The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พลวัตนิเวศวิทยาสังคมของชาวประมง-ชุมชนสระบัว-ตำบลท่าศาลา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by a613728783, 2021-08-01 02:10:24

พลวัตนิเวศวิทยาสังคมของชาวประมง-ชุมชนสระบัว-ตำบลท่าศาลา

พลวัตนิเวศวิทยาสังคมของชาวประมง-ชุมชนสระบัว-ตำบลท่าศาลา

Keywords: รายงานวิจัย

พลวัตนเิ วศวิทยาสังคมของชาวประมง ชมุ ชนสระบวั ตำบลทา่ ศาลา
อำเภอทา่ ศาลา จังหวดั นครศรีธรรมราช

กติ ตมิ า แสงตาขุน
นภสร คำวนุ่
สุชานาถ ชนะพลชยั
สภุ าภรณ์ บุญชศู รี

รายงานวิจัยฉบับน้เี ป็นส่วนหน่ึงของรายวิชาสมั มนาสงั คมศึกษา
หลักสูตรครุศาสตรบณั ฑิต สาขาวชิ าสงั คมศกึ ษา
มหาวิทยาลัยราชภฏั นครศรีธรรมราช
ปีการศกึ ษา 2564

บทท่ี 1

บทนำ

ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา

ชุมชนสระบัว อยู่ในหมู่ที่ 6 ตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ชุมชน
สระบัวมีประวตั คิ วามเปน็ มายาวนานกวา่ 700 – 800 ปี บรรพบุรษุ ของชุมชนที่มาอาศัยอยู่ส่วนใหญ่
อพยพมาจากจังหวัดทางใต้ตอนล่าง อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรต่างๆ สภาพพื้นที่เป็นที่ราบ
ชายฝงั่ ทะเลเป็นหาดทรายสลับกบั ปา่ ชายเลน และมีลักษณะภมู ิอากาศที่อยู่ตดิ ทะเลจึงมีลมทะเลและ
ลมบกพัดผ่านตลอดปี ทำให้อากาศอบอุ่น มีฝนตกชุกตลอดปี โดยจะตกหนักในเดือนธันวาคม
ชุมชนบ้านสระบัวเป็นชุมชนที่น่าเรียนรู้ เนื่องจากมีกิจกรรมของชุมชนที่ได้ริเริ่มไว้บ้างแล้ว ไม่ได้เริ่ม
จากศูนย์ทีเดียว โดยที่มีอาชีพหลัก คือการทำประมง และมีวิถีชีวิต วัฒนธรรม การเป็นอยู่ที่มีความ
อบอุ่น รักและสามัคคีกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในชุมชนสระบัวการประกอบอาชีพประมงถือเป็น
หัวใจสำคัญในการเลี้ยงชีพ แม้จะเกิดปัญหาหรือวิกฤตต่างๆมากมาย เช่น ทรัพยากรร่อยหรอและ
เปลี่ยนแปลง เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางระบบนิเวศน์ สัตว์น้ำถูกจับด้วยเครื่องมือประมงที่ไม่
เหมาะสม อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เช่น การกัดเซาะชายฝั่ง การเปลี่ยนแปลงจากชายฝ่ัง
เป็นโคลน เกิดชายเลนงอกใหม่แทนที่หาดทรายเดิม เป็นต้น ซึ่งสาเหตุของปัญหาก็มากจากทั้งที่เกิด
จากตัวธรรมชาตเิ องและน้ำมอื ของมนุษย์

ซึ่งปัญหาและการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้น ชาวบ้านและชาวประมงก็ต้องปรับตัวและ
รับมือ โดยการร่วมมือกันฟืน้ ฟูและอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติของชุมชนตนเองร่วมกับเครือข่ายและ
แนวทางการจัดการต่างๆของภาครัฐและภาคเอกชน ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการทำให้ทรัพยากร การ
ประกอบอาชีพ และวิถีชีวิต การใช้ชีวิตประจำวันของคนในชุมชนยังคงดำรงต่อไปอย่างเร่ือยๆและมี
ความสุข การเปลี่ยนแปลงของชุมชนบ้านสระบัวเป็นความจริงที่ปัญหาบางอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เช่นเดียวกับชุมชนอื่นๆซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นำมาซึ่งการเปลี่ยนไปของวิถีชีวิตคนที่นี่ แต่การ
เปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็ไม่สามารถทำลายความรักผูกพันธ์และสามัคคี รวมถึงความร่วมมือกันอย่าง
กลมเกลียวไปจากชุมชนได้ ซ่ึงทำให้ผู้วิจยั ตงั้ คำถามว่า “บริบทของชุมชนสระบวั ตำบลท่าศาลา อำเภอ
ท่าศาลา จังหวดั นครศรธี รรมราช มีลกั ษณะอย่างไร และ “ชาวบ้านมวี ิธกี ารรบั มืออยา่ งไรบ้างกับการ
เปลีย่ นแปลง”

ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาเกี่ยวกับบริบทของชุมชนสระบัว ตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา
จงั หวัดนครศรธี รรมราช ศึกษาพลวตั นิเวศวิทยาสังคมท่ีเกี่ยวขอ้ งกับการประมงในพืน้ ท่ชี ุมชน สระบัว
ตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราชและศึกษาการปรับตัวและการรับมือจากพล
วัตินิเวศวิทยาสังคมของการประมงในปัจจุบันของชุมชนสระบัว ตำบลท่าศาลา อำเภอเมือง
จงั หวดั นครศรีธรรมราช

วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย

1. เ พ ื ่ อ ศ ึ ก ษ า บ ร ิ บ ท ข อ ง ช ุ ม ช น ส ร ะ บ ั ว ต ำ บ ล ท ่ า ศ า ล า อ ำ เ ภ อ ท ่ า ศ า ล า
จังหวัดนครศรีธรรมราช

2. เพื่อศึกษาพลวัตนิเวศวิทยาสังคมที่เกี่ยวข้องกับการประมงในพื้นที่ชุมชนสระบัว
ตำบลทา่ ศาลา อำเภอทา่ ศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช

3. เพื่อศึกษาการปรับตัวและการรับมือจากพลวัตินิเวศวิทยาสังคมของการประมงใน
ปัจจบุ ันของชมุ ชนสระบวั ตำบลท่าศาลา อำเภอเมอื ง จังหวัดนครศรีธรรมราช

ขอบเขตการวจิ ัย

1. ขอบเขตด้านเน้ือหา

1.1 เพ่อื ศึกษาบริบทของชุมชนสระบัว ตำบลทา่ ศาลา อำเภอทา่ ศาลา จงั หวัดนครศรีธรรมราช

1.2 เพอื่ ศึกษาพลวัตนิเวศวทิ ยาสังคมทเ่ี ก่ียวข้องกับการประมงในพ้นื ที่ชมุ ชนสระบวั ตำบลท่าศาลา
อำเภอท่าศาลา จังหวดั นครศรีธรรมราช

1.3 เพื่อศึกษาการปรับตวั และการรบั มือจากพลวตั ินิเวศวิทยาสงั คมของการประมงในปัจจบุ ันของ

ชมุ ชนสระบัว ตำบลทา่ ศาลา อำเภอเมือง จังหวดั นครศรีธรรมราช

2. ขอบเขตด้านพ้นื ที่

ชมุ ชนสระบัว ตำบลทา่ ศาลา อำเภอท่าศาลา จงั หวดั นครศรธี รรมราช

วธิ ดี ำเนนิ การวิจัย

วิธีการศึกษาวิจัยเรื่อง พลวัตนิเวศวิทยาสังคมของชาวประมง ชุมชนสระบัว
ตำบลทา่ ศาลา อำเภอทา่ ศาลา จังหวัดนครศรธี รรมราช ผ้วู ิจยั ได้มีวธิ กี ารดำเนินการดงั น้ี

1. ศึกษาข้อมลู ทเ่ี กย่ี วข้องกบั วจิ ัยเรอ่ื งที่ศึกษา

2. ศึกษาสถานท่จี รงิ ในการเกบ็ ข้อมูล ภายในชมุ ชนสระบัว ตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา
จงั หวดั นครศรีธรรมราช

3. จัดทำแบบสัมภาษณ์ โดยจัดเป็นกลุ่มตัวอย่างขึ้น คือ ชาวบ้านชุมชนสระบัว ตำบลท่า
ศาลา อำเภอทา่ ศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช

4. สัมภาษณ์ผ้ทู ่ีมีความรเู้ ก่ียวกบั วจิ ัยเร่อื งท่ีศกึ ษา

กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั

พลวัตนเิ วศวทิ ยาสังคมของชาวประมง ชมุ ชนสระบัว ตำบลท่าศาลา อำเภอ
ทา่ ศาลา จังหวดั นครศรธี รรมราช

ศึกษาบริบทของชุมชนสระบวั พลวตั นเิ วศวทิ ยาสังคมท่ีเกย่ี วข้อง
ตำบลทา่ ศาลา อำเภอท่าศาลา กับการประมงในพน้ื ท่ีชุมชนสระ
บัว
จงั หวดั นครศรีธรรมราช

การปรับตวั และการรบั มือจากพลวัตินิเวศวทิ ยา
สงั คมของการประมงในปจั จุบัน

ประโยชน์ท่คี าดว่าจะได้รับ

1. ได้รู้ประวัติความเป็นมาและบริบทของชุมชนสระบัว ตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา
จงั หวดั นครศรีธรรมราช

2. ได้รู้การเปลี่ยนแปลงของพลวัตนิเวศวิทยาสังคมที่มีความเกี่ยวข้องกับการประมงในพื้นที่
ชมุ ชนสระบวั ตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรธี รรมราช

3. ได้เรียนรู้ถึงการปรับตัวและการรับมือจากพลวัตินิเวศวิทยาสังคมของการประมงใน
ปจั จบุ นั ของชมุ ชนสระบัว ตำบลทา่ ศาลา อำเภอเมือง จงั หวดั นครศรีธรรมราช

4. เป็นแนวทางในการดำเนินงานวิจัยในชิ้นต่อไปให้มีความใกล้เคียงกันและสามารถนำไป
อา้ งอิงในงานวิจัยชิ้นตอ่ ไปได้

นิยามศัพทเ์ ฉพาะ

1. บริบทชุมชน หมายถึง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสังคม เศรษฐกิจ การเมืองการ
ปกครอง วัฒนธรรม ทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ มของชุมชน

2. พลวัตนิเวศวิทยาสังคม หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในด้านเศรษฐกิจ สังคม
ทรพั ยากรธรรมชาติของบรเิ วณพ้ืนท่ีหรอื ชุมชนนน้ั ๆ

3. การประมง หมายถึง การจัดการของมนุษย์ด้านการจับปลาหรือสัตว์น้ำอื่นๆ การดูแล
รักษาปลาสวยงามและการแปรรปู เป็นผลติ ภณั ฑ์ประมง

4. การปรับตัว หมายถึง การที่บุคคลพยายามปรับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นแก่ตนและ
พยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและความต้องการของตนเอง จน
สามารถดำเนนิ ชวี ิตไดอ้ ยา่ งมคี วามสุขปราศจากความคบั ข้องใจ

5. การรับมือ หมายถึง ความพยายามในการเปลี่ยนความคิดหรือพฤติกรรมของบุคคล
เพ่อื ท่จี ะจดั การกบั ปัญหาในสถานการณท์ ี่ตึงเครยี ด

บทท่ี 2

เอกสารและงานวจิ ัยท่เี กีย่ วข้อง

การศึกษาวจิ ยั เร่ือง พลวัตนิเวศวทิ ยาสังคม และวถิ ชี วี ติ ชาวประมงชมุ ชนสระบวั ตำบลท่า
ศาลา อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้วิจัยได้รวบรวมแนวคิดทฤษฎี องค์ความรู้เกี่ยวกับ
เร่อื งท่ีศึกษา และงานวจิ ัยที่เกีย่ วขอ้ งไวด้ ังนี้
แนวคดิ และทฤษฎที ใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั

1. แนวคดิ ชุมชนกับการจัดการทรัพยากรประมง
2. แนวคดิ เกี่ยวกับสทิ ธชิ ุมชน
3. แนวคิดการปรับตัวบนฐานของชมุ ชนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภมู ิอากาศ
4. แนวคดิ เกย่ี วกบั นิเวศวทิ ยาสังคม
5. ทฤษฏภี าวะทนั สมัย
6. แนวคดิ การปรับตวั เชงิ นเิ วศ
7.วิกฤตของมหาสมุทร
องค์ความร้เู ก่ียวกับเร่ืองท่ศี กึ ษา
1. ประมงพนื้ บ้าน
2. ข้อมลู เกี่ยวกบั พ้ืนทชี่ ุมชนบ้านสระบวั
งานวจิ ัยที่เก่ียวขอ้ ง

แนวคิดและทฤษฎีที่ใช้ในการวจิ ัย

1. แนวคดิ ชมุ ชนกับการจัดการทรพั ยากรประมง

ความหมายของทรัพยากรประมง พระราชบัญญัติประมง พ.ศ. 2490 นิยามทรัพยากร
สัตว์น้ำไว้ว่า สัตว์และพืชที่อยู่อาศัยตลอดอายุขัยในน้ำ ทั้งไข่และตัวอ่อนรวมทั้งซากของสัตว์และพืช
เหลา่ นนั้ ซึ่งสตั ว์นำ้ ท่เี ห็น เดน่ ชดั และเกย่ี วข้องใชป้ ระโยชน์เปน็ อาหารมนษุ ย์ทุกวันนี้ ได้แก่ ปลา ปู กุ้ง
หอย สัตว์สะเทินน้ำ สะเทนิ บก และสตั ว์เลื้อยคลาน (เขมภทั ท์ เยน็ เปี่ยม และคณะ, 2558, น. 13-14)

การจัดการทรัพยากรประมง แบ่งออกเป็นการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์ ฟื้นฟู
ทรัพยากรประมง การจดั การทรพั ยากรประมง จงึ หมายถึง การดำเนนิ การอยา่ งมขี ั้นตอนในการจัดหา
วิธกี ารรกั ษา ชดเชยการใชท้ รพั ยากรประมง และสงวนอนรุ ักษท์ รัพยากรประมงให้เกิดประโยชน์สูงสุด
และอยอู่ ยา่ งย่ังยนื (1997, อ้างถึงใน เขมภทั ท์ เย็นเปี่ยม และคณะ, 2558, น. 13-14) ได้ให้ คำจำกัด
ความของการจัดการทรัพยากรประมง ไว้ว่า เป็นขบวนการบูรณาการในการรวบรวมขอ้ มูล วิเคราะห์
วางแผน ให้คำปรึกษาตัดสินใจ และจัดสรรแนวทางและรูปแบบการใช้ทรัพยากรประมง และนำไปใช้
ในทางปฏิบัติซึ่งอาจจะต้องมีการควบคุมดูแลในกรณีที่จำเป็น โดยมีมาตรการต่างๆมาควบคุมการทำ
ประมงเพือ่ ท่จี ะมั่นใจได้ถึงความสามารถในการผลิตทรัพยากรไดอ้ ย่างต่อเนื่องเพ่ือผลประโยชน์ในการ
ประมงอยา่ งยั่งยืน หรอื กลา่ วอย่างสรุปการจัดการประมง คอื การทำ การควบคุมปริมาณผลจับสัตว์น้ำ
เพือ่ ใหไ้ ดผ้ ลจับในระดับท่ีกักเกบ็ สตั วน์ ้ำในธรรมชาติท่ีเหลืออยูส่ ามารถเติบโตและ ผลิตสัตว์น้ำรุ่นใหม่
มาชดเชยส่วนท่ถี ูกจบั ไปได้อย่างเหมาะสม

การจดั การทรัพยากรภายใต้ลักษณะการใชป้ ระโยชนร์ ่วมกันของคนจำนวนมาก ในสังคม
นั้นประกอบไปด้วยสิ่งสำคัญ คือ การผสมผสานเพื่อลดความขัดแย้งหรือการผูกขาดเป้าหมายหลักจงึ
มุ่งไปสู่ชุมชนอันเป็นกลุ่มประชากรกลุ่มแรก และเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการจัดการ ทรัพยากรใน
อันดับต้น ๆชุมชนจึงมีความสำคัญต่อการจัดการทรัพยากรทั้งนี้เนื่องจากชุมชน มีความเกี่ยวโยงกับ
ทรพั ยากรอย่างแยกไม่ออกตามความหมายของชุมชนท่ีกลา่ วว่า ชมุ ชนเป็นการอยู่ร่วมกันของกลุ่มคน
จำนวนหนึ่งในพื้นที่แห่งหนึ่งเพื่ออาศัยทรัพยากรธรรมชาติในบริเวณนั้น ในการดำงชีวิตจนก่อให้เกิด
ระบบความสัมพันธ์ของคน ความเชอื่ ศาสนา ประเพณวี ฒั นธรรม ระบบ เศรษฐกจิ อาชพี

การทำประมง

การประมง คือ ความพยายามของมนุษย์ในการจับปลาหรือสัตว์น้ำต่างๆ โดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อจัดหาอาหารเพื่อยังชีพให้แก่มนุษย์ และนำไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ เช่น การเลี้ยงเพื่อ
ความสวยงาม การนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตยาหรืออาหารเสริม เป็นต้น โดยทั่วไปการประมง
จะเป็นการประมงทางทะเลมากกว่าน้ำจืด โดยการทำกิจกรรมอยู่ใกล้ชายฝั่งทะเล เพราะสามารถทำ
การเก็บผลผลิตในน้ำตื้นบริเวณชายฝั่งได้ง่ายกว่าบริเวณน้ำลึก และบริเวณชายฝั่งมักมีสัตว์น้ำชุกชุม
เนื่องจากคลื่นได้ซัดพาสารอาหารต่างๆ มายังชายหาดจำนวนมาก นอกจากการจับสัตว์น้ำท่ีมีอยู่ตาม

แหล่งน้ำธรรมชาติต่างๆ แล้ว การประมงยังหมายรวมถึงการเลี้ยงสัตว์น้ำที่มีการจำลองธรรมชาติ
ขึ้นมา เพื่อให้มนุษย์เราสามารถผลิตสัตว์น้ำให้พอเพียงกับความต้องการบริโภคที่นับว่าจะขยายตัว
สูงข้นึ อยา่ งรวดเร็ว เพอื่ ชว่ ยเสริมสร้างความมนั่ คงทางอาหารอีกด้วย

การประมง มอี ย่คู เู่ รอื่ งราวทางประวตั ิศาสตร์ของแตล่ ะประเทศมาโดยตลอด ต้ังแต่มนุษย์
ยคุ ดกึ ดำบรรพ์ เร่ิมต้งั แตก่ ารทำการประมงเพ่ือการยังชีพ สันทนาการ ไปจนถงึ เรื่องราวของเศรษฐกิจ
สังคมและวัฒนธรรมต่างๆ ก่อให้เกิดเป็นองค์ความรู้ จากภูมิปัญญาที่สั่งสมมาจากการเรียนรู้จาก
ธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกระแสน้ำ ฤดูกาล ปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงตามดวงจันทร์รวมไปถึง
การเรียนรู้วิถีชวี ติ และวงจรชีวิตของกุ้งหอยปูปลา เทคนิค เครื่องมือ ศิลปะในการทำการประมง และ
ยังมีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ระหว่างการประมงและการเดินเรือมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 และ
16

จากการท่ที รพั ยากรประมงเปน็ สาธารณสมบัติซึ่งมีลักษณะสำคญั 2 ประการ คอื ประการ
แรก ไม่มใี ครสามารถหา้ มผู้ใดมิใหเ้ ข้ามาทำการประมงได้ หรือแมแ้ ต่มาควบคมุ การทำการประมงก็ทำ
ได้โดยยาก และจะต้องเสียค่าใช้จ่ายที่สูง ประการที่สอง การที่ชาวประมงคนหนึ่ง จับสัตว์น้ำมากข้ึน
หรือการมีชาวประมงเพิ่มขึ้น จะมีผลทำให้ผลผลิตสัตว์น้ำต่อหนึ่งหน่วยการลงแรง ทำการประมงของ
ชาวประมงคนอื่น ๆ ลดลงเนื่องจากทรัพยากร ประมงมีจำกัดอยู่จำนวนหนึ่งเท่านั้นด้วยลักษณะ
ดังกล่าวข้างต้น การทำประมงทีด่ ำเนนิ การต้ังแตอ่ ดีตจนถึง ปัจจุบันเป็นการทำประมงแบบเสรี มีการ
ขยายกองเรือประมงอย่างรวดเร็ว โดยไม่คำนึงถึงขนาดของสัตว์น้ำที่มีอยู่จริงจึงเกิดมีการทำประมง
มากเกินไปแทบทุกมุมโลก ซ่งึ ปญั หานจ้ี ะแกไ้ ดด้ ว้ ยการเปล่ียนวธิ ีการทำประมงแบบเสรี ให้เป็นการทำ
ประมงแบบมีการควบคุมภายใตร้ ะบบการควบคมุ การจดั การประมงโดยชุมชนน้ัน จะสามารถเปลี่ยน
การทำการประมงแบบเสรีมาเป็นการทำการประมงแบบมีการควบคุมไดท้ นั ทโี ดยอาศัยระบบสิทธิการ
ทำประมง ซึ่งเป็นระบบที่ต้องใช้ควบคู่ไปกับการจัดการประมงโดยชุมชน กล่าวได้ว่า การจัดการ
ประมงโดยชุมชนจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีระบบสิทธิการทำการประมง ดังนั้น ในเบื้องต้นรัฐ
ต้องทำการกำหนดขอบเขตในการเป็นเจ้าของทรัพยากรประมงของชุมชน การทำประมงจึงจะถูก
ควบคุมด้วยเง่ือนไขดงั กลา่ ว (กงั วาลย์ จันทรโชติ, 2541, น. 15-18)

