The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ซิกมันด์ ฟรอยด์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ธวัชชัย ทิพรส, 2021-01-09 11:19:01

ซิกมันด์ ฟรอยด์

ซิกมันด์ ฟรอยด์

ทฤษฎที างจิตวทิ ยา ซกิ มันด์ ฟรอยด์

เสนอ
อาจารยอ์ นัญญา เสริมศรี

จดั ทำโดย

นายธวัชชัย ทพิ รส รหสั ประจำตวั 3034635014

นางสาวเบญญา ฉลองสิรกิ ุล รหสั ประจำตวั 3034632017

นางสาววไิ ลลักษณ์ กุลศิริ รหสั ประจำตัว 3034632024

นางสาวอารียา ดวงจันทร์ รหสั ประจำตวั 3034632016

นางสาวธญั ลักษณ์ บุญเมือง รหัสประจำตัว 3034632013

ชั้นปริญญาตรีปีที่ 1

รายงานเลม่ นเี้ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของรายวิชาจิตวิทยาสำหรับครู
ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563

วิทยาลัยนาฏศิลปอ่างทอง สถาบนั บณั ฑิตพฒั นศิลป์ กระทรวงวฒั นธรรม



ทฤษฎที างจิตวิทยา ซิกมันด์ ฟรอยด์

เสนอ
อาจารยอ์ นัญญา เสริมศรี

จัดทำโดย

นายธวชั ชัย ทพิ รส รหสั ประจำตัว 3034635014

นางสาวเบญญา ฉลองสริ กิ ุล รหสั ประจำตวั 3034632017

นางสาววไิ ลลักษณ์ กุลศริ ิ รหสั ประจำตัว 3034632024

นางสาวอารียา ดวงจันทร์ รหสั ประจำตวั 3034632016

นางสาวธญั ลักษณ์ บุญเมือง รหัสประจำตวั 3034632013
ชั้นปรญิ ญาตรปี ที ี่ 1

รายงานเลม่ นเี้ ปน็ สว่ นหนงึ่ ของรายวิชาจติ วิทยาสำหรับครู
ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563

วิทยาลยั นาฏศิลปอ่างทอง สถาบันบณั ฑิตพฒั นศิลป์ กระทรวงวฒั นธรรม

คำนำ

รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาจิตวิทยาสำหรับครู ระดับชั้นปริญญาตรีปีที่ 1
โดยมีจุดมุ่งหมายและจุดประสงค์เพื่อต้องการให้นักศึกษานั้น ได้ศึกษาและเข้าใจทฤษฎีจิต
วเิ คราะห์ของซกิ มันด์ ฟรอย์ การทำงานของจติ มนษุ ย์ โครงสรา้ งบคุ ลกิ ภาพ การพัฒนาบุคลิกภาพ
กลวิธีการป้องกันตนเอง และทั้งนี้นักศึกษานำมาใช้ในการดำเนินชีวิตให้เกิดประโยชน์
รวมไปถงึ การประยุกตใ์ ช้ในการเรยี นการสอนอกี ด้วย

คณะผู้จัดทำรายงานจึงหวังว่า รายงานเล่มนี้นั้นจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน
นักศึกษา ที่กำลังหาข้อมูลในเรื่องที่เกี่ยวกับรายงานเล่มนี้ หากผิดพลาดประการใด คณะผู้จัดทำ
ขอน้อมรบั ไวค้ วามผิดพลาดน้ันและขออภยั ไว้ ณ ท่ีนด้ี ้วย

คณะผู้จดั ทำ

สารบัญ

เร่อื ง หนา้ ท่ี

จติ วิเคราะหค์ ืออะไร 1
ประวตั ซิ กิ มนั ด์ ฟรอยด์ 4
การทำงานของจิตใจมนุษย์ 10
โครงสรา้ งบุคลิกภาพ 13
พัฒนาการทางบุคลกิ ภาพ 17
กลไกการป้องกนั ตนเอง 21
การนำไปประยุกตใ์ ชใ้ นการจดั การเรียนการสอน ใหเ้ กดิ การเรียนรแู้ กผ่ ้เู รยี น อยา่ งเหมาะสม 24
เอกสารอา้ งองิ

1

จติ วิเคราะห์ คอื อะไร

2

จิตวิเคราะห์ คืออะไร

จิตวิเคราะห์ ( psychoanalysis ) เป็นชุดทฤษฎีและเทคนิคจิตวิทยาและจิตบำบัดที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งเดิมแพทย์ชาวออสเตรีย ซิกมันฟรอยด์ทำให้แพร่หลายและบางส่วนกำเนิดจากงานด้านการรักษา
ของโยเซฟ บรอแยร์(Josef Breuer) และอื่น ๆ นับแต่นั้น จิตวิเคราะห์ได้ขยายและมีการทบทวน
ปฏิรูปและพัฒนาในทิศทางต่าง ๆ เดิมโดยผู้ร่วมงานและศิษย์ของฟรอยด์ เช่น อัลเฟรด อัดแลร์
และคาร์ล กุสทัฟ ยุงผู้พัฒนาความคิดของตนเองเป็นเอกเทศจากฟรอยด์ นักจิตวิทยาฟรอยด์ใหม่
( neo-Freudian ) สมัยหลังมีเอริช ฟรอมม์, คาเริน ฮอร์ไน, แฮร์รี สแทก ซัลลิแวนและฌัค ลาคา
( Jacques Lacan )

หลักพืน้ ฐานของจติ วิเคราะห์มดี ังนี้

1. นอกเหนือไปจากองค์ประกอบบุคลิกภาพที่รับทอดมาแล้ว พัฒนาการของบุคคลกำหนด
โดยเหตกุ ารณใ์ นวัยเดก็ ตอนตน้

2. เจตคติ จริตนิยม ประสบการณ์และความคิดของมนุษย์ได้รับอิทธิพลจากแรงขับ
ไร้เหตุผลมาก

3. แรงขบั ไร้เหตผุ ลคือจิตไร้สำนึก
4. ความพยายามนำแรงขับเหล่านี้สู่ความตระหนักเผชิญการต่อต้านทางจิตในรูปกลไก

ปอ้ งกนั ตน
5. ความขัดแย้งระหว่างจิตสำนึกและจิตไร้สำนึกหรือการกดเก็บ ปัจจัยสามารถ

เกิดในรูปการรบกวนทางจิตหรืออารมณ์ได้ ตัวอย่างเช่น โรคประสาท ลักษณะประสาท
ความวติ กกังวล ภาวะซมึ เศรา้ เปน็ ตน้

การปลดปล่อยจากผลแห่งปัจจัยไร้สำนึกบรรลุผ่านการนำปัจจัยเหล่านี้สู่จิตสำ นึก
( เชน่ โดยผา่ นการช้นี ำอยา่ งมีทกั ษะ คอื การรักษา )

ในจิตวิเคราะห์ มีอย่างน้อย 22 ทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการทางจิตของมนุษย์ แนวทางสู่
การรักษาหลายแนวทางที่เรียก "จิตวิเคราะห์" ก็มีหลากหลายเช่นเดียวกับทฤษฎี คำนี้ยังหมายถึง
วธิ กี ารวิเคราะห์พฒั นาการของเด็กอย่างหนงึ่ ดว้ ย

3

นักจิตวิทยาแบบฟรอยด์หมายความถึงประเภทการรักษาเจาะจงซึ่งผู้ป่วยวิเคราะห์
( analysand ) แสดงความคิดของตนออกมาเป็นคำพูด ซึ่งรวมการเชื่อมโยงเสรี ( free association )
ความเพ้อฝันและฝัน ซึ่งนักวิเคราะห์จะชักนำความขัดแย้งไร้สำนึกที่ก่อให้เกิดอาการของผู้ป่วย
และปัญหาบุคลิกออกมา แล้วตีความให้ผู้ป่วยเพื่อสร้างการหยั่งรู้ตนเองเพื่อทุเลาปัญหา นักวิเคราะห์
เผชิญและระบุการป้องกัน ความปรารถนาและความรู้สึกผิด พยาธิวิทยาของผู้ป่วยให้ชัด
ผ่านการวิเคราะห์ความขัดแย้งซึ่งรวมความขัดแย้งอันมีผลต่อการต่อต้านและที่เกี่ยวข้องกับกระบวน
การถ่ายทอดปฏิกิริยาที่ถูกบิดเบือนให้นักวิเคราะห์ การรักษาจิตวิเคราะห์สามารถสร้างสมมุติฐานว่า
ผู้ป่วยเป็นศัตรูที่เลวร้ายที่สุดของตนในจิต ไร้สำนึกอย่างไร จิตไร้สำนึก ปฏิกิริยาเชิงสัญลักษณ์
ซึง่ มีประสบการณ์เป็นตวั กระต้นุ กอ่ อาการได้อย่างไร

