เรื่องเล่าจากคนใน
ภาพสะท้อนแห่งสายใยและความผูกพั น
เรียบเรียงจากเรื่องเล่าในโครงการเสวนาวิชาการ 110 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ส่งต่อปณิธานความดีที่ยั่งยืน
โดย
ศูนย์วัฒนธรรม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
ผศ.นิก สุนทรธัย
รักษาการผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรม
"จากข้าวต้มชามเล็กๆที่มอบให้แก่พี่น้ องชาวจีนผู้อพยพ
เสื่อผืนหมอนใบ นำไปสู่การช่วยเก็บศพไร้ญาติของคณะเก็บศพ
ไต้ฮงกง การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้ก้าวข้ามความทุกข์ สร้างชีวิต
ให้มีวันพรุ่งนี้ เพื่ออนาคตที่ดีกว่า ทั้งหมดคือการก่อกำเนิดขึ้นของ
มูลนิธิป่ อเต็กตึ้งที่ได้บำเพ็ญสาธารณะกุศลอย่างมากมายขยาย
ขอบข่าย ไปทั่วประเทศ กลายเป็นองค์กรสาธารณกุศลขนาดใหญ่
ที่มีผลงาน การช่วยบรรเทาทุกข์เอื้ออำนวยประโยชน์สุขให้แก่เพื่อน
มนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยากอย่างไม่เลือกชนชั้น วรรณะ เชื้อชาติ ศาสนา
เพศ และวัย
เรื่องเล่าทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้มาจากบุคลากรคุณภาพ
ที่เป็นผลผลิตของมหาวิทยาลัยของเรา ที่ได้ทำงานจิตอาสากับมูลนิธิ
ป่อเต็กตึ้งมาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
ท่านผู้อ่านจะได้ซึมซับจิตวิญญาณของผู้ให้ที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ
และภาคภูมิใจไปกับปณิธานของมหาวิทยาลัยที่ถูกสถาปนาให้เป็ น
แหล่งเรียนรู้เพื่อรับใช้สังคม"
ถ้าจะพูดถึงประสบการณ์ทำงาน
อาจารย์ต้องเล่าประมาณ 3 วันไม่หมด
แต่ว่าจะเล่าเรื่ องตั้งแต่แรกที่เราเข้ามาเป็ น
นักศึกษาตกใจเหมือนกันว่าตอนที่เรียนอยู่
มีมูลนิธิเลี้ยงข้าวเที่ยงด้วย มื้อเที่ยงเรา
ทานฟรี ทุกคนก็จะถือถาดหลุมแล้วก็ขึ้น
ไปที่โรงพยาบาล
อาจารย์ชิดชนก สิทธารถศักดิ์
ผู้อำนวยการสำนักพัฒนานักศึกษา
แล้วก็ได้ทานข้าว นั่นก็ถือเป็นบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนอันหนึ่ง และถ้าจะถามใน
เรื่องจิตอาสาว่ามามีส่วนร่วมได้อย่างไร ในตอนแรกที่เป็นนักศึกษาใหม่ทุกคนจะ
ต้องไปที่มูลนิธิเพื่อทำความรู้จักกับมูลนิธิ ท่านผู้บริหารมูลนิธิก็จะเล่าเรื่องราว
และกิจกรรมต่างๆ ให้เราฟัง เราเป็นเด็กๆเราฟังแล้วก็รู้สึกว่าดีจังเลยได้ช่วยคน
...... พอเป็นนักศึกษาก็จะมีการประกาศรับสมัครจิตอาสาที่ไปออกหน่วยแพทย์
สงเคราะห์ชุมชน ทุกคนต้องนึกภาพว่าเมื่อก่อนเราไม่มีบัตร 30 บาทรักษาทุกโรค
และเราไม่มีเรื่องบัตรสิทธิ์บัตรทองหรือใดๆ เพราะฉะนั้นหน่วยแพทย์สงเคราะห์