2. แนวคิดเก่ยี วกับสทิ ธชิ มุ ชน

2.1 ววิ ัฒนาการของสิทธชิ ุมชน

ในทางประวัติศาสตร์ “สิทธิชุมชน” เป็นสิทธิดั้งเดิมที่มีมานานในชุมชน ท้องถ่ิน
และกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ว่าจะในสังคมไทยหรือในประเทศต่างๆ ทั่วโลก แต่แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิใน
ประเทศ ต่างๆ ทวั่ โลกท่ผี า่ นมาจะเน้นสทิ ธิมหาชน (Public Right) ซ่ึงรฐั เป็นผูท้ รงและใช้สทิ ธิ เช่น รฐั
เป็นเจ้าของภูเขา ป่าไม้ ทะเล แม่น้ำ แร่ ฯลฯ และเน้นสิทธิเอกชน ซึ่งเป็นสิทธิของบุคคลหรือปัจเจก
บุคคลเป็นผู้ทรงสิทธิ แนวความคิดเรื่อง “สิทธิชุมชน” ที่ตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ทางเครือญาติ

ครอบครัว ชนเผ่า และชุมชนที่มีอตั ลักษณแ์ ละวัฒนธรรมประเพณีโดยเฉพาะการร้อยรัดด้วยศีลธรรม
และจารตี ประเพณบี นฐานทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันจึงไมม่ ีบทบาทมาเป็นเวลายาวนาน (จรัล ดิษฐา
อภิชยั , 2547: 13)

สิทธิชุมชนเกิดขึ้นมาจากความคับข้องใจต่อแนวทางการพัฒนาของโลกซึ่งส่งผลต่อ
ประเทศต่าง ๆ ในโลก ประเทศไทยกเ็ ปน็ หน่งึ ในประเทศท่ีได้รับผลกระทบจากการพัฒนาดังกล่าวด้วย
ผลของแนวทางการพัฒนาดังกล่าวก่อให้เกิดการทำลายและแย่งชิงทรัพยากรของชุมชน เกิดความ
ทุกข์ยากของชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อของการพัฒนาและการล่มสลายของชุมชนอันเกิดจากแนว
ทางการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมที่เป็นอุดมการณ์เสรีนิยมตะวันตก กระแสโลกาภิวัฒน์เชิงอำนาจนิยม
เศรษฐกิจเสรี นโยบาย และโครงการพัฒนาเชิงอำนาจนิยม (เสน่ห์ จามริก, 2544: 13-14) ทำให้เกิด
การเคลอ่ื นไหว และการก่อตัวของขบวนการสิทธชิ ุมชนที่นำเสนอ “ยทุ ธศาสตรช์ ุมชนท้องถ่ินพัฒนา”
ขึ้นมา เพื่อยับยั้งแนวพัฒนาของยุคโลกาภิวัฒน์โดยที่การเรียกร้องสิทธิชุมชนจะถือหลัก“ปรัชญา
เศรษฐกิจพอเพียง” อันเป็นเสมือนเศรษฐศาสตร์ทีท่ วนกระแสที่เน้นการพึ่งตนเอง การกินอยู่แต่พอดี
ซ่ึงแตกตา่ งจากยุทธศาสตร์ โลกาภิวฒั นพ์ ัฒนาทีย่ ึดถือปรชั ญาเศรษฐกิจเสรีนิยม (รงั สรรค์ ธนพรพันธุ์,
2544: 10)

การเคลื่อนไหวของชุมชนดังกล่าวได้มีการศึกษากันเด่นชัดขึ้นในปัจจุ บันและอาจ
กล่าวได้ว่า คำว่า“สิทธิชุมชน” เกิดขึ้นจากการบัญญัติของ ศาสตราจารย์เสน่ห์ จามริก และ
นักวิชาการบางท่านที่ร่วมกันบัญญัติคำๆนี้ เพื่อต้องการให้เห็นจิตวิญญาณและความมีภูมปิ ัญญาของ
ชุมชนที่ถูกริดรอนมาเป็นเวลานานในสังคมไทย และต้องการรื้อฟื้นสิ่งเหล่านี้ข้ึน (เจริญ คัมภีรภาพ
และคณะ,2541: 121) พัฒนาการของสทิ ธชิ ุมชนในระยะแรกๆ จะเป็นเรื่อง “สิทธิชุมชนท้องถิ่น” ใน
ความหมายของสิทธิตาม “ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี วัฒนธรรม และกฎเกณฑ์ในการจัดการ
ทรพั ยากรปา่ ที่ชุมชนท้องถิน่ ถือปฏิบัตเิ ป็นวิถีสืบเน่ืองกนั มา ” ซึ่งในช่วงแรกจะจำกัดอยู่ที่เรื่องอำนาจ
จดั การทรัพยากรป่าหรอื ป่าชมุ ชน ต่อมามีการพฒั นาความหมายสกู่ ารมีอำนาจจดั การของชุมชนเหนือ
ทรัพยากรธรรมชาตหิ รือภมู ิปญั ญาท้องถ่ินกว้างขวางมากขึ้น หรือมีการให้ความหมายในเชิงนามธรรม
ที่กว้างขวางยืดหยุ่นขึ้นไม่จำกัดเฉพาะเรื่องป่าหรือทรัพยากรอย่างเดียว (จรัญ โฆษณานันท์,
2545:396) เช่น

1) สทิ ธขิ องกลุ่มหรือของชมุ ชน หรือเป็นสทิ ธิร่วมเหนือทรัพยากรชุมชน ซ่ึงกินความต้ังแต่
ทรัพยากรดิน น้ำ ป่า ทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งเป็นสิทธิตามธรรมชาติเป็นสิทธิ
ประเพณีของชุมชนในการดูแลและใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรร่วมกัน เพราะชุมชนท้องถิ่นจะอยู่รอด
และพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืนและมีศักดิ์ศรีได้จำเป็นต้องมีสิทธิพื้นฐานในการใช้และดูแลทรัพยากร
อย่างยั่งยืน และยังรวมถึงสิทธิในการปฏิเสธการรุกรานจากภายนอกที่จะส่งผลกระทบต่อฐาน
ทรัพยากรของชมุ ชน (เสนห่ ์ จามริก, 2546: 57)

2) สิทธิร่วมกันของชุมชนในการดำรงอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีศักยภาพในการจัดการชีวิตของ
ตนและสิทธิในการปฏิเสธการรุกรานจากภายนอก บนฐานของจิตสำนึกร่วมของชุมชน
(ยศ สนั ตสมบัติ, 2541: 35)

3) สิทธิในการมสี ว่ นร่วมและสิทธทิ ่กี อ่ รูปความสัมพันธ์ระหวา่ งคนกบั ธรรมชาติซ่ึงชุมชน มี
การก่อร่างตั้งถิ่นฐานจากความสัมพันธ์กับฐานทรัพยากร ซึ่งได้พัฒนาสืบเนื่องมาตลอด ไม่ว่าชุมชน
ประมง ชุมชนป่า (วรินทรา ไกยูรวงศ์, 2544: 8) จากการพัฒนาสิทธิชุมชนดังกล่าวจะเห็นว่า สิทธิ
ชุมชนเป็นเรอื่ งสทิ ธขิ องกลมุ่ หรอื สทิ ธริ ว่ มเหนอื ทรพั ยากรของชุมชนท่ีมีขอบข่ายกวา้ งขวางท้ัง ดนิ น้ำ
ป่า ทรัพยากรพันธุกรรม หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่การมีสิทธิเหนือทรัพยากรดังกล่าวขอชุมชนมิใช่
เป็นการที่ชุมชนหรือกลุ่มจะยึดทรัพยากรเอามาเป็นกรรมสิทธิ์อย่างเด็ดขาด ในทำนองเดียวกับการมี
กรรมสิทธิ์ของเอกชนเหนือทรัพย์สิน แต่จะเน้นลักษณะพิเศษแห่งการดำรงอยู่ของสิทธิในแง่ของการ
ใช้หรือการจัดการ ซึ่งอาจมีถ้อยคำเฉพาะของท้องถิ่นในการเรียกชื่อทรัพยากรที่เป็นส่วน เรียกว่า
“ของหนา้ หมู่” ภาคอสี านมี“ป่าปู่ ตา” หรอื “ดอนปู่ ตา” ภาคใต้ เรียกวา่ “ทะเลหนา้ บา้ น” เป็นต้น
นอกจากน้ี สทิ ธิชมุ ชนยังเน้นองคป์ ระกอบด้านภูมปิ ัญญาหรือภูมิรู้ทางศลี ธรรมของชุมชนในการนำเอา
ทรัพยากรมาใช้อย่างถูกต้องเหมาะสม หรือคนในชุมชนมีหน้าที่และความรับผิดชอบ ชนิดที่ไม่
กอ่ ใหเ้ กิดการทำลายความอุดมสมบรู ณข์ องทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากน้ันฐานความคดิ ของลักษณะ
สทิ ธชิ มุ ชนยงั มเี รื่อง “สิทธิเชิงซอ้ น” รองรับอยู่ โดยจะพจิ ารณาสิทธหิ ลายแบบในลักษณะซ้อนทับกัน
ไดบ้ นหนว่ ยของพื้นทหี่ รือส่งิ ของหรือทรพั ยากรของชุมชน (วรนิ ทรา ไกยูรวงศ์, 2544: 9)

2.2 ความหมายสิทธิชมุ ชน

ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร ( 2540: 8 ) ได้ระบุถึงสิทธิชุมชนว่า เป็นหัวใจของ
ขบวนการเคลื่อนไหวต่อสู้ “สิทธิชุมชน” หมายความถึง การเรียกร้องสิทธิของกลุ่มชนชายขอบที่มี
เอกลักษณ์ของความเป็นชาติพันธุ์ วัฒนธรรม การจัดการทรัพยากร และระบบเศรษฐกิจ สังคม เพ่ือ
ตอบโต้กับกระบวนการปิดล้อมจากรัฐและทุนในรูปแบบต่าง ๆ ตลอดจนการผลักดันให้ปรับ
ความสัมพันธ์ทางสังคมที่ยอมรับสนับสนุนสิทธิของชุมชนในทุกรูปแบบ ซึ่งการต่อสู้ของขบวนการ
ประชาชนได้เกดิ ข้ึนในทุกระดับ ตงั้ แตร่ ะดบั รากหญา้ การเคล่ือนไหวเชิงวาทกรรม การเคลื่อนไหวเชิง
โครงสร้าง การผลักดันสร้างข้อตกลงระหว่างประเทศ เช่น อนุสัญญาชนพื้นเมือง อนุสัญญาด้าน
แรงงาน เปน็ ต้น

เสน่ห์ จามริก (2541: 18) กล่าวถึงความหมายของ “สิทธิชุมชน” ว่าหมายถึง สิทธิ
ร่วมเหนือทรัพย์สินของชุมชน โดยให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเพื่อส่วนรวม
มากกว่าประโยชน์ส่วนตน จักรกฤษณ์ ควรพจน์ (2541 อ้างถึงใน ปาริชาติ ศรีวิพัฒน์, 2548: 25) ให้
ความหมายของ“สิทธชิ ุมชน” วา่ หมายถงึ สิทธิทช่ี ุมชนสามารถรว่ มกนั บริหารจัดการและใชป้ ระโยชน์
จากทรพั ยากรธรรมชาติได้ รวมถึงการดูแลรักษาใหท้ รัพยากรน้ันคงอยู่ตอ่ ไป และชุมชนในความหมาย
น้ี ต้องเปน็ ชมุ ชนด้ังเดมิ ที่มีประเพณแี ละวฒั นธรรมสบื ต่อกันมาอย่างยาวนาน

บวรศักดิ์ อุวรรณโณ (2542: 46) อธิบายความหมายของคำว่า “สิทธิชุมชน”ว่า หมายถึง
สิทธิที่ไม่ใช่ส่วนของบุคคลของประชาชนแต่ละคน และไม่ใช่ของรัฐแต่เป็นสิทธิของชุมชนที่จะจัดการ
ใช้ประโยชน์ และมหี นา้ ทบี่ ำรุงรกั ษาเหนอื ทรพั ยากร

อานันท์ กาญจนพันธ์ (2544: 219) สิทธิชมุ ชนเป็นแนวคดิ ที่ทำให้เราจำเปน็ ต้องพิจารณา
ระบบกรรมสิทธ์ใิ นฐานะเปน็ “สิทธเิ ชงิ ซอ้ น” ซ่ึงหมายถงึ การดำรงอยูร่ ่วมกนั ของสิทธขิ องหน่วยสังคม
หลายๆ หนว่ ยบนพืน้ ท่เี ดียวกนั และทำใหเ้ ราจำต้องละเลิกจากการมองสิทธิเชิงเดี่ยว หรือการจัดการ
ประเภทเดียว สิทธิชุมชนจึงเรียกร้องให้เราทำความเข้าใจกับระบบจัดการร่วม (Comanagement)
และสิทธชิ ุมชนในการมีส่วนรว่ มในการจดั การทรัพยากร

สมชาย และคณะ (2546 อา้ งถึงใน โสภารัตน์ จารุสมบัติ, 2551: 73) กล่าวถึงแนวคิดสิทธิ
ชุมชน ว่ามีความหมายของอำนาจทางการเมืองที่ให้ประชาชนเป็นผู้ดูแลและใช้ประโยชน์จาก
ทรัพยากรธรรมชาติโดยตรง ได้เข้าถึงทรัพยากรอย่างแทจ้ รงิ และการเข้าถึงน้นั นำไปสู่การจัดการและ
ใช้ประโยชนอ์ ย่างเป็นธรรม สมดลุ และย่ังยนื ตามแนวคดิ ของการรักษา ความหลากหลายทางชีวภาพ
และทางวัฒนธรรมภมู ิปัญญา สทิ ธชิ ุมชนมองถึงหนว่ ยของชุมชนท่ีร้อยรัดความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม
ในการตง้ั ถ่ินฐาน และไดป้ ระโยชนจ์ ากทรพั ยากรรว่ มกัน

มูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ (2547: 242 – 243) สิทธิชุมชน (Community Rights)
หมายถึงการแสดงออกของความพยายามในการยอมรับกฎเกณฑ์ในการจัดการทรัพยากร ซึ่งถือเป็น
สิทธิในการถือครองทรัพยากรต่าง ๆ การจัดการควบคุม (Right of Management and Control)
หรือสทิ ธใิ นการเข้าถึง (Rights of Access) แทนท่กี ารเนน้ ถงึ สิทธิในความเป็นเจา้ ของอยา่ งเดียวซ่ึงถือ
เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ให้ความสำคัญในศักดิ์ศรีของ
ความเป็นมนุษยข์ องทกุ คนอย่างเท่าเทยี มกนั

ยศ สันตสมบัติ (2547: 22) สิทธิชุมชน หมายถึง “สิทธิร่วม” เหนือทรัพย์สินของชุมชน
สมาชิกของชุมชนซึ่งทำหน้าที่ดูแลรักษาเท่านั้นจึงจะมีสิทธิใช้และได้ประโยชน์สิทธิชุมชนให้
ความสำคัญกบการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเพื่อส่วนรวมมากกวาส่วนตน แม้สมาชิกชุมชนจะมี
“สิทธิตามธรรมชาติ” ในการใช้ทรัพยากรส่วนรวม แต่ชุมชนก็สามารถออกกฎเกณฑ์เพื่อความเป็น
ธรรมทางสังคม สทิ ธกิ ารใชเ้ พ่ือความยั่งยืนของระบบนเิ วศน์และเพ่ือความอยู่รอดของชุมชน ดังนั้นจึง
เปน็ สิทธิข้นั พนื้ ฐานของชุมชน

จรัล ดิษฐาอภิชัย (2547: 13) ได้สรุปไว้ว่า สิทธิชุมชนมีลักษณะเป็นสิทธิร่วมกันของกลุม่
คน(Collective Right) ที่จะกำหนดชะตาชีวิตของคนในชุมชน ทั้งในด้านการตัดสินใจทางการเมือง
วา่ ชมุ ชนจะมีการปกครองและพฒั นาไปในทิศทางท่ชี ุมชนต้องการตัดสนิ ใจ ในทางเศรษฐกิจที่สัมพันธ์
กับวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติ เพราะฐานเศรษฐกิจของชุมชนคือ ฐานการใช้
ทรัพยากรธรรมชาติที่อาศยั ภูมิปญั ญาความรู้ ในการดูแลจัดการทรัพยากรใหย้ ังยืนถงึ ชนรุ่นหลัง ทั้งนี้

เพราะทรัพยากรธรรมชาติเป็นดังชีวิตของครอบครัวและชุมชนที่อยู่ รอดจากการทำไร่ทำนา การอยู่
อาศัย การใช้ประโยชน์จากผืนป่าและผืนดิน ตลอดจนการหล่อหลอมวัฒนธรรมประเพณีกับการอยู่
ร่วมกนั เป็นหนึ่งเดยี วกับธรรมชาติ

วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ (2548: 7) ได้อธิบายถึงความหมายของสิทธิชุมชนว่า เป็นระบบ
ความสมั พนั ธ์ของชุมชนกบทรัพยากรธรรมชาติท่ีเช่ือมโยงกันท้ังระบบความคิด ความเชื่อ องค์ความรู้
วิถีการปฏิบัติในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากร รวมทั้งระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เรียกกั นว่า
“ระบบกรรมสิทธ์ิ”

เลศิ ชาย ศิริชยั และชลธิชา สัตยาวัฒนา (2546: 362) สทิ ธชิ มุ ชน หมายถึง กระบวนการท่ี
ชมุ ชนสร้างสรรคภ์ มู ิปญั ญาและอำนาจของชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาตทิ ี่เป็นฐานความอยู่
รอดของชุมชน คือ ภมู ิปญั ญาในการเขา้ ถึงและใชป้ ระโยชนจ์ ากทรัพยากรธรรมชาติ และการใชอ้ ำนาจ
จัดความสัมพันธ์ในการใช้ทรัพยากรดังกล่าวมีความยั่งยืนและคนสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเท่า
เทียมกันนอกจากนั้น เลิศชาย ศิริชัย และชลธิชา สัตยาวัฒนา ยังได้ทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับสทิ ธิ
ชุมชน พบวา่ ได้มีผู้ใหค้ ำนยิ ามเก่ยี วกบั สิทธิชุมชนไว้หลายความหมายด้วยกนั ซ่งึ ในแต่ละความหมาย
ก็จะมีความเหมือนกันและความแตกต่างกันไปบ้าง แต่โดยสรุปแลว้ สิทธิชุมชนนัน้ มคี วามหมายเป็น 3
ลกั ษณะ ดงั ตอ่ ไปนี้

1) สิทธิชุมชน เป็นอุดมการณ์และเป็นภาษาความคิดอย่างหนึ่ง นั้นคือ สิทธิชุมชน อาจ
เป็นวิถีการปฏิบัติของคนในชีวิตประจำวัน และยึดถือเป็นแกนกลางในการดำรงชีวิตของคนในสังคม
นอกจากนี้สิทธิชุมชนจะเปน็ ส่งิ ที่ไมส่ ามารถล่วงละเมิดได้ เพราะวา่ ตามความหมายน้สี ิทธชิ มุ ชนจะเป็น
อุดมการณ์ที่ปรากฏอยู่ในกฎหมายสูงสุดของประเทศด้วย เช่น ได้มีบทบัญญัติไว้ใน มาตรา 46 ของ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ซงึ่ จะคุ้มครองสิทธิในการมีส่วนร่วมในการจัดการ การ
บำรงุ รกั ษา และการใช้ประโยชนจ์ ากทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมอยา่ งสมดลุ และย่งั ยนื

2) สิทธิชุมชน เป็นการแสดงออกถึงการเรียกร้องสิทธิ์ สิทธิชุมชนในความหมายนี้ถือว่า
เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่ง ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2540 อันแสดงถึงการเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนในการจัดการทรัพยากรชุมชน
ของสว่ นรวม มสี ิทธใิ นการถือครอง การจดั การควบคมุ และสามารถจะเกดิ กระบวนการตอ่ สขู้ ้ึนได้หาก
เกดิ ความไมเ่ ปน็ ธรรมในเรอ่ื งสทิ ธใิ นการดแู ลและจดั การทรัพยากรดงั กล่าว

3) สิทธิชุมชน คือการมีระบบกรรมสิทธิ์ร่วมกัน สิทธิชุมชนในแง่นี้คือ การมีระบบ
กรรมสิทธิ์ร่วมกันในการใช้เหนือทรัพย์สินร่วมกันของชุมชน เป็นการดำรงอยู่ของสิทธิในหน่วยสังคม
เชิงซ้อน ทำให้เกิดการจัดการและมีส่วนร่วมในทรัพยากรร่วมกัน รวมทั้งมีแนวปฏิบัติในการใช้
ประโยชน์จากทรัพยากรเพื่อเป็นแบบแผนให้คนในชุมชนได้ช่วยกันดูแลรักษาความอุดมสมบูรณ์ของ
ทรัพยากรน้นั ให้ยงั่ ยนื สืบไป สำหรับผูว้ ิจยั สิทธิชุมชน หมายถึง อำนาจอันชอบธรรมของชุมชนในการ

บริหารจัดการพิทักษ์รักษาทรัพยากรธรรมชาติวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสิทธิอื่นๆ อัน
เกี่ยวข้องกับการมีชีวิตอยู่โดยไม่ถูกรุกล้ำล่วงเกิน รวมถึงการที่ชุมชนสามารถกำหนดอนาคตของ
ตนเอง เพอ่ื ให้เกดิ ประโยชนแ์ กส่ ว่ นรว่ มอยา่ งยั่งยืน

2.3 หลักการของสิทธิชมุ ชน

เมื่อได้เข้าใจในความหมายของสิทธิชุมชนกันไปแล้ว ในส่วนของหัวข้อนี้จะได้มีการ
อธิบายถึงหลักการของสิทธิชุมชน ไพสิฐ พาณิชย์กุล (2544) ได้ประมวล “ความเป็นธรรมชาติหรือ
หลักการของสิทธิชุมชน” ที่มลี กั ษณะเดน่ ๆ ไว้ดังน้ี คือ