จติ วเิ คราะหไ์ ด้รับการวิจารณจ์ ากแหล่งที่มากว้างขวาง นักวจิ ารณจ์ ติ วเิ คราะห์สำคัญคนหนึ่งว่า
จิตวิเคราะห์เป็นวิทยาศาสตร์เทียม กระนั้น จิตวิเคราะห์มีอิทธิพลแข็งแรงในสาขาจิตเวชศาสตร์
และในบางส่วนของสาขาอน่ื

4

ประวัตซิ กิ มันด์ ฟรอยด์

5

ประวตั ิซิกมนั ด์ ฟรอยด์

ซิกมันด์ ฟรอยด์ ( Sigmund Freud ) เป็นผู้ก่อตั้งจิตวิทยาสกุลจิตวิเคราะห์เกิดในวันที่ 6 มีนาคม
พ.ศ. 2399 ( ตามหลักฐานการแจ้งเกิดเป็นวันที่ 6 พฤษภาคม เพราะมีเหตุผลบางอย่าง ) ที่ฟรายเบอร์ก
ในเมืองโมราเวีย ซึ่งปัจจุบันใต้กลายเป็นเมืองเล็ก ๆ ของประเทศเชคโกสโลวาเกีย บิดา-มารดาเป็นชาวยิว
บิดาชื่อจาคอบ เป็นพ่อค้าขายเสื้อขนสัตว์ ส่วนมารดาเป็นภรรยาคนที่ 3 ของบิดาชื่อว่าอมาลีนาธานขอฮ่ัน
ฟรอยด์เป็นลูกคนแรกในบรรดาพี่น้องร่วมมารดารวม 7 คน เมื่อฟรอยด์อายุได้ 4 ปี บิดามารดา
ก็ยา้ ยครอบครัวไปอยู่ทเ่ี มอื งเวยี นนาในวนั ที่ 30 กนั ยายน พ.ศ. 2425

ฟรอยด์ได้สมรสกับมาร์ธาเบอร์เนย์ ซึ่งเป็นเพื่อนของน้องสาวฟรอยด์เอง ปรากฏว่าชีวิตสมรส
มีความสุขดี มีบุตรสาว 3 คนและบุตรชาย 3 คน บุตรสาวคนเล็กชื่อแอนนาฟรอยด์ ได้เป็นนักจิตวิเคราะห์
และจติ แพทยเ์ ด็กท่ีมชี อื่ เสยี งในลอนดอนดว้ ย

ในด้านการศึกษาฟรอยด์เรียนสำเร็จทางแพทยศาสตร์ในปี พ.ศ. 2424 มีเป้าหมายชีวิต
จะเป็นนักวิทยาศาสตร์เชิงวิจัย ฟรอยด์ไม่ได้สนใจเรียนเกี่ยวกับการฝึกปฏิบัติทางการแพทย์มากนัก
แต่ฟรอยต์ประทับใจในผลงานของตาร์วิน และนักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นตลอดจนผลงานทางประวัติศาสตร์
ของวัฒนธรรม และปรัชญาจึงได้แปลผลงานของนักปรัชญาคือจอห์นสจ๊วตมิลล์ ฟรอยด์มีพรสวรรค์
ทางสรีรวิทยา และกายวิภาควิทยา จึงได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำการวิจัยในห้องปฏิบัติการมาตั้งแต่สมัยที่เป็น
นักศึกษา หลังจากที่ได้รับปริญญาทางแพทยศาสตร์ได้ไม่นาน ฟรอยด์ได้เข้าเป็นสมาชิกของสถาบันกายวิภาค
ทางสมอง เพื่อทำวิจัยโดยได้รับเงินเดือนเพียงเล็กน้อย การวิจัยเชิงวิชาการของฟรอยด์ต้องถูกขัดขวางโดย
แนวคิดอคติที่มีต่อชาวยิว ( Anti-Senitism ) ดังนั้น ฟรอยด์จึงตัดสินใจเสาะหาทุนเอง เพื่อนำมา
ใช้ในการปฏิบัติงาน จนในที่สุดก็ได้รับรางวัลเป็นทุนการวิจยั ทางชีววทิ ยา ถึงแม้ฟรอยด์จะเรียนจบทางแพทย์
แต่กไ็ ม่ค่อยคิดว่าตนเองเป็นแพทย์ เพราะสนใจคน้ หาคำตอบทางวิทยาศาสตร์ทต่ี นสนใจมากกว่า

ฟรอยด์ ใช้ชีวิตคลุกคลีกับการรวบรวมข้อมูลทางจิตวิทยาเป็นจำนวนมากฟรอยด์เองมีความมุ่งร้าย
ต่อบิดาของตนอยู่ในจิตไร้สำนึก แต่มีความใกล้ชิดกับมารดาผู้ซึ่งมีอายุอ่อนกว่าบิดา 19 ปี ในช่วง 10 ปี
ตั้งแต่ พ.ศ. 2433 เป็นช่วงที่ฟรอยด์ทำงานริเริ่มอย่างยอดเยี่ยม จนทำให้เข้าใจความไม่ปกติทางใจของมนุษย์
คือ ฟรอยด์มีแรงผลักดันจากอาการของโรค ซึ่งแอลเลนเบอร์เกอร์เรียกว่า โรคของผู้มีความคิดริเร่ิม
( Creative illness ) คือ มีอาการแยกตัวอย่างมาก และหมกหมุ่นอยูก่ ับตัวเอง เมื่อมีอาการเลวลงมากแลว้ ก็มี

6

อาการดีขึ้นในช่วงนี้เองท่ีฟรอยด์เริ่มวิเคราะห์ตนเอง ( ปี พ.ศ. 2440 ) และแก้ปัญหาทางจิตใจที่ลึกซ้ึง
ของตนเองด้วยเทคนิคทางจิตวิทยาที่ตนคิดขึ้นเอง แม้ว่าฟรอยด์จะหายจากโรคดังกล่าวในปี พ.ศ. 2443
ฟรอยด์ก็ยังวิเคราะหต์ นเองตอ่ ไปอกี เกย่ี วกับชว่ งชีวติ ทเ่ี หลอื โดยแบ่งเวลาทำงานนี้วนั ละครึง่ ชวั่ โมง

ในด้านชีวิตส่วนตัว ฟรอยด์เป็นผู้ที่มีจริยธรรมสูงมาก บางคนเห็นว่าฟรอยด์เป็นคนเย็นชา เมินเฉย
ไม่ทุกข์ร้อนหรือดีใจมากสนใจการค้นคว้าข้อมูลจากคนไข้มากกว่า แต่บางคนก็มองเห็นว่าฟรอยด์
เป็นคนอารมณ์ขนั น่าอุ่นใจเขา้ ใจอะไรได้ลึกซ้ึงและมีความเมตตามาก ดังนั้น จึงมีบางคนจงรักภกั ดีต่อฟรอยด์
ตลอดชีวิต แต่ก็มีบางคน เช่น บรูเออร์จงแอดเล่อร์ และเฟลส์แตกแยกจากฟรอยด์ เพราะเห็นว่าฟรอยด์
เนน้ แตเ่ รอ่ื งเพศวา่ เปน็ ปัจจยั สำคัญทส่ี ดุ ตอ่ การเกดิ พฤติกรรมของมนุษย์ทวั่ ไป

อุบัติการณ์ในการใช้โคเคน ในปี พ.ศ. 2427 ฟรอยด์เริ่มทดลองเรื่องโคเคนหลังจากที่ทราบมา
จากกองทัพเยอรมันว่า โคเคนช่วยลดความเศร้าและเพิ่มสมาธิยิ่งกว่านั้นยังเป็นยาที่ไม่มีฤทธิ์ข้างเคียงทางลบ
ฟรอยด์จึงตีพิมพ์บทความเรื่องโคเคนอยู่ 6 เรื่อง โดยแนะว่าโคเคนเป็นยาสลบพื้นบ้านรักษาการย่อยอาหาร
และไม่มีอันตรายจึงใช้แทนมอร์ฟินได้ เพื่อนคนหนึ่งของฟรอยด์ชื่อคาร์ลโคลเล่อร์ได้เรียนรู้จากฟรอยด์
จึงนำไปใช้ในการผ่าตัดตาและได้เสนอรายงานเกีย่ วกับการทดลองที่ประสบผลรายงานนี้จึงทำให้เขามีช่ือเสียง
ท่ัวโลก แต่ฟรอยด์เสียใจลึกซึ้งทีต่ นไม่ได้รบั การยอมรับทางอาชีพเกี่ยวกับเรือ่ งนี้แม้ว่าโคเคนจะมีค่าดงั กล่าวน้ี
แต่ตอ่ มากพ็ บว่ามตี วั ยาเสพตดิ มาก