ชุมชนของมูลนิธิปอเต็กตึ้งทำมานานมาก เวลาที่มูลนิธิไปออกหน่วยแพทย์เนี่ย
ทุกอย่างฟรีหมด ก็คือรักษาฟรี ตรวจโรค ถอนฟันฟรีทุกสิ่งอย่างฟรีหมด
เพราะฉะนั้น เวลาที่ไปประชาชนเขาจะมารอตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเจาะเลือด คิวแน่น
มาก ขณะที่เป็นนักศึกษาคณะพยาบาลจิตอาสาถามว่าไปช่วยอะไรได้มากมั๊ย
ต้องขอตอบว่าได้นิดหน่อยเพราะว่ายังเรียนไม่จบ ส่วนใหญ่ก็ไปวัดความดันแล้วก็
ซักประวัติ ตอนแรกยอมรับว่าอยากไปดูว่าเขาทำอะไรกันยังไม่ได้ซาบซึ้งถึงเรื่อง
จิตอาสาเท่าไหร่ แต่พอได้ไปร่วมจริงๆ กลับมาแล้วหัวใจมันฟู รู้สึกดีจังเลย
และตั้งใจจะไปทุกครั้งเพราะว่าประชาชนที่มารอหรือชาวบ้านที่มารอ คือเค้าไม่มี
จริงๆเราก็อยากให้เค้าได้เข้าถึงระบบสาธารณสุข บางคนเขาไม่มีแม้กระทั่ง
เงินค่ารถที่จะมาหาหมอในเมือง ดั้งนั้น เวลาที่มูลนิธิไปเขาก็เตรียมพร้อมที่จะมา
รับบริการ........พอปิ ดเทอมคุณพ่อคุณแม่ก็จะรู้เลยว่าจะไม่กลับบ้านเพราะจะไป
ระเหเร่ร่อนกับมูลนิธิในส่วนของหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน
ความประทับใจอย่างหนึ่งที่อยากจะบอกกับทุกๆท่าน ก็คือว่า ตอนที่เราตั้ง
มหาวิทยาลัย มูลนิธิเนี่ยให้ทุนประเดิม 20 ล้าน สำหรับให้ทุนนักศึกษา โดยที่
เมื่อรับทุนเรียนจบไปแล้ว ก็ผ่อนคืนเป็นรายเดือนโดยที่ไม่มีดอกเบี้ย ซึ่งถ้าพูด
ถึงเรื่องทุนก่อนหน้ านี้ก็มีให้ทุนมาเยอะ ตั้งแต่เป็นวิทยาลัยโดยเป็นการให้ทุนให้
เปล่าก็มี และพอมาเป็นมหาวิทยาลัยให้ทุนประเดิมมาใน 20 ล้านแล้วให้คืนเมื่อมี
อาชีพแล้วก็ส่งต่อมาเป็นกองทุนให้รุ่นน้ อง ซึ่งเราทำก่อนกยศ. แล กรอ.
ซึ่งมีดอกเบี้ยผ่อนคืน ส่วนทุนของมูลนิธิไม่มีดอกเบี้ยเลย จากนั้นเนี่ยกิจกรรม
ต่างๆ ที่มูลนิธิจัด มหาวิทยาลัยและนักศึกษาเข้าร่วมตลอด ซึ่งต้องบอกว่า
มหาวิทยาลัยโชคดีที่เราได้มูลนิธิเป็นต้นแบบ แล้วก็นักศึกษาใหม่ส่วนหนึ่งได้
ไปสัมผัสกับที่มูลนิธิเขาก็ได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้มา ประกอบกับการมีจิตอาสาส่วน
ตัวของเขาอยู่แล้ว จะเห็นว่าเวลาที่เราประกาศรับสมัครจิตอาสาเราต้องตัดออก
นั่นหมายความว่าเด็กนักศึกษาเราประสบความสำเร็จในเรื่องของการเรียนรู้
เพื่อรับใช้สังคมในระดับหนึ่ง แม้กระทั่งประเพณีล้างป่าช้าเด็กก็สมัครทั้งๆที่
ไม่ได้เป็ นกิจกรรมที่สนุกสนานและต้องใช้ความเข้มแข็งของจิตใจเป็ นอย่างมาก
และที่ประทับใจที่สุดก็คือขออนุญาตตอนพระราชพิธีพระศพของในหลวง
รัชกาลที่ 9 ทางมูลนิธิได้รับผิดชอบดูแลประชาชนตรงประตูวิเศษไชยศรีก่อน