1) อดุ มการณข์ องสิทธิชุมชน เปน็ อดุ มการณ์เพ่ือความอยู่รอดของชมุ ชน

2) กระบวนการในการเกิดขึ้นของสทิ ธิชมุ ชนในแตล่ ะประเภท (ตามทเี่ กดิ ความขัดแย้ง
ขึ้น) ไม่ได้เกิดจากความสัมพันธ์ในเชิงพันธะสัญญา หากแต่เป็นผลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการภายใน
ของชุมชนในแต่ละพื้นที่ที่ทดลองเรียนรู้ สั่งสมขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างสังคมในระดับชุมชน
และในหลาย ๆ กรณที ี่มีการเลยี นประสบการณ์และผลิตซ้ำในทางความคิด

3) ตั้งอยู่บนสำนึกและการรับรู้ร่วมกันของชุมชนเป็นหลัก ดังนั้นจึงมักจะไม่ทำให้
ปรากฏในรูปของบันทึกทเี่ ปน็ ลายลกั ษณ์อักษร

4) กลไกในการบังคับเป็นไปโดยอาศัยวิธีการของแต่ละชุมชนผ่านทางระบบ
ความสัมพันธใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ ที่มีอยใู่ นชุมชน

5) สิทธิชุมชนเป็นความพยายามของชุมชนที่จะจัดความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกของ
ชุมชนให้สอดคล้องกบั การผลติ ทีท่ กุ คนสามารถเข้าถึงและมีทางเลือกได้

6) สิทธิชมุ ชน เป็นสิทธิทีม่ เี ง่อื นไข ไมใ่ ชส่ ิทธิเดด็ ขาด ต้องข้ึนอย่กู ับปจั จัยทั้งหมดที่มีอยู่
ในชุมชน

7) สิทธิชมุ ชน มักจะมกี ลไกภายในชุมชนที่เกลยี่ ทรัพยากรทจ่ี ำเปน็ ต่อการดำรงชีพ และ
ใหโ้ อกาสกบั สมาชิกของชุมชน

โสภารัตน์ จารสุ มบัติ (2551: 72-77) และ ก่งิ กร นิรนทรกลุ ณ อยุธยา (2543: 35-40) ได้
สรปุ หลกั การสำคัญของสิทธิชุมชนไว้ ซ่งึ มีดังตอ่ ไปน้ี

สิทธิชุมชน มีนัยของการเคลือ่ นไหวภาคประชาชนเพื่อปรับความสัมพันธ์ทางอำนาจ และ
เสนอระบบหรือสถาบันในการจัดการทรัพยากรเศรษฐกิจ สังคมในรูปแบบใหม่ เพื่อให้สังคมมี
ทางเลือกทห่ี ลากหลายข้นึ ถอื วา่ เป็นกระบวนทัศน์ใหม่ต่อการมองการจัดการทางทรัพยากรเศรษฐกิจ
สังคม โดยมีฐานคิดและคุณค่าที่แตกต่างไปจากสิทธิของรัฐและปัจเจกชนที่อยู่ในกระบวนทัศน์เก่า

หลายประการ การเข้าใจสิทธิชุมชนไม่สามารถเข้าใจผ่านกรอบคิดเร่ืองระบบสิทธิของตะวนั ตกได้ ซ่ึง
หลกั การสำคญั ของสิทธิชมุ ชน มีดังต่อไปนี้

1) สิทธิชุมชน เป็นข้อตกลง กฎเกณฑ์ทางสังคม หรืออาจพัฒนาสู่ความเป็นสถาบัน
ร่วมกันของกลุ่มคนเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากร การจัดการทางเศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ กลุ่มคน
ดังกล่าวมีความสัมพันธ์ทางสังคมร่วมกัน หรือเป็น “ชุมชน” ลักษณะชุมชนนั้นมิได้ยึดติดกับชุมชน
หมู่บ้าน อันเป็นรูปแบบการปกครองของรัฐ แต่เป็นเครือข่ายทางสังคมของผู้คนที่มีวัฒนธรรมร่วมกนั
อยู่ในระบบนิเวศเดียวกัน มกี ารใช้ทรัพยากรรว่ มกนั หรอื มีแบบแผนการผลิตระบบเศรษฐกจิ เก่ียวข้อง
กัน ซ่งึ อาจจะมขี อบเขตชมุ ชนใดชมุ ชนหนึง่ หรอื หลายชุมชน หลายกลุ่มชาตพิ ันธุ์ ไมไ่ ด้จำกดแค่ชุมชน
ชนบท แต่ขยายครอบคลุมถึงเมือง เป็นเครือข่ายท้องถิ่นหรืออาจจะเป็นชุมชนในจินตนาการที่ผู้คน
สัมพันธ์ผ่านสื่อ หรือนิยามว่า เราเป็นพวกเดียวกัน มีความสัมพันธ์ ผ่านสิทธิร่วมกัน เช่น คนชรา คน
พิการ คนชายขอบ เป็นตน้ อาจสรุปได้วา่ สิทธชิ ุมชนตามความหมายกว้างดังกล่าวน้ี มิได้มีหน่วยของ
สทิ ธทิ ต่ี ายตวั เหมอื นสิทธปิ จั เจกชน แต่เป็นสิทธจิ ากความสมั พนั ธข์ องผคู้ นเกดิ เป็นชุมชนรว่ มกัน ซึง่ จะ
สัมพนั ธ์ในทางตรงหรอื ทางออ้ มก็เป็นได้

2) ด้วยความจำเป็นที่จะต้องจัดการร่วมกัน ชุมชนได้สร้างข้อตกลงหรือกติการ่วมกันใน
การจัดการทรัพยากร เศรษฐกิจ หรือสังคม ข้อตกลงที่เกิดขึ้นอาจมีเป็นลายลักษณ์อักษรตามรูปแบบ
การจัดการสมัยใหม่ที่เกิดจากความจำเป็นที่ต้องสร้างกฎเกณฑ์ในการจัดการ หรือเป็นกฎประเพณีท่ี
อยู่ในจิตสำนึก ในวัฒนธรรมที่ยึดโยงต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ร่วมกัน และได้ถูกพัฒนาปรับใช้กับสถานการณ์
ใหมๆ่ หรืออาจสรา้ งอำนาจศักดส์ิ ทิ ธิ์ขน้ึ มาเปน็ ตวั กำกับกติกาเสยี ใหม่ การได้มาซึ่งข้อตกลงก็เป็นเร่ือง
ของกระบวนการเรียนรู้ การต่อสู้ ต่อรอง ทั้งภายในชุมชน ระหว่างชุมชน หรือกับภายนอก ข้อตกลง
รว่ มของชมุ ชนจงึ มีการปรบั เปล่ยี นตามบริบททางเศรษฐกิจการเมือง และสงั คม ดงั น้นั ชมุ ชนจึงพัฒนา
รูปแบบสิทธิขึ้นใหม่มาก ซึ่งมีความเฉพาะเจาะจงกับบริบทของสังคมนั้น ๆ สิทธิชุมชนจึงมีขอบเขตที่
กว้าง ยืดหยุ่น ลื่นไหลและปรับเปลี่ยน มากกว่าจะกำหนดตายตัวโดยไม่ผันแปร แต่มีความ
เฉพาะเจาะจงกบบริบทแตล่ ะแห่ง มิใชม่ าตรฐานเดยี่ วตายตัวดังเชน่ สทิ ธิแบบรัฐ หรอื ปจั เจกชน

3) สิทธิชุมชน เป็นรูปแบบสิทธิเชิงซ้อน หมายถึง ภายใต้ข้อตกลงจัดการร่วมของชุมชน
จะมีสิทธิหลายประเภทแต่สัมพันธ์กัน เช่น สิทธิการครอบครอง สิทธิการใช้ สิทธิการจัดการ ซึ่งสิทธิ
แต่ละประเภทมีการปรับสร้างใหม่อยู่เสมอ และการซ้อนของสิทธิก็มีหลายระดับทั้งรูปแบบของสิทธิ
และเจ้าของสิทธิ เช่น บางเงื่อนไขสิทธิความเป็นเจ้าของทรัพยากรบางประเภทอาจเป็นของรัฐ หรือ
ปัจเจกชนในชุมชน แต่ทรพั ยากรบางประเภทอาจเป็นของชมุ ชน หรอื ไม่ว่าจะเป็นของใคร แต่ชุมชนมี
สิทธิในการใช้และสิทธิจัดการ หลักสำคัญของสิทธิชุมชน ก็คือ ในปริมณฑลของชุมชนที่สรรค์สร้าง
สิทธิขึ้นมา ไม่ว่าสิทธิการครอบครอง การใช้หรือสิทธิปัจเจกชนและชุมชน สิทธิแต่ละประเภทถูกจัด
สัมพันธ์กันภายใต้ความเป็นชุมชน ดังนั้นรูปแบบสิทธิที่พัฒนาขึ้นมาจึงมิได้แยกขาดออกจากกัน แต่

ต้องมกี ฎกติการ่วมของชุมชนซ้อนทบั อีกทหี น่งึ ดังนน้ั สทิ ธิปัจเจกชนที่อยู่ในชุมชน อาจไม่ใช่สิทธิแบบ
เบ็ดเสรจ็ (Absolute Rights) เหมอื นสิทธปิ จั เจกชนในสาธารณะก็ได้

4) สิทธิชุมชน มีลักษณะเน้นการมีส่วนร่วม หรือดึงภายนอกเข้ามาร่วมเกี่ยวข้องจัดการ
(Inclusive Rights) หมายถงึ มิไดก้ ีดกนั การมสี ว่ นร่วมจากภายนอก แตต่ ้องการให้ภายนอกเข้ามาร่วม
สนับสนุน ถ่วงดุล ในทุกระดับตั้งแต่ระดับท้องถิ่น สาธารณะ และรัฐ สิทธิชุมชนไม่ใช่สิทธิความเป็น
เจ้าของแบบเบ็ดเสร็จเช่นสิทธิรัฐ หรือปัจเจกชนที่เจ้าของใช้สิทธิตนเองกีดกันการเกี่ยวข้องจาก
ภายนอกอย่างสิ้นเชิง (Exclusive Rights) ดังเห็นได้จากการจัดการป่าชุมชนการทำกลุ่มออมทรัพย์
เศรษฐกิจชมุ ชน หรือการฟ้ืนฟอู ตั ลักษณข์ องทอ้ งถ่นิ ล้วนเปน็ สิ่งที่ต้องการ การสนบั สนนุ ของเครอื ข่าย
ทอ้ งถ่นิ ประชาสังคม และรฐั แต่อย่างไรกต็ ามลักษณะของการดงึ ภายนอกเข้ามาร่วมเก่ียวข้องจัดการ
ก็มิได้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ มิเช่นนั้นทรัพยากรที่ชุมชนใช้ร่วมกนจะกลายเป็นพื้นที่เสรี (Open
Access) ที่คนภายนอกจะเข้ามาทำอะไรก็ได้ ชุมชนได้สร้างเงือ่ นไข หรือกฎกติกาที่มีการควบคุมการ
ใช้จากภายนอก หรือมีลกั ษณะเป็นการกีดกนั ภายนอกอยู่ด้วย เงอ่ื นไขสำคญั ท่ีชมุ ชนใชก้ ีดกนั ภายนอก
ที่เข้ามาละเมิดสิทธิของเขาก็คือ สิทธิในการมีชีวิตอยู่รอด สิทธิเรื่องปากท้อง สิทธิในการธำรง
ความสัมพันธ์ทางสังคมของคน วิธีคิดเร่ืองสิทธิแบบนี้อาจจะแตกต่างจากตะวันตกที่ทุกคน (ใครก็ได้)
ล้วนมีสิทธิเท่าเทียมกันต่อทรัพยากรในทุกที่ แต่สิทธิของชุมชนให้ความสำคัญกับผู้ที่อยู่กินกับ
ทรพั ยากรเพ่ือความอยู่ รอดของชมุ ชนเป็นอันดับแรก ซึง่ คนภายนอกจะมาอ้างสิทธเิ พ่ือคุณภาพชีวิตที่
ดีของสังคมเมืองมาอยู่เหนือสิทธิการมีชีวิตรอดของชุมชนไม่ได้ ระดับของสิทธิการมีส่วนร่วมจึง
ลดหลั่นไปตามความจำเป็นพื้นฐานของชีวิตและสังคม แต่อย่างไรก็ตามลักษณะของการการกีดกั น
ภายนอกมักจะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งแย่งชิงทรัพยากร หรือในโครงสร้างการจัดการ
ทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกัน แต่โดยทั่วไป สิทธิชุมชนมักจะมีลักษณะการเน้นการมีส่วนร่วมมากกว่า
หลักการที่สำคัญอีกประการของการเน้นการมีส่วนร่วมก็คือ เป้าหมายของสิทธิชุมชนมิใช่เพ่ือ
ประโยชน์เฉพาะส่วนของชุมชนเท่านั้นแต่ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสังคมด้วย การรักษาป่า การ
จดั การลุ่มนำ้ การจัดการความหลากหลายทางชวี ภาพ ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ ลว้ นสรา้ งประโยชนต์ ่อสังคม
โดยรวม

5) อดุ มการณ์ของสทิ ธิชมุ ชนวางอย่บู นหลักพื้นฐานวาดว้ ยความยั่งยืนและความเป็นธรรม
ดังเหน็ ไดจ้ ากการจัดการปา่ จัดการน้ำ หรอื การทำออมทรัพย์ ธรุ กจิ ชมุ ชนของชาวบา้ นลว้ นต้องการให้
สมาชิกมีส่วนร่วม เข้าถึงทรัพยากร และได้รับการแบ่งปันทรัพยากรอย่างเป็นธรรม และการที่ชุมชน
จะอยู่รอดได้ก็ต้องอยู่บนฐานทรัพยากรที่ยังยืน การเลือกที่จะบริโภคให้หมดไป เป็นการทำลายทุน
ชีวิตของชุมชนโดยตรง ซึ่งอุดมการณ์สิทธิชุมชนดังกล่าวมีความแตกต่างจากสิทธิปัจเจกชนที่มุ่ งเน้น
ประสิทธภิ าพสงู สดุ จากการใช้ทรัพยากร ลักษณะการใช้ที่ว่าน้ีขดั แย้งกับหลักการเร่ืองความยั่งยืนและ
เป็นธรรมโดยตรง ขณะที่รัฐเองก็ถูกคาดหวังว่าจะมีกลไกเข้ามาจัดสรรทรัพยากรเพื่อยังยืนและเป็น
ธรรม แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกลับพบว่า รัฐเองมุ่งแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรอย่างล้าง
ผลาญ

6) สิทธชิ ุมชนบนเนอ้ื หาที่หลากหลาย ขบวนการเคลอื่ นไหวเรื่องสิทธิชุมชนที่โดดเด่นที่สุด
คือ การเคลื่อนไหวเรื่องป่าชุมชน และสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร แต่ขณะเดียวกันภายใต้
โครงสร้างอำนาจที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนมิได้มีแต่มิติทรัพยากร ชุมชนจำนวนมากได้อาศัยทุนทาง
สังคมของตนสร้างระบบ สถาบันการจัดการของตนเองเพื่อปรับสัมพันธภาพทางอำนาจในหลาย
รูปแบบ ไม่วาจะเป็นชุมชนแออัดในการเรียกร้องสิทธิในที่อยู่อาศัย การเกิดขึ้นของกลุ่มออมทรัพย์
ธุรกิจชุมชน ตลาดทางเลือก เศรษฐกิจชุมชน เพื่อต้านทานกระแสกลไกตลาดที่มุ่งผนวกระบบ
เศรษฐกิจของชุมชนใหพ้ ึ่งพาระบบเศรษฐกิจหลัก หรือกลุ่มชาติพันธุต์ ่าง ๆ ใช้ประเด็นด้านอัตลกั ษณ์
ทางชาติพันธุ์ (Ethnic Identity) ต่อสู้กับกระแสชาตินิยม กระแสวัฒนธรรมหลักที่พยามยามกลืน
วัฒนธรรมทอ้ งถิ่น หรือผลักให้อยู่ในสภาพชายขอบ นอกจากนี้ยังมีเนื้อหาต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เชน่
สิทธิชุมชนเมืองต่อวิถีความเป็นเมือง สิทธิสตรี สิทธิคนชรา สิทธิคนพิการที่เรียกร้องอัตลักษณ์ให้
ตนเองมีตำแหน่งแห่งทใี่ นสงั คม

7) สิทธิชุมชนเป็นขบวนการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยจากรากหญ้า ที่เกิดขึ้นในบริบท
โครงสร้างทางอำนาจในสังคมมีความไม่เท่าเทียมกัน รวมศูนย์อำนาจ ครอบงำทางวัฒนธรรมโดยใช้
วัฒนธรรมเดี่ยว (Monoculture) ที่ดูดกลืนความหลากหลาย และกีดกันชุมชนท้องถิ่นออกไปสู่ภาวะ
ชายขอบ สทิ ธชิ มุ ชนจงึ เป็นการต่อสู้เพ่ือปรับสัมพนั ธภาพทางอำนาจ สร้างตำแหน่งแห่งท่ีให้กับชุมชน
ผ่านกำหนดตัวตน โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อผลักดันสังคมไปสู่ความเป็นพหุลักษณ์ (Pluralistic
Society) ประชาธิปไตย หรือสังคมที่เคารพความหลากหลาย หรือมีนโยบายที่ให้แต่ละท้องถิ่น ส่วน
ต่าง ๆ ของสังคมได้มีเสรีภาพของตนเองในการกำหนดกติกาของวิถีชีวิต เศรษฐกิจทรัพยากรตามแต่
ภูมินิเวศวัฒนธรรมของตน แต่ทั้งนี้ก็อยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบร่วมกันของสังคมด้วย โดยรัฐ
ต้องเข้ามาทำหน้าที่ดงั กล่าว จึงเห็นได้ว่าสิทธิชุมชนมีทั้งความเป็นเฉพาะเจาะจงในตัวเองและมีความ
เป็นสากลไปพร้อมกัน ความเป็นสากลในเชิงนโยบายคือ รัฐต้องมีนโยบายสนับสนุน ชุมชนมีสิทธิเสรี
ภาพในการกำหนดกฎกติกา ระบบสทิ ธิการจัดการ ทรพั ยากร เศรษฐกิจ วิถชี ีวติ วัฒนธรรมของตนเอง
และมีกลไกสนับสนุนความเข้มแข็งของชุมชนส่วนความเฉพาะเจาะจงคือ แต่ละชุมชน ท้องถิ่นจะ
กำหนดรูปแบบสิทธิอย่างไรนั้น ก็ไปตามบริบททางสังคมเศรษฐกิจ วัฒนธรรมของตนเองไม่สามารถ
กำหนดให้เป็นมาตรฐานเดี่ยวหรือเป็นรูปแบบตายตัวได้ นัยของสิทธิชุมชนดังกล่าว จึงมีความลึกซึ้ง
กว้างขวางกว่าคำว่า “กระจายอำนาจ” “การมีส่วนร่วม” “ประชาสังคม” “ธรรมรัฐ” ซึ่งเป็นคำที่มี
ความหมายล่องลอย(Floating Significance ) ที่รัฐหรือทุนหยิบมาใชโ้ ดยขาดวิญญาณเพื่อประชาชน
คนชายขอบอยา่ งแทจ้ ริง

3. แนวคิดการปรบั ตวั บนฐานของชมุ ชนตอ่ การเปล่ียนแปลงสภาพภมู ิอากาศ

3.1 ภูมิปัญญาท้องถิ่น (Traditional ecological knowledge) กับ การปรับตัวต่อ
ภาวะความแปรปรวนของสภาพภมู ิอากาศ

การใช้กรอบแนวคิดในการวิเคราะห์ภูมิปัญญาท้องถิ่นของ (Berkes and Folke, 2000)
เนน้ ระดับการวเิ คราะหใ์ น 4 ระดับคอื (1) ชุดความรู้เชิงเทคนิคในการใช้ประโยชนท์ รัพยากรธรรมชาติ
(Knowledge of land, animals) (2) ชุดความรใู้ นความเช่ือมโยงของทรัพยากรชีวภาพและกายภาพ
ในระบบนิเวศ เป็นความรู้จากการสังเกตธรรมชาติ สังเกตความสัมพันธ์ของพันธุ์พืช สัตว์ในระบบ
นิเวศ ขณะที่เข้าใช้ประโยชน์หรือจัดการ (Land and resource management knowledge
systems) ซึ่งรวมถึงความรู้ต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระบบนิเวศและการรับมือต่อการ
เปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (3) ชุดความรู้เชิงการจัดการสถาบัน
(Institution) ที่กำหนดลักษณะความสัมพันธ์ของคนในสังคมต่อกันเอง และต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การ
เคารพต่อธรรมชาติ การช่วยเหลือเกื้อกูลกันในสังคม รวมทั้งกฎเกณฑ์ กติกา ค่านิยมต่างๆ ในสังคม
และ (4) ชุดของความคิดความเชื่อที่ควบคุมพฤติกรรมที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติ (Worldview) เป็น
การเรียนรู้จากการผลิตซ้ำของผลที่เกิดขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์แบบต่างๆ ต่อสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิด
เป็นความคิดความเชื่อในการควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคมต่อสิ่งแวดล้อมที่ตนพ่ึงพา ซึ่งทั้งส่สี ่วน
หลักน้ีมคี วามเช่ือมโยงกันและกัน และปรับเปลย่ี นไปตามการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึน ผ่านกระบวนการ
เรยี นรู้ของชาวบ้านทง้ั ระดบั ปจั เจก และระดับชมุ ชน