อิทธิพลในระยะแรกทม่ี ีตอ่ ทฤษฎขี องฟรอยด์อาจแยกกลา่ วไดด้ งั น้ี

1. การเยี่ยมเยียนชาร์โคท์ ในปี พ.ศ. 2428 ฟรอยด์ได้รับอนุญาตให้เข้าศึกษาอบรมกับนักประสาท
วิทยา ที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศสคือ ซอง-มาแตง ชาร์โคท ซึ่งกำลังทดลองทางด้านการสะกดจิตได้ประยุกต์วิธีนี้
มารักษาโรคฮิสทีเรีย ( hysteria ) ( ซึ่งมีอาการต่างๆหลายอย่างเช่นเป็นอัมพาตชั่วคราวสูญเสียความรู้สึกตา
บอดและพดู ไมไ่ ดใ้ นชว่ งเวลาหนง่ึ ) ในทีส่ ดุ ฟรอยด์ก็ได้ประยุกตว์ ธิ สี ะกดจิตมารักษาปัญหาทางอารมณ์

2. การเยี่ยมเยียนเบอร์นไฮม์ เนื่องจากฟรอยด์ต้องการปรับปรุงทักษะในการสะกดจิตจึงไปที่ฝรั่งเศส
ในปี พ.ศ. 2432 เพื่อไปเยี่ยมฮิบโปไลท์ เบอร์นไฮม์ ในเมืองแนนซี ที่โรงเรียนแนนซีก็กำลังทดลองใช้วิธี
สะกดจิตในการรักษาโรคฮิสทีเรียเช่นกัน ฟรอยด์เรียนรู้จากเบอร์นไฮม์ว่า บุคคลสามารถจำเรื่องที่เขาไม่รู้ตัว
มาก่อนเมื่อเขามาอยู่ในสภาพกดดันบางอย่างความจำเหล่านี้จะปรากฏออกมา ฟรอยด์จึงได้เรียนรู้วิธี
การแนะนำหลังสะกดจิตเช่นหลังจากสตรีคนหนึ่งถูกสะกดจิตเม่ือเธอต่ืนขึ้นกส็ าเธอต่ืนขึ้นกส็ ามารถบอกให้เธอ
ทำบางอยา่ งได้

7

โดยสรุปฟรอยด์ได้ความรู้จากเบอร์นไฮม์ คือ พฤติกรรมเกิดจากสาเหตุที่เป็นแนวคิดไว้สำนึก
และแนวคิดเชน่ นส้ี ามารถทำใหเ้ ข้าสจู่ ิตสำนกึ ไดโ้ ดยสภาพการณ์ทีเ่ หมาะสม

3. การพบกับบรูเออร์ ฟรอยด์ได้พบโจเซฟบรูเออร์เป็นคร้ังแรก เมื่อทั้งสองเข้าร่วมงานวิจัย
ทางประสาทวิทยาในปลายปี พ.ศ. 2413 บรูเออร์มีอายุมากกว่าฟรอยด์ 14 ปีเขาเป็นแพทย์และนักวิจัย
ที่มีประสบการณ์มากบรูเออร์ให้คำแนะนำและมิตรภาพแก่ฟรอยด์ รวมทั้งให้ยืมเงินด้วยสิ่งสำคัญที่สุด
ต่อการพฒั นาจิตวิเคราะหก์ ค็ อื การท่บี รเู ออรร์ ักษาหญิงสาวที่ไม่มีใครรจู้ ักโดยใชช้ ่ือว่า โฟรเลน แอนนา โอ

แอนนา โออายุ 20 ปีเมื่อบรุเอร์เริ่มรักษาเธอ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2542 และรักษาต่อเนื่อง
ไปจนถึงเดือนมิถุนายนปี พ.ศ. 2524 แอนนา โอ มีอาการคือเป็นอัมพาตที่หลายส่วนของร่างกายมีปัญหา
ในการมองเห็นหูหนวกชั่วคราวไอบ่อย ๆ ปฏิเสธอาหารและน้ำเป็นบางเวลา มีความอยากฆ่าตัวตาย บางครั้ง
ไม่สามารถที่จะพูดภาษาพื้นบ้านของเธอคือภาษาเยอรมัน แต่กลับพูดภาษาอังกฤษได้ และมีอาการประสาท
หลอนอยู่หลายประเภทอาการดังกลา่ วเธอจึงถกู วินจิ ฉัยว่าเปน็ โรคฮสิ ทเี รีย

บรเู ออร์ประหลาดใจมากที่พบว่าแอนนา โอ อาจจะหายช่วั คราวหรือถาวรได้บรเู ออร์พบว่าแอนนา โอ
สามารถอภิปรายถึงสาเหตุของอาการต่าง ๆ ของเธอ เมื่อเธอถูกสะกดจิตหรือเมื่อเธอผ่อนคลายอย่างมาก
ในการรักษาเธออยู่หลายปีและใช้เวลาวันละหลายชั่วโมงนั้น บรูเออร์ใช้กระบวนการรักษาที่เรียกว่า
“ การรักษาโดยการให้พูดระบายออกมา " ซ่ึงบรเู ออรเ์ รียกว่า ( cathansis ) ท่ีจรงิ คำนี้ อรสิ โตเติล เป็นผู้ริเริ่ม
ใชเ้ ปน็ คนแรกโดยใช้เพอื่ พรรณนาถึงการระบายอารมณแ์ ละการเกิดความร้สู ึกทบ่ี ริสุทธ์ิของผู้ชมละครจะเห็นว่า
อาการส่วนใหญ่ของแอนนา โอ ก็มีจุดเริ่มต้นมาจากกลุ่มของประสบการณ์บอบซ้ำทางจิตใจ ซึ่งเกิดข้ึน
ในขณะทเี่ ธอกำลงั พยาบาลบดิ ามารดาของเธอทีก่ ำลงั จะเสียชวี ติ

การรักษาแอนนาโอของบรูเออร์ ทำให้ฟรอยด์เรียนรู้ข้อเท็จจริงที่สำคัญหลายอย่าง บางข้อเท็จจริงท่ี
สำคัญมากที่สุดคือ เธอมีอาการดีขึ้นเมื่อเธอได้แสดงความรู้สึกของเธออย่างเปิดเผย นอกจากนั้น บรูเออร์
ยังสังเกตได้ว่าขณะที่มีการรักษาต่อเนื่อง เธอเริ่มถ่ายทอดความรู้สึกของเธอที่เคยมีต่อบิดาของเธอ
ปรากฏการณ์นี้เป็นการที่คนไข้ตอบสนองต่อผู้รักษาราวกับว่า เขาเป็นบุคคลสำคัญในชีวิตคนใช้จึงเรียกว่า
การถ่ายเทความรู้สึก ( transference )

ในตอนหลังฟรอยด์เห็นว่า ปรากฏการณ์เช่นน้ีเป็นส่วนสำคัญในการดำรงชีวิตที่ทำให้วิธีจิตวิเคราะห์
มีประสิทธิภาพ ในทำนองเดียวกันบรูเออร์ก็พัฒนาอารมณ์ผูกพันกับแอนนา โอ ปรากฏการณ์ที่ผู้รักษา
เกิดอารมณ์ผูกพันกับคนไข้จึงเรียกว่า " การถ่ายเทความรู้สึกของผู้รักษา " ( countertransference )
ความรู้สึกท่ีลึกซึ้งเกิดขึ้นดังกล่าว คงเป็นเพราะการมีเวลาในการสัมพันธ์กันมากความรู้สึกเช่นนี้มีผล

8

เข้าไปรบกวนชีวิตสมรสของบรูเออร์ด้วย เขาจึงหยุดพักการพบกับแอนนา โอ ปรากฏว่าเธอกลับมีอาการ
ฮสี ทีเรียอีก โดยเกิดจนิ ตนาการวา่ เธอมีบตุ รกับบรเู ออร์