ที่จะเข้าไปตรงพระบรมมหาราชวังเพื่อไปเคารพพระศ มหาวิทยาลัยส่งจิตอาสา
ไปทั้ง 50 วัน ไม่ใช่เฉพาะคณะพยาบาลนะคะทุกคณะไปหมด แล้วไม่ใช่เฉพาะ
นักศึกษา อาจารย์ บุคลากรเราก็จิตอาสาไปกันทุกวัน 50 วันไม่ได้หยุด
เพราะตัวเองก็ได้ไปดูแลทั้งวัน 50 วัน ที่สำคัญที่สุดคือวันพระราชพิธีถวายพระ
เพลิงพวกเราต้องอยู่กันตรงนั้น 24 ชั่วโมง 3 วันเด็กเราสุดยอดมาก ก็จะไปเช่า
ที่พักแถวบางลำภูเนื่องจากต้องดูแลเด็กทั้ง 2 กะ ก็คือ 6:00 น เลิกประมาณ
18:00 น หรือ 19:00 น แล้วอีกชุดนึงก็จะมาต่อตอนเย็นเลิกตอนเช้าตัวเองก็จะ
อยู่ตรงนั้นแต่ 06:00 น ถึง 24:00 น แล้วก็กลับไปพักแล้วตอนเช้าก็ออกมาอีกที
05:00 น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตัวเองประทับใจมากแล้วก็รู้สึกว่าดีใจที่ปณิธานของ
มูลนิธิยังอยู่ ไม่ใช่เฉพาะตัวเองที่สัมผัสได้ เด็กรุ่นใหม่ๆไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา
อาจารย์บุคลากรก็สัมผัสได้เช่นกัน
ในส่วนของการส่งต่อปนิธานแห่งความดีก็คือเราต้องทำก่อน ทุกครั้งที่จะ
ต้องมีจิตอาสาค่ะเวลาชวนน้ องทำจิตอาสาเราต้องทำด้วย ที่เราไปเราเนื่องจากเรา
มีจิตศรัทธา การส่งต่อที่ได้ทำมาก็คือทำไปด้วยกันทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้วก็พอ
เขาเห็นแล้วเขาได้เรียนรู้หรือไปสัมผัสเหมือนครั้งแรกที่ได้ไปกับหน่วยแพทย์
อยากเอาประสบการณ์แบบนี้มาให้กับนักศึกษาคือไปดูก่อนตอนแรกอาจจะไปด้วย
ถูกบังคับด้วยหน้ าที่ด้วยถึง เลขที่ฉันแล้วฉันต้องไป
แต่ทำยังไงเราจะสร้างกระบวนการเหล่านี้ให้เขาทราบซึ้งซึ่งเด็กๆที่กลับมาเนี่ยนะคะ
อาจารย์เขาก็จะอยากกลับไปอีกเสมอ เราต้องทำให้เห็นเด็กถึงจะศรัทธาเราต้องลุยไป
ด้วยกัน ก็มองว่าการส่งต่อความดีนอกจากที่เราจะต้องบอกให้โอกาสเขาได้ไปลองทำ
แล้วเราก็ต้องทำไปกับเขาด้วย
ต้องขออนุญาตพูดแบบนี้ก่อนนะคะว่าการที่
เราอยู่ในฐานะของคนที่เป็ นผู้รับจากมูลนิธิ
มาตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่ชั้นประถม จากเด็กที่ใส่
รองเท้าแตะไปโรงเรียนแล้ว ได้ของในสิ่งที่
เรารู้สึกว่าเราขาด สมุดหนังสือดินสอ ทั้งหมด
มันเป็นสิ่งหนึ่งที่มันอยู่ในใจเรา แล้ววันนึงเรา
ก็มีโอกาสได้มาอยู่กับวิทยาลัย
ดร. นุชนาฎ ยูฮันเงาะ
คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และสวัสดิการสังคม
ซึ่งเมื่อก่อนเป็นวิทยาลัยหัวเฉียว ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบให้กับเรา เทศกาลหนึ่งที่
พวกเราได้เข้าไปช่วยงานมูลนิธิเสมอนั่นก็คือวันตรุษจีน เราเห็นความหลั่งไหล
ของคนที่สร้างที่มีศรัทธาต่อมูลนิธิ ต่อหลวงปู่ไต้ฮงมาร่วมทำบุญกันอย่าง