Riedlinger and Berkes (2001), Hahn et al. (2006), Nyong et al. (2007) แ ล ะ
Adger et al. (2009) ต่างก็ให้ความสำคัญกับองค์ความรู้ทางนิเวศวิทยาที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นใน
ฐานะองค์ประกอบหลักของกระบวนการทางสังคมที่ก่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการรับมือกับความ
เปลยี่ นแปลงจากภายนอก โดยเฉพาะการเปลยี่ นแปลงสภาพภมู อิ ากาศ องคค์ วามร้ทู างนเิ วศวิทยาเอ้ือ
ให้เกิดการติดตามความเปลี่ยนแปลงทั้งในสภาพธรรมชาติ และผลกระทบอันเกิดจากกิจกรรมต่างๆ
ของมนุษย์ลำมาสู่การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น การประสานองค์ความรู้จากหลายระบบ
ทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่น และความรู้ทางวิทยาศาสตร์ช่วยเสริมศักยภาพขององค์กรทางสังคมในการ
จดั การทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะระบบการพยากรณ์อากาศและความรู้เชิงเทคนคิ ทางการเกษตร
ในการรบั มอื กบั ความแปรปรวนและความเปล่ียนแปลงของสภาพภมู ิอากาศ

ภาพท่ี 1 : ระดบั ของการวเิ คราะห์องค์ความรู้ท้องถ่นิ และระบบการจดั การ
(Berkes and Folke, 2000)

3.2 การปรับตัวบนฐานของชุมชนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Community-
based adaptation to climate change)

การปรับตัวต่อความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศเป็นวิถีปกติที่ดำรงมาช้านานของ
เกษตรกร แต่มีปจั จยั น่าสนใจบางประการที่นำไปส่ขู ้อสรุปที่วา่ รูปแบบและกระบวนการในการปรับตัว
ในอดตี นั้นไมส่ ามารถนำมาใชใ้ นการรบั มือกับการเปลยี่ นแปลงของสภาพภมู ิอากาศในอนาคตได้

ประการที่ 1 ความรุนแรงของผลกระทบ : ความรุนแรงของผลกระทบที่มีต่อชุมชนหรือ
เกษตรกรจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันเนื่องมาจากการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้น
ขึ้นอยู่กับมาตรการการลดผลกระทบและการปรับตัวที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ดังนั้นสภาพภูมิ อากาศใน
อนาคตจึงมคี วามเปลย่ี นแปลงเชิงสัมพทั ธ์

ประการที่ 2 ช่วงเวลาของการเปลีย่ นแปลงของสภาพภูมิอากาศ : ชุมชนหรือเกษตรกรไม่
สามารถคาดการณ์ความแปรปรวนของสภาพอากาศได้ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น มีหลายครั้งเกษตรกร
ตอ้ งเผชิญกับภาวะฝนแลง้ นำ้ หลาก เป็นวิกฤตที่รุนแรงเกนิ การจัดการ

ประการที่ 3 ขนาดพื้นที่ของผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ : จาก
เมื่อก่อนที่ผลกระทบเกิดในพื้นที่เล็กๆ รับมือได้ในชุมชน ปัจจุบันมีแนวโน้มที่วิกฤตเกิดขึ้นในพื้นที่ท่ี
กว้างขึ้น การรับมือกับผลกระทบต้องการการเชื่อมร้อยความช่วยเหลือในพื้นที่ที่กว้างกว่าชุมชนใด
ชุมชนหนึง่

ประการที่ 4 ผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งเชิงเวลาและพื้นที่ : การรับมือกับความแปรปรวนของ
สภาพภูมิอากาศตอ้ งการการคำนึงความเชอ่ื มโยงของผลกระทบระยะสน้ั ระยะยาว จากตน้ น้ำสู่ปลาย
นำ้

ประการที่ 5 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความยั่งยืน และความยากจน : การ
เปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นอีกปัญหาหนึ่งท่ียิ่งหย่อนไปกว่าปัญหาการพัฒนาในระดับโลกที่
ดึงทรัพยากรธรรมชาติ การจัดองค์กร และสถาบันทางสังคม โลกทัศน์ ระบบการจัดการทรัพยากร
ระบบความรู้ต่อทรัพยากรมาใช้อย่างไม่ยั่งยืน ชุมชนเองหรือเกษตรกรต่างก็มีการจัดการ
ทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่บนคำถามของความยั่งยืน ที่ยังต้องการการเสริมศักยภาพเพื่อให้เกิดการ
จัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ประเด็นเรื่องการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพ
ภูมิอากาศจะสอดประสานกับปัญหาในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างไรเพื่อให้เกิดการปรับตัว
บนฐานของชุมชนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืนในการจัดการ
ทรพั ยากรธรรมชาติ

ความเสี่ยงจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของ
เกษตรกรทง้ั ในรปู ของผลกระทบท่ีเกิดข้ึนในปจั จุบนั และผลกระทบทีส่ ะสมซ่ึงจะส่งผลใหเ้ กิดวิกฤตใน
อนาคต ดังนั้นการพิจารณาในมุมมองการพัฒนาชุมชน หรือการจัดการทรัพยากรธรรมชาติบนฐาน
ของชุมชนจึงมีความจำเป็นต้องรวมประเด็นการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้าไว้ใน
กรอบแนวคิดเดียวกัน ทงั้ นม้ี ีมุมมองท่ีขยายระยะเวลาให้ยาวขึ้นสู่การเปลยี่ นแปลงสภาพภูมิอากาศใน
อนาคต

3.3 ความไวตอ่ ผลกระทบของระบบนิเวศทะเลและชายฝัง่ และวิถีประมงชายฝ่งั

ระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งที่สำคัญประกอบด้วย ป่าชายเลน แหล่งหญ้าทะเล
แนวปะการัง และชายหาด ซงึ่ ระบบนเิ วศท้ัง 4 ตา่ งกเ็ ปน็ แหล่งพึ่งพาของวถิ ีประมงชายฝงั่ การเปิดรับ
ผลกระทบของระบบนิเวศทะเล และชายฝั่งจากการแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศและการ
เปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในระยะยาวประกอบด้วยปัจจัยทางด้านอุณหภูมิ ความเค็ม ความ
เป็นกรด ปริมาณตะกอนแขวนลอย สารอาหารของน้ำทะเล ความปั่นป่วนจากคลื่นกระแสน้ำ
ระดับน้ำทะเล ความเข้ม หรือปริมาณของแสง ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางภูมิอากาศ ได้ท้ัง
ทางตรงและทางอ้อม เช่น อุณหภูมิอากาศ ลมมรสุม ความถี่ และความรุนแรงของพายุ ปริมาณฝน
และนำ้ ทา่ (สวุ ลกั ษณ์ สาธมุ นัสพนั ธ์ุ, 2554) สิง่ มีชีวีตใิ นระบบนเิ วศทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งทรัพยากร
ประมง จึงมีความไวต่อผลกระทบจากการเปิดรับผลกระทบจากการแปรปรวนของสภาพภมู ิอากาศใน
ขณะที่วิถีประมงชายฝั่งต้องพึ่งพาทรัพยากรประมงในระบบนิเวศทะเลและชายฝั่ง ด้วยเหตุนี้การ
ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจึงมีความจำเป็นต้องมีลักษณะที่ยืดหยุ่น (Resilience) มีการ
จัดการทรัพยากรอย่างยืดหยนุ่ และปรับตัว (Adaptive management) ภายใต้กระบวนการเรียนรู้ต่อ
ความเปล่ียนแปลงท่เี กดิ ข้นึ

4. แนวคดิ เก่ยี วกบั นเิ วศวทิ ยาสงั คม

4.1 ความหมายของคำวา่ นเิ วศวทิ ยา

คำว่า “นิเวศ” “นิเวศน์” แปลว่า ที่อยู่ บ้าน วัง ส่วนคำว่า นิเวศวิทยา มาจากคำ
ภาษาอังกฤษ “Ecology” คือ วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับถิ่นที่อยู่และ
สิ่งแวดลอ้ ม ในทางมานษุ ยวิทยา หมายถงึ การศกึ ษาเกี่ยวกับการดัดแปลงวฒั นธรรมของมนุษย์ให้เข้า
กบั สง่ิ แวดล้อมตามรากศพั ท์มีตน้ กำเนดิ มาจากภาษาคำในภาษากรกี 2 คำคือ Oikos และ Logos

คำว่า Oikos มีความหมายว่า บ้านหรือที่พักอาศัย ส่วนคำว่า Logos มีความหมายว่า
การศึกษา เมื่อรวมศัพท์ทั้งสองเข้าด้วยกันจงึ มีความหมายวา่ เป็นการศึกษาถึงสิ่งมีชีวิตในที่พักอาศยั
(The study of organisms in their home) คำว่า Ecology นี้มักจะให้ความหมายในการศึกษาเชิง
วิทยาศาสตร์ว่าเป็นการศึกษาความสัมพันธ์ของชีวิตกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต
กบั ส่งิ แวดล้อมของมนั

คำวา่ “นเิ วศวทิ ยา” เรม่ิ ใชใ้ นจดหมายเหตุของ เฮนร่ี โธรัว (Henry Thoreau) ต้ังแต่ปี
ค.ศ. 1858 ไรเตอร์ (Reiter) ไดน้ ำคำนีม้ าใช้ในผลงานของเขาซ่ึงพิมพ์ไว้เปน็ หลักฐานในปีค.ศ. 1865
แม้ว่านิเวศวิทยาได้แยกตัวออกมาจากชีววิทยาแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักและสนใจกันเท่าทีค่ วร
จนกระท่ังในปคี .ศ. 1866 นกั สัตววิทยาทา่ นหนึ่งคือ เอิรน เฮกเคล (Ernst Haeckel)

ไดน้ ำเอาคำนีข้ ึน้ มาใชใ้ นความหมายของความสมั พันธร์ ะหว่างสัตว์กบั ส่ิงแวดล้อมทั้งท่ีมี
ชีวิตและไม่มีชีวิต และได้นิยามไว้ว่า “นิเวศวิทยาเป็นการศึกษาที่เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์สิ่งต่างๆ
อย่างประหยัดคือการศึกษาสังเกตความสัมพันธ์ทั้งมวลของสัตว์กับสิ่งแวดล้อมที่เป็นอินทรียวัตถุ
(สิ่งมีชีวิต) และอนินทรียวัตถุ (สิ่งที่ไม่มีชีวิต)” นับเป็นการแผ้วถางแนวทางการศึกษาทางนิเวศวิทยา
ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ที่สนใจในรุ่นต่อมาจนยกย่องให้ เอิรน เฮกเคล (Ernst Haeckel) เป็นบิดาแห่ง
วิชานเิ วศวทิ ยาและเป็นผ้กู ่อต้งั สถานด้านน้ี

คำนิยามจากนักนิเวศวิทยาที่สำคัญอาทิ ชาร์ล เอลตัน (Charles Elton) กล่าวว่า
นิเวศวทิ ยาคอื วิทยาการดา้ นประวัติศาสตร์ของธรรมชาติท่ีเกย่ี วขอ้ งกับสงั คมศาสตร์และเศรษฐศาสตร์
ของสัตว์ เอช.เจ.ออสตริง (H. J. Oosting) กล่าวว่านิเวศวิทยาคือการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่มีส่วน
สมั พนั ธก์ บั สภาพแวดล้อม

งามพิศ สัตย์สงวน กล่าวว่า นิเวศวิทยาเป็นแนวคิดที่ให้ความสำคัญด้านการผสม
กลมกลืนอย่างมี ดุลยภาพของระบบนิเวศ (Ecological Harmony) มีการสร้างระบบใหม่บน
พื้นฐานของการสร้างความสัมพันธ์อย่างมีดุลยภาพระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและระหว่างมนุษย์
ด้วยกัน โดยถือว่าเป้าหมายสูงสุด คือ การสร้างความยั่งยืนของระบบนิเวศ การพัฒนาความเจริญ
ทางด้านวัตถุควรดำเนินควบคู่ไปกับการพัฒนาความเจริญทางด้านจิตใจ ความเจริญทางด้าน
เทคโนโลยีมีผลทั้งด้านบวก (Positive)และด้านลบ (Negative) จึงควรใช้เทคโนโลยีอย่างระมัดระวัง
พร้อมทั้งยึดถือหลักการที่ว่าทรัพยากรธรรมชาติมีปริมาณจำกัด ความสามารถในการรองรับระบบ
นิเวศ ความสามารถในการดูดซึมมลภาวะมีกิจจำกัด การอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงมี
ความหมายยง่ิ ตอ่ การส่งมอบมรดกธรรมชาติใหแ้ กค่ นรุ่นต่อไป

จากคำนิยามต่างๆที่กล่าวมาแล้วนี้พอสรุปได้ว่านิเวศวิทยาคือการศึกษาความสัมพันธ์
ระหวา่ งสิง่ มีชีวติ กบั ปัจจัยแวดล้อมทางท่ีเป็นสง่ิ มีชวี ติ และไมม่ ีชวี ติ ในธรรมชาตทิ ำให้เกิดความสัมพันธ์
จนเปน็ ระบบเรยี กวา่ ระบบนเิ วศ (Ecosystem)

4.2 นเิ วศวิทยาทางสงั คมและวฒั นธรรม

วศนิ า จนั ทรศิริ และ สิริพิชญ์ วรรณภาส ได้กล่าวถึง ระบบนิเวศทางสังคมและวัฒนธรรม
(Society) เป็นวิธีตั้งถิ่นฐานและที่อยู่อาศัยร่วมกันของมนุษย์โดยเข้าสังคมเป็นกลุ่มขนาดต่างๆ เพื่อ
สนองตอบธรรมชาติของการเป็นสัตว์สังคมและจำเป็นต้องอยู่ด้วยกันเป็นหมู่เหล่าหน่วยทางสังคม
ขนาดเล็กที่สุดได้แก่ “ชุมชน” (Community) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกันของปัจเจกบุคคลด้วยความมี

สำนึกและจุดหมาย บางประการร่วมกันมากกว่า 2 คนขึ้นไป เมื่ออยู่รวมกันเป็นกลุ่มและรวมตัวกัน
เป็นหน่วยงานสังคมแบบต่างๆ แล้วมนุษย์จำเป็นต้องสร้างวิธี ประพฤติปฏิบัติเพื่ออยูร่ ่วมกันในสงั คม
ด้วยสนั ตสิ ุข สร้างวธิ ีสอ่ื สารและสรา้ งความเข้าใจกันซึ่งก่อใหเ้ กิดวัฒนธรรมภาษาและระบบสัญลักษณ์
ต่างๆการสัง่ สมประสบการณบ์ นั ทกึ ถ่ายทอดและกลอ่ มเกลาสมาชิกให้สามารถปรับตัวและเรียนรูเ้ พ่อื
เจริญเติบโตเกิดความงอกงาม ก่อให้เกิดวัฒนธรรมในการเรียนรู้และจัดการอบรมการจัดระบบเพ่ือ
ผลิตทำมาหากินและจัดการเกี่ยวกับปัจจัยในการดำเนินชีวิต ก่อให้เกิดวัฒนธรรมทางการผลิตการ
แลกเปลี่ยนแบ่งปนั บริโภคความต้องการในการกล่อมเกลาพัฒนาชวี ติ ดา้ นใน และสิ่งสะท้อนพลังชีวิต
ด้านในของมนุษย์ ก่อให้เกิดงานความสร้างสรรค์ทั้งเพื่อการใช้สอยความสุนทรียภาพและความเบิก
บานความรื่นรมย์ใจ เช่น ดนตรี นาฏศิลป์ ศิลปะ วรรณกรรม หัตถกรรม งานช่าง และงานฝีมือความ
ต้องการจัดความสัมพันธ์กับสิ่งศรัทธาที่อยู่เหนือมนุษย์ ก่อให้เกิดศาสนาและระบบความเชื่อ ความ
จำเป็น ในการจัดความสัมพันธ์ทั้งในเชิงแข่งขันและร่วมมือสมานกลมกลืนกันระหว่างสังคมและหมู่
คณะที่แตกต่าง ทำให้เกิดวัฒนธรรมในการติดต่อสื่อสาร คมนาคม สร้างวัฒนธรรมในการแลกเปลี่ยน
ซื้อขาย ตลอดจนทำกิจกรรมเศรษฐกิจสังคมในระดับต่างๆดว้ ยกัน สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่ออยู่ร่วมกัน
ในสังคมเหล่านี้ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “วัฒนธรรม” (Culture) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็หมายถึงระบบ
วิธีคิด ภูมิปัญญา และแบบแผนสำหรับประพฤตปิ ฏิบัติเพื่อการอยู่รว่ มกันของผู้คนในสังคมและระดับ
ชุมชนต่างๆ ในเชิงระบบนิเวศทางสังคมและวัฒนธรรม จะเป็นแนวคิดที่เน้นวัฒนธรรมที่มีความเป็น
วิถีชีวิต อิงอยู่กับบริบท เป็นส่วนหน่ึงในความเป็นชีวิตและในความเป็นมนุษย์เป็นระบบความคิด
ความเชื่อ ความศรัทธา รวมทั้งระบบการปฏบิ ัตแิ ละระบบการทางวัตถุทีเ่ ป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์
และจดั ความสมั พนั ธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม

แนวคดิ เชงิ ระบบนิเวศวทิ ยาสังคมและวฒั นธรรมนจี้ ะเปน็ ระบบวธิ ีคิดทช่ี ่วยวัฒนธรรมและ
ภูมิปัญญาเกี่ยวกับสรรพสิ่งทางด้านวัตถุและวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีแนวทางที่จะเชื่อมโยง
เข้าหากันได้อย่างสนิท ไม่แยกส่วนออกจากกันเป็นคนละเรื่อง ส่งผลให้เกิดความเข้าใจและเห็น
แนวทางปฏบิ ตั ติ ่างๆ ต่อมนษุ ย์กับสังคม ท่ีสามารถสนองตอบต่อสภาพการณ์ตา่ งๆ ในปจั จุบันได้อย่าง
เหมาะสมกลมกลืนอย่างมากขึ้น มนุษย์กับระบบนิเวศทางสังคมและวัฒนธรรม หรือบริบทของ
ปรากฏการณ์จำเพาะต่างๆ ของมนุษย์กับมิติสิ่งแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรมจะไม่แยกส่วนออก
จากกัน ความเป็นสาธารณะ ตลอดจนความเป็นส่วนรวมเพื่อการอยู่ร่วมกันจะมีทัศนะพื้นฐานรองรับ
ให้มีความกว้างขวาง และเอื้อเฟื้อต่อความแตกต่างหลากหลายของเพื่อน มนุษย์ เพื่อการอยู่ร่วมกัน
และสร้างสรรค์สุขภาวะสาธารณะร่วมกันได้อย่างสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน ทั้งของสังคม
ท้องถิ่นและสังคมโลกได้มากยิ่งขึ้น ระบบนิเวศวิทยาสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นปฏิสัมพั นธ์และ
ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม ทางด้านสังคมและวัฒนธรรม ครอบคลุมแบบแผนและ
กระบวนการก่อเกิด การดำรงอยู่ พัฒนาการ ความเคลื่อนไหวและความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและ
วัฒนธรรม นับแต่ระดับความเป็นองค์ความรวมของมนุษย์ ทั้งด้านร่างกาย ชีวิต จิตใจ และมิติจิต

วิญญาณ เป็นศูนย์กลางไปจนถึงการจัดความสัมพันธ์กับสิ่งสูงสุด ที่อยู่เหนือมนุษย์อันได้แก่ ระบบ
ความเชื่อ ความศรทั ธาความสำนกึ สากลและจิตจักรวาลสามารถแสดงใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งเปน็ ระบบ

ความสมั พันธ์นี้ส่งผลต่อนิเวศวิทยาสังคม ซงึ่ มงุ่ เนน้ การวิเคราะห์องคป์ ระกอบ 3 ประการ
คือ วิถีชีวิตเศรษฐกิจ และสังคม ที่สามารถเปลี่ยนแปลงตามพลวัตของการพัฒนาสังคมกระแสหลักที่
มงุ่ พฒั นาเศรษฐกจิ แบบทุนนยิ ม

5. ทฤษฏภี าวะทนั สมยั

แนวคิดและทฤษฏีท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาสงั คมที่ผ่านมาอยู่บนฐานความคิดของการ
พัฒนาสังคมกระแสหลัก ที่ให้ความสำคัญกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (Growth-Only
Development Approach) โดยรวมศูนย์กลางการพัฒนาไว้ที่ส่วนกลาง ทิศทางในการพัฒนาส่วน
ใหญ่จึงถูกกำหนดจากรัฐบาลและเอกชนโดยอาศัยระบบทุนนิยมเป็นหลัก และจากการที่แนวคิดการ
พัฒนากระแสหลักให้ความสนใจเพียงการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Development)
แบบตะวันตก การพัฒนาจึงเป็นกระบวนการสร้างความทันสมัย (Modernization) ที่มุ่งเน้นในเชิง
ปรมิ าณหรอื การเติบโตทางวตั ถุเพียงดา้ นเดียว ประเทศท่ีพฒั นาแลว้ อย่างประเทศโลกตะวันตกจึงเข้า
มามีบทบาทอย่างกว้างขวางในการกำหนดรูปแบบและทิศทางในการพัฒนา และถ่ายทอดแนวคิด
ดังกล่าวลงสู่ประเทศโลกที่สาม ( The Third World ) ซึ่งนับเป็นการเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการ
กำหนดทิศทางการพัฒนาของสังคมโลกเป็นอย่างยิ่ง และเป็นที่มาของการแพร่กระจายระบบ
เศรษฐกิจแบบทุนเสรีนิยม การพัฒนาของประเทศโลกที่สามจึงเป็นไปในรูปแบบของการพึ่งพิง
(Dependency Development) แทบทั้งสิ้น เช่น โครงการช่วยเหลือแบบให้เปล่าต่างๆ หรือการส่ง
ผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำ อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า ผลที่เกิดจากการลอกเลียนแบบของ
ประเทศด้อยพัฒนาเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับประเทศต้นแบบ ผลที่เกิดขึ้นคือเกิดปัญหาต่างๆ
ตามมาอีกมากมาย ทั้งในแง่การสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ การถูกครอบงำทางความคิด ความ
ล้มเหลวในการจัดการศกึ ษา ตลอดจนปญั หาสงั คม

