ตัวอย่าง GROW MODEL Topic : Phlebitis หอผู้ป่วย............................................................. เหตุการณ์: ผู้ป่วยเกิด phlebitis grade 4 บริเวณแขนข้างซ้าย เป้าหมาย 1. ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำได้ถูกต้อง 2. เฝ้าระวัง/ป้องกันการเกิด Phlebitis 3. อัตราการเกิด Phlebitis ลดลง ชื่อผู้รับการสอนงาน......................................................... วันที่/เวลา.................................... หัวข้อ คำถาม คำตอบ Goal - Phlebitis ส่งผลอย่างไรกับผู้ป่วยรายนี้ - ส่งผลอย่างไรกับหน่วยงาน/หอผู้ป่วย - ทำอย่างไรให้ Phlebitis ดีขึ้น - จะป้องกันการเกิดกับผู้ป่วยรายใหม่ได้ อย่างไร - ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติม อาจจะได้รับยา Antibiotic ทำให้นอนโรงพยาบาลนานขึ้น ค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น - อัตราการเกิด Phlebitisเพิ่มขึ้นส่งผลต่อคุณภาพการพยาบาล - หาแนวทางปฏิบัติเพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน แก้ไข Reality - วิธีปฏิบัติที่เป็น Guideline เป็นอย่างไร - สิ่งที่ปฏิบัติจริงเป็นอย่างไร - แนวทางปฏิบัติสามารถทำได้จริงหรือไม่ - แนวทางปฏิบัติในการประเมินผู้ป่วยที่ให้สารน้ำทางหลอดเลือด ดำ อาจตอบไม่ได้ ตอบไม่ครบหรือบอกว่าบางอย่างอาจทำไม่ ได้จริง เช่น การเลือกเข็มให้มีขนาดและความยาวเหมาะสมกับ หลอดเลือดดำ การประเมินระดับของ Phlebitis - ขณะตรวจเยี่ยมผู้ป่วยที่ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำจะมีการ ประเมินตามหลัก IC สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงบริเวณที่ให้สาร น้ำว่ามีอาการ ปวด บวม แดง ร้อน หรือมีสิ่งคัดหลั่งซึมหรือไม่ การปิด Tegaderm ตำแหน่งที่ให้สารน้ำเพื่อให้เห็นบริเวณรอบๆ ได้ชัดเจน และเปลี่ยนTegaderm ทุก 96 ชั่วโมง ตามหลัก IC ขั้นตอนการเปิดเส้นเพื่อให้สารน้ำตามแนวทางปฏิบัติ การติดป้าย IV สีรุ้ง Option - เราจะมีวิธีปฏิบัติที่ดีกว่านี้ เพื่อไม่ให้เกิด Phlebitis ได้อย่างไร - ผู้ป่วยได้รับยาและสารน้ำทางหลอดเลือด ดำมีความเสี่ยงต่อการเกิดPhlebitis เท่ากันหรือไม่ - เราจะมีวิธีประเมินความเสี่ยงต่อการเกิด Phlebitis ของผู้ป่วยได้รับยาและสารน้ำ ทางหลอดเลือดดำแต่ละรายอย่างไร - เราควรมีวิธีปฏิบัติต่างกันสำหรับผู้ป่วยที่มี ความเสี่ยงต่างกันหรือไม่ - สืบค้นวิธีปฏิบัติที่ดี (Good or Best Practice) ผลงานวิจัย (Evidence Based Practice) ที่ทันสมัย น่าเชื่อถือ - ทบทวนวิธีปฏิบัติเดิม เพื่อเพิ่มขั้นตอนการปฏิบัติที่จำเป็น เอกสารแนบท้าย 5