มากมาย และเราก็ไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการที่จะไปร่วมรับบริจาค สิ่งที่เห็น
ตรงหน้ ามันยิ่งใหญ่สำหรับเรา มันมีคุณค่าแล้วก็สร้างความภาคภูมิใจให้กับเรา
ถ้าพูดถึงเรื่องความประทับใจเกี่ยวกับมูลนิธิ คงมีหลายหลายเรื่องค่ะแต่ขอยก
ตัวอย่างก็คือ ตั้งแต่ตอนเป็นนักศึกษาแล้วเข้าไปมูลนิธิเป็นครั้งแรกซึ่งก็ได้ทาน
ข้าวต้มชามแรกเหมือนกัน แล้วก็ได้พบกับท่าน ดร.อุเทนในสมัยนั้นซึ่งท่านเป็น
ประธานมูลนิธิอยู่ คำถามแรกของท่านคือมีคนนับถือศาสนาอื่นที่อยู่นะตรงนี้ไหม
ที่ไม่ใช่พุทธศาสนา เราก็ยกมือบอกว่าเราเป็นมุสลิม ท่านบอกว่ายินดีต้อนรับที่นี่
เจ้าหน้ าที่ก็มีมุสลิมเหมือนกันขอให้อยู่ที่นี่เหมือนกับอยู่ที่บ้านของเรา ซึ่งตอนนั้น
ความรู้สึกว่าเราเป็นเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่ลงมาจากที่อื่นแล้วมาอยู่หน้ าท่านแล้ว
ท่านให้ความสำคัญขนาดนี้ มันเหมือนเป็นการจุดประกายอะไรบางอย่างให้กับเรา
เป็นอย่างมาก เป็นการสร้างแรงบันดาลใจว่าเราจะต้องทำหน้ าที่ของเราในเรื่อง
ของการเรียนให้ดี ท่านให้เกียรติกับคนตัวเล็กๆ คนนึง ท่านก็เป็นจุดๆหนึ่งที่
ประทับใจ และทำให้เห็นว่ามูลนิธิให้กับทุกคนจริงๆโดยที่ไม่ได้เลือกชั้นวรรณะ
หรือศาสนาใด
ประเด็นที่ 2 คือความประทับใจเรื่องของความศรัทธาของคนชาวไทยนะคะ
ไม่ว่าจะเป็นคนไทยคนไทยเชื้อสายจีน และอื่นๆที่มีแรงศรัทธานะคะต่อมูลนิธิและความ
ประทับใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือวันที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 นะคะส่งเสด็จมาทรงเปิมหาวิทยาลัย
ด้วยพระองค์เอง เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ทุกท่าน บุคลากร และนักศึกษาเราก็รู้สึกประทับใจ
กันอยู่แล้ว ในส่วนของตัวเองเราได้โอกาสจากมูลนิธิตั้งแต่เด็ก ได้รับการให้จากมูลนิธิ
จนถึงเรียนในระดับปริญญาตรีที่ได้ทุนถาวรานุเพราะตอนนั้นคือเป็ นทุนของมูลนิธิ
ป่อเต็กตึ้ง พอจบปริญญาตรีไปต่อปริญญาโทก็ได้รับโอกาสอีก เช่นเดียวกันได้ทุนจาก
มหาวิทยาลัยไปเรียนที่ธรรมศาสตร์และต่อปริญญาเอกก็เช่นเดียวกันเป็ นทุนที่ได้ร่วมกับ
โครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก
...........สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมเรา ในฐานะที่เป็นครูบาอาจารย์ เมื่อเราได้
โอกาสตรงนี้ซึ่งเป็นโอกาสยั่งยืนได้มากที่สุดก็คือเรื่องของการสร้างชีวิต เราได้รับตรงนั้น
มาแล้วเราส่งต่อ สิ่งเหล่านี้ให้กับให้กับนักศึกษาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียนและเรื่อง