อย่างไรกต็ ามการรักษาแอนนา โอ ประสบผลสำเรจ็ ถงึ แม้จะเกดิ ปญั หาต่าง ๆ ข้ึนก็ตาม

การพัฒนาเทคนิค "ความสัมพันธ์อิสระ หลังจากที่ใช้เวลา 6 เดือน เพื่อศึกษากับ ชาร์โคท์ใน ปารสี
ฟรอยด์ได้กลับเวียนนาพร้อมกับบรูเออร์ ฟรอยด์ได้พยายามใช้วิธีสะกดจิตอยู่ระยะหนึ่ง แต่ไม่ประทับใจ
กบั ผลลพั ธ์ ฟรอยดจ์ ึงเลกิ ใชว้ ธิ ีน้ี เพราะเขาพบว่าเขาไมส่ ามารถสะกดจติ คนไขท้ ุกคน

ต่อมาฟรอยด์นยายามใช้เทคนิคที่เรียนรู้มาจากเบอร์นไฮม์ถึงแม้วา่ จะใช้ได้ผลอยู่บา้ ง แต่ก็ต้องเลิกทำ
เพราะเขาเรมิ่ คิดเทคนิค “ ความสัมพนั ธ์อิสระ" ซึง่ ฟรอยด์ถือว่าเปน็ กฎพ้นื ฐานของจติ วเิ คราะห์

บรูเออร์กับฟรอยด์ทำงานร่วมกันในการรักษาคนไข้อีสทีเรียอยู่หลายราย ในปี พ.ศ. 2438 จึงตีพิมพ์
หนังสือชื่อ " Studies on Hysteria ” ซึ่งเป็นหลักฐานที่ถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ
จิตวิเคราะห์ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้หนังสือเล่มนี้จะถูกมองว่าเป็นอนุสาวรีย์ที่สำคัญ และยังพบว่ามีการให้ทัศนะ
ทางลบด้วยปรากฏว่ามียอดขาย 626 เล่ม ภายใน 13 ปี ถึงแม้บรูเออร์กับฟรอยด์จะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก
แตใ่ นไม่ช้าก็ต้องแยกจากกันเพราะฟรอยดย์ ืนกรานวา่ ความขัดแย้งทางเพศเป็นสาเหตุของอีสทเี รยี

หลังจากทฟี่ รอยด์ขัดแยง้ กับบรูเออร์ฟรอยดจ์ ึงหันไปตามทิศทางของตนเพื่อพฒั นาทฤษฎีจิตวิเคราะห์
และทฤษฎีในการบำบัดรักษาโดยใช้เทคนิคจิตวิเคราะห์ ในเดือนกรกฎาคม ฟรอยด์คิดแบบหยั่งรู้ได้ครั้งแรก
เกี่ยวกับธรรมชาติของความฝันในปีเดียวกันนี้เอง ฟรอยด์จึงตั้งโครงการ " จิตวิทยาเชิงวิทยาศาสตร์ "
( scientific Psychology ) ฟรอยด์ทำงานตามโครงการน้ีในช่วงเดียวกับที่มีการเปิดห้องทดลองห้องแรก
ทางจิตวิทยาในเยอรมันคือห้องทดลองของวันท์ ในสมัยน้ันนักจิตวิทยากำลังศึกษาเรื่อง " กระบวนการ
ของจิตสำนึกการรับรู้และการเคลื่อนไหวอวัยวะอย่างง่าย ๆ " ส่วนฟรอยด์พยายามที่จะทำความเข้าใจ
เรื่อง " กระบวนการของจิตไร้สำนึกและพฤติกรรมที่ซับซ้อนอื่น ๆ ขอมนุษย์ " ชีวิตของฟรอยด์ได้อุทิศตนเอง
ให้แก่การปฏิบัติ งานทางด้านจิตวิเคราะห์การเขียนและการพั ฒนาทฤษฎีบุคลิกภาพให้สามารถเผ ยแ พร่
ในรูปของบทความและหนงั สอื วิชาการ

ผลงานของฟรอยด์เป็นที่ประทับใจเพราะให้หลักการที่สอดคล้องกับระเบียบวินัยของสังคมทั่ วโลก
อย่างมากและเป็นแรงดลใจให้ก่อตั้ง " สมาคมจิตวิเคราะห์แห่งชาติ " ขึ้นในปี พ.ศ. 2451 อิทธิพล
ของวิธีการรักษาแบบฟรอยด์จะคงอยู่เป็นเวลานานแล้วฟรอยด์ยังให้อิทธิพลอื่น ๆ อีกที่สำคัญ
ต่อวงการจิตวิทยา แต่ในขณะนั้นสมาชิกของวงการแพทย์ก็ยังเห็นว่าฟรอยด์ไม่ค่อยมีความสำคัญมากนัก

9

ซึ่งก็คลา้ ย ๆ กบั นักจติ วทิ ยาชาวอเมริกันชอื่ สแตนเลย์ฮอลล์ ผซู้ ึ่งไดร้ บั เชิญไปบรรยายที่มหาวิทยาลยั คลา้ คนอก
จากนั่นเอง ในปี พ.ศ. 2466 ฟรอยด์ช่วยเป็นโรคมะเร็งที่ปากเนื่องจากสูบบุหรี่วันละ 20 กล่องในช่วงที่ป่วย
จนถึงปีที่เสียชีวิต ฟรอยด์เข้ารับการผ่าตัดถึง 33 ครั้ง เนื่องจากร่างกายของฟรอยด์ปฏิเสธการรับ
ยาลดความเจ็บปวดจึงถึงแก่ความตาย ทั้ง ๆ ที่ใจของฟรอยด์ยังคงกระปรี้กระเปร่าและได้ทำงานเกี่ยวกับ
ทฤษฎขี องตนจนถงึ วาระสดุ ท้ายของชวี ิต

ในช่วงสุดท้ายของชีวิตฟรอยด์ มีเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมืองเกิดขึ้นพรรคนาซีกลับมีอำนาจ
ในปี พ.ศ. 2476 พวกนี้เอาหนังสือของฟรอยด์ไปเผาที่กรุงเบอร์ลิน เพราะการเน้นชีวิตทางเพศ
ฟรอยด์ยืนกรานที่จะอยู่เวียนนาแม้ว่าจะถูกบุกรุกในปี พ.ศ. 2481 ในที่สุดบุตรสาวของฟรอยด์คือแอนนา
ถูกจับกุมและครอบครัวของเธอก็ถูกโจมตีโดยแก๊งนาซี ฟรอยด์จึงหนีไปอยู่ที่อังกฤษ หลังจากที่รวบรวมเงิน
ได้ก้อนหนึ่งจากเพื่อน ๆ และผู้ที่นิยมยกย่องผลงานของฟรอยด์ ต่อมาน้องสาวของฟรอยด์ 4 คน ก็ถูกฆ่า
โดยพวกนาซีที่ออสเตรีย ท้ายที่สุดฟรอยด์ได้ถึงแก่กรรมที่กรุงลอนดอนในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2482
รวมอายุ 83 ปี

ผลงานสำคัญของฟรอยด์

1. ให้ความสำคญั ของความกังวลใจ (Anxiety) ว่าเปน็ ส่งิ กำหนดพฤติกรรมของคน

2. ความขดั แย้ง (Conflict) ในวยั เด็กจะมีผลระยะยาวตลอดชีวติ

3. คนใชเ้ คร่ืองมือทางใจปกป้องตัวเองจากความกงั วลใจ

4. ความคิดของฟรอยด์มีอทิ ธพิ ลอย่างลึกซึ้งต่อด้านศาสนาปรัชญาการศึกษาวรรณคดีศิลปะและด้าน
สังคมศาสตรท์ ั้งหมด

5. ความคดิ ของฟรอยด์ทา้ ทายมากแนวคิดในทฤษฎีเก่ยี วข้องกบั คนทง้ั กวา้ งและลึกทงั้ ยงั เกย่ี วขอ้ งกับ
มนษุ ย์ในโลกยุคปจั จบุ นั Chiang Mai

10

การทำงานของจติ มนุษย์

11

การทำงานของจติ มนุษย์

ชิกมันด์ ฟรอยด์ ( Sigmund Freud ) ได้แบ่งการทำงานของจิตมนุษย์ออกเป็น 3 ระดับ
ไดแ้ ก่ จิตสำนกึ จติ ก่ึงสำนึก และจติ ไร้สำนึก