หัวข้อ คำถาม คำตอบ Wrap - up - เราจะสรุปวิธีปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยที่ ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ เพื่อป้องกัน การเกิด Phlebitis อย่างไร - เราจะทดลองปฏิบัติได้เมื่อไร - เราจะมาพูดคุยเพื่อประเมินผลวิธีปฏิบัติ ใหม่กันอีกเมื่อไร - เปิดเส้นเพื่อให้สารน้ำตามแนวทางปฏิบัติการให้สารน้ำทาง หลอดเลือดดำ - เยี่ยมตรวจผู้ป่วยที่ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ผู้ป่วยทั่วไป ประเมินอย่างน้อยทุก 4 ชั่วโมง ผู้ป่วยวิกฤต/ได้รับยากด ประสาท/มีความพร่องการรับรู้ประเมินทุก 1-2 ชั่วโมง ผู้ป่วยเด็ก ประเมินทุก 1 ชั่วโมง ผู้ป่วยที่ได้รับสารน้ำและยาที่มีฤทธิ์ทำลาย เนื้อเยื่อ ต้องประเมินบ่อยกว่าทุก 1 ชั่วโมง ผู้ป่วยได้รับสารน้ำ ทางหลอดเลือดดำส่วนกลางประเมินอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง โดย ประเมินอาการเปลี่ยนแปลงบริเวณที่ให้สารน้ำว่ามีอาการ ปวด บวม แดง ร้อน หรือมีสิ่งคัดหลั่งซึมหรือไม่ - หากพบว่ามีสารน้ำหรือเลือดซึมใต้วัสดุปิดตำแหน่งให้สารน้ำให้ ดำเนินการเปลี่ยนวัสดุปิดตำแหน่งให้สารน้ำทันที กรณีครบวันหมดอายุ ให้เปลี่ยนวัสดุปิดตำแหน่งให้สารน้ำทันที กรณีพบใช้วัสดุปิดไม่ปลอดเชื้อให้เปลี่ยนวัสดุปิดตำแหน่งให้สาร น้ำทันที - ปิด Tegaderm ให้เห็นตำแหน่งที่ให้สารน้ำชัดเจน - เปลี่ยน Tegaderm ทุก 96 ชั่วโมง (4วัน) - การติดป้าย IV สีรุ้ง เพื่อระบุให้ทราบวันหมดอายุ/Expire Date ให้เห็นวันเปลี่ยนเด่นชัด - ทบทวนการให้สารน้ำที่มีความเข้มข้นสูง ยาที่มีความเป็นกรด ด่างสูง ยาที่มีความเข้มข้นของ Dextrose >10%และ Osmolality>900 มิลลิออสโมล ควรให้ทางหลอดเลือดดำ ใหญ่(Central Vascular Access)
นิเทศการพยาบาลกลุ่มโรคสำคัญ : โรคต้อกระจก งานการพยาบาลจักษุ โสต ศอ นาสิก การพยาบาลผู้ป่วยต้อกระจก โรคต้อกระจก (Cataract) หมายถึง โรคที่มีภาวะแก้วตาสูญเสียความโปร่งใส มีการขุ่นขาว (Lens Opacity) ทำให้แสงหรือภาพสะท้อนจากการมองวัตถุไม่สามารถผ่านเข้าไปยังจอประสาทตาได้ ทำให้เกิดการ มองเห็นไม่ชัดเจน มีตามัว ซึ่งโรคต้อกระจกสามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย สาเหตุ การจำแนกชนิดของต้อกระจก สามารถแบ่งได้ดังต่อไปนี้ 1. แบ่งตามอายุที่เกิด - ต้อกระจกแต่กำเนิด(Congenital)มีความขุ่นเกิดขึ้นที่เลนส์ตั้งแต่แรกคลอด - ต้อกระจกเกิดภายในอายุ 3 เดือน(Infantile) - ต้อกระจกในระยะวัยรุ่น (Juvenile) - ต้อกระจกในผู้ใหญ่ (Adult) - ต้อกระจกในวัยสูงอายุอายุ (Age-Related) 2. ตามตำแหน่งของความขุ่น - ต้อกระจกเกิดจากตำแหน่งนิวเคลียสของเลนส์ (Nuclear) - ต้อกระจกเกิดบริเวณ Cortex Lens Fiber (Cortical) - ต้อกระจกเกิดที่ถุงหุ้มเลนส์ (Capsular : Posterior or Anterior) - ต้อกระจกเกิดที่เส้นใยเลนส์ที่สร้างขึ้นใหม่บริเวณติดกับถุงหุ้มเลนส์ (Subcapsular : Posterior or Anterior) 3. ตามความมากน้อยของความขุ่น - ต้อกระจกยังไม่สุก (Immature) - ต้อกระจกมีการบวมของเส้นใยเลนส์ (Intumescent) - ต้อกระจกสุก (Mature) - ต้อกระจกสุกงอม (Hypermature) 4. ตามสาเหตุ - อุบัติเหตุกระแทกตา - ยา ได้แก่การรับประทานและหยอดยา Steriod - โรคประจำตัว เอกสารแนบท้าย 6