ของการใช้ชีวิต ส่งต่อเรื่องของคุณความดีให้กับเด็กรุ่นใหม่ เด็กรุ่นนี้เขามีความคิดเป็น
ของตัวเองมีความคิดสร้างสรรค์เขาอยู่กับเทคโนโลยีต่างๆแต่เพียงแต่เราจะอยู่ข้างๆ
เขาสามารถที่จะเป็ นเพื่ อนร่วมทางให้กับเขาได้เมื่ อยามใดที่เขามีประสบปั ญหาในชีวิตเรา
ไม่ทิ้งเขาสิ่งเหล่านี้ค่ะมันเป็ นสิ่งที่จะช่วยหล่อๆทำให้เด็กเนี่ยสามารถใช้ชีวิตแล้วก็ส่งต่อ
คุณความดีไปยังคนอื่นๆได้
อาจารย์ไม่ได้เรียนทางด้านการแพทย์ หรือพยาบาล
อาจจะไม่ได้มีโอกาสตอนสมัยเรียนเหมือนกับพี่ทั้ง 2
ท่าน ไม่ได้มีโอกาสได้ออกหน่วยบ่อยนัก ก็คือจะมีออก
บ้างก็เฉพาะที่คณะจัดให้ ตอนนั้นเป็นคณะศิลปศาสตร์
ยังไม่เป็นภาษาและวัฒนธรรมจีน แต่ก็มีความผูกพัน
กับมูลนิธิ ผ่านกิจกรรมที่สโมสรนักศึกษาจัด
อาจารย์ ดร.จุฑาธิปต์ จันทร์เอียด
คณะวัฒนธรรมสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
และแล้วจุดเปลี่ยนเลยจุดพลิกผันเลยคือหลังจากเรียนจบ ท่านอธิการบดีคนปัจจุบัน
ท่านได้ทาบทามให้กลับมาช่วยมหาวิทยาลัยฝ่ายต่างประเทศ ก็เลยกลับมา กลับมาปุ๊บ
เราก็ได้มีโอกาสได้ไปต่างประเทศได้ไปเมืองจีนกับมูลนิธิ ซึ่งน่าจะไม่กี่คนใน
มหาวิทยาลัยที่มีโอกาสได้ไปกับผู้บริหาร ในตอนนั้นน่ะคือได้ไปรู้ทุกอย่างที่ที่เป็นมูลนิธิ
และเราก็ได้ไปยืนต่อหน้ าหลวงปู่ไต้ฮงที่เมืองจีนแล้วก็เราเห็นความยิ่งใหญ่ ของการให้
มาตั้งแต่แรก กลับมาวันนั้คุณกำพลท่านก็เล่าทุกอย่างบนรถไฟ ฟังทุกเรื่องราวที่ผู้ใหญ่
เล่าทำให้รู้สึกได้ว่าท่านเสียสละมามากมาย บอกกับตัวเองเลยว่ากลับไปเนี่ยจะไปเป็น
อาสาเป็นอาสาแล้วเราก็ทุ่มเททุกอย่างเข้าไปช่วยงานมูลนิธินะคะหลายเรื่อง หลายงาน
มาก ไม่ว่าจะน้ำท่วม ไฟไหม้ แจกของ ไปเป็นพิธีกรในงานทิ้งกระจาด ปัจจุบันก็เป็นที่
ปรึกษาอยู่ฝ่ายสื่อสารองค์กรของมูลนิธิ และวันนี้ก็ถือว่าเป็นอีก งานของฝ่ายสื่อสาร
องค์กรที่มาแบบถ่ายทอดเรื่องราวว่ามูลนิธิว่ามีภารกิจอะไรมีภารกิจอะไรบ้างเวลาเกิด
เรื่องราวต่างๆออกไปช่วยเหลืออย่างไร
........ในส่วนเรื่องความประทับใจในมูลนิธิมีมากมายเพราะระยะเวลาที่ตัวเองเข้าไป
ช่วยงานในองกรร์ 10 กว่าปี ก็ซาบซึ้งมากไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวอะไรก็ตามที่เราขอ
ขอร้องหรือขอความช่วยเหลือไปแค่เพียงนิดเดียว เช่นเราบอกว่ามีคนที่ติดต่อเรามา
ว่าที่บ้านเค้ามีคนเสียชีวิตและบ้านเค้าลำบากมากเราก็แค่แบบแจ้งในเครือข่ายของเรา
ซึ่งบริการแบบฟรีทุกอย่าง แต่ว่าคนภายนอกอาจจะได้ยินข่าวไม่ดี ซึ่งตอนแรกที่เรา