1. จติ สำนึก ( Conscious Mind ) เปน็ สภาวะท่บี คุ คลรับรู้ตามประสาทสัมผัสทั้งห้า เปน็ จติ ทบ่ี ุคคล
รู้ตวั ตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไร และคิดอย่างไร เปน็ การรับร้โู ดยทั่ไปของมนุษย์ ท่คี วบคุมการกระทำส่วนใหญ่
ให้อยู่ในระดับรู้ตัว (Awareness) และเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกมาโดยมีเจตนาและมีจุดมุ่งหมาย
จ ิ ต ส ำ น ึ ก เ ป ็ น ส ่ ว น ท ี ่ ท ำ ใ ห ้ บ ุ ค ค ล ม ี พ ฤ ต ิ ก ร ร ม ส อ ด ค ล ้ อ ง ก ั บ ห ล ั ก ค ว า ม เ ป ็ น จ ร ิ ง ใ น ส ถ า น ก า ร ณ ์ ต่ า งๆ
โดยอาศัยหลกั เหตุและผลรวมทั้งศลี ธรรมที่ตนเองเชอ่ื ถือเพื่อเปน็ แนวทางในการแสดงพฤติกรรม

2. จิตกึ่งสำนึก ( Preconsicous Mind ) เป็นจิตระดับทีร่ ู้ตัว เพียงแต่ควบคุมไม่ใหแ้ สดงพฤติกรรม
ออกมา เมื่อใดก็ตามที่ต้องการแสดงออก ก็สามารถเปิดเผยได้ในทันที ตัวอย่างเช่น เบญ มีน้องสาว คือ เอิน
ซึ่งกำลังตกหลุมรัก แบม แต่ เอิน เกรงว่ามารดาจะทราบความจริงจึงบอก เบญ มิให้เล่าให้มารดาฟัง เบญ
เก็บเรื่องนี้ไว้เป็น ความลับ มิได้แพร่งพรายให้ผู้ใดทราบโดยเฉพาะมารดา แต่ในขณะเดียวกันก็ทราบอยู่
ตลอดเวลาวา่ เอิน รักนาย แบม ถ้าเขาตอ้ งการเปิดเผย เขาก็จะบอกไดท้ ันที เป็นต้น

3. จิตไร้สำนึก ( Unconscious Mind ) เป็นจิตที่ฟรอยด์เชื่อว่าทำให้เกิดกลไกป้องกันตนเอง
เป็นส่วนที่มีบทบาทในการแสดงพฤติกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะพฤติกรรมบางอย่างที่บุคคลแสดงออก
โดยไม่รู้ตัว จิตไร้สำนึกทำหน้าที่กระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมไปตามหลักแห่งความพึงพอใจของตน
การทำงานของระดับจติ ไร้สำนึเกิดจกความปรารถนา หรือความต้องการของบุคคลท่ีเกิดขนึ้ ในวัยเด็ก และเป็น
ความต้องการที่ไม่ได้รับการยอมรับ เช่น ถูกห้าม หรือถูกลงโทษ จะถูกเก็บกดไว้ในจิตไว้สำนึก ซึ่งบางครั้ง
สง่ิ ท่ีถูกเกบ็ กดไวจ้ ะแสดงออกมาในรูปของความฝนั การละเมอ หรือการพูดพลัง้ ปาก

12
จติ กึง่ สำนึก

ฟรอยด์ เปรียบเทียบจิต 3 ระดับเหมือนภูเขาน้ำแข็งในมหาสมุทร โดยยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำ
คอื จติ สำนกึ ภูเขาที่อยู่ผิวน้ำคือ จิตก่อนสำนึก และภเู ขาท่ีอยู่ใต้มหาสมุทรคอื จติ ไรส้ ำนกึ ดงั ในรปู ขา้ งตน้

13

โครงสร้างบคุ ลกิ ภาพ

14

โครงสร้างบคุ ลกิ ภาพ

นอกจากจะมีทฤษฎีการทำงานของจิตมนุษย์แล้วนั้น ของฟรอยด์เชื่อว่าพฤติกรรมต่างๆ ของบุคคล
ที่แสดงออกมาเกี่ยวข้องกับการทำงานของจิต 3 ส่วน ซึ่งถือเป็นโครงสร้างหลักของบุคลิกภาพในบุคคล
เพราะถ้าการทำงานของจิต 3 ส่วนนี้ สามารถทำงานประสานหรือประนีประนอมกันได้อย่างราบรื่น
พฤติกรรมของบุคคลจะแสดงออกมาแบบปกติและเป็นผู้มีสุขภาพจิตดี แต่ถ้าเกิดความขัดแย้งกัน จะมีผล
ทำให้เกิดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ก่อให้เกิดปัญหาด้านบุคลิกภาพและการปรับตัว ซึ่งโครงสร้างบุคลิกภาพ
3 ส่วนน้ี ได้แก่ Id ( อดิ ) Eg๐ ( อโี ก้ ) และ Superego ( ชเู ปอรอ์ ีโก้ )

1. ld ( อดิ ) เปน็ แรงผลักดันของจิตใจหรือแรงขับทางสัญชาตญาณ ( nstinct Drive ) ที่ติดตัวมาแต่
กำเนิด กระตุ้นให้มนุษย์ตอบสนองตามความต้องการ และความพอใจ ในขณะเดียวกัน อิดจะทำหน้าท่ี
ลดความเครียดที่เกิดขึ้น อิด จะยึดหลักของความพอใจ ( Pleasure Principles) และเป็นไป
เพื่อตอบสนองตามความต้องการโดยไม่คำนึงถึงเหตุผล ความถูกต้องและความเหมาะสมตามความเป็นจริง

15

การทำงานของอิดจะเป็นไปในลักษณะการใช้ความคิดในขั้นปรมภูมิ ( Pimay Process of Thinking ) เช่น
เด็กหวิ ก็จะรอ้ งไหท้ ันที เพอื่ ตอบสนองความต้องการ เม่ือบคุ คลเติบโตข้ึน อิดจะถูกเก็บลงส่จู ติ ไวส้ ำนกึ

สรุป คือ อิด (Id) คือจิตส่วนที่ผลักดันให้บุคคลแสดงพฤติกรรมตามความต้องการของตน
โดยไมค่ ำนงึ ถงึ เหตผุ ลใด ๆ

2. Ego ( อีโก้ ) เป็นพลังที่พัฒนาจากการเรียนรู้โลกตามความเป็นจริง ตั้งแต่วัยเด็กเพื่อสนอง

ความต้องการของอิด โดยการนำ Super ego ( ซูเปอร์อีโก้ ) ให้เข้ามามีส่วนร่วมพิจารณาในการตอบสนอง

ความต้องการ พลงั นจี้ ะรบั ร้โู ลกตามความเป็นจริงแสดงใหเ้ ห็นว่า Ego คอื หลกั แห่งความเป็นจริง (

Reality Principle ) ดังนั้น จึงพบว่าอีโก้คือตัวบริหารจิตให้เกิดความสมดุล โดยอีโก้จะอยู่ในส่วน

ของจิตสำนึก

จากคำกล่าวนี้ อีโก้จึงเปรียบเสมือนตัวที่เปีนเหตุเปีนผลชี้นำให้บุคคลมาสู่สภาพการรับรู้ที่เป็นจริง
อิดกับอีโก้มีความแตกต่างกันตรงที่ อิดจะรับรู้ความจริงที่ตอบสนองความต้องการเพียงอย่างเดียว
แต่การทำงานของอีกจะต้องข้ึนอยู่กับข้อเท็จจริงอย่างมีเหตุผล ตัวอย่างเช่น คนที่กระหายน้ำ เมื่อพบแก้วน้ำ
ท่มี นี ำ้ อยู่เต็ม ก็จะยกด่ืมทนั ทตี ามแรผลักดันของอิดเพื่อลดความกระหายในขณะนน้ั แตถ่ า้ เขาไม่ยกแก้วน้ำดื่ม
ในทันที เนื่องจากคิดว่าน้ำนั้นอาจสกปรกและมีเชื้อโรค นั่นคือการทำงานของอีโก้ที่มีความคิดวิเคราะห์
อย่างมเี หตผุ ลที่เป็นไปตามหลกั ของความเป็นจริง

3. Superego ( ซูเปอร์อีโก้ ) เป็นพลังทางจิตที่ก่อตัวขึ้นจากการเรียนรู้ระเบียบ กฎเกณฑ์ รวมท้ัง
ศีลธรรมของสังคม เป็นส่วนที่เตือนให้บุคคลว่าสิ่งใดถูก และสิ่งใดผิด ซึ่งถือได้ว่าชูเปอร์อีโก้ คือส่วนของ
คุณธรรม และจริยธรรม ( Mora ) ของแต่ละบุคคล และในแต่ละบุคคลจะมีพลังในส่วนของซูเปอร์อีโก้
แตกต่างกัน ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับการอบรมเลี้ยงดูและการขัดเกลาทางสังคมที่บุคคลนั้นเติบโตมา ดังนั้น ซูเปอร์อีโก้
จึงมอี ยู่ทงั้ ในจติ สำนึก จิตก่อนสำนกึ และจติ ไรส้ ำนึก