อาการ 1. ตามัวลงช้าๆ เหมือนมีหมอกมาบังตา ไม่มีอาการปวดตา 2. มองเห็นภาพซ้อน เนื่องจาการหักเหในแต่ละส่วนของแก้วตาเปลี่ยนไป 3. รูม่านตาจะเห็นขาวขุ่นเมื่อส่องดูด้วยไฟฉาย 4. ตามัวมากขึ้นในที่สว่างเนื่องจากขณะที่อยู่ที่สว่างรูม่านตาเล็กลง ส่วนอยู่ที่มืดจะชัดขึ้น เพราะรูม่านตาขยาย การรักษา 1. รักษาทางยา (Medical Treatment) ยาที่ใช้เพื่อป้องกันหรือชะลอต้อกระจกมีกลไกต่างๆ เช่น เปลี่ยนชีวเคมี ของเลนส์โดยเปลี่ยน Metabolic Rate ใช้สาร Antioxidants อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังไม่มียาที่พิสูจน์ได้ว่า ได้ผลในการรักษาหรือชะลอต้อกระจกชัดเจนเหมือนการรักษา 2. วิธีการผ่าตัดรักษาโดยการผ่าตัด (Surgical Treatment) - ควรทำเมื่อต้อกระจกที่เกิดขึ้นทำให้การมองเห็นลดลง ไม่สามารถดำรงชีวิตประจำวันได้ตามปกติ - ต้อกระจกสุกขาวขุ่นมาก เลนส์มีลักษณะที่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ต้อหิน หรือยูเวียอักเสบ - มีความจำเป็นที่จะตรวจรักษารอยโรคในจอประสาทตา และต้อกระจกบดบัง ทำให้ไม่สามารถตรวจหรือ ให้การรักษาโรคจอประสาทตาได้ วิธีการผ่าตัดแบ่งเป็น 3 วิธี คือ 1. Intracapsular Cataract Extraction (ICCE) คือ การผ่าตัดเอาเลนส์และถุงหุ้มเลนส์ออกทั้งหมด 2. Extracapsular Cataract Extraction (ECCE) คือ การผ่าตัดเอาเฉพาะเลนส์ออก โดยเหลือถุงหุ้มเลนส์ไว้ เพื่อใส่เลนส์ตาเทียม 3. Phacoemulsification คือ การใช้เครื่องมือสร้างคลื่นเสียงความถี่สูง สลายเนื้อเลนส์ และดูดออก โดยเหลือถุงหุ้มเลนส์ ไว้ เพื่อใส่เลนส์ตาเทียมเหมือน ECCE แต่ขนาดแผลจะเล็กกว่า (ประมาณ 2-3 มิลลิเมตร) การหายของแผลเร็วกว่า การฟื้นฟูสายตาหลังผ่าตัดเร็วกว่า แต่มีข้อจำกัดในบางกรณี เช่น ต้อกระจกที่แข็ง หรือสุก อาจจะไม่สามารถผ่าตัดด้วยวิธี Phacoemulsification ได้ ภาวะแทรกซ้อน (Complications) ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การมีภาวะเลือดออกในช่องหน้าลูกตา กระจก ตาขุ่นมัว การติดเชื้อหลังผ่าตัด ในบางกรณีอาจสูญเสียดวงตาและการมองเห็นแบบถาวรได้ ภาวะดังกล่าวพบได้ไม่ มาก แต่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะเวลา เป็นวัน สัปดาห์เดือน หรือหลายปี หลังการผ่าตัด แก้วตาเทียม เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ผลิตขึ้นมาใช้แทนแก้วตามนุษย์ส่วนใหญ่ทำจากสาร (PMMA ) Polymethylmethacrylate หรือซิลิโคน ซึ่งไม่มีปฏิกิริยากับเนื้อเยื่อของตา