เข้าไปแล้วก็อยากจะพิสูจน์ว่าข่าวต่างๆที่มันไม่ดีเนี่ยมันเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ว่าปรากฏ
ว่าถ้าเป็ นการดำเนินการของมูลนิธิอันนั้นน่ะคือปราศจากเงื่ อนไขเลยคือช่วยเหลือแบบ
ไม่มีเงื่อนไขไม่มีการเรียกเก็บเบื้องหลังใดๆทั้งสิ้นแต่ข่าวที่ออกมาคนอาจจะแยกไม่
ออกระหว่างมูลนิธิเองแล้วก็คนที่ไปอ้างอิง เราก็มีหน้ าที่ต้องไปแก้ข่าวให้อีก แม้กระทั่ง
ตัวเองย้ายไปอยู่ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒมูลนิธิยังตามมาช่วยทุกปี ช่วงที่เข้า
เข้าไปทำงานที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒแรกๆ
คณะแพทย์ศาสตร์มีปัญหาเรื่องการขนร่างอาจารย์ใหญ่ทุกปี แต่ว่าเราไปช่วยที่จุฬาอยู่
แล้วทุกปีเรารู้สึกว่ามันก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากมาก แต่ทาง มศว. บอกยากมาก เราก็
จัดการเลย บอกมูลนิธิแป๊ บเดียวจบ หลังจากนั้นปัจจุบันนี้คือวางมือได้แล้วคือเหมือน
เราช่วยได้ตรงนี้เราก็ช่วยได้ หรืองานอื่นๆ เช่น เรื่องการฝึกปฏิบัตินิสิตเรื่องกู้ชีพกู้ภัย
และปั จจุบันก็เราได้เอาความรู้ตรงนี้ไปต่อยอดได้ไปช่วยสอนด้วยอยู่ในทีมกู้แพทย์
ฉุกเฉินที่ทำเครื่องเครื่องปั๊มหัวใจ aed เราก็เป็นตัวแทนเข้าไป แล้วหลังจากนั้นพอ
ผลิตออกมาได้ เราก็จะให้คนทั่วประเทศได้มีความรู้เรื่องการกู้ชีพฉุกเฉินด้วยเครื่อง
กระตุกหัวใจไฟฟ้ า เป็นส่วนหนึ่งที่ที่ประทับใจต่อมูลนิธิ
.......และอยากจะขอต่อยอดอีกเรื่องในวันพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพ ร.9 เล่า
แล้วก็อยากจะร้องไห้เหมือนกัน ในวันนั้นเพราะว่าตอนแรก ไม่มีโอกาสได้เข้าไปเลย
มันยากมาก เขาคัดคนสุดๆ ในการจะเข้าไป แต่ด้วยความที่เรามีจิตใจที่แบบตั้งมั่น
แล้วว่า เราอยากจะเข้าไป แต่อาสามีเป็นหมื่นเราจะเป็นหนึ่งในนั้นได้อย่างไร แต่ว่า
เขาก็ให้เกียรติเรามากเพราะเราเป็นอาสามูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เขาบอกว่าอาจารย์เดี๋ยวอา
จารย์สแตนบายตรงนี้เลยนะ ตอนนั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ท่านเล็งเห็น
ความสำคัญของเครื่องปั๊มหัวใจ aed มากให้แพทย์เดินมาบอกเราเลยว่า อาสาใช่ไหม
มีเครื่องใช่ไหม ได้ไปอยู่ข้างปะรำพิธีขนลุกมาก ได้สแตนบายในจุดกับแพทย์ที่อยู่ข้าง
ปรัมพิธี แบบใกล้ชิดเห็นทุกพระองค์แบบชัดมากๆ ทั้งหมดก็เพราะว่าเราเป็นแค่อาสา
มูลนิธิปอเต็กตึ้ง เราจึงได้มีโอกาสได้เข้าไป กับประชาชนที่ต้องรอคอยเข้าแบบคิว 3
วัน 5 อันนี้ก็ถือว่าประทับรักมากเพราะว่าเพราะเราให้คนอื่นก่อนเราก็เลยได้รับโอกาส
ดีๆกลับคืนมาด้วย.......