ลักษณะที่สำคญั ของสงั คมท่ีเปลย่ี นแปลงไปสคู่ วามทันสมยั ประกอบด้วย: (พชั รินทร์ สริ สนุ ทร, 2547)

1. การเปลี่ยนแปลงวิถกี ารดำเนินชวี ิตและเทคโนโลยีในการดำรงชวี ิตจากแบบเรยี บง่ายในสังคมจารีต
ไปสกู่ ารดำรงชีวติ ทอี่ าศยั ความรูแ้ ละเทคโนโลยรี ะดับสูง มคี วามเป็นวิทยาศาสตร์มากขึน้

2. เปลี่ยนแปลงระบบการผลิตจากเกษตรกรรมแบบยังชีพ หรือการทำการเกษตรในที่ดินแปลงเล็ก
เพื่อบริโภคในครัวเรือน เป็นการผลิตขนาดใหญ่เพื่อขาย มีการจ้างแรงงานภายนอกครอบครัวหรือ
ชมุ ชนแทนการใช้แรงงานในครอบครัว

3. มีระบบอุตสาหกรรมในโรงงานและการใช้เครอ่ื งจกั รกลเพ่ิมมากขึน้ โดย สทุ ิพย์พร โชติรตั นศกั ดิ์

4. วิถีชวี ติ ของคนเปลี่ยนแปลงจากความสัมพนั ธ์แบบไมเ่ ปน็ ทางการเปน็ แบบเป็นทางการ

5. เกดิ เมืองเพมิ่ ขึน้ และมกี ารขยายตัวของสงั คมเมือง

6. มกี ารสรา้ งโครงสร้างพ้ืนฐาน เช่น ถนน สาธารณูปโภค โรงเรียน โรงพยาบาล

7. เกดิ ชนชั้นกลางและผปู้ ระกอบการ (Entrepreneur) เพม่ิ ขน้ึ

8. มีการเปลี่ยนแปลงระบบความเชื่อของคนจากอำนาจเหนือธรรมชาติ ครอบครัวและชุมชนนิยม
เป็นความคิดเชงิ เหตผุ ล ปัจเจกชนนิยมและวัตถนุ ยิ ม

9. โครงสรา้ งของครอบครัวเปล่ยี นแปลงจากครอบครัวขยายเป็นครอบครัวเด่ียว

10. สถาบันทางสงั คมตา่ งๆมีความสลับซบั ซอ้ นเพม่ิ มากขึน้

11. การจัดระเบียบทางสังคมใช้กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เป็นลายลักษณ์อักษรมากขึ้นแทนที่
บรรทัดฐานและวิถปี ระชาทีใ่ ช้กันในสงั คมจารตี

6.แนวคิดการปรบั ตวั เชิงนเิ วศ

แนวคิดเรื่องการปรับตัวของชุมชนเชิงนิเวศ เป็นแนวคิดที่เชื่อมต่อระหว่างฐานคิดบน
ระบบนิเวศ (ecosystem based approach) กับการปรับตัวของชุมชน (Community based
approach: CBA) แนวคิดทั้งสองจะตั้งอยู่บนฐานคิดของระบบนิเวศ จะมองเรื่องของความ
หลากหลายทางชีวภาพ และการให้บริการทางนิเวศที่จะช่วยให้ ผู้ คนปรับตัวต่อผลกระทบของการ
เปลยี่ นแปลงของสภาพภมู ิอากาศ ขณะเดียวกนั แนวคดิ เรื่องการปรบั ตวั ของชุมชน (CBA) ได้ถูกนิยาม
ว่าเป็นเสมือนแนวคิดที่เน้นกระบวนการทีน่ ำโดยชุมชน ท่ีอยู่บนพ้ืนฐานของชุมชน ท้ังในเร่ืองของการ
ให้ความสำคัญ ความต้องการ ความรู้ สมรรถภาพ กับพลังอำนาจของผู้คนในการวางแผนการปรับตัว
และการรับมือของผู้คนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งแนวคิดทั้งสองในปัจจุบันนี้ยังเป็น
แนวคิดที่แยกออกจากกัน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทำการบูรณาการของ ฐานคิดบนระบบนิเวศกับ
การปรับตัวของชุมชน น้ันมีหลักการที่ต้องร่วมกันอภิปรายในการที่จะบรูณาการแนวคิดของทั้ง 2
แนวคดิ ดังนี้ (Reid et al., 2013: 28-29)

- ผลลพั ธท์ ีไ่ ดท้ า้ ยสุดนน้ั เป็นการมุ่งไปทก่ี ารทำใหผ้ ้คู นสามารถรบั มือต่อการเปลี่ยนแปลงได้

- ฐานคดิ บนระบบนเิ วศกบั การปรับตัวของชุมชน นัน้ เป็นผลลพั ธท์ ส่ี ำคญั และเป็นส่ิงทจ่ี ะต้องทำให้มัน
ประสบความสำเรจ็

- ผลประโยชน์ร่วมที่ได้รับจากการบูรณาการแนวคิดของฐานคิดระบบนิเวศและการปรับตัวของชุม
รว่ มกนั นัน้ จะสามารถนำไปสู่การขับคาร์บอน ความม่นั คงทางอาหาร ลดความเสยี่ งเรอื่ งภยั พบิ ัติ

- มีสภาวะการจัดการบางอย่างท่ีต้องได้อย่างเสยี อยา่ งเมื่อลงมือทำ ตัวอยา่ งเช่น พื้นที่ลุ่มน้ำกับหน่วย
ของการบริหารจัดการ ระยะเวลาท่สี ้ันหรือระยะเวลาท่ยี าวนานจนเกนิ ไปก็มีผลต่อการวางแผนในการ
ปรับตัว ซ่ึงมันเป็นสง่ิ ทีไ่ ด้อย่างเสยี อยา่ งและควรระวัง

- บ่อยครั้งคนยากจนเป็นกลุ่มคนที่เป็นกลุ่มคนที่เปาะบางและเป็นกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากการ
เปลี่ยนแปลง ดังนั้นการมีส่วนร่วมอย่างแทจ้ ริงของชุมชนนั้นจะต้องให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มใน
การจัดการตนเองมากกว่าทจี่ ะเป็นรับคำปรึกษาเพยี งอยา่ งเดยี ว

- ทั้งแนวคดิ ของฐานคดิ บนระบบนิเวศกบั การปรบั ตัวของชุมชน เป็นแนวคดิ ที่เน้นการทำงานแบบล่าง
ขึ้นบน แต่ปัญหาที่พบที่สำคัญจะทำอย่างไรถึงจะทำให้มันเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงไม่
ละเลยในเรื่องของระบบนิเวศ

- เครื่องมือและกรอบของการทำงานในปัจจุบันสำหรับการตรวจสอบและประเมิลผลนั้นไม่เพียงพอ
สำหรับการทำงานในเรื่องของปญั หาท่ีเกยี่ วข้องกับระบบนิเวศ

- แนวคิดบนฐานคิดของระบบนิเวศ ได้นำเสนออยู่บนพื้นฐานขององค์ประกอบ 4 อย่างที่สำคัญคือ
การสร้างบริบทของการปรับตัว เลือกตัวเลือกของแนวคิดการปรับตัว ตัดสินใจในเรื่องของการ
เปลี่ยนแปลง และปรับเข้ากับการทำงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในการบูรณาการแนวคิดของ
ฐานคิดบนระบบนิเวศกับการปรับตัวของชุมชน โดยใช้เป็นยุทธศาสตร์ในการพัฒนาที่สำคัญขงชมุ ชน
กล่าวคือ การนำแนวคิดเรื่องระบบนิเวศมาบูรณาการร่วมกับแนวคิดของการปรับตัวของชุมชนนั้น
ตั้งอยู่บนฐานคิดของนักวิชาการที่ได้นำเสนอ ในเรื่องของการนำวิธีการศึกษาบนฐานคิดของระบบ
นิเวศมาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอย่าง Gabriel Kulwaum (2013, cite in Reid et al., 2013: 29)
ทีม่ องว่าระบบนิเวศกบั การดำรงชวี ติ ของผคู้ นน้ันเปน็ ส่งิ ท่ีไมส่ มควรแยกออกจากกนั การศกึ ษาในเรื่อง
ของการปรับตัวของชุมชนจึงเป็นการศึกษาที่เน้นให้ชุมชนได้เข้ามาร่วมในการบริหารจัดการ
ทรัพยากรธรรมชาติด้วยตนเอง ไม่ใช่ตัวรัฐบาลเป็นผู้ออกแบบให้ แนวคิดของการปรับตัวของชุมชน
เชิงนิเวศเมื่อถูกน าเสนออย่างเป็นขั้นตอนแล้วจึงควรนำเอามาผนวกกับเรื่องของการบริหาร
ทรพั ยากรธรรมชาติโดยชุมชน (commons governance) แรกเร่มิ เดิมทเี ป็นแนวคดิ ของพวกนักนิเวศ
สงัคมนิยมที่เสนอว่า ระบอบกรรมสิทธิ์ต้องเป็นสมบัติของส่วนรวม บริหารจัดการโดยชุมชน บน
พื้นฐานของประชาธิปไตย รากหญ้า ผสมผสานกับหลักการแห่งความย่ังยืนของธรรมชาติ ซึ่งนักคิดคน
สำคัญที่นำเสนอแนวคิดดังกล่าวคือ E. Ostrom (อ้างถึงใน ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ และคณะ, 2556)
เสนอหลกั การจัดการทรัพยากรนน้ั จะต้องเป็นไปในลักษณะของการจัดการทรัพยากรบนจะต้องสร้าง
เศรษฐกิจสีเขียว ที่มีฐานมาจากชุมชนท้องถิ่นรากหญา้ มีหลักการของการบริหารจัดการทรัพยากรใน
ชมุ ชนนน้ั จะต้องประกอบไปด้ วยองค์ประกอบ 4 อย่างดงั นี้

- พ้นื ทีส่ าธารณะในชมุ ชน (commons-public Sphere)

- การมรี ่วมของคนในชมุ ชน (collective action)

- ชุมชน (community)

- สิทธิในการการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกต้องชอบธรรมโดยชุมชน common-pool
property rights

ในการจัดการทรัพยากรร่วมกันท่ามกลางยุคของสภาวะโลกรอ้ นนั้นมีความจำเป็นอย่าง
ยิ่งที่จะต้องอาศัยความร่วมมือกันทุกฝ่ายซึ่ง E.Ostrom ได้นำเสนอหลักสำคัญในการบริหารจัดการ
ทรัพยากรร่วมอย่างยั่งยืนยาวนานจะต้องประกอบไปด้วยเรื่องดังต่อไปนี้ (กุลวดี แก่นสันติสุขมงคล,
2555:5)

- ตวั ทรพั ยากรและสมาชิกผู้ใช้ทรพั ยากรต้องมขี อบเขตที่ชัดเจน

- กฎเกณฑ์ในการใช้ทรัพยากรที่ก าหนดเวลา สถานที่ เทคโนโลยี และปริมาณเกี่ยวการเก็บเกี่ยว
ทรัพยากร ต้องมีความสอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น และสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ในด้านการจัดการ
เพอ่ื ให้ไดม้ าซึง่ ทรัพยากร

- สมาชิกชุมชนผใู้ ชท้ รัพยากร มีส่วนรว่ มในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎเกณฑ์ในการดำเนินการ
จดั สรรทรัพยากร

- ผู้ตรวจสอบและประเมินผลของสภาพของทรัพยากร และพฤติกรรมของผู้ใช้ทรัพยากรต้องเป็นผู้ท่ี
สมาชิกชมุ ชนใหก้ ารยอมรบั หรือเป็นส่วนหนงึ่ ของชมุ ชน

- ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์การใช้ ทรัพยากรจะถูกลงโทษอย่างเหมาะสมเป็นลำดับขั้นตามลำดับความผิด
จากสมาชิกชมุ ชน หรอื ผู้ที่ได้รบั ใหท้ ำหนา้ ทคี่ วบคมุ ลงโทษผู้ฝา่ ฝืนกฎเกณฑ์ หรือจากทั้งสองฝ่าย

- สมาชิกชุมชนและผู้ ที่เกี่ยวข้องในการจัดการทรัพยากร สามารถเข้าถึงกลไกในการจัดการความ
ขดั แย้งระหวา่ งผู้ใชท้ รัพยากรกันเอง และระหวา่ งผู้ใช้ทรัพยากร และผทู้ ีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั การจดั การ โดยมี
ต้นทนุ การจัดการความขดั แยง้ ตา่ งๆ

- สิทธิของผู้ ใช้ทรัพยากรในการสร้างองค์กร สถาบัน ในการจัดการทรัพยากรของตนเองต้องไม่ถูก
แทรกแซงจากหน่วยงานรฐั ภายนอก

- ในกรณที ่รี ะบบการจัดการทรัพยากรร่วม เปน็ ส่วนหนึ่งของระบบทีใ่ หญ่กว่า การเก็บเก่ียวทรัพยากร
การติดตามตรวจสอบ การควบคุมลงโทษ การจัดการแก้ปัญหาความขัดแย้ง รวมถึงการปกครอง
ตนเองโดยชุมชน ต้องเป็นไปอย่างเชื่อมโยงกันเป็นระดับชั้น ในโครงข่ายของระบบการจัดการ
ทรัพยากรที่ใหญ่กว่า เช่น การจัดการทรัพยากรลุ่มน้ำ หรือการเชื่อมโยงกับระบบการจัดการ
ทรัพยากรของรัฐ หรอื ภาคอี ื่น ๆ ในระดับท่ีใหญก่ ว่าชมุ ชน

กล่าวได้ว่าแนวคิดการบริหารจัดการสีเขียวของ E. Ostrom นั้นขาดมุมมองในด้านของ
การวพิ ากษ์ และมองชมุ ชนในฐานของการมองโลกในแง่ดจี นเกินไป ซง่ึ ในความเป็นจริงแล้วมุมมองใน
ด้านของความขัดแย้งเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทำการวิเคราะห์วิพากษ์อย่างถี่ถ้วนเนื่องจากไม่มีทาง
เป็นไปได้ที่ชุมชนจะร่วมมือ โดยปราศจากความขัดแย้ง ดังนั้นผู้เขียนจึงนำมุมมองของ ปรีชา เปี่ยม
พงศ์สานต์ (2556) ทเี่ พม่ิ มุมมองของแนวคดิ ในด้านการบริหารจัดการชุมชนในเร่ืองของประชาธิปไตย
ในระดับรากหญ้า ซึ่งเน้นการจัดการชุมชนอย่างมีส่วนร่วม ซึ่งแนวคิดดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ศึกษา

สามารถนำทฤษฎีว่าชุมชนมีการจัดการตนเองมากน้อยขนาดไหน ชุมชนให้ความสำคัญในการจัดการ
ชุมชนที่จะพยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาวะโลกรอ้ นอย่างไร รวมถึงมุมมองในด้านของความขัดแย้งท่ี
ตอ้ งทำการวเิ คราะห์อยา่ งจรงิ จงั และครอบคลุมในการศกึ ษาชุมชนดังนี้

1) วิธีวิทยา : ความสัมพันธ์ระหว่างนิเวศวิทยาวัฒนธรรมกับเศรษฐศาสตร์สีเขียว (ecological
economics /green economics) เปน็ อย่างไร

2) วิเคราะห์ภาพรวมของกิจกรรมสีเขียวของชุมชนและการปฏิสัมพันธ์ของเครือข่ายต่าง ๆ ในชุมชน
(ทางดา้ นวฒั นธรรมและเศรษฐกจิ )

3) วิเคราะห์เจาะลึกดวู ่า ชุมชนมรี ะบบบริหารจดั การภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวแบบไหน (green
governance) โดยเน้นเรื่องความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติว่าเป็นไปได้อย่างไร เพ่ือดูว่าชุมชน
สามารถจัดการทรัพยากรธรรมชาติ (ดิน/น้ำ/ปา่ ) อย่างยั่งยืนได้ระดับไหน ในที่นี้อาจเน้นพื้นทีว่ ิจยั ใน
เขตชลประทานของลุ่มน้ำหรือพื้นที่ที่ชุมชนจัดการกันเอง (น้ำ/แม่น้ำ/ลำธาร/ห้วย/บงึ เป็นทรัพยากร
ประเภท CPR Common Pool Resources ทที่ ุกคนสามารถเขา้ ถึงได้)

4) การวิเคราะห์จะรวมถึงเสียงวิพากษ์จากท้องถิ่นเกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติ ว่ามีความ
เปน็ ธรรมหรอื ไม่

5) เศรษฐกิจสีเขียวกับประชาธิปไตยรากหญ้าเป็นมิติที่สำคัญของ E.Ostrom ที่เน้นเรื่องการบริหาร
จัดการตนเอง (self-governance) เราจะดูว่าการตัดสินใจร่วมกันของคนในชุมชนเป็นไปอย่างอิสระ
ในระดับไหน รัฐหรือทุนนิยมเข้ามาแทรกแซงมากน้อยแค่ไหน และรัฐเข้ามาสนับสนุนการบริหาร
จัดการของชมุ ชนสเี ขยี วในรูปแบบไหนบา้ ง

6) ในแบบจำลองต้อง ให้ความสำคัญแก่มิติวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างมาก (เรื่องโลกทัศน์ธรรมชาติ
ค่านิยม ทัศนคติ ภูมิปัญญาพื้นบา้ นและความรู้ ภูมินิเวศท้องถิ่นของชาวชุมชน ดังนั้นการวิจยั ของเรา
ต้องครอบคลุมเรื่องดังกล่าวและต้องเจาะลึกปรากฏการณ์ที่เรียกว่า กระบวนการเรียนรู้ ทาง
วฒั นธรรมท่ีมอี ทิ ธิพลตอ่ การสร้างเศรษฐกิจสเี ขียว โดยเน้นการเรียนรู้ ทมี่ าจาก 3 แหล่ง ประสบการณ์
จากการทดลองสีเขียว การเรียนรู้จากธรรมชาติ (ปรัชญาเกษตรกรรมธรรมชาติ) และภูมิปัญญา
ท้องถิน่

กล่าวได้ว่าถึงแม้แนวคิดดังกล่าวจะผ่านการพิจารณาทุกมุมมองในการบริหารจัดการ
ชมุ ชน แต่ในสังคมปัจจบุ ันเป็นสิ่งที่เราต้องมาวเิ คราะห์ถึงความเป็นชุมชนว่ายังมีอยู่หรือไม่ นอกจากนี
้ในส่วนของการจัดการท้องถิ่น ความสมัครสมานของท้องถิ่นที่จะใช้ในการจัดการชุมชนบนฐานของ
ประชาธิปไตยรากหญ้านั้นมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด เพราะในปัจจุบันการพัฒนาบนฐานของ
ทุนนยิ มได้เข้าไปปรับเปลยี่ นความคิดของผู้คนในชุมชนให้คดิ ถงึ เร่ืองสว่ นตัวมากขึ้นกว่าเรื่องสาธารณะ
โดยขอ้ เสนอในการศึกษาการปรับตัวเชงิ นเิ วศในชุมชนเศรษฐกิจเขียว-นำ้ เงนิ นัน้ ผเู้ ขยี นจะนำเสนอใน
หวั ข้อต่อไปดังน้ี

6.วิกฤตของมหาสมุทร

มหาสมุทรของเรากำลังเผชิญกับวิกฤต ระบบนิเวศมหาสมุทรและทะเลที่อุดมสมบรู ณ์
กำลังถูกคุกคามจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการประมงเกินขนาด มลพิษพลาสติก การ
ปนเปื้อนของสารพษิ และการเปลย่ี นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ

ภัยคุกคามเหล่านีส้ ่งผลให้ระบบนิเวศทางทะเลเส่ือมโทรม และเรง่ ใหส้ ตั วน์ ้ำจำนวนมาก
ต้องสูญพันธุ์หรือตกอยู่ในความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ อุตสาหกรรมการประมงต้องเปลี่ยนแปลงเพ่ือ
ปกปอ้ งมหาสมทุ รและทะเลของเรา

6.1 การจับสัตวน์ ำ้ เกินขนาด (Overfishing)

อุตสาหกรรมประมงเชิงพาณิชย์ที่ไร้ความรับผิดชอบออกแย่งชิงทรัพยากรสัตว์น้ำใน
ทะเลที่มีปริมาณน้อยลงเรื่อยๆ ด้วยเรือประมงที่พร้อมด้วยอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากการ
จบั ปลาในปริมาณมหาศาลแล้ว อุปกรณ์เหล่านย้ี งั ส่งผลกระทบต่อแนวปะการัง ดอกไมท้ ะเล หรือสัตว์
หน้าดิน เร่งใหเ้ กิดทำลายระบบนิเวศเกนิ กวา่ การท่ีธรรมชาตจิ ะสามารถฟืน้ ฟูทรัพยากรสตั ว์น้ำได้

6.2 การจับสัตว์น้ำพลอยได้ (Bycatch)

การทำประมงยุคใหมน่ น้ั ก่อให้เกดิ ความเสยี หายต่อระบบนิเวศโดยไม่จำเปน็ ในทกุ ๆปี
เครื่องมือประมงทำลายล้างและอวนลากคร่าชีวิตวาฬและโลมาไม่น้อยกว่า 300,000 ตัวทั่วโลก
เน่อื งจากการใชเ้ คร่ืองมือประมงที่ไม่เหมาะสมกับประเภทสัตว์น้ำท่ีจบั วาฬ โลมา หรือฉลามจึงมักจะ
ติดอวนลากขึ้นมาโดยไม่ใช่สัตว์น้ำกลุ่มเป้าหมาย และยังทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยและสัตว์น้ำประจำถ่ิน
ตัวอยา่ งเช่น เรอื อวนลากท่ีทำลายระบบนเิ วศปะการังท่ีอยมู่ าต้ังแตย่ ุคดกึ ดำบรรณ์ ไปพร้อมกับระบบ
นิเวศทางทะเลท่เี ปราะบางโดยรอบ

