่มกระหยิ่มหทยคราว ระอุผ่าวก็ผ่อนเย็น
ยังอุณหมุญจนะและเป็น สุขปีติดีใจ
วัชชีบวรนครสรร พจะขันจะเข้มแขง
รี้พลสกลพิริยแรง รณการกล้าหาญ
มาคธไผทรฐนิกร พลอ่อนบชำนาญ
ทั้งสิ้นจะสู้สมรราญ ริปุนั้นไฉนไหว
ดั่งอินทโคปกะผวา มุหฝ่าณกองไฟ
หิ่งห้อยสิแข่งสุริยะไหน จะมิน่าชิวาลาญ
๒.๔ มีความรอบคอบ แม้ว่าวัสสการพราหมณ์จะรู้ชัดว่าบรรดากษัตริย์ลิจฉวีแตกความสามัคคี
กันแล้ว แต่ด้วยความรอบคอบก็ลองตีกลองเรียกประชุม บรรดากษัตริย์ลิจฉวีก็ไม่เสด็จมาประชุมกัน
เลย
วัชชีภูมีผอง สดับกลองกระหึมขาน
ทุกไท้ไป่เอาภาร ณกิจเพื่อเสด็จไป
ต่างทรงรับสั่งว่า จะเรียกหาประชุมไย
เราใช่คนใหญ่ใจ ก็ขลาดกลัวบกล้าหาญ
๓๗
๒.๕ ความเพียร วัสสการพราหมณ์ใช้เวลา ๓ ปีในการดำเนินการเพื่อให้เหล่ากษัตริย์ลิจฉวีแตก
สามัคคีกันซึ่งนับว่าต้องใช้ความเพียรอย่างมาก
ครั้นล่วงสามปีประมาณมา สหกรณประดา
ลิจฉวีรา ชทั้งหลาย
สามัคคีธรรมทำลาย มิตรภิทนะกระจาย
สรรพเสื่อมหายน์ ก็เป็นไป
๓.กษัตริย์ลิจฉวี
๓.๑ ทรงตั้งมั่นในธรรม กษัตริย์ลิจฉวีล้วนทรงยึดมั่นในอปริหานิยธรรม (ธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่ง
ความเสื่อม) ๗ ประการ ได้แก่
หนึ่ง เมื่อมีราชกิจใด ปรึกษากันไปบ่วายบ่หน่ายชุมนุม
สอง ย่อมพร้อมเลิกพร้อมประชุม พร้อมพรักพรรคคุม
ประกอบณกิจควรทำ
สาม นั้นถือมั่นในสัม มาจารีตจำ
ประพฤติมิตัดดัดแปลง
สี่ ใครเป็นใหญ่ได้แจง โอวาทศาสน์แสดง
ก็ยอมและน้อมบูชา
ห้า นั้นอันบุตรภริยา แห่งใครไป่ปรา-
รภประทุษข่มเหง
หก ที่เจดีย์คนเกรง มิย่ำยำเยง
ก็เซ่นก็สรวงบวงพลี
เจ็ด พระอรหันต์อันมี ในรัฐวัชชี
ก็คุ้มก็ครองป้องกัน
๓๘
๓.๒ ขาดวิจารณญาณ ทรงเชื่อพระโอรสของพระองค์ที่ทูลเรื่องราวซึ่งวัสสการพราหมณ์ยุแหย่
โดยไม่ทรงพิจารณา เช่น
ต่างองค์นำความมิงามทูล พระชนกอดิศูร
แห่ง ธ โดยมูล ปวัตติ์ความ
แตกร้าวก้าวร้ายก็ป้ายปาม ลุวรบิดรลาม
ทีละน้อยตาม ณเหตุผล
๓.๓. ทิฐิเกินเหตุ แม้เมื่อบ้านเมืองกำลังจะถูกศัตรูรุกราน เช่น
ศัพทอุโฆษ ประลุโสตท้าว
ลิจฉวีด้าว ขณะทรงฟัง
ต่างธก็เฉย และละเลยดัง
ไท้มิอินัง ธุระกับใคร
ต่างก็บคลา ณสภาคาร
แม้พระทวาร บุรทั่วไป
รอบทิศด้าน และทวารใด
เห็นนรไหน สิจะปิดมี
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๓๙
๑.บรรยายโวหาร : โวหารที่ใช้เล่าเรื่อง หรืออธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ตามลำดับเหตุการณ์
๒.อุปมาโวหาร : การเขียนโดยยกสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาเปรียบเทียบประกอบข้อความเพื่อให้เข้าใจง่าย และเกิด
อารมณ์ความรู้สึกมากขึ้น
๔๐
๓.เสาวรจนี : การกล่าวชมความงามของตัวละครในเรื่อง ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งตัวละครที่เป็นอมุนษย์ มนุษย์
หรือสัตว์
๔.พิโรธวาทัง : การแต่งบทร้อยกรองให้มีเนื้อความและ ท่วงทำนอง แสดงความโกรธ ตัดพ้อต่อว่า
เสียดสีเหน็บแนม ประชดประชัน หรือเยาะเย้ย
การทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นเพราะความขุ่นเคืองใจ
๔๑
ไม่เหลือพระองค์ที่รักใคร่กลมเกลียวกันจึงเกิดความเดือดร้อนใจ