........มี 2 เรื่องที่ประทับใจคือมีครั้งนึง ที่เราได้ไปช่วยเหลือครอบครัวครอบครัวนึง
เกี่ยวกับอุบัติเหตุ ครอบครัวนั้นเขารอดชีวิต เพราะว่าเราช่วยเหลือได้ทันเวลา แล้วเขา
กลับมาบอกเลยว่า หลังจากนี้ทุกๆปีมีอะไรจะให้เขาช่วยมูลนิธิบอกเค้าได้เลยแล้ว
เขาเป็ นเหมือนผู้ประกอบการรายใหญ่เวลาที่เราไปแจกของที่ขอความอนุเคราะห์ไป
เค้าให้มาเยอะมากอันนี้เป็ นหนึ่ งประสบการณ์ตรงที่เขาได้รับความช่วยเหลืออย่าง
ไม่มีเงื่อนไขของพวกเราไปแล้วก็เขาก็ประทับใจในความช่วยเหลือครั้งนั้น.......
......ส่วนเหตุการณ์ที่ 2 คือลงพื้นที่น้ำท่วมมีผู้สูงอายุติดอยู่ในบ้านเขายกมือไหว้เราก็
แล้วเขาก็บอกว่าเดี๋ยวถ้ารอบหน้ าป้ าน้ำไม่ท่วมแล้วนะป้ าจะทำอาหารไปเลี้ยง มีครั้งหนึ่ง
ไปที่ตะพานหินพิจิตร ปีนั้นน้ำท่วมหนักมาก มูลนิธิปอเต็กตึ้งไปตั้งโรงทานตรงนั้นมีคน
เอาพวกผักพืชผักอะไรต่างๆมาสมทบให้ตลอดเขาบอกว่าปีนึงเราเคยไปช่วยเขา คือสามี
เขาว่าป่วยติดเตียงแล้วท่วมหนักมากถึงชั้น 2 ของบ้านไม้ แล้วเราไปช่วยกันยกสามีเขา
ที่ป่วยติดเตียงอยู่ แบบมีช่องลอดออกมานิดเดียวเพื่อที่จะเอามาที่ถนนใหญ่เพื่อไปส่ง
โรงพยาบาล เขาก็ประทับใจเรามากเลยแวะเวียนเอาของมาให้ที่โรงทาน เสมอ
ในส่วนของการส่งต่อความดี ในฐานะที่เราเป็นอาจารย์ เราก็จะถ่ายทอดให้
บัณฑิตหรือนักศึกษาหรือนิสิตของเรา ให้เขาได้มีมีการซึมซับการมีน้ำใจการช่วยเหลือ
หรือ เราก็แฝงในการเล่าให้เขาฟังอยู่เรื่อยๆ เราทำไปเรื่อยๆจนเขาเริ่มรู้สึกว่าอยาก
จะมาทำ เด็กรุ่นใหม่เขาเขาค่อนข้างที่จะมีน้ำใจถ้าเราเข้าถึงหัวใจเขา
.....มุมมองที่ 2 คือในฐานะที่ได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาของฝ่ายสื่อสารองค์กรของมูลนิธิ
เราก็ต้องมีคนในทีมเราที่เป็นจิตอาสาทั้งหมด ที่อยู่ในฝ่ายสื่อสารองค์กรด้วย อันนี้เรา
ถือว่าเราช่วยในการให้เขาได้เข้าใจปณิธานของมูลนิธิโดยตรง เพื่อให้เขาเป็นตัวกลาง
ในการไปถ่ายทอดข้อมูลดีๆ พวกนี้ ให้คนที่เขายังเข้าใจผิดอยู่ ว่าปณิธานจริงๆ เป็น
อย่างไร หรือว่าอุดมการณ์การทำความดีของมูลนิธิการช่วยเหลืออย่างไม่มีเงื่อนไขนี้
เป็นแบบไหน ได้ถ่ายทอดไปถ้าเขาได้รับได้รับรู้ว่าสิ่งที่มูลนิธิช่วยเหลือมีอะไรบ้าง
วันใดวันหนึ่ งเขาก็อาจจะมีการช่วยเหลือต่อไปได้
"หวังว่าเรื่องเล่าในเล่ม ทำให้เกิดปณิธานในหัวใจของผู้อ่าน ว่าเราจะทำความ
ดีตามภาวะของตน ถึงแม้ความดีนั้นจะเป็นเรื่องเล็กๆ ก็ตาม แต่หากทุกคนพร้อมใจ
กันทำ ก็กลายเป็นพลวัตที่ยิ่งใหญ่ ส่งผลต่อสังคมและประเทศชาติ ในที่สุด"