ฟรอยด์เชื่อว่าการที่บุคคลมีพฤติกรรมต่างกัน ก็เนื่องจากมีสัดส่วนขององค์ประกอบของจิตต่างกัน
เพอื่ ให้เชา้ ใจซัดเจนข้นึ จะขอยกตวั อย่างพฤตกิ รมท่ีเกิดจากอิด อโี คและซูเปอรอ์ ีโก้ ดงั น้ี

“ มอสเป็นพนักงานขายของในห้างสรรพสินค้า วันหนึ่งเขาเห็นหญิงสาวท่ีมาเดินซื้อของในห้าง
ทำกระเป้าสตางค์ตก เขาเก็บกระเป๋าสตางค์ใบนั้นมาเปิดดู พบว่ามีธบัตรใบละ 1,000 บาท บรรจุอยู่แน่น
กระเป๋า เขารู้สึกอยากได้เงินทัง้ หมดนั้น ถ้ามอสทำตามความต้องการนีท้ นั ที โดยหยิบเงินทั้งหมดมาใสกระเป๋า
ของตนเอง พฤติกรรมนี้เกิดจกแรผลักดันของอิด แต่ถ้าเขาตรึกตรองว่าขณะที่เขาหยิบเงินมาใส่กระเป๋า

16

ตนเองนั้นเกิดมีคนเห็น เขาอาจเดือดร้อน เพราะจะถูกกล่าวหาว่าเป็น ขโมย เขาจึงรอสักครู่ให้แน่ใจว่าไม่มี
คนเหน็ จริง ๆ จงึ หยบิ เงนิ มาใส่กระเป๋าตนเอง พฤตกิ รรมนีจ้ ดั เป็นแรงผลกั ดันของอีโก้ หรือถ้ามอสเห็นหญิงสาว
ทำกระเป้าสตางค์ตกโดยไม่รู้ตัว เขารีบเก็บแล้วนำไปส่งคืนหญิงสาวทันที พฤติกรรมนี้เป็นแรงผลักดัน
ของซูเปอรอ์ โี ก้

อิดเป็นความต้องการตามธรรมชาติของมนุษย์ อีโก้เป็นแรงผลักดันตามสัญชาตญาณที่มนุษย์กระทำ
เ พ ื ่ อ ใ ห ้ ต น เ อ ง ป ล อ ด ภ ั ย ไ ม ่ เ ด ื อ ด ร ้ อ น เ ท ่ ที่ เ ข า จ ะ ม ี ส ต ิ แ ล ะ ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร ค ิ ด ห า เ ห ต ุ ผ ล ไ ด้
สว่ นซูเปอรอ์ โี ก้พฒั นาขึ้นมาจากการอบรมเล้ียงดแู ละการเรยี นรู้

แต่อย่างไรก็ตาม การทำงานของจิต 3 ส่วน ได้แก่ อิด อีโก้ ซูเปอร์อีโก้ ถ้าสามารถทำงานประสานกัน
เป็นอย่างดี บุคคลนั้นก็จะมีสุขภาพจิตดี มีความสบายใจ แต่ถ้าการทำงานของจิต 3 ส่วนนี้ทำงานขัดแย้งกัน
และอีโก้สามารถทำหน้าที่ประนีประนอมอิดและชูเปอร์อีโก้ ให้แก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม บุคคลนั้นจะมี
ปัญหาในการปรับตัว และก่อให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวลความคับข้องใจ ความขัดแย้งในใจ อีโก้
จึงต้องแก้ปัญหาแบบบิดเบือนจากความเป็นจริงและไม่ชอบด้วยเหตุผล ด้วยเหตุนี้อีโก้จึงต้องสร้างเกราะ
ป้องกันตนเอง โดยการใช้กลไกป้องกันตนเองในการปรับตัว เพื่อช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวล
ความดับข้องใจ ความขดั แยง้ ในใจ ในขณะน้ัน ซ่งึ การใชก้ ลไกปอ้ งกนั

1. เพื่อคงไว้หรือเพิ่มพูนความภาคภูมิใจของตนเองโดยกลไกป้องกันตนเองจะทำให้บุคคล
รูส้ กึ ว่าตนมคี ุณค่า ไม่ผดิ ไม่บาป และไม่ไดเ้ ปน็ ผลู้ รา้ งปญั หา

2. เพื่อลดความวิตกกังวล ซึ่งมีกลไกป้องกันตนเองหลายชนิดเมื่อใช้แล้วทำให้ความรู้สึก
วติ กกงั วลลตลงหรือหายไป และทำให้ชวี ิตประจำวันมีความสขุ มากกวา่ เดิม

3. เป็นวิธีแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า โดยนำกลไกป้องกันตนเองมาใช้ เพื่อทดแทน
การแก้ปัญหาโดยตรง ทำให้เกิดความรู้สึกสบายใจขึ้น หรือผ่อนคลายความเครียดลงได้ แม้ปัญหา
ยงั คงอย่หู รือยงั แก้ไขใหห้ มดไปไม่ได้ก็ตาม

4. ใชเ้ ป็นเกราะกำบงั ปอ้ งกันอีโก้ จากอันตรายหรอื สิ่งท่ีจะมาคุกคาม ซึ่งไดแ้ ก่ อดิ ซูเปอร์อีโก้
และโลกภายนอก ท่ีจะมาทำใหอ้ โี ก้เสยี ความมนั่ คง ออ่ นแอลง หรือทำให้เกดิ ความทุกขใ์ จ

17

พฒั นาการทางบคุ ลกิ ภาพ

18

พัฒนาการทางบุคลิกภาพ

พฒั นาการทางบุคลิกภาพ ( psychosexual stages of development )

ฟรอยด์ เชื่อในความสำคัญของการพัฒนาการของพลังทางเพศ ( sexuality ) และกล่าวว่า
พลังทางเพศของมนุษย์ จะพัฒนไปตามลำดับของวัย ซึ่งถ้าพัฒนาการนั้นเป็นไปอย่างเหมาะสมก็จะทำให้
มีบุคลกิ ภาพท่ีปกติ แตถ่ า้ เกิดการหยดุ ชะงกั ( fxation ) ในช้นั ใดขนั้ หนึง่ ก็จะสง่ ผลต่อบคุ ลิกภาพ ทำใหเ้ ป็นโรค
จติ โรคประสาทได้ ฟรอยดไ์ ด้แบง่ พฒั นาการของบุคลิกภาพเปน็ 5 ขนั้ ดังน้ี

1) ขั้นปาก ( Oral Stage ) ( 0 - 18 เดือน ) ฟรอยด์เรียกขั้นนี้ว่า เป็นขั้นออรอล เพราะความพึง
พอใจอย่ทู ีช่ ่องปาก เริ่มตงั้ แตเ่ กดิ เดก็ ออ่ นจนถึงอายุราว ๆ 2 ปี หรือวยั ทารก เป็นวยั ทคี่ วามพึงพอใจ เกิดจาก
การดูดนมแม่ นมขวด และดูดนิ้ว เป็นต้น ในวัยนี้ความคับข้องใจ จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า " การติดตรึง
อยู่กับท่ี " ( Fixation ) ได้และมีปัญหาทางด้านบุคลิกภาพ เรียกว่า " Oral Personality " มีลักษณะ
ที่ชอบพูดมาก และมักจะติดบุหรี่ เหล้า และชอบดูด หรือกัดอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่มีความเครียด
บางครั้งจะแสดงด้วยการดูดนิ้ว หรือดินสอ ปากกาู้มีลักษณะแบบนี้อาจจะชอบพูดจาถากถาง เหน็บแนม
เสยี ดสผี ูอ้ ่ืน

2) ขั้นทวารหนัก ( Anal Stage ) ( 18 เดือน – 3 ปี ) ฟรอยด์กล่าวว่า เด็กวัยนี้ได้รับ
ความพึงพอใจทางทวารหนัก คือ จากการขับถ่ายอุจจาระ และในระยะซึ่งเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง
และความคับข้องใจของเด็กวัยนี้ เพราะพ่อแม่มักจะหัดให้เด็กใช้กระโถน และต้องขับถ่ ายเป็นเวลา
เนื่องจากเจ้าของความต้องการของผู้ฝึก และความต้องการของเด็ก เกี่ยวกับการขับถ่ายไม่ตรงกันของเด็ก
คือความอยากที่จะถ่ายเมื่อไรก็ควรจะทำได้ เด็กอยากจะขับถ่ายเวลาที่มีความต้องการ กับการที่พ่อแม่
หัดให้ขับถ่ายเป็นเวลา บางทีเกิดความขัดแย้งมาก อาจจะทำให้เกิด Fixation และทำให้เกิดมีบุคลิกภาพน้ี
เรียกว่า " Anal Personality " ผู้ที่มีพฤติกรรมแบบนี้ อาจจะเป็นคนที่ชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อย
เป็นพิเศษ และค่อนข้างประหยัด มัธยัสถ์ หรืออาจมีบุคลิกภาพตรงข้าม คืออาจจะเป็นคนที่ใจกว้าง
และไม่มีความเป็นระเบียบ เหน็ ไดจ้ ากห้องทำงานส่วนตัวจะรกไมเ่ ปน็ ระเบียบ