เกิดการผูกโกรธซึ่งกันและกัน ต่างแยกพรรค แตกสามัคคีกัน
๔๒
๕. สัลลาปังคพิไสย : การกล่าวข้อความแสดงอารมณ์โศกเศร้า อาลัยรัก
คุณค่าด้านสังคม ๔๓
สะท้อนวัฒนธรรมของคนในสังคม
สะท้อนให้เห็นถึงภาพการปกครองโดยใช้ระบอบสามัคคีธรรม เน้นโทษของการไม่มีความสามัคคี
การแตกแยกกันในหมู่คณะ และเน้นถึงหลักธรรมคือหลักอปริหานิยธรรม ๗ ประการ ซึ่งเป็นหลักธรรม
ที่ส่งผลให้เกิดความสามัคคี การทำงานร่วมกัน และความเจริญข องหมู่คณะที่ปราศจากความเสื่อม ได้แก่
- มีความตั้งใจในการประชุม เมื่อมีภารกิจก็ประชุมปรึกษาหารือกัน เพื่อช่วยกันคิดหาทางแก้ไขปัญหา
เพื่อให้งานได้ดำเนินถึงขั้นต่อๆไป
- เข้าประชุมพร้อมกัน เลิกประชุมพร้อมกัน ร่วมด้วยช่วยกันทำงาน - มีความสามัคคีกัน
- ทำตามกฎระเบียบ พูดจากันดีๆจึงจะนำไปสู่ความสามัคคีปรองดองกัน
- ถ้าไม่สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็จะนำบ้านเมืองไปสู่ความหายนะได้ เกิดความเสียหายและ
เสียเปรียบได้ในหลายๆด้าน ทั้งต่อตนเอง ผู้อื่นและสังคม
- เน้นการใช้สติปัญญาควรไตร่ตรองในการแก้ไขปัญหาให้มากๆ มากกว่าการใช้กำลังหรือคำพูด
โทษของการไม่มีความสามัคคี
ได้แก่
- การขาดความสามัคคีจะทำให้เกิดความแตกแยกกัน ซึ่งนำไปสู่ความเสียหาย ความเดือดร้อน
และส่งผลกระทบไปสู่คนอื่น
- ทำให้ไม่ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางแผนไว้
- เกิดความล่าช้าในการทำงาน
- ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน
วิถีชีวิต
- ในสมัยนั้นใช้การสื่อสารกันโดยการตีกลองเพื่อแจ้งข่าวให้ทราบหรือนัดประชุม
บรรณานุกรม ๔๔
ข้อมูลเกี่ยวกับรายงานเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก
https://poommpw.weebly.com/uploads (วันที่สืบค้นข้อมูล ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕)
ข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อเรื่องย่อสามัคคีเภทคำฉันท์.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก
https://www.gotoknow.org/posts/283759 (วันที่สืบค้นข้อมูล ๑ สิงหาคม ๒๕๖๕)
ข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อเรื่องย่อสามัคคีเภทคำฉันท์.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก
https://www.baanjomyut.com/library_3/extension-3/harmonious/index.html
(วันที่สืบค้นข้อมูล ๑ สิงหาคม ๒๕๖๕)
ข้อมูลเกี่ยวกับคุณค่าด้านวรรณศิลป์ในสามัคคีเภทคำฉันท์.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก
https://www.gotoknow.org/posts/336724 (วันที่สืบค้นข้อมูล ๓ สิงหาคม ๒๕๖๕)
ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นมาของสามัคคีเภทคำฉันท์.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก
https://campus.campus-star.com/variety/113938.html (วันที่สืบค้นข้อมูล ๕ สิงหาคม ๒๕๖๕)
ข้อมูลเกี่ยวกับการวิจารณ์ตัวละครเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก
https://www.gotoknow.org/posts/329717 (วันที่สืบค้นข้อมูล ๕ สิงหาคม ๒๕๖๕)
ภาคผนวก ๔๕
ตารางวันที่การทำงาน
๔๖
รายละเอียดการแบ่งงาน