ลักษณะแก้วตาเทียม ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1. ส่วนที่เป็นแก้วตาเทียม ทำหน้าที่หักเหแสงให้ตกบนจอประสาทตา 2. ส่วนที่เป็นขาแก้วตาเทียม ทำหน้าที่ยึดหรือพยุงให้แก้วตาเทียมอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการไม่ให้เคลื่อนหรือเลื่อน หลุดไป มีทั้งที่เป็นขาแข็งและที่ยืดหยุ่นได้แบบสปริง ชนิดของเลนส์แก้วตาเทียมที่ใช้ในการรักษา 1. Monofocal IOL เป็นเลนส์แก้วตาเทียมชนิดมาตราฐานหรือโฟกัสระยะเดียว เลนส์ชนิดนี้จะช่วยในการ มองไกลที่ชัดเจนแต่ต้องอาศัยแว่นสายตาช่วยในการมองใกล้ 2. Multifocal IOL เลนส์แก้วตาเทียมชนิดโฟกัสหลายระยะ พัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาสายตาของผู้มีภาวะ สายตายาวตามอายุ โดยผิวเลนส์ถูกออกแบบพิเศษด้วยเทคโนโลยี Apodized Diffractive หรือ Refractive คล้ายขั้นบันไดเป็นวงๆ ตรงกลาง เพื่อช่วยสร้างความสมดุลของการโฟกัสภาพในระยะใกล้และไกล พบว่า 80% ของผู้ใช้เลนส์ชนิดนี้ สามารถทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การอ่านหนังสือ หรือการขับรถได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาแว่น สายตา 3. Toric IOL เลนส์แก้วตาเทียมชนิดแก้ไขสายตาเอียง ภาวะสายตาเอียงโดยมากมีสาเหตุจากความโค้งของ กระจก ตาที่ไม่สมดุล เลนส์แก้วตาเทียมชนิด Toric ออกแบบให้มีความโค้งทางด้านหลังเลนส์ไม่เท่ากันใน แนวตั้งและแนวนอน เพื่อชดเชยความโค้งของกระจกตาที่ไม่เท่ากัน ทำให้มองเห็นระยะไกลได้ชัดเจนขึ้น แต่ยังต้องพึ่งพาแว่นสายตาเพื่อการมองระยะใกล้ 4. Multifocal Toric นวัตกรรมใหม่ล่าสุดของเลนส์แก้วตาเทียม ที่มีประสิทธิภาพสามารถแก้ไขภาวะสายตา เอียง พร้อมกับปรับภาพชัดได้หลายระยะอยู่ในเลนส์เดียวกัน ช่วยให้ผู้ป่วยมองเห็นในระยะใกล้และไกล ชัดเจนขึ้น และแก้ไขสายตาเอียงให้ลดลง อีกทั้งยังช่วยแก้ไขการเกิดโรคต้อกระจกสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มของ ภาวะโรคต้อกระจกอีกด้วย การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด OPD จักษุ 1. ซักประวัติผู้ป่วย 2. การวัดความสามารถในการมองเห็น ให้ผู้ป่วยอ่านแผ่นป้าย Snellen Chart ซึ่งจัดบริเวณวัดสายตาให้มีระยะห่างระหว่างแผ่นป้ายถึงผู้ป่วย 20 ฟุต ผู้ป่วยที่เข้าภาวะต้อกระจกใช้เกณฑ์ตาม องค์การอนามัยโลกในปี 2546 ที่ได้กำหนดประเภท ของภาวะพร่องการมองเห็น โดยใช้ระดับสายตาที่วัดด้วยตาเปล่าหรือใส่แว่นที่ใช้อยู่ ต้องอ่าน Snellen Chart ได้แย่กว่า แถวที่ 20/70ได้ที่ระยะ 20 ฟุต วัดควาดันลูกตา และจัดเก็บเอกสารใส่ OPD Card 3. แพทย์จะอธิบายการผ่าตัด การเลือกใช้เลนส์เทียมให้กับผู้ป่วย 4. วัดเลนส์ 5. ล้างท่อน้ำตา
6. พยาบาลที่ OPD จักษุแนะนำการปฎิบัติอย่างคร่าวๆ เช่น - การฝึกนอนราบคลุมโปง ไม่หนุนหมอนเพื่อความเคยชินขณะนอนผ่าตัดให้ได้นานประมาณ 30 นาที - ก่อนการผ่าตัดควรได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ หากผู้รับบริการมีภาวะกังวล นอนไม่หลับควรแจ้ง เจ้าหน้าที่ - ก่อนวันผ่าตัดควรเตรียมร่างกายให้สะอาด สระผม ไม่ควรใส่น้ำมันแต่งผม - การผ่าตัดต้อกระจกจะนอนโรงพยาบาลโดยปกติ 2 คืน ควรเตรียมเสื้อผ้าที่สวมใส่สบายในวันกลับบ้าน และไม่พกของมีค่า เนื่องจากวันผ่าตัดห้ามแต่งหน้า ใส่เครื่องประดับหรือนำของมีค่าเข้ามาในห้องผ่าตัด - ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เพื่อลดความอึดอัด และควรแปรงฟันหรือบ้านปากให้สะอาด - ยาที่รับประทานหรือใช้ประจำ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์พร้อมแจ้งชนิดของยาที่แพ้ให้แพทย์ ทราบ เนื่องจากมียาบางชนิดต้องงดก่อนผ่าตัด 7 วัน เช่น ยาแอสไพลิน ยาละลายลิ่มเลือด 7. ขณะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลควรพาญาติหรือผู้ช่วยดูแลมาด้วยอย่างน้อย 1 ท่าน หอผู้ป่วยจักษุ ด้านร่างกาย (Physical) - ผู้ป่วยจะได้รับการวัดเลนส์ตา ล้างท่อน้ำตา ที่แผนกผู้ป่วยนอกจักษุ - การตรวจเลือด เอกซเรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ทำในกรณีผ่าตัดด้วยวิธีดมยาสลบ หรือผู้ป่วยที่ แพทย์ประเมินแล้วมีความเสี่ยงสูงในการผ่าตัด - ผู้ป่วยจะได้รับการซักประวัติการเจ็บป่วย การแพ้ยา แพ้อาหาร - ฝึกนอนคลุมโปงด้วยผ้าเจาะรูที่ตาเสมือนจริง ที่ใช้ในห้องผ่าตัด เป็นเวลา 30-45 นาที - ตัดเล็บให้สั้น ไม่ทาสีเล็บ - เย็นก่อนวันผ่าตัด อาบน้ำ ฟอกหน้า สระผม ด้วยน้ำยา 2% Chlohexidine - เช้าวันผ่าตัด ให้ผู้ป่วยอาบน้ำ ฟอกหน้า ด้วยน้ำยา 2% Chlohexidine อีกครั้ง และงดใส่น้ำมันใส่ผม งดทาแป้งบริเวณใบหน้า - เช้าวันผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการล้างตา ข้างที่ทำผ่าตัด - ถอดฟันปลอม ของมีค่า ชุดชั้นในออก ก่อนเข้าห้องผ่าตัด - ให้ผู้ป่วยปัสสาวะให้เรียบร้อย ก่อนไปห้องผ่าตัด - หากผู้ป่วยมีอาการผิดปกติให้รีบแจ้งพยาบาล เช่น ตาแดง ตาอักเสบ ท้องเสีย มีไข้ ไอ - ผู้ป่วยที่ทำผ่าตัดด้วยวิธีการใช้ยาชาเฉพาะที่ ในระหว่างการผ่าตัดหากผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ เช่น หายใจไม่ออก เหนื่อย อึดอัด ปวด สามารถพูดได้ เพื่อแจ้งให้แพทย์ทราบ แต่ไม่ควรขยับตัวระหว่าง ผ่าตัดเพราะจะทำให้เกิดอันตรายได้ ด้านจิตใจ (Mental) - ทำใจให้ผ่อนคลาย นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ - ผู้ป่วยที่กังวล เครียด ให้แจ้งพยาบาลได้ทันที - ตอบข้อซักถามของผู้ป่วยและญาติ เกี่ยวกับเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ หรือกังวล เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเลนส์เทียม ขั้นตอนการผ่าตัด การปฏิบัติตัวหลังผ่าตัด
- แนะนำวิธีการเผชิญความเครียด เช่น การทำสมาธิ การพูดคุยกับคนที่ไว้ใจ การฟังเพลง การอ่าน หนังสือ ด้านอาหาร (Nutrition) - ผู้ป่วยที่ผ่าตัดด้วยวิธีใช้ยาชาเฉพาะที่ สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ - ผู้ป่วยที่ผ่าตัดด้วยวิธีดมยาสลบ ในวันผ่าตัดให้งดน้ำและอาหารตามแผนการรักษา ยา (Medicine) - ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ ให้รับประทานยาโรคประจำตัวได้ตามปกติ ยกเว้น ยาละลายลิ่มเลือด ควรงดก่อนผ่าตัด 7 วัน - ผู้ป่วยจะได้รับการหยอดยาฆ่าเชื้อก่อนผ่าตัด 1 วัน - วันผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการขยายม่านตาข้างที่ทำผ่าตัด - ให้ยาคลายกังวลในผู้ป่วยบางราย ตามแผนการรักษา การปฏิบัติตัวเมื่อกลับไปอยู่บ้าน - งดการล้างหน้า ไม่ให้น้ำเข้าตานาน 1 เดือน ใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดหน้าแทนการล้างหน้า - ผู้ป่วยสามารถอาบน้ำได้ ระมัดระวังไม่ให้น้ำกระเด็นเข้าตา โดยราดน้ำตั้งแต่ระดับไหล่ลงมา - ผู้ป่วยสามารถแปรงฟันได้ แต่ไม่ควรส่ายหน้าไปมาแรงๆ - ผู้ป่วยสามารถสระผมได้ โดยนอนหงายให้คนอื่นสระให้ ระวังไม่ให้น้ำกระเด็นเข้าตา - ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวัน อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ ออกกำลังกายเบาๆ ได้ - กลางวันสามารถใส่แว่นกันแดดได้ และใส่ฝาครอบตาเวลานอน - หลีกเลี่ยงการขยี้ตา เบ่งถ่าย ไอ จาม แรงๆ ถ้ามีอาการไอ ระคายคอสามารถจิบน้ำอุ่นได้ - หลีกเลี่ยงการประกอบอาหาร การทำงานบ้าน ป้องกันไม่ให้ฝุ่น ควันเข้าตา - หลีกเลี่ยงการยกของหนัก ทำสวน ขุดดิน ป้องกันการกระทบกระเทือนตา ไม่ให้ดินกระเด็นเข้าตา - หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับสัตว์ เช่น แมว สุนัข - ตาข้างที่ผ่าตัด เช็ดตาด้วยสำลีชุบน้ำเกลือบิดหมาด อย่างน้อย วันละ 1 ครั้ง - รับประทานอาหารได้ทุกชนิด หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นฉุน รับประทานอาหารเฉพาะโรคเช่นงดอาหารหวาน มัน เค็ม - ผู้ป่วยควรหยอดยา ป้ายยา ตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดยาหยอดตา ยาป้ายตาทุกชนิด มีอายุ 1 เดือน หลังเปิดใช้ ยกเว้นน้ำตาเทียมชนิดไม่มีสารกันบูด มีอายุ 24 ชั่วโมงหลังเปิดใช้ ควรเก็บยาหยอดยาไว้ ในตู้เย็น หยอดยาห่างกัน 5 นาที ในกรณีที่ต้องหยอดยาหลายชนิดในเวลาเดียวกัน ยาหยอดตา ให้ดึงเปลือกตาล่างลง หยอดลงบริเวณกระพุ้งตาล่างเพียง 1 หยด ยาป้ายตา ให้ดึงเปลือกตาล่างลง ป้ายยาลงบริเวณกระพุ้งตาล่าง จากหัวตาไปหางตา ยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร - ผู้ป่วยควรมาตรวจตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง เพื่อติดตามอาการหลังผ่าตัด - อาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ก่อนนัด/ภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ : เคืองตามากขึ้น ปวดตามากรับประทานยาบรรเทาปวดแล้วอาการไม่ทุเลา : ตามัวลงกว่าเดิม
: ตามีขี้ตาสีเหลือง เขียว : ตาแดงเพิ่มขึ้น มากกว่าวันแรกหลังผ่าตัด
แบบรายงานเวรตรวจการ ฝ่ายการพยาวันที่…………………………………..… ดึก เช้า บ่ward จำนวน ผู้รับบริการ อัตรากำลัง (RN/PN/Nดึก เช้า หน่วยงานภายใน อาคารสิรินธร ชั้น 2 หน่วยไตเทียม (HD) หน่วยปฏิบัติการตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือด (Cathlab) หอผู้ป่วยวิกฤตหัวใจและหลอดเลือด (CCU) หอผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมทั่วไป (SICU) หอผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก (CVT ICU) งานการพยาบาลวิสัญญี(Anes) หน่วยผ่าตัด (OR) ชั้น 4 หอผู้ป่วยพิเศษศัลยกรรม 1 (VIP Surg 1) หอผู้ป่วยศัลยกรรม 1 (Surg 1) ชั้น 5 หอผู้ป่วยพิเศษศัลยกรรม 2 (VIP Surg 2) หอผู้ป่วยศัลยกรรม 2 (Surg 2) ชั้น 7 หอผู้ป่วยพิเศษศัลยกรรมกระดูกและข้อ (VIP Ortho) หอผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูกและข้อ (Ortho) ชั้น 8 หอผู้ป่วยจักษุ (Eye) หอผู้ป่วยโรคหัวใจ (Cardio)