3) ขั้นอวัยวะเพศ ( Phallic Stage ) ( 3 - 5 ปี ) ความพึงพอใจของเด็กวัยนี้อยู่อวัยวะสืบพันธ์ุ
เด็กมักจะจับต้องลูกคลำอวัยวะเพศ ระยะนี้ ฟรอยด์กล่าวว่า เด็กผู้ชายมีปมเอ็ดดิปุส ( Oedipus Complex )
ฟรอยด์อธิบายการเกิดของปมเอ็ดดิปุสว่า เด็กผู้ชายติดแม่และรักแม่มาก และต้องการที่จะเป็นเจ้าของแม่

19

แต่เพียงคนเดียว และต้องการร่วมรักกับแม่ แต่ขณะเดียวกันก็ทราบว่าแม่และพ่อรักกัน และก็รู้ดีว่า
ตนด้อยกว่าพ่อทุกอย่าง ทั้งด้านกำลังและอำนาจ ประกอบกับความรักพ่อ และกลัวพ่อ ฉะนั้นเด็กก็พยายาม
ที่จะเก็บกดความรู้สึก ที่อยากเป็นเจ้าของแม่แต่คนเดียว และพยายามทำตัวให้เหมือนกับพ่อทุกอย่าง
ฟรอยด์ เรียกกระบวนนี้ว่า " Resolution of Oedipal Complex " เป็นกระบวนการที่เด็กชาย
เลียนแบบพ่อ ทำตัวให้เหมือน " ผู้ชาย " ส่วนเด็กหญิงมีปมอีเล็คตรา ( Electra Complex ) ซึ่งฟรอยด์
ก็ได้ความคิดมาจากนิยายกรีก เหมือนกับปมเอ็ดดิปุส ฟรอยด์อธิบายว่า แรกทีเดียวเด็กหญิงก็รักแม่มาก
เหมือนเด็กชาย แต่เมื่อโตขึ้นพบว่าตนเองไม่มีอวัยวะเพศเหมือนเด็กชาย และมีความรู้สึกอิจฉาผู้ที่มี
อวัยวะเพศชาย แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ยอมรับ และโกรธแม่มาก ถอนความรักจากแม่มารักพ่อ ที่มีอวัยวะเพศ
ที่ตนปรารถนาจะมี แต่ก็รู้ว่าแม่และพ่อรักกัน เด็กหญิงจึงแก้ ปัญหาด้วยการใช้กลไกป้องกันตน
โดยเก็บความรู้สึกความต้องการของตน ( Represtion ) และเปลี่ยนจากการโกรธเกลียดแม่ มาเป็นรักแม่
( Reaction Formation ) ขณะเดียวกันก็อยากทำตัวให้เหมือนแม่ จึงเลียนแบบ สรุปได้ว่าเด็กหญิง
มีความรักพ่อ แต่ก็รู้ว่าแย่งพ่อมาจากแม่ไม่ได้ จึงเลียนแบบแม่ คือ ถือแม่เป็นแบบฉบับ หรือต้นแบบ
ของพฤติกรรมของ "ผหู้ ญิง"

4) ขั้นแฝง (Latency Stage) เด็กวัยนี้อยู่ระหว่างอายุ 6-12 ปี เป็นระยะที่ฟรอยด์กล่าวว่า
เด็กเก็บกดความต้องการทางเพศ หรือความต้องการทางเพศสงบลง (Quiescence Period) เด็กชายมักเล่น
หรอื จบั กล่มุ กับเดก็ ชาย ส่วนเดก็ หญงิ กจ็ ะเลน่ หรือจบั กลมุ่ กับเดก็ หญงิ

5) ขั้นสนใจเพศตรงข้าม (Genital Stage) วัยนี้เป็นวัยรุ่นเริ่มตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป
จะมีความตอ้ งการทางเพศ วัยนี้จะมีความสนใจในเพศตรงข้าม ซึ่งเปน็ ระยะเริม่ ตน้ ของวยั ผใู้ หญ่

องค์ประกอบท่มี ีส่วนพฒั นาการทางบุคลกิ ภาพมีหลายอยา่ งซ่ึงฟรอยด์ได้กล่าวไว้ดังต่อไปน้ี
1. วฒุ ภิ าวะ ซึง่ หมายถึงขัน้ พัฒนาการตามวัย
2. ความคบั ขอ้ งใจ ที่เกดิ จากความสมหวังไม่สมหวงั เมื่อมีปฏสิ มั พันธ์กับสง่ิ แวดล้อมภายนอก
3. ความคบั ข้องใจ เนือ่ งมาจากความขดั แย้งภายใน
4. ความไม่พร้อมของตนเอง ทั้งทางด้านร่างกาย ดา้ นเชาวน์ปัญญา และการขาดประสบการณ์
5. ความวติ กกงั วล เน่ืองมาจากความกลัว หรอื ความไม่กลา้ ของตนเอง

20

ฟรอยด์เชื่อว่า ความคับข้องใจ เป็นพื้นฐานสำหรับพัฒนาการทางบุคลิกภาพ แต่ต้องมีจำนวน
พอเหมาะที่จะช่วยพัฒนา Ego แต่ถ้ามีความคับข้องใจมากเกินไป ก็จะเกิดมีปัญหา และทำให้เกิดกลไก
ในการป้องกันตัว ( Defense Mechanism ) ซึ่งเป็นวิธีการปรับตัวในระดับจิตไร้สำนึกกลไกในการป้องกันตัว
มกั จะเปน็ ส่งิ ทค่ี นท่วั ไปนำไปใชใ้ นชีวติ ประจำวันของบุคคลปกติทุกวัย ตง้ั แต่อนุบาลจนถึงวยั ชรา

กลไกการป้องกนั ตนเอง

22

กลไกการปอ้ งกันตนเอง

กลไกการป้องกันตนเอง (ego-defense mechanisms)

กลไกการป้องกันตัว เป็นกระบวนการที่เกิดจากการเรียนรู้ เกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึก เมื่อบุคคล
เกิดความวิตกกังวล ก็จะนำกลไกการป้องกันตัวที่ตนเคยใช้นำมาใช้ เพื่อช่วยให้หลุดพันจากความวิตกกังวล
ไปชั่วขณะ ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น เป็นการลดความตึงเครียดทางจิต ลดความคับข้องใจ ความขัดแย้งในใจ
เปน็ การลดความทกุ ขช์ ั่วขณะ ประกอบดว้ ย

1. การเก็บกด ( repression ) หมายถึง การเก็บกดความคิด ความรู้สึก ความต้องการ
หรือความกลัวที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวล ความปวดร้าวใจอย่างรุนแรงที่ตนยอมรับไม่ได้ ไว้ในจิตใต้สำนึก
เช่น การลืมประสบการณท์ ่ีเจบ็ ปวดจากการถกู ทำร้ายอยา่ งรุนแรง

2. การปฏิเสธ ( denial ) หมายถึง การไม่ยอมรับรับรู้อารมณ์ ความคิด แรงขับพฤติกรรม หรือ
สถานการณบ์ างอย่างที่ก่อใหเ้ กิดความกระทบกระเทือนใจอย่างรนุ แรงบุคคลจะปฏิเสธไม่ยอมรับว่าส่ิงเหล่าน้ัน
ได้เกิดขึ้นจริงและทำเหมือนตนเองไม่ได้รับความกระทบกระเทือนจากเหตุการณ์นั้น ๆ เช่น เด็กกำพร้าพ่อ
ไม่ยอมรบั วา่ ตนขาดรัก แตก่ ลบั พูดว่า ตนไม่เคยมีความตอ้ งการความรกั จากใคร