6.3 การประมงทไี่ ม่เปน็ ธรรม

เรือประมงที่ละเมิดกฎหมายมักออกทำการประมง และไม่คำนึงถึงน่านน้ำของ
ประเทศท่ขี าดความมั่นคงทางอาหารและรายได้ โดยกจิ การประมงทผี่ ดิ กฎหมายนั้นจะใหผ้ ลตอบแทน
น้อยมากให้กับประเทศผู้เป็นเจ้าของน่านน้ำที่มีทรัพยากรสัตว์น้ำอุดมสมบูรณ์ เช่นประเทศชายฝ่ัง
ทะเลของแอฟรกิ าและกลุ่มประเทศรมิ ฝั่งและหมเู่ กาะในมหาสมุทรแปซิฟิก

6.4 การกดข่ขี ูดรดี แรงงานประมง

เมื่อพจิ ารณาตลอดห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมประมงจะพบถึงความเก่ียวข้องกับ
การละเมิดสิทธิมนุษยชนมีรายงานบ่งชี้เกี่ยวกับการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้
การควบคมุ (IUU Fishing) การค้ามนษุ ยแ์ ละการละเมดิ สิทธิแรงงานประมงรวมไปถึงการสูญเสียชีวิตที่
เกดิ จากความประมาทเลนิ เล่อบนเรอื ประมงนอกนา่ นน้ำในเขตทะเลหลวงท่ีหา่ งไกลจาการตรวจสอบ

การขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำกลางทะเล(Transshipment at Sea) นั้นถือเป็นแบบจำลองธุรกิจประมง
นอกนา่ นนำ้ ซ่งึ ช่วยให้เรอื ประมงลอยลำเพ่ือทำประมงกลางทะเลและอยู่หา่ งไกลจากการตรวจตราของ
เจ้าหนา้ ที่ โดยดำเนนิ การนอกกรอบกฎหมาย เรือแม่จะทำหน้าทส่ี ง่ เสบยี งอาหารและบางคร้ังยังมีการ
ส่งแรงงานบังคับที่มาจากการค้ามนุษย์อีกด้วย นอกจากนี้ยังรับสัตว์ทะเลจากเรือประมง ซึ่งบางคร้ัง
พบวา่ มีสัตวน์ ้ำพลอยได้ (bycatch) โดยมากกวา่ ร้อยละ 50 เปน็ ฉลาม

6.5 ภาวะโลกรอ้ น

อุณหภูมิเฉลี่ยของพื้นผิวทะเลสูงเพิ่มขึ้นขึ้นจากภาวะโลกร้อนที่เร่งเร้ามากขึ้นองค์กร
พิทักษ์สง่ิ แวดล้อมแหง่ สหรัฐอเมริกา (U.S.Environmental Protection Agency) ระบุว่าในช่วงสาม
ทศวรรษที่ผ่านมา อุณหภูมิของผิวน้ำทะเลนั้นเพิ่มสูงกว่าในอดีต จากการบันทึกข้อมูลไว้ตั้ง แต่
ประมาณปี 2423 บรรดาสายพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำทั้งหมดล้วนตกอยู่ในความเสี่ยงจากการที่อุณหภูมิ
เพิ่มสูงขึ้น สัตว์น้ำไม่สามารถรอดชีวิตได้ในอุณหภูมิและกระแสน้ำที่แปรเปลี่ยน ตัวอย่างทีช่ ัดเจนคือ
ปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวและตายเนื่องจากไม่สามารถทนสภาวะที่อุณหภูมิน้ำ ทะเลสูงขึ้นได้
ปะการงั บรเิ วณน้กี ำลงั ฟอกขาวครงั้ ใหญ่ ซ่ึงถือเปน็ ปรากฎการณป์ ะการงั ฟอกขาวในรอบ 2 ปี ในเดือน
มีนาคม พ.ศ.2560 กรีนพีซออสเตรเลียแปซิฟิกเรียกรอ้ งอย่างหนกั ให้รัฐบาลทัว่ โลกยุติการปล่อยก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซดจ์ ากกการนำถ่านหนิ มาเปน็ เช้ือเพลิงสร้างแหลง่ พลังงาน ขณะเดียวกัน มหาสมทุ ร
กำลังกลายสภาพเป็นกรดจากการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นในบรรยากาศ และเป็นภัย
คุกคามต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล ทั้งการกัดกร่อนของปะการัง การทำให้เปลือกของสัตว์ประเภทหอยบาง
ลง และทำให้ปลามีพฤติกรรมเปลย่ี นแปลงและอ่อนไหวตอ่ สัตวท์ ี่เปน็ ผู้ล่ามากขึ้น ความเปล่ียนแปลงนี้
ส่งผลกระทบต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ ทำให้ห่วงโซ่อาหารในทะเลแปรปรวนไปทั้งระบบ การที่สัตว์น้ำ
บางชนิดที่ไม่สามารถรอดชีวิตได้ในอุณหภูมแิ ละกระแสน้ำที่แปรเปลี่ยน ก็หมายถึงว่าปลาเศรษฐกจิ ท่ี
เราบริโภคก็จะยิ่งลดจำนวนลงเนื่องจากไม่สามารถปรับตัวและฟื้นตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทาง
ทะเล ด้วยเหตุนี้สภาวะน้ำทะเลเป็นกรดจึงถูกขนานนามว่าเป็น “แฝดตัวร้าย” ของภาวะโลกร้อน
ขยะพลาสตกิ มลพิษพลาสติกและสารพิษคืออกี หนึ่งในภัยคกุ คามหลักของทะเลและมหาสมุทร

ข้อมูลจากรายงานอุตสาหกรรมพลาสติกปี พ.ศ. 2559 การผลิตพลาสตกิ ทั่วโลกขยายตัว
ในอตั รารอ้ ยละ 8.6 ต่อปี ตง้ั แต่ปี พ.ศ. 2493 จาก 1.5 ล้านตันต่อปเี พิ่มเป็นมากกวา่ 330 ล้านตันต่อ
ปี และจวบจนปัจจุบันมีการผลิตพลาสติกทั่วโลกในปริมาณ 9 พันล้านเมตริกตัน อย่างไรก็ดี รายงาน
ของนักวิจัยจากมหาวทิ ยาลัยแคลิฟอร์เนีย มหาวิทยาลัยจอร์เจีย และสถาบันสมุทรศาสตร์วูดสโฮลใน
รัฐแมสซาชูเซทส์ของสหรัฐฯ ที่ถูกตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Science Advances ระบุว่าจากปริมาณ
พลาสติกในมหาสมุทรทั้งหมด มีเพียงร้อยละ 9 ที่ถูกนำไปรีไซเคิล ส่วนร้อยละ 12 ถูกนำไปเผาซ่ึง
ก่อใหเ้ กดิ มลพษิ ทางอากาศ และท่เี หลอื รอ้ ยละ 79 ตกค้างอยู่ในส่ิงแวดลอ้ ม

ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล พลาสติกมารวมกันจากอิทธิพลของกระแสน้ำวนใน
มหาสมุทร ซึ่งโดยหลักๆ มีอยู่ 5 บริเวณคือในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือและใต้ 2 บริเวณ ใน
มหาสมุทรแปซิฟิก 2 บริเวณ และอีกหนึ่งบริเวณในมหาสมุทรอินเดีย นอกจากนี้ยังมีกระแสน้ำวน
ขนาดเล็กอีกบางส่วน กระแสน้ำวนในมหาสมุทรเหล่านี้เป็นแหล่งรวมกันของถุงพลาสติก ขวด
พลาสตกิ บรรจภุ ัณฑพ์ ลาสติก ถังพลาสติก กล่องโฟม ตาข่ายจับปลา เชอื กพลาสติก กรวยจราจร ไฟ
แชค็ ของเลน่ พลาสตกิ ยางรถยนต์ แปรงสฟี ันพลาสติก และวัตถพุ ลาสติกช้นิ จิ๋วทไ่ี ม่สามารถระบุได้

เว็บไซต์เดอะการ์เดียนรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลพบเศษพลาสติกบนเกาะเฮน
เดอรส์ นั (Henderson Island)เกาะร้างอันห่างไกลในแปซิฟิกใต้ ขยะพลาสติกทเ่ี กิดจากน้ำมือมนุษย์นี้
มีที่มาจากทั่วโลก พวกเขาพบชิ้นส่วนขยะพลาสติกจากเยอรมนี นิวซีแลนด์ แคนาดา และประเทศ
อื่นๆ ถึง 18 ตัน พลาสติกจิ๋วเหล่านี้ยากที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปลา่ ในทุกๆ ตารางเมตรบนชายหาด
เมื่อนักวิจัยขุดลึกลงไป 10 เซนติเมตร จะพบเศษพลาสติกชิ้นเล็กๆ มากกว่า 4,000 ชิ้น สารพิษ
มลพิษจากกิจกรรมต่างๆของมนุษย์คืออีกหน่ึงผลกระทบที่สำคัญต่อสิง่ แวดลอ้ มทางทะเล อาจจะเปน็
มลพษิ ที่ถูกทิง้ ลงทะเลโดยตรง มลพษิ ท่ีมาจากน้ำเสยี ท่ีเกิดจากกจิ กรรมมนุษย์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรม
สกปรก หรืออาจจะมาจากการชะล้างมลพิษทางอากาศและพื้นดินของน้ำฝนที่ไหลลงสู่ทะเลก็ล้วน
แลว้ แตม่ ีผลกระทบตอ่ สิ่งมชี ีวิตและระบบนิเวศในทะเลเชน่ กัน

เมื่อการบริโภคในสังคมมนุษย์เพิ่มมากขึ้น จากการจับปลาเพียงเพื่อการบริโภคก็กลับ
กลายเป็นอุตสาหกรรมประมงขนาดใหญ่ วารสารวิทยาศาสตร์ช่ือดัง sciencemag.orgไดเ้ ผยงานวิจัย
ว่า สภาวะทะเลเป็นกรด การประมงเกินขนาด และกจิ กรรมของมนุษย์ต่างๆนั้นเปน็ ภัยคุกคามอนาคต
ที่ย่งั ยนื ของท้องทะเล ซึง่ นีเ่ ป็นเพยี งปญั หาเพียงเล็กน้อยเทา่ นนั้ ท่ีมหาสมทุ รซุกซ่อนไว้ภายใต้ความเวิ้ง
วา้ งอันสวยงาม ที่เรามักนำปญั หาและความทุกขไ์ ปฝากไว้ทุกครัง้ เมื่อไปเย่ียมเยือนทะเล

องคค์ วามรทู้ ่เี ก่ียวข้อง

1. ลักษณะของประมงพ้นื บ้าน

1.1 ความหมายของประมงพืน้ บ้าน

วุฒชิ ัย วังคะฮาต และคณะ(2544: 58) ได้กลา่ วว่า กรมประมงได้กำหนดคำจำกัดความ
ของการประมงพื้นบ้านไว้ในขั้นต้น เพื่อใช้ในการวางนโยบายและกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานให้
หมายถึง การทำประมงโดยใช้เครื่องมือขนาดเล็กไม่ทันสมัย ทำการประมงในบริเวณไม่เกิน
3 กิโลเมตรจากชายฝั่งโดยอาศัยแรงงานส่วนใหญ่ในครอบครัวรวมทั้งการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่มีเนื้อท่ี
ขนาดเลก็

สุธิรา ชัยรักษา (2544: 6) ได้ให้นิยามประมงพื้นบ้าน หมายถึง การทำประมงขนาดเล็ก
หรือการทำประมงชายฝั่ง ที่ทำประมงโดยการใช้เรือไม่ติดเครื่องยนต์ เช่น เรือพาย เรือแจว หรือเรือ
ติดเครื่องยนต์ เช่น เรือหางยาว เรือท้ายตัด เรือกอและ ซึ่งเรือที่ติดเครื่องยนต์ดังกล่าวมีขนาด

เครื่องยนต์ไม่เกิน 30 แรงม้า และมีลำเรือยาวไม่เกิน 7.5 เมตร ใช้เครื่องมือในการจับสัตว์น้ำที่ไม่
ซบั ซ้อน ทั้งเครอ่ื งมือประจำท่ี เชน่ ไซ โพงพาง และเครอื่ งมือเคลื่อนท่ี เช่น อวน

กรมประมง (2544: 80) ได้ให้นิยามประมงพื้นบ้านหรือประมงขนาดเล็ก คือผู้ที่ประกอบ
อาชีพประมงที่ใช้แรงงานในครอบครัวเป็นหลัก ใช้เรือขนาดยาวไม่เกิน 10 เมตร ขนาดเครื่องยนต์ไม่
เกิน 30 แรงม้า ทำประมงไม่ไกลจากฝั่งมากนักโยเฉลย่ี 5 กิโลเมตร โดยใชเ้ ครื่องมือประมงพ้ืนบ้าน 4
ประเภทดงั น้ี

1) ประเภทอวนลอย ประกอบด้วย อวนลอยกงุ้ อวนลอยปู และอวนลอยปลา

2) ประเภทเคร่อื งมอื เคลื่อนที่ ประกอบดว้ ย แหหมึกทใี่ ชไ้ ฟล่อ แห่อื่นๆ เรอื ผีหลอก ระวะ
รนุ ช้อนต่างๆ และเครื่องมือเคลอ่ื นท่ีอ่นื ๆ

3) ประเภทเบ็ด ประกอบด้วย เบด็ ราว เบ็ดตก จะนะ เป็นตน้

4) ประเภทเครื่องมือประจำที่ประกอบด้วย ลอบหมึก ลอบปูลอบปลา ไซมาน โพงพาง
โมะระละมแุ ละเครอื่ งมือประจำทต่ี ่าง ๆ

สุนันทา นิลเพชร (2544: 59-65) ชาวประมงพื้นบ้าน คือผู้ที่มีวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับ
การประมงที่แสดงออกให้เห็นในด้านความรู้ ความสามารถ และความชำนาญด้านท้องทะเลและการ
ประมง ใช้เคร่ืองมอื จบั สัตว์นำ้ ที่สมควรเทา่ น้ัน และจะทำการประมงเสรจ็ ภายในวนั เดียว อาจเป็นช่วง
กลางวันหรือกลางคืน หรือเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ แรงงานที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นแรงงานในครัวเรือนการ
ประมงพื้นบ้านจึงถือว่าเป็นการดำรงอยู่ของมนุษย์และชุมชนที่สอดคล้องสมดุลกับธรรมชาติ และ
ระบบนเิ วศนม์ ากทสี่ ดุ

บรรจง นะแส (2545: 9) ชาวประมงพื้นบ้านหรือชาวประมงขนาดเล็กคือกลุ่มคนที่
ดำรงชีวิตและทำมาหากินด้วยการทำประมงชายฝั่งทะเลและแม่น้ำลำคลองต่างๆ โดยใช้เครือ่ งมือจับ
สตั วน์ ำ้ ทเ่ี รยี บง่าย ไม่ซับซอ้ น เช่น แห เบ็ด ลอบ ไซ อวนลอยปลา อวนลอยกงุ้ อวนจมปู เปน็ ตน้ และ
เลือกจบั สัตว์นำ้ เฉพาะอย่าง

วิฑูรย์ ปัญญากุล (2547: 26) ได้ให้ความหมายว่า ประมงพื้นบ้าน (Artisanal Fishing)
คอื การประมงเพอื่ ยังชพี หรือประมงขนาดเล็กโดยท่ัวไปใช้เรือขนาดเล็ก เช่น เรือพ้นื บา้ น ปัจจุบันส่วน
ใหญ่จะติดเครอ่ื งยนตเ์ ข้าไปด้วยเคร่อื งมือจบั ปลากใ็ ชแ้ หหรือเบ็ดแบบง่าย ๆ

วัฒนา สุกัณศีล (2543: 539-540) ชี้ให้เห็นว่า ความเข้าใจที่วา่ กลุ่มประมงขนาดเลก็ หรือ
ประมงชายฝั่งยังคงใช้เคร่ืองมือ “พื้นบ้าน” “ขาดความทันสมัย”และทำการประมงลักษณะ “ยังชีพ”
นั้นเป็นความเข้าใจท่ีผิด เพราะภายใต้ระบบการผลิตเชงิ พาณิชย์ชาวประมงขนาดเล็กมีเป้าหมายและ
เหตุผลทางเศรษฐกิจไม่แตกต่างไปจากประมงพาณิชย์นัก ผลก็คือชาวประมงชายฝั่งมีการพึ่งพาและ
กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบตลาดและระบบเงินตรามากขึ้น และจำเป็นต้องหารายได้ให้คุ้มกับค่า

ครองชีพ เงินที่ลงทุนและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น แรงกดดันนี้ส่งอิทธิพลอย่างมากต่อความพยายาม
ของชาวประมงในการจบั สัตวน์ ำ้ เพ่ิมขึน้ เพอ่ื ให้ไดก้ ำไรหรือรายไดส้ งู สดุ

กล่าวโดยสรุป ประมงพื้นบ้าน คือ กลุ่มคนที่ดำรงชีพด้วยการทำประมงที่ไม่ไกลจากฝ่ัง
มากนัก เฉลี่ยห่างจากฝั่งประมาณ 5 กิโลเมตรและทำการประมงเสร็จภายในวนั เดียวโดยใช้เรือขนาด
ยาวไม่เกิน 10 เมตร ขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 30 แรงม้า ใช้แรงงานในครัวเรือนเป็นหลัก โดยใช้
เครอื่ งมอื จับสตั ว์น้ำทีเ่ รยี บง่าย และเลือกจับสัตว์นำ้ เฉพาะอยา่ ง สัตวน์ ำ้ ที่ไดจ้ ะนำมาใช้เพอื่ การบริโภค
ในครัวเรือนส่วนที่เหลือจึงจำหน่าย ชุมชนชาวประมงพื้นบ้านเป็นชุมชนที่อยู่รอดได้โดยการพึ่งพิง
ธรรมชาติ แหล่งอาหาร รายได้ สภาพชีวิตความเป็นอยู่ ความอยู่รอดของชุมชน ของครอบครัว จะ
ขน้ึ อยกู่ ับทรพั ยากรทางทะเลเป็นหลกั ดังนัน้ จึงมีวถิ ีชีวิตและวัฒนธรรมทส่ี อดคล้องต่อธรรมชาติ

1.2 ปญั หาของประมงพืน้ บ้าน

สำหรับปัญหาของการทำประมงพื้นบ้านได้มีผู้วิจัยกล่าวถึงปัญหานี้ไว้ใน 2 ประเด็นหลัก
ด้วยกนั กลา่ วคอื

ประเด็นทหี่ นงึ่ ปัญหาความเสือ่ มโทรมของทรพั ยากรประมงและข้อจำกัดในการประกอบ

อาชีพประมงพื้นบ้าน เชน่ พนื้ ที่ทีใ่ ช้ทำการประมงมจี ำกัด เครอ่ื งมอื ขาดประสิทธิภาพ ขาดแคลน

เงนิ ทนุ และอำนาจการต่อรองโดยผูว้ ิจัยที่ไดก้ ลา่ วถึงปัญหานี้ไว้ใกล้เคียงกัน ได้แก่ ชนญั วงษว์ ภิ าค

(2530: 23) บุญเลิศ ผาสุก (2530: 370-371) กังวาลย์ จันทรโชติและสมศักด์ิ จลุ ละศร (2529 : 148)

ไดก้ ลา่ วไว้เชน่ เดียวกัน

ประเด็นที่สอง ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประมงพื้นบ้านกับประมงพาณิชย์ โดยการทำ
ประมงของประมงพาณิชย์มีผลทำให้ชาวประมงพื้นบ้านจับทรัพยากรสัตว์น้ำได้ลดลง และเครื่องมือ
ประมงพื้นบ้านบางส่วนถูกทำลาย ซึ่งเป็นประเด็นความขัดแย้งที่ยังส่งผลถึงในปัจจุบัน ซึ่งผู้วิจัยที่ได้
กล่าวถึงประเด็นปัญหานี้ได้แก่ เมธีจันทโรปกรณ์(2541: 2) วีระ บุญรักษ์และเพราลัยนุชหมอน
(2533: 41) และวราภรณ์ เดชบญุ (2541: 25)

จากการกล่าวถงึ ปัญหาของการประมงพนื้ บ้าน ผ้วู จิ ยั สรุปถึงปัญหาของการประมงพื้นบ้าน
เป็น 2 ประเด็นหลักได้แก่ปญั หาเนื่องจากข้อจำกัดของการประกอบอาชีพ เช่น พื้นที่ที่ใช้ทำประมงมี
จำกัด, เครื่องมือขาดประสิทธิภาพ, ขาดแคลนเงินทุน รวมถึงความเสื่อมโทรมของทรัพยากรประมง
และประเด็นความขดั แยง้ ระหวา่ งประมงพน้ื บา้ นและประมงพาณิชยเ์ นื่องจากประมงพาณิชย์จะมีส่วน
ทำลายทรัพยากรสัตวน์ ้ำค่อนข้างสงู ทำให้ชาวประมงพื้นบ้านจับสัตว์น้ำได้ลดลงและประมงพาณิชย์มี
ผลทำให้เครื่องมือประมงพนื้ บา้ นบางส่วนถกู ทำลาย