าบาล โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร บ่าย ผู้รายงาน …………………………………………………………….. NA) จำนวน ประเภท ผู้ป่วย 4 - 5 หมายเหตุ บ่าย VIP/Risk/อื่นๆ เอกสารแนบท้าย 7
ward จำนวนผู้รับบริการ อัตรากำลัง (RN/PN/Nดึก เช้า หน่วยงานภายใน อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา 1 ชั้น 1 หน่วยผู้ป่วยนอก (OPD) หน่วยอุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน (ER) ชั้น 2 หน่วยห้องคลอด (LR) หอผู้ป่วยกุมารเวรกรรม 1 (PED 1) หอผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิด (NICU) หอผู้ป่วยวิกฤตกุมารเวชกรรม (PICU) ชั้น 4 หอผู้ป่วยอายุรกรรม 1 (Med 1 ) หอผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรม (MICU) หน่วยบำบัดระยะสั้น (Day Care) ชั้น 5 หอผู้ป่วยอายุรกรรม 2 (Med 2) หอผู้ป่วยพิเศษอายุรกรรม (VIP Med) ชั้น 6 หอผู้ป่วยพิเศษสูติ-นรีเวชและกุมารเวชกรรม (VIP OB-GYN and Ped) หอผู้ป่วยสูติ-นรีเวชกรรม (OB-GYN) ชั้น 7 หอผู้ป่วยพิเศษทั่วไป (VIP) หอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม 2 (Ped 2) ชั้น 8 หอผู้ป่วยโสต ศอ นาสิก (ENT) ชั้น 9 หอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม 3 (Ped 3) การสรุปรายงานของเวรผู้ตรวจการ 1. การบริหารอัตรากำลัง………………………………………………………………………………………………………………………2. ENV…………………………………………………………………………………………………………………………………………………3. RM…………………………………………………………………………………………………………………………………………………4. Case VIP ………………………………………………………………………………………………………………………………………5. นิเทศ………………………………………………………………………………………………………………………………………………6. อื่นๆ…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
NA) จำนวน ประเภท ผู้ป่วย 4 - 5 หมายเหตุ VIP/Risk/อื่นๆ บ่าย ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………….
แบบรายงานยอดผู้ป่วยประจำวัน (ประเภท 4 ขึ้นไป) ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร หอผู้ป่วย……………………… จำนวนผู้ป่วย………… คน วันที่ …………………. ผู้รายงาน …………………………… เตียง/ห้อง ชื่อ - สกุล อายุ การวินิจฉัย/ หัตถการ อาการสำคัญ/ อาการเปลี่ยนแปลง หมายเหตุ
แบบรายงานการใช้โทรศัพท์ต่อสายนอก ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร ว/ด/ป เบอร์โทรศัพท์ (ต่อสายนอกโดย โอเปอเรเตอร์) เบอร์โทรศัพท์ (ต่อสายนอกโดย เครื่องมือถือ) ชื่อผู้ติดต่อ ลายมือชื่อ เวรตรวจการณ์ หมายเหตุ