3. การแสดงออกในทางตรงข้าม (reaction formation) หมายถึง การแสดงพฤติกรรมที่ตรงข้าม
กับแรงขับที่อยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจ เนื่องจากทราบว่า แรงขับดังกล่าวไม่เป็นท่ียอมรับของบุคคลอ่ืน
เช่น เจ้านายที่อิฉาลูกน้องที่เก่งกว่าตน แต่ไม่กล้ายอมรับความรู้สึกของตน เพราะรู้วสัดมไทยไม่ยอมรับ
ก็จะแสดงออกโดยการชมลกู นอ้ งตลอดเวลา ในขณะทตี่ นเองก็ไม่มีความสขุ ที่มลี ูกนอ้ งทำงานอยูด่ ้วย

4. การโทษผู้อื่น (projection) หมายถึง การย้ายความผิด ความไม่ดีงามของตนเอง
หรือความรับผิดชอบจากผลการคิด และการกระทำที่ไม่เหมาะสมของตนไปสู่บุคคลอื่น ท้ังน้ี
เพื่อลดความตึงเครียดให้กับตนเอง พฤติกรรมแบบนี้ตรงกับสุภาษิตไทยว่า " รำไม่ดีโทษป่ีโทษกลอง "
เชน่ นกั เรียนแขง่ กฬี าแพ้ ก็โทษวา่ กลองเชียร์ไมด่ ี

5. การย้ายที่ (displacement) หมายถึง การเปลี่ยนที่ของอารมณ์ที่มีต่อบุคคลหรือสิ่งของใด
สิ่งของหนึ่งไปสู่บุคคลอื่น หรือสิ่งของอื่น เนื่องจากตนไม่สามารถแสดงอารมณ์ต่อบุคคลนั้นหรือสิ่งของนั้น
โดยตรง เช่น นักเรียนถกู ครดู แต่ทำรา้ ยครูไม่ได้ เดินกลบั บา้ นพบสนุ ขั ก็ใช้ก้อนหินปาสุนขั แทน

23

6. การทดแทน (sublimation) จากแนวคดิ ของกลุ่มฟรอยด์ เชือ่ ว่า หลายๆ พฤติกรรมทม่ี ผี ลมาจาก
แรงขับทางเพศ และพลังของความก้าวร้าวไปสู่พฤติกรรมท่ีสร้างสรรค์ คนเราต้องการให้สังคมยอมรับ
และชมเชยในบาดรั้ง ยกตัวอย่าง เช่น ความก้าวร้าวสามารถ เปลี่ยนบุคคลให้เป็นนักกีฬา ดังนั้น
บุคคลจึงพยายามหาหนทางที่จะแสดงความก้าวร้าวในทางที่สังคมยอมรับคล้ายกับต้องการคำชมเชย
และยกยอ่ ง

7. การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง (rationalization) หมายถึง กลวิธีการทำที่หาเหตุผลที่ดี
เพื่อรับรองพฤติกรมที่ไม่ดีของตนเอง การหาเหตุผลข้าข้างตนเองจะช่วยให้สมเหตุสมผลเฉพาะพฤติกรรม
และช่วยบรรเทาสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด เช่น เมื่อบุคคลไม่ได้ตำแหน่งตามที่สมัครงานไว้ พวกเขาก็คิดหา
เหตุผลว่า ทำไมเขาจึงไม่ประสบความสำเร็จและบางครั้งการพิจรณาไตร่ตรอง ทำให้เกิดความเชื่อว่า จริง ๆ
แล้วเขาไม่ไดต้ อ้ งการงานในตำแหน่งน้ันเลย

8. การถดถอย (regression) หมายถึง พฤตกิ รรมถดถอดไปสพู่ ฤติกรรมในระยะแรก ๆ ของชวี ติ เช่น
การร้องไห้ การกระทืบเท้า การอ้อน การปัสสาวะรดที่นอน ฯลฯ ซึ่งเป็นพฤติกรมที่ไม่เหมาะสม
กับอายุจริงของผู้นั้น เป็นกลไกที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่ต้องการประสบสิ่งที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล
และบคุ คลน้นั ไมส่ ามารถขจดั ความวติ กกังวลทเ่ี กิดขึน้ ได้

9. การเลียนแบบ (identification) หมายถึง การรับเอาลักษณะเด่นของบุคคลอื่นมาเป็นของตน
ทั้งนี้เพื่อให้ตนเป็นที่ยอมรับ และเพิ่มคุณค่าให้กับตนเอง ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น และสบายใจ
เช่น นักศึกษาที่ชื่นชอบในบุคลิกภาพของอาจารย์ก็พยายามลอกเลียนแบบอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย
การพูดจา หรือกิรยิ าท่าทาง

กลไกการป้องกันตนเองเป็นหนทางในการจัดการกับกระบวนการของจิตใต้สำนึกที่ได้รับใน วัยเด็ก
การใชก้ ลไกการป้องกันตวั เองจะข้นึ อยู่กบั ช้นั พฒั นาการทางบคุ ลิกภาพ

24

การนำไปประยกุ ต์ใชใ้ นการจัดการเรยี นการสอน
ใหเ้ กิดการเรียนรู้แก่ผเู้ รียนอยา่ งเหมาะสม

25

การนำไปประยกุ ตใ์ ช้ในการจัดการเรียนการสอน
ให้เกิดการเรียนรแู้ ก่ผู้เรยี นอยา่ งเหมาะสม

การนำไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการจดั การเรียนการสอนให้เกดิ การเรียนรู้แกผ่ ู้เรียนอยา่ งเหมาะสม

พัฒนาการมนุษย์ตามแนวคิดของฟรอยด์เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เด็กมีการพัฒนาการ
ด้านบุคลิกภาพที่เหมาะสมได้ เพราะหากเด็กผ่านแต่ละวัยมาโดยไม่มีปัญหา ไม่เกิดการชะงักที่วัยใดวัยหนึ่ง
ก็จะโตขึ้นมีบุคลิกภาพที่ปกติ แต่ถ้าเด็กมีปัญหาในแต่ละขั้นของพัฒนาการก็จะมีบุคลิกภาพผิดปกติ เช่น
เด็กเกิดการชะงักที่ขั้นปาก ก็จะส่งผลต่อเด็กเมื่อโตขึ้น เช่น สูบบุหรี่ กัดนิ้ว ดูดนิ้ว รับประทานมาก เป็นต้น
เราจงึ ควรมีการเลี้ยงดทู ่ีเหมาะสมแต่ละช่วงวัย

ในขั้นอวัยวะเพศ เด็กจะมีการแบ่งแยกบุคลกิ ภาพทางเพศในข้ันนี้ เด็กเริ่มมีการสนในและเรียนรูเ้ รือ่ ง
ของแตกต่างดา้ นเพศ มีความสนใจสอบถามหรือเลียนแบบพฤตกิ รรม เด็กผู้ชายจะเลยี นแบบพฤติกรรมของพ่อ
เด็กผู้หญิงจะเรียนแบบพฤติกรรมของแม่ เพราะฉะนั้นต้องให้ความรู้ด้านเพศที่ถูกต้องแก่เด็ก หากเด็กไม่ได้
รับความรู้ที่ถูกต้อง หรือขาดต้นแบบที่ดีอาจทำให้เด็กเกิดการสับสนทางเพศและโตขึ้นอาจจะเบี่ยงเบน
ทางเพศได้

ครูผู้สอนสามารถนำทฤษฎีมาประยุกต์ใช้โดยการให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศที่ถูกต้อง เริ่มมีการสอน
ในเรื่องของบทบาทในสังคมที่ถูกต้อง และในขั้นของเพศครูก็ควรหากิจกรรมเสริมต่างๆ ให้นักเรียนได้ทำ เช่น
กิจกรรมกีฬา กิจกรรมดนตรี เป็นต้น เพอื่ ไม่ใหเ้ ด็กหมกมุน่ แตใ่ นเรือ่ งเพศ

26

เอกสารอ้างอิง

Bornstein, R.F. (2009). Heisenberg, Kandinsky, and the heteromethod
convergence problem: Lessons from within and beyond psychology.
Journal of Personality Assessment, 91, 1-8.

Corey, Gerald. (2012). Theory & practice of group counseling. (8'h ed.).
Belmont, CA: Brooks/Cole.

Mishne, J. M. (1993). The evolution and application of clinical theory:
Perspectives from four psychologies. New York: The Free Press.

Sharf, Richard S. (2012). Theories of Psychotherapy and Counseling
Concepts and Cases. (5 ). Belmont, California: Wadsworth /Thomson
Learning.

Siddharth Nayak. (2016). What are different levels of consciousness and
thinking?. Retrieved March 1, 2017, from https://www.quora.com/
What-are-different-levels-of-consciousness-and-thinking.

Wurmser, L. (2009). The Superego as herald of resentment. Psychoanalytic
Inquiry, 29(5), 386-410




Click to View FlipBook Version