2. ข้อมลู เกย่ี วกับพื้นทีช่ ุมชนบา้ นสระบัว

ประวัติความเป็นมาของบ้านสระบัว จังหวัดนครศรีธรรมราช บ้านสระบัวมีประวัติ
ความเป็นมายาวนานกว่าประมาณ 700 – 800 ปี เดิมเป็นปากน้ำของอำเภอท่าศาลาอยู่บริเวณ
หมู่ที่ 6 (บ้านสระบัว) เมื่อสภาพทางภูมิศาสตร์เกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้ลำคลองที่เคยผ่านในชมุ ชน
นั้นตื้นเขินและปัจจุบันกลายเป็นแผ่นดินไม่มีลำคลองเหลืออยู่แต่ก็ยังมีร่องรอยของลำคลองอยู่ คือ
“ปา่ จาก” ที่เคยอยู่ตลอดสองฝ่ังคลองยังคงมีอยจู่ นถึงปัจจบุ ัน ส่วนตำแหน่งของปากน้ำได้เปล่ียนจาก
เดิมปากน้ำอยู่ที่บ้านสระบัวก็เปลี่ยนทิศไปออกที่ท่าสูงอยู่บริเวณหมู่ที่ 4 (บ้านท่าสูงบน) บรรพบุรุษ
ของหมู่บา้ นท่ีมาอาศัยอย่ใู นพน้ื ท่สี ่วนใหญ่อพยพมาจากจงั หวัดทางใตต้ อนล่าง เชน่ ปตั ตานี กะลันตัน
ยะโฮ ยะลา และสตูลย้อนหลังกลับไปในยุคล่าอาณานิคมบรรพบุรุษของพวกเขาอพยพมาจากรัฐเค
ดาห์ ประเทศมาเลเซีย หนังสือวัฒนธรรมพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา
จังหวัดนครศรีธรรมราช บันทึกว่า “ชาวนครศรธี รรมราชที่นับถือศาสนาอิสลามส่วนใหญ่มีบรรพบุรุษ
อพยพมาจากเมืองกลันตัน ปัตตานี และไทรบุรี” ชุมชนบ้านสระบัวเป็นชุมชนที่น่าเรียนรู้ เนื่องจากมี
กิจกรรมของชุมชนที่ได้ริเริ่มไว้บ้างแล้วไม่ได้เริ่มจากศูนย์ทีเดียว นอกจากนี้ยังเป็นชุมชนที่ประกอบ
อาชีพหลากหลายโดยที่มอี าชีพหลัก คือ การทำประมง ดังนนั้ พอจะสรปุ ความน่าสนใจ ดงั น้ี

ความเป็นมุสลิม ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หนึ่งของภาคใต้ปัจจุบันสังคมส่วนใหญ่มองคนมุสลิมทาง
ภาคใต้ไปในทางร้ายด้วยเหตผุ ลของเหตุการณส์ ามจังหวัด ดังนั้นบังแอและชมุ ชนบา้ นสระบัวอาจเป็น
ส่วนหนึ่งของการทำความเข้าใจและสื่อสารกับสังคมข้างนอกในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของคน
พุทธและมุสลมิ โดยอาศยั การอยู่รว่ มกันโดยความเขา้ ใจในความหลากหลายทางวฒั นธรรม

ความหลากหลายของอาชีพ ชมุ ชนบ้านสระบวั ประกอบอาชพี ทางการประมงเปน็ สว่ นใหญ่แต่
ก็มีอาชีพอย่างอื่นเหมือนกับชุมชนทั่วไป คือ การทำสวน การเลี้ยงสัตว์ และ อาชีพเกี่ยวกับการเลี้ยง
นกกรงหวั จุก

การประกอบอาชีพประมง อาชีพประมงเป็นอาชีพหลักของพี่น้องในภาคใต้อาชีพหนึ่งใน
ชุมชนบา้ นสระบัวการประกอบอาชพี ประมง ถือเป็นหัวใจสำคัญในการเลี้ยงชีพแม้ผ่านมรสมุ ท้ังวิกฤติ
น้ำมันแพง ทรัพยากรร่อยหรอ แต่พี่น้องบ้านสระบัวก็ยังยืนหยัดในการประกอบอาชีพและยังมี
กจิ กรรมการอนุรกั ษ์และฟ้ืนฟูทรัพยากรชายฝงั่ ควบค่ไู ปกบั การประกอบอาชพี ด้วย

คลื่นทะเลในสมัยสี่ห้าปีก่อนไม่สามารถสามารถซัดสาดมาเกือบถึงถนนได้อย่างปัจจุบัน
ระยะห่างระหว่างบ้านที่ชายหาดดัง้ เดิมนัน้ ทอดไกลออกไปเกือบกโิ ลเมตร แต่ทว่าการเปลี่ยนแปลงได้
ทำให้ชายทะเลวันนี้ไหลมาใกล้ชุมชนมากขึ้น หากทว่าไม่ได้เป็นการใกล้ที่ก่อให้เกิดความอบอุ่นของ
ท้องทะเลแต่อย่างใด ตรงกันข้ามสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นได้สร้างความตระหนกต่อชีวิตความเป็นอยู่ของ
ผู้คนแถบบ้านสระบัว รวมตลอดถึงชุมชนใกล้เคียงอย่างชุมชนบ้านในถุ้ง หากยืนอยู่ริมหาดขณะ
ปจั จุบัน จุดทเี่ รือที่กำลงั แล่นติดเลนเข้ามายงั ฝง่ั คือสถานทซ่ี ึ่งใช้สำหรับจอดเรือสมัยก่อน ท้องทะเลได้

เปลี่ยนไปแล้วแต่ทว่ามันมิได้เปลี่ยนแปลงไปเฉพาะทะเลเท่านั้น วิถีและชีวิตจิตใจของคนในชุมชนก็
เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน คนในชุมชนต้องทำความเข้าใจกับท้องทะเลใหม่เหมือนกับที่เราต้องทำความ
เข้าใจกับวถิ ชี ีวติ ของคนที่นใ่ี หม่เช่นกัน

ภาพท่ี 2 : ภาพถา่ ยทางอากาศ ชุมชนบา้ นสระบวั อำเภอท่าศาลา จังหวดั นครศรีธรรมราช
http://srabualife.com

งานวจิ ยั ทีเ่ กยี่ วขอ้ ง
เชษฐา มุหะหมัด (2562) ศึกษาเรื่อง พลวัตทางนิเวศวิทยาสังคมและการจัดทรัพยากร

ประมงในชุมชนหัวเข ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ผลการศึกษาพบว่าพลวัต
นิเวศวิทยาสังคมของชาวประมงช่วงก่อนปี พ.ศ. 2501 เน้นการพ่ึงพาระหว่างคนกบั ทรัพยากรและวิถี
การผลิตแบบพึ่งตนเองต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2501 ถึง 2550 มีการปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตโดยกลไก
ตลาดภายใต้นโยบายความทันสมัยอันส่งผลต่อการแปรเปลี่ยนเชิงพื้นที่และวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกบั
การดำรงชีพต่อมาในปี พ.ศ. 2551-2561 ผลของการพัฒนาทำให้ชาวประมงทำประมงแบบล้นเกิน
ทรัพยากรเริ่มเสื่อมโทรมเกิดภาวการณ์ความขาดแคลนทรัพยากรประมงในพื้นที่ส่งผลให้ชาวประมง
พยายามสร้างความหลากหลายในการดำรงชีพและการเข้าถึงทรัพยากรประมงเข้มข้นขึ้นตามลำดับ
โดยผ่านรปู แบบกิจกรรมของปฏิบัติการในชีวิตประจำวันการสร้างกลยุทธ์ในการต่อสู้ต่อรองเพื่อความ
อยู่รอดภายใต้เงื่อนไขของกลไกระบบตลาดเช่นการแกะกุ้งการแกะปูปลากะตักแห้งการรับจ้างทั่วไป
ในชุมชนการค้าและการแปรรูปทรัพยากรประมงในรูปแบบต่างๆตามความต้องการของตลาดเพ่ือ
สร้างความมนั่ คงทางดา้ นอาหารในภาวะวกิ ฤตทรพั ยากรประมง

สุวัฒน์ หม่นมั่น (2551) ศึกษาเรื่อง “การศึกษาภูมิปัญญานิเวศวทิ ยาชาวประมงพื้นบา้ น
กับการจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเล : กรณีศึกษาประมงพื้นบ้านตำบลลีเล็ด อำเภอพุนพิน

จังหวัดสุราษฎร์ธานี” ผลการศึกษาพบว่า ภูมิปัญญาทางด้านนิเวศวิทยาและการเข้าถึงทรัพยากร
ชายฝั่งทะเลเป็นองค์ความรู้ที่เกิดจากภายในชุมชนเอง และจากภายนอกชุมชน โดยการรับเอา
ปรับเปลี่ยน หรือดัดแปลงให้สอดคล้องกับบริบทของชุมชน ในการจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลเป็น
การจดั การโดยการมีสว่ นร่วมของคนในชุมชนทั้งการรวมกลุ่ม เพือ่ ตั้งกฎกติกา รว่ มสอดส่องดูแล และ
รว่ มประชุมเพอ่ื แก้ไขปญั หาท่ีเกิดจากการใชท้ รัพยากร โดยที่คนในชมุ ชนตระหนักถงึ ปัญหาความเสื่อม
โทรมของทรัพยากรอันเกิดจากการทำประมงที่ทำลายล้าง และการเข้ามาจัดการทรัพยากรจาก
ภายนอกโดยไม่คำนึกถงึ สภาพพ้นื ที่และการมีสว่ นรว่ มของชุมชน

ประภาส ปน่ิ ตบแตง่ และอนุสรณ์ อณุ โณ (2545) ศึกษาเรอื่ ง “ขบวนการเครอื ข่ายประมง
พนื้ บา้ นภาคใต้ กรณศี ึกษาสมัชชาชาวประมงพ้ืนบ้านอนั ดามัน”ผลการศึกษาพบว่าสมัชชาชาวประมง
พื้นบ้านอันดามัน เป็นการรวมตัวกันของชาวประมงขนาดเล็กเพื่อเคลื่อนไหวคัดค้านการทำลาย
ทรัพยากรชายฝั่งจากประมงพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ละเมิดข้อห้ามมิให้ทำการประมงในเขต3,000 เมตร
จากฝั่ง ซึ่งเป็นที่ทำการของประมงพื้นบ้านและส่งผลในทางลบต่อการทำประมงของพวกเขาโดยตรง
และเป็นปัญหาที่โยงกบนิเวศวิทยาการเมือง ชาวประมงพื้นบ้านมีแนวคิดเรื่องการจัดการทรัพยากร
ชายฝั่งเพื่อความยั่งยืน และชูประเด็นเรื่องสิทธิชุมชนและอัตลักษณ์ความเป็นประมงพื้นบ้าน จาก
ชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆ รวมตัวกันขึ้นมาขยายสู่ตำบล จังหวัด เกิดเป็นเครือข่ายสมัชชาชาวประมง
พื้นบ้านอันดามนั มีสมาชิกส่วนใหญ่เปน็ ชาวมุสลมิ ซึ่งโลกทัศน์และวัฒนธรรมมุสลิมท่ีเน้นความเรยี บ
ง่ายสมถะของโลก เอื้อให้พวกเขาอยู่ในวิถีของการอนุรักษ์ ความขัดแย้งกับประมงพาณิชย์ ก่อนมี
สมัชชาบางครั้งปะทุขึ้นเป็นความรุนแรง แต่ประสบความสำเร็จหลังการก่อตั้งสมัชชาฯ โดยมี
อพช.เป็นพนั ธมิตรและทปี่ รึกษา ช่วยลดทอนปญั หาความรุนแรง

เพ็ญนภา สวนทอง (2562) ศึกษาเรื่อง นิเวศวิทยาการเมืองของการจัดการทรัพยากร
ชายฝั่งทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผลการวิจัยพบว่า อ่าวบ้านดอนมีการเปลี่ยนแปลง
3 ยุค คอื ยคุ เศรษฐกิจชุมชนพึ่งตนเองก่อน พ.ศ. 2504 เนน้ อาศยั ทรัพยากรเพื่อการดำรงชีพมาสู่การ
สัมปทานป่าและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายทะเล พ.ศ. 2504-2545 มีการให้สัมปทานป่าชายเลนเพื่อ
สร้างรายได้ของรัฐ และการจัดสรรพื้นที่ทะเลให้เกษตรกรเลี้ยงหอยตะโกรม (หอยนางรม) เพื่อ
แกป้ ัญหาความยากจน จนถงึ พ.ศ. 2532 รวมพน้ื ที่อนญุ าต 40,656 ไร่ ครอบคลุมในพ้ืนทอ่ี ำเภอไชยา
ท่าฉาง กาญจนดิษฐ์ และดอนสัก ต่อมารัฐส่งเสริมการส่งออกอาหารทะเล ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) เกิดนโยบายการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน โครงการ
Sea Food Bank พ.ศ. 2547 นำไปสู่การบุกรุกยึดครอบครองพื้นที่ทะเลนอกเขตอนุญาตกว่า
200,000 ไร่ เพื่อเลี้ยงหอยแครง เนื่องจากให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูง พื้นที่ส่วนรวมทาง
ธรรมชาติ ถูกแย่งยึดเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ทะเลมีเจ้าของ ปิดกั้นสิทธิการทำประมงพื้นบ้าน ฐานของ
เศรษฐกิจชุมชนถูกแย่งยึด ประมงพื้นบ้านไร้ที่ทำการประมง เกิดวิกฤตอ่าวบ้านดอน นำไปสู่ความ
ขัดแย้งของคน 3 กลมุ่ หลัก ๆ ได้แก่ ผเู้ สยี สิทธกิ ารดำรงชวี ิตหรอื การอย่รู อดในทรัพยากรอา่ วบ้านดอน
(existence rights of the poor) ผู้มีอิทธิพลและพลังอำนาจแย่งยึดทรัพยากรเพื่อสะสมความมั่งคั่ง

และผู้ควบคุม/จัดการการทรัพยากรหรือบังคับใช้กฎหมาย การจัดการทรัพยากรในกระแสหลักโดย
อำนาจรัฐและกฎหมาย อาจไม่นำไปสู่ความเป็นธรรมและยั่งยืนของชุมชนในการเข้าถึงและใช้
ประโยชน์ในพื้นที่ทะเลสาธารณะ ชุมชนประมงจึงต้องเป็นคนจัดการทรัพยากร มีกฎกติกาและ
ธรรมนญู อ่าวทม่ี ดี ุลยภาพในการใชท้ ะเลรว่ มกนั

มานะ ขุนวีช่วย และกมลทิพย์ ธรรมกีระติ (2562) ศึกษาเรื่อง การคงอยู่ของวิถีประมง
พื้นบ้านปากพูน : บทวิเคราะห์พลวัตการเปลี่ยนแปลงในอดีต ผลการศึกษาได้ข้อสรุปว่าชาวประมง
พื้นบ้านหมู่ที่ 2 และ 4 ตำบลปากพูน (ชุมชนปากพูน) มีลักษณะของความเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตโดย
มองจากลกั ษณะการผลิตแบง่ ได้ 3 ยุค คอื ยุคทหี่ นง่ึ เปน็ ระบบเศรษฐกจิ ในช่วงระยะเวลาก่อนปี พ.ศ.
2500 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวประมงพื้นบ้านส่วนมากอพยพมาจากจังหวัดเพชรบุรี และมีลักษณะการ
ผลติ ที่อาศัยความสมบูรณจ์ ากธรรมชาติ ยคุ ทสี่ อง เปน็ ชว่ งเวลาที่มกี ารเปล่ยี นแปลงเทคโนโลยีในการ
ผลิต และเกิดความเสื่อมโทรมของทรัพยากรตรงกับทศวรรษ 2500 – 2530 ลักษณะของการผลิตน้ี
เปน็ ผลพวงจากการพัฒนาประเทศ ทม่ี แี นวคิดทจี่ ะมุง่ พฒั นาเศรษฐกิจ ยุคที่สาม เป็นช่วงเวลาแห่งการ
ฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลตรงกับทศวรรษ 2540 ถึงปัจจุบัน เงื่อนไขสำคัญที่ส่งผลให้มีการฟื้นฟู
ทรพั ยากรทางทะเลเกิดจากประสบการณ์ในการทำประมงของชาวประมงพ้ืนบา้ นที่ผา่ นมาและการจัด
โครงการการจัดการสุขภาวะโดยชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลปากพูน ที่มองปัญหาของคนท้ัง
ตำบลในเชิงบรู ณาการ

ประไพพิศ ชอบแต่ง, ศุภรัตน์ พิณสุวรรณ และ นิสากร กล้าณรงค์ ศึกษาเรื่อง วิถีการทำ
ประมงพื้นบ้านชุมชนหัวเขาแดง ตำบลหัวเขาแดง อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลาที่ (ยังไม่)
เปลี่ยนแปลง ได้ศึกษา ชุมชนหัวเขาแดงเป็นชุมชนที่อยู่ในตำบลหัวเขาแดง อำเภอสิงหนคร จังหวัด
สงขลา มีการสร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณที่ราบ ขนานเลียบชายฝั่งทะเลสาบสงขลา (ตอนล่าง)
ประกอบด้วย 8หมู่บ้าน การทำประมงเป็นอาชีพหลักที่นิยมทำกันมาก แต่ก่อนประกอบอาชีพเพื่อยงั
ชีพหรือทำประมงขนาดเล็กโดยใช้เรือขนาดเล็ก เช่น เรือพื้นบ้าน แต่ปัจจุบันชาวประมงบางส่วน
เปลีย่ นจากเรือพน้ื บา้ นขนาดเล็กมาเปน็ เรือท่ีตดิ เครื่องยนต์การทำประมงมีท้ังใช้เครื่องมือประมง แบบ
ง่าย ๆ เพื่อยังชีพ หาอาหาร และสร้างรายได้ เช่น แหหรือเบ็ด และเครื่องมือประมงที่ประดิษฐ์ขึ้นมา
ใหม่เพื่อให้จับสัตว์น้ำในหลากหลาย และปริมาณมากขึ้น วิถีทำประมงพื้นบ้านจะมีรูปแบบที่แตกต่าง
กันไป อันเป็นผลมาจากปจั จัยที่มีอิทธพิ ลตอ่ วิถีการทำประมงพืน้ บ้านในชุมชนหวั เขาแดงซึง่ ขึ้นอย่กู บั
ปัจจัยทางกายภาพ และปัจจัยทางสังคมท่ีมีความแตกต่างกัน ดังนั้นการศึกษาวิถีการทำประมง
พื้นบ้าน เครื่องมือ พาหนะต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำประมงของชุมชนหัวเขาแดงว่ามีรูปแบบอย่างไร
รวมถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อวิถีการทำประมงพื้นบ้านที่ส่งผลต่อการทำประมงชุมชนหัวเขาแดงจึงมี
ความสำคัญ เพื่อนำผลที่ได้จากการวิจัยไปปรับใช้เพื่อรองรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคต
อนั นำไปสคู่ วามย่งั ยนื ของชุมชนประมงพ้ืนบ้านหวั เขาแดงต่อไป

กำพล ลอยชื่นและคณะ (2558) ศึกษาเรื่อง ปัจจัยทางเศรษฐกิจ และสังคม ที่มีต่อ
ทัศนคติในการจัดการประมงชายฝั่งของชุมชนประมงบ้านเกาะสินไห จังหวัดระนอง การศึกษาปัจจัย

ทางเศรษฐกิจและสังคม ที่มีผลต่อทัศนคติในการจัดการประมงชายฝั่งของชุมชนประมงบ้านเกาะสิน
ไห จังหวดั ระนอง ระหว่างเดอื นมกราคม-ธนั วาคม 2554 พบว่าเป็นชมุ ชนชาวไทยมุสลมิ ครวั เรือนเป็น
ครัวเรือนขนาดกลาง มีระดับการศึกษาค่อนข้างต่ำ มีรายได้จากการทำประมงเป็นไดหลักส่วนใหญ่
รายได้จะไม่พอกับรายจ่ายทำให้มีภาระหนี้สิน ส่วนมากเป็นหนี้สินที่กู้ยืมจากแพปลาหรือนายทุน
ชาวประมงสว่ นใหญม่ ีเรือเปน็ ของตวั เอง ใช้เครอ่ื งมอื ประมงหลายชนิดรวมกนั ขึน้ อยู่กับฤดูกาลในรอบ
ปีมีอวนจมกุ้ง อวนจมปลาเห็ดโคน และอวนลอยปลาทู เป็นเครื่องมือประมงหลัก สำหรับปัญหาท่ี
ชาวประมงประสบมากทส่ี ุด คือ ปัญหาเรอ่ื ง ชว่ งฤดมู รสมุ ที่ยาวนาน ชาวประมงไม่สามารถออกไปทำ
การประมงได้

บทท่ี 3
วิธกี ารดำเนินการวจิ ยั

การวิจยั เรอ่ื ง พลวัตนเิ วศวิทยาสงั คมของชาวประมง ชมุ ชนสระบวั ตำบลท่าศาลา
อำเภอท่าศาลา จงั หวดั นครศรีธรรมราช ในบทน้ผี ูว้ ิจยั ไดก้ ำหนดวธิ ีดำเนนิ การวจิ ัย มรี ายละเอียด ดังนี้

1. ประชากร
2. กลุ่มตวั อย่าง
3. เครอื่ งมือรวบรวมข้อมูล
4. การเก็บรวบรวมข้อมลู
5. การวเิ คราะหข์ ้อมูล

1. ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ประชากรในพื้นที่ ชุมชนสระบัว ตำบลท่าศาลา อำเภอท่า

ศาลา จังหวดั นครศรีธรรมราช จำนวน 19 คน
2. กลุม่ เปา้ หมาย

กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ประชากรในพื้นที่ ชุมชนสระบัว ตำบลท่าศาลา
อำเภอท่าศาลา จังหวดั นครศรธี รรมราช แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้นำชมุ ชน กลุ่มชาวบ้าน
หรอื ชาวประมง กล่มุ หน่วยงานภาครฐั และกลุม่ หน่วยงานภาคเอกชน
3. เคร่ืองมอื รวบรวมข้อมูล

เครื่องมือการวิจัยที่ใช้ในการเก็บข้อมูล แบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือแบบสอบถามและแบบ
สัมภาษณด์ งั รายละเอียด ตอ่ ไปนี้

3.1 แบบสอบถาม
ผู้วิจัยเลือกใช้แบบสอบถามแบบปลายเปิด การสร้างเครื่องมือในการวิจัยคร้ังนี้ เพ่ือ

ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชากรกลุ่มเป้าหมาย ในการสร้างเครื่องมือผู้วิจัยได้สร้าง
เคร่ืองมอื โดยมขี น้ั ตอนการสร้างดงั ต่อไปน้ี

1. ศึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กีย่ วข้องตา่ งๆ ในเร่อื งการสร้างแบบสอบถาม

2. ทบทวนวัตถุประสงค์ของงานวิจัยเพื่อใช้ในการกำหนดขอบเขตและเนื้อหาให้
ครอบคลมุ ตามวัตถุประสงค์ของการวจิ ัย

3. สร้างแบบสอบถามขึ้นมา โดยแบบสอบถามที่ใช้ในการวิจัยนี้แบ่งออกเป็น 3
ตอน ดังนค้ี อื

ตอนที่ 1 แบบสอบถามเกยี่ วกบั สถานภาพทวั่ ไปของผตู้ อบแบบสอบถาม

ตอนที่ 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับ สภาพการดำเนินชีวิตประจำวันด้านต่าง ๆ 3 ด้าน
คอื

- ดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม วถิ ีชวี ติ สภาพแวดล้อม

- ดา้ นการปฏบิ ตั ิ พัฒนา มสี ว่ นร่วม เรยี นรู้

- ด้านพฤติกรรม การรบั รู้ ความพงึ พอใจ ทศั นคติ

ตอนท่ี 3 ข้อคดิ เห็น และขอ้ เสนอแนะ

3.2 แบบสมั ภาษณ์

ผู้วจิ ัยเลอื กใช้แบบสมั ภาษณแ์ บบเจาะลึกในทกุ ประเด็นท่เี กี่ยวข้อง เพ่ือตอบคำถามการ
วิจัย โดยเลือกสัมภาษณ์จากชาวบ้านและผู้มคี วามรู้ในเรื่องการทำประมง และหน่วยงานหรอื องค์กร
ทเี่ ก่ียวขอ้ ง โดยจะใช้ทั้งการสมั ภาษณแ์ บบก่งึ โครงสร้างและไม่มโี ครงสร้าง เพือ่ ใหไ้ ดข้ อ้ มูลถูกต้องและ
ครอบคลุมประเดน็ ทศ่ี กึ ษามากที่สดุ

การสร้างเครื่องมือในการวิจัยครั้งนี้ เพื่อใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชากร
กล่มุ เปา้ หมาย ในการสรา้ งเครอ่ื งมือผวู้ จิ ยั ได้สร้างเครอ่ื งมือ โดยมีข้นั ตอนการสร้างดังต่อไปนี้

1. ศึกษาค้นคว้าจากรายละเอียดจากเอกสารและรายงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ
พลวตั นเิ วศวทิ ยาของชาวประมงในดา้ นตา่ ง ๆ

2. แบบสัมภาษณ์ โดยการกำหนดคำถามและประเด็นในการสัมภาษณ์ โดยการจัดทำ
แบบสัมภาษณ์ออกเปน็ 4 ชุด ได้แก่

แบบสัมภาษณ์ชุดที่ 1 ของผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ผู้นำในชุมชน และผู้รู้เกี่ยวกับชุมชน ให้
ข้อมลู เกย่ี วกบั พื้นฐานของชมุ ชน

1. ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชมุ ชนสระบัว

2. ความแตกต่างของสภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในชุมชน ตั้งแต่อดีต –
ปจั จุบันของชมุ ชนสระบัว

3. การเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตในชุมชนจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ชุมชน
สระบวั

4. ภมู ิปญั ญาชาวบา้ นท่นี ำมาปรบั ใช้ในการประมง
แบบสมั ภาษณช์ ุดที่ 2 ของครัวเรือนของชาวประมง หรอื ชาวบ้านในชมุ ชน ใหข้ อ้ มลู เกี่ยวกับ
การรับมือ และปรบั ตัวของพลวตั นเิ วศวิทยาสังคมชาวประมง

1. ปัจจยั ท่ีมีผลต่อวิถชี วี ติ และการประกอบอาชพี ประมง ชมุ ชนสระบวั
2. วิธีการปรบั ตวั ให้เขา้ กบั สถานการณ์การเปลี่ยนแปลง
3. ความแตกต่างของเคร่อื งมอื การทำประมงในกับเคร่ืองมือในการทำประมงในอดตี
4. วิธีการในการประกอบอาชีพประมงที่ลดผลกระทบต่อการสูญพันธุ์ของสัตว์น้ำ
เเละไมส่ ง่ ผลเสียตอ่ สภาพเเวดลอ้ มในชุมชนสระบวั
แบบสัมภาษณช์ ดุ ที่ 3 ของเจา้ หนา้ ที่ภาครฐั ให้ขอ้ มูลเก่ียวกับนโยบายตา่ งๆของรัฐท่ีเกี่ยวกับ
ประมงในชุมชนสระบัว
1. แนวทางการจัดการหรือนโยบายในการช่วยเหลือชาวประมงในชุมชนที่ได้รับ
ผลกระทบ
2.แนวทางการรับมือจากความเปล่ียนแปลงของนเิ วศวิทยาสงั คมชมุ ชนสระบัว
แบบสัมภาษณ์ชุดที่ 4 ของเจ้าหน้าที่องค์กรพัฒนาเอกชน ในชุมชนสระบัว ให้ข้อมูลของ
ชมุ ชนประมงในพ้ืนที่ และการจดั การจดั ตั้งกลุ่มเพ่อื การจดั การทรัพยากรในพืน้ ที่
1 การทำงานของเครือข่ายหรือหนว่ ยงานท่เี ก่ยี วกับประมงในชุมชนสระบวั
2. การรับมือ และปรับตวั ของเครือขา่ ยหรอื หนว่ ยงานท่ีเก่ียวกับประมง
3. จำนวนครวั เรอื นท่ีทำการประมงในชมุ ชนสระบวั
4. แนวทางการอนรุ ักษท์ รพั ยากรในการประมง
5. ความรว่ มมือระหวา่ งชาวประมงกบั เครอื ข่ายและหน่วยงานท่เี ก่ียวข้อง

4. การเก็บรวบรวมข้อมลู
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล สามารถแบง่ ข้อมูลไดเ้ ป็น 2 ประเภท คอื

4.1 ข้อมูลทุติยภมู ิ โดยรวบรวมขอ้ มลู ทีเ่ กีย่ วข้อง เชน่ เอกสารวชิ าการ บทความ งานวิจัย
แหลง่ ข้อมลู ออนไลน์ทน่ี ่าเชือ่ ถือ ซง่ึ ไดจ้ ากการศกึ ษาค้นคว้าต่าง ๆ ท่มี ีผูร้ วบรวมขอ้ มูลไว้แลว้

4.2 ข้อมูลปฐมภูมิ รวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการที่เหมาะสมได้แก่ การสร้างแบบสอบถาม
การสัมภาษณ์ การลงพื้นที่สอบถามกลุ่มตัวอย่างโดยตรง เป็นต้น โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่ม
ตัวอย่างซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลสําคัญ ได้แก่ ผู้นำชุมชน ชาวบ้าน หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงาน
ภาคเอกชน ของชมุ ชนสระบัว ตำบลทา่ ศาลา อำเภอทา่ ศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช

ซึ่งมขี ้ันตอนการเก็บรวบรวมขอ้ มูลดงั นี้

1. รวบรวมข้อมลู เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งจากแหล่งขอ้ มลู

2. ตั้งประเด็นคำถามและออกแบบแบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม

3. นำแบบสัมภาษณ์และแบบสอบถามไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้นำชุมชน ชาวบ้าน
หนว่ ยงานภาครัฐ และหน่วยงานภาคเอกชน ของชมุ ชนสระบวั ตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา จังหวัด
นครศรีธรรมราช จำนวน 19 คน

4. นำข้อมูลมาทำการรวบรวมและเรียบเรยี งใหม่ โดยยังคงรักษาข้อมลู ที่ผใู้ ห้สัมภาษณ์ได้ให้
ขอ้ มูลไว้ มีการเปล่ยี นแปลงเฉพาะสำนวนภาษาให้มีความถกู ตอ้ งและสละสลวย

5. ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล โดยตรวจสอบกับผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพลวัต
นิเวศวิทยาสงั คมของชาวประมง ชมุ ชนสระบวั ตำบลทา่ ศาลา อำเภอทา่ ศาลา จงั หวัดนครศรธี รรมราช

5. การวิเคราะห์ข้อมลู

5.1 การวเิ คราะห์ขอ้ มูล

การวิเคราะห์ข้อมูลในการศึกษาวิจัย เรื่องพลวตั นเิ วศวิทยาสังคมของชาวประมง ชุมชน
สระบัว ตำบลท่าศาลา อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในครั้งนี้คณะผู้วิจัยได้ศึกษาและ
ดำเนินการต่อข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ใช้
วิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก และคำถามปลายเปิดทั้งหมด โดยนำข้อมูลที่ได้ในแต่ละครั้ง
มาแยกหมวดหมู่และพิจารณาถึงความสมบูรณ์ของข้อมูลเปรียบเทียบกับแนวคิดและวัตถุประสงค์ใน
การศึกษา และนำมาวิเคราะห์จากเนื้อหาที่ได้ศึกษามาเชื่อมโยง และหาความสัมพันธ์ของข้อมูล
เพอื่ ให้มคี วามเขา้ ใจไดอ้ ย่างชดั เจน

วธิ กี ารวเิ คราะหข์ ้อมลู

1. การวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดนั้น ต้องตรวจสอบความเที่ยงตรงของข้อมูล ความ
ถูกต้อง ข้อมูลครบถ้วน หรือหลากหลายมากน้อยเพียงใด เพื่อให้ได้ข้อมูลตามวตั ถุประสงค์ท่ีผู้วิจัยได้
ตั้งไว้

2. การวเิ คราะห์ข้อมลู เบ้ืองต้น นำขอ้ มูลท่ีได้จากการสัมภาษณ์ที่มีลักษณะเป็นการจด
บันทึก และการบันทึกเสียง มาจัดแยกเป็นหมวดหมู่ตามประเด็นต่าง ๆ พิจารณาข้อมูลว่ามีความ
สมบรู ณ์ทจี่ ะใช้ตอบคำถามตามวตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัยหรือไม่ และดำเนินการหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก
คำตอบท่ยี งั ไมค่ รบถว้ น

3. ผู้วิจัยทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาของข้อมูลที่ได้จากการ
สัมภาษณ์ และข้อมลู ที่ได้ศกึ ษาจากเอกสารอ่ืน ๆ ให้ได้ขอ้ มูลทชี่ ัดเจนและครอบคลุมวตั ถุประสงค์ของ
การวจิ ัย แล้วนำไปนำเสนอต่อไป

แบบสัมภาษณ์ เรื่องพลวตั นเิ วศวิทยาสงั คมของชาวประมง
งานวิจัยเรือ่ ง : พลวัตนเิ วศวิทยาสงั คมของชาวประมง

ชมุ ชนสระบัว ตำบลทา่ ศาลา อำเภอทา่ ศาลา จังหวัดนครศรธี รรมราช

คำช้แี จง ตอบคำถามให้ตรงกบั ข้อมูลของทา่ น
แบบสมั ภาษณช์ ุดท่ี 3 (เจา้ หน้าทภ่ี าครัฐ)
สว่ นที่ 1 ขอ้ มลู ทว่ั ไปของผตู้ อบแบบสัมภาษณ์
ช่อื ………………......................…..นามสกุล……….…………………………….อาย…ุ ……….ปีอาชีพ…………………
เบอร์โทรศัพท…์ …………………...................... ที่อยู่ บา้ นเลขท่ี……..….....หม…ู่ ......……ตำบล………………...
อำเภอ……………………….…..……จังหวดั ……………...….……………..…รายได/้ เดอื น………………………….บาท

สว่ นท่ี 2 ข้อมลู เกี่ยวกับบรบิ ท พื้นฐาน และความเปน็ มาของชุมชน
2.1 ประวัติศาสตรค์ วามเปน็ มาของชมุ ชนสระบวั
…………………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………..……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………..…………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………..………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………..…………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..

2.2 ความแตกต่างของสภาพเศรษฐกิจ สงั คม และวฒั นธรรมในชมุ ชน ตั้งแต่อดตี – ปจั จุบัน
ของชมุ ชนสระบัว

…………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………..……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………..…………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………..……………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………..………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..

2.3 การเปล่ยี นแปลงของวถิ ีชีวิตในชุมชนจากลักษณะทางภูมิศาสตรข์ องพ้นื ทช่ี มุ ชนสระบัว
…………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………..…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………..…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………..……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………..………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………..…………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
2.4 ภมู ิปัญญาชาวบา้ นท่ีนำมาปรับใช้ในการประมง
…………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………….....……………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………..…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………..…………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………..……………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………..………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………..………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..

แบบสัมภาษณ์ชดุ ที่ 2 (ครัวเรอื นของชาวประมง)
สว่ นท่ี 1 ข้อมลู ทวั่ ไปของผูต้ อบแบบสัมภาษณ์
ชือ่ ………………......................…..นามสกุล……….…………………………….อายุ………….ปี อาชีพ………………
เบอรโ์ ทรศัพท์……………………...................... ทอี่ ยู่ บา้ นเลขท่ี……..….....หม่…ู ......……ตำบล………………...
อำเภอ……………………….…..……จังหวดั ……………...….……………..…รายได้/เดอื น………………………….บาท
สว่ นที่ 2 ขอ้ มูลเก่ียวกับบรบิ ท พืน้ ฐาน และความเป็นมาของชุมชน

2.1 ปจั จยั ท่มี ผี ลต่อวิถีชวี ติ และการประกอบอาชีพประมง ชุมชนสระบวั
…………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………….....……………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………..…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………..…………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………..……………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………..………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2.2 วิธีการปรับตวั ให้เขา้ กับสถานการณ์การเปลย่ี นแปลง
…………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………….....……………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………..…………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………….…………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………..……………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………..………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………...
2.3 ความแตกตา่ งของเครื่องมือการทำประมงในกบั เครื่องมอื ในการทำประมงในอดีต
…………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………….....……………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………..…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………..…………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………..……………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………..………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..

2.4 วิธีการในการประกอบอาชพี ประมงท่ลี ดผลกระทบต่อการสูญพนั ธขุ์ องสตั ว์น้ำเเละไม่
สง่ ผลเสยี ตอ่ สภาพเเวดลอ้ มในชุมชนสระบวั

…………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………….....……………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………..…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………..…………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………..……………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………..………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..……………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………...

แบบสมั ภาษณ์ชดุ ท่ี 3 (เจา้ หนา้ ทภี่ าครัฐ)
สว่ นที่ 1 ขอ้ มูลทว่ั ไปของผตู้ อบแบบสัมภาษณ์
ชอ่ื ………………......................…..นามสกุล……….…………………………….อาย…ุ ……….ปี อาชพี ………………
เบอรโ์ ทรศัพท…์ …………………...................... ทอ่ี ยู่ บ้านเลขที่……..….....หมู…่ ......……ตำบล………………...
อำเภอ……………………….…..……จงั หวัด……………...….……………..…รายได้/เดอื น………………………….บาท
ส่วนท่ี 2 ข้อมลู เก่ียวกับการรบั มือ และปรบั ตัวของพลวัตนเิ วศวทิ ยาสังคมชาวประมง

2.1 แนวทางการจัดการหรือนโยบายในการชว่ ยเหลือชาวประมงในชุมชนที่ได้รับผลกระทบ
…………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………….....……………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………..…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………..…………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………..……………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………..………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………..………………………………
2.2 แนวทางการรบั มือจากความเปลีย่ นแปลงของนิเวศวทิ ยาสังคมชมุ ชนสระบัว
…………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………….....……………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………..…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………..…………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………..……………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………..………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..……………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..

แบบสมั ภาษณ์ชดุ ที่ 4 (เจา้ หน้าที่องคก์ รพัฒนาเอกชน หน่วยงานเอกชน กลุ่มเครือข่ายในชุมชน)
ส่วนท่ี 1 ขอ้ มลู ทัว่ ไปของผู้ตอบแบบสัมภาษณ์
ช่ือ………………......................…..นามสกลุ ……….…………………………….อายุ………….ปีอาชีพ…………………
เบอร์โทรศัพท…์ …………………...................... ท่ีอยู่ บ้านเลขที่……..….....หมู…่ ......……ตำบล………………...
อำเภอ……………………….…..……จงั หวดั ……………...….……………..…รายได้/เดอื น………………………….บาท
ส่วนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลของชุมชนประมงในพื้นที่ และการจัดการจัดตงั้ กลุม่ เพื่อการจัดการ
ทรัพยากรในพน้ื ที่

2.1 การทำงานของเครือข่ายหรอื หน่วยงานที่เกีย่ วกับประมงในชุมชนสระบัว
…………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………….....……………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………..…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………..…………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………..……………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………..………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
2.2 การรบั มือ และปรบั ตัวของเครือข่ายหรอื หน่วยงานท่เี กี่ยวกับประมง
…………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………….....……………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………..…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………..…………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………..……………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………..………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2.3 จำนวนครวั เรอื นทีท่ ำการประมงในชมุ ชนสระบวั
…………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………….....……………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………..…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………..…………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

………..……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..

2.4 แนวทางการอนรุ ักษ์ทรัพยากรในการประมง
…………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………….....……………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………..…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………..…………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………..……………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………..………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………...
2.5 ความร่วมมือระหว่างชาวประมงกับเครือขา่ ยและหน่วยงานท่ีเกย่ี วข้อง
…………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………….....……………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………..…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………..…………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………..……………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………..………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..……………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….

บรรณานุกรม

กาญจนา ตันสุวรรณรัตน์. (2544). งานวิจัยเรื่องสถาปัตยกรรมท้องถิ่น: กรณีศึกษาบ้านไม้หมาก
ชุมชนลาปรุ นครราชสีมา. นครราชสีมา: สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาค
ตะวนั ออกเฉียงเหนอื นครราชสมี า

กรรณิการ์ นาคฤทธิ์. (2558). การศึกษารูปแบบการจัดการทรัพยากรประมงชายฝั่งของชุมชน
ประมงพื้นบ้าน กรณีศึกษาธนาคารปูม้าชุมชนกคลอง อบต. หมู่ที่ 4 ตำบลบางแก้ว
อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ วันที่ 15 กรกฎาคม 2564.
สบื ค้นจาก http://ethesisarchive.library.tu.ac.th/thesis/2015/TU.pdf

ชนาวุธ มุกดา, ชาญชัย ธนาวุฒิ และเชาวน์ ยงเฉลิมชัย. (2554). ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลง
แนวชายฝั่งที่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่งทะเลในพื้นที่อำเภอท่าศาลา
จังหวดั นครศรีธรรมราช วารสารมหาวทิ ยาลัยทักษิณ, 14(2)

เชษฐา มหุ ะหมดั . (2562). พลวตั ทางนิเวศวิทยาสังคมและการจัดทรพั ยากรประมงในชุมชนหัวเขา
ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา .สงขลา: คณะศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ วทิ ยาเขตหาดใหญ่

นฤดม ทิมประเสริฐ. (2554). กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของสิทธิ
ชุมชนในการจัดทำข้อบัญญัติท้องถิ่นทางทะเล:กรณีศึกษาองค์การบริหารส่วน
ตำบลทา่ ศาลา จังหวดั นครศรีธรรมราช. กรงุ เทพ: มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์

วิถีชีวิตจากชายฝั่งถึงทะเล. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2564. สืบค้นจาก
http://srabualife.com/

วชิรวัชร งามละม่อม. ทฤษฏีภาวะทันสมัย (Modernization Theory). 2558. สืบค้นเมื่อวันที่
21 กรกฎาคม 2564. จากเว็บไซต์ : http://learningofpublic.blogspot.com/.html

เพ็ญนภา สวนทอง และ โอฬาร ถิ่นบางเตียว. (2562). นิเวศวิทยาการเมืองของการจัดการ
ทรัพยากรชายฝั่งทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี. วารสารเศรษฐศาสตร์
การเมอื งบรู พา, 7(2)

มานะ ขุนวีช่วย และกมลทิพย์ ธรรมกีระติ. (2561). การคงอยู่ของวิถีประมงพื้นบ้านปากพูน :
บทวิเคราะห์พลวัตการเปลี่ยนแปลงในอดีต . วารสารนาคบุตรปริทรรศน์
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครศรีธรรมราช

เยาวนจิ กิตตธิ รกุล และคณะ. (2558-2559). โครงการกระบวนการพัฒนาธุรกจิ การขายสัตว์นำ้ ท่ี
เปน็ มติ รต่อผู้บรโิ ภค กรณศี ึกษาเปรียบเทียบกลุ่มประมงพ้ืนบา้ นอา่ วประจวบครี ีขันธ์
จังหวัดประจวบคีรขี ันธ์ และกลุ่มประมงพื้นบ้านอ่าวท่าศาลา จังหวัดนครศรธี รรมราช.
(ออนไลน). 2564. สืบคน้ จาก
https://kb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2016/11137/1/413948.pdf

สำนักงานการพัฒนาการวิจยั การเกษตร (องคก์ ารมหาชน). ความเป็นมาของการประมง. (ออนไลน์).
สบื ค้นเมอ่ื วนั ที่ 16 กรกฎาคม 2564. สบื ค้นจาก
https://www.arda.or.th/knowledge_detail.php?id=38

สราวุฒย์ วิจิตรปัญญา. (2560). การเสริมสร้างเครือข่ายในการจัดการนิเวศวิทยาวัฒนธรรมตาม
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาในจังหวัดเพชรบูรณ์ . พระนครศรีอยุธยา:
มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณร์ าชวทิ ยาลัย.

Greenpeace. วิกฤตมหาสมทุ ร. 2564. สืบคน้ เมื่อวันท่ี 20 กรกฎาคม 2564. จากเวบ็ ไซต์ :

https://www.greenpeace.org/thailand/explore/protect/oceans/oceans-crisis/


Click to View FlipBook Version